All Blog
ฉันรักเธอรัก ตอนที่ 6 (ต่อ)



แพรวไพลินเดินออกจากร้านกาแฟ สีหน้าหงุดหงิดอารมณ์ไม่ดี เพราะโทร.หาเป็นไทเท่าไหร่ก็ไม่ติด

“โอ๊ย พี่ไทจะปิดเครื่องทำไม ไปทำอะไรอยู่ที่ไหนเนี่ย”
แพรวไพลินเดินสวนกับสังวรณ์ ที่กำลังจะเข้าไปในร้านพอดี
“คุณแพรวไพลิน แฟนเป็นไทใช่มั้ยครับ”
“ใช่ค่ะ คุณ...”
“ผมสังวรณ์ เราเคยเจอกันแล้วที่ห้องซ้อมของคุณยูกิ จำได้มั้ยครับ”
“อ๋อ นักข่าวคนนั้นนั่นเอง”
“ประทานโทษนะครับ ผมไม่ใช่นักข่าว แต่เป็นเจ้าของสื่อบันเทิงในประเทศไทยมากมาย รวมถึงเป็นเจ้าของบริษัทออแกไนซ์ชื่อดังด้วย”
“ค่ะ”
“แนะนำตัวอย่างเป็นทางการอีกที ผม ซี ซังวอน”
“คุณพ่อเป็นเกาหลีเหรอคะ ถึงได้ชื่อแบบนี้”
สังวรณ์โดนแพรวไพลินเบรคหัวทิ่ม
“ดูท่าทางคุณแพรวจะเป็นคนมีมนุษย์สัมพันธ์นะครับ ทักซะกันเองเชียว แล้วนี่มาคนเดียวเหรอครับ”
“มากันสิบเอ็ดคนค่ะ กะว่าพอทานกาแฟเสร็จก็จะไปทั้งทีมเตะบอลต่อ...ก็เห็นอยู่ว่ามาคนเดียว ยังจะถามอีกนะคะ”
“แหม เฟรนด์ลี่จริงๆด้วย…ถ้าไม่มีธุระที่ไหน เราไปหาอะไรทานหน่อยดีมั้ยครับ”
แพรวไพลินมองไม่พอใจ
“เราจำเป็นต้องผูกมิตรกันขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
“คุณนี่ไม่ทันคนจริงๆ”
“หมายความว่าไง”
“วันที่ผมเจอคุณครั้งแรกที่ห้องซ้อมเต้น ดูปร้าดเดียวก็รู้ว่าคุณน่ะไม่ชอบยูกิ แต่คุณคงวิเคราะห์ไม่ได้สินะ ว่า ผมนะจะเป็นคนที่แยกยูกิออกจากแฟนคุณได้”
“จะทำยังไง”
“ก็ลองมาคุยกันหน่อยจะเป็นไรล่ะคุณแพรว”
แพรวนิ่งคิดตามคำพูดสังวรณ์ แล้วเธอก็ตกลง”
“ที่ไหนก็ว่ามา”
สังวรณ์ยิ้มพอใจ

เต็นท์ถูกกางเสร็จเรียบร้อย เป็นไทกับนับดาว ช่วยกันก่อกองไฟที่หน้าเต็นท์ เขาใส่เชื้อไฟเข้าไป นับดาวเอากระดาษแข็งพัด เอาหน้าก้มลงไปเป่า จนไฟติด
“นี่ไง ติดแล้ว สมแล้วที่เรียนเนตรนารีมา”
เป็นไทแปลกใจ
“ที่ญี่ปุ่นมีเนตรนารีด้วยเหรอครับ”
นับดาวพูดภาษาญี่ปุ่นมั่วๆ
“ดาไลอิมะ”
“แปลว่าอะไรน่ะครับ”
“ความลับค่ะ”
เป็นไทงุนงง
“แค่เรื่องเนตรนารีแค่นี้ก็ต้องเป็นความลับด้วย”
นับดาวหน้าแหย
“จริงๆฉันก็ไม่รู้ว่าแปลว่าอะไรหรอก มันคุ้นปากก็พูดไปมั่วๆ”
“มามุกแบบนี้อีกแล้ว โอเค ไม่อยากบอกก็ได้”
“กะแล้วเชียวว่าต้องไม่เชื่อ”
“ไม่เชื่ออยู่แล้ว คุณเป็นคนญี่ปุ่นจะไม่รู้ภาษาตัวเองได้ไง”
“แล้วถ้า...ฉันไม่ใช่คนญี่ปุ่นล่ะ” นับดาวถามหยั่งเชิง
“ก็ดีสิ พองานจบเราก็ยังมีโอกาสได้เจอกันมากกว่า”
นับดาวยิ้มที่ได้ยินเขาพูดแบบนั้น
“แต่จะเป็นไปได้ยังไง ยังไงคุณก็ต้องกลับประเทศคุณอยู่แล้ว”
นับดาวและเป็นไทต่างก็ยิ้มเศร้าๆ

สองหนุ่มสาวก้มหน้าเงียบ ปล่อยให้บรรยากาศรอบข้างทำงาน เธอแอบมองเขาแล้วตัดสินใจจะบอกความจริงกับเขา เธอเอามือลูบหน้า ปัดผมรวบรวมความกล้า
“คุณไท ฉันมีเรื่องจะบอก...”
เป็นไทเงยหน้าขึ้นมา เห็นนับดาวหน้าเปื้อนถ่านเป็นปื้นเต็มหน้า เขาก็หัวเราะออกมา นับดาวงงว่าเขาหัวเราะทำไม
“หัวเราะอะไรน่ะ”
“ก็หน้าคุณน่ะ...เป็นแผนที่อมริกาเลย”
“ทำไม” นับดาวเอามือดำๆจับหน้าตัวเอง หน้ายิ่งเลอะไปใหญ่ “ตรงไหนเลอะตรงไหน”
เป็นไทหัวเราะร่วน
“ตอนนี้มันกลายเป็นแผนที่โลกแล้ว”
“ทำไมล่ะ” นับดาวแบมือก็เห็นมือตัวเองดำปี๋ “โอ๊ย...มือยังขนาดนี้ หน้าจะขนาดไหน”
เป็นไทหัวเราะ แต่ก็มาช่วย
“เดี๋ยวผมจัดการให้”
เป็นไทเอื้อมมือหยิบผ้าเช็ดหน้า เข้าไปเช็ดให้นับดาวอย่างทนุถนอม เธอแอบมองหน้าเขาในระยะใกล้ เขาช่างอ่อนโยนกับเธอจริงๆ เป็นไทเช็ดหน้าสัมผัสที่อ่อนโยน
“ผมมีอะไรจะให้คุณด้วย หลับตาสิ”
“หลับตาเลยเหรอ จะดีเหรอ”
“เถอะน่า”
นับดาวหลับตาลง เป็นไทค่อยๆโน้มลงที่หน้า เธอใจเต้นรัว เป็นไทก้มลงมาหาเธอทำปากจู๋ ยื่นปากจะจูบ แต่แล้วเธอก็ตื่นจากภวังค์ด้วยการสะกิดของเป็นไท
“คุณเป็นอะไรไปน่ะ”
นับดาวหลุดจากภวังค์
“คุณไม่ได้จะ...”
นับดาวทำปากจู๋ เป็นไทมองงงๆ
“ผมให้ผ้าเช็ดหน้าคุณ เพราะมันคงซักไม่ออกแล้ว…แล้วไหนเมื่อกี้ว่ามีเรื่องอะไรจะบอกนะครับ”
“เปล่า...ไม่มีอะไรหรอก”
นับดาวมองเขาอย่างเซ็งๆ

ที่ร้านอาหารหรู สังวรณ์กับแพรวไพลิน นั่งกินข้าวด้วยกัน
“มีข้อเสนออะไรก็ว่ามา ฉันไม่อยากเสียเวลามากนัก”
“ผมจะทำให้งานแฟนคุณล้มไม่เป็นท่า”
“ช่างกล้าพูด คิดว่าฉันจะยอมปล่อยให้คุณทำอย่างงั้นเหรอ ไม่รู้รึไงว่าที่พี่ไทชนะประมูลเพราะเงินของฉัน”
“ผมรู้ แต่ตอนนั้นมันไม่ใช่ตอนนี้ เพราะตอนจ่ายเงินคุณไม่รู้นี่ว่า ระหว่างเป็นไทกับยูกิจะมีซัมติงรองกัน”
แพรวไพลินเงียบ คล้อยตาม
“ถ้าเป็นไทมันประสบความสำเร็จกับคอนเสิร์ตไอยูกิครั้งนี้ มันต้องมีสาวๆมารุมทึ้งมันเต็มไปหมด แถมยังมีโอกาสหาเงินมาใช้หนี้คุณได้เร็วขึ้นด้วย แล้วคุณยังต้องการให้คอนเสิร์ตมันประสบความสำเร็จอีกเหรอ”
แพรวไพลินลำบากใจ แต่ก็รู้สึกอย่างนั้น

ยามาดะเปิดประตูห้องยูกิเข้ามา ซีซีตามเขาดข้ามาด้วย ยูกิที่กำลังนอนอยู่ก็สะดุ้งตื่น
“ใช้ชีวิตสบายเหลือเกินนะ”
ยูกิแปลกใจ
“ซีซี”
“ท่าทางดูไม่เดือดร้อนอะไรเลยนะ คิดว่าลาพักร้อนมาเที่ยวทะเลรึไง”
“อะไรของเธอ ก็เธอให้ฉันมาอยู่ในสภาพนี้เองนี่”
ซีซีหันไปหายามาดะ
“วันๆให้มันทำอะไรบ้าง”
“ไม่มีอะไรนอกจากดูแลตัวเอง”
“แกมันโง่รึไง ทำไมไม่ให้มันทำอะไรแทนแกเล่า”
“ผมทำเองได้”
ซีซีไม่พอใจ
“เออ ดี...ไม่ชอบพึ่งใครงี้ ฉันเลยจับมันมานั่งๆนอนๆ เลี้ยงระบบปิด จะได้ไม่ติดโรค ไม่มีหมัด ไม่มีไรหู...แกคิดว่าเลี้ยงแมวอยู่รึไง เช้าให้อาหาร เย็นให้อาหาร บ่ายเปิดประตูให้ไปเดินเล่น”
“กลางวันแมวจะนอน กลางคืนต่างหากที่จะออกไปข้างนอก” ยามาดะแย้ง
“แกไม่ต้องเอาข้อมูลจริงมาพูดกับฉัน นี่ฉันกำลังประชด...พรุ่งนี้ให้มันไปตักน้ำจืด ทำความสะอาดให้เกลี้ยง เก็บขยะบนชายหาดให้หมด”
“ไม่ให้เค้าปั่นไฟให้ใช้ด้วยเลยล่ะ” ยามาดะแระชด
“ได้ด้วยเหรอ”
ยามาดะเซ็งๆ
“ประชด”
“นั่นแหละ” ซีซีหันไปหายูกิ “แกได้ยินแล้วใช่มั้ยว่าต้องทำอะไรบ้าง แล้วจากนี้ไปมันก็เป็นหน้าที่ประจำของแกด้วย”
ยูกิเบื่อๆ ยามาดะมองอย่างเห็นใจยูกิ

นับดาวเดินออกจากเต็นท์มา เห็นเป็นไทนอนหลับอยู่บนเปล เธอแอบดูเขานอนหลับ แล้วถอนหายใจ ขณะเดียงกันนั้น เธอเห็นยุงตอมเขาเธอเอามือปัดให้อย่างห่วงใย ก่อนจะมองออกไปที่ทะเล
“ยูกิ จริงๆเราก็คงอยู่ไม่ไกลกัน แต่ฉันไม่รู้จะไปช่วยเธอได้ยังไง แต่ฉันสัญญานะว่าจะหาทางไปช่วยเธอให้ได้”
นับดาวถอนหายใจอีกทีให้กับชีวิตตัวเอง

แพรวไพลินอาบน้ำแต่งชุดนอนออกมาหน้ากระจก เธอเห็นกรอบรูปคู่ระหว่างเธอกับเป็นไทก็นิ่งคิดถึงคำพูดของสังวรณ์ เสียงของสังวรณ์ลอยเข้ามาในห้วงคำนึงที่ว่าถ้าเป็นไทประสบความสำเร็จเขาก็จะทิ้งเธอแน่ๆ แพรวไพลินนึกย้อนไป ถึงสิ่งที่เธอคุยกับสังวรณ์ที่ผ่านมา
“คุณจะให้ฉันทำอะไรบ้างก็ว่ามาเลยดีกว่า”
“นี่ก็แปลว่าเราจะร่วมมือกัน”
“ฉันจะฟังแล้วเก็บไว้พิจารณา”
“คืออย่างนี้ ผมอยากให้คุณสังเกตที่หน้าอกของยูกิหน่อย ว่ามีตำหนิรูปปานจันทร์เสี้ยวที่หน้าอกข้างซ้ายมั้ย”
“นี่คุณรู้มั้ยฉันเป็นใคร ให้ไปเที่ยวไล่สำมโนประชากร ก็เสียเบอร์หมดสิ”
“แต่มันจะทำให้รู้เลยนะ ว่ายูกิที่คุณเห็นอยู่ ตัวปลอมหรือตัวจริง”
แพรวไพลินงง
“ตัวปลอมคืออะไร ทำไมมีตัวปลอมด้วย”
“มันเป็นข้อสงสัยที่ผมลองตั้งขึ้นมา แล้วมองเห็นความเป็นไปได้ของมันอยู่”
“ทำไมต้องเป็นฉันด้วย”
“เพราะคุณเข้าถึงตัวยูกิง่ายกว่าผม”
แพรวไพลินนิ่งคิด แววตาสังวรณ์แสดงถึงความเป็นต่อ
“ก็ลองคิดดูดีๆละกัน ว่าอยากให้แฟนมีอนาคตไกลแล้วไปหาคนอื่น หรือดักดานอยู่กับคุณไปชั่วชีวิต”
แพรวไพลินงงๆ เหมือนถูกด่า

แพรวไพลินวางกรอบรูปคู่ระหว่างเธอกับเป็นไทลง
“ทุกอย่างที่แพรวทำ ทำเพราะรักพี่ไทนะคะ”
แพรวไพลินแววตามุ่งมั่น
“ยูกิ แล้วเราจะได้เห็นกัน ว่าใครแน่กว่าใคร”

เช้าวันใหม่...เป็นไทตื่นนอนขึ้นมาจากเปล เขาปิดขี้เกียจปวดหลัง แล้วก็เห็นว่าที่พื้นบริเวณที่เขานอน มีซากยากันยุงที่ถูกจุดอยู่ เขายิ้มออกมา เป็นไทเดินไปที่เต็นท์จะไปปลุกนับดาว เขาเปิดเต็นท์เข้าไป นับดาวกำลังหลับอย่างหมดสวย อ้าปากหวอ เขามองเธอด้วยความเอ็นดูและรอยยิ้ม เป็นไทเอามือจับปอยผมออกจากหน้าของเธอ
“คุณเป็นไม่เหมือนกับที่ผมคิดไว้เลย”
นับดาวพลิกตัวทำปากเคี้ยวแจ๊บๆ ไม่มีเกรงใจ เป็นไทมองแล้วยิ้ม
“แต่ผมก็ชอบที่คุณเป็นแบบนี้มากกว่า”
นับดาวพลิกตัวอีกเอามือมาฟาดหัวเขาพอดี เป็นไทเจ็บ นับดาวรู้สึกตัว ลุกเด้งขึ้นมา
“คุณมาทำอะไรในนี้”
เธอมองเขาอย่างไม่ไว้ใจ เป็นไทรีบเฉไฉ
“ก็คุณนอนกรนเสียงดังออกไปข้างนอกเลย ใครจะนอนได้”
“พูดเป็นเล่น”
“จริงๆ ผมก็เลยจะเข้ามาปลุก เกรงใจชาวบ้านเค้า”
“แล้วทำไมไม่ปลุก”
“ผมเห็นคุณหลับน้ำลายเยิ้ม มีความสุขเลยไม่อยากปลุก”
นับดาวเอามือเช็ดคราบน้ำลายที่ปาก
“บ้า...ไม่เคย ฉันนอนเรียบร้อยจะตาย ไม่เคยน้ำลายไหล หรืออ้าปากหวอเลยนะ เวลาตื่นสวยยังไงก็ยังงั้นเลย”
“โอเค ไม่เคยก็ไม่เคยครับ คุณเจ้าหญิงนิทรา”
เขายิ้มให้ เธอเขินๆ เป็นไทจะออกไปจากเต็นท์หันมาพูดกับเธอ
“ขอบคุณนะครับสำหรับยากันยุง”
เป็นไทออกไป นับดาวยิ่งเขินหนัก
“ฉันเป็นเจ้าหญิง...”
เธอหันไปเห็นหมอนที่ตัวเองหนุนมีคราบน้ำลายเป็นดวงๆ ก็หน้าเสียไปทันที

เสียงโทรศัพท์ในห้องทำงานดังขึ้น วราพรรณรับสายจากเลขาเป็นไทด้วยความดีใจ
“ว่าไงนะคะ ทางบริษัทคุณ คัดเลือกให้ฉันได้สัมภาษณ์ยูกิเป็นการส่วนตัวเหรอคะ”
“ใช่ค่ะ พอดียูกิมีคิวว่างบ่ายนี้ ยูกิเลยจะให้สัมภาษณ์เปิดใจเป็นกรณีพิเศษ ขอโทษนะคะที่ไม่ได้แจ้งให้ทราบล่วงหน้า”
“ไม่เป็นไรค่ะ เวลากี่โมงคะ...ได้ค่ะ จะรีบไป”
วราพรรณหันไปบอกสังวรณ์ณ์ที่คอยเงี่ยหูฟังอยู่
“ฉันได้รับเลือกให้สัมภาษณ์ยูกิเป็นกรณีพิเศษ เดี๋ยวจะถามอย่างที่คุณอยากรู้มาให้”
วราพรรณรีบหยิบกระเป๋าออกไป สังวรณ์ตะโกนบอกไล่หลัง
“ถ้าคุณทำได้ ผมจะเลื่อนตำแหน่งให้”
“งั้นเตรียมตำแหน่งรอไว้ได้เลย”
วราพรรณฉีกยิ้มกว้าง

