All Blog
ลูกผู้ชายไม้ตะพด ตอนที่ 13




ค่ำวันนั้นเมื่อเมฆเข้ามาในบ้านก็เห็นบ้านโล่ง เมฆเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าของไม้มันไม่เหลือเสื้อผ้าแม้แต่ชิ้นเดียว แล้วเมื่อเมฆเดินมาที่เตียงเมฆก็พบชุดลูกผู้ชายถูกพับวางไว้บนเตียง เมฆซึม แต่แล้วไม้ก็เปิดประตูเข้ามา ทั้งคู่มองหน้ากัน

“พ่อนึกว่าจะไม่มีวันได้เจอหน้าลูกอีก” เมฆบอก
“พ่อกำลังแย่ ถ้าชั้นไม่อยู่ชั้นคงจะเป็นคนที่แย่มาก เรื่องงานของพ่อ พ่อไม่ต้องห่วงชั้นจะไปคุยกับเจ๊กีให้ ชั้นเชื่อว่าเจ๊กีต้องเข้าใจ”
“ไม่เป็นไรหรอกไม้ พ่อน่ะผิดเองจริงๆ งานคนขับรถ อาจไม่เหมาะกับพ่อแล้ว”
“ไม่ใช่หรอกพ่อ”
“พ่อห่วงแค่เรื่องเดียว พ่ออยากจะขอร้องไม้ อีกแค่ครั้งเดียว...ไม้ตะพดยังอยู่บนรถ พ่อเอามาไม่ได้ พ่ออยากจะให้ไม้ไปเอามันมาจะได้มั้ย พ่อไม่อยากให้มันต้องตกไปอยู่ในมือคนไม่ดี แล้วใช้มันไปในทางที่ผิด”
“ได้สิพ่อ มันเป็นของพ่อชั้นจะไปเอามันมาคืนให้พ่อเอง”
คืนนั้นอบเชยมาที่ชายป่าเพื่อมาหาเวตาลตามสัญญาเธอส่องไฟฉายหาเวตาลไปทั่วแล้วเธอก็ต้องตกใจที่ฉายไฟไปแล้วเห็นเวตาลกำลังกินซากหมาอยู่อย่างน่าเกลียด น่าขยะแขยง
“ว๊าย” อบเชยหันฉายไฟหลบไปทางอื่น
“เจ้ามาเวลาพอดีกับมื้อค่ำของข้า”
“รีบกินให้เสร็จซักที ชั้นไม่อยากเห็น” เวตาลลุกเช็ดคราบเลือดที่ปากด้วยมือดูสกปรก เดินมาหาอบเชย อบเชยมองสะอิดสะเอียน “นี่บ้านไอ้พันเทพมันเลี้ยงดูแบบนี้รึไง ให้หาซากสัตว์กินเองเนี่ยนะ”
“ในวันที่ข้าได้ดูดกินวิญญาณของใครซักคน วันนั้นจะทำให้พลังข้าสมบูรณ์ เมื่อวันนั้นมาถึงข้าจะไม่ต้องมาอยู่ในสภาพแบบนี้หรอก ซึ่งวิญญาณนั่นอาจจะเป็นเจ้า”
“ชั้นไม่มีทางแพ้แกหรอก แกอย่าลืมสัญญานะ ถ้าระหว่างทางชั้นพาแกไปหาไม้ได้โดยไม่พูดซักคำ แกจะต้องสารภาพมาว่าทิวามีแผนร้ายอะไรกับไม้”
“แค่ผู้ชายคนเดียว ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะกล้าแลกกับวิญญาณตัวเอง”
“ไม่ต้องมายุ่ง”
“ถ้าเพียงแต่เจ้าเอ่ยวาจาแม้เพียงคำเดียว วิญญาณของเจ้าได้ตกเป็นของข้า”
“แน่นอน” อบเชยเตรียมเชือกออกมามัดเวตาล
“เจ้าจะทำอะไร”
“ก็มัดไง เผื่อแกโกงขึ้นมา บินหนีหายไปไหนต่อไหน ชั้นก็แย่สิ ชั้นรู้ว่าแกน่ะเจ้าเล่ห์ ชั้นต้องปลอดภัยไว้ก่อน”
เวตาลกับอบเชยจ้องหน้ากัน ต่างก็คิดว่าตนเหนือกว่า
อบเชยเดินนำมาตามถนน เวตาลเดินตามไม่ห่างนักโดยมีเชือกผูกที่ข้อเท้าของเวตาล แต่เมื่อชาวบ้านเดินผ่านก็เห็นเหมือนอบเชยกำลังลากเชือกเปล่าๆ เดินคนเดียว เวตาลแต่งเรื่องเล่ามายั่วยวนให้อบเชยพูด
“ข้ามีเรื่องเล่าหนึ่งเรื่องจะเล่าให้เจ้าฟัง เป็นเรื่องที่ข้าเพิ่งได้ยินได้ฟังมาเป็นเรื่องของหญิงสาวคนหนึ่ง กับชายหนุ่มอีกคนหนึ่งที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กหญิงสาวนั้นแอบหลงรักชายหนุ่มมาตั้งแต่จำความได้ แต่ชายหนุ่มน่ะเหรอ เอาแต่มองหาหญิงสาวในฝันอยู่ร่ำไป ไม่เคยหันมามองหญิงสาวเลย หญิงสาว
เองก็ไม่ท้อแท้ พยายามทำทุกอย่างเพื่อพิชิตใจชายหนุ่มให้ได้ พยายามทำดี ช่วยเหลือและอยู่ข้างกายเค้าตลอดเวลา แต่สุดท้ายชายหนุ่มก็ยังเอาแต่ห่วงหาหญิงสาวในฝันของตนอยู่ดี หญิงสาวยังไม่มีค่าเพียงพอให้เค้ารัก แม้เธอจะให้อภัยชายหนุ่มทุกครั้งที่เขาทำผิด แต่หญิงสาวก็ยังไร้ค่าในสายตาชายหนุ่มอยู่วันยันค่ำ” อบเชยฟังเรื่องที่เวตาลเล่าอย่างทรมาน เพราะมันราวกับเป็นเรื่องจริงของชีวิตเธอ “ถ้าเป็นข้า ใครมาทำกับข้าแบบนี้ ข้าไม่มีวันให้อภัย ข้าจะเอาคืนที่มันมองข้ามหัวใจของข้าให้สาสม ฉีกเนื้อมันเป็นชิ้นๆ ดีมั้ย”
อบเชยจะพลั้งปากห้ามว่าอย่ายุ่งกับไม้ แต่เธอก็ตั้งสติได้เงียบเหมือนเดิม
ที่ท่ารถบขส.ขณะนั้นไกรมองจากหน้าต่างห้องทำงานตัวเองไปที่รถของเมฆ เขายังรู้สึกผิดอยู่ลึกๆ ไกรถอนหายใจยาว
ไม้เดินเข้ามาในท่ารถบขส.มองซ้ายมองขวาไม่เห็นใคร จึงเดินขึ้นไปบนรถเมฆโดยไม่รู้ว่าไกรที่อยู่ในห้องทำงานกำลังมองมาทางนั้นพอดี ไกรเห็นคนด้อมๆ มองๆ แล้วขึ้นไปบนรถ ไกรเปิดประตูออกไป
ไม้วิ่งไปหยิบคันเกียร์ใต้เบาะยาวของรถจะเอามาเปลี่ยนกับไม้ตะพด แต่ไม้ทำได้แค่ดึงไม้ตะพดออกมา ไกรก็มาถึงพอดี
“นั่นเธอทำอะไรน่ะ”
ไม้ตัวแข็งที่โดนจับได้
“คุณไกรยังไม่กลับ”
“แน่สิ ถ้าชั้นกลับจะเห็นพฤติกรรมของขโมยมั้ยล่ะ”
“ชั้นไม่ได้ขโมย”
“แต่กำลังจะวางยารถคันนี้รึไง กะว่าใครมาขับแทนพ่อเธอก็ให้ตายๆ ไปเลยงั้นสิ”
“เปล่านะครับ”
“แล้วในมือนั่นอะไร เกียร์รถคันนี้ไม่ใช่เหรอ”
“คือ...”
“เธอนี่มันเลวกว่าที่ชั้นคิดซะอีกนะ”
“ไม่ใช่นะครับ อันนี้เป็นเกียร์ที่พ่อทำพ่อแค่อยากได้คืน แล้วจะใส่เกียร์ใหม่ให้”
“หึหึ มีใครที่ไหนทำเกียร์ใช้เอง เธอโกหกไม่เนียนเอาซะเลยส่งมันมาให้ชั้น”
“ไม่ได้ ผมส่งให้คุณไกรไม่ได้หรอก”
“ชั้นบอกให้ส่งมันมา” ไม้ยืนนิ่ง ไม่ส่งให้ไกร “ชั้นพยายามอดทนกับเธอแล้วนะ นี่เธออยากให้ชั้นใช้
กำลังกับเธอใช่มั้ยไม้”
ไม้ยังนิ่งไม่ส่งคันเกียร์ให้ไกร
ระหว่างนั้นอบเชยเดินมาบ้านเมฆและเวตาลยังเล่าเรื่องต่อไม่หยุด
“วันหนึ่งหญิงสาวอยากจะช่วยชายหนุ่มให้รอดพ้นอันตรายจึงเอาตนเองเข้ามาเดิมพันกับพญามาร โดยไม่เกรงกลัว มีความหวังเพียงอย่างเดียว อยากจะช่วยชายหนุ่มให้ได้แต่หญิงสาวก็หารู้ไม่ว่าชายหนุ่มที่เธอกำลังหาทางช่วยนั้น เค้าไม่ได้เหลียวแลเธอขึ้นมาเลย” อบเชยกำมือแน่น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ “สิ่งที่เจ้ากำลังทำอยู่...มันไม่เคยมีค่าหรอก”
อบเชยจะหันไปสวนกลับเวตาลว่าไม่จริง แต่เธอก็ตั้งสติได้นิ่งเหมือนเดิม เวตาลยิ้มที่ยั่วอบเชยได้ ทั้งคู่คุยมาถึงหน้าบ้านเมฆ อบเชยมองเวตาลเคืองๆ ก่อนจะเดินเข้าไป
อบเชยเดินเข้าไปในบ้านเจอกับเมฆ ตลอดเวลาที่เมฆคุยกับอบเชย เวตาลจ้องหน้าเมฆเขม็งจากนอกหน้าต่าง
“มาหาไม้เหรออบเชย” อบเชยพยักหน้ารับ “ไม่ไม่อยู่หรอก ออกไปทำธุระให้อาที่บขส.”
อบเชยทำได้แค่ยกมือไหว้แล้วรีบเดินออกไป เมฆรู้สึกถึงอะไรแปลกๆ ที่หน้าต่างเขาหันไปดู แต่ก็ไม่เห็นอะไร
ระหว่างนั้นไม้กับไกรยังเถียงกันเรื่องไม้ตะพดเกียร์
“ชั้นบอกให้ส่งเกียร์นั่นมา”
“ผมส่งให้ไม่ได้จริงๆ ครับคุณไกร”
“ถ้างั้น แปลว่าเธอก็อยากมีเรื่องกับชั้น ได้” ไกรเข้ายื้อแย่งไม้ตะพดกับไม้ ไม้พยายามยื้อไว้จนไม้ทนไม่ไหวผลักไกรออก ไกรเซ “นี่เธอทำกับคนที่มีบุญคุณต่อเธอแบบนี้เหรอ”
“ผมขอโทษครับ แต่ไม่ได้จริงๆ”
ไกรเข้าลุยกับไม้อีก ฝีมือไกรคล่องแคล่วว่องไวไม่ใช่น้อย ไกรพยายามแย่งไม้ตะพดออกไปจากไม้ ไม้จำใจต้องต่อสู้กับเขาด้วยกรงเล็บพยัคฆ์ ไกรกระเด็นออกไป
“เธอเอาท่าที่ชั้นสอนเธอมาทำร้ายชั้นเหรอ?” ไกรยิ่งเจ็บใจหนักเข้าไปอีก “ไม้...เธอ”
ไม้กำลังรู้สึกผิด ไกรจึงถือโอกาสชิงไม้ตะพดจากมือไม้ทันที พอจับเพื่อต่อสู้มันก็ว่องไววิเศษ ไกรกำลังจะเอาไม้ฟาดกลับไปที่ไม้ อบเชยมาพอดีเห็นไกรกำลังจะทำร้ายไม้เธอตะโกนห้าม
“หยุดนะ ห้ามใครทำอะไรไม้เด็ดขาดนะ”
อบเชยเผลอพูดโดยที่เธอห่วงไม้จนไม่รู้ตัว เชือกที่ขาของเวตาลขาดทันที อบเชยเองก็ตกใจที่ตัวเองหลุดพูดออกไป เสียงเวตาลก้องขึ้นโดยที่ไม่มีใครเห็นตัวตนของเวตาล
“เธอแพ้แล้ว เธอต้องทำตามสัญญา”
เวตาลมองหน้าไม้ก่อนที่มันจะบินหายไป อบเชยหน้าเสีย ทั้งไกรและไม้ต่างมองไปรอบๆ
“นั่นเสียงอะไรน่ะ”
“สัญญาอะไร กับใครน่ะอบเชย”
“มันไม่สำคัญหรอกน่า ชั้นสงสัยมากกว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ยคุณไกร”
“เธอถามไม้ซะก่อนว่าทำอะไรลงไป”
“ชั้นแค่จะมาเอาของของพ่อคืน แต่คุณไกรไม่ยอม”
“นี่มันทรัพย์สินของบริษัท ไม่มีใครเอามันไปได้ทั้งนั้น”
“นี่สองคนเป็นอะไรไปกันเนี่ย ทำไมต้องมาสู้กันเองด้วย” อบเชยต่อว่า
“เธอนั่นแหละเป็นอะไร เธอเองก็เห็นตำตาว่าไม้ไปมีอะไรกับคนอื่น เธอยังจะปกป้องมันอีกรึไง”
อบเชยสะอึกกับคำพูดไกร
“ชั้นขอร้อง…คุณไกรอย่าเอาเรื่องไม้เลย ส่วนไม้กลับบ้านไปพร้อมกับชั้น”
“แต่ไม้นั่น…”
“พอเถอะ สู้กันเองก็มีแต่คนแพ้ทั้งนั้นค่อยมาคุยกันดีๆ ตอนที่ใจเย็นแล้วเถอะ ขอร้อง”
ไม้มองไม้ตะพดในมือไกรอย่างไม่สบายใจนัก แต่เขาก็จำต้องเชื่ออบเชย
ไม้กับอบเชยเดินกลับบ้านด้วยกัน
“ชั้นไม่สบายใจเลย นั่นไม้ตะพดของพ่อแต่ชั้นทิ้งไว้ที่คุณไกร”
“ก็คุณไกรเค้ายังไม่รู้ว่าคือไม้ตะพด”
“เธอคิดว่าคนฉลาดอย่างเค้าจะไม่รู้ตลอดไปรึไง”
“แต่คุณไกรเค้าก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรนี่”
“แต่เค้าก็ไล่พ่อออกจากงานแล้ววันนี้”
“นี่มันเรื่องอะไรวุ่นวายไปหมด โอ๊ย...เวตาลก็หลุดหนีไปได้ เฮ้อ...”
“เวตาลอะไร”
อบเชยนิ่งมองไม้อย่างน้อยใจ แล้วกลบเกลื่อน
“เรื่องชั้นไม่มีสำคัญหรอก ยังไงมันก็ไม่สำเร็จไปแล้ว แต่เธอกับคุณไกรล่ะมีเรื่องอะไร ไหนจะ
เรื่องทุกข์ใจของเธอที่ชั้นยังไม่รู้อีกล่ะไม้”
ไม้อึดอัดเกินกว่าที่จะเล่า
ไกรเดินกลับเข้ามาในห้องทำงานอย่างหงุดหงิด เขาโยนไม้ตะพดที่เข้าใจว่าเป็นคันเกียร์ธรรมดาบนโต๊ะ
“อบเชย เธอมันคนประเภทไหนกันแน่ที่ยังเข้าข้างคนที่เอาแต่ทำให้เธอเจ็บปวด ไม้ก็อีกคนทำไมต้องอยากได้นักหนา ไอ้คันเกียร์เนี่ย”
ไกรหันไปมองคันเกียร์อย่างพินิจพิจารณาสงสัย
ที่ชายป่าเวตาลห้อยหัวหลับเหมือนค้างคาวบนต้นไม้ อยู่ๆ ก็มีเสียงมารบกวนเวลานอนของเวตาลเป็นเสียงหัวเราะดังก้องไปทั่วบริเวณ เวตาลลืมตาตื่นไม่สบอารมณ์นัก แม้เวตาลจะลืมตาตื่นขึ้นมาแล้ว เสียงหัวเราะนั่นก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะเบาลงเลย เวตาลลงจากต้นไม้มาดู
“เจ้าเป็นใคร ใยไม่เกรงใจผู้อื่นหัวเราะเสียงดังก้องไปทั่วขนาดนี้ ไม่เกรงกลัวต่ออำนาจของข้าเอาซะเลย” ฤๅษีค่อยๆ หันมาหาเวตาล “เจ้าฤๅษีแก่นี่เอง”
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะเวตาล”
“เจ้าก็รู้ว่าแท้จริงข้าเป็นถึงพญาเวตาลผู้ยิ่งใหญ่”
“ดูจากสภาพเจ้าแล้ว ยังจะให้ข้าเรียกว่าพญาเวตาลอีกได้อย่างไรไม่อายตัวเองรึ”
“แล้วมันมีเรื่องน่าขันอะไรนักหนาหัวเราะเสียดังก้อง” เวตาลถามอย่างไม่พอใจ
“จะไม่ให้ข้าหัวเราะได้อย่างไร ก็ในเมื่อจุดเริ่มต้นของความตายของเจ้ามาถึงแล้ว”
“หมายความว่าอย่างไร”
“เจ้าเจอคนที่จะปลิดชีพเจ้าแล้ว”
“ใครหน้าไหนจะปลิดชีพข้าได้ ไม่มีหรอก”
เสียงหัวเราะดังกึกก้องป่าอีกครั้ง เวตาลสะดุ้งตื่น
เวตาลลืมตาตื่นอย่างหวาดระแวง มองไปรอบด้าน เสียงหัวเราะของฤๅษียังก้องอยู่จางๆ
“คนที่จะปลิดชีพข้า”
เวตาลนึกถึงหน้าไม้ตอนที่อบเชยพาเขาไปที่ท่ารถจะช่วยไม้ และตอนที่เห็นหน้าเมฆที่เขาเจอที่บ้าน
“ข้าจะต้องได้ดูดวิญญาณเพื่อให้ร่างกายข้าได้กลับมามีพลังที่สมบูรณ์อีกครั้งแล้วจะไม่มีใครทำอะไรข้าได้”
วันต่อมาขณะที่อบเชยเดินออกมาจากห้องน้ำ เธอได้ยินเสียงกุกกักดังจากในบ้าน อบเชยมองไปก็ไม่มีใครอยู่บริเวณนั้น อบเชยเริ่มระแวงและนึกถึงคำพูดเวตาลที่ตกลงกันไว้ว่าถ้าเธอแพ้เธอต้องยกวิญญาณของเธอให้กับเวตาล อบเชยหวาดระแวงรอบๆ ตัว
อีกด้านหนึ่งที่ห้องทำงานไกร ไกรเพ่งพินิจคันเกียร์ที่เอามาจากไม้ เขายังไม่เห็นไม้ตะพดที่ซ่อนอยู่ในปลอกเกียร์
“ทำไมอยากได้นัก”
ไกรเดินไปหยิบคันเกียร์เล็งๆ ดู ยังไม่ทันที่ไกรจะคิดออก เจ๊กีก็เปิดประตูห้องทำงานไกรพรวดเข้า
มา
“ลื้อไล่อาเมฆออกเหรออาไกร”
“ใช่ครับ”
“ลื้อไล่อีกออกทำไม ลื้อก็รู้ว่าอีเป็นคนเก่าคนแก่ที่อั๊วไว้ใจ”
“นี่สองพ่อลูกนั่นมาฟ้องหม่าม้าเหรอครับ”
“ไม่มีใครมาฟ้องทั้งนั้นแหละ เค้าพูดกันไปทั่วว่าลื้อกับอาไม้ทะเลาะกัน ตีกัน เพราะเรื่องที่ลื้อไล่อาเมฆออก” ไกรนิ่ง “ลื้อไล่อาเมฆออกทำไม”
“ม้าลองไปไล่ดูย้อนหลังช่วงที่ผ่านมานี่สิครับ เค้าลาหยุดงานตลอดวันทำงานน้อยกว่าวันหยุดซะอีก ผมก็เห็นว่าถ้าจะเปลี่ยนแปลงอะไรซักอย่างก็คงต้องเป็นเรื่องวินัยในการทำงาน”
“ทำไมลื้อไม่ตักเตือนอีก่อน ไปไล่อีออกเลยได้ยังไง แล้วอีจะเอาเงินที่ไหนกิน ที่ไหนใช้”
“ผมก็ให้เงินเค้าไปก้อนนึงด้วยนะครับ”
“แย่ อั๊วไม่เคยสอนให้ลื้อเลี้ยงดูคนด้วยการเอาเงินฟาดหัวแบบนั้น เมื่อก่อนลื้อก็ไม่เป็นแบบนี้”
“ผมก็เป็นแบบนี้แหละม้า อีกอย่างเค้าก็ยอมออกไปแล้วด้วย”
“ไม่รู้ล่ะ อั๊วต้องไปคุยกะอีให้รู้เรื่อง”
“คุยอะไรม้า คนมันไล่กันไปแล้ว จะให้กลับมาทำงาน ผมก็หมดความเชื่อถือกันพอดี”
เจ๊กีถอนหายใจ ลำบากใจ
ส่วนที่บ้านศรนารายณ์ ขณะนั้นอบเชยนั่งกินข้าวกับศรนารายณ์
“งานที่ร้านขนมปังเป็นยังไงบ้าง”
“ก็ดีจ้ะพ่อ”
เสียงก๊อกแก๊กดังตามจุดต่างๆ ของบ้าน อบเชยมองตามไม่ค่อยสนใจศรนารายณ์นัก
“พ่อว่าบ้านเราต้องมีรูตรงไหนแน่เลย นูมันถึงได้เข้ามาได้”
“ถ้ามันเป็นหนูจริงๆ ก็ดีสิพ่อ กลัวว่ามันจะไม่ใช่” อบเชยบอกอย่างระแวง
“ไม่ใช่หนูแล้วมันจะเป็นอะไร กระต่ายจะแอบเข้าบ้านคนเหรอ ก็ไม่น่านะ” เสียงก๊อกแก๊กดังตรงมุมโน้นทีมุมนี้ทีไปทั่ว อบเชยระแวง “เดี๋ยวพ่อไปทำงานก่อนนะ”
“ไปแล้วเหรอพ่อ”
“ไม่ไปตอนนี้ก็สายน่ะสิ ไอ้ลูกคนนี้”
ศรนารายณ์ลุกขึ้นเดินออกไป อบเชยอยู่บ้านคนเดียวระแวงพอศรนารายณ์ออกไป บนโต๊ะอาหารที่ศรนารายณ์นั่งช้อนกลางในแกงหมุนวนเหมือนใครกำลังจับมันคน อบเชยผงะแล้วเวตาลก็ค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้น
“เจ้าลืมอะไรไปรึเปล่า”
“แกมาบุกรุกบ้านชั้นแบบนี้ไม่ได้นะ”
“ทำไมจะไม่ได้ ข้าจะไปที่ไหนก็ได้ที่ข้าอยากไป”
“ไม่มีมารยาทสินะ”
“เกรงว่าเจ้าจะไม่มีมารยาทมากกว่า ที่เจ้าทำเป็นลืมสัญญา”
ศรนารายณ์เดินออกมาแล้ว แต่นึกได้ว่าตนลืมของ
“เอ๊า ลืมกุญแจบ้านซะอีก”
ศรนารายณ์ส่ายหน้าระอาตัวเอง แล้วเดินย้อนกลับไปในบ้านอีกครั้ง
ขณะนั้นอบเชยกำลังเดินหนีเวตาล
“ชั้นขอเวลาอีกซักหน่อยได้มั้ย พอดีว่าที่บ้านวุ่นวาย”
“แต่เมื่อคืนเราไม่ได้ตกลงกันแบบนี้”
เสียงเปิดประตูบ้านเข้ามาอีกที ทั้งคู่หันไปมอง เวตาลหายตัวแว้บไป ศรนารายณ์เดินข้ามา อบเชยวิ่งรี่เข้าไปหาพ่อทันที
“พ่อ”
“พอดีพ่อลืมกุญแจน่ะ” ศรนารายณ์หยิบกุญแจบ้าน
“เดี๋ยวพ่อ เดี๋ยวชั้นออกไปพร้อมพ่อด้วยเลยดีกว่า”
“เอาสิ ไป”
อบเชยหันมองในบ้านก่อนจะรีบออกไปพร้อมศรนารายณ์
ที่ตลาด ขณะนั้นทิวาเดินถือถุงใส่ยาแก้ปวดมาหลายกระปุก ทิวาเดินผ่านชาวบ้านพากันซุบซิบ
“เค้าเม้าท์กันให้แซด ว่าทิวาไม่ใช่ลูกไอ้พันเทพ”
แม่ค้าบอกเจ๊กี
“ลื้อไปรู้ได้ยังไง”
“ใครก็รู้ มีแต่เจ๊ละมั้งไม่สนใจโลกภายนอกเลย”
“ไม่ใช่ลูกพันเทพ แล้วลูกใคร”
“นั่นแน่ อยากรู้เหมือนกันละสิเจ๊”
ยังไม่ทันที่เจ๊กีจะได้คำตอบอะไรทิวาก็มาขวางหน้า
“ยุ่งเรื่องชาวบ้านไปทั่วนะพวกแก นางนี่” ทิวากระชากคอเจ๊กี “แกนี่ก็ตัวนำเลย อยากตายใช่มั้ย...” ทิวาหันหาชาวบ้าน “พวกแกด้วย ชั้นจะฆ่าเรียงตัวเลย ปากมากดีนัก”
ทิวาเงื้อมมือจะตบเจ๊กี ชาวบ้านแตกตื่น
“อั๊วเปล่า อั๊วไม่เกี่ยวนะ”
ทิวาไม่สนคำขอร้องของเจ๊กี เจ๊กีโดนทิวาฉุดกระชากลากถู
“ปากมากนักใช่มั้ยพวกแกน่ะ ชั้นจะกระทืบให้พูดไม่ได้เลย”
ไม้ปรากฏตัวออกมาห้ามทิวา
“หยุดนะทิวา”
ทิวาหันมองตามเสียงเจอไม้ยืนอยู่
“แกอีกแล้วไอ้ไม้ แกทุกที ทำไมทุกอย่างในชีวิตชั้นแกจะต้องคอยเข้ามาขัดด้วย”
“ชั้นก็ไม่ได้อยากจะไปพัวพันกับชีวิตแกหรอกทิวา”
“ถ้าไม่มีแกบนโลกซักคน ชีวิตชั้นคงดีกว่านี้แน่”
“แต่มีแกบนโลก ชั้นก็เฉยๆ นะ ชั้นไม่สนใจ”
ทิวาเจ็บจี๊ดกับคำพูดของไม้ขึ้นมาทันที จึงเข้ามาลุยกับไม้ ทิวาต่อสู้ด้วยความโกรธไม่ยั้งมือแต่ไม้ก็รับมือทิวาได้ทุกหมัด
“ชั้นจะฆ่าแกให้ตาย ชั้นจะฆ่าแก”
ทิวาต่อสู้เหมือนหมาบ้าทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้าอย่างไม่มีชั้นเชิง ทิวาหยิบมีดปังตอจากร้านขายหมูมาได้ กวาดไปเรื่อ ไม้ตะโกนบอกทุกคน
“เจ๊กีพาทุกคนหนีไปก่อน ทิวามันเป็นบ้าไปแล้ว”
เจ๊กีพาชาวบ้านทยอยหนีออกไปจากบริเวณนั้นเพื่อไม่ให้โดนลูกหลง
“ชั้นเกลียดแก แล้วก็ไอ้เป๋พ่อของแก”
“ทิวา แกไม่ควรเรียกพ่อแบบนั้น”
“มันไม่ใช่พ่อชั้น มันไม่มีทางเป็นพ่อชั้น”
ทิวาบ้าหนักกว่าเดิม ไม้จับตัวทิวามัดมือไพร่หลังไว้ไม่ให้อาละวาดได้มากนัก
“ทิวา ถ้าแกยังไม่เลิกบ้าชั้นจะมัดแกไว้กลางตลาดประจานแกแบบนี้แหละ จากที่คนรู้เรื่องของเราไม่กี่คนจะกลายเป็นรู้ทั้งตลาด แล้วทุกคนก็จะมามุงดูแก”
ทิวาที่คลุ้มคลั่งเริ่มสงบลง
“ไม่ว่ายังไง ชั้นก็จะฆ่าแกให้ได้ ไอ้ไม้”
ไม้เดินออกมาเจอเจ๊กีและชาวบ้านที่กลัวแล้วรออยู่ด้านนอก
“เป็นไงบ้างไม้ ลื้อบาดเจ็บรึเปล่า”
“ไม่เป็นไรครับ”
“แล้วไอ้ทิวาล่ะ”
“ชั้นปล่อยมันไปแล้ว”
“แล้วมันจะไม่ไปทำร้ายใครเหรอ”
“คงไม่หรอกครับ ตอนนี้จิตใจทิวายังไม่ปกติดี ต้องเข้าใจเค้าด้วยครับ”
“ปกติหรือไม่ปกติ อั๊วก็เห็นอีรังควาญคนอื่นเค้าไปทั่วอยู่แล้ว แต่ยังไงอั๊วก็ขอบใจลื้อมากเลยนะอาไม้ที่มาช่วย ไม่งั้นอั๊วกับชาวบ้านหลายคนคงแย่”
“ไม่เป็นไรครับ เอ่อ...เจ๊กีครับ ผมก็มีเรื่องให้เจ๊ช่วยเหมือนกัน”
“เรื่องอะไรเหรอไม้ อั๊วยินดีช่วยลื้อทุกเรื่องเพราะอั๊วก็ยังรู้สึกไม่ดีกับลื้อที่อาไกรไล่อาเมฆออก”
อีกด้านหนึ่งที่ห้องทำงานไกร ไกรนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะอยู่ดีๆ คันเกียร์ก็มีแสงเรืองวาบขึ้นมาไกรหันกลับไปมอง
“แสงเมื่อกี้นั่นมันอะไรน่ะ”
ไกรมองไปที่คันเกียร์ที่เค้ายึดมาจากไม้ ไกรเดินมาดูคันเกียร์ที่วางอยู่ใกล้ๆ เขาหยิบมันขึ้นมาและรู้สึกได้ถึงพลังบางอย่างในมือ ไกรสูดกลิ่นของคันเกียร์ได้กลิ่นหอม
“ไม้หอม...หรือว่านี่จะเป็น...” ไกรจะหมุนดูด้านในด้ามเกียร์ จังหวะนั้นประตูเปิดออกมาทันทีไกรตกใจเมื่อเห็นเจ๊กีเข้ามา “ม้า ทำไมพรวดพราดเข้ามาแบบนี้ ผมตกใจหมด”
“นั่นลื้อกำลังทำอะไรน่ะ”
“เปล่าครับ”
เจ๊กีหันไปด้านนอก
“อาไม้ ลื้อเข้ามาสิ”
ไม้ค่อยๆ เดินเข้ามาในห้อง
“เธออีกแล้วเหรอ ต้องการอะไรอีก”
“ลื้อเงียบไปเลยอาไกร อาไม้อีช่วยอั๊วจากที่ตลาดไม่ให้โดนอาทิวาทำร้าย คราวนี้ถึงคราวที่อั๊วต้องช่วยอาไม้บ้าง ไหน ของชิ้นไหนที่ลื้ออยากขอเอาไปให้อาเมฆ” เจ๊กีถามไม้
“มันอยู่ในมือคุณไกรครับ”
“นี่เธอยังไม่จบเรื่องคันเกียร์นี่กับชั้นใช่มั้ย”
“อาไกร ส่งให้อาไม้”
“ม้าครับ นี่เป็นสมบัติของบริษัท”
“แค่เกียร์รถดัดแปลงอันเดียว ลื้อจะให้ไม่ได้เลยเหรออาไกร อั๊วสอนลื้อว่ายังไง ให้รู้จักบุญคุณคน นี่อาไม้ช่วยอั๊ว อั๊วก็ต้องตอบแทนเค้า ส่งมันให้อาไม้เดี๋ยวนี้”
ไกรส่งมันให้ไม้อย่างไม่เต็มใจนัก
“อย่าคิดว่าชั้นไม่รู้นะ...ว่าคันเกียร์นี่มันพิเศษยังไง”
ไกรจ้องไม้เขม็ง ไม้ยังแสดงท่าทีเคารพไกรเหมือนเดิม

“ขอบคุณครับ”




Create Date : 24 มีนาคม 2555
Last Update : 24 มีนาคม 2555 2:13:08 น.
Counter : 743 Pageviews.

0 comment
ลูกผู้ชายไม้ตะพด ตอนที่ 12




แพรวาถูกพามาที่โรงแรมทั้งที่เธอยังหลับไม่ได้สติ สักมองแพรวาด้วยหน้าตาหื่นๆ ค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อเธอ

“เสียดายนะ ชั้นล่ะอยากทำอะไรเธอมากกว่าที่ถูกจ้างซะจริงๆ”
แพรวาเริ่มรู้สึกตัวขึ้น ขณะนั้นไม้กำลังเดินดูตามห้องต่างๆ ของโรงแรมซึ่งก็ดูเหมือนปกติ แต่แล้วไม้เห็นห้องๆ หนึ่งดูผิดปกติประตูเปิดแง้มไว้ ไม้เข้ามาในห้องเจอสักที่รีบวิ่งออกไป ไม้รีบวิ่งตามสักออกมา
ไม้ตามสักออกมาที่ระเบียงพยายามจะขัดขวาง สักปะมือกับไม้นิดหน่อยแล้วอาศัยจังหวะที่ไม้ไม่ทันตั้งตัวผลักไม้ตกจากระเบียง แล้วตนก็วิ่งหนีไป ไม้โชคดียังไม่ตกจากระเบียงเพราะเสื้อตนเองไปเกี่ยวกับขอบระเบียงที่ยื่นออกไป ไม้พยายามจะเอาแขนตนไปจับขอบระเบียงไว้ให้ได้เพื่อไม่ให้ตก แต่เสื้อของเขาก็ค่อยๆ ขาดขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบจะขาดทั้งหมด ไม้กำลังจะร่วงแต่เขาก็เอามือคว้าขอบระเบียงไว้ก่อนได้ ไม้จะปีนขึ้นไป แต่เสื้อที่เกี่ยวไว้ทำให้เขาขึ้นไม่ได้ ไม้จึงต้องฉีกเสื้อตนเองด้วยมืออีกข้าง
ในที่สุดไม้ก็ปีนกลับขึ้นระเบียงได้โดยต้องถอดเสื้อทิ้ง ไม้รีบวิ่งเข้าไปในห้องเพราะเป็นห่วงแพรวา...
ไม้รีบเข้าไปดูแพรวา แพรวาถูกจับถอดเสื้อออกหมดค่อยๆ รู้สึกตัวเต็มที่ แต่ยังเบลอๆอยู่ กระดุมเสื้อด้านบนถูกเปิดเห็นหมด ไม้รีบเอาทำผ้าคลุมให้แพรวาทันทีอย่างสุภาพบุรุษ โดยไม่รู้ตัวว่าไกรกับอบเชยเข้ามาเห็นจังหวะนั้นพอดี
ภาพที่ไกรกับอบเชยเห็นคือไม้ที่ถอดเสื้อกับแพรวาที่เปลือยเช่นกัน ไกรกับอบเชยตกใจช็อคกับภาพที่เห็น
“นั่นเธอทำอะไรน่ะไม้”
ไม้หันตามเสียงของไกร มองเห็นอบเชย
“อบเชย คุณไกร” ไกรพุ่งตรงเข้าชกไม้ล้มคว่ำไป “นี่มันอะไรกันครับเนี่ย” ไม้ถามอย่างงๆ ไกรไม่พูดจาใดๆ เดินออกจากห้องไปทันที เหลือแต่อบเชยที่ยังยืนช็อคอยู่ “อบเชย นี่มันอะไรกันพวกเธอมาที่นี่ได้ยังไง”
“เธอต่างหากที่ควรเป็นคนอธิบาย ว่าทำแบบนี้กันได้ยังไง”
“มันไม่ใช่อย่างที่เธอคิดนะอบเชย”
“ภาพแบบนี้ คิดเป็นอย่างอื่นได้ด้วยเหรอ เธอทำได้ยังไงน่ะไม้ เธอคิดว่าชั้นไม่มีหัวใจรึไง”
แพรวาฟื้นคืนสติเต็มที่
“ไม้...”
ไม้รีบเข้าไปประคองแพรวา อบเชยทนมองไม่ได้เธอเดินออกจากห้องนั่นไปเช่นกัน ไม้พยายามจะรั้งไว้แต่ก็ทิ้งแพรวาไว้ไม่ได้
“คุณไม่เป็นไรแล้วนะแพรวา ไม่เป็นไรแล้ว”
อบเชยวิ่งร้องไห้ออกมาไม่อายใครทั้งนั้น เธอเดินข้ามถนนอย่างไม่กลัวตายรถบีบแตรไล่อบเชยดังระงม
ไกรขับรถออกมาด้วยความเจ็บแค้นเมื่อนึกถึงอดีตที่เขาช่วยไม้มาตลอด ตำราหนังเสือก็เป็นคนให้ไม้ สอนท่าไม้ตายกรงเล็บพยัคฆ์ สอนสมาธิไว้รับมือศัตรู ให้สิ่งดีๆ กับไม้มาตลอด ไม้กับแพรวาจับมือกันก่อนหน้านี้ที่เขาต้องทนและคำสัญญาของไม้ที่ว่าจะไม่ยุ่งกับแพรวาอีก ซึ่งไม้ก็รับปากแล้ว แต่ก็ยังมีเรื่องทุเรศแบบนี้เกิดขึ้นอีก ไกรชิงชังไม้ทั้งเสียใจเรื่องแพรวาจึงทุบพวงมาลัย แล้วตะโกนระบายอารมณ์ลั่นรถ
อีกด้านหนึ่งที่โรงพยาบาล เมฆนั่งรออยู่หน้าห้องตรวจอย่างกระวนกระวาย จนกระทั่งหมอเดินเอาผลตรวจเข้ามา
“มารับผลตรวจดีเอ็นเอใช่มั้ยครับ”
“ครับ”
“ผลออกมาแล้วนะครับ อยากดูเองหรือให้หมอดูให้ดีครับ”
“ขอดูเองดีกว่าครับ”
เมฆเอาซองมาแกะอย่างตื่นเต้น เขาเปิดดูช็อคไปชั่วครู่
“เป็นไงบ้างครับ”
“ผม... ผมอ่านไม่เข้าใจหรอกครับคุณหมอ คุณหมอช่วยดูให้ผมที”
หมอยิ้มรับผลจากเมฆมาดู
“ผลการตรวจดีเอ็นเอของคุณ...”
ผลการตรวจที่ออกมาทำให้เมฆถึงกับช็อคเมื่อรู้ว่าทิวาเป็นลูกเขาจริงๆ
ส่วนไกร เมื่อกลับถึงบ้านไกรเก็บตัวอยู่ในห้องคนเดียวโดยไม่พูดไม่จากับใคร
“ชั้นดีกับเธอตั้งเท่าไหร่ทั้งเรื่องเงิน เรื่องงาน ช่วยสอน ทุกอย่าง แม่ชั้นก็มีน้ำใจกับแม่เธอมาตลอด ชั้นไม่เคยคิดซักนิดว่าเธอจะเป็นคนแบบนี้ ไม้...เธอทำกับชั้นแบบนี้ทำไม ตั้งแต่วันนี้ไป ชั้นจะให้เธอเจ็บ...เหมือนกับที่ชั้นกำลังรู้สึก”
ไกรกำมือแน่น แค้นไม้มาก
ขณะเดียวกันไม้เดินกลับเข้ามาในบ้านซึมๆ เห็นบ้านเงียบไฟปิดสนิท ไม้เปิดไฟ
“ทำไมพ่อยังไม่กลับมาอีก” ไม้เดินหาเมฆตามห้องต่างๆ “พ่อ พ่อ”
ไม้เดินหาเมฆทั่วบ้าน ยังไงก็ไม่เจอ แล้วเขาก็เหลือบไปเห็นประวัติทิวาวัยเด็กเข้า ไม้นึกบางอย่างออกจึงรีบวิ่งออกจากบ้านไปทันที
ส่วนอบเชยเมื่อกลับมาบ้าน อบเชยเอาหน้าซุกหมอนร้องไห้ไม่หยุด
“ทำไมไม้ไม่ฆ่าชั้นให้ตายไปซะเลย ทำให้ชั้นทรมานแบบนี้ทำไม”
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่โรงพยาบาลทิวาเริ่มรู้สึกตัว แล้วทิวาก็เห็นคนที่นอนฟุบอยู่ข้างๆ เขาก็คือ เมฆนั่นเอง ทิวาพรวดดึงมือตัวเองออกทันที
“แกมาทำอะไรตรงนี้”
“เธอฟื้นแล้ว”
“ชั้นจะตายก็ปล่อยชั้นตาย อย่ามายุ่ง”
“นี่ชั้นซื้ออาหารมาฝากเธอด้วย รู้ว่าถ้าเธอฟื้นขึ้นมาคงหิว”
เมฆยกอาหารมาให้ทิวา ทิวาปัดมันกระเด็น
“ไม่กิน”
“ไม่เป็นไร อาหารโรงพยาบาลก็น่ากินดี” เมฆบอกแล้วจะเดินไปหยิบ
“ชั้นบอกว่าไม่กิน แกไม่เข้าใจรึไง”
“งั้นน่าจะหิวน้ำนะ จิบน้ำซักหน่อยมั้ย”
“ถ้าแกอยากทำอะไรซักอย่างให้ชั้นจริงๆ น่ะนะ แกช่วยออกไปจากห้องนี้ซักที ชั้นจะขอบคุณมาก”
เมฆมองทิวาเศร้าๆ
“ถ้ามันเป็นความต้องการของเธอ ชั้นจะไป”
เมฆจะเดินออกจากห้อง ทิวาพูดบางอย่างขึ้น
“พ่อไปไหน”
“เมื่อกี้เธอเรียกชั้นว่าอะไรนะ” เมฆหันมาถามอย่างดีใจ
“ใครเรียกแก ชั้นถามว่าพ่อชั้น พันเทพน่ะไปไหน”
“ตั้งแต่ชั้นมา ก็ไม่เห็นเค้า”
“ไม่สนใจใยดีชั้นเลยสินะกับแค่ชั้นจะแย่งไม้ตะพดมาน่ะ”
“เธอจะแย่งไม้ตะพดมาจากพันเทพเหรอ”
“ใช่...ทำไม ชั้นทำไม่ได้รึไง”
“เธอไม่รู้ว่าอำนาจของไม้ตะพดมีแค่ไหน อย่าคิดแย่งแบบนั้นอีก”
“หน้าอย่างแก จะรู้อะไรเรื่องไม้ตะพด ไสหัวไปเลยไปชั้นละขยะแขยงแกนัก แค่พูดก็ขนลุกขึ้นมาเลย”
พันเทพเปิดประตูเดินเข้าในห้อง
“แกเข้ามาทำอะไรในนี้ ไอ้เมฆ”
“ก็มาดูแลทิวาน่ะสิ”
“ยุ่งไม่เข้าเรื่อง”
“ชั้นรู้ความจริงหมดแล้ว ชั้นคิดว่าเรื่องทั้งหมดนี่คงจะเป็นฝีมือแกสินะ”
“นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย” ทิวาถามอย่างแปลกใจ
“คิดไปคิดมา แกมาวันนี้ก็ดีเหมือนกัน” พันเทพไม่สนใจสิ่งที่ทิวาถาม แต่พูดกับเมฆแทน
“ทำไม”
“ชั้นจะได้เก็บไว้เป็นข้อต่อรองน่ะสิ”
“หมายความว่าไง”
เมฆขยับตัว พันเทพรีบเอาไม้ตะพดร่มตนจ่อคอยหอยไว้ทันที
“มีแกนี่ก็ดีเหมือนกัน ทำให้แผนการชั้นง่ายขึ้น”
“แผนการอะไรของแก”
“ชั้นว่าอีกไม่นาน ไม้ก็คงจะเดินทางมาหาที่นี่แล้วล่ะ”
“ทุกคนพูดเรื่องอะไรเนี่ย ชั้นงงไปหมดแล้ว พ่อให้ไอ้ไม้มาที่นี่ทำไม” ทิวาถาม
“ก็คอยดูเอาสิ”
ไม้เปิดประตูพรวดเข้ามาในห้อง เห็นพันเทพเอาร่มจ่อคอหอยเมฆ
“แกจะทำอะไรพ่อน่ะ”
“ชั้นรอเธอตั้งนานแน่ะไม้ ครบองค์ประชุมพอดี”
“หมายความว่ายังไง”
ทั้งหมดออกมาที่ด้านหลังของโรงพยาบาลโดยทิวานั่งอยู่บนรถเข็น
“แบบนี้สิถึงจะต่อสู้สะดวกหน่อย” พันเทพบอก
“ชั้นไม่ได้อยากสู้กับแก ชั้นแค่อยากพาพ่อกลับบ้าน” ไม้บอก
“ถ้าเธอไม่อยากสู้ เรื่องก็ง่ายนิดเดียว ส่งไม้ตะพดของเธอมาให้ชั้น”
“ไม้ตะพด ไอ้ไม้มีไม้ตะพดอีกอันไม่ใช่ของลูกผู้ชายนั่นเหรอ” ทิวาพึมพำออกมา
“ชั้นเกลียดแกจริงๆพันเทพ แกเที่ยวหาเรื่องชั้นกับพ่อไม่เว้นวัน กับอีแค่ไม้ตะพดอันเดียว”
“เกลียดเหรอ...เธอเกลียดชั้นได้ลงคอเลยเหรอ” พันเทพหันหาเมฆ “แกดูสิ ไม้เกลียดชั้น แกไม่คิดจะห้ามความรู้สึกนั้นหน่อยเหรอ”
เมฆอ้ำอึ้ง ไม่พูด ท่าทางของเมฆกับคำพูดของพันเทพทำให้ไม้สับสน
“อย่ามาปั่นหัวชั้นหน่อยเลย อยากจะฆ่าชั้นก็เข้ามา”
พันเทพเดินเข้าไปมองหน้าไม้ใกล้ๆ
“เธอไม่ได้เอาไม้ตะพดมาเหรอ”
“ชั้นจะสู้กับแกด้วยมือเปล่านี่แหละ”
ไม้เริ่มเป็นฝ่ายบุกพันเทพก่อนมีเมฆเข้ามาช่วยสู้ด้วย ทิวาโดนลูกหลงไม้ตะพดไปฟาดรถเข็นกระเด็นกลิ้ง เมฆเป็นห่วงถลาไปดูทิวา
“แก แกไม่ได้ขาเป๋ นี่มันอะไรกันเนี่ย”
ทิวาถามอย่างแปลกใจ ส่วนไม้เมื่อไม่มีเมฆทำให้ไม้เสียงจังหวะในการต่อสู้กระเด็นล้มไปเหมือนกัน พันเทพเอาไม้ตะพดจ่อไม้
“แกก็ฆ่าชั้นเลยสิ แต่คราวนี้เอาให้ตายนะ ไม่งั้นชั้นก็จะเอาแกตายเหมือนกัน” ไม้บอก
“หึหึ ชั้นอยากจะตายด้วยฝีมือเธอจริงๆ”
เมฆจู่โจมพันเทพด้วยความเร็ว ซัดพันเทพเสียจังหวะได้ ไม้ใช้ความเร็วกระแทกร่มของพันเทพย้อนเข้าพันเทพเอง พันเทพเสียการทรงตัวไม้แย่งร่มจากพันเทพมาได้
“พวกแกมันหมาหมู่”
“ทีแกล่ะ มีไม้ตะพดสู้กับคนมือเปล่า ทีนี้ล่ะอยากจะร้องขอชีวิตยังไงก็เชิญ”
“ไม้อย่าทำแบบนั้นเด็ดขาดนะ” เมฆบอก
“พ่อไม่ต้องมาห้าม คนเลวอย่างมัน ยังไงก็เลวอยู่วันยังค่ำ สู้ให้มันตายไปซะตั้งแต่ตอนนี้ ชุมชนเราจะมีความสุขขึ้นอีกเยอะ”
พันเทพหันไปหาทิวา
“ทิวา ช่วยด้วย” ทิวานิ่งเฉยไม่ช่วยพันเทพ “ไอ้ทิวา แกนี่มันเลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ” พันเทพหันไปหาไม้ “เธอฆ่าชั้นไม่ได้หรอกไม้ เพราะเธอจะเสียใจไปตลอดชีวิต”
“ทำไม ทำไมชั้นจะต้องเสียใจที่ฆ่าคนเลวๆ อย่างแกด้วย”
“ก็เพราะชั้น...”
“พันเทพ อย่าพูดนะ” เมฆร้องห้าม แต่พันเทพไม่สนคำพูดเมฆ
“ก็เพราะชั้นคือ...พ่อของเธอยังไงล่ะ”
“โกหก แกอย่ามาโกหกเพื่อเอาตัวรอดหน่อยเลย”
“โกหกหรือไม่ เธอก็ถามไอ้เมฆ คนที่เธอเรียกมันว่าพ่อสิ”
เมฆนิ่ง อึกอัก
“ไม่จริงใช่มั้ยพ่อ พ่อบอกชั้นมาว่าไอ้พันเทพมันแค่โกหก”
เมฆลำบากใจที่จะพูด ได้แต่พยักหน้า
“จริง”
ไม้สับสนมากมือไม้อ่อนไปหมด ทำอะไรไม่ถูก
“ชั้นสลับตัวเธอกับลูกของไอ้เมฆ เพื่อให้เธอได้สืบทอดไม้ตะพดวิญญาณจากไอ้เมฆ เพื่อมาเป็นของชั้นยังไงล่ะทีนี้เข้าใจรึยังล่ะเด็กโง่”
ไม้มืออ่อนไม้ตะพดหลุดจากมือ เขาไม่อยากสู้อะไรกับใครอีกต่อไปแล้ว
“หมายความว่าไง” ทิวาถามขึ้นมา พันเทพลนลานเก็บไม้ตะพด
“ก็หมายความว่าแกไม่ใช่ลูกของชั้นไง แกน่ะเป็นลูกของไอ้เมฆนี่”
“ไม่จริง ไม่จริง เป็นไปไม่ได้”
ทิวาวิ่งเตลิดออกไป ไม้ทรุดอยู่ตรงนั้น ฝนค่อยๆ ตกลงมาแทนความรู้สึกของไม้
หลังจากรู้ความจริงไม้ไม่รู้จะไปไหนจึงตากฝนมาหาอบเชยที่บ้าน ท่าทางของไม้เหมือนกับคนไม่มีที่ไป ไม้ตะโกนเรียกอบเชยแข่งกับสายฝน
“อบเชย อบเชย”
ขณะนั้นอบเชยนั่งเหม่ออยู่ในบ้าน ยังไม่คลายความเศร้าจากเรื่องที่เธอเห็นไม้กับแพรวา อบเชย ได้ยินเสียงแว่วๆ ว่าใครเรียก เสียงไม้ดังแข่งสายฝนเข้ามาในห้อง อบเชยได้ยินก็ปาดน้ำตาแง้มหน้าต่างออกดูก็เห็นไม้ยืนตากฝนอยู่ข้างนอก อบเชยรีบปิดหน้าต่างทำตัวไม่ถูก อบเชยกลับมานั่งบนเตียงไม่สนใจเสียงไม้ ไม้ก็ยังเรียกเธออยู่อย่างนั้น
“อบเชย ชั้นขอคุยกับเธอหน่อยได้มั้ย อบเชย”
อบเชยล้มตัวนอนบนเตียงเอาหมอนปิดหู
“ชั้นไม่อยากฟัง กลับไปเถอะไม้”
อบเชยพูดเบาๆ กับตัวเอง
“อบเชย ถ้าเธอไม่ออกมาชั้นจะนั่งอยู่ตรงนี้นะ รอจนกว่าเธอจะมา”
“บ้ารึไง ยังไงชั้นก็ไม่ออกไปหรอก”
“อบเชย”
ไม้ทรุดตัวลงนั่งคุกเข่า เขาแทบไม่มีเรี่ยวแรงที่จะยืน
ทางด้านทิวา เขาเดินเปียกฝนกลับมาบ้าน ทิวายังไม่เชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“ไม่จริงหรอก เป็นไปไม่ได้ บ้านนี้เป็นของชั้น ทุกอย่างมันคือของชั้น ชั้นไม่ใช่ลูกไอ้คนขับรถขาเป๋นั่น พ่อชั้นยิ่งใหญ่ชั้นกลายเป็นลูกไอ้กระจอกได้ยังไง ไม่จริง”
ทิวายังรับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เช่นกัน
นาฬิกาบอกเวลาตีสองแต่อบเชยยังนอนไม่หลับ ได้แต่กระวนกระวายใจ ขณะที่ไม้ยังนั่งคุกเข่าปล่อยให้สายฝนชะล้างน้ำตาอยู่หน้าบ้านศรนารายณ์ แล้วเขาก็เห็นเท้าของคนนึงก้าวย่ำน้ำแฉะๆ ออกมา ไม้เงยหน้าขึ้นมองอบเชย อบเชยกางร่มมองไม้อย่างไม่เข้าใจนัก ไม้เห็นอบเชยโผเข้ากอดเธอ อบเชยเองก็น้ำตาไหลออกมาเช่นกัน
อบเชยพาไม้เข้ามาในบ้านแล้วยื่นผ้าขนหนูให้ไม้เช็ด เธอเองก็มีผ้าขนหนูสำหรับเช็ดตัวเองเช่นกัน
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมเธอทำแบบนี้” อบเชยถามอย่างแปลกใจ
“ชั้นสับสนไปหมดแล้ว”
“เธอก็น่าจะไปหาแพรวาแฟนเธอนะ”
“อย่าพูดชื่อคนบ้านนั้นให้ชั้นได้ยินตอนนี้จะได้มั้ย”
“เธอน่ะใจร้ายมากนะไม้ เธอทำกับชั้นแบบนั้น แล้วเธอยังมาให้ชั้นเจอหน้าเธออีก เธอคิดว่าชั้นไม่มีหัวใจรึไง” ไม้เงียบ “ก็ได้ ชั้นไม่พูดอะไรก็ได้ แล้วก็จะไม่ถามด้วยว่าเกิดอะไรขึ้น ถ้าเธอจะค้างที่นี่ เธอก็นอนตรงนี้ชั้นไปนอนล่ะ”
ไม้คว้าอบเชยมากอดอีกครั้ง
“เธออยู่กับชั้นก่อนได้มั้ย ชั้นไม่อยากผ่านคืนนี้ไปโดยไม่มีเธอ”

อบเชยค่อนข้างสับสนกับอาการของไม้ แต่เธอก็แพ้ใจตัวเองที่พยายามจะทำแข็งแกร่งทุกที
เช้าวันรุ่งขึ้นเมฆยืนชะเง้อคอรอไม้อยู่หน้าบ้าน

“ไม้ หายไปไหนทั้งคืนเนี่ย...”
แต่แทนที่จะเป็นไม้กลับมา กลับเป็นรถพันเทพที่แล่นมาจอดหน้าบ้าน พันเทพลงจากรถพร้อมกับสมุน เดินตรงมายังเมฆ
“ไม้อยู่ไหน”
“มีอะไรกับไม้”
“ชั้นก็เอารถมารับไม้ ให้ย้ายไปอยู่กับชั้นน่ะสิ”
“นี่แกคิดว่าความรู้สึกคนอื่นมันเปลี่ยนกันง่ายๆ แค่ย้ายบ้านก็จบรึไง แกทิ้งไม้ไปยี่สิบปีให้โตมากับคนอื่น เพียงเพราะแกอยากได้ในสิ่งที่แกต้องการ แล้วแกก็จะให้ทุกคนยอมรับในสิ่งที่แกทำได้ง่ายๆ งั้นเหรอ คนมันมีความรู้สึก มันมีหัวใจนะพันเทพ”
“แล้วแกคิดว่าตลอดเวลายี่สิบปีที่ผ่านมา คนที่รู้ทุกอย่างตลอดเวลาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขรึไง แกต่างหากที่มองว่าชั้นไร้ความรู้สึก ไร้หัวใจ ...อีกอย่างมันก็ดีไม่ใช่เหรอที่แกได้เป็นคนเลี้ยงลูกของทิพย์ให้เติบโตขึ้นมาได้” เมฆถึงกับอึ้งไป “ให้ไม้ไปกับชั้น...แกอยากจะเอาทิวามาอยู่กับแกด้วยก็เชิญ ชั้นไม่ว่าอะไร”
“ชั้นให้ทิวาเป็นคนตัดสินใจ”
ความจริงที่เปิดเผยออกมาทำให้ทิวาไม่ได้นอนทั้งคืนและยังไม่เชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“ชั้นเกลียดมัน เกลียดไอ้ไม้ เกลียดไอ้เป๋นั่น พวกมันทำลายชีวิตชั้น ชั้นจะฆ่ามันซะ มันจะได้ไม่มีใครพูดว่าชั้นเป็นลูกมันอีก”
ทิวากำหมัดแน่น แค้นกับชีวิตของตัวเอง
ขณะนั้นศรนารายณ์เพิ่งกลับเข้าบ้าน ศรนารายณ์เดินเข้ามาในบ้านอย่างสดชื่น
“ได้ไปสอนมวยให้คนอื่นนี่เหมือนได้กลับเป็นหนุ่มอีกครั้งเลย” ศรนารายณ์เดินเข้าบ้านแล้วไปสะดุดบางอย่างเข้า ศรนารายณ์หันไปมอง “อบเชยเอาอะไรมาวางไว้ คนนี่...” ศรนารายณ์เดินไปดูใกล้ๆ “ไม้ เฮ้ย ไม้ มานอนอะไรตรงนี้ หรือว่า...” ศรนารายณ์รีบปลุกไม้ “ไอ้ไม้ ชั้นไม่คิดเลยนะว่าเธอจะเป็นคนแบบนี้ ตื่นมาคุยกันให้รู้เรื่องเลยนะ” ศรนารายณ์เขย่าจนไม้ตื่น สลึมสลือ “เฮ้ย...เธอกับอบเชย...” ศรนารายณ์คิดไปไหนต่อไหน
“คืออะไรครับ”
“ยังมาทำหน้าตายอีก”
“ไม้กว่าจะได้นอนก็เกือบเช้าแล้ว พ่อยังจะมาปลุกไม้อีกเหรอ”
“เกือบเช้า...นี่หมายความว่า” ศรนารายณ์คิดไปไกลกว่าเดิม “โธ่ลูกพ่อ เป็นสาวเป็นแส้ทำไมทำอะไรไม่เห็นแก่พ่อบ้างเลย”
ศรนารายณ์กำหมัดจะต่อยไม้ อบเชยวิ่งออกมาจากในครัวเอาตัวเข้าขวาง ศรนารายณ์จะต่อยก็ชะงัก
“พ่อจะทำอะไรของพ่อน่ะ”
“ก็มัน...”
“ไปกันใหญ่แล้ว ไม้ก็แค่มีเรื่องไม่สบายใจเลยให้ชั้นอยู่เป็นเพื่อนก็แค่นั้น”
“อ้าว...เหรอ”
“แต่มันก็ไม่ควรจริงๆ แหละครับ อบเชยเป็นผู้หญิง เดี๋ยวชาวบ้านจะเอาไปนินทาผมว่าผมขอตัวกลับก่อนดีกว่าครับ”
ไม้ลุกขึ้นจะกลับบ้าน
“ไม้...แต่ถ้าเธอไม่รู้จะไปที่ไหน มาที่นี่ได้นะ”
อบเชยบอก ไม้ยิ้มเศร้าๆ เดินออกจากบ้านไป
“ไม้มีเรื่องอะไรเหรอ” ศรนารายณ์ถามลูกสาว
“ชั้นก็ไม่รู้เหมือนกันพ่อ”
“น่าแปลก ตั้งแต่เด็กมาไม่ว่ามีเรื่องอะไร ไม้ก็ไม่เคยมาขอนอนบ้านเราซักครั้ง ไม้มันห่วงเมฆจะตายหรือว่าทะเลาะกับเมฆ...ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่”
อบเชยคิดตามที่พ่อตนพูด
ไม้เดินผ่านตลาดเห็นชาวบ้านเดินกันขวักไขว่ใช้ชีวิตประจำวันและเห็นป้ายหาเสียงพันเทพ ไม้
หยุดนิ่งยืนมองแววตาไม่อยากเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นชาวบ้านยืนดูรูปพันเทพ จันทร์ ชาญเดินผ่าน
“เอ็งจะไปร้านดูอะไหล่รถใช่มั้ย เดี๋ยวข้าไปซื้อกาแฟกินซักหน่อย”
ชาญบอกกับจันทร์ จันทร์ชี้ให้ชาญมองดูชาวบ้านที่มองรูปพันเทพอยู่
“ใครจะไปเลือกไอ้พันเทพมัน วันๆ ดีแต่ให้พวกมาขูดรีดชาวบ้าน” ชาวบ้านบอก
“บ่นอะไรพันเทพมันเหรอ” จันทร์ถาม
“ก็มันน่ะยังมีหน้ามาบอกอีกว่า ถ้าได้เป็นสจ.จะทำให้ชาวบ้านร่ำรวย”
ชาวบ้านกับจันทร์ ชาญเดินผ่านไป ไม้กำหมัดแน่น ชาญกับจันทร์ ไม่เห็นไม้
“เป็นไปไม่ได้ที่เราจะเป็นลูกไอ้พันเทพ เราไม่มีอะไรเหมือนมันซักนิด ไม่มีเลยจริงๆ เราจะเป็นลูกมันไปได้ยังไง พ่อเราชื่อเมฆ...พ่อเราชื่อเมฆ”
ไม้พยายามจะเชื่อในสิ่งที่ตนอยากเชื่อ
ไม้เดินกลับบ้านขณะนั้นพันเทพยังเจรจากับเมฆเรื่องไม้
“นี่ชั้นมาเจรจา ไม่ได้มาขอร้องแกให้ไม้ไปกับชั้นซะดีๆ ไม่งั้นอย่าหาว่าชั้นไม่เตือน”
“ไม้ไม่อยู่บ้านหรอกพันเทพ”
“นี่แกจะเล่นแง่กับชั้นรึไง”
“ไม้ไม่อยู่บ้านจริงๆ”
พันเทพมองหน้าสมุน พยักหน้าให้ทำการค้น
“ค้นให้ทั่ว…ถ้าเจอไม้ พาไปกับชั้น”
สมุนเข้าค้นบ้านเมฆ
“แกทำชั่วๆ กับไม้มาทั้งชีวิต แกจะให้ไม้มันรักแกเพียงข้ามคืนเพราะแกเป็นพ่อน่ะ ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก”
“ขอบใจที่บอก แต่ชั้นไม่ต้องการคำแนะนำของแก ถ้าขืนพูดอะไรอีกแกตายแน่”
“แกบังคับทุกคนให้เป็นเหมือนแกไม่ได้หรอก”
“ไอ้เมฆ” พันเทพโมโหกับสิ่งที่เมฆพูดซัดเมฆจนหงายลงไปกอง แล้วเหยียบซ้ำ “ชั้นบอกให้แกหุบปากได้ ชีวิตของชั้น ชั้นรู้ว่าทำอะไรอยู่ไม่ต้องมายุ่ง เอาตัวเองให้รอดเถอะ”
พันเทพจะกระทืบซ้ำ ไม้เข้ามาผลักพันเทพกระเด็นออกไป
“แกอย่ามาทำพ่อชั้นนะพันเทพ”
“ไม้…พ่อมารับลูกกลับบ้าน”
“บ้านชั้นคือที่นี่ ชั้นไม่ไปไหนทั้งนั้น”
“ไม้ กลับบ้านเรากันเถอะ”
“มันไม่มีบ้านของเรา มีแต่ชั้นกับแกที่ไม่มีวันเกี่ยวพันทางสายเลือดได้ แกคงเข้าใจอะไรผิดแล้ว”
“ไม้ เธอกำลังโกรธชั้น อยากฆ่าชั้นให้ตายไปพ้นๆ ใช่มั้ย เธอน่ะไม่ยอมรับความจริง”
“หยุดนะอย่ามาพูดแบบนั้นนะ”
“ชั้นพูดความจริง เธอเป็นลูกชั้น เธอต้องยอมรับ”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่”
“กลับบ้านกับพ่อเถอะลูก”
เสียงพันเทพแต่ละคำก้องอยู่ในหัวของไม้และเขาแทบจะทนไม่ได้ไม้คว้ามีดที่วางอยู่บนโต๊ะลุยเข้าหาพันเทพ ไม้ดันพันเทพชิดผนังมีจ่อคอพันเทพ พันเทพไม่สู้แม้แต่น้อย
“แกทำลายชีวิตทุกคน แกตายซะเถอะ ไม่มีแกซักคน…ทุกคนจะมีความสุข”
“ฆ่าพ่อซะ ถ้ามันจะช่วยให้ลูกดีขึ้น” พันเทพยิ้มเหนือกว่า
“อย่าคิดว่าชั้นไม่กล้านะ”
ไม้เงื้อมมือจะแทงคอพันเทพ เมฆสกัดที่ข้อมืออย่างรวดเร็วทำมีดหลุดมือไม้ร่วงไป ไม้หันไปมองเมฆ
“พ่อไม่เคยสอนให้ลูกฆ่าคน” ไม้ชะงักกับคำพูดเมฆ
“เพราะเธอไม่ใช่ลูกมัน เธอเป็นลูกชั้นไง เธอถึงทำแบบนี้ได้” ไม้แทบทรุดกับคำพูดของพันเทพ
“การยอมรับความจริง ไม่ได้ทำให้เรารักกันน้อยลงหรอกลูก” เมฆบอกไม้ทรุดตัวลงกับพื้น น้ำตาพรั่งพรูออกมาให้กับชีวิตตัวเอง