เลขาเป็นไทเดินนำวราพรรณมาที่ห้องทำงานขององอาจ
“รอซักครู่นะคะ คุณยูกิเพิ่งซ้อมเต้นเสร็จ ถ้าเป็นไปได้ ตอนนี้คุณยูกิเข้ามา อยากให้คุณช่วยทำเซอร์ไพรส์เธอ ด้วยการเต้นเพลงของเธอได้มั้ยคะ”
“ฉันเต้นไม่เป็นหรอก”
“แค่เซอร์ไพรส์เล็กๆ น้อยๆ ที่เธออุตส่าห์สละเวลามาคุยกับคุณ”
“งั้นฉันจะพยายามแล้วกัน”
เลขาเป็นไทเดินออกไป วราพรรณกรี๊ดออกมาแบบไม่มีเสียงด้วยความดีใจ พูดกับตัวเอง
“ไม่คิดไม่ฝันจะได้สัมภาษณ์ใกล้ชิดนักร้องระดับโลกอย่างนี้ มีหวังงานนี้เป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์แน่ ๆ”
วราพรรณเต้นออกลิงออกข้างด้วยความดีใจ โดยไม่รู้ว่ามีกล้องวีดีโอถ่ายอยู่ด้านหลัง วราพรรณกระโดดเหยง ๆ เต้นแร้งเต้นกาด้วยความดีใจ องอาจ เลขา และพนักงานคนอื่นที่เดินผ่านไปผ่านมามองจอมอนิเตอร์ที่ด้านนอกห้อง เป็นภาพที่วราพรรณเต้นแร้วเต้นกาอยู่ก็พากันยิ้มขำในพฤติกรรม ของเธอ
วราพรรณเต้นจนกางเกงในเข้าวิน จึงดึงออกมา ก่อนจะจัดเสื้อในและผมเผ้าให้เรียบร้อย ทดสอบกลิ่นปาก เดินไปที่ประตูชะเง้อมองหายูกิ ด้วยความตื่นเต้น
“เมื่อไหร่จะมาซักที”
เธอหันมาเห็นกล้องวีดีโอตั้งอยู่ รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีรีบเดินเข้าไปดู
“กล้องเปิดอยู่ งั้นเมื่อกี๊ก็หมายความว่า...”
วราพรรณวิ่งออกมาเห็นเลขาเป็นไทและพนักงานคนอื่น ๆ หัวเราะขำ ก่อนเธอจะเห็นจอ TV ที่ต่อภาพจากกล้องวีดีโอในห้องออกมาให้คนข้างนอกดู ถึงได้รู้ตัวว่าถูกหลอก เธอหันไปเอาเรื่องเลขาเป็นไทที่นั่งอยู่ทันที
“ทำแบบนี้หมายความว่ายังไง”
ทันใดนั้นเสียงองอาจก็ดังขึ้น
“อย่าไปว่าเค้าเลยคุณ”
วราพรรณหันไปเห็นองอาจเดินยิ้มเข้ามา
“คุณควรจะขอบคุณเค้าดีกว่า”
“ขอบคุณเรื่องอะไร”
“ก็ที่เค้าทำให้คุณเป็นที่รู้จัก แทนที่คนจะรู้จักคุณแค่ในออฟฟิศเล็ก ๆ ที่คุณทำงานอยู่ แต่ตอนนี่คุณเป็นที่รู้จักกันทั้งออฟฟิศของผม แล้วอีกไม่นานก็คงจะทั่วประเทศ เผลอ ๆ อาจจะเป็นทั่วโลกก็ได้ ถ้าผมนำคลิปนี้ลงยูทูป”
องอาจโชว์แผ่นที่เพิ่งไรท์เสร็จให้ วราพรรณโกรธที่ถูกหลอก
“อีตาบ้า เอาคืนมาเดี๋ยวนี้”
องอาจชักมือหลบไม่ยอมให้
“ก็ไหนคุณบอกว่า การละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของคนอื่นเป็นเรื่องธรรมดา”
“ฉันไม่เคยพูดอย่างนั้น แล้วที่สำคัญฉันกับยูกิต่างกัน ฉันคนธรรมดาแต่เค้าเป็นคนของประชาชน”
“แล้วคนของประชาชน ไม่สมควรได้รับความเป็นส่วนตัวหรือไง ไม่นับเรื่องพาดหัวเสีย ๆ หาย ๆ ให้คนอ่านเข้าใจผิดอีก ทำอย่างนี้เท่ากับหลอกลวงประชาชน”
“ไม่ต้องมาทำเป็นพูดดีเพราะสุดท้ายคุณก็ทำเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองเหมือนกัน”
“ไม่จริง ผมทำเพื่อปกป้องคนอื่น แต่คุณทำเพื่อประโยชน์ของตัวเอง”
“แน่ใจ...งั้นเราได้เห็นดีกันแน่”
“นี่ขู่ผมเหรอ”
“คนอย่างฉันไม่เคยขู่”
วราพรรณเดินออกไป องอาจมองอย่างเจ็บใจ

วราพรรณกลับมาที่ออฟฟิต เธอเข้าไปนั่งที่โต๊ะทำงานเสิร์ชหาเว็บไซด์แฟนคลับของยูกินญี่ปุ่น
“เล่นกับใครไม่เล่น มาเล่นกับฉัน”
วราพรรณอัพโหลดภาพหน้าปกหนังสือที่แสกนไว้ ลงเว็บแฟนคลับยูกิในประเทศญี่ปุ่น
“ให้มันรู้ไปว่าคนอย่างนายไม่แคร์ผลประโยชน์ของตัวเอง”
วราพรรณกดเอนเทอร์ ภาพหน้าปกหนังสือนินทาดาราขึ้นโชว์หราในหน้าเว็บแฟนคลับยูกิ
ในประเทศญี่ปุ่น

เสียงโทรศัพท์ดังไม่ยอมหยุดจากห้องทำงานเป็นไท องอาจถือแก้วโกโก้ในมือ รีบเข้ามารับก่อนที่จะตัดสายไป
“ฮัลโหล...เอ่อ คุณไทยังไม่เข้าออฟฟิศเลยครับ ไม่ทราบจากไหนครับ ถ้าคุณไทเข้ามาผมจะให้ติดต่อกลับไป...ผู้บริหารสูงสุด ค่าย J.O.Y. ไทยแลนด์...อูย สวัสดีครับท่านมีเรื่องอะไรถึงโทรมาเองเลย...ข่าว ทราบครับทราบ...ครับ แล้วผมจะให้คุณไทติดต่อท่านกลับไปให้เร็วที่สุดเลยครับ” องอาจวางสาย “งานเข้าแล้วไง”
องอาจถือแก้วโกโก้เดินจะออกจากห้อง เป็นไทกับนับดาวก็เดินเข้ามาพอดี องอาจชนเข้ากับนับดาวอย่างจังโกโก้ในแก้วของอาจหกเลอะเสื้อนับดาวที่หน้าอกด้านซ้ายอย่างจัง
“ขอโทษครับยูกิจัง ขอโทษครับ”
องอาจพยายามจะเช็ดให้ แต่เลอะบริเวณเนินอก เป็นไทคว้ามือองอาจไว้ไม่ให้เช็ด
“ผมว่ายูกิไปเปลี่ยนเสื้อจะดีกว่าครับ เราคงมีเสื้อทีมเหลืออยู่บ้าง”
“ขอโทษด้วยจริงๆครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเดินไม่ดูเอง”
นับดาวเดินแยกไป องอาจมองหน้าเป็นไท
“หวงจริงๆเลยนะครับคุณไท คนนี้เนี่ย”
“มันไม่สุภาพ คุณจะไปเช็ดให้เค้าได้ไง”
องอาจจ๋อยไปรีบเปลี่ยนเรื่อง
“เออคุณไทครับ เมื่อกี้ทางต้นสังกัดของยูกิโทรมา ให้คุณไทโทรกลับไปด่วนเลยครับ”
เป็นไทตกใจ
“เค้าบอกมั้ยว่าเรื่องอะไร”
“เรื่องข่าวครับ”
เป็นไทเครียดขึ้นมาทันที
“ขอบคุณมาก เดี๋ยวทางนี้ผมจัดการเอง”
“โอเคครับ”
องอาจเดินออกจากห้อง เป็นไทหน้าเครียดไปที่โต๊ะ

องอาจเดินออกจากห้อง เจอกับแพรวไพลินที่เดินเข้ามาพอดี เขารีบเอาตัวขวางไม่ให้เธอเข้าไป
“เข้าไม่ได้เด็ดขาดเลยครับตอนนี้”
“อะไร...ฉันเป็นแฟนทำไมจะเข้าไม่ได้”
“ขืนเข้าไปตอนนี้ คุณแพรวน่ะจะตายคนแรกเลย”
“ทำไม เกิดอะไรขึ้น”
“เรื่องเครียดระดับประเทศเลยนะครับ อย่าเข้าไปจะดีกว่า”
“มีนายกอยู่ข้างในเหรอ”
“เอาเป็นว่า อย่าเข้าไปจะดีกว่าครับ”
“แล้วนี่ ยูกิ เข้ามารึเปล่า”
“ไปเปลี่ยนเสื้ออยู่ในห้องน้ำมั้งครับ มีอะไรรึเปล่า”
“เปล่า”
แพรวไพลินยิ้มอย่างมีเสศนัย ก่อนจะเดินแยกไปจากองอาจ

นับดาวเดินบ่นออกจากห้องน้ำ สวมเสื้อตัวใหม่แล้ว มือถือเสื้อที่เลอะออกมาด้วย
“เป็นคราบไปถึงพุงเลยนะเนี่ย ต้องอาบน้ำซะละมั้งแบบนี้”
แพรวไพลินเดินอาดๆเข้ามาในห้องน้ำ
“อยู่นี่เอง”
นับดาวงง
“อะไร ทำไม เกิดอะไรขึ้น”
“ถามจริงๆเถอะนะ เธอคือยูกิตัวจริงรึเปล่า”
นับดาวตกใจ
“อะไรนะ ถามแบบนี้หมายความว่ายังไง”
“โอเค ไม่ต้องตอบก็ได้ ฉันมีวิธีที่จะรู้ได้ก็แล้วกัน”
นับดาวตกใจ
“คือ...คือ...ฉัน...”
แพรวไพลินเดินพุ่งเข้ามาหาแววตาร้ายกาจ จ้องเขม็ง แล้วกระชากคอเสื้อนับดาวก้มเข้าไปดูด้านใน แล้วเธอก็ต้องตกใจ ตาค้าง
“เธอ...เธอ...มัน...”
นับดาวตกใจ งงไปหมด
“คือ ฉัน...อะไร...ยังไง ฉันควรจะพูดว่าไงดี”
แพรวไพลินหน้าตื่น
“เธอเป็นยูกิตัวจริง จริงๆด้วย”
นับดาวชะงักอึ้ง
“ห๊ะ”
“ปานนั่น มีอยู่จริงๆ”
นับดาวอึ้งงง
“ปาน”
“คอยดูเถอะ ฉันไม่ยอมหยุดแค่นี้แน่”
แพรวไพลินเดินไม่พอใจออกไปจากห้องน้ำ ปล่อยนับดาวยืนงงอยู่คนเดียว
“ฉันเป็นยูกิตัวจริงเหรอ...ปานอะไร”
นับดาวไม่เข้าใจเธอพยายามจะล้างคราบเหนียวที่เหนอะคราบโกโก้ออกจากตัว เธอดึงคอเสื้อลงต่ำ เห็นรอยคราบโกโก้เลอะที่เนินอกเป็นรูปคล้ายๆพระจันทร์ เธอเอาน้ำป้ายๆออก
“ปานอะไร ไม่เห็นเข้าใจเลย”
นับดาวยังงงกับพฤติกรรมของแพรวไพลินต่อไป

แพรวไพลินร้อนใจเดินไปเดินมาโทรศัพท์หาสังวรณ์ เมื่อสังวรณ์เห็นเบอร์แพรวไพลินโทรมาก็กดรับ
“ว่าไงคุณแพรว”
“นี่จะรับโทรศัพท์ให้มันเร็วๆไม่ได้รึไง”
“ใจเย็นๆสิครับ มีอะไรทำให้ร้อนใจไม่ทราบ”
“เรื่องปานบ้าบออะไรนั่น ฉันดูให้แล้วนะ”
“แหม...ทำงานเร็วดีจริงๆ ผมล่ะมองคนไม่ผิด”
“ไหนบอกว่ามันเป็นยูกิตัวปลอมไง ฉันเห็นปานมันเต็มสองตาเลย”
สังวรณ์ตะลึง
“พูดเป็นเล่น ปานรูปพระจันทร์หน้าอกข้างซ้ายนะ”
“นี่ ฉันไม่ได้โง่นะ บอกว่าเห็นก็เห็นสิ”
“งั้นก็แปลว่าเป็นยูกิตัวจริง”
“แล้วไหนบอกเป็นยูกิตัวปลอมไง มั่วได้อีกนะเนี่ย”
“ผมก็แค่สันนิษฐาน”
“แล้วนี่จะทำไงต่อไปเนี่ย”
“ผมมีแผนบี”
“อะไร แผนบี”
“ถ้ามันเป็นยูกิตัวจริงละก็ เราก็ลักพาตัวยูกิตัวจริง แล้วก็จ้างตัวปลอมไปเสียบแทนไง รับรองคราวนี้ งานล่มแน่ๆ”
“แล้วจะไปหาคนหน้าเหมือนยายยูกินี่จากไหน ทำยังกับมันหาง่ายๆงั้นแหละ”
“หึ หึ”
สังวรณ์ยิ้มตาวาวนึกถึงตอนที่ไปเจอนับดาวที่งานเลี้ยงรุ่น
“ผมรู้จักอยู่คนนึง”
สังวรณ์หน้าตาและสายตาเจ้าเล่ห์

เป็นไทนั่งหน้าเครียดอยู่บนโต๊ะ องอาจกับนับดาวเดินเข้ามา
“คุณไทเรียกเราใช่มั้ยครับ”
“ใช่...เชิญคุณยูกินั่งก่อนครับ”
นับดาวเดินไปนั่งตามคำเชิญ
“มีอะไรเหรอครับคุณไท หน้าเครียดเชียว”
เป็นไทถอนหายใจ
“คือแบบนี้นะครับยูกิ เมื่อกี้ผมได้คุยกับทางต้นสังกัดของคุณ”
“อ๋อ ค่าย G.E.I.”
“J.O.Y. ครับ แหม ผิดทุกตัว”
เป็นไทพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“คุณคงจะตลกไม่ออกแล้วละครับ ทางค่ายใหญ่ที่ญี่ปุ่น เขาเรียกเราเข้าไปคุยเกี่ยวกับกระแสข่าวลบที่ออกมาติดๆกัน”
เป็นไทโยนหนังสือนินทาดาราทั้ง 2 เล่ม ที่เป็นภาพปาปารัชชี่ของยูกิกับเขา และของนับดาวกับสังวรณ์ ลงบนโต๊ะ
องอาจตกใจ
“คุณพระ นี่จะถึงขั้นแบนคอนเสิร์ตมั้ยครับเนี่ย”
“ผมพยายามจะไม่ให้เป็นงั้น”
“ถ้างั้นคุณไทกับยูกิก็ต้องเดินทางไปญี่ปุ่น”
“ไม่ถึงขนาดนั้น พอดีว่า คุณชินอิจิ CEO ของ J.O.Y. กำลังเดินทางมาประชุมแผนการตลาดเอเชียที่เชียงใหม่”
นับดาวตื่นเต้น
“เราต้องไปเชียงใหม่เหรอ”
องอาจงงๆ
“ทำอย่างกับไม่เคยไปนะครับจริงๆครอบครัวคุณก็มีบ้านพักตากอากศอยู่ที่เชียงใหม่นี่ แถมคุณยังเคยมาอยู่ที่เชียงใหม่ด้วย”
นับดาวรีบเปลี่ยนท่าที
“นั่นสิ...คือจริงๆ แค่คิดถึงเพื่อนที่นั่นน่ะค่ะ”
เป็นไทหันมาบอกอย่างไม่สบายใจ
“ผมต้องขอโทษคุณยูกิจริงๆที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้”
“ไม่เป็นไรค่ะ ถือซะว่าได้ไปเที่ยว”

นับดาวดูท่าทางไม่เดือดร้อนกับใครเค้าเลย แต่องอาจกับเป็นไทหน้าเครียด
รจนากำลังนั่งดูทีวีอยู่ นับดาวระริกระรี้เข้ามาฮัมเพลงญี่ปุ่นของยูกิด้วย ในมือถือข้าวของมาเต็มไปหมด รจนาชำเลืองตามองหลานที่อารมณ์ดีเข้ามาในบ้าน ไม่ค่อยพอใจกับการร้องเพลงต่างชาติเท่าไหร่

“เราก็รู้ไม่ใช่เหรอ ว่าย่าไม่ชอบพวกนิยมต่างชาติ”
นับดาวหยุดร้องเพลงทันที
“แหม ทำเครียดไปได้ย่าก็...นี่หนูซื้อของมาฝากย่าเพียบเลยนะ ดูสิ ของบำรุงสุขภาพทั้งนั้นเลยนะ” นับดาวพูดพร้อมหยิบของจากถุง “นี่รังนก นี่ก็ซุปไก่ น้ำผึ้ง แล้วย่าก็อย่ากินน้ำเย็นนะ เดี๋ยวคอจะแย่ นี่แอบพูดก่อนหมอกำหนดก็เสี่ยงพอแล้ว”
“ทำไมต้องซื้อของมาเยอะแยะแบบนี้ด้วย ทำอย่างกับจะไม่กลับบ้านหลายวันแล้ว กลัวย่าไม่มีอะไรกินยังงั้นแหละ”
“คือ...หนูต้องไปทำงานน่ะย่า...”
“งานอะไร ไอ้งานหลอกลวงชาวบ้านนั่นน่ะเหรอ”
นับดาวหน้างอ
“ย่าอ่ะ อย่าว่านักสิ เดี๋ยวอีกไม่นานมันก็คงจบแล้ว”
“ให้มันจริงเถอะ”
“พรุ่งนี้หนูจะไปเชียงใหม่นะย่า”
“ห๊า”
“ไปธุระ ไปทำงาน ย่าดูแลตัวเองด้วยก็แล้วกัน”
รจนาน้อยใจ
“ใช่สิ ย่ามันไม่สำคัญเท่าการได้เป็นดาราจอมปลอมนี่”
“หนูไม่ได้ไปเที่ยวนะย่า ไปทำงานจริงๆ งานด่วนด้วย”
“งั้นก็ปล่อยให้ย่าเฉาตายอยู่บ้านเถอะ”
นับดาวเข้าไปกอดย่า
“หนูก็อยากพาย่าไป แต่มันเป็นงานบริษัท หนูเกรงใจเค้า”
“เชอะ”
นับดาวไม่สบายใจที่ย่างอน แต่เมื่อเธอหันไปเห็นซองหมากฝรั่งในถุง เธอก็หยิบซองหมากฝรั่งขึ้นมา
“หนูมีวิธีพาย่าไปเชียงใหม่แล้ว”
รจนาแอบดีใจ หันมาหา นับดาวชูซองหมากฝรั่ง
“นี่ไง หนูจะส่งฉลากไปชิงโชค ผู้โชคดีได้ไปเที่ยวเชียงใหม่ฟรีกับแพนเค้กเลยนะ ดูหมีแฟนด้านะ อยากดูป่าว”
รจนาเซ็งกับวิธีของนับดาว

เสียงเคาะประตูดังสองสามครั้ง แล้วประตูห้องสังวรณ์ก็เปิดออกมา วราพรรณเดินเข้ามา
“คุณมาก็ดีแล้ว”
“คุณซังวอนเรียกฉันมีอะไรเหรอคะ”
“นี่จะกลับบ้านรึยังเนี่ย”
“กำลังจะกลับค่ะ”
“ดี งั้นคุณช่วยหาข้อมูลเรื่องนึงให้ผมหน่อย”
วราพรรณแอบบ่น
“แล้วจะถามว่าจะกลับบ้านรึยังทำไมเนี่ย”
สังวรณ์ ยื่นรูปรจนาให้ดู
“รู้จักนักร้องคนนี้มั้ย”
วราพรรณดูรูปแล้วตกใจ
“นักร้องคนนี้...”
“ผมลืมไป คุณคงจะเกิดไม่ทันสินะ เขาเป็นนักร้องดังสมัยกรุงแตกน่ะ”
“แล้วนักร้องคนนี้เค้าทำไมเหรอคะ”
“ผมอยากได้ที่อยู่เขาหน่อย”
“ที่อยู่...คุณซังวอนคิดจะทำอะไรคนแก่คะ”
“คุณจะบ้าเหรอ คุณเห็นผมเป็นคนหื่นขนาดนั้นเลยเหรอ”
วราพรรณไม่ตอบ เพราะหน้าสังวรณ์แม้จะนิ่งๆ ไม่ได้ตั้งใจหื่นแต่ดูหื่นมาก
“ผมสนใจในตัวหลานของเค้ามากกว่า”
“หลาน...”
“ใช่...ได้ข่าวว่าหน้าตาดี”
“เอามาเป็นเด็กเสี่ยเหรอ”
“เอามาเป็นดาราสิ เธอนี่คิดอะไรของเธอ”
“ดาราเหรอ”
วราพรรณยิ้ม ดีใจที่นับดาวจะได้เป็นดารา ส่วนสังวรณ์ก็ยิ้มเช่นกัน ที่แผนการของเขาได้เริ่มต้น

นับดาวจัดกระเป๋าเสื้อผ้าด้วยความตื่นเต้น เธอใช้กระเป๋าเดินทางของยูกิที่ได้มาจากองอาจ เธอหยิบของมากมายใส่กระเป๋า ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องเอาไป เธอก็โยนใส่กระเป๋าไปด้วย เช่น เสื่อ หม้อหุงข้าว ไฟฉาย และสารพัด ทำกระเป๋าปิดไม่ลง รวมทั้งหนังสือแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวเชียงใหม่ด้วย
“เอาไปแค่นี้เอง ทำไมปิดไม่ลงล่ะ นี่ยังขาดกะทะกับกาต้มน้ำเลยนะเนี่ย”
นับดาวเปิดกระเป๋ามามองดูของที่ตัวเองเอาไป ต้องเลือกออก เธอเลือกไม่ถูกเลยทีเดียว
“เอาอะไรออกดีล่ะ หม้อหุงข้าวก็จำเป็น ถ้าหิวข้าวขึ้นมาทำไง เชียงใหม่ไม่มีข้าวขายหรอกมั้ง เสื่อนี่ก็จำเป็นเผื่อไม่มีที่นั่ง ไฟฉายนี่สำคัญใหญ่ เผื่อเครื่องบินตกไปติดเกาะจะได้ทำสัญญาณ sos ได้ กระเป๋าใบมันเล็กไปนะเนี่ย”
นับดาวกำลังกลุ้มใจกับกระเป๋าที่ปิดไม่ลง โทรศัพท์ที่วางบนเตียงของเธอสั่น เป็นชื่อของวราพรรณ นับดาวไม่ได้สนใจ
วราพรรณ ที่พยายามโทรหานับดาว แต่ก็ไม่มีคนรับ วางหูอย่างเซ็งๆ
“เออ แกนะแก ข่าวดีที่รอมาทั้งชีวิตแท้ๆ ไม่ยอมรับ”
วราพรรณ ตัดสินใจเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าแล้วเดินออกไป

นับดาวหอบกระเป๋าพะรุงพะรังมาจากในบ้าน รจนาเดินตามมองอย่างระอา
“นี่กะจะไปตั้งรกรากที่โน่นเลยรึไง ดูขนของเข้า”
“เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เราต้องเตรียมตัวให้พร้อมสิย่า”
“แกกะว่าเชียงใหม่เขาจะเกิดสงคราม เข้าสู่ยุคข้าวยากหมากแพงรึไง”
“โอเคเอาไปแค่ใบเดียวก็ได้” นับดาววางกระเป๋าเล็กๆน้อยๆลง “แล้วนี่ย่าอย่าลืมกินยาด้วยล่ะ ข้าวน่ะพอถึงเวลาก็กินเลย จะได้ไม่เป็นโรคกระเพาะ”
“ย่าไม่ได้โดนขังอยู่ในห้องใต้ดินนะ หิวอะไรย่าก็ออกมาหากินเองได้อยู่แล้ว ไม่ต้องรอให้เรามาสอนหรอก”
“ก็หนูเป็นห่วงนี่ เกิดมาไม่เคยจากบ้านไปไหนเกินสามวันมาก่อนเลย”
“นี่ก็แค่อาทิตย์เดียวเองไม่ใช่เหรอ มากกว่าตอนไปเข้าค่ายเนตรนารีไม่เท่าไหร่”
“อวยพรให้หน่อยสิย่า”
รจนาทำปากแข็ง ฝืนๆ
“ก็โชคดีละกัน”
นับดาวโผเข้ากอด
“ย่าก็เหมือนกันนะ”
นับดาวหยิบซองหมากฝรั่งออกมา
“หนูไม่ลืมหรอกนะ ที่สัญญากันว่าจะพาย่าไปเชียงใหม่กับแพนเค้ก”
“คงได้ไปหรอกมั้งนั่น”
“ไปละนะย่า”
นับดาวขึ้นรถแท็กซี่ที่จอดอยู่ รจนามองหลานอย่างอดห่วงไม่ได้ แท็กซี่วิ่งออกไป นับดาวทำมือถือตกไปที่พื้น เธอก้มลงไปเก็บ เลยไม่เห็นวราพรรณที่ขี่มอเตอร์ไซค์สวนเข้ามา

รจนายังไม่ทันเข้าบ้าน วราพรรณก็ขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาจอดหน้าบ้าน
“ย่า นับดาวล่ะ”
“มันเพิ่งออกไปเมื่อกี้เอง”
“ไปไหน”
“ไปทำงานต่างจังหวัด”
“นี่มันเดือดร้อนถึงขั้นต้องหนีหนี้ไปต่างจังหวัดเลยเหรอ”
“ใช่ที่ไหนเล่า มันไปแป๊บเดียวเดี๋ยวก็กลับ”
“งั้นกลับกี่โมง”
“ไม่ได้หมายความว่าจะกลับวันนี้”
“แล้ววันไหนล่ะย่า”
“อาทิตย์หน้าโน่นละมั้ง”
“แย่ละ”
“ทำไม มีเรื่องอะไร”
“ก็เจ้านายหนูเขาจะมาคุยกับนับดาววันนี้”
สังวรณ์ขับรถเข้ามาจอดหน้าบ้านรจนา
“นั่นไง มาพอดี”
สังวรณ์ลงจากรถ วราพรรณยกมือไหว้ สังวรณ์พยักหน้ารับ
“สวัสดีครับคุณรจนา”
รจนาหันกระซิบวราพรรณ
“เจ้านายเรานี่เป็นใคร”
“เจ้าของหนังสือพิมพ์ และรายการทีวีน่ะป้า”
รจนาพยักหน้ารับ
“แล้วนี่หลานคุณป้าไปไหนละครับเนี่ย”
สังวรณ์มองหานับดาว รจนากับวราพรรณมองหน้ารู้กันว่านับดาวไม่อยู่

องอาจเปิดประตูเข้ามาในห้องเป็นไท เห็นคนนั่งอยู่ที่เก้าอี้เป็นไท ถือแฟ้มเอกสารบังหน้าอยู่ องอาจตกใจ
“อ้าวคุณไท นี่ยังไม่เดินทางอีกเหรอครับเนี่ย”
แพรวไพลินเอาแฟ้มวางบนโต๊ะ องอาจเห็นตกใจเป็นแพรวไพลินนี่เองที่นั่งอยู่
“เดินทางอะไร พี่ไทจะไปไหน”
“คุณแพรว ทำผมตกอกตกใจหมด”
“ฉันถามว่าพี่ไทจะไปไหน ฉันได้ยินนะที่คุณบอกจะเดินทางอะไรนั่น”
“หูแว่วแล้วครับ ผมไม่ได้พูดอะไรเลย”
“นี่ ฉันไม่ได้เป็นโรคประสาทนะ บอกมา”
“ไม่อะไรจะพูดเลยครับ ปิดการประชุมเท่านี้”
“ถ้าพี่ไทไม่ได้ไปไหนแล้วทำไมไม่มาทำงาน”
“ผมไม่รู้ครับ”
องอาจจะเดินหนีออกนอกห้อง แพรวไพลินมาขวางหน้า
“ไม่บอกใช่มั้ย ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่า คุณกล้าเอาตำแหน่งงานคุณเป็นประกันมั้ย”
องอาจหน้าตึง
“นี่คุณแพรว”
“เอาซิ ไม่บอกก็ไม่ต้องบอกแต่ฉันจะไล่คุณออก แล้วก็ทำจดหมายแจ้งทุกบริษัทด้วยว่าไม่ให้รับคุณเข้าทำงาน”
องอาจอึดอึดกับสิ่งที่แพรวไพลินกดดัน

วราพรรณยกน้ำมาเสิร์ฟสังวรณ์และรจนา
“บ้านเงียบจัง ตกลงหลานคุณป้าอยู่ไหนเนี่ย” สังวรณ์มองไปรอบๆ
รจนามองสังวรณ์อย่างไม่ค่อยชอบหน้า
“มันไม่อยู่หรอก มีธุระอะไร”
“อ้าว ไม่อยู่ แล้วจะให้ผมเข้ามาในบ้านสภาพแบบนี้ทำไมเนี่ย”
วราพรรณสะกิดสังวรณ์ ให้ดูหน้ารจนาที่สีหน้าไม่พอใจ สังวรณ์รีบพูดแก้
“หมายถึงว่าบ้านมันเงียบ ผมไม่ค่อยชินน่ะ”
“มีอะไรก็คุยกับฉันนี่ ฉันกับหลานคุยกันทุกเรื่อง”
“ทำตัวเป็นผจก.ดาราตั้งแต่หลานยังไม่ดังเลยทีเดียว”
รจนาไม่พอใจ
“ขอโทษทีนะย่า คุณซังวอนเขาก็เป็นแบบนี้แหละ อย่าถือสาเลย”
“งั้นก็มาคุยเรื่องงานเลยละกันจะได้ไม่เสียเที่ยว”
“ก็ว่ามาสิ”
“คือผมอยากจะติดต่อหลานคุณมาเป็นดับเบิ้ลแคสของดาราชื่อดังคนหนึ่ง อ้อลืมไปดับเบิ้ลแคสคืออะไร อาจจะไม่เข้าใจ ก็คือนักแสดงแทนของโมเดลจริงๆนั่นเอง”
รจนาตกใจ
“จะให้เป็นแคส แคส อะไรของใคร”
สังวรณ์ตอบเสียงดังฟังชัด
“ของดาราญี่ปุ่นชื่อดัง ไอ ยูกิ เพราะหลานคุณน่ะมีลักษณะที่คล้ายเธอมาก”
“ยูกิเหรอ”
รจนานึกถึงรายการทีวีที่นับดาวไปออกก็ตกใจ
“ไม่ได้ๆ ไม่เอาๆเด็ดขาด”
รจนารีบเดินขึ้นไปบนบ้านทันที ปล่อยให้วราพรรณกับสังวรณ์นั่งงง
“ไหนบอกว่าจะเอาเพื่อนฉันเป็นดาราไงคะ ทำไมกลายเป็นดับเบิ้ลแคสได้”
“มันก็ต้องค่อยๆไต่เต้าไปสิ แต่รับรองดังแน่”
“งั้นเดี๋ยวหนูคุยให้ค่ะ รับรองว่าสำเร็จแน่”
“ดี ฝากเรื่องด้วย แล้วไหนเรื่องรูปที่ผมให้คุณหามาให้ ผมอยากจะเห็นหน้านับดาวนี่ชัดๆหน่อย”
วราพรรณยื่นรูปที่เคยถ่ายให้นับดาวไว้ ให้สังวรณ์ดู สังวรณ์เห็นแล้วก็ยิ้มพอใจ
“เหมือนอย่างไม่มีที่ติ ดี ถ้าติดต่อได้นะ ผมจะเลื่อนตำแหน่งให้คุณทันทีเลย”
วราพรรณยิ้มแก้มปริ

แพรวไพลิน อึ้งเมื่อองอาจบอกให้รู้ว่าเป็นไทไปไหน
“เชียงใหม่ พี่ไทไปเชียงใหม่สองต่อสองกับยายยูกิน่ะเหรอ”
องอาจพยักหน้า
“เป็นแบบนี้ทุกทีเลย แล้วแกปล่อยให้ไปได้ยังไง”
“แล้วผมมีสิทธิอะไรไปคัดค้านครับ มีหวังโดนไล่ออกทั้งขึ้นทั้งล่อง”
“บินเมื่อไหร่”
“ก็คงใกล้ๆแล้วละครับ”
แพรวไพลินหยิบกระเป๋าแล้วรีบออกไปทันที
“ขอโทษนะครับคุณไท ผมจำเป็นจริงๆ”
องอาจรีบตามแพรวไพลินออกไป

นับดาวกับเป็นไทมาเจอกันที่สนามบิน ต่างคนต่างก็ยิ้มให้กัน
“เตรียมของมาครบนะครับ ไม่ลืมอะไรนะ”
“ไม่ใช่แค่ครบค่ะ เกินด้วย”
“ผมต้องขอโทษจริงๆนะครับ ที่ทำให้คุณมีแต่ข่าว” เป็นไทบอกอย่างไม่สบายใจ
“ไม่เห็นเป็นไรเลย คุณไม่ได้เป็นคนถ่ายรูปส่งไปซักหน่อย”
“แต่ผมน่าจะดูแลคุณให้ดีกว่านี้”
“แค่นี้ยังไม่ดีอีกเหรอ ฉันแทบจะไม่ต้องเดินเองอยู่แล้วนะ”
“ไม่ดีหรอกครับ ผมรู้ตัว”
“ดีไมดีฉันเป็นคนตัดสินนะคะ...แล้วนี่เราต้องทำอะไรต่อไปคะเนี่ย”
นับดาวตื่นตาตื่นใจกับสนามบิน

นับดาวกับเป็นไทต่อคิวเช็คอินที่เคาน์เตอร์โหลดกระเป๋า ถึงคิวนับดาวพอดี
“ของเหลวเกิน 10 มิลลิลิตร ห้ามนำขึ้นเครื่องนะคะ”
“ห๊ะ”
นับดาวไม่เข้าใจ เป็นไทจึงช่วยถาม
“ในกระเป๋าที่จะเอาขึ้นเครื่องของคุณมีของเหลวเกิน 10 ม.ล. รึเปล่า”
“เอ่อ...”
นับดาวเทกระเป๋าสะพาย เต็มไปด้วยของเหลว น้ำใบบัวบก น้ำกระเจี๊ยบ ปลากระป๋อง สารพัด
“สิบมิลลิลิตรนี่มันแค่ไหนละคะ”
เป็นไทกับพนักงานเคาน์เตอร์เห็นแล้วก็ตกใจ
“นี่เค้าคิดว่าที่ เชียงใหม่ ไม่มีอะไรขายเหรอคะ” พนักงานถามเป็นไท
“...เอาไปไม่ได้เหรอคะ”
นับดาวถาม เป็นไทงงงกับการกระทำของเธอ
“นี่คุณแกล้งมุกหรือไม่รู้จริงๆเนี่ย คุณเดินทางไปทัวร์ต่างประเทศออกบ่อย กฎพื้นฐานของการขึ้นเครื่องบิน คุณน่าจะรู้สิ”
“แหะ แหะ”
นับดาวยกน้ำในขวดขึ้นดื่มอั่กๆ หน้าเจื่อนๆไป เป็นไทมองอย่างสงสัย

แพรวไพลินเดินเข้ามาในสนามบิน มองซ้ายมองขวาหานับดาวกับเป็นไท เธอเห็นที่บอร์ดแจ้งว่าเครื่องบินไฟล์ทไปเชียงใหม่สแตนบายด์เตรียมขึ้นเครื่องได้แล้ว แพรวไพลินรีบวิ่งไปที่ประตูทันที องอาจเดินตามเข้ามาติดๆ
นับดาวกับเป็นไทเดินเข้าไปด้านใน แพรวไพลินเห็นวิ่งมา จะตามเข้าไปเจ้าหน้าที่ห้ามไว้
“เข้าไม่ได้นะครับ”
“แค่พวกคุณปล่อยฉันเข้าไป ฉันก็เข้าไปได้แล้วเนี่ย”
“เข้าได้เฉพาะผู้เดินทางเท่านั้น”
แพรวไพลินชะเง้อมองเป็นไทที่เดินหายไป
“พี่ไท...พี่ไทออกมานี่นะ แพรวไม่ให้พี่ไปกับยูกินะ พี่ไท”
เป็นไทไม่ได้ยิน เดินเข้าไปกับนับดาว แพรวไพลินยิ่งร้อนรน พยายามจะเข้าไปให้ได้ องอาจเข้ามาห้ามเธอไว้
“เข้าไปไม่ได้หรอกคุณแพรว รอเขากลับมาจะดีกว่า”
“ปล่อยนะ เห็นมั้ยพี่ไทเดินเข้าไปแล้ว”
“ปล่อยไม่ได้หรอกครับ”
“รู้มั้ยฉันลูกใคร”
“คุณแพรวจะเล่นแบบนี้ใช่มั้ย ได้...แล้วคุณแพรวรู้มั้ยผมพ่อใคร”
แพรวไพลินงง
“ห๊ะ”
“งงอะดิ...บอกแล้วอย่าให้ผมใช้ไม้นี้”
“ได้ ไม่ให้ฉันเข้าไปใช่มั้ย”
แพรวไพลินมองหน้าเจ้าหน้าที่กับองอาจแค้นๆ
“จะเอาแบบนั้นใช่มั้ย คอยดูละกัน”
แพรวไพลินมองหน้าเจ้าหน้าที่กับองอาจ แล้วเดินจ้ำออกไป องอาจกับเจ้าหน้าที่มองหน้ากันงงๆ

แพรวไพลินเดินจ้ำมาที่เคาน์เตอร์ขายตั๋ว
“เอาตั๋วไปเชียงใหม่ใบนึง”
“เดินทางเมื่อไหร่ดีคะ”
“เดี๋ยวนี้”
“ห๊ะ...”
“เดี๋ยวนี้ไง ไม่ได้ยินรึไง”
พนักงานเช็คในคอม
“ตั๋วไปเชียงใหม่เร็วสุด จะเป็นวันพรุ่งนี้ช่วงเช้านะคะ”
“แล้ววันนี้มันไม่บินกันแล้วรึไง”
“มีบางเที่ยวบินงดเพราะสภาพอากาศค่ะ”
“เออ งั้นฉันจองใบนึง แล้วเที่ยวบินที่เร็วสุดมีไปไหน เอาอีกใบนึงด้วย”
พนักงานงงๆ

องอาจขอโทษขอโพยเจ้าหน้าที่ที่อยู่ประตูทางเข้า
“ขอโทษด้วยนะครับที่ทำให้วุ่นวาย”
เจ้าหน้าที่ยิ้มๆ องอาจกำลังจะเดินออกไป แพรวไพลินก็เดินถือตั๋วเครื่องบินมาพอดี แพรวไพลินยื่นตั๋วให้องอาจดู
“เป็นไง คราวนี้เข้าได้รึยัง”
องอาจดูตั๋ว
“โอ้โห คุณแพรวจะไปภูเก็ตทำไมน่ะครับ”
“เรื่องของฉัน”
แพรวไพลินดึงตั๋วมาจากมือองอาจแล้วเอาไปยื่นให้เจ้าหน้าที่ ส่งสีหน้าเยาะเย้ยให้เจ้าหน้าที่และองอาจ
“เป็นไง คราวนี้ฉันผ่านไปได้แล้วใช่มั้ย”
เจ้าหน้าที่ดูตั๋ว
“เชิญครับ”
“แต่ฉันไม่ไป”
แพรวไพลินฉีกตั๋วเยาะเย้ยองอาจกับเจ้าหน้าที่
“เป็นไงเจ็บใจมั้ยล่ะ ให้ฉันผ่านไปได้แล้วใช่มั้ย แต่ฉันไม่ไป” แพรวไพลินหัวเราะสะใจ “ให้มันรู้ซะบ้างว่าใครเป็นใคร”
เจ้าหน้าที่กับองอาจมองหน้ากันงงๆ ไม่เข้าใจการกระทำของแพรวไพลินที่เดินเชิดๆไป
“นี่มันบ้าหรือมันดีวะเนี่ย เราควรเจ็บใจด้วยเหรอ...อะไรของเค้า”
องอาจกับเจ้าหน้าที่มองหน้ากันงงๆ