แพรวาเปิดประตูเข้ามาในห้องราตรีด้วยท่าทางเอาเรื่อง
“นี่มันอะไรของเธอเนี่ย เปิดเข้ามาแบบนี้ชั้นตกใจนะ”
“เธอคือคนจัดฉากเรื่องของชั้นกับไม้ ให้คุณไกรเข้าใจผิดใช่มั้ย”
“เธอพูดเรื่องอะไรแพรวา ชั้นไม่เข้าใจ”
“อย่ามาแกล้งไม่รู้เรื่องหน่อยเลยน่า ชั้นรู้ว่าเธอเป็นคนทำทั้งหมด”
“ชั้นจะไปบังคับคนอื่นให้ทำอย่างที่ชั้นต้องการได้ยังไงแพรวา เธอก็พูดไปเรื่อย”
“ชั้นชักจะหมดความอดทนกับเธอแล้วนะ ชั้นไปทำอะไรให้เธอนักหนาทำไมต้องจ้องจะทำลายกันตลอดเวลา”
“ราตรี...คนเป็นฝาแฝดกันน่ะ ถ้าคนนึงไม่มีความสุข อีกคนก็ควรจะไม่มีด้วยสิ จริงมั้ย”
“เห็นแก่ตัว”
“เธอก็เห็นแก่ตัวเหมือนกันนั่นแหละ เอาแต่ความสุขของตัวเอง ไม่ห่วงความสุขของคนอื่น แล้วอย่ามาเที่ยวกล่าวหาคนอื่นแบบนี้โดยไม่มีหลักฐานนะ”
“เธอเอาแต่เรียกร้องราตรี เธอไม่เคยสนใจความรู้สึกของใคร คอยดูเถอะกรรมจะตามเธอทัน”
แพรวาเดินเสียใจออกไปจากห้องราตรี ราตรีพูดไล่หลัง
“ทำอะไรไม่ได้มากกว่านี้รึไง เลยเอากรรมมาขู่ ทุเรศ อ่อนแอ”
ราตรีไม่ยอมรับความผิดที่ตนก่อขึ้นไว้
ขณะนั้นไกรกำลังคุยโทรศัพท์อยู่กับเจ๊กี
“ครับม้า...เรื่องผลการประเมินการทำงานผมกำลังรวบรวมให้อยู่ครับ...ไม่ต้องห่วงครับ ตอนบ่ายๆน่าจะเสร็จ... เดี๋ยวผมจะเข้าไปที่ท่ารถ...ครับม้า”
ไกรคุยโทรศัพท์เสร็จหันกลับมาด้านหลังเห็นแพรวายืนอยู่ ไกรตกใจแต่อารมณ์โกรธของเขามีมากกว่า
“มาที่นี่ทำไม ผมบอกแล้วว่าแม่ผมไม่ชอบหน้าคุณ อยากหาเรื่องให้ผมเดือดร้อนรึไง”
“ชั้นคิดถึงคุณ”
“หึ คิดถึงผม แต่ก็ไปมั่วกับคนอื่น...เอ๊ะ จะเรียกอื่นก็ไม่ถูกสิ ไม้นี่ก็คนกันเอง”
“เรื่องเมื่อวานที่คุณเห็น...มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด”
“คุณมาที่นี่เพื่อจะบอกเรื่องแค่นี้ใช่มั้ย”
“ชั้นกับไม้ไม่มีอะไรกันจริงๆ คุณกำลังเข้าใจผิด”
“คุณคิดว่าผมจะโง่ได้ตลอดไปเหรอ แม่ผมบอกตลอดว่าอย่าไปไว้ใจคนในครอบครัวคุณแต่ผมก็หลงเชื่อว่าคุณคงไม่เป็นเหมือนพ่อคุณ แต่ที่ไหนได้ผมเป็นคนโง่ในสายตาคุณจริงๆ”
“ไม่ใช่เลยนะ ถ้าไม่เชื่อเรียกไม้มาถามก็ได้”
“หึ...คุณคิดว่าผมจะเชื่อลมปากคนอื่นมากกว่าสิ่งที่ผมเห็นเองเหรอ ต้องให้เห็นตอนที่คุณกับไม้กำลังมีอะไรกันพอดี คุณถึงจะยอมรับงั้นเหรอ”
“ไกร...คุณไม่ใช่คนพูดจาแบบนี้”
“ใช่...แต่รู้ไว้เลยว่าคุณทำให้ชีวิตผมมืดลง”
“ชั้นต้องทำยังไงคุณถึงจะหายโกรธ”
“ไม่จำเป็น ไปมีความสุขกับไอ้ไม้ซะให้พอ ผมว่าคุณสองคนเหมาะกันดี คนนึงก็ไม่รู้จักบุญคุณคน อีกคนก็ชอบปั่นหัวคนอื่นไปทั่ว ส่วนผมจะเป็นคนเลวๆ อีกคนที่จะจองล้างจองผลาญคุณทั้งคู่ไม่สิ้นสุดเลยคอยดู”
“ไกร”
“ออกไปจากบ้านผม”
ไกรหันหลังให้แพรวาไม่อยากมองหน้าเธออีก แพรวาโผเข้ากอดไกร
“ไกร ชั้นขอโอกาสที่จะพิสูจน์ว่าเรื่องพวกนั้นไม่ใช่เรื่องจริง ชั้นไม่ใช่คนแบบนั้น”
ไกรแกะมือแพรวาออกจากเขา
“อย่ามาใช้มารยากับผม กลับไปได้แล้ว”
ไกรเดินออกจากห้องโดยไม่สนใจแพรวา แพรวาได้แต่ร้องไห้
หลังจากแพรวากลับไปแล้ว ไกรนั่งที่โต๊ะทำงานถือเอกสารบางอย่าง แววตาเคียดแค้นชิงชังนัก
“ไม้ แพรวา ชั้นจะไม่ยอมให้คนเลวสองคนมีความสุขบนความทุกข์ของชั้นหรอก”
ไกรมองเอกสารในมือ เป็นใบประวัติการทำงานของเมฆ
ขณะนั้นเมฆอยู่ที่ท่ารถบขส.กำลังจัดแจงเตรียมความพร้อมก่อนออกรถ เมฆมีสีหน้าเครียดๆ จันทร์เดินเข้ามาหาเมฆ
“เมื่อวานตอนเย็นลุงเมฆไปไหนมาเหรอ”
“เอ่อ…”
“อยู่ๆ ก็หายไป เจ๊กีถามถึงผมไม่รู้จะตอบว่าไง”
“เอ่อ ไปตรวจร่างกายตามหมอนัดน่ะ”
“น่าจะบอกกันซักหน่อยนะครับ แบบนี้เหมือนกำลังปกปิดอะไรอยู่เลย”
“เออ ขอโทษที พอดีรีบ”
“แต่ปกติลุงเมฆก็บอกทุกครั้งนี่ครับ ทำไมครั้งนี้…” เมฆเดินไปไม่อยากให้จันทร์ถามอะไรมาก จันทร์สงสัยเกี่ยวกับเมฆ “ทำไมต้องทำท่าทางมีพิรุธแบบนั้นด้วยหรือว่าปิดบังอะไรไว้”
จันทร์มองตามเมฆอย่างสงสัย
อบเชยถือขอบขนมปังมาให้อาหารปลาที่ท่าน้ำของวัด แล้วอบเชยก็เห็นแพรวายืนเหม่ออยู่ที่นั่น
อบเชยเดินเลี้ยวกลับทันที แพรวาหันไปเห็นอบเชยรีบเรียกไว้
“อบเชย เดี๋ยวก่อนสิ” อบเชยหยุดทั้งที่ไม่อยากจะพบหน้าและพูดคุยกับแพรวา แพรวามองขนมปังในมืออบเชย “เอามาให้ปลาเหรอ”
“กินเอง เอามากินอวด ยั่วให้ปลามันอยาก” อบเชยประชด แพรวารุ้ว่าอบเชยประชดแต่พยายามพูดดีต่อ
“คงจะได้ผลดีนะ แล้วไปเอามาจากไหนเนี่ยเยอะแยะเลย”
“ชั้นฝึกงานที่เบเกอรี่ แต่คุณคงไม่สนใจที่จะรู้หรอก ชั้นขอตัว”
“เดี๋ยวอบเชย ...เรื่องชั้นกับไม้ที่เธอเห็นน่ะ”
“ไม่ต้องพยายามทำเป็นคนดีกับชั้น”
“เธอต้องเชื่อชั้นนะ ชั้นกับไม้ไม่ได้มีอะไรกันจริงๆ”
“นี่...ไม่ต้องมาอธิบายอะไรกับชั้น มันไม่มีประโยชน์”
“แต่อบเชย เรื่องนี้มันต้องมีคนเข้าใจอะไรถูกซักคน ชั้นไม่อยากเป็นต้นเหตุทำให้ทุกคนรู้สึกแย่”
“ไม่ทันแล้ว แต่ไม่ต้องห่วงหรอกนะชั้นรักไม้มากกว่าที่คุณรัก แล้วชั้นก็จะรักต่อไป ความรักเป็นของชั้น คนอย่างคุณน่ะ ทำลายความรักของชั้นที่มีต่อไม้ไม่ได้หรอก” ก่อนไปอบเชยเดินเอาขอบขนมปังทั้งถุงโปรยให้ปลากิน ปลาแย่งกันกินใหญ่ อบเชยมองปลา “ชั้นชอบทำทาน ชั้นเอาอาหารมาให้ปลาที่นี่ประจำ ได้บุญดี” อบเชยหันมองแพรวา “แต่ทำทานกับคน...คงกุศลแรงน่าดู”

อบเชยเดินจากไป ไม่ใยดีแพรวา แพรวาได้แต่ถอนหายใจ
อีกด้านหนึ่งที่สุสานของวัดทิวายืนอยู่หน้าโกฏิของทิพย์คนที่เขาคิดตลอดว่าคือแม่ของเขา

“มันไม่จริงใช่มั้ยแม่...พ่อโกหก ผมเป็นลูกพ่อกับแม่ใช่มั้ย”
อบเชยเดินผ่านมาทางสุสานเห็นทิวาเข้าพอดี เธอได้ยินสิ่งที่ทิวาพูด
“ทำไมต้องเป็นไอ้ไม้ ที่แย่งทุกอย่างไปจากผม”
อบเชยสงสัยสิ่งที่ทิวาพูด
“หมายความว่าไงน่ะ”
อบเชยพึมพำออกมาแล้วหาที่หลบเพื่อฟังต่อ
“เป็นมันคนเดียวที่ทำให้ผมไม่เหลืออะไร”
ทิวาเศร้าอบเชยมองอย่างสงสัย
“ไม้แย่งอะไรไปจากทิวางั้นเหรอ”
อบเชยพึมพำอย่างแปลกใจ ขณะนั้นทิวานึกบางอย่างได้
“เวตาล ใช่ เวตาลอาจจะช่วยได้”
“เวตาล”
อบเชยพึมพำอย่างตกใจ ทิวารีบเดินออกไปอบเชยแอบสะกดรอยตามไปด้วย
ทิวาจอดรถที่ชายป่าไม่ไกลจากบ้านพันเทพ ทิวาลงจากรถเดินหายเข้าไปในป่า อบเชยค่อยๆ แอบเปิดท้ายรถของทิวาที่ตัวเองแอบซ่อนมาด้วย
อบเชยเดินตามเข้าไปแล้วก็เห็นทิวากำลังคุยกับใครคนหนึ่งอยู่ อบเชยไม่เห็นหน้าเพราะจากมุมที่เธอแอบอยู่ต้นไม้บังคนที่ทิวาคุยด้วยไว้
“อะไรวะ เห็นก็ไม่เห็น เสียงพูดก็ไม่ได้ยินอีก”
อบเชยได้แต่แอบอยู่ตรงนั้น ทำอะไรไม่ได้
ส่วนจันทร์เขานึกสงสัยเมฆจึงแอบตามมาดู เมฆเดินเข้าห้องน้ำไปโดยแขวนกระเป๋าของตนไว้หน้าห้องน้ำ จันทร์รี่เข้าไปค้นดูในกระเป๋าเจอซองเอกสารเกี่ยวกับดีเอ็นเอที่ได้จากโรงพยาบาลของเมฆ จันทร์เปิดดู
“นี่มันอะไรกันวะเนี่ย ...ใบอะไร”
จันทร์ไล่ไปอ่านจนถึงผลตรวจที่ว่า เมฆกับเส้นผมของเพศชายที่ส่งไปให้ตรวจ มีความเกี่ยวข้องกันโดยสายเลือด
“นี่มันผลตรวจดีเอ็นเอนี่...ของลุงเมฆกับไม้เหรอ...ถ้าของไอ้ไม้ทำไมไม่ระบุชื่อทำไมต้องเป็นเส้นผมของเพศชาย ของใครกัน?”
เสียงกุกกักจะเปิดประตูห้องน้ำ จันทร์รีบเอาซองยัดเข้ากระเป๋าเมฆเหมือนเดิมทันทีเมฆเปิดออกมาเจอจันทร์
“เข้าไปตั้งนาน ชั้นรอจนฉี่จะราดอยู่แล้ว”
จันทร์รีบทำท่าทางว่าปวดฉี่วิ่งเข้าไปห้องน้ำ เมฆมองตามไม่ได้สงสัยอะไร
ระหว่างอยู่ในห้องน้ำจันทร์นึกถึงคำพูดเจ๊กีที่เคยพูดว่ามีเด็ก 3 คนเกิดวันเดียวกันแล้วประวัติทิวาก็เคยไปอยู่ในบ้านไม้
“หรือผลตรวจนั่นอาจเป็นของลุงเมฆกับไอ้ทิวา”
จันทร์รู้สึกได้ถึงเรื่องใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น
ส่วนที่ชายป่าอบเชยยังแอบอยู่ที่เดิมมองเห็นทิวากำลังเดินออกมาเธอหาที่แอบที่มิดชิดกว่าเดิม มองทิวาเดินผ่านไป พอทิวาออกไปแล้วอบเชยก็เดินไปบริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่จุดที่ทิวายืนเมื่อครู่ มองหาสิ่งผิดปกติ
“ก็ไม่เห็นจะมีอะไร”
อบเชยจะเดินไปเท้าก็ไปเหยียบบางอย่าง เป็นซากกระรอกที่ตายเธอตกใจ มองไปทั่วๆ บริเวณแล้วอบเชยก็เห็นซากหนู ซากกระรอก กระแต กระต่าย ตายเกลื่อนไปหมด
“นี่มันอะไรกันเนี่ย” ยังไม่ทันไรซากกระรอกก็หล่นมาตายจากต้นไม้ใกล้ๆ เธอ อบเชยตกใจ
“สัตว์พวกนี้เป็นอะไรตาย”
เสียงกรอบแกรบดังอยู่บนต้นไม้ เหมือนมีตัวอะไรเดินไปเดินมามองเธออยู่ อบเชยรู้สึกกลัว เธอค่อยๆ แหงนหน้าไปมองก็ไม่มีอะไร แต่พออบเชยมองไประดับปกติก็เห็นบางอย่างแว้บหายไปหลังต้นไม้
“นั่นใครน่ะ ออกมานะ”
เสียงเหยียบเศษใบไม้ วิ่งไปทางโน้นที ทางนี้ทีรอบตัวอบเชย
“เลิกปั่นหัวชั้นซะที แน่จริงก็ออกมาเผชิญหน้ากันตัวต่อตัวเลย”
เสียงกรอบแกรบของใบไม้หยุดลง มีสิ่งมีชีวิตบางอย่างกำลังเดินมาที่ด้านหลังของอบเชย อบเชยรู้สึกตัว รวบรวมความกล้าค่อยๆ หันไป
“เจ้ามาตามหาข้ารึ”
อบเชยตกใจถึงกับผงะ
“แกเองเหรอ...เวตาล”
“เด็กสาวคนนี้ คนที่ทิวา เพื่อนข้าหลงใหลสินะ”
“แกรู้ แปลว่าแกอยู่ในห้องนั้นด้วย ตอนที่ไอ้ทิวาจับชั้นไปจริงๆ สินะ”
“ฉลาด หน้าตาสะสวย รู้มั้ย ข้าห่างเหินกับสตรีมานานเท่าไหร่แล้ว”
“เวตาล...ไม่เห็นเหมือนในนิทานที่เคยอ่านเลยท่าทางแกน่ารังเกียจขยะแขยงกว่าในนิทานตั้งเยอะ”
เวตาลหัวเราะ
“ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องของข้าที่คนเอาไปจินตนาการเป็นคุ้งเป็นแคว เล่าต่อกันไปจนแทบจะไม่เหลือความจริง”
“ชั้นไม่สนหรอก ว่าเวตาลในนิทานหรือแกจะต่างกันมากน้อยแค่ไหน เรื่องเดียวที่ชั้นสนก็คือ...ไอ้ทิวามาคุยอะไรกับแก”
“สตรีก็ยังเหมือนเดิม มักอยากรู้อยากเห็นในเรื่องของคนอื่น”
“นี่แก...ถ้าทิวามันไม่พูดถึงไม้ ชั้นไม่สนใจหรอกเรื่องของพวกแกน่ะ ไอ้ทิวาให้แกไปทำร้ายไม้ใช่มั้ย”
“มีเหตุผลอะไรที่ข้าต้องบอกเจ้า”
“คนอย่างแก จะซื่อสัตย์ต่อทิวาจริงๆ เหรอ ชั้นว่าไม่ใช่หรอก แกกำลังหวังผลอะไรบางอย่างจากไอ้ทิวาหน้าโง่นั่นต่างหาก” เวตาลหัวเราะ
“เจ้านี่ช่างมีวิจารณญาณในการคาดเดา”
“ถ้างั้น แกก็บอกมาสิว่าไอ้ทิวาให้แกไปทำอะไร เพราะถ้าแกไม่ได้หวังดีต่อไอ้ทิวาจริงๆ แกจะเก็บความลับของไอ้ทิวาไว้ทำไม”
“ข้าชอบเจ้า เจ้าเป็นสตรีที่ต่างจากสตรีที่ข้าเคยพบ เอาอย่างนี้สิ...เจ้าพาข้าไปหาเจ้าคนที่ชื่อไม้นั่น ถ้าเจ้าพาข้าไปพบชายคนนั้นโดยระหว่างทางไม่ปริปากพูดเลยซักคำ ข้าจะบอกทุกอย่างที่เจ้าอยากรู้ต่อหน้าชายคนนั้นด้วย”
“แกคิดจะเล่นเกมกับชั้น เหมือนในนิทานเวตาลอย่างนั้นน่ะเหรอ”
“ถ้าเจ้าทำไม่ได้ เจ้าต้องยกวิญญาณของเจ้าให้กับข้าแบบนี้ดีมั้ยล่ะ”
“ถ้าแกชนะ แกได้วิญญาณชั้น แต่ถ้าชั้นชนะ ชั้นได้แค่รู้ว่าแกกับไอ้ทิวาวางแผนอะไรกัน มันไม่เอาเปรียบกันไปหน่อยเหรอ”
“แล้วเจ้าอยากได้อะไรแลกเปลี่ยนกับวิญญาณเจ้าล่ะ”
“ชั้นขอแค่ ถ้าชั้นชนะ ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น แกห้ามทำร้ายไม้แม้แต่ปลายเล็บ”
“คุ้มแล้วเหรอ ที่เจ้าเอาวิญญาณของเจ้ามาวางเดิมพันเพื่อคนอื่นน่ะ”
“ไม้คือทุกอย่างของชั้นไม่ใช่คนอื่น”
“ที่มนุษย์พูดกันว่าความรัก...ทำให้คนตาบอดมันเป็นแบบนี้เองสินะ ตกลง ข้ายอมทำตามข้อเสนอเจ้า ถ้าตลอดทางที่เจ้าพาข้าไปหาเจ้าไม้ เจ้าเอ่ยปากพูดแม้แต่คำเดียว วิญญาณของเจ้าจะตกเป็นของข้า”
“แต่ถ้าชั้นปิดปากสนิทจนแกเจอไม้ได้ละก็ แกไม่มีสิทธิ์ทำอะไรไม้ ไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้น” อบเชยกับเวตาลจ้องหน้ากัน ไม่มีใครยอมใคร “ชั้นจะกลับมาอีกที แกอย่าเพิ่งหนีไปไหนล่ะ”
อบเชยเดินออกไปเวตาลมองตาม
“หากเจ้าเอาชนะข้าได้จริง ข้าก็จะลืมเรื่องที่ข้าตกลงกับไอ้ทิวาว่าจะช่วยฆ่าไอ้ไม้นั่นแต่การที่ข้าจะชิงไม้ตะพดวิญญาณมา มันก็อยู่นอกเหนือข้อตกลงนะ”
เวตาลบอกด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์
ระหว่างนั้นที่บ่านเมฆไม้เก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าจนหมด ไม้ถือกระเป๋าเตรียมตัวออกจากบ้าน ไม้
มองดูบ้านเหงาๆ มองดูรูปเขาวัยเด็กที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ ไม้เดินไปที่ที่นอนของเมฆแล้ววางชุดลูกผู้ชายที่ถูกพับอย่างเรียบร้อย ไม้ถอยออกมาแล้วมองมันอย่างอาลัย
อีกด้านหนึ่งขณะนั้นเมฆเดินเข้ามาในห้องทำงานของไกรด้วยหน้าตาอมทุกข์ ไกรมองเมฆด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป
“สวัสดีครับคุณไกร”
“เชิญนั่ง”
“คุณไกรมีเรื่องอะไรจะคุยกับผมเหรอครับ”
“หายดีรึยังล่ะ สีหน้ายังดูแย่ๆ อยู่นะ”
“ดีขึ้นมากแล้วครับ”
“คือยังงี้ ผมเพิ่งประเมินการทำงานของปีนี้ของคนขับรถแล้วกระเป๋ารถทุกคน ผมเห็นว่าหลายเดือนที่ผ่านมานี้คุณลางานตลอดเลย”
“ก็มีปัญหาหลายเรื่องน่ะครับผมต้องขอโทษคุณไกรด้วย”
“คือผมมาคิดๆ ดูแล้ว คนขับรถเนี่ยต้องเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูง เพราะต้องรับผิดชอบชีวิตผู้โดยสารในทุกๆ วัน แต่ไอ้การลางานของคุณที่ผ่านมามันไม่ค่อยแสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบที่ผมพูดถึงเท่าไหร่นัก มันสร้างปัญหาให้ทางเราต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายในการจ้างคนมาแทน เพราะลูกคุณก็ไม่ใช่ว่าจะมาทำงานแทนคุณทุกวัน ถ้าเรายังจ้างคุณต่อไปเนี่ย เราก็ไม่รู้ว่าคุณจะมาป่วยอีกเมื่อไหร่ หรือจะป่วยตอนขับรถมั้ย มันเหมือนว่าภาระจะตกอยู่ที่เราอย่างเดียว คุณเข้าใจใช่มั้ย”
“ครับ”
“ทางเราจะเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรถบขส.ใหม่ เราจึงอยากได้คนที่เหมาะกับงานมากกว่าคุณ ผมจึงอยากให้คุณไปหาอะไรอย่างอื่นที่เหมาะสมกับสมรรถภาพร่างกายของคุณจะดีกว่า”
เมฆก้มหน้ายอมรับ
“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ”
“คุณออกได้เลยนะ ผมจ้างคนมาแทนคุณแล้ว” ไกรบอกพร้อมกับยื่นซองให้เมฆ “นี่คือเงินชดเชยที่คุณควรจะได้”
“ผมสร้างปัญหาไว้เยอะ คงไม่กล้ารับหรอกครับ...เดี๋ยวผมขอตัวไปเก็บของ”
เมฆก้มหน้าเศร้าๆ เดินออกไป ไกรมองตามอย่างเห็นใจ
“ที่ลุงต้องมารับเคราะห์แบบนี้ เพราะคุณโชคร้ายที่มีลูกชายแบบไม้”
ไกรพึมพำออกมา
เมฆขึ้นมาเดินดูรถตนเองเป็นครั้งสุดท้าย เขาค่อยๆ เก็บของที่วางไว้ประจำทั้งผ้าเช็ดตัวหรือรูปไม้ที่ติดอยู่ที่รถ เมฆเดินไปหยิบคันเกียร์เดิมที่ใต้เบาะยาวจะมาเปลี่ยนกับคันเกียร์ดัดแปลงที่เป็นไม้ตะพด เมฆดึงเกียร์ไม้ตะพดขึ้นมา ไกรมาเห็นพอดี
“นั่นทำอะไรน่ะ”
“เอ่อ...คือ...”
“เอาแต่ของส่วนตัวของตัวเองกับไป อย่ายุ่งอะไรกับสมบัติของบริษัท”
ไกรยืนจ้องเมฆไม่วางตา เมฆจึงต้องทิ้งไม้ตะพดไว้ที่คันเกียร์รถแล้วเดินลงจากรถไป ไกรมองตามเมฆไปอย่างเห็นใจ
ไม้เดินถือกระเป๋าออกมาจากบ้าน จันทร์มาหาที่บ้านพอดี
“เฮ้ยไม้...นั่นแกจะไปไหน”
ไม้อึกอัก ไม่รู้จะตอบจันทร์ว่าอะไรดี
ไม้กับจันทร์มาคุยกันที่ท่าน้ำของวัด ไม้มีสีหน้าไม่สบายใจเหม่อมองออกไปไกล จันทร์มองไม้อย่างเป็นห่วง
“ตกลงว่า เรื่องที่ชั้นเดามันเป็นเรื่องจริงใช่มั้ย”
“แกอย่าเพิ่งพูดกับใครไปนะ ชั้นไม่อยากให้มันเป็นเรื่องใหญ่”
“ไม่ต้องห่วงน่า แค่นี้มันก็เป็นเรื่องใหญ่พอแล้ว”
“ขอบใจนะ ชั้นไม่รู้ต้องทำหน้ายังไงเวลาเจอหน้าพ่อ”
“แล้วแกจะไปอยู่ไหน”
“ชั้นก็ยังไม่รู้”
“แกปฏิเสธที่จะไม่รู้สึกอะไรกับความผูกพันไม่ได้หรอกนะไม้” ไม้นิ่ง ใจเห็นด้วยกับจันทร์ “แกหนีให้ตายก็หนีความรู้สึกตัวเองไม่พ้นหรอก ชั้นไม่รู้ว่าชั้นควรจะบอกแกดีรึเปล่านะ แต่วันนี้คุณไกรไล่ลุงเมฆออกว่ะ”
“ห๊า อะไรนะ เรื่องอะไร”
“ชั้นก็ไม่รู้ แต่ลุงเมฆแกเก็บของออกมาหมดแล้ว” ไม้ร้อนใจ รีบไปหาไกรทันที “แกจะหนีจากลุงเมฆไปได้ยังไงไอ้ไม้”
จันทร์ตามไม้ไป
ไม้เปิดประตูพรวดเข้ามาในห้องทำงานไกร ไกรเงยหน้ามองนิ่งๆ ไม่สนใจไม้นัก
“คุณไกรไล่พ่อผมออกทำไม”
“เราต้องการคนที่มีประสิทธิภาพมากกว่านั้น”
“พ่อผมทำงานไม่ดีตรงไหน พ่อทำงานมาเป็นสิบๆ ปี ไม่เคยมีปัญหา”
“ก็ทำงานกับชั้นแล้วมันมีปัญหานี่”
“ไม่จริง ไม่เกี่ยวกับพ่อหรอก คุณไกรโกรธผมกับคุณแพรวาใช่มั้ย ถ้าเป็นเรื่องนั้นเป็นเรื่องเข้าใจผิด ผมกับคุณแพรวาไม่มีอะไรกัน”
“หยุดพูดถึงเรื่องนั้นซักที ชั้นไม่อยากอารมณ์เสีย”
“ไม่พูดไม่ได้หรอกก็คุณเข้าใจผิด มันมีคนบอกให้ผมไปช่วยคุณแพรวาที่นั่น ผมก็ไปช่วย”
“เลิกแต่งเรื่องโกหกคนอื่นซักที เสียแรงที่ชั้นไว้ใจเธอมาตลอดนะไม้ เธออยากรู้อะไรชั้นก็สอนให้ ให้โอกาสเธอได้ทำนั่นทำนี่ เธอทำกับชั้นแบบนี้คิดว่าชั้นจะให้อภัยเธอรึไง”
“แต่ผมไม่ได้ทำอะไร และผมก็ไม่มีทางทำอะไรคุณแพรวาแบบนั้นด้วยที่ผมเคยบอกคุณว่าผมอดห่วงคุณแพรวาไม่ได้ ผมก็เพิ่งรู้ความจริงเหมือนกันว่าที่ผมรู้สึกแบบนั้น เพราะจริงๆ แล้วคุณแพรวาเป็นน้อง...”
“หยุดพูดซะที ชั้นไม่อยากฟังคำแก้ตัวอะไรทั้งนั้นออกไปจากห้องชั้น”
“คุณไกรต้องฟัง คุณอยากจะเกลียดผมยังไงก็ตามใจ ผมไม่แก้ตัวก็ได้แต่พ่อผมไม่เกี่ยว คุณต้องให้พ่อกลับมาทำงาน”
“ออกไป ไม่งั้นชั้นจะเรียกคนมาไล่เธอ”
จันทร์ตามไม้เข้ามา
“ไปก่อนเถอะไม้ ไปก่อน”
จันทร์ลากไม้ออกไป ไกรหงุดหงิดมาก
คนในท่ารถชะเง้อดูกันใหญ่ จากเสียงทะเลาะของไกรกับไม้ที่ดังออกมา
“ไอ้ไม้ แกจะไปขึ้นเสียงกับเค้าได้ยังไงมันไม่มีอะไรดีขึ้นหรอก” จันทร์บอก
“แต่เค้าทำไม่ถูก”
“ไม่มีใครสนใครคนถูกคนผิดกันแล้ว ลุงเมฆแกยอมออกไปแล้วคนที่แกควรจะอยู่ด้วยที่สุดเวลานี้ก็คือลุงเมฆ ไม่ใช่มาเที่ยวทะเลาะกับใครแบบนี้”
ไม้สงบลงกับคำพูดของจันทร์
ค่ำวันนั้นขณะที่ศรนารายณ์กำลังชกลมราวกับกำลังจะขึ้นชกอีกครั้งในบ้าน อบเชยเดินไปเดินมาหาบางสิ่ง ศรนารายณ์มองตาม
“หาอะไรน่ะอบเชย”
“เชือก พ่อเห็นเชือกมัดใหญ่ๆ มั้ย ชั้นเคยเห็นว่าบ้านเรามีนะ”
“จะเอาไปทำอะไร”
“ล่าสัตว์” ศรนารายณ์หัวเราะ
“แกคิดว่าแกเป็นคาวบอยรึไง ใช้บ่วงบาศคล้องกวางมาซักตัวดีมั้ยวันนี้”
“เอาน่า เห็นมั่งมั้ยล่ะเชือกน่ะ”
“หลังบ้านโน่นละมั้ง” อบเชยรีบเดินออกไปดู “ไอ้ลูกคนนี้มันชักจะแปลกขึ้นทุกวัน”
อบเชยเดินมารื้อที่หลังบ้านเจอเชือกม้วนหนึ่ง อบเชยดีใจ หยิบไฟฉายที่เตรียมไว้ส่องไปมา
“คราวนี้ล่ะ เวตาลก็เวตาลเถอะ หนีชั้นไม่พ้นหรอก”
ศรนารายณ์เดินเข้ามา
“บ่นอะไรพึมพำ”
“คอยดูนะพ่อ ชั้นจะไม่ปล่อยให้ไม้ต้องถูกไอ้ทิวารังแกอีกแล้ว ชั้นต้องรู้แผนการชั่วๆ ของไอ้ทิวาให้ได้”
“ด้วยเชือกเนี่ยเหรอ...ไหวมั้ยลูกเอ้ย”

ศรนารายณ์ห่วงๆ อบเชย ในขณะที่อบเชยมีแววตามุ่งมั่น





Create Date : 24 มีนาคม 2555
Last Update : 24 มีนาคม 2555 2:11:06 น.
Counter : 642 Pageviews.

0 comment
ลูกผู้ชายไม้ตะพด ตอนที่ 11 (ต่อ)




ส่วนที่ท่ารถบขส.เวลานั้น จันทร์กำลังซ่อมรถอยู่ เจ๊กีเดินตรงเข้ามาหาจันทร์

“อาจันทร์ ลื้อมานี่หน่อยซิ”
“มีอะไรเหรอเจ๊”
“อั๊ววานให้ลื้อช่วยถ่ายเอกสารสำเนาบัตรประชาชนอาไกร แล้วแฟ็กซ์ไปให้อั๊วหน่อยสิ อั๊วตาไม่ค่อยดี อาเลขาก็ไม่อยู่”
“ได้ครับเจ๊” จันทร์เดินไปรับบัตรประชาชนจากมือเจ๊กี “เดี๋ยวชั้นจัดการให้เรียบร้อยเลยจ๊ะ”
จันทร์เอาบัตรประชาชนไกรไปซีร็อก จึงเห็นวันเดือนปีเกิดและกรุ๊ปเลือดของไกร
“นี่มันวันเดียวกับทิวา และกรุ๊ปเลือด...”
ที่ช่องของกรุ๊ปเลือด ถูกขีดไว้
“ทำอะไรน่ะจันทร์” ไม้เดินเข้ามาถาม
“ถ่ายเอกสารให้เจ๊กี ไม่มีอะไร ไม่ต้องช่วยหรอก”
“เออ แกรู้มั้ยว่าอบเชยมีเรื่องไม่สบายใจอะไร”
“ไม่รู้ว่ะ ไม่เห็นมาปรึกษาเรื่องอะไรเลย”
“อืม เอาเอกสารมานี่มะ เดี๋ยวชั้นเดินไปให้เจ๊กีเอง”
จันทร์รีบเอาเอกสารยัดใส่แฟ้มไม่ให้ไม้เห็น
“อย่ายุ่งไม่เข้าเรื่อง ไปเคลียร์เรื่องตัวเองให้มันเรียบร้อยก่อนไป”
แล้วไกรก็เดินเข้ามาหาไม้
“ไม้ ชั้นมีเรื่องอยากจะคุยกับเธอ”
“เรื่องอะไรครับ”
ไกรมองจันทร์
“ชั้นขอคุยเป็นการส่วนตัวหน่อย ไปที่ห้องทำงานชั้นละกัน”
“ได้ครับ”
ไกรเดินนำออกไป ไม้เดินตาม
ไม้กับไกรมานั่งคุยกันที่โต๊ะทำงานของไกร
“ขอโทษที ที่ต้องเรียกมาคุยกันแบบนี้”
“คุณไกรมีเรื่องอะไรเหรอครับ”
“เรื่องแพรวา”
“ทำไมครับ คุณแพรวาเป็นอะไรครับ”
“เปล่า ไม่มีใครเป็นอะไรทั้งนั้น มีแต่เรื่องที่อยากจะขอร้อง”
“ขอร้อง”
“ชั้นเคยช่วยเธอไว้ใช่มั้ยไม้”
“คุณไกรมีบุญคุณกับผมมาก ช่วยสอนการต่อสู้ให้ผมด้วย”
“งั้นก็ดี ชั้นอยากจะใช้บุญคุณทั้งหมดที่ทำให้เธอ ขอร้องเธอบางเรื่อง”
“ครับ”
“ชั้นอยากจะขอให้เธอ อย่ายุ่งเกี่ยวกับแพรวาอีกจะได้มั้ย”
“กับคุณแพรวา”
“ใช่ ชั้นไม่สบายใจนักที่เห็นเธออยู่ใกล้กับแพรวา”
“โธ่นึกว่าเรื่องอะไร แต่ผมกับคุณแพรวาไม่ได้มีอะไรนะครับ”
“รับปากชั้น”
“ได้ครับ”
“เป็นผู้ชาย พูดแล้วไม่คืนคำ”
“ครับ”
ไม้ตอบรับอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก ไกรยิ้มแต่ยังไม่ค่อยไว้ใจไม้นัก
เมื่อกลับมาบ้านพันเทพเดินเข้าไปในห้องทำงาน รื้อเอกสารต่างๆ ดู ทิวาเดินตามเข้ามา
“หายดีแล้วเหรอครับพ่อ”
“อืม”
“แปลกดีนะครับ คนเกือบจะตายแล้วแท้ๆ”
พันเทพชะงักเงยหน้ามองทิวา
“นี่ต้องการอะไรเนี่ย มากวนเวลางานชั้นแบบนี้”
“ผมไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรเลยเหรอครับ ก็ในเมื่อผมเป็นลูก”
“แล้วคนอื่นเค้ามาวุ่นวายกับชั้นมั้ยล่ะ”
“หึหึ พ่อไม่เคยมองเห็นผมเป็นลูกเลยจริงๆ”
พันเทพมองทิวาอย่างระอา
“นี่ต้องการอะไรกันแน่ ถึงมาพูดจาแบบนี้กับชั้น” ทิวามองไม้ตะพด
“ผมเป็นคนให้ชีวิตพ่ออีกครั้ง ผมเลยอยากจะใช้สิทธิ์ขออะไรพ่อบ้าง” พันเทพชะงัก หยุดหาเอกสาร “ผมขอร่มคันนั้นได้มั้ยครับ”
“จะไม่ขอมากไปหน่อยเหรอทิวา”
“ผมไม่ต้องการอย่างอื่น”
“ได้...ถ้าอยากได้ ก็เข้ามาเอา”
ทิวากำหมัด ไม่เกรงใจ พันเทพถอยหนึ่งก้าวตั้งรับ แล้วทิวาก็บุกเข้าไปต่อสู้กับพันเทพ พันเทพใช้ร่มเป็นอาวุธ แต่สู้ได้ไม่เท่าไหร่ทิวาก็กระเด็นออกมา
“แกกำลังทำชั้นเสียเวลาทิวา”
“ถึงพ่อไม่มีไม้ตะพด พ่อก็เก่งกว่าผมอยู่แล้ว พ่อก็ยังจะใช้มันอีก”
“ถ้าชั้นวางมัน แกไม่ใช่เหรอที่จะแย่งมันไป”
“ผมไม่มีทางสู้พ่อได้หรอก”
“ถ้ารู้ตัวก็เลิกความคิดที่จะแย่งไม้ตะพดไปจากชั้นซะ”
ทิวาบุกเข้าโจมตีพันเทพอีกรอบ รอบนี้เค้ากระเด็นออกมาเลือดกลบปาก หนักกว่าเก่า
“พ่อเก่งเรื่องการต่อสู้มาก แต่พ่อก็เลือกที่จะไม่สอนผม ให้ผมไปเรียนกับศรนารายณ์แทน เพราะพ่อกลัวว่าจะมีวันนี้ใช่มั้ย”
“ชั้นผิดรึไงที่เป็นคนรอบคอบน่ะ”
ทิวาโจมตีพันเทพเข้าอีกที คราวนี้พันเทพใช้ไม้ตะพดฟาดทิวาอย่างแรงหลายที จนทิวากระอักเลือด หัวกระแทกพื้นสลบในกองเลือด พันเทพมองทิวาอย่างเลือดเย็น
“ชั้นพยายามทำให้มันดีแล้ว เธอบังคับให้ชั้นทำแบบนี้เองทิวา”
ระหว่างนั้นไม้พาเมฆมาโรงพยาบาลตามที่หมอนัด
“ก็คนมันไม่ได้เป็นอะไรแล้ว จะมาให้เสียเงินทำไม”
เมฆบ่นเมื่อไม้พามาหน้าห้องตรวจ
“หมอเค้านัดไว้ ให้เค้าตรวจซักหน่อยก็ดีพ่อ เรามองไม่เห็นว่าอวัยวะภายในมันเป็นยังไงบ้าง”
พยาบาลเดินมาหาเมฆ
“เดี๋ยวเชิญคุณเมฆเข้าตรวจด้านในเลยนะคะ”
“ครับ”
อีกทางหนึ่ง พันเทพพาทิวาที่จมกองเลือดมาโรงพยาบาล เดินสวนกับไม้พอดี ไม้มองทิวา พันเทพ พันเทพเองก็มองกลับมา
ทิวาถูกนำตัวเข้าห้องฉุกเฉิน พยาบาลห้องฉุกเฉินเดินออกมาบอกพยาบาลด้านนอก ไม้กับเมฆเดินมาพอดี
“เดี๋ยวรีบประกาศออกไปนะ ว่ามีคนไข้ต้องการเลือดกรุ๊ปโอด่วนที่สุด”
เมฆมองพยาบาลที่วิ่งวุ่นไปมา อีกคนเดินเข้าไปคุยกับพันเทพที่นั่งอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน
“นั่นพันเทพนี่ ใครเป็นอะไรกันน่ะไม้” เมฆถามไม้
“ทิวาเหมือนจะโดนอะไรซักอย่าง”
“ทิวาน่ะเหรอ” เมฆไปหาพันเทพทันที “ทิวาเป็นอะไร ทิวาเป็นอะไร”
“ก็แค่หาเรื่องใส่ตัว”
“แกเป็นคนทำทิวาใช่มั้ย ใช่มั้ย”
พันเทพนิ่ง ไม่ตอบอะไร พยาบาลวิ่งวุ่นมาคุยกันไม่ไกลจากเมฆ
“ตกลงมีคนสนใจจะบริจาคเลือดมั่งมั้ย”
“ผมสนใจจะบริจาคเลือดครับ” เมฆบอก
“พ่อ...จะดีเหรอ” ไม้ถามอย่างเป็นห่วง
“เลือดคุณกรุ๊ปอะไรคะ เราต้องการกรุ๊ปโอด่วนเลยค่ะ”
“ผมนี่แหละครับกรุ๊ปโอ”
“งั้นเชิญทางนี้เลยค่ะ”
เมฆเดินเข้าห้องฉุกเฉินไปพร้อมกับพยาบาล ทิ้งไม้ไว้กับพันเทพ ไม้ยังงงๆ
“หึหึ ดูพ่อเธอจะเป็นเดือดเป็นร้อนกับไอ้ทิวาจังเลยทั้งที่ทิวาก็สร้างเรื่องกับพ่อเธอไว้เต็มไปหมด
เธอกำลังคิดแบบนี้อยู่ใช่มั้ยไม้”
“ชั้นจะคิดยังไงก็เรื่องของชั้น”
“เธอไม่สงสัยบ้างเหรอ ว่าทำไม ทิวาลูกของชั้นบาดเจ็บ ชั้นจึงได้แต่นั่งดูอยู่เฉยๆ”
“เรื่องนั่นไม่น่าแปลกใจเลย เพราะแกมันเลือดเย็นอยู่แล้วพันเทพ”
“หึหึ ชั้นก็อยากจะช่วยมันหรอกนะ แต่ทำไงได้ เลือดในตัวมันกับเลือดในตัวชั้นมันเข้ากันไม่ได้ แต่มันดันไปเข้ากันได้กับไอ้เมฆ พ่อของเธอ”
“คนกรุ๊ปเลือดตรงกันมีถมเถ”
“ชั้นพยายามยื่นความจริงให้เธอ ถ้าเธอยังเพิกเฉยต่อมันแบบนี้ มันก็คงต้องแล้วแต่เธอ”
ไม้ครุ่นคิดสิ่งที่พันเทพพูด
ที่ท่ารถบขส.จันทร์เอาเอกสารให้เจ๊กี เจ๊กีรับไป จันทร์มองรูปตอนเด็กๆ ของไกรที่ตั้งบนโต๊ะเจ๊กี
“เจ๊กี...ตอนคลอดคุณไกรนี่เป็นยังไงเหรอ” จันทร์ตัดสินใจถามออกมา
“ลื้อถามอะไรของลื้อ ย้อนนานไปมั้ย”
“พอดีผมเห็นรูปคุณไกรตอนเด็กๆ ก็เลยลองถามดูเล่นๆ”
“อาไกรอีคลอดไม่ยากหรอก อั๊วยังจำได้ วันนั้นอั๊วกลัวมาก เพราะมีคนที่คลอดพร้อมๆ กัน หลายคน”
“มีทางมั้ยที่คุณไกรจะไปสลับกับลูกคนอื่น” จันทร์พึมพำออกมาคนเดียว
“ลื้อบ่นอะไรของลื้อน่ะ”
“เจ๊รู้มั้ย วันนั้นมีใครคลอดมั่ง”
“ทำไมจะไม่รู้ วันนั้นน่ะมีเด็กคลอดด้วยกัน 3 คน คนแรกที่คลอดก่อนใครเลยก็คือลูกของไอ้พันเทพ”
“ไอ้ทิวา”
“ต่อมาก็คืออาไม้ ที่ต้องเสียแม่ไป แล้วสุดท้ายก็คืออาไกร ลูกชายอั๊ว”
“ไม้กับไอ้ทิวาเหรอ ชักกลิ่นตุๆ แล้วสิ”
จันทร์พึมพำออกมา
ที่โรงพยาบาล ขณะนั้นไม้กับพันเทพยังอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน ไม้หันหลังให้พันเทพ ไม่อยากมองหน้า พันเทพแตะบ่าไม้
“ไม้”
“อย่ามาแตะตัวชั้นนะ”
“ชั้นเห็นแววบางอย่างในตัวเธอนะ ถ้าเธอมาอยู่กับชั้น ชั้นจะสนับสนุนให้เธอยิ่งใหญ่กว่าใครๆ”
“แกกำลังพูดสิ่งที่น่ารังเกียจที่สุดที่ชั้นเคยได้ยินมา แกไม่รู้ตัวเลยรึไงว่าสิ่งที่แกกำลังชวนชั้นไปนั่นมันคือสิ่งที่ตกต่ำมาก”
“คนเราจะมีจิตใจสูงส่งไปเพื่ออะไร ทำเพื่อคนอื่น...ได้อะไรห๊ะไม้ เธอต้องการเพียงคำชมเล็กๆ น้อยๆ ที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปแค่นั้นเหรอ อำนาจต่างหากที่มันมีตัวตน ความเกรงกลัว การยอมรับนับถือ นั่นต่างหากของจริง”
“ขอโทษนะ ชั้นคงไม่มีวันทำให้แกสมหวังหรอกพันเทพ ตั้งแต่ชั้นโตมา พ่อชั้นไม่เคยสอนให้ชั้นคิดแบบนั้น”
“พ่อเหรอ...จะบอกอะไรให้นะ ชั้นรู้สึกเจ็บทุกครั้งที่เธอเรียกไอ้เมฆนั่นว่าพ่อ เพราะความจริงแล้วน่ะ คนที่เป็นพ่อของเธอ...”
เมฆเปิดประตูออกมาพอดี ขัดจังหวะพันเทพ
“พ่อเป็นยังไงบ้าง” ไม้ถามอย่างเป็นห่วง เมฆยิ้มกับไม้แล้วพาไม้เดินออกไป
“แกเลี้ยงไม้มาดีเกินไป มันเลยทำให้ทุกอย่างมันยากขึ้นไอ้เมฆ”
พันเทพพึมพำออกมา
ขณะนั้นทิวายังไม่ได้สติ แต่เลือดที่ไหลเข้าตามสายเข้าสู่ร่างกายเขา เขาไม่รู้เลยว่าสายเลือดนี้ได้ให้ชีวิตเขาอีกครั้ง
อีกด้านหนึ่ง อบเชยยืนเหม่อๆ อยู่ริมถนน ไกรขับรถผ่านมาพอดี เขาจอดรถหน้าอบเชย แต่เธอไม่รู้ตัว ไกรจึงบีบแตรเรียก อบเชยสะดุ้ง
“คุณไกร”
“ใจลอยไปถึงไหนต่อไหนแล้ว”
อบเชยขึ้นรถมากับไกร ระหว่างอยู่บนรถไกรเหลือบมองอบเชยแล้วถามขึ้นมา
“มีเรื่องไม่สบายใจเหรอ”
“ก็นิดหน่อยน่ะค่ะ”
“เธอกับไม้เป็นยังไงบ้าง” อบเชยเงียบ “งั้นก็แปลว่าเรื่องไม่สบายใจคือเรื่องไม้”
“แล้วคุณกับคุณแพรวาละคะ”
“ก็...”
“คุณก็ไม่ได้ดีกว่าชั้นเท่าไหร่หรอก”
“ปกติเธอดูเข้มแข็งกว่านี้นะอบเชย”
“ชั้นอ่อนแอจะตายค่ะคุณไกร ชั้นว่า...ชั้นคงอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีไม้...ไม้จะให้ชั้นเป็นอะไรก็ได้ ขอแค่ชั้นยังได้อยู่ข้างๆ เค้าก็พอ”
“อบเชย”
“คนเข้มแข็งจริงๆ เค้าไม่พูดประโยคแบบนี้กันหรอก ใช่มั้ยคะ”
“ทำแบบนั้นแล้ว เธอมีความสุขเหรอ”
“ความทุกข์ ยังไงมันก็เป็นความทุกข์ค่ะ ไม่ว่าจะอยู่เฉยๆ หรือวิ่งไล่ตามหึงหวง หรือตามราวีทุกคนที่เข้ามายุ่งกับคนที่เรารัก สุดท้าย...มันก็คือความทุกข์อยู่ดี”
“เธอนี่เชี่ยวชาญเรื่องความรักยิ่งกว่าชั้นซะอีกนะ”
“แล้วคุณไกรละคะ จะจัดการกับเรื่องแบบนี้ยังไง”
“ผมเหรอ...”
บรรดาลูกสมุนพันเทพโยนเต็กกงเข้ามาในห้องทำงานพันเทพ แล้วปิดประตูล็อคเรียบร้อย

“แกทำลายรถชั้นพังไปตั้งหลายคันแล้ว จะเอาอะไรอีก”
“แกคงคิดว่า ชั้นทำแค่นั้น มันจะจบงั้นสิ”
“วินรถตู้แก ชั้นก็ไม่ได้ทำอะไรมากมายเลยนะ รถเข้าอู่แป๊บเดียวก็ออกมาวิ่งปร๋อเหมือนเดิมแล้ว”
“คิดว่าเรื่องแค่นั้นเหรอ คนอย่างแกมันเลี้ยงไว้ได้ซะที่ไหน จับลูกชั้นไปตั้งกี่ที ชั้นเตือนก็แล้วว่าอย่ามายุ่งกับชั้น กับครอบครัวชั้นกับธุรกิจของชั้น แต่พอเห็นป่วยเข้าหน่อย แกก็หาเรื่องลอบกัดอีกจนได้แล้วแกคิดว่าแค่ส่งคนไปถล่มรถปอ.ของแกแล้วจะจบ ...แกคิดผิดแล้ว”
“ชั้นยอมรับว่าที่ชั้นทำน่ะผิด แกปล่อยชั้นไปเถอะ คราวนี้ชั้นสัญญาว่าจะไม่ไปยุ่งกับแกอีก”
“หึหึ คราวก่อนแกก็พูดแบบนี้ แกก็ไม่ทำตามแล้วแกคิดว่าคำพูดพล่อยๆ ของแกจะมีน้ำหนักให้ชั้นเชื่อเหรอ”
“แล้วแกยังจะเอาอะไรจากชั้นอีก”
“ทุกอย่าง”
“หมายความว่าไงทุกอย่าง”
“หึหึ เดี๋ยวก็รู้”
พันเทพหัวเราะแล้วมองเต็กกงด้วยสายตาเจ้าเล่ห์
ระหว่างนั้นที่ท่ารถบขส.จันทร์นั่งอ่านหนังสือเกี่ยวกับกรุ๊ปเลือดอยู่
“ถ้าพ่อหรือแม่มีเลือดเป็นกรุ๊ปเอบี ลูกไม่มีสิทธิ์ที่จะมีเลือดเป็นกรุ๊ปโอได้เลย หรือถ้าหากพ่อแม่เป็นกรุ๊ปโอทั้งสองคน ลูกไม่มีสิทธิ์ที่จะมีเลือดเป็นกรุ๊ปเอบีได้เลย...แบบนั้นน่ะเหรอ?”
ไม้เดินมาหาจันทร์ที่กำลังนั่งคิดตามหนังสือ
“ทำอะไรวะจันทร์”
“ก็อ่านหนังสือ หาความรู้ทั่วไปน่ะ ไม่มีอะไรหรอก”
ไม้หยิบหนังสือจากจันทร์มาลองอ่าน
“โอ๊ย แกอ่านอะไรเนี่ย เข้าใจยากชะมัด”
“ก็ใครให้แกเอาไปอ่านเล่า”
ชาญหน้าตาตื่นวิ่งมา
“แย่แล้ว แย่แล้ว”
“หน้าตาตื่นมาเลย มีอะไร”
“นั่นสิ”
“เมื่อกี้ชั้นเห็นพวกแก๊งวินมอเตอร์ไซค์ ขับกันไปเป็นพรวนเลย ต้องมีเรื่องที่ไหนแน่ๆ”
“ถ้างั้นก็แย่ละ เรารีบไปช่วยดีกว่ามั้ย” ไม้บอก
“แหมๆ พูดอย่างกับว่าตัวเองเป็นลูกผู้ชายงั้นแหละ” จันทร์แซว
“เห็นชาวบ้านเดือดร้าน พี่จะทนยืนดูเฉยๆ ได้รึไง”
“ทั้งที่เดือดร้อนในที่ของคนเลว แกก็จะช่วยรึไง”
“ทุกคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองทั้งนั้น เขาไม่ควรมารับเคราะห์เพราะคนทะเลาะกันแค่ไม่กี่คน”
“งั้นก็ต้องรีบไปแล้วล่ะ ไม่งั้นจะไม่ทัน”
แก๊งวินมอเตอร์ไซค์มาที่อู่รถ ปอ.ของเต็กกง ทั้งหมดเอาน้ำมันราดตามตัวรถและจุดต่างๆ คนพากันหนีจ้าละหวั่น สักถือไม้ขีดจุดและทิ้งลงไปในกองน้ำมัน ไฟลุกท่วมในพริบตา ลูกเด็กเล็กแดงหนีตายกันใหญ่ พวกพนักงานในอู่ ถูกแก๊งวินมอเตอร์ไซค์อัดน่วม ไม่มีแรงหนีออกจากกองไฟจึงได้แต่ส่งเสียงร้อง “ช่วยด้วย ช่วยด้วย” ระงม
“ใครขวาง...คุณพันเทพบอกว่า เอาให้ตายได้เลย”
สักบอก ชาญ จันทร์ ไม้ มาถึงที่เกิดเหตุเห็นภาพที่ดูโหดร้าย
“แบบนี้ไม่ทำเกินไปหน่อยเหรอ ชาวบ้านเค้าเกี่ยวอะไรด้วย”
“พวกแกนั่นแหละเกี่ยวอะไร คนของเจ๊กีไม่ใช่เหรอ พวกรถบขส. มายุ่งอะไรกับพวกรถปอ. เห็นว่าไม่ถูกกันนี่”
“แล้วพวกวินมอเตอร์ไซค์ ทำไมถึงตามราวีเค้าไปทั่ว”
“ชั้นก็แค่นักรบรับจ้าง แกอยากเล่นงานก็ไปหาพันเทพโน่น”
“แต่ถ้าไม่เล่นงานแกซะตรงนี้ คงมีคนตายอีกเต็มไปหมด”
“แต่ถ้าพวกแกเข้ามายุ่ง พวกแกก็คงเป็นตายซะเอง”
“ก็ลองดูสิ”
จันทร์ ชาญ เข้าต่อสู้กับพวกแก๊งวินมอเตอร์ไซค์ที่ยกมาเป็นขโยง แต่จันทร์กับชาญก็พอรับมือได้กับทักษะมวย และความสามารถพิเศษแต่ละคน
“ไม้ แกเข้าไปช่วยคนที่ติดอยู่ข้างใน เร็ว”
จันทร์บอก ไม้พยักหน้ารับ วิ่งลุยไฟเข้าไป
ไม้ลุยเข้าไปช่วยคนที่บาดเจ็บที่ติดอยู่ในกองไฟ ไม้ช่วยออกมาได้ 2-3 คน ก็มีคนที่ไม่บาดเจ็บมาก อาสาช่วยไม้พาคนเจ็บออกมา ไม้เห็นจังหวะนี้เขาจึงวิ่งหายออกไป
ชาวบ้านเข้าไปช่วยผู้หญิงที่ติดอยู่ในกองไฟ ซึ่งเป็นเพิงบ้านพักคนงาน แต่ไม้ที่ไหม้ไฟก็ร่วงมาขวางทางทำให้ออกไม่ได้ ชาวบ้านร้อนรนหาทางออกไม่ได้ แต่แล้วลูกผู้ชายก็ปรากฏตัวออกมาช่วยพาทั้งสองคนออกจากกองไฟไปได้ ชาวบ้านดีใจ
ชาวบ้านทุกคนถูกช่วยออกมารวมตัวกันหมดแล้ว ลูกผู้ชายยืนท่ามกลางทุกคน
“ต้องขอบคุณลูกผู้ชายจริงๆ ถ้าไม่มีลูกผู้ชาย พวกเราคงตายอยู่ในนั้น”
“ไม่เป็นไรหรอก มันเป็นหน้าที่ของชั้น” ลูกผู้ชายมองไปทางจันทร์กับชาญที่ยังต่อสู้กับแก๊งวินมอเตอร์ไซค์ “พวกเราอยู่กันตรงนี้นะ เดี๋ยวชั้นไปช่วยทางโน้นก่อน”
“แล้วไฟที่ไหม้นี่ล่ะลูกผู้ชาย”
ลูกผู้ชายโบกไม้ตะพดวิญญาณวูบนึง ไฟค่อยๆ ดับลงไปอย่างปาฏิหาริย์ ลูกผู้ชายปลีกตัวจากชาวบ้านไปช่วยจันทร์ ชาญ ชาวบ้านมองอย่างภูมิใจ
จันทร์กับชาญ กำลังต่อสู้กับพวกสักและแก๊งค์วินมอเตอร์ไซค์อย่างดุเดือด จันทร์พลาดพลั้งเกือบจะโดนแก๊งวินมอเตอร์ไซค์คนหนึ่งเอามีดแทง แต่ลูกผู้ชายก็ออกมาช่วยไว้ได้ ชาญเห็นลูกผู้ชายก็ดีใจ
“ลูกผู้ชาย ไม่ได้เจอกันตั้งนาน”
สักกวัดแกว่งอาวุธคู่ใจที่เป็นเฟืองจักรยาน เหวี่ยงเกือบโดนลูกผู้ชาย แต่ลูกผู้ชายหลบทัน เฟืองจึงไปปักเอากับไม้ สักดึงออกมาไม่ได้จึงรีบวิ่งหนีไป ลูกผู้ชายจึงถือโอกาสรวบสักไว้ได้ ส่วนแก๊งวินมอเตอร์ไซค์คนอื่นที่ต่อสู้จนแย่แล้ว พอเห็นสักหนี จึงพากันหนีด้วย
“หนักข้อขึ้นทุกวันนะพวกแกเนี่ย”
ลูกผู้ชายต่อว่า ชาญกับจันทร์ เข้ามาสมทบ
“ขอบคุณมากครับลูกผู้ชาย เป็นเกียรติมากที่เราได้มาต่อสู้ร่วมกันอีก แล้วนี่ไอ้ไม้ไปไหนล่ะ”
“นั่นสิ เข้าไปดูไม้กันก่อนเถอะ”
จันทร์กับชาญปลีกตัวจากลูกผู้ชาย ลูกผู้ชายรีบหายไปเช่นกัน
จันทร์กับชาญ เดินมาหาไม้แต่ก็ไม่เห็น
“ให้มาช่วยชาวบ้าน แล้วหายหัวไปไหนนะเนี่ยไอ้ไม้”
“เป็นคนชวนมาด้วยนะนั่น”
ไม้เดินออกมาจากด้านใน
“นั่นไง มาละ”
“เฮ้ย หายไปไหนมาวะ”
“ก็ดับไฟมาน่ะสิ”
จันทร์กับชาญ มองไปรอบๆ เห็นไฟที่ไหม้ ดับหมดแล้ว
“เออ จริงสินะ ไฟดับหมดแล้วนี่”
“มีใครเป็นอะไรรึเปล่า”
“ปลอดภัยทุกคน”
“ต้องขอบคุณลูกผู้ชายที่มาช่วย ไม่งั้นชั้นก็เกือบไม่รอดเหมือนกัน”
“อ้าวเหรอ ลูกผู้ชายมาด้วยเหรอ เสียดาย ไม่ได้เจอเลย”
ไม้พูดยิ้มๆ โดยที่ไม่มีใครรู้ความลับที่เขาซ่อนไว้
ทางด้านราตรี ขณะนั้นเธอนั่งอยู่ที่ร้านอาหารคนเดียว บนโต๊ะมีอาหารวางอยู่เต็ม ท่าทางของราตรีดูกระวนกระวายใจ
“โอ๊ย ถือว่าเป็นลูกรัฐมนตรีแล้วจะมาสายได้ไม่มีใครว่ารึไง โธ่เว้ย...” ราตรีหยิบโทรศัพท์โทรออก
ฮัลโหล นี่ชั้นรออยู่ที่ร้านอาหารนะ ไม่เห็นคุณมาถึงซักที...ลืม ทำไมพูดแบบนั้น...ก็รีบแต่งตัวออกมาสิคะ ชั้นรออยู่ ...ไม่มา...ก็ได้ ไม่มาก็ไม่มา งั้นชั้นจะไปหา ... หมายความว่าไง มีนัดกับคนอื่น...ผู้หญิงหรือผู้ชาย...ทำไมชั้นจะไม่มีสิทธิ์ถาม ฮัลโหล ฮัลโหล” ราตรีดูหน้าจอโทรศัพท์ แล้วโทรออกอีกแต่ไม่ติดแล้ว “อะไรวะเนี่ย”
“รับอะไรเพิ่มอีกมั้ยคะ” เด็กเสิร์ฟเข้ามาถาม
“รับอะไรล่ะ เช็คบิล”
เด็กเสิร์ฟงงที่โดนดุ รีบเดินออกไป ราตรีหงุดหงิดมาก
“โธ่เอ้ย นึกว่าเป็นลูกรัฐมนตรีแล้วชั้นจะง้อรึไง ไม่เอาหรอกเว้ย หน้าตาก็แย่ แค่มีเงินเท่านั้นแหละวะ ทุเรศ” ราตรีมองไปนอกร้านเห็นจันทร์ ชาญ ไม้ ยืนอยู่ด้วยกัน “ไอ้พวกนี้อีกแล้ว โอ๊ย ทำไมชีวิตชั้นถึงเจอแต่พวกผู้ชายห่วยๆ นะ”
จันทร์ ไม้ ชาญ เดินมาด้วยกัน จันทร์กับชาญขอแยกตัวไปก่อน
“เดี๋ยวข้าต้องกลับไปที่อู่ก่อนว่ะ เดี๋ยวพี่เมฆตามหาไม่เจอจะโดนดุ”
“เหมือนกันว่ะ เจ๊กีหาไม่เห็นนี่บ่นไม่หยุดแน่”
“อ้าว นึกว่าจะไปกินข้าวด้วยกัน”
“ก็อยาก แต่ไม่อยากเสี่ยงว่ะ”
“ขอกลับไปกินที่อู่ก็แล้วกันนะ”
“เอ็งก็ชวนอบเชยมากินด้วยกันสิ สองคนหนุงหนิงดีออก”
“บ้า...ป่านนี้อบเชยมันช่วยงานอาศรที่โรงน้ำแข็งอยู่ละมั้ง”
“แน่ะๆๆ ไม่ใช่ไม่อยากนะน่ะ”
ไม้ยิ้มเขิน จันทร์กับชาญเดินไป ไม้มองส่งก่อนจะหันมามองทางก็เกือบชนกับแพรวาที่เดินมาพอดี
“คุณแพรวา...”
ไม้นึกถึง คำพูดไกรที่บอกว่าอย่ายุ่งกับแพรวาอีก ไม้ทำตัวไม่ถูกทันที
“ไม้ มาทำอะไรแถวนี้”
“กำลังจะกลับแล้วครับ”
“เดี๋ยวสิ เห็นหน้าชั้นก็จะกลับเลยเหรอ”
“เอ่อ คือ”
“ชั้นล้อเล่น”
“ผมขอตัวก่อนนะครับ” ไม้จะเดินหนี แพรวาคว้าข้อมือไม้ไว้ “เดี๋ยวสิไม้ ไม้เป็นอะไรรึเปล่า”
“ไม่เป็นครับ แต่ผมมีธุระ”
“ไม่ได้ตั้งใจจะหลบหน้าชั้นใช่มั้ย”
ขณะนั้นราตรีอยู่หน้าร้านอาหาร ราตรีแอบดูไม้กับแพรวาที่จับมือถือแขนท่าทางสนิทสนม ราตรีหยิบมือถือขึ้นถ่าย
“เทคโนยีนี่ช่วยเราได้ตลอดเลย... ยายแพรวานี่ตาต่ำไม่สิ้นสุดจริงๆ”
“ผมขอตัวก่อนนะครับ”
ไม้บอกแล้วปลีกตัวออกไป ทิ้งให้แพรวายืนงง ราตรีเดินเข้ามาหาแพรวา
“คราวนี้ชอบแบบยาจกรึไง”
“ไม้เป็นเพื่อนชั้น”
“เพื่อนประสาอะไรต้องจับมือถือแขนกันด้วย”
“มันเป็นเรื่องส่วนตัวของชั้น”
“นี่เธอจะอ่อยตั้งแต่ขอทานยังมหาเศรษฐีเลยรึไง”
“อย่ามายัดเยียดความคิดแย่ๆ แบบนี้มาให้ชั้นนะราตรี เธอก็ลงเอยกับลูกชายรัฐมนตรี ก็น่าจะดีแล้วนี่” ราตรีอึกอัก
“นายนั่นน่ะเหรอ ชั้นไม่สนใจขนาดนั้นหรอก ชั้นสนใจเรื่องอื่นมากกว่า”
“อะไรอีกล่ะ”
“ดูๆ ไปแล้ว เธอก็มีนายไม้นี่อยู่อีกคน ถ้างั้นกับคุณไกร...”
“อย่ามายุ่งกับคุณไกรนะ”
“แหม สวนขึ้นมาทันทีเลยนะ”
“เธอบอกชั้นแล้วว่าจะไม่ยุ่งกับคุณไกรอีก”
“ชั้นเคยพูดแบบนั้นด้วยเหรอ”
“ถ้าเธอยุ่งกับคุณไกร ชั้นจะบอกความจริงทั้งหมด ว่าเธอคือฝาแฝดของชั้น”
“ฉลาดหน่อยสิแพรวา คุณไกรนั่น...อาจจะหันมารับผิดชอบที่ล่วงเกินชั้น แทนที่จะคบกับเธอก็ได้ เอ๊ะๆๆ หรือชั้นจะยุ่งกับนายไม้นี่ดี เพราะถ้าคุณไกรรู้ คิดว่าชั้นเป็นเธอ...ก็คง...”