ที่บ้านพักริมทะเล...ยูกิถูบ้านอยู่งกๆ ซีซีเดินมาจ้ำจี้จ้ำไชเธอ
“นี่ อย่าให้เหลือฝุ่นแม้แต่นิดเดียวนะ ถ้าฉันเจอฝุ่นอยู่ตรงไหน ฉันจะให้เธอเริ่มทำใหม่หมด”
ยูกิมองอย่างไม่พอใจเท่าไหร่ แต่ก็ทำความสะอาดต่อไป ซีซีนั่งเอกเขนกบนเปล กินขนม เธอแกล้งยูกิโดยโปรยเศษขนมตกลงพื้น
“อุ๊ย แย่จัง”
ยูกิมองไม่พอใจนัก แต่เธอก็เข้าไปกวาดเศษขนมที่หก แต่พอเธอกวาดเสร็จ แล้วเดินไปทำความสะอาดที่อื่น ซีซีก็แกล้งทำขนมหกอีก ยูกิต้องเดินมากวาดซ้ำๆ ยามาดะแอบมองอย่างสงสาร

ช่วงบ่าย ยูกิต้องแบกน้ำจืดที่ไปตักมาสองถังบนคาน เดินเซไปเซมาเพราะความหนัก เธอเดินมาจนใกล้โอ่งที่เก็บน้ำแล้ว แต่ซีซีก็เดินเข้ามาทำเดินชน จนยูกิล้ม น้ำหกบนทรายจนหมด ยูกิมองน้ำที่ซึมผ่านทรายอย่างเจ็บใจ
“อุ๊ย ขอโทษนะ ไม่ได้ตั้งใจน่ะ ไปตักมาใหม่ละกัน ก็แค่เดินไปหลังเกาะโน่นนนนเท่านั้นเอง”
ยูกิเจ็บใจ แต่เธอก็สะกดอารมณ์ตัวเองไว้ ยามาดะแอบมองอย่างเห็นใจ
ยูกิเดินย้อนจะไปที่แหล่งน้ำอีกครั้ง แบกถังน้ำบนคานเปล่าๆ เหงื่อโทรมกาย แต่เธอก็เห็นมีถังน้ำที่บรรจุน้ำเต็มสองถังวางไว้กลางทาง ยูกิหันมองซ้าย มองขวา แต่ก็ไม่มีใคร ยูกิยิ้ม รู้อยู่แก่ใจว่าใครทำให้เธอ ยูกิยกน้ำขึ้นคานทั้งสองข้าง วางถังเปล่าไว้แทน ตะโกนลอยๆ
“ขอบคุณนะ”
ยามาดะที่แอบดูอยู่ ยิ้มอยู่หลังต้นไม้

ที่สนามบินเชียงใหม่ รถตู้จากโรงแรมมาจอดรับเป็นไท กับนับดาว มีบอดี้การ์ดเตรียมคุ้มกันหนาแน่น นับดาวตื่นเต้นกับการได้เดินทางไปต่างจังหวัดครั้งแรกในชีวิต หันซ้ายหันขวา เอากล้องขึ้นมาถ่ายตั้งแต่สนามบิน
บอดี้การ์ดพูดเป็นภาษาญี่ปุ่น
“เชิญขึ้นรถเลยครับ”
เป็นไทถามนับดาว
“เขาว่ายังไงน่ะครับยูกิ”
“ห๊ะ...อะไรนะ”
“เมื่อกี้คนหน้าเข้มเขาพูดว่าอะไร”
นับดาวงงๆ พูดมั่วๆ
“บอกให้ขึ้นรถเถอะ”
บอดี้การ์ดหันมาบอกเป็นภาษาญี่ปุ่นอีก
“เดี๋ยวพวกคุณต้องเข้าไปคุยกับบอสพรุ่งนี้นะ”
“เขาว่ายังไงอีก”
นับดาวพูดมั่วๆ
“ก็บอกว่า เขามารอเรา 2 ชั่วโมงแล้ว อากาศร้อนจัง”
“เหรอ จริงๆผมว่าก็ไม่ร้อนนะ อากาศกำลังดี”
“นั่นสิเนอะ คนนี้เขาขี้ร้อนน่าดู แหะ แหะ”
นับดาวกับเป็นไทขึ้นรถ บอดี้การ์ดปิดประตูแล้วไปนั่งข้างคนขับ รถตู้ขับออกไป

เป็นไท กับนับดาวมาเดินเล่นด้วยกัน นับดาวตื่นเต้นกับทุกอย่างที่เห็นไปหมด เมื่อมานั่งในร้านอาหารพื้นเมือง เธอชี้เมนู
“คุณไท...นี่อาหารอะไรน่ะ”
เป็นไทจ้องหน้า
“คุณทำแบบนั้นได้ยังไง”
“ทำอะไร”
“ทำเหมือนไม่รู้จักที่นี่ ทั้งที่ครอบครัวคุณก็มีบ้านพักตากอากาศอยู่ที่นี่ แถมเคยมาใช้ชีวิตที่นี่ด้วย”
นับดาวเฉไฉ
“ก็คนมันไม่ได้กลับมาที่นี่นาน ก็ต้องตื่นเต้นที่ได้กลับมาเป็นธรรมดา”
“คุณน่าจะรู้จักข้าวซอยอยู่แล้วนี่”
“จำได้สิ กินบ่อย เอาสองชามเลย”

นับดาวทำเฉไฉ เป็นไทมองนับดาวอย่างเอ็นดู แต่ก็อดสงสัยนับดาวไม่ได้









Create Date : 12 มีนาคม 2555
Last Update : 12 มีนาคม 2555 0:33:30 น.
Counter : 268 Pageviews.

0 comment
ฉันรักเธอนะ ตอนที่ 6



ตอนสายๆ ของวันใหม่...สังวรณ์นั่งเอกเขนกร้องเพลงเกาหลีอย่างสบายใจอยู่ในห้องเสียงเคาะประตูดังขึ้น

“เข้ามา”
วราพรรณเปิดประตูเข้ามาในห้อง
“มาก็ดีแล้ว เรื่องที่ให้ไปสืบเกี่ยวกับยูกิเป็นยังไงบ้าง”
“ก็ฉันลองค้นประวัติยูกิดู แล้วก็เห็นว่ายูกิมีตำหนิเป็นปานรูปพระจันทร์ที่หน้าอกข้างซ้ายค่ะ”
“สืบได้แค่นี้เนี่ยนะ ไม่เห็นจะสำคัญอะไรเลย”
“ก็ถ้าคุณซังวอนสงสัยยูกิว่าอาจจะเป็นตัวปลอม ตำหนิก็สำคัญนะคะ”
สังวรณ์อึ้งไป
“อืม...ก็จริง ฉลาดนะเนี่ย”
“เพียงแต่ฉันยังพิสูจน์ให้ไม่ได้ เพราะยูกิเขาคิวแน่นมาก แล้วเขาคงไม่ยอมให้นักข่าวอย่างฉันเข้าถึงตัวง่ายๆแน่ๆ”
สังวรณ์ยิ้มพอใจ
“ได้...งั้นเรื่องนี้ฉันจัดการต่อเอง”
“เอ่อ คุณซังวอนคะ ฉันขอถามอะไรหน่อย”
“ว่า”
“ทำไมคุณถึงสงสัยว่ายูกิเป็นตัวปลอมละคะ เพราะแค่ว่าเขาอ่านภาษาไทยได้ก็ไม่น่าจะฟันธงได้ขนาดนั้น เพราะเขาอาจจะเรียนเพิ่มเติมก็ได้”
“หึหึ คุณน่ะ ยังเป็นนักข่าวกระจอกๆ ไม่รอบรู้เหมือนผม”
วราพรรณงงๆที่อยู่ๆก็ถูกด่า

เป็นไทนั่งอยู่หัวโต๊ะในห้องประชุม องอาจกับนับดาวนั่งอยู่คนละข้างของเขา ส่วนพนักงานนั่งฟังอยู่ถัดๆไป ป็นไทมองนับดาวยิ้มหวานให้ นับดาวหลบตาไม่กล้ามอง
“เอาล่ะ ที่ผมเรียกทุกคนมาวันนี้ อยากจะมาคุยเรื่องของการมีทแอนด์กรี๊ดของคุณยูกิ เพราะว่าทั้งจดหมายที่เข้ามาจากแฟนคลับ และเว็บบอร์ดของบริษัทเรา มีหลายคนเหลือเกินเรียกร้องให้มีการมีทแอนด์กรี๊ด แล้วเราก็พิจารณาแล้วว่ามันให้ประโยชน์กับเราในทุกๆด้าน แล้วตอนนี้ก็มีสปอนเซอร์มาจ่อคิวพร้อมจะสนับสนุน”
“ก็ดีนะสิครับ”
“แล้วคุณยูกิล่ะ ว่ายังไงครับ”
“ว่ากันยังไง ฉันก็ว่าตามนั้นแหละค่ะ”นับดาวตอบส่งๆไป เพราะไม่รู้จัพูดยังไง
เป็นไทสงสัย
“จะไม่มีความคิดเห็นอะไรหน่อยเหรอครับ เช่นจัดที่ไหน รูปแบบกิจกรรมมีอะไรบ้าง”
“พวกคุณว่ายังไงดี ฉันก็ว่าดีหมดแหละค่ะ”
องอาจออกความเห็น
“เป็นไปได้ว่าตอนนี้คุณยูกิจังอาจจะยังคิดอะไรไม่ออก เดี๋ยวค่อยคุยกันนอกรอบก็ได้ครับ”
นับดาวได้แต่ยิ้มๆ ไม่กล้าสบตาเป็นไท

สังวรณ์ยังคงเดินคุยอวดภูมิอยู่ในออฟฟิศกับวราพรรณ
“คุณรู้มั้ย พวกดาราฮอลลีวู้ดดังๆน่ะ เขามีดับเบิ้ลแคสทุกคน อ๋อ คุณอาจจะไม่ค่อยฉลาดด้านภาษา ผมจะแปลให้ว่า ดับเบิ้ลแคสคือนักแสดงหน้าเหมือนไว้เล่นในฉากที่ไม่สำคัญ ที่ไม่ต้องใช้ความสามารถ หรือต้องเสี่ยงตาย อะไรแบบนั้น”
วราพรรณเซ็งๆที่ถูกด่า
“ค่ะ”
“แม้กระทั่งประนาธิบดีอเมริกาเนี่ย เขาก็ต้องมีดับเบิ้ลแคส สำหรับสถานที่ที่เสี่ยงชีวิตในการถูกลอบยิง ผมเข้าใจ ที่คุณจะไม่รู้ เพราะว่าไม่ได้รับสื่อต่างประเทศ อ่านภาษาอังกฤษไม่ออก ผมไม่ว่าคุณหรอก”
วราพรรณเซ็ง บ่นเบาๆ
“นี่ขนาดไม่ได้ว่าจะเนี่ย”
“ยูกิเนี่ยก็เป็นระดับซุปเปอร์สตาร์ของญี่ปุ่น งานเยอะมาก คิวเอี้ยดไปหมด แล้วจะมาแสดงคอนเสิร์ตที่เมืองไทย มันเป็นไปได้ที่เขาอาจจะให้ดับเบิ้ลแคสมาแทนก็ได้ ประเทศเราเป็นประเทศเล็ก แล้วยิ่งไอ้เป็นไท ไม่ได้เก่งเลย ไม่มีฝีมือ จัดการไม่เป็น เขาเจอคนดิวงานแบบ ไม่โปรเฟสชันนอลอย่างงี้ เขาอาจจะไม่ไว้ใจปล่อยตัวจริงมา”
“ค่ะ แต่คุณสังวรณ์อาจจะคิดมากไปก็ได้นะคะ”
“นี่ตกลงคุณยังไม่เข้าใจเรื่องดับเบิ้ลแคสใช่มั้ย งั้นผมอธิบายใหม่อีกรอบ”
“เข้าใจแล้วค่ะ รายการคนหน้าเหมือนดาราบ้านเราก็มีให้ดู”
“แล้วไหนปกหนังสือนินทาดารา ที่เป็นภาพปาปารัชชี่ผมกับยูกิ พิมพ์เสร็จแล้วรึยัง”
วราพรรณยื่นนิตยสารนินทาดาราให้สังวรณ์ หน้าปกเป็นปาปารัชชี่ สังวรณ์กับยูกิ ดูหนุงหนิง พาดหัวตัวใหญ่ว่า “ดารายุ่นคัน ควงเจ้าของหนังสือหัวดังกินข้าวในที่ลับตา” สังวรณ์อ่านแล้วยิ้ม
“แรงดี ผมชอบ นี่แหละจะทำให้เราไม่ต้องไปตามหายูกิที่ไหน”
สังวรณ์เอานิตยสารมาแนบอก

ในห้องน้ำชายของตึก เป็นไทล้างมือในห้องน้ำ แล้วเงยหน้ามองกระจกอมยิ้ม มีความสุข นึกถึงนับดาวตาเป็นประกาย
“...ตอนประชุมเขายิ้มให้เราด้วย เขาต้องมีใจให้เราแน่”
ขณะเดียวกัน ชายหนวดอย่างแมนดูเข้มมาก เดินเข้ามาในห้องน้ำ เหลือบมองเห็น เป็นไทยิ้มหวานในกระจก แล้วนึกว่ายิ้มให้ตัวเอง ชายหนวดชะงัก อึ้ง
“ตั้งแต่เกิดมา ผมไม่เคยเห็นใครเหมือนคุณเลย”เป็นไทยังเคลิ้ม
ชายหนวดยิ่งอึ้ง เหลียวมองรอบๆไม่เห็นใครสักคน ชายหนวดเอานิ้วชี้ที่ตัวเอง เป็นไทอยู่ในความเพ้อของตัวเอง ส่งยิ้มหวานยักคิ้วแพล่บๆไปไม่ได้ตั้งใจ ชายหนวดอึ้งตะลึง เป็นไทพูดกับกระจกเหมือนพูดกับนับดาว
“รักนะ จุ๊บๆ”
ชายหนวด นึกว่าเป็นไทบอกรักตัวเองจริงๆ ส่ายหน้าเหมือนรับไม่ได้ แล้วกลับกริ๊ดสาวแตก…
“มะ ไม่นะ ไม่ปฏิเสธ อ๊ายยยย...ที่รักขา!!”
ชายหนวดวิ่งเข้าไปกอดเป็นไท
“เฮ้ย พี่อะไรอ่ะ”
เป็นไทสะดุ้งตกใจแล้วรีบผลักชายหนวดออก ชายหนวดไม่ยอมปล่อย”
“ไม่ต้องเขินน่า ตะเอง ดาวก็รักคุณค่ะ จุ๊บๆ”
เป็นไทปล่อยหมัดเข้าหน้าแล้วรีบวิ่งออกไป ชายหนวดร้องตามเป็นไท
“คนใจร้าย!! คุณหลอกดาว ...”

เป็นไท วิ่งเข้ามาหลบพักเหนื่อยพิงผนังด้านหนึ่ง
“อ๊อยย ผมไม่ได้เบี่ยงเบน ผมแค่ไม่รู้จะบอกรักเขายังไง”
เป็นไทคิดๆ แล้วหยิบมือถือออกมา
“เอาอย่างนี้ดีกว่า จะได้ไม่เขิน”
เป็นไทกดพิมพ์คำว่า
“ยูกิ ผมรักคุณ”
เป็นไทอมยิ้ม ทำท่าจะกดส่ง แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ...
“กล้ารัก ก็ต้องกล้าบอกสิ มันถึงจะแมน...”
เป็นไทเปลี่ยนใจใหม่ มองออกไปอย่างฮึกเหิม

องอาจเดินมาเห็นพนักงานกำลังซุบซิบดูข่าวอะไรบางอย่าง เลขาถือหนังสือนินทาดาราของสังวรณ์ เข้ามาถาม องอาจ
“คุณองอาจเห็นข่าวนี้หรือยังคะ”
องอาจรับหนังสือมาดูเห็นว่าเป็นหนังสือนินทาดารา เป็นรูปคู่ยูกิกับสังวรณ์ ก็ไม่พอใจ
“ถ้าทางญี่ปุ่นเห็นข่าวนี้เราพังหมดแน่...” องอาจหันไปถาม “แล้วคุณเป็นไทรู้เรื่องนี้หรือยัง”
“คิดว่ายังค่ะ”
“งั้นอย่าเพิ่งบอกให้คุณเป็นไทรู้ เดี๋ยวจะโกรธบก.หนังสือ จนเป็นเรื่องขึ้นมาอีก”
“ค่ะ แล้วเราจะทำยังไงต่อไปดีค่ะ คุณองอาจ”
“ทำตามที่ผมบอกก็พอ เรื่องอื่นผมจัดการเอง”
องอาจมองออกไปมีแผนอยู่ในใจ

วราพรรณรับโทรศัพท์ที่ดังขึ้นที่โต๊ะทำงาน
“ตอนนี้คุณสังวรณ์ไม่ว่างรับสาย ฉันเป็นผู้ช่วยเขามีธุระอะไรคะ”
“ผมอยากให้คุณเก็บหนังสือทั้งหมดออกจากแผง ไม่อย่างนั้นผมจะฟ้องคุณ”
“เดี๋ยวก่อนคุณ อะไรมาถึงก็ใส่เป็นชุด มันเรื่องอะไรกัน”
“ก็เรื่องหนังสือเล่มใหม่ของคุณ ที่ลงข่าวทำลายชื่อเสียงยูกิ”
วราพรรณนึกๆเสียงคุ้นหูมาก
“คุ้นๆแฮ่ะ...” เธอนึกได้ “นายเกย์เฒ่า!”
“อะไรนะ คุณว่าอะไร ฮ้า”
วราพรรณรีบเปลี่ยน
“เปล่าๆนี่ ฉันไม่ได้ว่าอะไรคุณ แล้วหนังสือของเราก็ไม่ได้ไปทำลายชื่อเสียงซุปตาของคุณด้วย”
“เฮอะ นี่คุณคิดว่าการเป็นข่าวกับบก.ของคุณเป็นเรื่องดีต้องปิดถนนเลี้ยงโต๊ะจีนงั้นสิ”
“ฉันไม่ได้พูดอย่างนั้นแล้วก็ไม่ได้คิดด้วยว่าเป็นเรื่องเสียหาย”
“พาดหัวตัวโตบอกว่าคันแถมไปกินกันในที่ลับตานี่เหรอไม่เรื่องเสียหาย”
“อ่านให้จบสิ ฉันเขียนชัด ๆ บอกว่าไปกินข้าว ไม่ใช่กินอย่างอื่น”
“แล้วคนที่ผ่านไปผ่านมาเขาจะรู้มั้ย”
“ถ้าเขาอยากรู้ก็ต้องซื้ออ่าน”
“พูดเอาแก่ได้ ถ้าคุณไม่เก็บหนังสือออกจากแผงผมจะฟ้องคุณ”
“ถ้าให้เก็บหนังสือก็จ่ายค่าเสียหายมาล้านนึง”
“พูดอย่างนี้มันขู่กรรโชกกันชัด ๆ”
“งั้นก็เชิญขี้ม้าสามศอกไปฟ้องศาลเลย”
วราพรรณกระแทกหูโครม องอาจยิ่งโมโห
“นี่กล้ากระแทกหูใส่ผมเหรอ”
วราพรรณหยิบขึ้นมาตอบ
“เออ”
วราพรรณกระแทกหู
“ทำให้อารมณ์เสียแต่วันเลย ไอ้เกย์บ้า”
องอาจบ่นด้วยความเจ็บใจ
“ผู้หญิงอะไร กวนประสาทเหมือนยาย ทอมใจโหด นั่นไม่มีผิด” องอาจชะงักนึกได้ แล้วเปลี่ยนใจ “ฮึ ไม่มีทางเป็นไปได้ ทอมข้าวกล่องอย่างนั้นไม่น่ามีความรู้พอเป็นรองบอกอ ได้หรอก”

เป็นไทฮัมเพลงรักอย่างอารมณ์ดี เข้ามาในห้อง พร้อมออกเสต็ปเต้น อย่างหลุดฟอร์มแล้วทำมือบอกรักส่งจูบ โดยไม่รู้ว่าแพรวไพลินอยู่ในห้องด้วย เสียงแพรวไพลินดังแหวกอากาศขึ้นมา
“มีความสุขจริงๆนะคะ ยังกับคนมีความรักแน่ะ”
แพรวไพลินที่นั่งหันหลังอยู่ตรงเก้าอี้ทำงานเป็นไท หันหน้ามา เป็นไทตกใจหน้าถอดสี
“แพรวเข้ามาในห้องพี่ได้ไง”
“มุดมาตามท่อแอร์มั้งคะ ทำไมเห็นแพรวแล้วต้องทำหน้าเหมือนเห็นผีด้วย”
“อยากรู้จริงเปล่า”
“พูดให้ดี ๆ นะคะ อย่าลืมนะคะพี่ไทเป็นหนี้แพรวอยู่”
เป็นไทโกรธ
“พี่รู้แล้วไม่ต้องมาย้ำ”
“งั้นพี่ก็ช่วยทำตามสัญญาที่ให้แพรวด้วย ทำหน้าที่เป็นแฟนที่ดีระหว่างที่พี่ยังหาเงินมาใช้แพรวไม่สำเร็จ”
“แล้วที่พี่ทำยังไม่เรียกว่าแฟนที่ดีอีกเหรอ”
“พี่อย่ามาถามแพรวเลยค่ะ แต่พี่ควรตอบตัวเองให้ได้ดีกว่าว่า การทิ้งแฟนตัวเองไว้ข้างถนนอย่างที่พี่ทำ เขาเรียกว่าอะไร”
“ก็วันนั้นแพรวเอารถ จะให้พี่ไปส่งอีกทำไม”
“ไม่ใช่เพราะใช้แพรวประชดยูกิเสร็จแล้วก็เฉดหัวทิ้งเหรอคะ”
“พี่ไม่ได้พูดแต่แพรวคิดไปเอง”
“งั้นพี่ก็ปฏิเสธสิคะว่าไม่จริง”
เป็นไทอึ้งไป แพรวไพลินน้อยใจ
“แพรวถามพี่จริงๆเถอะค่ะ แพรวมีอะไรดีสู้ยัยยูกิไม่ได้”
“จะให้พี่ตอบจริงๆ ใช่มั้ย”
“จากใจเลยค่ะ”
“นิสัยมั้งครับ”
เป็นไทพูดนิ่มๆ ขาดคำแพรวไพลินตบหน้า เผี๊ยะ! ก่อนจะถามกลับนิ่ม ๆ
“อีกทีสิคะ แพรวได้ยินไม่ถนัด”
เป็นไทจะพูดแต่ไม่อยากมีเรื่องอีก หาทางเบี่ยงเบนประเด็น ทำเป็นเห็นพ่ออยู่ข้างหลังแพรวไพลิน
“สวัสดีครับคุณพ่อ”
แพรวไพลินหันไปมองข้างหลัง ไม่เห็นใคร
“ไม่ต้องเอาพ่อแพรวมาขู่”
“เพราะอย่างนี้ไงพี่ถึงทนแพรวไม่ได้”
แพรวไพลินหันกลับหา แต่เห็นเพียง ประตูที่ปิดปัง
“พี่ไท!”
แพรวไพลินเดินไปเปิดประตูตามเป็นไทออกไป
“พี่ไท...พี่ไทจะหนีแพรวอย่างนี้ไม่ได้นะคะ”
แพรวไพลินมองไม่เห็นเป็นไทอยู่ตรงนั้นแล้วก็เจ็บใจ...เป็นไทที่แอบอยู่ตรงซอกโต๊ะด้านหลังแพรวไพลิน เอามือลูบแก้มข้างที่ถูกตบ พึมพำกับตัวเอง
“ใครจะอยู่ให้ถูกตบฟรี ๆ เผ่นล่ะ...”เป็นไทแอบมุดหลบออกไป

องอาจเดินพล่านคิดไม่ตก แล้วหันไปทุบผนัง ระบายอารมณ์
“โธ่เว้ย...แล้วอย่างนี้จะทำยังไงดี”
องอาจคิดไม่ออก ก่อนจะนึกขึ้นมาได้
“จริงสิ...มีอีกคนที่น่าจะช่วยได้”

แพรวไพลินเดินออกตามหาเป็นไท
“พี่ไท แพรวเลิกเล่นซ่อนหาไปตั้งแต่อายุ 10 ขวบแล้วนะพี่อยู่ที่ไหน ออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ”
แพรวไพลินชะเง้อมองไม่เห็นใคร แล้วหันหน้าไปทางลิฟท์พอดีกับที่...ลิฟท์เปิดผัวะออกมา เธอจ๊ะเอ๋กับองอาจ อย่างกะทันหัน ทั้งสอง กริ๊ดลั่นพร้อมกันอย่างตกใจกลัวกันเอง แล้วแพรวไพลินค่อยตวาดขึ้น
“อ๊อยพอได้แล้ว...จะติงต๊องกันทั้งเจ้านายลูกน้องเลยหรือไง”
“โทษครับคุณแพรว”
“หลีกไป”
แพรวไพลินทำท่าจะเข้าลิฟท์ องอาจขยับขวาง
“เอ๊ะ นี่อย่ามากวนฉันได้ไหม ยิ่งอารมณ์ไม่ดีอยู่”
องอาจไม่ยอมถอย จ้องมองเอาจริง
“คุณเป็นไทกำลังเดือดร้อน...ผมขอคุยอะไรกับคุณหน่อยนะครับ”
แพรวไพลินอึ้งชะงักมอง หูผึ่งสนใจขึ้นมา

องอาจกับ แพรวไพลินมาคุยกันที่ มุมรับแขก เธอวางหนังสือนินทาดารา เล่มที่ลงข่าวยูกิกับสังวรณ์ลง แล้วตอบอย่างเย็นชา
“แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวกับฉันตรงไหน”
“มันไม่เกี่ยวกับคุณหรอกครับ แต่เกี่ยวกับพ่อคุณ”
“ยังไง”
“พ่อคุณเป็นนักธุรกิจใหญ่ ถ้าช่วยพูดให้ ทางนั้นก็คงจะยอม”
“พ่อฉันคงยอมหรอกนะ”
“ผมถึงขอร้องคุณนี่ไง หรือคุณอยากเห็นแฟนคุณถูกฟ้องล้มละลาย”
“ถ้าพี่ไทคิดว่าฉันเป็นแฟนเขาเหมือนที่คุณคิดก็ดีสินะ”
องอาจงงๆ
“หมายความว่ายังไง”
“ก็เขาหลงนังยูกินั่นจะตาย แล้วอย่างนี้ฉันควรจะช่วยคนที่มันเป็นศัตรูหัวใจฉันมั้ย”
“ผมไม่ได้บอกให้คุณช่วยยูกิ แต่ขอให้คุณช่วยคุณเป็นไท”
“เหรอ งั้นก็ได้ แต่ฉันจะช่วยตามแบบของฉัน ขอตัวนะ”
แพรวไพลินหยิบหนังสือเล่มนั้นเดินออกไปอย่างไม่ใยดี องอาจกลุ้มใจ

นับดาวเดินงุดๆออกจากออฟฟิศ เป็นไทรีบวิ่งตามมา
“เดี๋ยวก่อนครับยูกิ”
นับดาวไม่อยากหยุดแต่ก็ต้องหยุด
“ไปทานข้าวกลางวันกันมั้ยครับ”
“ไม่ดีกว่าค่ะ ฉันอยากไปซ้อมร้องเพลงมากกว่า”
“แค่แป๊บเดียวเอง ยังไงคุณก็ต้องพักกินข้าวอยู่แล้ว”
“แต่ฉันไม่หิว”
“งั้นก็ไปนั่งเป็นเพื่อนผม”
นับดาวหลุดปาก
“แต่ฉันไม่อยากเป็นเพื่อนนี่”
นับดาวหน้าเสียเมื่อรู้ตัวว่าตัวเองพูดอะไรออกไป เป็นไทตะลึง
“ห๊า...ว่าไงนะครับ พูดอีกทีซิ”
“พูดอะไร ฉันจำไม่ได้”
“ที่ว่าไม่อยากเป็นเพื่อน”
“เหรอ ฉันพูดอะไรแบบนั้นไปเหรอ”
“รู้มั้ย ภาษาไทยมันหมายความว่าไง”
“ฉันไม่เข้าใจหรอก ฉันก็พูดไปมั่วๆแบบนั้นแหละ”
“ผมก็ว่างั้น คุณคงไม่ได้ตั้งใจให้ความหวังผม”
“คุณพูดแบบนี้ ใครให้ความหวังใครกันแน่”
“นี่คุณพูดอะไรเนี่ยผมงง ผมให้ความหวังอะไร”
“ฉันไม่อยากคุยกับคุณแล้ว”
“แล้วตกลงจะไม่ไปกินข้าวด้วยกันจริงเหรอ”
“ไม่ไป”
“จริงอ่ะ”
“บอกว่าไม่ก็ไม่สิ”
นับดาวจริงจังกับคำพูดตัวเอง

ที่โต๊ะอาหาร นับดาวกินข้าวอย่างคนหิวจัดเป็นไทนั่งมองยิ้มๆ
“แล้วไหนบอกว่าไม่หิว”
“ก็ไม่ได้หิว กินแค่เป็นมารยาทเท่านั้นแหละ” นับดาวหันไปสั่งเด็กเสิร์ฟ “น้อง เอาแบบนี้อีกที่นึง”
“โอเค ไม่หิวก็ไม่หิว”
เป็นไทมองยิ้มเอ็นดู นับดาวเห็นแววตาเขาที่มองดูเธอ ช่างอ่อนโยนเหลือเกิน เธอรีบหลบตาคิดในใจ
‘นี่ไง ที่ฉันไม่อยากอยู่ใกล้คุณเพราะแววตาแบบนี้ไง’
เป็นไทมองๆ
“คิดอะไรอยู่เหรอครับ”
นับดาวชะงัก
“คุณรู้ได้ไงว่าฉันคิด ฉันไม่ได้คิดอะไรซักหน่อย”
“โอเค ไม่ได้คิดก็ไม่ได้คิด แต่คิ้วขมวดเลยนะ”
นับดาวพยายามคลายคิ้วที่ขมวดของตน แต่มันก็กลับมาขมวดอีกเมื่อเห็นหน้าเขา เป็นไทยื่นมือมานวดระหว่างคิ้วของเธอให้คลาย คนในร้านหันมองนับดาวกับเป็นไทแล้วซุบซิบ บางคนมีนิตยสารนินทาดาราที่วางอยู่บนโต๊ะ บางคนเปิดรูปดูออนไลน์จากมือถือ นับดาวสังเกตเห็นอาการผิดปกติของคนในร้าน เป็นไทมองตามเขาก็เห็นอาการผิดปกติของผู้คนเหมือนกัน

เมื่อออกจาร้าน เป็นไทรีบหานิตยสารเล่มนั้นมาอ่าน แล้วเขวี้ยงกับกระโปรงรถด้วยความโมโห มันไหลตกไปกองที่พื้น เป็นไทเห็นแล้วโมโห นับดาวก็โมโห
“ไม่มีความจริงซักนิดเลย”
“เลวจริงๆ”
เป็นไทคว้ากุญแจรถรีบขึ้นรถทันที นับดาวก็รีบขึ้นตามไปด้วย

เป็นไทกับนับดาวเดินอาดๆเข้ามาในออฟฟิศของสังวรณ์ ตรงมาหน้าห้อง เจอเลขาขวางไว้
“นัดไว้รึเปล่าคะ”
“ไม่ได้นัด แต่จะพบเดี๋ยวนี้”
“ไม่ได้นะคะ ถ้าไม่ได้นัดเข้าพบไม่ได้”
“มันยากตรงไหน คุณแค่ถอยไป ผมก็เข้าพบได้แล้ว”
สังวรณ์เปิดประตูออกมาจากห้องพอดี เห็นเป็นไทกับนับดาว
“มาพอดีเลย รอตั้งนาน เข้ามาก่อนๆ”
นับดาวกับเป็นไทมองหน้ากันงงๆ

สังวรณ์นั่งสบายที่โต๊ะ เป็นไทเริ่มต้นด่าเขาเป็นชุด
“คุณทำแบบนี้ได้ยังไง”
“ทำอะไร คุณก็เห็นว่าปาปารัชชี่เขาถ่ายไปลงเอง”
“แต่นี่มันนิตยสารของคุณ”
“แหม...คุณก็พูดเข้า ผมช่วยดันยูกิให้มีกระแสไม่ขาดนะ น่าจะขอบคุณผมมากกว่า”
“ถ้าจะเล่นแผนชั่วๆเพื่อทำลายผม ก็เอาที่มันดีกว่านี้หน่อย อย่าเอายูกิเข้ามาเกี่ยวด้วย เธอไม่รู้เรื่องอะไร”
นับดาวซาบซึ้งที่ได้ยินเป็นไทปกป้องเธอ
“ทีตอนคุณเป็นข่าวรูปหลุดกับยูกิครั้งก่อน ไม่เห็นจะเดือดร้อนอะไรแบบนี้เลย พอยูกิมีข่าวกับคนอื่นถึงกับทนไม่ได้เลยเหรอ”
“นึกว่าผมอยากเป็นข่าวกับยูกินักรึไง”
“ผมก็ไม่ได้อยากเป็นข่าวเหมือนกัน ผู้หญิงแบบนี้หาที่ไหนก็ได้”
นับดาวเริ่มงงๆ รู้สึกเหมือนถูกด่า เป็นไทไม่ยอมโวยวายลั่น
“เห็นแก่กิน สกปรก แถมไม่มีความเป็นซุปเปอร์สตาร์เหมือนที่ใครๆยกย่อง คุณคิดว่ามันหาง่ายนักเหรอ ดาราบ้านเราไม่มีหรอกแบบนี้”
“มันก็แค่คนไม่มีความสามารถมากเท่ากับชื่อเสียง คิดว่าหายากตรงไหน”
นับดาวเริ่มชัดเจนละว่าโดนด่าเต็มๆ เป็นไทด่าต่อ
“จะบอกให้ว่าคนซื่อบื้อๆ เดี๋ยวนี้มันไม่ได้หาได้ง่ายๆหรอกนะ โลกมันกว้าง เด็กอนุบาลยังฉลาดกว่าเลย”
สังวรเสริมเสียงดังกว่าเดิม
“โอ๊ย แบบนี้เอาเด็กสลัมมาชุบตัวเป็นดาราก็ได้”
นับดาวเริ่มทนไม่ไหว
“พอกันได้แล้ว ไม่เหลืออะไรดีแล้วเนี่ย”
เป็นไทจ้องหน้าสังวรณ์
“คุณจำไว้เลยนะ ผมจะไม่ยอมให้คุณทำลายงานคอนเสิร์ตครั้งนี้ได้”
“ก็คอยดูแล้วกัน ว่าใครจะเหนือกว่าใคร”
เป็นไทจะพานับดาวกลับ แต่สังวรคิดถึงคำพูดของวราพรรณที่ว่ายูกิมีปานที่หน้าอกด้านซ้าย
“เดี๋ยว ยูกิ”
นับดาวหันกลับมาหาสังวรณ์
“อะไรคะ”
“แบงค์พันคุณตกแน่ะ”
นับดาวตกใจรีบก้มหาใหญ่ พอเธอก้มคอเสื้อก็กว้างขึ้นทำให้เห็นลึกเข้าไป นับดาวก้มหาเพราะเห็นแก่เงิน
“ไหนคะ ไหนคะ แบงค์พันด้วย”
สังวรณ์พยายามจะชะเง้อมองหาปานที่หน้าอก แต่ก็มองไม่ถนัด เกือบๆเห็น แต่ทันใดนั้นเป็นไทก็ลากนับดาวออกไป
“อย่าไปสนใจเลยน่า”
“แบงค์พันเลยนะ”
“เดี๋ยวผมใช้คืนให้”

เป็นไทลากนับดาวออกไปจากห้อง สังวรณ์เสียดายที่ยังไม่ทันเห็นปานรูปพระจันทร์เสี้ยว
เป็นไทรู้สึกหงุดหงิดเอามากๆ ในขณะที่นับดาวทำตัวไม่ถูก

“ไอ้สังวรณ์นี่มันกัดไม่ยอมปล่อยจริงๆ”
นับดาวบอกอย่างไม่สบายใจ
“เขาอาจจะไม่ได้ตั้งใจก็ได้นะคะ ฉันต่างหากที่ไปกินข้าวกับเขาเอง”
“ไม่ได้ตั้งใจอะไร นิตยสารนั่นก็ของมัน” เป็นไทหงุดหงิด
“ช่างมันเถอะค่ะ ยังไงเราก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว”
“โดนข่าวเสียๆติดๆกัน 2 ข่าว ผมห่วงทางต้นสังกัดคุณมากกว่า”
“อย่าห่วงเลยค่ะ กังวลไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก”
เป็นไทหน้าเครียด
“ฉันรู้...ว่ามันทำยาก งั้นเราลองไปหาอะไรที่มันช่วยผ่อนคลายทำดีมั้ยคะ”
“อย่างเช่น”
นับดาวยิ้ม เป็นไทมองหน้าอย่างต้องการคำตอบ

องอาจกระสับกระส่ายเดินกลับไปกลับมา เป็นห่วงเป็นไทและนับดาวที่หายไป เลขาเป็นไทเดินเข้ามา องอาจถามด้วยความร้อนใจ
“เป็นไงติดต่อคุณเป็นไทกับยูกิได้หรือเปล่า”
“ไม่ได้เลยค่ะ”
“หายไปไหน...แล้วเรื่องที่ผมขอให้ช่วยปิดข่าวล่ะ ว่ายังไงบ้าง”
“พี่ ๆ สื่อมวลชนยินดีให้ความร่วมมือไม่เสนอข่าวที่ว่า เพราะเห็นแก่ภาพลักษณ์ของประเทศ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยปิดได้นานแค่ไหน”
“แค่ถ่วงเวลา จนกว่าคุณเป็นไทจะกลับมาก็ยังดี”
เลขาจะออกไป ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างได้ หยิบรูปรูปหนึ่งออกมาจากแฟ้มเอกสาร
“อ้อ คุณองอาจคะ เรื่องที่คุณให้สืบเกี่ยวกับผู้หญิงในรูปได้เรื่องแล้วค่ะ”
องอาจรับรูปที่ว่ามาดู เห็นเป็นรูปวราพรรณ ที่ถ่ายจากกล้องวงจรปิด ตอนที่วราพรรณเข้ามาถามหาข้อมูลยูกิ
“ผู้หญิงในรูปชื่อ นุ้ย วราพรรณ เป็นนักข่าวหนังสือนินทาดาราค่ะ”
องอาจชะงักอึ้ง
“นักข่าว...นึกแล้วไม่มีผิด”