แพรวาหน้าเสีย ราตรียิ้มเยาะ
ที่โรงพยาบาล ทิวายังนอนหลับอยู่บนเตียง โดยมีเมฆนั่งเฝ้าอยู่ข้างๆ

“ความจริง ความจริง มันคืออะไรกันแน่”
เมฆมองทิวาอย่างห่วงใย ห่มผ้าห่มให้
พยาบาลกำลังตรวจเช็คแฟ้มประวัติ เมฆเดินเข้าไปหาพยาบาล
“เอ่อ คุณพยาบาลครับ ผมมีเรื่องอยากถามหน่อย”
“ได้สิคะ”
“คือผมสงสัยเกี่ยวกับกรุ๊ปเลือดของคนน่ะครับ”
“ค่ะ”
“คือถ้าพ่อกับแม่เป็นเลือดกรุ๊ปโอทั้งคู่ มีโอกาสที่จะมีลูกเป็นเลือดกรุ๊ปอื่นมั้ยครับ”
“ไม่มีหรอกค่ะ”
“ถ้างั้น ถ้าพ่อแม่มีเลือดกรุ๊ปเอบี ลูกจะเป็นกรุ๊ปโอได้มั้ยครับ”
“ถ้าพ่อแม่เลือดกรุ๊ปเอบีทั้งคู่ มีโอกาสมีลูกเป็นได้ทุกกรุ๊ปเลยค่ะ แต่ยกเว้นแค่กรุ๊ปโอกรุ๊ปเดียวที่จะเป็นไม่ได้” เมฆคิดตามคำพูดของพยาบาล “อยากทราบอะไรเพิ่มเติมอีกมั้ยคะ”
“แล้วกรุ๊ปเลือดนี่มันจะบอกได้รึเปล่าครับ ว่าใครเป็นลูกของใคร”
“มันไม่บอกขนาดนั้นหรอกค่ะคุณ นอกซะจากว่าคุณจะมีคนที่สงสัยว่าจะเป็นพ่อ แล้วก็มาตรวจ ดีเอ็นเอกัน ถึงจะบอกได้ว่าใช่พ่อลูกกันรึเปล่า”
“แล้วถ้าอยากตรวจจะต้องทำยังไงครับ”
“ก็พาคนที่คุณสงสัยว่าเป็นพ่อลูกกันรึเปล่ามาตรวจทั้งคู่เลยค่ะ”
“ถ้ามาไม่ได้ทั้งคู่ละครับ”
“ก็ต้องมีดีเอ็นเอของคนที่มาไม่ได้มา ดีเอ็นเอที่พูดถึงก็อย่างเช่นเส้นผมน่ะค่ะ”
เมฆสีหน้าจริงจัง
เมฆกลับเข้ามาในห้องทิวา ภายในห้องไม่มีใครนอกจากทิวาที่ยังหลับอยู่ เมฆหันซ้ายหันขวามองว่าไม่มีใครเขาจึงแอบดึงเส้นผมของทิวามาเส้นหนึ่งแล้วออกไป
เมฆมาที่ห้องตรวจ พยาบาลเอาสำลีเช็ดภายในผนังปากของเมฆ แล้วเก็บใส่หลอดทดลอง
“แค่นี้น่ะเหรอ”
“ก็ต้องของคุณอีกคนละคะ”
เมฆหยิบเส้นผมที่แอบดึงมาให้พยาบาล พยาบาลดูเส้นผมแล้วเก็บใส่หลอดทดลอง
“ค่ะ ทีนี้คุณก็รอผลตรวจอย่างเดียว”
“นานมั้ยครับ”
“เราต้องส่งไปทางกรุงเทพ คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยก็คง 4-5 วันค่ะ”
“ครับ”
เมฆไม่ค่อยสบายใจนัก มีความกังวลในใจ
ค่ำวันเดียวกันนั้นไกรจอดรถแอบอยู่ห่างๆ บ้านพันเทพ แพรวาแอบออกจากบ้านมา ไกรยืนรออยู่ เขาลูบหัวแพรวาอย่างเอ็นดูแล้วพากันขึ้นรถขับออกไป โดยไม่รู้ว่าราตรีแอบมองดูอยู่
“มีความสุขมากใช่มั้ยแพรวา ถ้าชั้นไม่มีความสุข เธอก็ต้องไม่มีความสุขเหมือนกัน”
พันเทพไม่รู้ว่าแพรวาแอบหนีออกจากบ้าน เพราะขณะนั้นกำลังนั่งครุ่นคิดอยู่ในห้องทำงาน จนกระทั่งเวตาลเข้ามาก่อกวน
“เจ้าทำร้ายลูกของเจ้าได้...เพราะไม้ตะพดแค่อันเดียว”
“ก็มันคิดไม่ซื่อ คิดจะแย่งไม้ตะพดไปจากชั้น แค่คิดว่าชั้นจะให้มันไปง่ายๆ รึไง อุตส่าห์เลี้ยงมันมา”
“ลูกของเจ้า เจ้าก็ต้องเลี้ยง เป็นธรรมดา”
“มันไม่ใช่ลูกชั้น”
“ในที่สุดเจ้าก็พูดมันออกมาสินะ”
“ชั้นเก็บเป็นความลับมายี่สิบปี ต่อไปนี้ชั้นจะไม่ทนอีกแล้ว”
“แล้วลูกแท้ๆ ของเจ้า”
“ชั้นอุตส่าห์สลับตัวมัน เพื่อให้ไปสืบทอดไม้ตะพดวิญญาณ แล้วนำไม้ตะพดนั่นกลับมาให้ชั้น แต่ตอนนี้กลับแข็งข้อ ทำตัวเป็นศัตรูกับชั้นไม่ลดละ”
“อะไร อะไร มันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดสินะ แล้วเจ้าจะทำยังไงต่อไป”
พันเทพครุ่นคิด
อีกด้านหนึ่งที่บ้านเมฆ เมฆ ไม้ อบเชยนั่งกินข้าวด้วยกันแต่เมฆดูซึมๆ จนไม้สังเกตเห็น
“เป็นอะไรพ่อ”
“พอดีว่าพ่อไม่ค่อยหิวน่ะ ขอตัวก่อนนะลูก”
เมฆเดินลุกออกไปจากโต๊ะ ไม้มองตามอย่างเป็นห่วง
“ชั้นมาทำให้ทุกคนไม่สบายใจกันรึเปล่าเนี่ย”
“ไม่ใช่หรอก ช่วงนี้พ่อเค้ามักจะทำตัวแปลกๆ”
“ทำตัวแปลกๆ อย่างเช่นอะไรเหรอ”
“อย่างเช่นไปบริจาคเลือดให้ทิวา ใส่ใจเรื่องทิวาเป็นพิเศษ ชั้นละไม่เข้าใจพ่อจริงๆ”
“พ่อไม้อาจกำลังสืบเรื่องบางเรื่องเกี่ยวกับพันเทพอยู่ก็ได้”
“เกี่ยวกับพันเทพน่ะเหรอ”
“ใช่ ความจริงบางอย่าง”
“ชั้นละกลัวความจริงนี่จริงๆ เลย” ไม้มีสีหน้ากลุ้มใจ “แล้วเธอล่ะ ไม่สบายใจ ดีขึ้นรึยัง”
“ถ้าไม้ยังอยู่ข้างๆ ชั้น ก็ไม่มีเรื่องอะไรต้องไม่สบายใจนี่”
“ชั้นจะหนีไปไหนได้”
“ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ดีสิ”
อบเชยยิ้มให้ไม้เศร้าๆ ไม่สบายใจนัก
วันต่อมาราตรีมาหาสักที่วินมอเตอร์ไซค์
“แกรับจ้างทำอะไรก็ได้ใช่มั้ย”
“ส่วนใหญ่ก็รับเหมาก่อเรื่อง เธอจะมาจ้างให้ทำอะไรล่ะ”
“จับตัวผู้หญิงในรูปนี้” ราตรียื่นรูปแพรวาให้สัก สักหยิบรูปมาดู
“นี่มันตัวเธอนี่”
“ฝาแฝดของชั้น”
“จับตัวแล้วให้เอาไปทำอะไร” ราตรีกระซิบบอก “แค่นั้นน่ะเหรอ”
“แค่นั้น ไม่ต้องทำมากกว่านั้นล่ะ เข้าใจมั้ย”
“รู้แล้ว”
หน้าตาราตรีเจ้าเล่ห์ มีแผนการบางอย่าง
ส่วนอบเชยขณะนั้นกำลังคุมคนส่งน้ำแข็งอยู่หน้าตลาด ไกรเดินเข้ามาหา
“งานยุ่งเหรอ”
“ก็ไม่ได้ยุ่งอะไรหรอกค่ะคุณไกร พอดีว่าช่วงนี้เฮียรับคนงานเพิ่มเข้ามา ก็เลยสบายหน่อย”
“พอมีเวลาคุยกับชั้นซักหน่อยมั้ย”
“ได้สิคะ”
ไกรพาอบเชยไปนั่งคุยที่ร้านกาแฟเล็กๆ ในตลาด
“ชั้นว่าจะหาซื้อของขวัญซักหน่อย อยากให้เธอช่วยเลือกของให้จะได้มั้ย”
“ได้ค่ะ คุณไกรจะซื้อให้ผู้หญิงหรือผู้ชายละคะ”
“ผู้หญิง”
“ชั้นไม่แน่ใจนะคะว่าจะช่วยคุณได้”
“ผู้หญิงก็น่าจะมีความชอบอะไรที่คล้ายกัน มากกว่าผู้ชายอย่างผมแน่ๆ”
ไกรพาอบเชยไปหาซื้อของขวัญ ระหว่างนั้นแพรวาขับรถมาจอดที่ลานจอดรถของวัด ซึ่งค่อนข้างเปลี่ยว สักรออยู่พอเห็นรถแพรวาเข้ามาจอด สักก้มมองดูรูปซึ่งบอกทะเบียนรถ สักยิ้ม แพรวาลงจากรถ
สักเดินลุยออกไปดักหน้าแพรวา แพรวาสะดุ้ง
“เอ่อ คุณครับ”
“มีอะไรคะ”
“ผมอยากรบกวนให้คุณ ช่วนจั๊มแบตกับรถผมที พอดีรถผมแบตหมดน่ะครับ”
“ได้ค่ะ”
“ตามผมมาทางนี้เลยครับ”
สักเดินนำ แพรวาเดินตามไป
แพรวาเดินมาที่รถกับสัก พอมาถึงร แพรวาจะหันไปถามบางอย่างกับสัก สักก็วิ่งเข้ามาโปะยาสลบแพรวาพอแพรวาสลบสักก็อุ้มแพรวาขึ้นรถ
ขณะนั้นราตรียืนอยู่หน้าท่ารถบขส. พอเห็นไม้เดินเข้าไป ราตรีจึงเรียกเด็กขายพวงมาลัยแถวนั้น
“นี่...เอากระดาษนี่ไปให้ผู้ชายคนนั้นนะ”
ราตรีแนบแบงค์ร้อยไปให้เด็กขายพวงมาลัยเป็นค่าจ้าง
ไม้เดินเข้ามาที่บขส. ยังไม่ทันจะทำอะไร เด็กขายพวงมาลัยก็เอาโน้ตเล็กๆ มาให้ ไม้เปิดอ่าน ข้อความเขียนว่า “มีเรื่องสำคัญจะคุยกับเธอ มาเจอชั้นที่โรงแรมหน่อย จาก แพรวา”
ไม้ถอนหายใจ ลำบากใจ แล้วรีบเดินออกจากบขส.ไปทันที เมฆเห็นไม้เดินออกไปจากท่ารถจึงรีบออกไปเหมือนกันซึ่งเมฆมาที่โรงพยาบาล
ไกรกำลังเดินอยู่กับอบเชย เสียงข้อความในมือถือของไกรดังขึ้น ไกรหยิบมันมาเปิดดู เป็นข้อความว่า “อยากตาสว่างมั้ย มาดูอะไรที่โรงแรมสิ” ไกรเปิดอ่านก็ตกใจ
“อบเชย ผมมีเรื่องต้องไปทำเดี๋ยวนี้ ต้องขอโทษด้วย”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“เอาเป็นว่าคุณติดรถไปกับผมก่อน เดี๋ยวผมจะไปส่งคุณที่บ้าน ตกลงมั้ย”
“ไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ”
“อย่าให้ผมรู้สึกผิดเลย รีบไปเถอะครับ”

อบเชยจะปฏิเสธ แต่ก็ทำได้แค่อึกอักไปมา ในที่สุดทั้งคู่ก็พากันขึ้นรถไกร ราตรีที่แอบมองอยู่ ยิ้มสะใจ





Create Date : 24 มีนาคม 2555
Last Update : 24 มีนาคม 2555 2:09:44 น.
Counter : 881 Pageviews.

0 comment
ลูกผู้ชายไม้ตะพด ตอนที่ 11




ตอนค่ำวันนั้นอบเชยมายืนรอไม้อยู่หน้าบ้าน ไม้เดินกลับมาถึงบ้าน อบเชยหน้าง้ำ

“ทำไมกลับมาป่านนี้”
“ไปซ้อมมวยมา”
“อย่าโกหกหน่อยเลยน่า”
“นี่อะไรเนี่ย...เธอเป็นแม่ชั้นไปแล้วเหรอ” อบเชยจ้องไม้ ไม้งง “นี่อะไรเนี่ย”
“มีอะไรจะสารภาพกับชั้นมั้ย”
“ไม่มี”
“ไม่มีจริงๆ น่ะเหรอ”
“ไม่มี”
“ไปไหนมา ไปกับใคร อะไรพวกนั้น”
“ไม่มี” อบเชยหน้างอ “ถ้าจะมาหาเรื่องกันชั้นไม่คุยด้วยนะ มีอะไรต้องทำอีกเยอะ”
ไม้บอกอย่างเบื่อๆ
“งั้นประวัติทิวานี่ ก็ทิ้งมันไว้ตรงนี้แหละ ไม่มีใครอยากรู้อะไรหรอกมั้ง”
“ประวัติทิวาเหรอ ไหนขอดูหน่อย”
อบเชยเอาประวัติทิวาหลบ
“รู้มั้ยกว่าจะได้มา ชั้นต้องเสี่ยงชีวิตแค่ไหน
“เอามาน่าอบเชย”
“คนอุตส่าห์ไปเอามาให้ เธอบอกว่าเอามาน่าอบเชย แบบนี้น่ะเหรอ”
“ขอบคุณมาก พอใจยัง”
“เมื่อกี้ทำหน้าเบื่อ จะไล่ชั้นไปด้วย นี่ชั้นโกรธนะเนี่ย”
“ขอโทษละกัน ที่นี้เอาได้รึยังล่ะ”
“ถามว่าไปไหนกับใครก็โกหกว่าไม่ได้ไปอีก”
“ไม่ได้โกหก”
“โกหก อย่าเอาเลย เดี๋ยวฉีกทิ้งให้หมดเลย ไม่ต้องดูมันแล้ว”
“ก็คนไม่ได้ไป จะให้พูดว่าอะไร”
“ก็ชั้นเห็นว่าไปกับแพรวานี่”
“อ๋อ เรื่องนั้นเอง ไม่มีอะไรซะหน่อย”
“มีไม่มีไม่รู้ แต่ชั้นไม่พอใจ ถ้าอยากได้นี่...ก็ง้อให้ไวเลย”
“ชั้นง้อไม่เป็นหรอก”
“ก็คิดสิ คิด”
ไม้นิ่งคิดวิธีง้ออบเชย
อีกด้านหนึ่งขณะนั้นไกรกับแพรวาเดินมาตามถนน ต่างคนต่างเดิน จากที่ห่างๆ กันก็ค่อยๆ เดินมาติดกันมากขึ้น ในที่สุดทั้งคู่ก็ค่อยๆ ยื่นมือมาจับกันในที่สุด
ส่วนไม้หลังจากไม้นิ่งคิดวิธีง้ออบเชย แล้วเขาก็คิดออก
“นึกออกละ”
อบเชยยิ้มหวานรับ แต่ทำเชิด
“เอาให้มันดีๆ ล่ะ ชั้นน่ะโกรธมากซะด้วย”
“หลับตาก่อนสิ”
“เอาแบบนั้นเลย จะดีเหรอ” อบเชยเขินแต่ก็รีบหลับตาพริ้ม ไม้มองยิ้มๆ แล้วไม้ก็หายไปเหมือนไปทำอะไรบางอย่าง “ทำอะไรอยู่ นานจัง ไม่ต้องถึงกับไปแปรงฟันหรอกนะ”
อบเชยยิ้มเขิน
“พร้อมรึยัง”
ไม้มายืนประจันหน้าอบเชย
“พร้อมตั้งนานแล้ว”
ไม้ยื่นหน้าเข้าไปใกล้อบเชยเหมือนจะจูบ อบเชยยื่นปากรอ ไม้มองยิ้มๆ แล้วก็จับมืออบเชยเอาบางอย่างใส่มือไว้
“ลืมตาได้แล้ว”
อบเชยลืมตาเซ็งๆ
“แค่นี้” ไม้ยิ้ม “นี่อะไรเนี่ย” อบเชยดูในมือก็เห็นเศษกระดาษพับรูปหัวใจ อบเชยเห็นก็อมยิ้ม “แค่เนี๊ยะจริงๆ น่ะเหรอ”
“นั่นก็เยอะแล้วนะ”
ไม้ถือวิสาสะหยิบใบประวัติทิวาจากในมืออบเชยมาแล้วส่งยิ้มให้อบเชยก่อนจะเดินเข้าบ้านไป
อบเชยหยิบหัวใจในมือมาดู ยิ้มดีใจแล้วเอาหัวใจมาจุ๊บหลายที
คืนนั้นทิวานั่งหน้าเครียดอยู่ในห้องด้วยสีหน้าครุ่นคิด เวตาลบินมาทางหน้าต่างเข้ามาในห้องทิวา
“ตกลงว่าเจ้า...รู้ที่ซ่อนไม้ตะพดของพ่อเจ้ารึยัง”
“ไม่รู้”
“นี่ข้าก็ให้เวลาเจ้าทั้งวันแล้ว ทำไมยังไม่รู้อีก”
“เพราะชั้นไม่ได้ลงมือทำอะไรเลยน่ะสิ”
“ทำแบบนี้ เจ้าไม่อยากเป็นเจ้าของไม้ตะพด ผู้กุมอำนาจทั้งสามโลกรึ”
“ไม่ใช่เวลานี้ พ่อยังอยู่เลยด้วยซ้ำ ชั้นทำแบบนั้นไม่ได้หรอก”
“อีกไม่นาน เจ้าคนนั้นมันก็จะตายแล้ว”
“ตาย...หมายความว่าไง”
“ก็หมายความว่าไม่มีใครต่อต้านพลังของไม้ตะพดได้น่ะสิ”
“ไม่มีวิธีรักษาเลยรึไง”
“ไอ้มีน่ะมันมีอยู่หรอก แต่เจ้าคิดให้ดีสิระหว่างทำให้มันหายกับปล่อยให้มันตายไป อะไรกันที่เจ้าจะได้ผลประโยชน์”
“บอกวิธีรักษามา ให้ชั้นได้ตัดสินใจของชั้นเอง”
เวตาลแสยะยิ้ม
“ยางเลือดที่พ่อเจ้าได้มาจากป่าอาถรรพ์ไงล่ะ”
อีกด้านหนึ่งพันเทพพยายามพยุงตัวเองลุกขึ้นนั่งบนเตียง หอบสังขารลุกเดินไปชงสมุนไพรกิน
“ชั้นจะตายไม่ได้ ชั้นจะตายแบบนี้ไม่ได้” พันเทพลุกขึ้นเปิดลิ้นชักโต๊ะหาสมุนไพรมาชงดื่ม “ชั้นไม่ยอมตายง่ายๆ หรอก ลงทุนลงแรงไปยี่สิบกว่าปี นี่อีกแค่เอื้อมเอง”
วันต่อมาที่บ้านเต็กกง เต็กกงรับโทรศัพท์
“ฮัลโหล...เออ มีอะไรก็ว่ามา...พันเทพน่ะเหรอ ป่วยหนัก...ขนาดเดินแทบไม่ไหวเลยเหรอ ...ได้ ชั้นจะแวะไปดู” เต็กกงวางหู แล้วหัวเราะ “เอาแล้วไงเจ้าพ่อใหญ่ ได้เซล้มไม่เป็นท่าก็คราวนี้แหละ”
เต็กกงมาถึงวินรถตู้ของพันเทพเห็นคนขึ้นกันแน่น เรียงแถวเข้าคิวต่อกันขึ้นรถตู้ เต็กกงมองการต่อแถวนั้นแล้วกระหยิ่มยิ้ม
“กิจการท่าจะรุ่งเรื่องไม่น้อย แต่สภาพเจ้าของร่อแร่แบบนั้น อยากรู้นัก จะจัดการยังไงถ้ามันกลายเป็นสลัมซะ”
คนของเต็กกงกรูเข้าจัดการคนที่ต่อคิวขึ้นรถตู้ ถูกกระชากกระเด็น ล้มไปก็มี เต็กกงมองอย่างภูมิใจ
ที่ท่ารถบขส. ไม้กำลังขับรถของเมฆออกไป จู่ๆ มีชาวบ้านคนนึงหน้าตาตื่นมา ตะโกนให้รออยู่เย้วๆ
“รอด้วยๆ ชั้นรีบไปธุระ”
ทั้งรถหันไปดูชาวบ้านที่วิ่งขึ้นรถหลังสุด ดูมอมแมมสะบักสะบอม
“คิดไงเนี่ยเจ๊ วันนี้ถึงได้มาขึ้นบขส.ได้ ปกติเห็นนะ ขึ้นแต่รถตู้น่ะ แล้วดูสภาพซินั่น ไปฟัดกับหมาที่ไหนมา” ชาญถาม
“ไม่ได้อยากขึ้นหรอกย่ะ ไอ้บขส.อะไรเนี่ย แต่มันมีธุระนี่หว่า”
“แล้วทำไม รถตู้มันปิดรึไงวันนี้”
“เออ จะพูดแบบนั้นก็ได้ ก็ไอ้เต็กกงน่ะ อยู่ๆ ส่งคนมาบุกซะวอด คงเพราะเป็นศัตรูกับพันเทพแน่ๆ”
“เลยถูกยำจนเละ ไม่มีลูกผู้ชายคอยช่วยเลยสินะ”
“นั่นแหละ ชั้นรอดมาขึ้นรถได้ก็บุญแล้ว”
ไม้ที่ฟังอยู่หน้าเครียด เขาตัดสินใจดับเครื่องรถ
“ขอโทษนะครับทุกคน อยู่ๆ รถเราก็เสียขึ้นมา ต้องรบกวนทุกคนไปขึ้นคันอื่นนะครับ”
“เฮ้ย รถเป็นไร เดี๋ยวชั้นดูให้”
“ไม่ต้องพี่ชาญ ชั้นติดธุระพอดี”
ไม้รับมาที่วินรถตู้ของพันเทพ
“นี่ชั้นเห็นว่ามันเป็นเรื่องของชาวบ้านหรอกนะ ไม่งั้นชั้นไม่ลงมาช่วยแกหรอก พันเทพ”
เต็กกงยืนดูความวอดวายของวินรถตู้ แล้วอยู่ดีๆ ลูกผู้ชายก็ปรากฏตัวออกมาช่วยชาวบ้าน ลูกผู้ชายต่อสู้กับสมุนเต็กกงจนหมอบไปหมดขณะที่พวกมันกำลังรังแกเด็ก ผู้หญิง และคนแก่
ลูกผู้ชายเข้าต่อสู้เต็มที่
“ไอ้ลูกผู้ชายนี่มันยุ่งทุกงานเลย ให้ตายสิ”
เต็กกงกำลังจะหนี แล้วลูกผู้ชายก็มาดักหน้าเต็กกงไว้ สกัดด้วยท่าพื้นฐาน เต็กกงก็ล้มกลิ้ง
“แกนี่มันจิตใจทำด้วยอะไร ทำได้แม้กระทั่งเด็ก และคนแก่”
“ชั้นแค่คนยืนดู ไม่ได้ทำอะไรซักหน่อย”
“ใช้คำผิดรึเปล่า คนยืนดูกับคนสั่งการมันไม่เหมือนกันนะ”
“แกนี่มันสาระแนกับทุกเรื่องจริงๆ นะ ขนาดว่าไอ้พันเทพมันก็เลวไม่ต่างจากชั้น แกก็ยังมาช่วยมัน แบบนี้ไม่ต้องมาอ้างตัวว่าอยู่ฝ่ายธรรมะเลยนะ”
“ชั้นมาเพราะแกรังแกชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่องต่างหาก แกทะเลาะกับพันเทพ แกก็ไปเล่นงานไอ้พันเทพโน่น อย่ามาทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อนไปด้วย ถ้าคราวหน้าชั้นเจอแกทำแบบนี้อีก ชั้นจะไม่ปล่อยแกไปอีก”
เต็กกงรีบวิ่งหนีไป ลูกผู้ชายมองระอาใจ ลูกผู้ชายเข้าไปช่วยพยุงชาวบ้าน
พันเทพนอนอยู่บนเตียง สมุนเข้ามารายงานเกี่ยวกับข่าวที่วินรถตู้
“นายครับ ไอ้เต็กกงมันลอบกัดเรา ส่งคนมาทำลายวินรถตู้เราซะเละเลยครับ”
“คงมีคนคาบข่าวไปบอกว่าชั้นป่วย มันเลยกล้าเหิมเกริมแบบนี้” พันเทพเจ็บใจ และเจ็บแผล “โอ๊ะ”
“แต่นายไม่ต้องห่วงนะครับ เพราะตอนนี้ที่อู่รายงานมาว่าลูกผู้ชายมันเข้ามาช่วย เหตุการณ์เลยสงบลงแล้วครับ”
“ลูกผู้ชายเนี่ยนะ มาช่วย”
“ครับ”
ทิวาเดินเข้ามาแทรกระหว่างบทสนทนาพันเทพกับสมุน
“คุยอะไรกันเหรอครับ ได้ยินชื่อลูกผู้ชายแว้บๆ”
“ออกไปก่อนไป มีอะไรรีบมารายงานด้วย” พันเทพบอกสมุน
“มีเรื่องอะไรกันเหรอครับพ่อ”
“มีเรื่องที่วินรถ”
“เดี๋ยวผมไปจัดการให้มั้ยครับ”
“แกนอนขี้เกียจอยู่บ้านอย่างที่ทำอยู่ก็พอแล้ว”
“ทำไมพ่อไม่บอกผม ผมจะไปจัดการให้”
“อย่างแก จะไปสู้อะไรกับใครได้”
“พ่อ...”
“หรือไม่จริง”
“พ่อก็แค่สอนวิธีใช้ไม้ตะพดที่พ่อมีกับผม รับรองผมดูแลเรื่องพวกนี้ให้พ่อได้แน่ๆ”
“นี่แกพูดอะไรเนี่ย เห็นชั้นป่วยก็วางแผนจะได้ไม้ตะพดรึไงจะบอกอะไรให้เข้าใจนะทิวา ถ้าชั้นตาย ไม้ตะพดจะตายไปกับชั้น ไม่มีใครหน้าไหนได้มันไปทั้งนั้น”
“แม้แต่ผมที่เป็นลูกของพ่อน่ะเหรอ...”
พันเทพมีสีหน้าเฉยชากับทิวา ทิวาเจ็บใจ
ทิวาเสียใจเดินออกมาจากห้องพันเทพ เขาค่อยๆ คลี่กระดาษในมือที่เป็นวิธีรักษาอาการของพันเทพด้วยยางเลือด
“ทำไมพ่อต้องใจร้ายกับผมด้วย ผมอยากจะเกลียดพ่อนัก”
ทิวาช้ำใจที่พันเทพกระทำกับตนเหมือนไม่ใช่ลูก
ไม้เดินเข้าไปตลาด ชาวบ้านกำลังคุยกันเกี่ยวกับลูกผู้ชายที่ไปช่วยคนในวินรถตู้พันเทพ
“ลูกผู้ชายนี่ดีจริงๆ มีเรื่องกับไอ้พันเทพอยู่แท้ๆ ยังไปช่วยมัน”
“ประเสริฐจริงๆ นะ”
“ดีจริงที่ชุมชนเรามีลูกผู้ชายอยู่ จริงมั้ยไอ้ไม้”
ไม้พยักหน้ารับกับแม่ค้า เขายิ้มมีความสุข
คืนนั้นขณะที่เมฆกำลังหลับสนิท เขาก็ฝันว่ากำลังเก็บผ้าที่ตากอยู่หน้าบ้าน อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงประหลาดมาจากมุมหนึ่ง ราวกับคนร้องเพราะบาดเจ็บ เมฆเดินหาแล้วก็ไปเจอฤๅษีตนหนึ่ง นอนจมกองเลือดอยู่ เมฆเข้าไปดู
“คุณครับ คุณ คุณครับ คุณ”
ฤๅษีลืมตาโพลงขึ้นมาเมฆสะดุ้ง
“อย่าใหัมันฆ่าใครอีก อย่าปล่อยให้มันฆ่าใคร”
“ใคร...ใครจะฆ่าใครครับ”
“ไอ้เจ้าเล่ห์นั่น”
“ใครละครับ”
“เวตาล มันกลับมาแล้ว มันกลับมาแล้ว”
เมฆสะดุ้งตื่นขึ้นมา คิดเกี่ยวกับฝันตัวเอง
“เวตาลกลับมา หมายความว่าอะไร”
ไม้รู้สึกตัวเพราะการขยับของพ่อ
“มีอะไรเหรอพ่อ”
“ฝันไม่ค่อยดีน่ะ”
“ฝันว่าอะไรครับ”
“ฝันเกี่ยวกับตัวประหลาดน่ะ”
“คงไม่ใช่ เวตาล ที่พันเทพพูดถึงหรอกนะ”
“แล้วถ้ามันใช่ล่ะ” ไม้ชะงัก
“สัตว์ในตำนาน มันมีแต่ในนิทานเท่านั้นแหละพ่อผมว่าพ่อคิดมากเกินไป”
ไม้บอก แต่คิดหนักกับสิ่งที่เมฆพูด
วันรุ่งขึ้นเมื่อตื่นขึ้นมาเมฆแต่งตัวชุดคนขับรถซะเนี้ยบ ไม้เดินออกมาจากห้องเห็นเมฆ
“พ่อ”
“ลูกทำงานแทนพ่อมานานแล้ว พ่อต้องไปทำงานของพ่อบ้าง” ไม้ยิ้มมีความสุข “เดี๋ยวพ่อไปก่อนนะ”
“พ่อแน่ใจนะว่าไหว”
“เห็นพ่อผิดปกติตรงไหนรึเปล่าล่ะ” เมฆกับไม้ยิ้มให้กัน “พ่อไปก่อนล่ะ ไม่อยากสาย”
ไม้พยักหน้ารับ พอเมฆอกจากบ้านไป ไม้เริ่มค้นหาประวัติทิวาวัยเด็กในบ้าน ตามมุมต่างๆ
“พ่อไปเก็บไว้ไหนนะ”
ไม้ค้นหาประวัติทิวาจนท้อ หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ นั่งลงบนที่นอนเมฆ ท้อใจเอาหมอนมากอด แต่พอไม้ยกหมอนก็เห็นประวัติทิวาวางอยู่
“พ่อเก็บมันไว้ใต้หมอน มันต้องมีความสำคัญอะไรนะ” ไม้เปิดอ่านดู “ทิวาเลือดกรุ๊ปเอบีเหรอ แต่ในประวัติที่อบเชยให้มา มันเป็นกรุ๊ปโอนี่ โรงพยาบาลจะผิดกระทั่งกรุ๊ปเลือดเลยเหรอ”
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่บ้านพันเทพ พันเทพนอนหลับอยู่ทิวาเดินเข้ามานั่งมองหน้าพันเทพ พันเทพยังไม่ตื่น ทิวาก็หยิบมีดขึ้นมาจากกระเป๋าแล้วแทงทะลุพันเทพ
พันเทพสะดุ้งตื่นในห้องของตน เขาสำรวจแผลบริเวณที่โดนแทงในฝัน เขาโล่งใจที่มันเป็นแค่ฝันไป แต่ก็ต้องตกใจเมื่อหันมาเห็นทิวานั่งอยู่ข้างๆ เตียง เหมือนในฝัน
“ฝันร้ายเหรอครับพ่อ”
“อืม”
“ฝันว่าอะไรครับ”
“ช่างมันเถอะ มีอะไรน่ะเรา มาหาแต่เช้า”
ทิวาเอามือล้วงไปในกระเป๋าหาของบางอย่างซึ่งดูเหมือนความฝัน ทิวานึกถึงตอนที่พูดกับเวตาล ว่าจะรักษาพันเทพ หรือปล่อยให้ตายไปซะ ทิวาจึงลังเล
“อะไรอยู่ในกระเป๋าน่ะ” ทิวานิ่ง “คงไม่ได้คิดจะฆ่า...”
ทิวาหยิบของจากกระเป๋ายื่นให้พอดี เป็นเศษกระดาษเล็กๆ หน้าหนึ่ง เขียนเกี่ยวกับวิธีรักษาคนที่โดนฤทธิ์ไม้ตะพด พันเทพรับมาเปิดดู
“ทิวา” พันเทพมองทิวาอย่างซึ้งใจ
“ไม่ต้องขอบใจผมหรอกครับ เพราะผมตัดสินใจแล้ว ว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้าย ที่ผมทำเพื่อพ่อ”
ทิวาพูดนิ่งๆ แล้วเดินออกจากห้องไป พันเทพรีบคลี่ดูวิธีรักษาตนเอง
“ยางเลือดจากต้นไม้ป่าอาถรรพ์เหรอ...เรามีมันแล้วนี่”
พันเทพยิ้มดีใจที่ตนจะกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
ทิวามายืนทอดอารมณ์อยู่ที่ท่าน้ำของวัดเหม่อมองออกไปไกล แล้วนึกถึงตอนที่พันเทพเคยตบ เคยด่าเค้า หรือกระทั่งพูดจาแรงๆ ต่างๆ น้ำตาทิวาเค้าไหลออกมา
“พ่อบังคับผมให้ทำแบบนี้เองนะ”
เมฆแอบดูทิวาอยู่ห่างๆ เห็นทิวายืนร้องไห้เขาเป็นห่วงอยากจะเดินเขาไปหา แต่ก็ได้แต่แอบดู จังหวะก้าวเขาไปเหยียบเอาห่อขนมที่ถูกทิ้งไว้ตรงนั้น ส่งเสียงแกร็บดังจนทิวาได้ยิน
“นั่นใครอยู่ตรงนั้นน่ะ” ทิวาเช็ดน้ำตา เมฆยังไม่กล้าปรากฏตัวออกไป “ชั้นถามว่าใคร” เมฆยังเงียบ”ถ้าไม่ออกมา ชั้นเอาตายแน่” ทิวาจะเดินไปหาเมฆ แต่แล้วเมฆก็ปรากฏตัวออกมา ทิวาเห็นก็อารมณ์ขึ้นทันที “นี่แกอีกแล้วเหรอ”
“ทิวาเป็นอะไรรึเปล่า” เมฆถามอย่างเป็นห่วง
“หึหึ ถามยังกับเป็นพ่อ พ่อชั้นแท้ๆ ยังไม่เคยถามชั้นแบบนี้เลย แล้วแกเป็นใคร”
“พอดีเดินผ่านมา เห็นท่าทางไม่ค่อยสบายใจ”
“ยุ่งอะไรด้วย”
“พันเทพมันดูแลดีรึเปล่า”
“แกพูดยังงี้หมายความว่ายังไง แกอยากโดนกระทืบอีกทีใช่มั้ย”
ทิวาเข้ามากระชากคอเสื้อเมฆ เงื้อมมือจะต่อย ไม้วิ่งเข้ามาพอดี
“หยุดนะ” ไม้ผลักทิวาออกจากเมฆ “ทำไมแกต้องตามราวีพ่อชั้นด้วย”
“ชั้นเนี่ยเหรอตามราวีพ่อแก แกลองถามไอ้เป๋นี่ดูก่อนดีมั้ย ว่าใครกันแน่ที่เป็นคนตามราวี”
ไม้มองเมฆ เริ่มไม่แน่ใจในเหตุการณ์
“หมายความว่ายังไงน่ะพ่อ ก็พ่อบอกจะออกมาทำงานแล้วทำไม”
เมฆอึกอัก ไม่รู้จะอธิบายยังไง
“ก็หมายความว่าพ่อแกคงอยากจะให้ชั้นกระทืบซ้ำอีกซักทีละมั้ง” เมฆก้มหน้า ไม่กล้าสบตาไม้ “ดูแลพ่อแกให้ดี อย่าปล่อยให้มายุ่งเรื่องของชั้นอีก ไม่งั้นชั้นไม่รับผิดชอบสิ่งที่จะเกิดขึ้น”
ทิวาผลักอกไม้เดินออกไป ไม้มองเมฆอย่างสงสัย เมฆไม่กล้าสบตาไม้
“ไปเถอะพ่อ เดี๋ยวชั้นพาไปส่งที่ท่ารถ”
ที่บ้านพันเทพ พันเทพพยุงตัวเองลุกขึ้นมองขวดยางเลือดจากป่าอาถรรพ์ เขากำลังจะยกดื่ม
เวตาลก็เข้ามาขัดจังหวะ
“เจ้าคิดจะกินมันจริงๆ น่ะเหรอ”
“ทำไม...อยากให้ชั้นตายนักรึไง”
“ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก...เพียงแต่ข้ามาเตือนเจ้า เพราะเจ้าอาจจะลืมไปว่า จุดประสงค์แท้จริงที่เจ้าเอายางเลือดนี่มาเพราะอะไร”
“เพื่อฆ่าไอ้เมฆเจ้าของไม้ตะพดวิญญาณ”
“ถูกต้อง เพราะว่าเจ้าของไม้ตะพดทั้งสองอัน ไม่สามารถฆ่ากันเองได้ หากไม่มียางเลือดฤๅษี แล้วก็ตำราหนังเสือ ถ้าเจ้ากินยานั่นตอนนี้...เจ้าก็อาจจะตัดโอกาสตัวเองที่จะได้ครอบครองไม้ตะพดทั้งสองอัน”
“แต่...ชั้นไปเอาใหม่ก็ได้ ไอ้ยางเลือดนั่น ไม่เห็นจะยาก ป่าอาถรรพ์ข้ารู้วิธีเข้าออกแล้ว”
“หึหึ เจ้าน่ะ...ทำตัวเป็นคนไม่รู้อีกแล้วนะ”
“หมายความว่าไง”
“ข้าคงลืมบอกเจ้าไป ว่าป่าอาถรรพ์ สำหรับคนที่หาทางออกจากมันได้ จะไม่มีวันกลับเข้าไปได้อีก”
“ห๊า”
เวตาลหัวเราะมีความสุข
“ข้าเลยมาเตือนเพื่อนข้าให้คิดดีๆ ว่าตกลงเจ้าควรจะกินหรือไม่กินยางเลือดฤๅษีนี่ดี”
พันเทพเริ่มลังเลขึ้นมา
ขณะนั้นที่ตลาดทิวาเดินเก็บค่าแผงในตลาดพร้อมกับสมุน ไม้เดินเข้าไปขวางทางจ้องหน้าทิวา
“อะไรของแกอีก เมื่อกี้ก็พ่อนี่ก็ลูก นี่วอนจะมีเรื่องจริงๆ ใช่มั้ย”
“ชั้นขอคุยกับแกหน่อย”
“เรื่องอะไร คนอย่างชั้นมีเรื่องต้องคุยกับแกด้วยเหรอ” ไม้ยื่นประวัติทิวาทั้งสองอันให้ทิวาดู “ประวัติชั้น...ก็ไม่เห็นมีอะไร”
“แต่ชั้นเจอมันที่บ้านชั้น ชั้นเลยอยากรู้ว่ามันมีอะไร”
“บ้านแก”
ทิวามาคุยกับไม้ที่ท่าน้ำ ทิวาเปิดอ่านประวัติของตัวเองอย่างละเอียดเห็นข้อมูลที่ไม่ตรงกันของประวัติตอนเด็กกับประวัติตอนโต
“ประวัติตอนแรกเกิดนี่มั่วชัดๆ กรุ๊ปเลือดชั้นโอต่างหากใช่เอบีซะที่ไหน”
“ชั้นอยากรู้ ว่าทำไมประวัติแก ถึงไปอยู่บ้านชั้นได้”
“ชั้นคงอยากให้ใครรู้ว่าตอนแรกเกิดชั้นหน้าตายังไงก็เลยเอาประวัติชั้นไปแจกเป็นใบปลิวมั้ง แกถามชั้นแบบนี้ชั้นจะไปรู้ได้ยังไง ของเก่าเก็บเท่าอายุชั้นขนาดนี้ ชั้นจะไปรู้ได้ยังไง” ทิวาโยนประวัติทิ้ง
“เมื่อเช้าที่แกเจอพ่อชั้นที่นี่ พ่อชั้นพูดอะไรกับแก”
“หึไอ้เป๋นั่นน่ะเหรอ ก็แค่ทำตัวเป็นคนแสนดี มาเป็นห่วงเป็นใย ยุ่งไม่เข้าเรื่อง” ไม้สงสัยเกี่ยวกับพ่อตัวเอง “แกแน่ใจเหรอว่าพ่อแกหายบ้าแล้วน่ะ ยังมายุ่งเรื่องของชั้นทำยังกับชั้นเป็นลูก เหมือนตอนเป็นบ้าไม่มีผิด ชั้นละเกลียดพวกแกนัก ชอบเข้ามาพัวพันกับชีวิตชั้นไม่จบไม่สิ้น พ่อชั้นเองก็ห่วงแกนักหนา เป็นบ้ากันไปหมด”