บ่ายวันนั้น วราพรรณโบกมือลาเพื่อนๆ ทุกคนจะกลับไปบ้าน
“กลับก่อนนะ”
วราพรรณหันมา เห็นองอาจยืนกอดอกรออยู่ที่รถมอเตอร์ไซด์ของเธอ ก็ตกใจ
“นี่นายรู้ได้ไงว่าฉันอยู่นี่”
“เรื่องอย่างนี้ตามสืบไม่ยาก”
“ทำอย่างนี้ต้องการอะไร”
“ผมต่างหากต้องถามคุณ”
“แล้วฉันไปทำอะไรให้คุณ”
องอาจโยนหนังสือนินทาดารา ฉบับล่าสุดให้วราพรรณ
“ไม่ต้องมาทำเป็นตีหน้าซื่อ ผมรู้ความจริงหมดแล้ว อ๋อ ๆ ผมจำเสียงคุณได้แล้ว คุณนี่เองที่ขู่กรรโชกผมทางโทรศัพท์”
วราพรรณมองกวนๆ
“แล้วไง”
“ตอบคำถามผม...ทำอย่างนี้ต้องการอะไร”
“ก็มันเป็นงานฉัน”
“ทำร้ายคนอื่นอย่างนี้ เรียกว่างานเหรอ”
“ฉันไม่ได้ทำร้ายใคร ฉันเสนอข่าวอย่างที่คนอยากรู้”
“แต่คุณก็รู้ว่ามันไม่ใช่ความจริง”
“แล้วใครแคร์ ทุกคนก็อ่านสนุกๆเท่านั้น ไม่มีใครซีเรียสเหมือนคุณหรอก”
“แต่คุณกำลังจะทำให้งานผมพัง”
“ฉันกำลังช่วยโปรโมตงานคุณต่างหาก”
“โปรโมตงั้นเหรอ”
“อย่างน้อยตอนนี้ยูกิ ก็ไม่ได้ดังแค่ในกลุ่มแฟนคลับแล้ว แต่เป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศ”
“ผมควรจะขอบคุณงั้นสิ”
วราพรรณตอบกวนๆ
“คงงั้นมั้ง”
“งั้นวันนึง ผมจะทำให้คุณขอบคุณผมให้ได้”
วราพรรณชะงัก
“หมายความว่ายังไง”
“รอดูแล้วกัน ยายนักข่าวทอม”
องอาจยิ้มมีเลศนัยก่อนจะเดินไป
“ไว้ชาติหน้าสายๆเถ๊อะ นายเกย์เฒ่า”
วราพรรณพูดออกมาด้วยความไม่พอใจ

นับดาวกับเป็นไท เดินมาถึงริมทะเล นับดาวเห็นหาดทรายขาวๆ กับคลื่นทะเลที่ซัดมาก็วิ่งถลา
“ทะเลๆ ไม่ได้เล่นน้ำทะเลมาตั้งนานแล้ว”
นับดาววิ่งไปลงน้ำทันที เป็นไทเห็นก็ได้แต่ยิ้ม เอ็นดู เธอกวักมือเรียกเขาพร้อมตะโกนเรียกให้มาเล่นน้ำด้วยกัน
“มาเร็วคุณไท มาเล่นน้ำด้วยกัน”
เป็นไทเดินไปใกล้ๆนับดาว แต่ไม่ยอมลงทะเล
“นี่คุณพาผมมาคลายเครียด หรือพาตัวเองมาคลายเครียดกันแน่”
“ก็ทั้งสองอย่างนั่นแหละ มาสิ มาเล่นน้ำด้วยกัน”
“ไม่เอาหรอก ผมไม่ใช่เด็กๆแล้ว”
“ไม่เห็นต้องคิดมากเลย”
นับดาววักน้ำสาดเขา เป็นไทโดนน้ำก็หลบ แล้วเอามือวักน้ำกลับที่นับดาวบ้าง
“อย่าแกล้งสิ ผมเปียกหมดแล้ว”
นับดาวฉุดกระชากเป็นไท ให้ล้มลงเปียกน้ำทั้งตัว
“นี่ ผมไม่มีชุดเปลี่ยนนะ”
“ฉันก็ไม่มีเหมือนกัน ไม่เห็นต้องกลัวเลย”
นับดาวกับเป็นไท เล่นน้ำกันสนุก มีจังหวะนึงที่คลื่นซัดเธอถลาไปซบเขา เป็นไทโอบเธอไว้ ทั้งคู่มองตากันหวานซึ้ง สักครู่เธอก็ผละออกจากอกเขาด้วยความเขิน

เย็นนั้น แพรวไพลินใส่แว่นดำเดินหน้านิ่งไปในตรอก ในมือถือหนังสือนินทาดาราที่ลงรูปยูกิกับสังวรณ์ณ์ ระหว่างที่เดินเธอครุ่นคิดในใจ
‘วิธีที่จะช่วยให้พี่ไทมีชีวิตดีขึ้น ก็คือ มันต้องออกไปจากชีวิตพี่ไทนังยูกิ แกเตรียมตัวลงนรกได้เลย’
แพรวไพลินเดิน เข้ามาที่มุมหนึ่งมีชายคนหนึ่งใส่หมวกแก้ป หลุบหน้าหลุบตา นั่งก้มหน้าทำอะไรบางอย่างอยู่หลังบู้ทขายของ เธอเข้ามานั่งที่เก้าอี้กลม ที่วางไว้หน้าบู้ท พูดขึ้นเสียงเข้ม
“พ่อฉันบอกให้มาหาแก...ตู่มือปืนใช่มั้ย”
ชายคนนั้น ยังไม่เงยหน้าขึ้นมา
“ร้านปิดแล้ว”
“ฉันเอาเงินมาให้แกนะ ไม่เอาหรือไง”
แพรวไพลินโยนเงินปึกหนึ่งลงบนบู้ท ชายคนนั้นเหลือบตาขึ้นมองนิดนึง ยังทำเข้มนิ่งอยู่
“นี่แค่มัดจำเท่านั้นนะ ถ้าแกจัดการนังนี่ได้ ฉันจ่ายให้แกอีกล้านนึง”
“หึหึ ไม่รวมแว๊กซ์นะ...”
“เออ ใครจะเก็บภาษีกับแกล่ะ บ้าหรือเปล่า”
แพรวหยิบหนังสือนินทาดาราขึ้นมา โยนลงตรงหน้าเขา
“อะ นี่เป็นรูปนังยูกิ”
“เมื่อกี้บอกว่านังนี่ ตอนนี้มานังยูกิ ตกลงใครกันแน่ นังนี่หรือ นังยูกิ”
“โอ้ย...นังนี่กับนังยูกิมันก็คนเดียวกันนั่นแหละ กวนประสาทนักนะ”
“หุ หุ หุ ล้อเล่นน่ะ”
“ไม่ต้องพูดมาก ฉันขอนัดเดียวจอด อย่าให้พลาดเป้าล่ะ”
“เอาจริงเหรอ”
“ปอดแหกหรือไง”
“ถ้ากล้าจ้าง ตู่ก็กล้าทำ เดี๋ยวจัดให้”
ชายคนนั้นจัดดการโยนหนังสือนินทาดาราขึ้นไปในอากาศ แล้วยกปืนกาวขึ้นมาเล็งด้วยมาดเท่มาก ก่อนจะยิงปืนกาวไป ปุ หนังสือหล่นลงกลับลงมาที่บู้ท รูปนับดาว มีกาวลากเป็นรูปหัวใจล้อมหน้าอยู่
“เห็นฝีมือตู่หรือยัง ไม่มีพลาดเป้าอยู่แล้ว”
แพรวไพลินแทบบ้า ถอนแว่นออกมา ชี้หน้าด่า
“แก๊...แกเอากาวมายิงทำไม กระสุนน่ะ กระสุน ไม่มีเหรอ ไอ้มือปืนบ้า”
“อ้าว อีคุณนายปัญญาอ่อน ตู่ปืนกาวนะครับ จะให้เอากระสุนที่ไหนมาล่ะ”
แพรวไพลินหน้าเหวอ
“อะไร นะ มือปืนกาวเหรอ”
“ก็ใช่นะสิ แหกตาดูซะบ้าง”
ชายคนนั้นกระตุกผ้าที่คลุมบู้ทออก เห็นป้ายที่ติดไว้ ว่า “ตู่” มือปืน... รับซ่อมรองเท้าทุกชนิด แพรวไพลิน ปวดประสาท ได้แต่เต้นเร่าๆ อย่างขัดใจ
“อ๊าย...คุณพ่อนะคุณพ่อ ทำไมทำกับแพรวอย่างนี้ แพรวอยากฆ่านังยูกินะ ไม่ได้มาซ่อมรองเท้า”

ซีซีกำลังถ่ายแบบอยู่ เธอโพสท่าเซ็กซี่ให้ตากล้องถ่าย
“โอเคครับ”
ตากล้องบอกโอเค ซีซีจากเซ็กที่ก็เปลี่ยนเป็นหน้าหงิกทันทีอารมณ์ไม่ดี
“ไม่โอเคได้ยังไงล่ะ ถ่ายทั้งวันขนาดนี้ ใช้จริงแค่ไม่กี่รูป ไม่มีความเป็นโปรเฟสชันนัลเลย เอาน้ำมากินหน่อยซิ”
ทีมงานมองหน้ากันอย่างเบื่อๆกับคำพูดซีซี ทีมงานคนนึงเอาน้ำไปให้ เธอรับมาดูดน้ำ
“นี่มันไม่ใช่น้ำกีวี่นี่”
“แถวนี้มันริมทะเล หากีวี่ไม่ได้จริงๆค่ะ”
“แต่ฉันบอกแล้วว่าฉันอยากกินน้ำกีวี่ นี่ฉันทำงานให้พวกเธอทั้งวันนะ”
“เอาละมุดไปแทนก่อนได้มั้ยคะ คล้ายๆกัน”
“อีบ้า แกจะให้ฉันมีกลิ่นละมุดติดตัวกลับบ้านรึไง”
ทีมงานก้มหน้าจ๋อย
“ฉันละเบื่อจริงๆเลย ทำงานกับทีมงานที่ไม่มีความเป็นมืออาชีพเนี่ย”
ซีซีเดินหงุดหงิดออกไป ทีมงานเงยหน้าขึ้นมาด่าเป็นชุด
“นัดเช้ามาบ่าย จะให้ถ่ายเสร็จเร็วได้ยังไง งานก็ไม่ค่อยมียังจะเรื่องมากอีก ดาราขึ้นหน้าปกยังไม่ขนาดนี้เลย นี่ก็แค่ถ่ายลงหน้าใน ทำเป็นเยอะ แบบนี้ไงถึงไม่มีใครจ้าง”
ทีมงานคนอื่นๆยิ้ม เห็นด้วย เฮกันใหญ่ ซีซีเดินกลับเข้ามา ทุกคนเงียบ
“หัวเราะอะไรกัน มีความสุขนักรึไง”
เธอหยิบแว่นกันแดด แล้วเดินออกไปเชิดๆ ทุกคนต่างมองแล้วก็แอบยิ้ม แอบนินทากันต่อ

เป็นไทกับนับดาวเล่นน้ำกันอยู่ไกลๆ ซีซีเดินเลียบชายหาดมา มองไปที่นับดาวกับเป็นไทแล้วชะงัก เธอถอดแว่นกันแดดที่สวมอยู่แล้วมองอย่างตั้งใจ ส่วนนับดาวกับเป็นไทเล่นน้ำกันไม่ได้สนใจ
“นั่นมัน...พ้นวัยจะมาเล่นน้ำทะเลแบบนี้แล้วนี่ ปัญญาอ่อนรึไง ยังเล่นน้ำเป็นเด็กกันอยู่ได้ ผิวเสียหมด”
ซีซีเห็นเพียงด้านหลังของนับดาว เธอใส่แว่นดำเหมือนเดิมแล้วเดินต่อไปไม่ได้สนใจ

นับดาวกับเป็นไทขึ้นมานั่งริมชายหาด
“ฉันไม่ไหวแล้ว เหนื่อย”
นับดาวเอนหลังนอนกับผืนทราย เป็นไทนั่งชันเข่า
“เล่นน้ำนี่มันสนุกจริงๆนะ”
“สบายใจขึ้นมั้ย”
เป็นไทพยักหน้า
“ขอบคุณนะ”
เขาหันมายิ้มหวาน เธอยิ้มรับ เป็นไทหันไปมองทะเลที่ไกลสุดลูกหูลูกตา ส่วนนับดาวก็แอบมองเขา เป็นไทชี้มือไปที่เกาะเล็กๆเกาะหนึ่งที่มองเห็น
“คุณว่าจะมีคนอยู่ที่เกาะนั้นมั้ย”
นับดาวยังฝันกับการแอบมองเขาอยู่ เธอไม่ได้ยินที่เขาพูด
“ถ้ามีคนอยู่ที่นั่น เขาจะทำอะไรอยู่นะ”
นับดาวไม่ตอบซักคำถาม จนเป็นไทต้องหันกลับไปมองหน้า นับดาวรีบหลบสายตา
“ว่าไงนะ”
“คุณว่าคนที่เกาะนั้นกำลังทำอะไรอยู่”
“กำลังตายเป็นผีเฝ้าสมบัติในถ้ำ”
“เอาจริงๆสิ”
“ก็คงเดินถืออะไรซักอย่างอยู่มั้ง”
เป็นไทหัวเราะ
“นี่จริงแล้วเหรอ”
“ก็ฉันคิดแบบนั้น ตลกตรงไหนเนี่ย”
เป็นไทมองนับดาวยิ้มกับความคิดของเธอ

ยูกิยืนมองทะเลอย่างเหงาๆ ยามาดะเดินออกมาตามเธอ
“นี่มันไม่ใช่เวลามายืนกินลมชมวิวนะ คุณโดนลักพาตัวมา”
“ฉันรู้ แต่จะให้ฉันเครียดตลอดเวลาเลยรึไง”
“เข้าบ้านได้แล้ว”
ยูกิมองสบตา
“นี่จะพูดกับฉันดีๆได้รึเปล่า ฉันไม่ได้ทำผิดอะไร คุณก็จับตัวฉันมา ฉันไม่ได้คิดจะหนี แต่คุณก็ยังมาหน้าบึ้งใส่ฉันอีก”
ยามาดะพยายามทำเข้ม
“ผมไม่ใช่เพื่อนเล่นของคุณ แล้วคุณก็ไม่ควรจะรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่ใกล้ผมด้วย เข้าบ้านไป”
“คุณเคยชอบฉันไม่ใช่เหรอ แล้วคุณโกรธคุณเกลียดฉันเรื่องอะไร ฉันไปทำอะไรให้คุณนักหนา”
ยามาดะตะโกนเสียงดัง
“ผมบอกให้เข้าบ้าน ไป”
ยูกิเดินเข้าบ้านอย่างไม่พอใจนักที่เธอไม่ได้คำตอบในสิ่งที่เธออยากรู้ ยามาดะเดินตามคุมเธอเข้าไป แล้วโทรศัพท์ยามาดะก็ดังขึ้น เขารับแล้วปล่อยให้ยูกิเดินเข้าบ้านไป
“ว่าไงครับ”
ซีซีโทรศัพท์คุยกับยามาดะ
“นี่...วันนี้ฉันมาทำงานแถวนี้ ฉันว่าจะแวะไปที่เกาะซักหน่อย”
“จะมาทำไม”
“ฉันก็จะไปเช็คความเรียบร้อยบ้างไม่ได้เหรอ ฉันเป็นคนจ้างแกทำงานนะ”
“ทุกอย่างก็เรียบร้อยดี”
“ฉันจะรู้ได้ไงว่าแกไม่โกหก ไม่ใช่ว่าปล่อยยายยูกิหนีไปแล้วล่ะ”
“ผมเป็นอดีตยากูซ่า ไม่ทำงานชุ่ยๆแบบนั้นแน่”
“ฉันจะไปให้เห็นกับตา เอาเรือมารับฉันด้วย ฉันจะรอที่ฝั่ง”
ยามาดะถอนหายใจ
“เร็วๆด้วยล่ะ”
ซีซีวางสายอย่างคนเจ้าอารมณ์ ส่วนยามาดะก็ไม่อยากจะไปรับซีซีเท่าไหร่

นับดาวเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยชุดแบบชาวบ้าน เสื้อลายดอก ผ้าถุง อีกฝั่งหนึ่งเป็นไทก็ออกมาด้วยเสื้อห่านคู่ กางเกงขาก๊วย ผูกผ้าขาวม้า เป็นไทออกจะเขินๆที่ต้องแต่งตัวแบบนี้ นับดาวเห็นแล้วก็ยิ้ม เป็นไทขยับเสื้อผ้าตัวเองแล้วถาม
“ทำไมต้องแต่งตัวแบบนี้ด้วยล่ะ เสื้อผ้าปกติเขาก็มีขายนะ”
“มันไม่ได้รสชาติแบบพื้นเมืองน่ะสิ มาต่างจังหวัดอย่าเอานิสัยคนเมืองมาใช้”
“แต่ก็ดีเหมือนกัน แบบนี้คงไม่มีใครจำคุณได้”
“นี่ ฉันเปลี่ยนแค่ชุดนะ ไม่ได้เปลี่ยนหน้า ถ้าอยากให้คนจำไม่ได้คงต้องทำแบบนี้”
นับดาวยีผมตัวเองให้กระเซอะกระเซิง แล้วเอาผมมาปิดหน้าจนแทบไม่เห็น
“ทำแบบนี้ ผมว่าไม่ได้กลัวคนจะจำได้หรอก กลัวไม่ตกบันไดมากกว่า”
ทั้งคู่มองกันหัวเราะ แล้วซีซีก็เดินผ่านมาชนนับดาวเข้าพอดี ซีซีโวยวาย
“นี่เดินยังไง คนทั้งคนไม่เห็นรึไง” ซีซีหันไปเห็นหน้านับดาวก็ตกใจที่มีแต่ผมปิด “นี่ด้านหน้าหรือด้านหลังเนี่ย ก็ควรแล้วล่ะที่จะมองไม่เห็นน่ะ ยายบ้า”
นับดาวเห็นซีซีก็ตกใจ รีบเอาผมมาบังหน้าไว้ให้หนักกว่าเดิม
“ขอโทษค่ะ”
เป็นไทงงๆ
“แต่เขาเดินมาชนคุณเองนะ จะไปขอโทษทำไม”
ซีซีไม่พอใจ
“อ้าวๆ พูดแบบนี้”
นับดาวรีบบอกกับเป็นไท
“ช่างมันเถอะ ฉันไม่อยากมีปัญหา”
“เจียมกะลาหัวก็ดี”
ซีซีเดินเชิดๆไป นับดาวเสยผมขึ้นปกติมองตาม อยากตามซีซีไปใจจะขาด
“เอ่อ คุณไทเดี๋ยวฉันไปห้องน้ำก่อนนะ เดี๋ยวมา”
“เดี๋ยว”
“อะไรคะ”
“ห้องน้ำอยู่นี่ไม่ใช่เหรอ”
เป็นไทชี้ไปทางห้องน้ำอีกทาง นับดาวลืมไปว่าเธอยืนอยู่หน้าห้องน้ำ
“นั่นสิแต่...” เธอพยายามหาข้ออ้าง “ห้องน้ำตรงนี้มันไม่สะอาด ฉันไปเข้าทางด้านโน้นจะดีกว่า”
พูดจบนับดาวก็รีบตามซีซีไป ทิ้งเป็นไทยืนงงอยู่ตรงนั้น

ซีซียืนรอยามาดะอยู่ที่ท่าเรือ สักครู่ยามาดะขับสปีดโบ้ตมาเทียบท่า นับดาววิ่งตามมาแอบฟังอยู่ด้วย
“ขี่เต่าทะเลมารึไง ช้าเหลือเกิน”
“คุณให้ผมขับเรือเวลากลางคืน มันอันตราย”
“แล้วออกมานี่แน่ใจนะว่ายายยูกิมันจะไม่หนี”
นับดาวที่แอบฟังอยู่ตาโตที่ได้ยินชื่อยูกิ เธอพึมพำอย่าสงแปลกใจ
“ยูกิเหรอ ยูกิอยู่แถวนี้เหรอเนี่ย”
“เรือมีลำเดียว ถ้าหนีก็คงรอดยาก”
ซีซีเบ้หน้า
“ก็ดี...ตายๆไปซะก็ดี”
ยามาดะมองซีซีอย่างไม่ค่อยพอใจนัก
“รีบไปเถอะ คุณคงไม่อยากให้ใครมาเห็นใช่มั้ย”
ซีซีกับยามาดะมองซ้ายมองขวา ขึ้นเรือแล้วขับออกไป นับดาวออกมาจากที่ซ่อน
“ยูกิ ฉันจะไปช่วยเธอเอง”
นับดาวมองเรือที่ออกไปด้วยแววตามุ่งมั่น

เรือประมงกำลังเตรียมจะออกเดินทาง ลูกเรือเตรียมอุปกรณ์ต่างๆบนเรือ ไต้ก๋งเข้าห้องขับเรือ นับดาวเดินมองซ้ายมองขวาเห็นเรือกำลังจะออก เธอขึ้นเรือทันที ยืนเลิ่กลั่กไม่รู้จะไปทางไหน คนในเรือมองเป็นตาเดียว แต่สุดท้ายเธอก็พุ่งตรงไปที่ห้องขับเรือเปิดประตูเข้าไป ไต้ก๋งเรือตกใจ
“ตามเรือลำนั้นไปเลยพี่”
นับดาวชี้ไปที่สปีดโบ้ดของยามาดะ ไต้ก๋งตกใจงงๆ
“ห๊ะ อะไรนะ”
“บอกให้รีบตามคันนั้นไปไง เดี๋ยวไปไม่ทันนะ”
“ทำอะไรของเธอเนี่ย”
“ไปสิ ไปกัน โน่นๆ พวกมันไปโน่นแล้ว”
“อะไรของเธอเนี่ย เฮ้ย...พวกเรามาเคลียร์ดิ”
ลูกเรือมาล้อมนับดาวกันเต็มไปหมด เธอหันไปเห็นก็ตกใจ ไต้ก๋งกวาดตามองทุกคนแล้วถาม
“นี่เมียใคร บอกแล้วใช่มั้ยว่าห้ามพาเมียไปทำงาน”
ลูกเรือทุกคนส่ายหน้า ไม่มีใครยอมรับว่าเป็นเมีย ไต้ก๋งยิ้ม
“ไม่ได้เป็นเมียใคร งั้นข้าจอง”
นับดาวสะดุ้ง หันมองไปมีแต่ชาวประมงหน้าตาดูหื่นๆล้อม
“ขอโทษค่ะ ขึ้นเรือผิด นึกว่าเป็นเรืออันดามันปริ๊นเซส แหะแหะ ไปก่อนนะ”
นับดาวรีบวิ่งฝ่าลูกเรือออกมากระโดดขึ้นฝั่งอีกครั้ง เธอหันซ้ายหันขวามองหาเรือที่พอจะช่วยเธอได้

นับดาวมองหาเรือที่พอจะช่วยเธอได้ แล้วตาแก่ๆก็ตะโกนถามเธอจากทางลงท่า
“หนู...จะไปไหน”
“คือหนูจะตามคนที่เพิ่งออกเรือไปเมื่อกี้น่ะค่ะ”
“ตกเรือ ว่างั้น”
“ค่ะ ใช่ค่ะ ตกเรือ”
“จะติดเรือลุงไปมั้ยล่ะ”
“พูดเป็นเล่น ลุงจะให้ไปจริงๆเหรอ”
“ไปได้จริงๆ”
“ลุงมีน้ำใจจังเลย หนูไม่เกรงใจแล้วนะคะ”
ตาแก่ยิ้มอย่างเป็นมิตร
“งั้นเดี๋ยวขึ้นเรือมาเลย”
“ไหนละคะเรือ”
“แต่คนจะนั่งเรือลุงได้ต้องมีคุณสมบัติ 2 อย่างนะ หนูมีมั้ย”
“คืออะไรคะ”
“เวลา และความอดทน”
นับดาวนิ่งฟัง
“อืม...ฟังเหมือนพระนิกายเซนเทศเลยค่ะ ลุงนี่สุดยอด”
“ดี”
“ไหนเรือคะ”
ตาแก่ชี้ไปที่เรือหางยาวเก่าๆโทรมๆ นับดาวเห็นแล้วทำหน้าหงิก
“อือหือ เวลาและความอดทนคงไม่พอมั้งคะเนี่ย สภาพนี้”

นับดาววิ่งมาหาเรือ มองไปเห็นเจ็ตสกีจอดอยู่ เธอมองซ้ายมองขวาไม่เห็นใคร จะไปขึ้นเจ็ต แต่เป็นไทโผล่มาพอดี
“หาตั้งนาน มาอยู่นี่เอง”
นับดาวสะดุ้ง
“ทำอะไรอยู่น่ะ”
“แหม เจ็ตสกีคันนี้มันสวยจริงๆ”
“ไหนบอกว่ามาเข้าห้องน้ำไง ไงมาอยู่ตรงนี้”
“อากาศมันร้อน เลยอยากเล่นน้ำ”
นับดาวเอามือวักน้ำทะเลขึ้นมาลูบเนื้อลูบตัว เป็นไทมองงงๆ
“เพิ่งเล่นน้ำมาแท้ๆ”
นับดาวยิ้มแหยๆ
“นั่นสินะ แหะ แหะ”
นับดาวหันไปมองเรือสปีดโบ้ตของยามาดะและซีซีหายลับไปต่อหน้าต่อตา เธอถอนหายใจ

นับดาวกับเป็นไทมาติดต่อห้องพักที่เคาน์เตอร์รีสอร์ท
“คือผมอยากจะจองที่พัก 2 ห้องครับ”
“ที่พักเราเต็มหมดทุกห้องแล้วค่ะ”
“เต็มหมดเลยเหรอครับ ซักห้องก็ไม่มีเลยเหรอ”
“ไม่มีจริงๆค่ะ ช่วงนี้เป็นช่วงวันหยุดยาว”
เป็นไทถอนหายใจ
“แล้วพอจะมีที่ไหนที่น่าจะมีห้องว่างอยู่บ้างครับ”
“น่าจะเต็มหมดแล้วค่ะ ช่วงนี้เป็นช่วงไฮซีซั่น”
“อ้าว แล้วผมทำไงครับเนี่ย”
“เอางี้มั้ยคะ ทางเรามีเต้นท์ไว้ให้เช่า เหลือเต้นท์สุดท้ายพอดีเลยค่ะ”

เป็นไทกับนับดาวหันมามองหน้ากัน











Create Date : 12 มีนาคม 2555
Last Update : 12 มีนาคม 2555 0:32:00 น.
Counter : 264 Pageviews.

0 comment
ฉันรักเธอนะ ตอนที่ 5(ต่อ)



ภายในห้องตัดต่อ เจ้าหน้าที่ประคองวราพรรณนอนลง

“นอนที่นี่ก่อนเดี่ยวผมไปตามคนมาช่วย”
เจ้าหน้าที่ห้องตัดจะเปิดประตูออกไป แต่องอาจผลักประตูเข้ามาพอดี เจ้าหน้าที่ถามด้วยความแปลกใจ
“มีอะไรเหรอครับคุณองอาจ”
“เห็นใครแปลกๆ ผ่านมาทางนี้มั้ย”
เจ้าหน้าที่คิดไม่ถึงว่าหมายถึงวราพรรณ
“แปลกๆเหรอครับ ก็ไม่มีนี่ครับ”
องอาจมองไม่เห็นวราพรรณเพราะตัวเจ้าหน้าที่บังอยู่ วราพรรณที่นอนอยู่พูดกับตัวเอง
“ตายแน่แล้ว”
วราพรรณรีบกระเถิบตัวแอบ เป็นจังหวะเดียวกับที่องอาจชะโงกหน้ามองพอดี แต่ไม่เห็นอะไร องอาจไม่ติดใจทำท่าจะเดินออกไป วราพรรณที่แอบดูอยู่เป่าปาก โล่งอก แต่ทันใดนั้นองอาจก็หันขวับกลับมาอีก วราพรรณสะดุ้งรีบแอบ
“คลิปประวัติยูกิที่ให้ตัดต่อเสร็จหรือยัง”
“เหลืออีกนิดหน่อยครับ”
องอาจพยักหน้ารับรู้
“งั้นก็รีบ ๆ หน่อย ตัดเสร็จ ช่วยอัพลงเว็บให้ผมด้วย วันแถลงข่าวผมจะเปิดตัวเว็บไซด์นี้อย่างเป็นทางการด้วย รับรองทุกคนจะต้องฮือฮา เพราะจะเป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับยูกิที่ยังไม่มีใครรู้”
วราพรรณที่แอบอยู่หูผึ่ง
“เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ยังไม่มีใครรู้”
องอาจ เจ้าหน้าทีห้องตัดต่อออกไป วราพรรณรีบออกมาจากที่ซ่อน วิ่งที่หน้าคอมพิวเตอร์ คลิกที่แอดเดรสบาร์และอิสทอรี่ หาที่อยู่เว็บไซด์ยูกิ พอได้แล้วรีบออกไปทันที เมื่อเจ้าหน้าที่ตัดต่อกลับเข้ามา พร้อมแก้วน้ำร้อนชงยาหอมเข้ามา
“ยาหอมได้แล้วคุณ”
เจ้าหน้าที่มองหา แต่วราพรรณ ไม่ได้อยู่บริเวณนั้นแล้ว

ในสตูดิโออัดรายการ...การอัดรายการเริ่มต้นขึ้น บรรยากาศการทำงานของทุกคนคึกคัก เป็นไทกับองอาจยืนดูการอัดรายการ พิธีกรพูดเปิดรายการ
“วันนี้รายการของเรา จะมีซุปเปอร์สตาร์ญี่ปุ่นมากความสามารถมาในรายการของเรา เธอกำลังจะมาแสดงคอนเสิร์ตครั้งยิ่งใหญ่ในกรุงเทพ มีใครรู้บ้างว่าใคร”
แฟนคลับที่ถือป้ายไฟพูดพร้อมกัน
“ไอยูกิ”
พิธีกรยิ้ม
“ใช่แล้ว วันนี้ไอยูกิไม่ได้มาพูดคุยกับเราเท่านั้น เธอยังจะมาโชว์ความสามารถอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นวัฒนธรรมประจำชาติของญี่ปุ่นเลย นั่นก็คือการชงชา ซึ่งเธอคือแชมป์ชงชาจากเกาะฮอกไกโดเลยทีเดียว ...เราอย่าเสียเวลาเลยดีกว่า ไปพบกับคุณไอยูกิกันเลย”
เสียงปรบมือดังกึกก้อง ทีมงานเข็นรถชงชาออกมา ออกแนวรถเข็นบ้านๆ คนดูงง องอาจกับเป็นไทก็งง พิธีกรก็งง นับดาวฉีกยิ้ม
“สวัสดีค่ะ วันนี้ฉันก็จะมาชงชานะคะ เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ ไฮ้”
นับดาวพูดจบก็โชว์ลีลาการทำชาชักที่เรียนมาทันที เธอใส่เต็มที่ สีหน้าเมามัน ทุกคนก็ดูกันอย่างงงๆ
“เอ่อ...นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย จะขอเทคมั้ยครับคุณไท” องอาจรีบถาม
“ไม่เป็นไร แบบนี้ก็ดูน่ารักดี”
“แต่มันจะไม่เสียภาพลักษณ์เหรอครับ”
“ไม่หรอก”
นับดาวชักชาอย่างเมามันต่อไป

ไคคุงกับแพรวไพลินนั่งคุยกันอยู่ในร้านอาหาร
“คุณไม่ต้องห่วงเรื่องธุรกิจที่คุณชวนผมมาลงทุน ตอนนี้มันกำลังเริ่มต้นได้สวย” ไคคุงบอกอย่างเอาใจ
“ฉันไม่ห่วงหรอกเรื่องนั้น ฉันห่วงเรื่องแฟนของคุณมากกว่า”
“ยูกิน่ะเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ จะบอกให้นะ ไอ้ธุรกิจนั่นฉันไม่ได้สนใจนักหรอก ฉันสนแต่ว่า ทำยังไงแฟนคุณถึงจะเลิกยุ่งกับแฟนฉันซักที”
“ก็พวกเขาทำงานด้วยกัน”
“อย่าทำมาเข้าใจนักเลย คุณไม่สังเกตรึไง ว่าตั้งแต่คุณมาเมืองไทย ยายยูกิเคยมาสนใจดูแลอะไรคุณมั้ย ทั้งที่คุณอุตส่าห์ลำบากข้ามน้ำข้ามทะเลมาหา”
“แต่ผมก็นั่งเครื่องบินมานะ ไม่ได้นอนใต้ท้องเรือสำเภา มันก็ไม่ได้ลำบากตรงไหน” ไคคุงพูดซื่อๆ
แพรวไพลินรำคาญ
“ซื่อบื้อรึไง ฉันไม่ได้หมายความอย่างงั้น ฉันแค่อยากให้คุณสังเกตดูให้ดีว่ายายยูกิน่ะเปลี่ยนไป ไม่ได้สนใจคุณเหมือนเดิมแล้วน่ะสิ นับดูสิตั้งแต่คุณมาเนี่ย ได้เจอกับยูกิกี่ครั้งกัน”
ไคคุงนิ่งคิด แพรวไพลินยุ
“หัดโงหัวขึ้นมาดูซะบ้าง หรือว่าอยากจะเสียแฟนที่ฮอตที่สุดไป แต่บอกให้ว่าฉันไม่ยอมหรอก”
ไคคุงเถียงไม่ออก นิ่งคิดกับคำพูดแพรวไพลิน

ในสตูดิโออัดรายการ นับดาวให้สัมภาษณ์อยู่บนเวที หลังจากที่โชว์การชงชาแล้ว
“เอ่อ การชงชาเมื่อกี้นี่มัน ชาชัก มันญี่ปุ่นตรงไหนครับคุณยูกิ”
“ก็ชงชา ไม่ใช่แบบนี้เหรอคะ แหะ แหะ”
“ผมว่ามันออกไปทางมาเลมากกว่านะ”
นับดาวนึกในใจว่าซวยแล้ว เพราะทำผิดวิธร แต่แถพูดกับพิธีกร
“นี่แหละค่ะ ชาชักจากเกาะลังกาวีแท้ๆ เป็นของขวัญให้ทุกคน”
“เอ๊ะ แต่ตอนแรกจะชงชาญี่ปุ่นแบบเกาะฮอกไกโด”
นับดาวยิ้ม
“นั่นแน่ๆ ไม่รู้อะไร ชาวญี่ปุ่นน่ะใครๆก็เห็นฉันชงมาเยอะแล้ว แต่ทุกคนคงไม่รู้ว่าฉันชงชาชักมาเลได้ด้วย” นับดาวแกล้งพูดสำเนียงทองแดง “นี่ลงใต้ไปเรียนมาเลยนิ เพราะรู้ว่าคนไทยชอบ ใช่มั้ย...”
แฟนคลับตะโกนตอบเป็นคอรัสกลับมา
“ใช่”
พิธีกรยังงงๆอยู่
“แหม เล่นมาเซอร์ไพรส์กลางรายการเลยนะครับ แต่ว่าคุณยูกิถือว่า เป็นคนที่น่ารักมาก ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมวัยรุ่นบ้านเราถึงชอบคุณมาก”
เป็นไทกับองอาจที่ยืนดูอยู่
“คนอะไรมีอะไรมาเซอร์ไพร์สตลอด ช่างเป็นคนละเอียดอ่อนจริงๆ”
เป็นไทยิ้ม
“น่ารักมากด้วย”
องอาจกระแอม
“เกินไป เกินไป อย่าให้มันออกนอกหน้ามากนักครับคุณไท เดี๋ยวแฟนคุณก็มาวีนแตกหรอก”
เป็นไทไม่สนคำพูดองอาจ มองนับดาวยิ้มอย่างชื่นชม

หลังจากอัดรายการเสร็จ นับดาวเดินเข้ามาห้องแต่งตัว เธอถอนหายใจโล่งอก
“จะเอาตัวรอดไปได้ซักกี่ครั้งเนี่ยนับดาว”
องอาจกับเป็นไทเปิดประตูเข้ามา พร้อมกับเดินตบมือให้นับดาว
“เก่งมากเลยครับคุณยูกิ” องอาจชม
“คุณนี่มีอะไรที่ผมคาดไม่ถึงตลอดเวลาเลย”
“แหะ แหะ”
ทีมงานเอาชาชักที่นับดาวชงใส่แก้วมาให้นับดาว
“นี่ชาที่คุณยูกิชงครับ”
นับดาวรับมา เธอยิ้มๆบอกเป็นไท
“เห็นคุณบอกว่าคุณอยากกินชาฝีมือฉัน...งั้นแก้วนี้ก็...”
แต่ยังไม่ทันยื่นให้ แพรวไพลินกับไคคุงก็เข้ามาขัดจังหวะพอดี
“สวัสดีค่ะทุกคน”
องอาจพึมพำ
“งานเข้าแล้วไง”
นับดาวชะงักทันที แพรวไพลินเกาะแขนเป็นไท
“พี่ไท แพรวไปช้อปปิ้งมา เจอเสื้อตัวนึงเหมาะกับพี่ไทมากเลยแพรวเลยซื้อมาให้พี่ไท ถ้าใส่แล้วต้องหล่อมากแน่ๆ”
เป็นไทมองนับดาว เกรงใจเธอ แต่นับดาวก็ทำไม่สนใจหันไปทางอื่น แล้วไคคุงก็เดินเข้ามาพร้อมกับดอกไม้ช่อโต
“คอนนิจิวะ ยูกิจัง”
“คอน...วะ ค่ะ”
นับดาวรับดอกไม้มา เธอมองเป็นไทหมั่นไส้ เธอเลยประชดด้วยการยื่นชาให้ไคคุง
“ฉันเพิ่งชงชาออกรายการ ฉันเลยตั้งใจเอามาฝากคุณ”
นับดาวยื่นแก้วชาให้ไคคุง
“น่ารักมาก คุณน่ารักแบบนี้เสมอเลย”
ไคคุงกอดนับดาว เป็นไทมองหมั่นไส้ เลยประชดนับดาวบ้าง
“ไหน เสื้ออะไร เดี๋ยวพี่เปลี่ยนใส่เลยดีกว่า”
“จริงเหรอคะพี่ไท...พี่ไทน่ารักจังเลย”
แพรวไพลินซบเป็นไท นับดาวมองอย่างหมั่นไส้
“เอาละทีนี้ เราจะไปอยู่ตรงไหนดีวะเนี่ย”
องอาจยืนเก้ๆกังๆ ในสถานการณ์ที่ทั้งสองคู่ต่างประชดกันไปมา