ไม้ยิ่งสงสัยมากขึ้น
ในขณะที่ไม้กลับมาที่ท่ารถบขส. เห็นจันทร์อยู่ใต้ท้องรถ และกำลังซ่อมรถอยู่ ไม้จึงเดินมาหา

“จันทร์”
จันทร์สไลด์ตัวออกมา
“แกเองเหรอ มีอะไรวะ”
“พ่อออกไปวิ่งรถแล้วใช่มั้ย”
“อืม”
“ขอบใจมากนะที่แกกับอบเชยเข้าไปเอาประวัติทิวาที่รพ.ให้ชั้น”
“ไม่เป็นไร เรื่องเล็กน้อย”
“แกว่าเรื่องนี้ มีอะไรแปลกๆ รึเปล่าวะ”
“เรื่องอะไร”
“ที่ประวัติตอนเด็กๆ ของทิวา ไม่ตรงกับประวัติปัจจุบัน”
“ที่ไม่ตรงคือ?”
“กรุ๊ปเลือด จากเมื่อก่อนเอบีแต่เดี๋ยวนี้เป็นโอ”
“มันไม่มีทางเปลี่ยนได้อยู่แล้วเรื่องกรุ๊ปเลือดคนน่ะ เกิดมาเป็นกรุ๊ปไหนก็ต้องตายไปกรุ๊ปนั้น ถ้ามันจะไม่เหมือนกันมันก็ต้องคนละคน”
“แล้วเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนวะที่โรงพยาบาลจะผิดพลาด”
“ไอ้เรื่องประวัติแรกเกิดเนี่ย เท่าที่ชั้นรู้มาพอเด็กเกิดปั๊บเค้าตรวจตรงนั้นเลย จดรายละเอียดทั้งหมด สีผม สีตา ตำหนิต่างๆ บนร่างกาย แล้วก็ตรวจเลือด แล้วถ้ามาคิดดูเมื่อก่อนก็เป็นระบบจดใส่แฟ้มประวัติตรงนั้นเลย ไม่ได้มาพิมพ์ใส่ทีหลังในคอมพิวเตอร์เหมือนเดี๋ยวนี้ ชั้นว่ามันก็ผิดพลาดน้อยมากว่ะ ถ้าผิด ก็น่าจะผิดที่ประวัติตอนโตมากกว่า”
“แต่เจ้าตัวก็ยืนยันว่าตัวเองเป็นเลือดกรุ๊ปโอ ซึ่งตรงกับประวัติปัจจุบัน
“ถ้างั้น...ชั้นว่ากลิ่นทะแม่งๆ ว่ะ ทิวาตอนเด็กกับทิวาตอนโตอาจจะเป็นคนละคน”
“เอ๊า ก็ไหนบอกว่าประวัติตอนเด็กมันผิดพลาดน้อยไง”
“ชั้นไม่ได้บอกว่าประวัติไหนผิดเว้ย...แต่ชั้นบอกว่าเป็นคนละคน” ไม้งง “เอ่อ อธิบายไงดี แกเคยดูละครหลังข่าวป่ะ ที่แบบลูกสลับกันตอนเด็ก อะไรแบบนั้นน่ะ”
“ประเด็นคือ”
“ชั้นจะบอกว่าละครมันสนุกดีมั้ง เฮ้ย... ก็จะบอกว่าไอ้ทิวาอาจจะถูกสลับตัวตอนเด็ก ทิวาในประวัติเด็กน้อยกับทิวาตอนนี้มันคนละคน”
“แล้วไงต่อวะ”
“ชั้นยังไม่แน่ใจว่ะ ว่ามันเกี่ยวกับลุงเมฆยังไงหรือว่า...”
“หรือว่าอะไร”
จันทร์ไม่กล้าพูดสิ่งที่ตัวเองคิด
“ไม่มีอะไร ชั้นว่ามันไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับลุงเมฆเลย อย่าไปสนใจเลยว่ะ”
ไม้ยังไม่คลายความสงสัย ส่วนจันทร์เองเหมือนจะรู้อะไรมากกว่าไม้ซะอีก
ที่บ้านพันเทพ พันเทพค่อยๆ นั่งลงหน้ากระจก ขนาดแค่นั่งเบาๆ เขายังร้องโอดโอย พันเทพดูขวดยางเลือดในมือหยิบรูปทิพย์ออกมา แล้วคุยกับทิพย์ในรูปถ่าย
“ถ้าผมไม่กินนี่ก็เหมือนผมฆ่าตัวเอง แต่ถ้าผมกินก็เหมือนกับตัดอนาคตตัวเองเหมือนกัน ผมควรจะทำยังไงดีละทิพย์ ในเมื่อดูเหมือนผมจะไม่ได้สิ่งที่ต้องการทั้งคู่” พันเทพมองรูปทิพย์ ก็นึกถึงไม้ขึ้นมา
“จริงสิ ลูกของเรา ถ้าผมบอกความจริงกับเขา เขาอาจจะยอมให้ไม้ตะพดวิญญาณเราแต่โดยดีก็ได้ ก็แค่ไอ้เมฆ ไอ้กระจอกคนนึง ไม่ได้เกี่ยวข้องทางสายเลือดจะมาขัดขวางคนที่มีสายเลือดเดียวกันได้...ใช่มั้ย”
พันเทพยิ้มออกเมื่อคิดสิ่งนั้นได้ เขายกยางเลือดเทเข้าปากอักอัก
ขณะนั้นไม้นั่งเหม่ออยู่ที่ท่ารถบขส. หน้าเขามีคราบน้ำมันรถเปื้อนอยู่ แพรวาเดินเข้ามา
“ไม้อยู่พอดีเลย”
“อ้าว คุณแพรวา มาหาคุณไกรเหรอครับ” แพรวายิ้มหวาน “คุณสองคนดีกันแล้ว ดีใจด้วยนะครับ”
“มันก็ไม่เชิงแบบนั้นหรอก ไม้...หน้าเปื้อนแน่ะ”
ไม้พยายามเอามือเช็ดแต่มันก็ไม่ออก แพรวาจึงหยิบผ้าเช็ดหน้าตนเช็ดให้ไม้ ไกรออกมาเห็นพอดี เขาหึงอยู่ในใจ แต่ก็ไม่แสดงออกนัก
“ผมมาขัดจังหวะอะไรรึเปล่าครับ”
“คุณไกร...คุณแพรวามาหาคุณน่ะครับ”
“เรื่องนั้นชั้นรู้แล้ว ไม้อยากบอกเรื่องอื่นที่ชั้นยังไม่รู้รึเปล่า”
“ก็ไม่มีนี่ครับ”
“ไม่มีก็ดีแล้ว เพราะชั้นเป็นคนชอบให้พูดตรงๆ กันมากกว่า ไม่ชอบให้ใครมาทำอะไรลับหลัง”
ไม้ยิ้มๆ ไม่รู้ว่าไกรพูดถึงเรื่องอะไรแน่ “แพรวาออกมาหาผมแบบนี้ ที่บ้านไม่ว่าเหรอ”
“ช่วงนี้พ่อไม่ค่อยสบาย แล้วที่วินรถตู้ก็เพิ่งมีเรื่อง คนของพ่อก็เลยไปคุมอยู่ที่อื่นซะมากกว่า”
“ก็ดีครับ ...”
เจ๊กีออกมาขัดจังหวะ
“ดีอะไร มันมีอะไรดีตรงไหน ลื้อถึงไม่ฟังคำสั่งอั๊วห๊ะอาไกร”
ทุกคนสะดุ้งโหยงเมื่อเจ๊กีออกมา ไกรกับแพรวาหน้าเสีย
“คือม้าครับ...ผม”
ไม้เห็นท่าไม่ดี จึงดึงมือแพรวาไปจับต่อหน้าไกร
“คุณแพรวาเค้าไม่ได้มาหาคุณไกรหรอกครับ เค้ามาหาผมเอง”
เจ๊กีมองมือไม้กับแพรวาที่จับกันแน่น ไกรเองก็มองอย่างไม่ค่อยพอใจนัก
“อีเป็นแฟนลื้อเหรออาไม้”
“ครับ”
“จริงเหรออาไกร”
ไกรต้องจำใจตอบ
“จริงครับ”
“ชิ มาปั่นหัวผู้ชายไปทั่ว นี่ดีไม่ดีเดี๋ยวอาไม้ อาไกรก็ต้องแตกคอกันเพราะลื้อ ลื้อนี่มันแย่เหมือนเตี่ยลื้อ”
“พอเถอะม้า...”
“ลื้อมาห้ามอั๊วได้ยังไง ลื้อเป็นลูก... อั๊วอยากจะเตือนลื้อด้วยนะอาไม้ ระวังให้ดี อีน่ะพาแต่เรื่องเดือดร้อนมาให้ อั๊วเชื่อว่าถ้าอาเมฆรู้ อาเมฆก็ต้องไม่พอใจ” ไม้กับแพรวาได้แต่ทำหน้าแหย ไกรยังจ้องมือไม้กับแพรวาไม่วางตา “จะพากันไปไหนก็ไป อย่าให้อีมาอยู่นี่นานๆ อั๊วไม่ชอบ”
“ครับ”
เจ๊กีเดินชนแพรวาอย่างไม่พอใจ แพรวาเซไป ไม้เข้าไปประคองทุกอย่างอยู่ในสายตาของไกร
“เป็นไรรึเปล่าครับคุณแพรวา”
“ขอบใจไม้มากนะที่ช่วยออกรับแทนชั้นกับคุณไกร ไม่งั้นแย่แน่ๆ”
“ไม่เป็นไรครับ”
“แต่วันหลังไม่ต้องก็ได้นะ”
ไกรบอกอย่างไม่พอใจแล้วจูงมือแพรวาเดินออกไป ไม้มองไม่ค่อยเข้าใจนัก
ทางด้านทิวาขณะนั้นนั่งกินเหล้าอยู่ในร้านอาหารและพร่ำเพ้ออยู่คนเดียว
“ทำไมถึงไม่มีใครรักชั้น พ่อก็ทำยังกับชั้นไม่ใช่ลูก ขนาดตัวเองจะตายอยู่แล้ว ยังไม่คิดจะยกอะไรให้ชั้นซักอย่าง หึหึ อบเชยก็เหมือนกัน ดูสิพอไม่มีเงื่อนไขอะไร ก็ไม่เคยมาสนใจชั้นซักนิด ทำไม”
ขณะที่ทิวากำลังพร่ำเพ้อถึงชีวิตตัวเอง อบเชยก็ถือข้าวของที่ซื้อไว้ทำกับข้าวเดินผ่านหน้าร้านพอดี ทิวาเห็นรีบวิ่งออกไปดักหน้าอบเชยไว้
“สวัสดีอบเชย ไม่เจอกันหลายวันเลยนะ”
“แกอีกแล้วเหรอ”
“ทำไมพูดจาห่างเหินกันแบบนี้ล่ะ เราเป็นแฟนกันนะ ...แล้วอีกนิดเดียวชั้นก็เกือบจะได้เป็น...ผัวเธอแล้ว”
อบเชยตบทิวาจนหน้าหัน
“แกอย่ามาพูดจาน่ารังเกียจกับชั้นแบบนี้ ชั้นไม่ฆ่าแกให้ตายก็บุญแค่ไหนแล้ว”
“ก็ฆ่าชั้นสิ ฆ่าเลย ชั้นไม่ได้อยากมีชีวิตอยู่นักหรอก ฆ่าสิ” ทิวาดึงมืออบเชยไปตีตัวเอง “แทงเข้ามาตรงหัวใจตรงนี้เลย ทำสิ” ชาวบ้านเริ่มมอง
“ปล่อยนะ เธอเมาแล้วทำทุเรศคนเดียวก็ทำไป อย่าทำให้ชั้นอายไปด้วย”
“มันน่าอายมากเลยใช่มั้ย ที่รู้จักกับไอ้ทิวาน่ะ มันน่าอายตรงไหน”
“ทิวา”
ทิวาหันไปบอกชาวบ้าน
“ยุ่งอะไร เรื่องผัวเมียจะคุยกัน ไป๊”
ชาวบ้านต่างแตกฮือ
“ทิวา อย่าเอาชั้นเข้าไปเกี่ยวกับชีวิตของเธอ ชั้นกับเธอไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน”
อบเชยเดินหนีทิวา ทิวาพุ่งเข้ากอดอบเชยไว้แน่นจากด้านหลัง อบเชยดิ้นไม่หลุด
“ชั้นไม่ให้เธอไปไหนหรอกอบเชย”
“ทิวาปล่อย”
อบเชยพยายามดิ้นแต่ก็ดิ้นไม่หลุด เธอไม่รู้จะทำยังไง จึงเอาพริกขี้หนูที่เธอซื้อมาในถุงหยิบออกมากำแน่น
“เธอจะฆ่าชั้นด้วยพริกนั่นน่ะเหรอ” อบเชยกำพริกจนเละในมือแล้วเอามือป้ายตาทิวา ทิวาแสบร้อนจึงปล่อยอบเชย ทิวาดิ้นพล่าน “โอ๊ย ขอน้ำหน่อย น้ำ”
“เป็นไง สร่างเมาเลยเหรอ ถ้าแกขืนมายุ่งกับชั้นอีก ชั้นเล่นแกแสบกว่านี้แน่”
อบเชยมองทิวาที่ดิ้นพล่านวิ่งไปวิ่งมายิ้มๆ แล้วก็เดินจากไป
“ช่วยด้วย โอ๊ยแสบ ช่วยด้วย”
อบเชยเดินผ่านตลาดยิ้มๆ ที่เอาคืนทิวาได้
“สมน้ำหน้า เล่นกับใครไม่เล่น”
อบเชยยืนดูพริกขี้หนูเละในมือตัวเองอย่างสะใจ แต่ยังไม่ทันไร คนที่เดินสวนมาก็ชนเธอพริกในมือเธอกระเด็นเข้าหน้า มือที่เปื้อนก็ปัดโดนตาพอดี
“โอ๊ย...แสบ”
อบเชยแสบตาน้ำตาไหล เดินตาหยีร้องไห้อยู่ริมถนน รถเจ๊กีขับผ่านมาพอดี เจ๊กีเปิดกระจกคุยกับอบเชย
“อาอบเชย ลื้อเป็นอะไร มาๆ ขึ้นรถมากับอั๊ว”
“ก่อนที่จะถามอะไร ขอน้ำก่อนค่ะ น้ำ”
เจ๊กีรีบส่งน้ำยื่นให้อบเชย
อบเชยขึ้นมานั่งบนรถเจ๊กีตาแดงก่ำเพราะฤทธิ์พริก แต่เธอสามารถลืมตา พูดคุยได้ปกติแล้ว
“ขอบคุณนะคะเจ๊กี”
“ไม่เป็นไร”
“พอดีเมื่อกี้”
“อั๊วเข้าใจลื้อ” เจ๊กีลูบหัวอบเชยปลอบใจ “มันเป็นเรื่องที่ยากจะทำใจ ลื้อต้องอดทน”
“หืม เข้าใจ”
“ถ้าเป็นอั๊ว อั๊วก็คงแย่ เพราะลื้อกับอาไม้ก็สนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็ก จู่ๆ อีเป็นใครมาจากไหน มาแย่งอาไม้ไปหน้าตาเฉย หยำฉ่าจริงๆ”
“แย่งไม้ไป”
“อั๊วเข้าใจ ตอนนี้ลื้อยังงงๆ ลำดับเรื่องราวไม่ค่อยถูก มันเหมือนฝันที่อยู่ๆ คนก็มาปลุก จะพูดอะไร จะบอกใครก็ลำบาก อาไม้นี่ก็จริงจริ๊ง ไปหลงนางแพรวานั่นได้ อั๊วเป็นคนนอกยังดูออกเลย ว่าลื้อดีกว่านางแพรวานั่นเป็นไหนๆ อาไม้ไม่น่าเอานางแพรวานั่นทำแฟนเลยจริงๆ”
“ไม้กับแพรวาเป็นแฟนกันเหรอคะ ใครบอกเจ๊กีคะ ข่าวลือรึเปล่า”
“อย่าหลอกตัวเองเลยอาอบเชย มันเป็นเรื่องที่ยังไงลื้อก็ต้องยอมรับนะ”
“เจ๊กีรู้ได้ยังไง”
“ก็เมื่อบ่ายนี้อาไม้ก็นางแพรวาจับไม้จับมือยอมรับกับอั๊ว ว่าอีสองคนคบกัน”
อบเชยอึ้ง หน้าชาพูดอะไรไม่ออก
เจ๊กีส่งอบเชยแล้วจึงมาหาหลวงพ่อที่กุฏิ เจ๊กียื่นแผ่นกระดาษซึ่งเป็นวันเดือนปีเกิด และเวลาตกฟากให้กับหลวงพ่อ
“นี่อะไรเนี่ยโยม”
“อั๊วอยากให้หลวงพ่อดูดวงให้อาไกรหน่อย พวกเรื่องเนื้อคู่อะไรพวกนี้”
“ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติเถอะโยม”
“อั๊วนะอ่านหนังสือมาว่าปีนี้ดวงอาไกรตกทับราหู อั๊วเป็นห่วงอี ตอนวันเกิดที่จะทำบุญ อีก็โดนจับตัวไปอีก บุญก็ไม่ได้ทำ แถมยังไปพัวพันกับครอบครัวไอ้พันเทพ อั๊วละเป็นห่วงอีนัก หลวงพ่อช่วยดูดวงไอ้อีหน่อยไม่ได้เหรอ ถ้ามันไม่ดี อั๊วจะพาอีไปสะเดาะเคราะห์ แก้ชงกับหลวงพ่อเสือซะหน่อย”
“ถ้าคิดว่ามันไม่ดี โยมก็ไปแก้ชงเลยสิ จะได้สบายใจ”
“ก็ถ้าเผื่อมันดี อั๊วก็อยากรู้ จะได้สบายใจเหมือนกัน”
หลวงพ่อส่ายหน้าระอา
“เอา...ถ้าไม่ดูให้ อาตมาก็คงเป็นสาเหตุให้โยมทุกข์ใจสินะ อ่ะ ดูก็ดู”
“ขอบคุณมากค่ะหลวงพ่อ”
เวลาผ่านไป หลวงพ่อเขียนดวงบนกระดานชนวนขนาดย่อมเสร็จ
“เป็นยังไงบ้างคะหลวงพ่อ” หลวงพ่อเห็นดวงไกรถึงกับขมวดคิ้ว “เป็นไงคะ ดีหรือไม่ดี”
“เดี๋ยวนี้โยมไกรเค้ายังฝึกสมาธิอยู่บ้างรึเปล่า”
“ก็ไม่ค่อยเห็นนะ งานอีเยอะแล้วอีก็มีเรื่องอะไรสารพัด”
“ฝากบอกโยมไกรนะ ว่าให้อีหาเวลาฝึกสติ ฝึกสมาธิ แบบที่อาตมาเคยสอนบ้าง”
“หมายความว่าไงหลวงพ่อ ดวงอาไกรไม่ดีใช่มั้ย”
“มันก็ไม่เชิงหรอก มันอยู่ที่โยมไกรเค้าตัดสินใจว่าจะเลือกเดินทางไหน ในดวงนี่...มีผู้หญิงเข้ามาเกี่ยวข้อง เท่าที่อาตมารู้จักโยมไกรมา ไม่เคยเห็นโยมไกรยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิง อาตมาเลยเป็นห่วง”
“ตายแล้ว ผู้หญิงเหรอ นางแพรวาแน่ๆ เลย นางนี่มารยามันเยอะ คงเที่ยวปั่นหัวคนไปทั่ว เดี๋ยวอั๊วจะต้องจัดการขั้นเด็ดขาดกับอาไกรไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยวกับอีเลย คอยดู”
“ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นละโยม ของแบบนี้...ยิ่งไปตึงใส่ จะทำให้ขาดซะเปล่าๆ คอยดูให้มันอยู่ในลู่ในทางก็พอ”
“คนเป็นแม่นะหลวงพ่อ จะให้นั่งดูเฉยๆ ได้ยังไง”
เจ๊กีเป็นห่วงไกร หลวงพ่อเองก็เป็นห่วงไม่แพ้กัน
อบเชยกำลังคิดเรื่องที่เจ๊กีบอกว่าไม้กับแพรวาเป็นแฟนกัน อบเชยหน้าเศร้า เธอเดินเข้าบ้านตัวเองหงอย แต่แล้วก็ต้องตกใจที่เจอไม้ยืนอยู่หน้าบ้าน
“กลับมาแล้วเหรอ”
อบเชยทำหน้าไม่ถูกที่ต้องมาเจอกับไม้ตอนนี้
“มานานรึยัง”
“ซักพักแล้วล่ะ แต่อาศรไม่อยู่บ้านก็เลยเข้าไปไม่ได้”
“มาหาพ่อเหรอ พ่อเข้าไปในตัวจังหวัดคืนนี้ไม่กลับหรอก”
“เปล่า...มาหาเธอน่ะแหละ มีเรื่องจะคุยด้วย”
อบเชยหน้าเสีย เข้าใจว่าไม้จะมาบอกเรื่องแพรวา
“เอ่อ ถ้าเป็นเรื่องนั้นไม่ต้องบอกชั้นหรอก ชั้นไม่อยากรู้”
“ฮึ”
“ปล่อยให้ชั้นเข้าใจอย่างที่ชั้นเข้าใจเถอะ ชั้นไม่อยากได้ยินอะไรทั้งนั้น ให้ชั้นได้อยู่ตรงที่เดิมที่ชั้นเคยอยู่เถอะ ชั้นสัญญาว่าจะไม่ถามอะไร ไม่ไปวุ่นวายกับใครทั้งนั้น”
“เธอพูดเรื่องอะไร”
อบเชยทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดอะไรขึ้น
“เข้ามาในบ้านสิ ชั้นซื้อของมาทำกับข้าวเต็มเลย เดี๋ยวชั้นทำให้ไม้กินนะ”
อบเชยไขกุญแจเดินเข้าบ้าน ฝืนยิ้มมีความสุข
อบเชยเอาอาหารที่ทำเสร็จแล้วมาวางบนโต๊ะแล้วฝืนยิ้มกับไม้
“กินสิไม้ ของโปรดไม้ทั้งนั้นเลย”
“อบเชย เธอเป็นอะไรรึเปล่า”
“เปล่านี่ กินกันเถอะ ชั้นหิวจะแย่”
อบเชยทำเป็นกินไม่สนใจไม้ ไม้มองอบเชยสงสัย
“อบเชย ชั้น...”
อบเชยไม่อยากได้ยินที่ไม้จะพูด
“นี่ชั้นมีลอดช่องด้วยนะ เดี๋ยวชั้นไปเอามาให้ดีกว่า”
“ไม่ต้อง...”
อบเชยไม่ฟังเดินหายเข้าไปในครัว
อบเชยเข้ามาในครัว แม้เธอพยายามเข้มแข็ง แต่น้ำตาก็ยังไหลออกมาอยู่ดี อบเชยปาดมันทิ้ง
“อย่าร้องสิอบเชย เธอต้องเข็มแข็งกว่านี้ เธอต้องไม่ทำให้ไม้ลำบากใจนะ”
แต่เหมือนยิ่งเธอห้ามตัวเองเท่าไหร่ น้ำตาก็ยิ่งพรั่งพรูออกมา ไม้เดินเข้ามาอบเชยรีบหลบหน้า
“อบเชย เธอเป็นอะไรรึเปล่า”
“เปล่านี่ ชั้นแค่หาถุงลอดช่องไม่เจอน่ะ ชั้นว่าชั้นซื้อมานะ แต่ไม่รู้มันอยู่ไหน”
ไม้มองเห็นถุงลอดช่องอยู่ใกล้ๆ กับอบเชยนั่นแหละ ไม้เดินไปหยิบแล้วยื่นให้อบเชย จึงเห็นว่าอบเชยร้องไห้
“อบเชย เธอร้องไห้เหรอ”
พอไม้จับได้ น้ำตาจึงไหลเหมือนเขื่อนแตก แต่อบเชยก็ยังปฏิเสธ
“เปล่า ฝุ่นมันเข้าตาน่ะ”
ไม้คว้ามือทั้งสองอบเชยดึงให้อบเชยมาเผชิญหน้า
“พัดลมในครัวคงแรงมากสินะ ถึงพัดฝุ่นเข้าตาได้” อบเชยหลบหน้าไม้ “อบเชย เธอเป็นอะไร”
อบเชยส่ายหน้า ไม่มองตาไม้ ไม้ดึงอบเชยเข้ามากอดไว้ในอกอย่างเป็นห่วง
“ถ้ากอดชั้นแล้ว อย่าปล่อยนะ”
อบเชยร้องไห้ตัวสั่น ไม้ลูบหัวปลอบเธอ
อบเชยนอนบนเตียง ไม้ห่มผ้าให้
“ดึกแล้ว ชั้นกลับก่อนนะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้าจะไม่ดี”
อบเชยคว้ามือไม้ไว้
“รอให้ชั้นหลับก่อนได้มั้ย ชั้นไม่อยากเห็นเธอเดินออกไป”
“นี่ตกลงเธอจะไม่บอกชั้นซักนิดเลยใช่มั้ยว่าเธอมีเรื่องอะไรไม่สบายใจ”
อบเชยส่ายหน้า
“ขอแค่ไม้ยังอยู่กับชั้นก็พอ”
“เอา ไม่บอกก็ไม่บอก”
อบเชยยิ้มเศร้าๆ จับมือไม้ไว้ไม่ปล่อย
อีกด้านหนึ่งขณะนั้นไกรขับรถไปส่งแพรวาที่รถที่แพรวาจอดไว้
“แพรวา ผมขอถามอะไรคุณหน่อยสิ”
“คะ”
“คุณคิดยังไงกับไม้”
“ไม้ก็เป็นคนดี...มีน้ำใจ ช่วยเหลือชั้นตลอดเลย”
“ผมไม่ได้ถามว่าไม้เป็นคนยังไง ผมถามว่าคุณคิดยังไงกับไม้”
“แค่รู้สึกอบอุ่นที่ได้อยู่ใกล้ๆ ไม่ได้รู้สึกอะไรมากกว่านั้นค่ะ” ไกรไม่พอใจนัก
“แค่นั้นก็มากไปแล้ว”
“ที่คุณรู้สึกว่ามาก อาจเพราะคุณไม่เคยถามว่าชั้นคิดยังไงกับคุณ”
“แล้วคุณคิดยังไงกับผม”
“ชั้นพยายามทำทุกอย่าง เพื่อให้เรามาอยู่ตรงจุดนี้”
ไกรยิ้มพอใจ ยื่นมือไปจับมือแพรวา
“คุณอย่าลืมความรู้สึกนี้นะ”
ไกรกับแพรวายิ้มให้กัน
อบเชยนอนกุมมือไม้จนหลับไป ไม้นั่งกุมมืออบเชยจนหลับไปเช่นกัน แล้วไม้ก็สะดุ้งตื่น
“เผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย” ไม้มองดูอบเชยที่หลับไม่รู้เรื่องเหมือนเด็ก เขามองอย่างเอ็นดู ลูบหัวอบเชย “ใครทำอะไรเธอนะอบเชย”
ไม้มองอบเชยที่หลับนิ่ง แล้วเหมือนมีแรงดึงดูดบางอย่างให้เขาโน้มตัวเข้าไปใกล้เธอ ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จนปากแทบจะชนกัน แล้วไม้ก็รู้สึกตัวซะก่อน เขาหยุดการกระทำนั้น แล้วถอยออกมาก่อนที่จะทำอะไรลงไป ไม้ลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องไป พร้อมส่ายหน้าระอาตัวเอง
ทางด้านพันเทพหลังจากกินยางเลือด พันเทพก็กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง พันเทพขยับปกเสื้อภูมิฐาน ส่องกระจก
“ชั้นกลับมาคราวนี้ มีเรื่องต้องสะสางมากมาย”
พันเทพยิ้มเจ้าเล่ห์ให้ตัวเองในกระจก
พันเทพมาที่บ้านเต็กกง ขณะนั้นเต็กกงกำลังกินอาหารเช้าอย่างเอร็ดอร่อย เต็กกงกำลังจะเอาข้าวเข้าปากแต่โดนเหมือนอะไรดีดจึงหงุดหงิด
“ใครวะ แน่จริงก็ออกมาสิ”
พันเทพเดินออกมาจริงๆ เต็กกงถึงกับสะดุ้ง
“ทำไม...ถึงกับสะดุ้งเลยเหรอ คนคาบข่าวคนเดิมเค้าไม่ได้บอกเหรอว่าชั้นน่ะ หายดีแล้ว”
พันเทพยิ้มอย่างร้ายกาจ
เต็กกงถูกมัดอยู่บนเตียงนอนตัวเอง จนขยับไม่ได้
“คราวนี้แกจะได้เข้าใจหัวอกคนที่นอนอยู่บนเตียง แล้วดูกิจการตัวเองย่อยยับไปกับตา”
พันเทพโทรสั่งการลูกน้องที่สแตนบายรออยู่
“จัดการได้เลย” พันเทพวางหู “ทีนี้ ท่ารถปอ.ของแก ก็คงจะพินาศไม่ต่างจากที่แกทำกับวินรถตู้ของชั้น แล้วจำใส่กะโหลกแกไว้เลยนะ คนระดับแกกับชั้นมันคนละชั้นกัน อย่าคิดมายุ่งกับกิจการของชั้นอีก ไม่งั้นแกตายแน่”
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่บ้านพันเทพ ทิวายืนอยู่หน้าห้องพันเทพ แต่พันเทพไม่อยู่ที่ห้องทิวาจึง
ยืนช้ำใจอยู่ตรงนั้น
“พ่อคงหายดีแล้วตามวิธีที่ชั้นบอก แต่พ่อก็ไม่เคยมาขอบคุณชั้นซักคำ”
“แล้วเจ้ายังจะให้โอกาสกับเค้าอีกมั้ยล่ะ ข้าเห็นเจ้าน่ะ ทำร้ายคนได้ทุกคน แต่ยกเว้นพันเทพที่เอาแต่ทำร้ายเจ้า” เวตาลปรากฎตัวพูดขึ้นมา
“อย่ามาพูดทำเป็นรู้ดีหน่อยเลยน่า”
“ต่อไปนี้เจ้าจงตัดสินใจ ว่าจะทำอย่างไรกับพันเทพดี”
“ชั้นตัดสินใจแล้ว”
“ช่วยบอกให้ข้ารู้ซักหน่อย เกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ในใจของเจ้า”
“ทางเดียวที่จะทำให้ชั้นมีอำนาจ คนนับถือ และยอมสยบให้ชั้น คือไม้ตะพด”
“พูดได้ถูกใจข้านัก ดูเหมือนว่า…อะไรๆ จะสนุกขึ้นแล้วสินะ”

เวตาลหัวเราะออกมา





Create Date : 24 มีนาคม 2555
Last Update : 24 มีนาคม 2555 2:08:37 น.
Counter : 332 Pageviews.

0 comment
ลูกผู้ชายไม้ตะพด ตอนที่ 10 (ต่อ)




ที่ท่ารถบขส.จันทร์ยืนรอชาญอย่างร้อนใจ จนกระทั่งชาญเดินเข้ามา

“ตกลงได้เรื่องมั้ย...เรื่องสมุนไพรที่ว่าน่ะ”
ชาญหยิบห่อยาออกมา
“ได้มาแล้ว แต่ข้าไม่แน่ใจหรอกนะ”
“หมายความว่าไง ไม่แน่ใจ”
“ก็ข้าอาศัยดมจากกลิ่นเอาน่ะ หากมันเป็นสมุนไพรที่กลิ่นคล้ายกัน แต่สรรพคุณต่างกัน อันนั้นก็จะแย่”
“อ้าว แล้วมันมีเยอะมั้ยไอ้ที่กลิ่นเหมือนกันแต่สรรพคุณต่างกัน”
“ก็... ไม่แน่ใจอีกเหมือนกันว่ะ”
“แล้วทีนี้จะพึ่งได้มั้ยเนี่ย ถ้าไปลองกับลุงเมฆแล้วเป็นหนักกว่าเดิมจะซวยนะ”
“เราคงต้องหาตัวทดลอง”
“บ้าเหรอ...ใครจะยอม”
“ก็อย่าให้เค้ารู้สิ”
“แล้วถ้าคนนั้นเค้าเป็นอะไรขึ้นมาเล่า”
“ไม่มีใครรู้หรอกมั้ง เราก็หาคนแข็งแรงๆ หน่อยสิ จะได้อดทน ไม่ตายง่ายๆ”
“ทฤษฎีอะไรของพี่ คนแข็งแรงที่พี่ว่า ไหนลองยกตัวอย่างมาซักคนซิ”
ศรนารายณ์เดินเข้ามาในท่ารถพอดี ถือข้าวของมาเต็มไม้เต็มมือ
“เฮ้ยพวกเรา ป๋าซื้อของอร่อยมาฝากเร็ว มากินด้วยกัน”
ชาญมองศรนารายณ์ว่าคนนี้แหละ จันทร์มองตาม
“เฮ้ย...เล่นตัวพ่อเลยเหรอ”
ชาญเดินดุ่ยๆ เข้าไปร่วมวง จันทร์เดินตามเข้าไปด้วย
“แหมพี่นี่ใจดีจริงๆ รู้ได้ไงว่าชั้นกำลังหิวพอดี” จันทร์มาสมทบด้วย แต่ไม่พูดอะไร “ตะกละจริงๆ นะเอ็ง”
“เดี๋ยวชั้นเอาไปใส่จานมาให้พี่กินนะ”
“เออดี ทำตัวให้เป็นประโยชน์หน่อย”
จันทร์มองดูวิธีการของชาญ
ชาญเข้ามาด้านหลังท่ารถ จัดแจงเอาน้ำร้อนผสมกับสมุนไพรให้ได้ที่
“เอาจริงเหรอพี่” จันทร์ตามมาถาม
“ก็ลองดู ชั้นว่าไม่ถึงกับตายหรอก”
“แล้วนี่เราจะรู้ได้ไงว่าได้ผลเกี่ยวกับคนที่ป่วยเป็นความจำเสื่อมจริงๆ”
“ก็ต้องอาศัย...ฟ้าดิน”
“เฮ้ย!”
ชาญยกถ้วยสมุนไพรไปเสิร์ฟ
“เอาอันอื่นใส่จานแล้วยกตามมาด้วย”
ชาญบอกแล้วเดินออกไปโดยไม่รอ
ชาญยกแก้วสมุนไพรมาเสิร์ฟให้ศรนารายณ์
“น้ำดื่มอุ่นๆ บำรุงกำลังจ้ะ”
“ชั้นไม่ได้สั่งนี่”
“ชั้นทำพิเศษมาให้จ้ะ กินสิ...ทำงานมาเหนื่อยๆ กินแล้วชื่นใจ”
ศรนารายณ์ยกแก้วขึ้นจิบ
“หืม รสชาติอย่างกับยาจีน”
“หวานเป็นลม ขมเป็นยาพี่ศร กินให้หมดเลยพี่
จันทร์ยกอาหารต่างๆ ใส่ถาดมาสมทบ เห็นศรนารายณ์กำลังยกแก้วดื่ม มองลุ้นๆ ศรนารายณ์วางแก้วลงแล้วนึกบางอย่างได้ ยืนตบๆ ตามกระเป๋ากางเกงต่างๆ
“หาอะไรน่ะอาศร”
“กุญแจรถน่ะสิ ถือมาแล้วเอาไปไว้ไหนวะ รถของโรงน้ำแข็งซะด้วย”
“เอาแล้วไงพี่ชาญ เริ่มลืมไปอีกคนละ” จันทร์กระซิบบอกกับชาญ
“พี่นึกดีๆ ดิ อย่ามาลืมเอาตอนนี้”
ศรนารายณ์อยู่ๆ ก็นิ่งไป จันทร์ ชาญ มองจ้องศรนารายณ์ ลุ้นว่าจะความจำเสื่อมไปอีกคนมั้ย แต่แล้วศรนารายณ์ก็นึกขึ้นได้ พูดขึ้นมา
“อ๋อ” ศรนารายณ์หยิบออกมาจากกระเป๋าเสื้อ “นึกตั้งนาน อยู่นี่นี่เอง” จันทร์กับชาญถอนหายใจโล่งอก “พักนี้ขี้ลืม ไม่รู้เป็นอะไร แต่เมื่อกี้ให้กินน้ำอะไรเข้าไปนะ รู้สึกหัวโล่งดีจริง”
จันทร์กับชาญโล่งใจกว่าเดิม

อบเชยเดินแทบจะหมดเรี่ยวแรงกลับมาบ้าน เธอนั่งพักที่หน้าบ้าน
“เธอเลือกที่จะทำแบบนี้เองนะอบเชย เธอต้องทน ต้องผ่านมันไปให้ได้สิ”
อบเชยสิ้นหวังเรื่องไม้ ทิวาขับรถมาจอดหน้าบ้านศรนารายณ์ อบเชยเห็นรถทิวาก็เซ็งๆ
ทิวาลงจากรถมาหาอบเชย
“ไปกับชั้นเดี๋ยวนี้”
“ชั้นไม่ค่อยสบาย”
“จะเอามั้ย ยาน่ะ งั้นชั้นจะโยนทิ้งให้หมดตรงนี้แหละ”
ทิวาหยิบห่อยาออกมาแกะ จะเททิ้ง
“ไปแล้ว”
“ก็แค่นี้ ชอบทำให้มากเรื่อง”
“จะไปไหน”
“เธอจะรู้หรือไม่รู้ เธอก็ต้องไปอยู่ดี”
ทิวาขับรถมาจอดรถหน้าบ้านเมฆ
“นี่พาชั้นมาที่นี่ทำไม”
“นี่ไม่ใช่ธุระของเธอ มันเป็นธุระของชั้น”
“แต่...”
“เธอคงรู้ใช่มั้ย ว่าถ้าชั้นกลับมาไม่เจอเธอ คนที่จะซวยไม่ใช่เธอ แต่เป็นคนในบ้านนั่น ดังนั้นอยู่เฉยๆ ทำตามคำสั่งชั้นก็พอ”
ทิวาลงจากรถไป อบเชยชะเง้อตาม ห่วงคนในบ้าน ทั้งไม้ ทั้งเมฆ
ภายในบ้านเมฆเปิดหนังสือนิทานเวตาล พยายามจะอ่านให้ได้ทุกตัว
“เว...ตาล อา...ศัย...อยู่ในป่า...” ทิวาเดินเข้ามา “อ้าวทิวา...ลูกพ่อ หายไปไหนมาตั้งหลายวันแน่ะ พ่อรอลูกทุกวันเลย”
“นี่แกท่าทางอยากจะเป็นพ่อชั้นมากเลยนะเนี่ย”
“มาๆ มากินข้าวกินปลาก่อนมา”
“ชั้นไม่ได้มากินข้าวกับแก”
“เอาอีกแล้ว พูดจาไม่เพราะอีกแล้ว”
“ถ้าอยากกินข้าวกับชั้นนัก ก็ตามชั้นมาสิ”
ทิวาเดินออกไป เมฆเดินตามทิวาไปหยิบหนังสือนิทานเวตาลติดไปด้วย
ทิวากลับมาที่รถ อบเชยเห็นเมฆตามมาด้วยแล้วเปิดประตูรถเข้านั่ง อบเชยงง
“ลุงเมฆจะไปไหน” อบเชยถามอย่างแปลกใจ
“ไปกินข้าวกับลูก”
“หมายความว่ายังไง” ทิวาสตาร์ทรถขับออกไป “นี่เธอจะพาชั้นกับลุงเมฆไปไหน”
“เดี๋ยวก็รู้เอง”
ทิวาขับรถไป หน้าตาเจ้าเล่ห์
ทิวาขับรถเข้ามาจอดที่บ้านตัวเอง
“นี่เธอพาชั้นกับลุงเมฆมาที่นี่ทำไม” อบเชยหันมาถาม
“กินข้าวกับลูกชาย ไปกินด้วยกันสิ” เมฆบอก
“ลุงเมฆ ลูกชายของลุงคือไม้ ไม่ใช่ทิวา อาการลุงก็ดีขึ้นแล้ว ทำไมเรื่องนี้ถึงได้กลับตาลปัตรไปได้”
“มันคงอยากเป็นพ่อชั้นใจขาดละมั้ง หึหึ ...ลงไปได้แล้ว”
ทุกคนลงจากรถ เมฆลืมหนังสือนิทานเวตาลไว้ในรถ
ทิวาพาเมฆกับอบเชยมาที่ห้องๆ หนึ่ง ซึ่งเป็นห้องเปล่าไม่มีใครอยู่อบเชยเริ่มรู้สึกไม่วางใจเท่าไหร่นัก
“แกจะทำอะไรกันแน่”
ทิวาผลักทั้งสองคนเข้าไปในห้องแล้วล็อคประตู ทิวายิ้มเจ้าเล่ห์กับอากาศ
“เรามาคุยกันหน่อยมั้ยอบเชย”
“คุยที่ไหนก็ได้ ทำไมต้องมาคุยในนี้ด้วย แล้วลุงเมฆเกี่ยวอะไร”
“เมื่อวานเธอไปเจอไอ้ไม้มาใช่มั้ย”
“มันเป็นเรื่องบังเอิญ ชั้นไม่ได้ตั้งใจไปเจอนะ”
“ไม่ได้ตั้งใจเหรอ ...แล้วไปจูบกับมันทำไม”
อบเชยนึกถึงตอนที่โดนไม้จูบ
“ชั้น...”
“เราตกลงกันว่าไง ว่าจะไม่เจอไอ้ไม้อีก ใช่มั้ย แล้วตอนนี้เธอก็เป็นแฟนชั้น ถูกรึเปล่า? แล้วการที่แฟนเราไปจูบกับผู้ชายคนอื่นเนี่ย...เธอว่าควรจะทำยังไงดี?”
“เธอจะทำอะไรชั้นก็ได้ แต่ลุงเมฆไม่เกี่ยวนะ”
“มันน่ะตัวเกี่ยวเลย อยากให้มันหายนักใช่มั้ยไอ้เป๋สมองเสื่อมเนี่ย”
ทิวาพุ่งตรงไปผลักเมฆล้ม อบเชยจะเข้าไปช่วยเมฆ แต่เธอก็เหมือนโดนบางอย่างดึงไว้ไปไหนไม่ได้ อบเชยหันดูก็ไม่มีอะไร
“อย่าทำอะไรลุงเมฆเลยนะ”
อบเชยพยายามจะเข้าไปช่วยเมฆแต่ก็ดิ้นไม่หลุดจากบางสิ่งที่ดึงเธอไว้ แล้วด้วยความที่เธอป่วย เธอจึงมึนหัวล้มลงไป
“ชั้นบอกเธอไปแล้วว่าเงื่อนไขคืออะไร แต่เธอเหมือนจะเห็นว่าชั้นเป็นไอ้กระจอก ไม่กล้าทำอะไรใช่มั้ย เธอคอยดูไอ้เป๋นี่”
“ทิวาจะทำอะไรพ่อน่ะ”
ทิวาอัดเมฆที่ลุกมาจนล้มลง แถมยังกระทืบซ้ำไม่หยุด
“พ่อเหรอ พ่อเหรอ ใครเป็นพ่อแก พ่อชั้นคือพันเทพ ว่าที่สจ.เว้ย ไม่ใช่ไอ้กระจอกอย่างแกหรอก”
“อย่าทำพ่อ อย่าทำพ่อ”
ทิวาไม่ฟังคำเมฆกระทืบเมฆจนหมดสติ อบเชยได้แต่ร้องไห้ช่วยอะไรเมฆไม่ได้
“ขอร้องล่ะทิวา หยุดเถอะ ลุงเมฆไม่เกี่ยวอะไรด้วยเลย เธอมาฆ่าชั้นให้ตายดีกว่า ชั้นขอร้องล่ะ”
อบเชยที่ไร้เรี่ยวแรงพยายามร้องขอความเห็นใจจากทิวา เรี่ยวแรงเธอไม่เพียงพอที่จะต่อต้านบางสิ่งที่ดึงเธอไว้ที่เธอมองไม่เห็น เธอได้ยินเสียงหัวเราะของมันดังอยู่ข้างๆ หู อบเชยมองไปทั่วก็ไม่เห็นใคร
“ไม่ต้องขอร้องหรอก เดี๋ยวถึงตาเธอแน่...”
ที่ท่ารถบขส. จันทร์ ชาญ ศรนารายณ์เล่นหมากรุกด้วยกันอยู่ ศรนารายณ์รุกฆาต
“รุกฆาต”
“เฮ้ย ได้ไงวะพี่ ปกติไม่มีใครกินไอ้จันทร์มันลงเลยนะเนี่ย”
“ชั้นเก่งไง”
“เก่งอะไร ปกติแค่หมากฮอสพี่ยังแพ้ผมเลย”
“ทำไม...คนเรามันจะฉลาดขึ้นบ้างไม่ได้รึไง” จันทร์อมยิ้ม
“แปลว่ายาได้ผลเกินคาดนะ”
“ยาอะไรของแกไอ้จันทร์ ชั้นไม่ต้องพึ่งอะไรพวกนั้นหรอก”
ชาญกับจันทร์มองหน้ากันยิ้ม ไม้หน้าตาตื่นเข้ามา
“มีใครเห็นพ่อชั้นมั่งมั้ย”
“อ้าว ไอ้อบเชยมันยังไม่ส่งที่บ้านอีกเหรอ”
“ส่งแล้ว แต่หายไปไหนอีกก็ไม่รู้”
“แล้วไปดูที่บ้านอบเชยรึยัง” ไม้พยักหน้า
“ไม่มีใครอยู่”
“ไอ้ลูกคนนี้ ป่วยอยู่แท้ๆ”
“แถวนี้ก็ไม่มีเลย พวกเรานั่งอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน ก็ไม่เห็นนะ”
“หรือว่า...ไอ้ทิวา”
“หมายความว่ายังไง ไอ้ทิวาทำไม”
“ก็ไอ้ทิวามันจะจับอบเชยกับพ่อแกไปไงล่ะ”
“จับอบเชยก็ช่างดิ แล้วพ่อชั้นเกี่ยวอะไร”
“แกนี่มันโง่จริงๆ ไอ้ไม้เอ้ย ไม่รู้จักสงสัยอะไรบ้างเลย”
“อะไรล่ะ ก็พูดมาดิ”
“พูดมาเร็ว อยากรู้เหมือนกัน”
“ยาที่ชั้นให้แก อบเชยมันฝากไปให้ ชั้นไม่ได้เป็นคนไปค้นคว้าหามาหรอก อบเชยมันต้องยอมไปเป็นแฟนทิวาเพื่อแลกกับยารักษาพ่อแก ทีนี้ฉลาดขึ้นรึยังล่ะ” จันทร์ตัดสินใจบอกความจริง ไม้ถึงกับช็อคกับสิ่งที่ได้ยิน “อบเชยมันทำเพื่อแกมาตั้งแต่เด็ก ชั้นมาเป็นเพื่อนแกไม่เท่าไหร่ ชั้นยังเห็นเลยว่ามันรู้สึกอะไรกับแก มีแต่แกแหละ ที่ไม่เชื่อใจมัน ใครมาปั่นหัวนิดหัวหน่อยก็เชื่อ ว่ามันเป็นอย่างงั้นจริง”
“โห โคตรซึ้งอ่ะ”
“โถ ลูกพ่อ”
ไม้ฟังสิ่งที่จันทร์พูด น้ำตาไหล โกรธตัวเองที่โง่นัก แล้วเขาก็ผลุนผลันออกไป
“เฮ้ยไม้ จะไปไหนวะ”
“ก็ตามไปสิ”
ชาญ จันทร์ ศรนารายณ์วิ่งตามไม้ออกไป
ไม้ขับรถเมฆอย่างรวดเร็ว เพื่อจะไปช่วยอบเชย
“อย่าเป็นอะไรกันนะ”
ขณะนั้นทิวาซ้อมเมฆจนนอนสลบอยู่กับพื้น ทิวาเดินไปหาอบเชย
“ปากนี้ใช่มั้ยที่ไปจูบกับไอ้ไม้มา แต่ไอ้ไม้ มันก็ได้แค่จูบแค่นั้นแหละ”
“แกจะทำอะไร”
“ก็จะบอกเธอว่าชั้นทำได้มากกว่าไอ้ไม้ไง”
“อย่านะ”
อบเชยจะลุกหนีแต่เธอก็หน้ามืดเซลง ทิวาคว้าตัวเธอไว้ได้
“จะหนีทำไม…ยังไงก็ต้องโดนอยู่ดี”
ทิวาผลักอบเชยล้มลงบนพื้น แล้วพยายามจะปล้ำอบเชย
ไม้จอดรถหน้าบ้านพันเทพ เขามองอย่างมุ่งมั่น แล้วเขาก็ดึงคันเกียร์ขึ้นมา
ลูกผู้ชายกระโดดลงข้างรถทิวาเห็นหนังสือเวตาลในรถของทิวา จึงมั่นใจว่าเมฆอยู่ที่นี่แน่สมุน
เข้ารุม ลูกผู้ชายสู้อย่างง่ายดาย สมุนล้มหมด ลูกผู้ชายลุยคว้าคอสมุนขึ้นมาคนนึง
“ทิวาอยู่ไหน”
ลูกผู้ชายเอาไม้ตะพดจ่อคอหอยสมุน
ขณะนั้นอบเชยพยายามดิ้นให้หลุดจากทิวาให้ได้ แต่เธอก็สู้แรงไม่ไหวได้แต่ตะโกนขอความช่วยเหลือ
“ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยด้วย”
“เธอร้องให้ใครช่วยห๊า ที่นี่บ้านชั้น คนทุกคนเป็นคนของชั้น ใครจะมาช่วยเธอกัน”
“ช่วยด้วย”
ทิวาปล้ำอบเชยยังไม่ทันไร เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นขัดจังหวะ ทิวาพยายามไม่สนใจเสียงก็ดังขึ้นอีก
“อะไร ชั้นบอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าเข้ามายุ่ง”
เสียงสมุนดังผ่านประตูมา
“คุณพันเทพให้มาตาม ด่วนเลยครับ”
ทิวาถูกขัดใจ หงุดหงิด
“โธ่เว้ย เรื่องอะไรวะ”
ทิวาผละจากอบเชยลุกขึ้นจัดแจงเสื้อผ้าตัวเองให้เรียบร้อยแล้วเปิดประตู ภาพที่เห็นหน้าประตูคือลูกผู้ชายใช้ไม้ตะพดจี้คอสมุนอยู่ ทิวาตกใจจะปิดประตู แต่ลูกผู้ชายก็ซัดทิวาซะก่อนที่จะปิดแล้วก็เข้ามาในห้องทันที
“แก ไอ้ลูกผู้ชาย ชอบสาระแนเรื่องชาวบ้านนักใช่มั้ย ได้แล้วจะรู้ว่าใครแน่กว่ากัน”
ทิวาต่อสู้กับลูกผู้ชายไม่เท่าไหร่ก็เสียท่าล้มหงาย เสียงปรบมือดังขึ้นจากอากาศ ไม่มีใครเห็นว่ามาจากไหน
“เพลงมวยเจ้าไม่ธรรมดาจริงๆ เจ้าของไม้ตะพดวิญญาณ”
ลูกผู้ชายหันไปมองจนทั่วก็ไม่เห็นใคร
“แกเป็นใคร” เวตาลหัวเราะ “ใคร ปรากฏตัวออกมาสิ”
“เวลานี้ ข้ายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า”
ทิวาลุกขึ้นพอดี ก็ถูกเวตาลผลักเข้าไปสู้กับลูกผู้ชายต่อ
“นี่เจ้าไม่คิดจะช่วยอะไรข้าเลยรึไง” ทิวาต่อว่าเวตาล
“ข้าช่วยเจ้ามามากเพียงพอแล้ว”
“ไอ้นี่...”
“นั่นมันตัวอะไร” ลูกผู้ชายถามอย่างแปลกใจ
“ทำไมชั้นต้องบอกแกด้วย ไอ้ลูกผู้ชาย”
ทิวาเข้าสู้กับลูกผู้ชายอีกจนเสียท่า ล้มไป ลูกผู้ชายเหยียบยอดอกของทิวาไว้ ชี้ไม้ตะพดไปที่ทิวา ลูกผู้ชายมองเห็นเมฆที่โดนซ้อมจนสลบ แล้วเห็นอบเชยที่เกือบโดนข่มขืน ลูกผู้ชายโกรธชูไม้จะใช้พลังของไม้ตะพดทำร้ายทิวา แต่แล้วก็ถูกบางอย่างมาขวางไว้ ไม่ทันฟาดโดนทิวานั่นคือร่มของพันเทพนั่นเอง
“มีปัญหาอะไรกันเหรอลูกผู้ชาย ...เธอไม่ควรใช้อารมณ์ส่วนตัวขนาดนั้น”
พันเทพส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้กับลูกผู้ชาย ทิวาเห็นพ่อมาช่วย ดีใจ
“พ่อ”
พันเทพเข้าต่อสู้กับลูกผู้ชายอีกครั้งอย่างดุเดือด ทั้งคู่ฝีมือพอกัน เมฆรู้สึกตัวตื่นขึ้นเห็นการต่อสู้ เขาลุกขึ้นนั่งมองดูการต่อสู้ เหมือนบางอย่างคลับคลายคลับคลาว่าจะกลับมา แต่จู่ๆ การต่อสู้ของทั้งสองคนก็ต้องชะงัก เพราะมีพลังบางอย่างผลักไม้ตะพดทั้งคู่ให้กระเด็นหลุดมือทั้งลูกผู้ชายและพันเทพ
พันเทพหันไปตวาดอากาศ
“ไอ้เวตาล แกทำอะไร”
ลูกผู้ชายได้ยินชื่อเวตาลก็หันขวับ แต่ก็มองไม่เห็นอะไร เสียงหัวเราะดังในอากาศ ไม้ที่กระเด็นไปร่วงตรงหน้าเมฆทั้งสองอัน เมฆหยิบมันถือในมือทั้ง 2 เมื่อเมฆเอาไม้กระทบกันมันก็มีพลังบางอย่างพุ่งออกมาเข้าหาพันเทพ พันเทพถึงกับทรุดลง และแสงสว่างวาบนั้นก็ผ่านร่างกายของเมฆผู้ซึ่งถือทำให้เมฆถึงกับสลบไปอีกครั้ง พอเมฆสลบไม้แยกออก ทั้งลูกผู้ชายและพันเทพต่างไปเก็บไม้ของตนอีกครั้ง พันเทพบาดเจ็บถึงขึ้นกระอักเลือด ทิวาเป็นห่วงเข้าไปดู
“พ่อเป็นอะไรมั้ย” พันเทพกัดฟันส่ายหน้า ทั้งที่เจ็บจนจุก “แต่พ่อ”
“ปล่อยพวกมันไปก่อน”
พันเทพเสียงเข้ม ทิวาไม่กล้าเถียง
ไม้อุ้มเมฆมานอนบนเบาะหลังรถอย่างทนุถนอม อบเชยมองเมฆอย่างห่วงใย
“หวังว่าแสงวาบเมื่อกี้จะไม่ทำอันตรายอะไรลุงเมฆนะ”
ไม้หันไปมองอบเชย
“ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีก”
“ชั้นทำอะไร”
“รับปากก่อน ว่าอย่าเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงแบบนี้ โดยไม่บอกชั้น” อบเชยพยักหน้ารับ ทั้งคู่โผเข้ากอดกัน “ชั้นขอโทษ”
“ชั้นก็ขอโทษเหมือนกัน”
ทั้งคู่กอดกันร้องไห้ ศรนารายณ์ จันทร์ ชาญ ขึ้นมาบนรถพอดี
“ไป ลุยเลยมั้ยพวกเรา”
“ดูซะก่อน เค้าปลอดภัยกันหมดแล้ว”
ศรนารายณ์โผเข้าหาอบเชย
“เป็นอะไรรึเปล่าอบเชย ห๊าลูก”
“ไม่เป็นอะไรจ้ะพ่อ”
“ตกลงว่าเกิดอะไรขึ้น” จันทร์ถาม
“อยากรู้แล้วทำไมไม่มาให้เร็วกว่านี้”
“ก็อยากมาอยู่หรอก ถ้าน้ำมันมันไม่หมดกลางทาง”
“ใช่ คนอะไร ขับรถไม่ดูน้ำมัน”
“เออ เอาน่า ปลอดภัยก็โอเคมั้ยล่ะ”
“แล้วตกลงเกิดอะไรขึ้น”
ไม้มองหน้าอบเชยยิ้ม รู้กันสองคน
คืนนั้นพันเทพโวยวายเวตาลในห้องทำงาน ทั้งที่ตัวเองยังเจ็บตัวอยู่
“แกทำอะไรลงไปน่ะ ถ้าไอ้เมฆมันสติดีขึ้นมาคว้าไม้ไปทั้งสองอันจะทำยังไง ใครก็หยุดมันไม่ได้ละทีนี้”
เวตาลหัวเราะสะใจ
“การกลับมาเจอกันอีกครั้งของไม้ตะพด ถอนคำสาปออกไปจากข้าได้แล้ว ข้าไม่ต้องทนทุกข์ทรมานกับความเจ็บปวดอีกต่อไป”
“ที่แท้แกก็ทำเพื่อตัวแกเอง”
“แล้วเจ้าล่ะ ไม่ได้กำลังทำทุกอย่างเพื่อตัวเองอยู่รึ”
“แกพูดแบบนี้ แกจะลองดีกับชั้นใช่มั้ย”
“เจ้าจะทำอะไรสิ่งที่เจ้ามองไม่เห็นได้รึ”
เวตาลหัวเราะ แล้วเสียงกระพือปีกพึบพึบจากไป พันเทพเจ็บใจ เสียงเคาะประตูดังขึ้น
ทิวาเปิดเข้ามา
“ผมว่าพ่อน่าจะไปหาหมอซักหน่อย”
“นี่ชั้นต้องให้คนที่เป็นคนสร้างเรื่องทั้งหมดมาคอยสอนชั้นรึไง”
“ผมขอโทษครับพ่อ”
“จะไปไหนก็ไป”
พันเทพเหนื่อยใจที่จัดการอะไรไม่ได้เลย
ส่วนที่บ้านเมฆ ขณะนั้นไม้กับอบเชยคุยกันนอกบ้าน
“ชั้นกลัวตอนลุงเมฆฟื้นขึ้นมา ไม่รู้ว่าจะมีอาการอะไรอีก เพราะแสงตอนนั้นมันจ้ามาก แล้วลุงเมฆก็ล้มไปเลย”
“แต่ชั้นรู้สึกได้ ว่าไม่ใช่เรื่องร้ายหรอก”
“แต่ดูพันเทพที่โดนลูกหลงสิ” ไม้กังวลเหมือนกัน “ตอนอยู่ในนั้น มันมีตัวอะไรบางอย่าง บินไปบินมาตลอด ชั้นมองไม่เห็นมันเลย”
“เวตาล”
“เหมือนในตำนานน่ะเหรอ”
“ชั้นได้ยินพันเทพมันเรียก เวตาล”
“นี่เราต้องเจออะไรที่เราไม่รู้อีกมากแค่ไหนเนี่ย”
“แต่ยังไง...ก็อย่าทิ้งกันไปไหนอีกนะ ชั้นไม่คุ้นที่ไม่มีเธออยู่ข้างๆ”
อบเชยยิ้มเขินๆ จันทร์กับชาญเดินออกมา จันทร์หยิบห่อยาส่งให้อบเชย
“นี่มันยานี่ เธอไปเอามาจากไหน”
“พี่ชาญเค้าไปหามา จะได้ไม่ต้องไปพึ่งไอ้ทิวาอีก”
“นี่ทุกคนทำเพื่อพ่อขนาดนี้เลยเหรอ ถ้าพ่อรู้คงดีใจแย่”
“เสียดาย ชั้นไม่ได้ทำเพื่อพี่เมฆเลย” ศรนารายณ์บอก
“โห ตัวทำเลยล่ะพี่ศร เล่นเสี่ยงชีวิตเป็นหนูทดลองยาขนาดนั้น” ชาญบอก
“หนูทดลองยา อะไรวะ”
“ก็ยาที่พี่ชาญให้กินเมื่อกลางวันน่ะ พี่ชาญแกลองยาว่าใช้ได้มั้ย”
“เฮ้ย แล้วถ้าชั้นตายล่ะ”
“ก็นั่นไง ประเด็นมันอยู่ตรงนี้แหละ”
ทุกคนหัวเราะมีความสุข
วันรุ่งขึ้นเมื่อเมฆรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา เมฆลุกขึ้นจากเตียงไม้เห็นพ่อฟื้นก็ดีใจ
“พ่อฟื้นแล้วเหรอ” เมฆยังนั่งนิ่ง “พ่อ จำชั้นได้มั้ย” เมฆยังนั่งนิ่ง “พ่อรู้สึกอะไรบ้าง”
เมฆมองไม้นิ่งแล้วถามออกมา
“นี่เกิดอะไรขึ้นเนี่ย”
“พ่อหมายถึงเรื่องอะไร”
“พ่อจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเราออกจากป่าอาถรรพ์ แต่พ่อจำไม่ได้ว่าเรามาอยู่ที่บ้านได้ยังไง”
“พ่อจำบ้านได้...จำป่าอาถรรพ์ได้”
“พ่อคุ้นๆ ว่าพ่อกินสมุนไพรถอนคำสาปของพันเทพเพื่อไปช่วยลูก แต่มันรางเลือนเหมือนความฝัน”
“ลูก...เมื่อกี้พ่อเรียกผมว่าเป็นลูกเหรอครับ”
“ทำไมลูกพูดแบบนั้น”
“ผมดีใจ...ที่พ่อเห็นว่าผมเป็นลูก ไม่ใช่ทิวา”
“พ่อบอกอะไรลูกเกี่ยวกับทิวาเหรอ”
“พ่อจำเรื่องหลังจากออกจากป่าอาถรรพ์ไม่ได้เลยเหรอครับ” เมฆส่ายหน้า “พ่อความจำเสื่อมเพราะสมุนไพรที่พันเทพเอามาให้ แล้วพ่อก็คิดว่าทิวาเป็นลูก”
เมฆหน้าเสียทันที
“พ่อทำแบบนั้นเหรอ?” เมฆไม่กล้าสบตาไม้ เมฆมองเห็นประวัติทิวาจากรพ.วางอยู่บนโต๊ะ เมฆหยิบมันมาดูไม่อยากให้ไม้รู้ “ประวัติทิวาตั้งแต่เพิ่งเกิด มาอยู่บ้านเราได้ยังไงก็ไม่รู้” เมฆไม่ตอบทำท่ามีพิรุธ ไม้มองท่าทางแปลกๆ ของพ่อ พยายามพูดให้พ่อสบายใจ “ช่างเถอะ เรื่องนั้นไม่สำคัญ เท่ากับว่า...พ่อหายแล้ว ใช่มั้ยครับ”
“พ่อไม่ได้เป็นอะไรนี่”
“พ่อจำทุกอย่างได้เหมือนเดิมแล้วใช่มั้ยครับ”
“จำได้สิ เออ แล้วไม้ตะพดยังอยู่ใช่มั้ยไม้”
“ผมไม่ยอมให้ใครมาเอาไปง่ายๆ หรอก พ่อจำได้แล้วจริงๆ ถ้างั้นก็แปลว่า พลังของไม้ตะพดที่อยู่ด้วยกันมันมีพิเศษจริงๆ” ไม้นึกถึงตอนที่เมฆถือไม้ตะพดทั้งสองในมือแล้วแสงวาบออกมา โดนพันเทพด้วย
“มันรักษาพ่อให้หาย แล้วพันเทพล่ะ มันก็โดนแสงนั่นเหมือนกัน”

ไม้เป็นกังวลไม่หาย
เมื่อพันเทพตื่นขึ้นมา พยายามพยุงตัวลุกจากที่นอนแต่ก็ลุกไม่ไหวทรุดไปนอนต่อ เสียงก๊อกแก๊กดังจากมุมหนึ่งของห้องนอนที่ยังไม่มีใครเห็น พันเทพแค่จะเอี้ยวไปมองก็ลำบาก

“นั่นใครน่ะ” เสียงก๊อกแก๊กยังดังต่อเนื่อง “ชั้นถามว่าใคร”
เสียงก๊อกแก๊กหยุดลง กลายเป็นเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาแทน เสียงฝีเท้าเดินมาหยุดที่เตียงพันเทพ พันเทพชำเลืองมอง สายตาค่อยๆ เห็นเท้าที่น่าเกลียดขนาดใหญ่ ไล่ๆ ไปที่ขา จนถึงตัว ถึงหัวซึ่งคือเวตาลนั่นเอง
“เพื่อนข้า...ฃข้าคาดว่าอาการของเจ้าคงหนักเอาการ”
“แก...ทำไมแก...”
พันเทพมองเวตาลที่ตัวใหญ่ขึ้นเต็มตา มองหน้าต่างที่เปิดลมและแสงเข้ามา เวตาลไม่ได้กลัวมันอีกแล้ว
“เจ้าสงสัยว่าข้าทำไมเปลี่ยนไปงั้นสิ ข้าเคยบอกเจ้าแล้ว...ว่าข้าขอเวลารวบรวมพละกำลัง ซึ่งตอนนี้ข้าก็รวบรวมได้มากจนชีวิตข้าเกือบจะสมบูรณ์แล้ว ข้าไม่ต้องกลัวอะไรอีกต่อไป แม้กระทั่งแสงแดด แต่ดูเจ้าสิ...อ่อนแรงเหลือเกิน อาจจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน เหมือนชีวิตเจ้ากับข้ากำลังสวนทางกันนะ”
เวตาลหัวเราะ
“เพราะแกนั่นแหละทำให้ชั้นต้องเป็นแบบนี้ เพราะพลังของไม้ตะพดทั้งสองอันที่แกทำให้แกหายจากคำสาป แต่ชั้นต้องมาตกอยู่กับความทุกข์ทรมานแทนแก”
“เจ้าว่าข้าไม่ได้หรอกนะ เพราะข้าก็ไม่คิดว่าเมื่อไม้ตะพดทั้งคู่มาเจอกันมันจะมีอานุภาพมากมายขนาดนั้น เปล่งทั้งพลังทำลายร้างและพลังเยียวยา ซึ่งมันจะกระทบใครก็ได้ เพียงแต่เจ้าไปยืนประจันหน้ากับไม้ราวกับเป็นศัตรูเองนี่”
“แกจงใจทำร้ายชั้น ใช่มั้ย” เวตาลหัวเราะ
“เรื่องนั้นคงมีแต่ใจข้าเท่านั้นที่รู้ แต่ที่ข้าบอกเจ้าได้ตอนนี้ก็คือ ร่างกายเจ้าแกร่งไม่ใช่น้อยที่ต้านทานฤทธิ์เดชของไม้ตะพดได้เพียงนี้ เพราะหากเป็นคนธรรมดา...เจ้าตายไปแล้ว”
“แล้วยังไง ชั้นต้องดีใจที่ชั้นไม่ได้ตาย แต่ทรมานรึไง ชั้นอยากลุกไปฆ่าแกซะเดี๋ยวนี้”
“บัดนี้ เจ้าทำได้เพียงแค่คิดเท่านั้น เพราะตอนนี้ข้าสามารถหักคอเจ้าเมื่อไหร่ก็ได้” พันเทพนิ่งบนเตียง “แต่ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ทำแบบนั้นหรอก เพราะอีกไม่นานเจ้าก็คงตาย เพราะร่างกายเจ้าต้านทานฤทธิ์
ของไม้ตะพดไม่ได้”
“แก แกวางแผนจะฆ่าชั้น”
“ข้าไม่จำเป็นต้องพูด”
“ถ้าแกจะปล่อยให้ชั้นตาย แกเข้ามาห้องนี้ทำไม” เวตาลนิ่ง ไม่ตอบ “หรือว่า...ไม้ตะพด”
“ใช่ เจ้าเก็บมันไว้ที่ไหน ส่งมันมาให้ข้าซะ”
“มันไม่ง่ายแบบนั้นหรอก” เวตาลคำรามขู่พันเทพ “ตั้งแต่ไม้ตะพดเคยถูกขโมยไป...ชั้นเก็บมันไว้อย่างดี ในที่ที่มีแต่ชั้นเท่านั้นที่รู้ ให้แกฆ่าชั้น...ชั้นก็ไม่บอก”
เวตาลเจ็บใจ เวตาลสัมผัสตัวพันเทพเพื่อจะอ่านใจ แต่ก็ไม่รู้อะไรอยู่ดี
“เจ้านี่มันใจแข็งยิ่งนัก”
“ก็บอกแล้วไง มันไม่ง่าย”
ทิวาออกมาจากห้องน้ำ เห็นเวตาลตัวใหญ่ขึ้นยืนอยู่ในห้องก็สะดุ้งด้วยความตกใจ
“แก...เวตาลเหรอ”
“จำข้าไม่ได้เหรอเพื่อนข้า เจ้าเองเรียกร้องจะเห็นตัวข้านักไม่ใช่เหรอ”
“แต่แกไม่เหมือนเดิม”
“เจ้าควรจะดีใจที่เพื่อนเจ้าแข็งแกร่งขึ้น” ทิวายังหวาดๆ เวตาลอยู่ “เจ้ารู้รึไม่...ว่าพ่อเจ้า เก็บไม้ตะพดไว้ที่ไหน”
“ไม้ตะพด...แกจะคิดทำอะไร”
“เจ้าไม่อยากได้รึ ไม้ตะพดเลือดนั่น”
“แต่มันเป็นของพ่อ”
“พ่อที่ไม่เคยสนใจใยดีเจ้าน่ะเหรอ” ทิวาเถียงไม่ออก “เจ้ารู้รึไม่ หากใครได้ไม้ตะพดเลือดและวิญญาณมาในครอบครอง จะสามารถควบคุมให้ทุกคนทำตามเจ้าได้ เจ้าจะยิ่งใหญ่กว่าที่พ่อเจ้าเป็นนัก พลังของไม้ตะพดสามารถใช้ทั้งเยียวยาและทำลายได้ในเวลาเดียวกัน ผู้ปกครองภพภูมิทั้งหลายต้องยอมสยบให้กับเจ้า”
“พ่อถึงอยากได้มันนัก”
“โดยที่สามารถฆ่าใครก็ได้ แม้แต่ลูกของตัวเอง”
ทิวาคิดหนัก
วันเดียวกันที่ท่ารถบขส.ไม้นั่งครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องเมฆ จันทร์เดินเข้ามา
“นั่งหน้าเข้มเลย ตกลงลุงเมฆเป็นไงบ้าง”
“ก็...เหมือนว่าจะหาย จำได้ทุกอย่างเหมือนเดิม”
“แปลว่าพลังของไม้ตะพดสองอันเมื่อรวมตัวกัน มันรักษาพ่อแก”
“ก็น่าจะเป็นแบบนั้น”
“ชัวร์รึเปล่า แล้วแกยังให้ลุงเมฆกินยาสมุนไพรของพี่ชาญด้วยรึเปล่า”
“ก็ให้กินด้วย”
“แล้วเป็นไง”
“ก็ดี คุยรู้เรื่องเหมือนปกติ”
“ถ้าไม่เห็นกับตา ไม่เจอกับตัว ชั้นคงไม่เชื่อเรื่องพลังเหนือธรรมชาติแบบนี้แน่ๆ”
“อืม”
“แล้วนี่แกยังเครียดอะไรอยู่อีกวะ”
“มันมีเรื่องผิดปกติบางอย่างว่ะ”
“เรื่องอะไร”
“เกี่ยวกับทิวา”
“ไอ้ทิวานั่นมันเกี่ยวอะไร”
“ตอนพ่อความจำเสื่อม พ่อก็คิดทิวาเป็นลูก แต่พอพ่อหายแล้ว พ่อก็ทำตัวแปลกเกี่ยวกับแฟ้มประวัติของทิวา”
“แล้วแฟ้มประวัติอะไรของทิวาเนี่ย มันไปอยู่บ้านแกได้ไงวะ”
“ก็นั่นไง...ชั้นก็สงสัยอยู่เหมือนกัน”
อีกด้านหนึ่งที่บ้านพันเทพ ขณะนั้นราตรีกำลังนั่งแต่งหน้าอยู่ในห้อง จู่ๆ แพรวาก็เปิดประตูเข้ามา ราตรีตกใจ
“เคาะประตูเป็นมั้ยเนี่ย ชั้นตกใจหมด”
“ชั้นตัดสินใจแล้ว” แพรวาบอก
“เรื่องอะไรของเธอ”
“ชั้นจะบอกความจริงทั้งหมดกับไกร ว่าชั้นมีฝาแฝดซึ่งก็คือเธอ ที่เป็นคนก่อเรื่องทั้งหมด”
“แต่...”
“ไม่ต้องห่วงหรอก ไกรเค้าเป็นคนดีพอ เค้าจะรับผิดชอบเธอ”
“ไม่ได้นะ...เธอเป็นคนยกลูกชายท่านรัฐมนตรีให้ชั้นเองไม่ใช่เหรอ แล้ววันนี้ชั้นก็นัดดินเนอร์กับเค้า เธอจะมาโยนนายไกรนี่ให้ชั้น จะให้มันรับผิดชอบอะไรนั่น เท่ากับเธอทำลายชั้น”
“ก็ตอนที่ชั้นบอกลูกชายท่านรัฐมนตรีว่าชั้นเป็นเธอน่ะ ชั้นไม่รู้นี่ว่าเธอกับไกรจะ...”
“ไม่เอา ยังไงชั้นก็ไม่เอาหรอก นายไกรอะไรนั่นน่ะก็แค่ลูกชายเจ้าของบขส.บ้านนอก จะไปสู้อะไรกับลูกท่านรัฐมนตรีได้ เธออยากได้ก็เอาไปสิ”
“แต่เธอกับเค้าเกินเลยกันไปแล้ว”
ราตรีลำบากใจที่จะบอกความจริง
“ก็แล้วทำไมล่ะ สมัยนี้ใครเค้าแคร์เรื่องแบบนี้กัน เธอก็ทำเนียนๆ ไป ให้เค้ารับผิดชอบเธอก็จบ ดีซะอีกจะได้มีข้ออ้างกับพ่อ ว่าเธอกับนายไกรไปถึงไหนต่อไหนจนท้อง ต้องแต่งงาน พอถึงขั้นนั้นแล้วรับรองพ่อไม่ขวางเธอหรอก”
“เธอใจร้ายมากนะราตรี เธอจะให้ชั้นกลับไปหาคนที่เค้ามีอะไรกับเธอ ชั้นจะมองหน้าเค้ายังไง”
“อย่าทำฟูมฟายนักเลย มันน่ารำคาญ เธอจะทำอะไรก็ตามใจเธอละกัน แนะนำอะไรดีๆ ก็ไม่เอา แต่ขออย่างเดียว อย่าเอ่ยชื่อชั้นขึ้นมาให้นายไกรนั่นได้ยิน ชั้นไม่อยากให้เรื่องไปถึงหูลูกท่านรัฐมนตรี วันนี้ชั้นมีนัดกับเค้าด้วย”
ราตรีคว้ากระเป๋าจะเดินออกไปจากห้อง
“ชั้นยังคุยไม่จบ เธอไปไม่ได้นะ”
“ให้ทาย...ว่าชั้นจะฟังเธอมั้ย” ราตรีเดินเชิดออกไปโดยไม่สนแพรวา พร้อมพูดส่งท้ายโดยไม่หันมามองแพรวา “ขอบใจนะ สำหรับทุกเรื่อง”
แพรวากลุ้มใจทรุดตัวนั่งลง
ไม้จอดรถบขส.เข้าท่ารถ เดินลงมาจากรถ ขณะนั้นไกรยืนรอไม้อยู่
“อ้าวคุณไกร”
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะไม้”
ทั้งคู่ยิ้มให้กัน
ไม้นั่งคุยกับไกรเป็นการส่วนตัวในห้องทำงานของไกร
“ผมต้องขอโทษจริงๆ ที่ไปช่วยงานคุณไกรที่บ้านไม่ได้แล้ว”
“ชั้นเข้าใจ ม้าบอกแล้วว่าลุงเมฆป่วย เธอเลยต้องมาทำงานแทน”
“คุณไกรมาหาผม มีเรื่องอะไรรึเปล่าครับ”
“หน้าชั้นมันเหมือนคนมีเรื่องรึไง”
“ครับ...คุณไกรดูเศร้าๆ ไป”
“หน้าชั้นฟ้องขนาดนั้นเลยเหรอ”
“คุณไกรมีอะไรให้ผมช่วย ได้ทุกเรื่องเลยนะครับ”
“แม้กระทั่งเรื่องแพรวา คนที่เธอเคยชอบน่ะเหรอ”
ไม้ชะงักไปนิดนึง
“จะพูดแบบนั้นก็ไม่ถูกนะครับ”
“ได้ไง เธอเคยชอบแพรวา เธอบอกชั้นเอง”
“ผมหมายถึงว่า...ใช้คำว่า “เคย” มันไม่ถูก เพราะตอนนี้ ผมก็ยังรู้สึกดีกับคุณแพรวาอยู่”
“แต่เธอกับอบเชยก็...”
“กับคุณแพรวาน่ะ ไม่รู้เพราะอะไร เวลาใกล้เธอแล้วผมรู้สึกอบอุ่นเหมือนได้เจอญาติพี่น้อง แล้วก็อดไม่ได้ที่จะห่วงใยเธอ ส่วนความรู้สึกกับอบเชย มันเป็นอีกอย่างนึง”
“แล้ว...ชั้นควรจะเห็นเธอเป็นคู่แข่ง หรือผู้ช่วยดี” ไม้ยิ้มให้ไกร
“ผมบอกคุณไกรไปแล้ว ว่าผมยินดีจะช่วยทุกเรื่อง ผมไม่คืนคำหรอกครับ”
“เอางั้นก็ได้...เพราะยังไงไม้ก็คือคนที่ชั้นไว้ใจที่สุดอยู่แล้ว”
ไม้กับไกรยิ้มให้กัน
ขณะนั้นอบเชยถือปิ่นโตมาหาไม้ที่ท่ารถบขส. อบเชยชะเง้อมองหาไม้จึงเห็นจันทร์ซ่อมรถอยู่แถวนั้น อบเชยจึงเดินไปหา
“จันทร์ ไม้ยังไม่กลับเข้ามาอีกเหรอ”
“กลับมาแล้วนี่ เห็นเข้าไปคุยกับคุณไกรอยู่”
“คุณไกรเหรอ”
“นี่อบเชย ชั้นกำลังจะไปรพ.ไปด้วยกันมั้ย”
“ใครเป็นอะไร”
“ไม่มี...แค่ไปสืบเรื่องบางเรื่อง” อบเชยมองไปทางห้องทำงานไกร อยากเจอไม้ “เออ ไม่ต้องตอบก็รู้ว่าไม่ไป จะรอไอ้ไม้ออกมาละสิ”
อบเชยยิ้ม ไม้กับไกรเดินออกมาจากห้องพอดี อบเชยดีใจแต่พอจะเดินไปหา ทั้งคู่ก็พากันขึ้นรถขับออกไปซะก่อน อบเชยไม่สบอารมณ์นัก
แพรวาขับรถออกมาจากบ้าน ประตูบ้านค่อยๆ ปิด ไม้ออกมายืนขวางถนน แพรวาเบรกรถกะทันหันลงมาดู แพรวา
“ไม้...ทำไมทำแบบนี้ มันอันตราย”
“ผมมีเรื่องอยากคุยกับคุณแพรวาครับ”
อบเชยแอบดูไม้ที่แอบมาเจอแพรวาอยู่ไกลๆ เห็นทั้งคู่พูดคุยแล้วขึ้นรถไปด้วยกัน อบเชยไม่พอใจ “ต้องมาดักเจอกันแบบนี้เลยเหรอ”
อบเชยเจ็บใจ จันทร์ออกมาจากอีกพุ่ม
“ถ้าผู้หญิงเป็นแบบเธอทุกคนนะอบเชย ชั้นขอโสดไปจนตาย”
ไม้กับแพรวามาทานข้าวที่ร้านอาหารด้วยกัน อบเชยแอบมองจากภายนอกแล้วมองปิ่นโตในมือตน
“กับข้าวชั้นมันไม่หรูหรานี่ เดี๋ยวจะเทให้หมากินให้หมดเลยคอยดู”
“พอได้แล้วมั้ง ไปทำธุระที่รพ.กับชั้นดีกว่า อยู่แบบนี้ฟุ้งซ่านว่ะ”
อบเชยยังหน้าง้ำ จันทร์ลากอบเชยออกไป
แพรวานั่งบนโต๊ะอาหารกับไม้
“มีโอกาสได้เจอไม้ก็ดี ชั้นกำลังมีเรื่องไม่สบายใจอยู่เลย”
“เรื่องเกี่ยวกับคุณไกรรึเปล่าครับ”
“ไม้รู้ได้ยังไง”
“หน้าคุณแพรวามันฟ้อง”
“ไม้...ชั้นจะบ้าตายอยู่แล้ว ชั้นไม่รู้จะทำยังไงดี”
“ใจเย็นๆ ก่อนนะครับคุณแพรวา”
“ชั้นใจเย็นไม่ไหวแล้วไม้ ชั้นแทบจะรับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้”
ไม้เอื้อมมือไปจับมือแพรวา
“ใจเย็นๆ นะครับ ตอนนี้ความทุกข์ของคุณ ได้แบ่งเบามาถึงตัวผมแล้ว”
ไกรแอบดูอยู่อีกมุมหนึ่งของร้านอาหาร ไกรเห็นไม้จับมือแพรวาก็ไม่พอใจขึ้นมาทันที แต่ก็พยายามสงบใจ
“ไม้ไม่ใช่คนแบบนั้นหรอก”
ส่วนที่โต๊ะอาหารแพรวายิ้มกับสิ่งที่ไม้ทำให้
“ขอบคุณนะไม้ ไม้ดีกับชั้นจริงๆ”
ไม้ปล่อยมือแพรวา
“ผมว่าสิ่งที่คุณแพรวากำลังร้อนใจ ถ้าคุณแพรวาเผชิญหน้ากับมัน มันจะเห็นวิธีแก้ปัญหา
เองละครับ อย่าหนีอีกต่อไปเลยครับ” ไกรเดินเข้ามาหยุดยืนที่โต๊ะ แพรวาตกใจ “เชิญตามสบายเลยครับ ผมขอตัวก่อน”
ไม้บอกแล้วลุกเดินออกไป
“ไม้ เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งไป”
ไม้หันมาส่งยิ้มให้แพรวาแล้วเดินออกจากร้านไป ไกรนั่งลงแทนที่ไม้ ไกรกับแพรวาสบตากัน แพรวามองหน้าไกรไม่ติดนัก
จันทร์พาอบเชยมาที่โรงพยาบาล ทั้งคู่เดินเข้ามาในล็อบบี้โรงพยาบาล
“ทำไมชั้นต้องมาที่นี่กับเธอด้วยเนี่ย ห๊า”
“จะได้ไม่ฟุ้งซ่านเรื่องไอ้ไม้ไง” อบเชยมีสีหน้าไม่เต็มใจนัก จันทร์พาอบเชยไปที่ประชาสัมพันธ์
“คือผมมาขอประวัติคนไข้น่ะครับ”
“จะขอไปทำอะไรคะ”
“คือ...เพื่อนผมป่วยอยู่ในโรงพยาบาลในตัวจังหวัดน่ะครับ ทางโรงพยาบาลเค้าให้มาเอาประวัติเก่าคนไข้น่ะครับ”
“เป็นเพื่อน ไม่ใช่ญาติเหรอคะ”
“เอ่อ”
“ถ้าไม่ใช่ญาติ เราคงให้ประวัติคนไข้ไม่ได้หรอกนะคะ มันเป็นความลับของคนไข้ค่ะ”
จันทร์มองหน้าอบเชยส่งสัญญาณว่าให้ช่วย อบเชยทำทีว่าปวดท้องขึ้นทันที
“โอ๊ย คุณพยาบาลคะ ปวดท้องค่ะ ช่วยชั้นด้วยค่ะ โอ๊ยยยยยยย”
พยาบาลรีบลุกจากเคาน์เตอร์มาทันที
“เป็นยังไงบ้างคะ เดี๋ยวดิชั้นพาไปห้องฉุกเฉินค่ะ”
พยาบาลรีบประคองอบเชยไป อบเชยหันมาส่งซิกให้จันทร์
“พยาบาลคะ ปวดมากเลยค่ะ โอ๊ยยย”
พยาบาลรีบพาอบเชยไปห้องฉุกเฉิน จันทร์ก็เข้าไปนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ของพยาบาล เสิร์ชหาชื่อทิวาทันที จันทร์พิมพ์ “ทิวา” รายชื่อคนชื่อทิวาก็ขึ้นปรื้นบนหน้าจอ จันทร์ไล่หาทีละคนจนเห็นชื่อ ทิวา ศักดินันท์ เขาก็กดชื่อนั้น ก็มีประวัติขึ้นมาพรื้ด
ที่ห้องฉุกฉินอบเชยทำท่าว่าปวดท้อง พยาบาลก็ห่วงเคาน์เตอร์ จึงฝากพยาบาลคนอื่น
“นี่ฝากคนไข้คนนี้ด้วยนะ เดี๋ยวชั้นไปประจำเค้าน์เตอร์ละ”
อบเชยคว้ามือพยาบาลเคาน์เตอร์เอาไว้ กำแน่น
“โอ๊ย ปวดจังเลย”
“คุณคะ เดี๋ยวหมอก็มาดูแล้วค่ะ ไม่ต้องกลัวนะคะ”
“หมอมาแล้วเหรอ”
ที่เคาน์เตอร์เครื่องปริ๊นค่อยๆพิมพ์เอกสารออกมา หมอเดินเข้ามาในห้องฉุกเฉินมาพอดี
“คุณปวดท้อง ปวดตรงไหน”
หมอถาม อบเชยชี้มั่วไปที่ท้องน้อยด้านขวา
“ตรงนี้”
“ปวดยังไง”
“ก็ร้าวเลย ปวดมากเลย เดินแทบไม่ไหว”
“ไส้ติ่งแน่ๆ เดี๋ยวเตรียมผ่าตัดเลย”
“ห๊า ผ่าตัด”
จันทร์ได้เอกสารออกมาครบ เขามองเอกสารอย่างภูมิใจแล้วมองไปที่ป้ายห้องฉุกเฉิน รีบวิ่งไปหาอบเชย ทางอบเชยบุรุษพยาบาลเตรียมเข็นรถอบเชยไปขึ้นเตียงจะไปผ่าตัด
“ไม่เอา ไม่เอา ไม่ผ่า”
“ไม่ต้องกลัวนะ ผ่าไส้ติ่งเดี๋ยวนี้ วันสองวันก็หายแล้ว” หมอบอก อบเชยส่ายหน้าดิก
“กี่วันหายก็ไม่ผ่า”
“ปล่อยไว้แบบนี้ เดี๋ยวไส้ติ่งแตก เสียชีวิตได้นะครับ”
“ไม่แตกหรอก คือไม่ปวดแล้วไง”
จันทร์เปิดประตูเข้ามาในห้องฉุกเฉิน
“อบเชย”
อบเชยวิ่งลงจากเตียงไปยืนข้างจันทร์ อบเชยกระซิบถามจันทร์
“ตกลงได้มามั้ย ถ้าไม่ได้ชั้นต้องผ่าตัดแล้วเนี่ย”
“ได้มาแล้ว”
“นี่มันอะไรกันครับ” หมอถามอย่างแปลกใจ
“คือแฟนน่ะครับ เค้าสติไม่ดี ชอบคิดว่าตัวป่วยเป็นนั่นเป็นนี่ วันก่อนก็คิดว่าตัวเองเป็นอัมพาต” จันทร์บอก อบเชยมองจันทร์เคืองๆ
“เอ๊า”
“ขอโทษทีครับที่ทำให้วุ่นวาย”
“แผนกจิตเวชเชิญชั้นสองนะคะ” พยาบาลบอก
“ครับ”
จันทร์พาอบเชยเดินออกไป
อบเชยเดินออกมาจากตึกโรงพยาบาลกับจันทร์
“ถ้าชั้นโดนผ่าตัดขึ้นมาจะทำยังไงเนี่ย”
“ชั้นจะมาเยี่ยม”
“บ้าสิ”
“แต่เธอเป็นบ้าก็น่าจะเหมาะกว่านะ เพราะขนาดไม่มีหลักฐานทุกคนยังเชื่อสนิท”
“มากไปละ เล่นด้วยแล้วลามปาม เดี๋ยวเหอะ...แล้วประวัติไอ้ทิวาเนี่ย ไม้จะเอาไปทำอะไร”
“ก็ไม้มันบอกว่าที่บ้านมันพ่อมันเก็บประวัติทิวาตอนเด็กเอาไว้ ชั้นว่าแปลกๆ เลยอยากลองหาประวัติทิวาแบบปัจจุบันมาลองดูซะหน่อย ว่ามันมีอะไรพิรุธ”
“ทำไมต้องเก็บประวัติไอ้ทิวาด้วย คนชั่วแบบนั้น เมื่อไหร่จะเลิกมาพัวพันกับพวกเราซะที”
ส่วนที่ร้านอาหาร แพรวารวบช้อนทั้งที่กินไปไม่กี่อย่าง เธอก้มหน้าก้มตาไม่สบตาไกร
“อิ่มแล้วเหรอแพรวา ทานไปนิดเดียวเองนะ”
“ค่ะ”
“ไม่คิดจะเงยหน้ามามองผมบ้างเลยเหรอ” แพรวานิ่ง ไม่เงย “คุณเกลียดผมขนาดนั้นเลยเหรอ”
แพรวายังคงนิ่ง “ผมขอโทษที่ต้องให้ไม้พาคุณมาพบผม แต่ถ้าไม่ใช้วิธีนี้ ผมไม่มีทางได้พบคุณแน่ๆ”
“อย่าพูดอะไรดีกว่าค่ะ เวลานี้ชั้นยังไม่พร้อมจะฟังเท่าไหร่”
“ผมจะให้ผู้ใหญ่ไปสู่ขอคุณ”
“คุณก็รู้ว่าครอบครัวเราสองคนน่ะ...”
“แต่เมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นไปแล้ว ก็ต้องแก้ปัญหาสิ คุณมัวแต่หนีหน้าอยู่แบบนี้จะให้ผมทำยังไง”
“ชั้นบอกว่าคุณอย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้ไง”
“ก็ผมพยายามจะแสดงความรับผิดชอบกับสิ่งที่ได้ทำลงไป”
“หยุดเถอะชั้นขอร้อง คุณไม่ต้องแสดงความรับผิดชอบอะไรทั้งนั้น”
แพรวาลุกขึ้นเดินหนีไกรออกจากร้าน ไกรควักแบงก์พันวางบนโต๊ะแล้วรีบวิ่งตามไป
แพรวาเดินหนีไกรออกมาจากร้านอาหาร ไกรวิ่งตามคว้าแขนไว้ได้
“แพรวา หยุดก่อน”
“ปล่อยชั้นเถอะ”
“คุณอยากให้ผมทำอะไร คุณบอกผมมาสิ ผมจะทำทุกอย่าง แต่อย่าหนีหน้ากันแบบนี้”
“เรื่องของเราสองคนน่ะ มันเหมือนจับพลัดจับผลู คุณไม่ได้อยากมารักชั้น ไอ้ความใกล้ชิดที่เราไปหลงป่าด้วยกัน มันอาจจะเป็นแค่ความผูกพันเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ใช่ความรักก็ได้ คุณไม่ต้องมาตามแก้ปัญหา หรือรับผิดชอบอะไรทั้งนั้นแหละ”
“คุณว่าเรื่องระหว่างเรามันเป็นแบบนั้นเหรอ”
“หรือคุณว่าไม่จริง” ไกรไม่เถียง แพรวายิ้มสมเพชตัวเอง “น่าสมเพชมั้ยล่ะ ที่ชั้นคาดหวังจะให้คุณเถียงแล้วบอกชั้นว่าไม่จริง แต่คุณก็ไม่ทำ”
“ที่ผมไม่เถียงคุณ เพราะผมจะพิสูจน์ให้คุณดู ว่าจริงๆ แล้วความรู้สึกของเรามันคืออะไร แต่ผมทำมันไม่ได้ ถ้าคุณไม่ให้โอกาสผม”

แพรวาอ่อนลง ไกรและแพรวาสบตากัน

อ่านต่อตอนที่ 11





Create Date : 24 มีนาคม 2555
Last Update : 24 มีนาคม 2555 2:07:02 น.
Counter : 611 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]