องอาจต้องเซ็งหนักกว่าเดิม เมื่อต้องมานั่งในร้านอาหาร ระหว่างทั้งสองคู่ ขณะที่นั่งทานอาหารด้วยกัน เป็นไทตักกับข้าวให้แพรวไพลินแต่ตาก็มองที่นับดาว ตั้งใจประชดเธอ
“แพรวลองชิมนี่ อร่อยมาก”
“วันนี้พี่ไทน่ารักจังเลย”
แพรวไพลินทานอย่างว่าง่าย ไม่รู้เรื่องอะไร นับดาวเห็นเป็นไททำ จึงทำตามบ้าง เธอตักกับข้าวให้ไคคุงบ้าง
“ไคคุงลองทานนี่ โดดเด่นที่รสชาติหวานๆ เหมือนความรักของเรา”
นับดาวมองเป็นไทแล้วประชด
“อาริงาโตะ”
เป็นไทเอาบ้าง
“ส่วนไหนของปลาที่อร่อยที่สุดคะแพรว”
“น่าจะเป็นแก้มนะคะ”
เป็นไทตักแก้มปลาให้แพรวไพลิน
“งั้นทานนี่เลยค่ะ พี่ตักด้วยใจ”
แพรวไพลินฉีกยิ้มกว้างอย่างดีใจที่เป็นไทเอาใจ
“ขอบคุณมากค่ะ”
นับดาวเอาบ้าง
“ไคคุง ส่วนไหนของมะเขือที่อร่อยที่สุดคะ”
“เอ่อ ผมไม่ทานมะเขือ ลืมไปแล้วเหรอ”
นับดาวตักมะเขือให้
“เลือกๆซักส่วนกินไปเถอะน่า”
ไคคุงงงๆ ฝืนใจกิน องอาจที่ดูทั้งหมดมาตั้งแต่ต้น บ่นคนเดียว
“นี่เรามานั่งอยู่ในโต๊ะนี้ทำไมวะเนี่ย...องอาจเอื้อมไปตักปลา แกล้งเล่นเป็นสองคน “ส่วนไหนของปลาที่อร่อยที่สุดนะ อ๋อก็ส่วนที่เขากินเหลือไง”
องอาจ ตักพริกหยวกมาไว้ในจาน
“อุ๊ย ผมไม่กินมะเขือ งั้นก็กินพริกหยวกไปละกันแกน่ะ”
องอาจบ่นอยู่คนเดียวท่ามกลางบรรยากาศในโต๊ะ ที่ประชดกันไปกันมา

ที่ลานจอดรถ...ทั้งหมดเตรียมแยกย้ายกลับกัน แพรวไพลินควงเป็นไทติดแจ นับดาวแอบมองแล้วหมั่นไส้ เป็นไทก็มองนับดาวที่ควงไคคุงด้วยความหมั่นไส้เช่นกัน
“เดี๋ยวผมคงต้องขอตัวก่อน เดี๋ยวต้องไปส่งแพรวอีก”
เป็นไทมองหน้านับดาว
“ตามสบายเถอะค่ะ ฉันกับไคคุงก็อยากอยู่กันสองคนเหมือนกัน”
องอาจเสนอหน้ามา
“ส่วนผม น่าจะไปได้ตั้งนานแล้ว แต่ก็ยังอยู่ ไม่ไปไหน”
นับดาวกับเป็นไทมองตากันอย่างหมั่นไส้กัน

เป็นไทขับรถอย่างไม่มีสมาธิ เพราะนึกถึงภาพภาพนับดาวกอดกับไคคุง จับมือกัน ป้อนข้าวกัน
“วันนี้พี่ไทน่ารักจังเลย พี่ไทไม่เคยทำดีกับแพรวขนาดนี้มาก่อนเลย”
รถจอดเอี้ยดกลางทาง องอาจกับแพรวไพลินงง
“พี่ไทจอดรถทำไมคะ”
“แพรวลงไปได้แล้ว”
“ห๊า”
“อ้าว ก็แพรวก็เอารถมานี่ แพรวขับรถแพรวกลับเองจะดีกว่า”
“แต่รถแพรวจอดอยู่อีกที่เลยนะคะ”
“ก็นั่งแท็กซี่กลับไปเอาละกัน”
“พี่ไท”
“พี่มีธุระต้องไปทำต่อ”
แพรวไพลินเซ็งลงจากรถไป
“จำไว้เลยนะพี่ไท”
องอาจเห็นแพรวไพลินถูกไล่ลง เขาพยายามทำตัวกลมกลืนกับเบาะ
“คิดซะว่าผมไม่อยู่ตรงนี้ละกันนะครับเจ้านาย”
เป็นไทพยักหน้าให้ไป
“ไปส่งแพรวไป”
“ผมสัญญาจะไม่พูดอะไรซักคำ นั่งเงียบๆเหมือนผีสิงเบาะ”
“ลงไป”
องอาจลงรถไปอย่างหน้าเซ็งๆ”

นับดาวนั่งหน้าเบื่อๆ เบือนหน้าออกนอกกระจก นึกถึงแพรวไพลินกับเป็นไทหวานแหววกัน
“ยูกิ”
นับดาวไม่ได้ยิน นิ่ง
“ยูกิ ยูกิ”
เป็นไทเอามือสะกิด นับดาวหันมาหาไคคุง
“เป็นอะไรรึเปล่า อยู่ๆก็เงียบ”
“เปล่าค่ะ เดี๋ยวคุณจอดส่งฉันแค่ข้างหน้าก็พอ”
ไคคุงงง
“ทำไมล่ะ”
“เดี๋ยวฉันจะไปซื้อของต่อน่ะ”
“เดี๋ยวผมไปซื้อเป็นเพื่อน”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันอยากไปคนเดียวมากกว่า”
“แต่ว่าผมไปกับคุณได้”
นับดาวดุ
“ก็บอกว่าไม่ต้อง”
ไคคุงกลัวนับดาวโกรธ รีบจอดรถเข้าข้างทาง นับดาวลงจากรถ
“ขอบคุณนะ”
นับดาวเดินไป ไคคุงที่อยู่ในรถมองตามนับดาวที่เดินออกไป เขาคิดถึงคำพูดของแพรวไพลินที่ให้สังเกตว่ายูกิเปลี่ยนไป
“คุณเปลี่ยนไปจริงๆด้วย”

นับดาวเดินเหงาๆที่ริมถนน เธอถอนหายใจกับชีวิตของเธอ เป็นไทขับรถเพื่อจะไปบ้านยูกิ ก็เห็นเธอเดินเหม่อๆอยู่ข้างทาง เป็นไทไม่จอดลงไป ได้แต่ขับรถตามแอบมองเธอห่างๆ ให้เธอกลับถึงบ้านปลอดภัย ทั้งคู่ต่างคิดถึงกันแต่ก็เหมือนมีอะไรมากั้นไว้
นับดาวเดินเข้าบ้านไป เป็นไทจอดรถหน้าบ้านมองเธอ เขาถอนหายใจ
“ผมไม่อยากใกล้คุณไปมากกว่านี้อีกแล้ว”

ค่ำคืนนั้น นับดาวโทรคุยกับวราพรรณ เพราะเธอไม่รู้จะปรึกษาใคร
“แกยุ่งอยู่รึเปล่า”
วราพรรณนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ทั้งออฟฟิศปิดไฟมืด มีแต่บริเวณเธอเท่านั้นที่ยังเปิดไฟอยู่ เธอกำลังเสิร์ชหาข้อมูลเกี่ยวกับยูกิอยู่ และคุยโทรศัพท์กับนับดาวไปด้วย
“ยุ่งว่ะ”
“อืม แกเคยไปแอบชอบใครรึเปล่าวะ”
“นี่แกไม่ได้ฟังที่ฉันพูดเลยนี่หว่า”
“ตกลงเคยแอบชอบใครรึเปล่า”
“ก็เคยเหมือนกันนะ”
“มันรู้สึกยังไง”
วราพรรณพยายามนึก
“ก็แบบอยากเจอเขาทุกวัน เวลาเห็นเขาอยู่กับใครก็ไม่พอใจ”
“เหรอๆ แล้วแกทำไง”
“ทำไงได้ล่ะ มันก็ต้องแล้วแต่เขาว่าเขาชอบเรามั้ย”
“แล้วเราจะรู้ได้ไงว่าเขาคิดยังไงกับเรา”
“ก็ถามสิ”
“ไม่เอา ไม่ถาม มีวิธีอื่นมั้ย”
“นี่แกไปแอบชอบใครอยู่เนี่ย”
“เร็ว บอกวิธีมา ฉันอยากรู้” นับดาวเร่ง
วราพรรณรำคาญ
“มันยาว ฉันยุ่งอยู่”
“แกยุ่งแต่ฉันไม่ยุ่งนี่”
“เอ๊ะ ไอ้นี่ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยนัดเจอกันละกัน ฉันจะทำงาน”
วราพรรณกดวางโทรศัพท์ นับดาวหัวเสียที่เพื่อนตัดบท
“แกนะแก คนกำลังกลุ้มใจอยู่แท้ๆ”
นับดาวเซ็ง ขณะที่วราพรรณสนใจหน้าคอม เพราะเธอเจอข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับยูกิที่สำคัญ ในหน้าเว็บไซต์เป็นประวัติของยูกิอย่างละเอียด แล้วมีข้อสำคัญข้อหนึ่งเขียนว่า
“สิ่งที่ชอบที่สุดในร่างกาย : ปานรูปพระจันทร์เสี้ยวที่หน้าอกด้านซ้าย”
นับดาวพยายามดูรูปยูกิเก่าๆตั้งแต่ญี่ปุ่น บางชุดที่เธอใส่เกาะอก หรือเปิดไหล่ซ้าย ก็มีปานรูปพระจันทร์อยู่ตรงนั้นจริงๆ แต่รูปตามสื่อที่เพิ่งมาเมืองไทย เธอเห็นไม่ถนัด
“ปานเหรอ...ฉันต้องรู้ให้ได้เลย...”

ยูกิเพิ่งอาบน้ำเสร็จ นุ่งผ้าเช็ดตัวเดินออกมา ที่หน้าอกของเธอ มีปานรูปจันทร์เสี้ยว แล้วอยู่ๆยามาดะก็โผล่เข้ามาในห้อง พรวดพราด ยูกิตกใจ รีบหันหลัง เอามือบังช่วงไหล่ที่เปลือยไว้
“เข้ามาทำไม”
ยามาดะหันหลัง ไม่กล้ามอง
“เอ่อ...ขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจ”
“มีอะไร”
“ผมจะบอกว่า...อะไรที่คุณรู้คุณเห็นเกี่ยวกับผม ก็ทำลืมๆไปซะ มันไม่เคยสำคัญมาแบบไหน ให้มันไม่สำคัญต่อไปแบบนั้นแหละ”
“แต่...”
“นั่นคือสิ่งที่จะทำให้ทุกคนสบายใจที่สุด”
ยามาดะรีบออกไปจากห้อง ยูกิมองตามเขาออกไป

นับดาวนัดกับวราพรรณที่ห้างสรรพสินค้า เธอมารออย่างกระวนกระวายใจ ทันทีที่เพื่อนมาถึงเธอก็โวยวาย
“ทำไมมาช้าแบบนี้”
“ช้าอะไร นี่ก็เลทจากเวลานัดไปไม่กี่นาทีเอง”
“นั่นแหละ ช้าแล้ว”
วราพรรณมองหน้าเพื่อน
“มีอะไรของแก ทำไมต้องร้อนใจขนาดนั้นด้วย”
“ก็ที่แกบอกว่า จะบอกวิธีที่พิสูจน์ว่าคนที่เราชอบอยู่ คิดยังไงกับเราน่ะ”
“เรื่องแค่เนี้ย”
“ไม่แค่นี้นะ เรื่องใหญ่เลย บอกมาสิ”
“นี่แกไปแอบชอบใครเนี่ย”
“แกบอกฉันมาก่อนสิ ฉันจะได้สบายใจ”
“ก่อนอื่นนะ แกต้องคอยสังเกตว่าเวลาแกกับเขาเดินแยกกันแล้ว เขามองเงาสะท้อนของแกในกระจกรึเปล่า”
“เงาสะท้อนในกระจก”
“ใช่ เพราะถ้าเขาแอบมองแกผ่านทางนั้น ฟันธงได้ 80% เลย ว่าเขาแอบชอบแกแน่ ยิ่งถ้าเวลาต้องแยกกันนะ มันจะยิ่งหมายความว่าเขาไม่อยากแยกกับแกเลย”
นับดาวคิดตามวิธีของนุ้ย

นับดาวเดินเข้ามาในห้องซ้อมเต้น เห็นเป็นไทนั่งอ่านหนังสืออยู่ เธอก็มีพิรุธ ไม่ปกติ”
เป็นไททักทายเนือยๆ
“มาแล้วเหรอครับ”
นับดาวยิ้มๆ ท่าทางหลุกหลิก ไม่ปกติ แอบบ่น
‘ต้องสังเกตท่าทีอาลัยอาวรณ์จากเงาสะท้อน’
แล้วหันไปพูดกับคนอื่น
“ไปแล้วนะ”
คนอื่นๆในห้องต่างๆก็งงๆ ที่นับดาวเพิ่งมา แต่ทำท่าจะไปแล้ว แต่เป็นไทกลับอ่านหนังสือไม่สนใจ นับดาวจ้องเป็นไทจากกระจกในห้องซ้อมเต้น ไม่เห็นเขาเงยหน้าขึ้นมาเลย
“ไปจริงๆนะ”
เป็นไทก้มอ่านหนังสือไม่สนใจ”
นับดาวจ้องเป็นไทในกระจก
“หันมา หันมา หันมา”
แต่เป็นไทก็นิ่ง ไม่สนใจ นับดาวเซ็ง เดินออกไปจากห้อง พอนับดาวเดินออกไปจากห้อง เป็นไทก็ชะเง้อมองห่วงๆ
นับดาวเดินออกมาหน้าห้อง กระวนกระวาย
“ไม่สนใจเลย ไม่สนซักนิดเลยเหรอ ไม่ได้ต้องลองใหม่ อย่าเพิ่งสิ้นหวังสินับดาว”
นับดาวสูดหายใจเข้าปอดรวบรวมความกล้า เปิดประตูห้องเข้าไปอีกที ใจตรงกับเป็นไทที่เปิดออกมาเพื่อตามมาดูนับดาว ทั้งคู่ต่างก็ตกใจ
“อ้าว ยูกิ”
“แหะ แหะ กลับมาแล้ว”
“อ๋อ ครับ”
เป็นไทยิ้มเก้ๆกังๆ แล้วเดินออกไป
“อ้าว ไปซะแล้ว”
นับดาวเก้อ แอบตะโกนไล่หลังเป็นไทเบาๆ
“จะไปอีกแล้วนะ”
แต่เป็นไทก็ไม่หันมามอง นับดาวเซ็ง ขณะที่เป็นไทมายืนถอนหายใจหน้าห้องซ้อมเต้น
“ใจแข็งไว้เป็นไท อย่าใจอ่อนด้วยแววตาของเขา เขามีเจ้าของแล้ว”
เป็นไทเองก็ไม่สบายใจที่คอยห้ามใจตัวเองเช่นกัน

นับดาวซ้อมเต้นกับแดนเซอร์อยู่ในห้อง แต่เธอไม่ค่อยมีสมาธินัก เพราะเธอเอาแต่มองเงาสะท้อนของเป็นไทจากกระจก ซึ่งเป็นไทก็ดูไม่สนใจเธอเลย นับดาวน้อยใจ แล้วเธอก็นึกถึงสิ่งที่คุยกับวราพรรณ...
“แล้วมันมีวิธีอื่นอีกมั้ย แบบฉันอยากได้หลายๆอัน จะได้พิสูจน์ให้ชัวร์ๆ”
“โลภนะแกเนี่ย”
“น่า นะ บอกหน่อย”
“ถ้าวิธีแรกไม่ได้ผล ก็ต้องลองแกล้งว่าแกบาดเจ็บ หรือป่วย หรืออะไรก็ได้ที่ดูอ่อนแอเหลือเกิน แล้วดูว่าเขากระตือรือร้นที่จะมาดูแลแกมั้ย”
“พูดให้เป็นนามธรรมกว่านี้อีกนิดซิ”
“ก็เคยดูละครมั้ย ที่แบบนางเอกขาเจ็บ พระเอกจะต้องรีบเข้ามาช่วย เอาขึ้นหลังหรือนางเอกโดนมีดบาด พระเอกจะต้องมาดูดแผลให้ อะไรแบบนี้ คือเขาจะต้องเป็นห่วงแกออกนอกหน้ามาก เหมือนว่าสิ่งที่แกเป็นมันเรื่องใหญ่มาก อะไรเงี้ย”
“อืมมมม เข้าใจละ”
นับดาวคิดตามวิธีของวราพรรณ

นับดาวซ้อมเต้น คิดถึงสิ่งที่วราพรรณพูดเธอก็ยิ้มแล้วหัวเราะหึ หึออกมา เธอมองเงาสะท้อนของเป็นไทในกระจก แล้วก็แกล้งล้มคว่ำ
“โอ๊ย...”
คนในวงล้มกลิ้ง เป็นไทเห็นแว้บแรกก็ตกใจ รีบลุกจะมาช่วย แต่เขาก็คิดได้ ชะงัก
“เป็นอะไรมากรึเปล่ายูกิ”
คนในวงช่วยพยุงนับดาวลุกขึ้นนั่ง เป็นไทไม่เข้ามาใกล้ ตัวเธออารมณ์เสีย พยายามจะต่อเนื่องแผน
“ไม่เป็นไรค่ะ”
นับดาวทำเป็นลุกขึ้นมา แต่ก็ทำเซถลาไปชนโครมกับกระจก ล้มกลิ้ง ม้วนหน้าคนในวงก็ตกใจ เป็นไทก็มองงงๆ ตกใจเหมือนกัน แต่ก็ไม่เข้าไปช่วย คนในวงพยุงนับดาวขึ้นอีก
“แน่ใจนะครับว่าไม่เป็นไร” เป็นไทถาม
“ไม่เป็นไรค่ะ”
เลือดไหลออกจมูกนับดา เธอโกรธที่เป็นไทดูไม่เป็นห่วงเธอเลย จึงลุกยืนขึ้นอีก คราวนี้ทำถลาล้มไปทางที่เป็นไทยืนอยู่ เป็นไทตกใจหลบ นับดาวล้มกลิ้งไปอีก เป็นไทยืนมองแต่ไม่จับตัว แดนเซอร์ก็เข้าไปพยุงช่วยเธอ
“ยูกิ คุณไม่ได้เมาใช่มั้ย”
“เปล่า”
นับดาวนั่งกับพื้นเงยหน้าขึ้นมา มองเป็นไทด้วยความโมโหที่เขาไม่คิดจะช่วยเธอเลย
“ไปโรงพยาบาลมั้ย”
“ไม่เป็นไรค่ะ”

นับดาวพูดไปเลือดกลบปาก รู้สึกเซ็งที่ทุกอย่างไม่เป็นดังใจเธอเลย
ทีมแดนเซอร์ทยอยออกจากห้องซ้อมไป เป็นไทนั่งชะเง้อมองหานับดาว ที่ยังไม่ออกมาจากห้องแต่งตัวซักที แต่พอเห็นเธอเดินออกมา เขาก็ทำเป็นจดข้อมูลงานต่างๆ ลงในแฟ้ม ไม่ได้สนใจเธอ นับดาวเดินออกมายังเจ็บปากอยู่มาก เห็นเป็นไทยังนั่งอยู่ และไม่สนใจเธอเหมือนเดิม

นับดาวทำเป็นเดินเสียงดังเป็นการบอกว่าเธอมาแล้ว แต่เขาก็ไม่เงยหน้าขึ้นมา เธอทำเดินผ่านหน้า เขาก็ไม่สน เธอมองเขาอย่างเคืองๆ แล้วก็นึกย้อนไปถึงสิ่งที่เธอคุยกับวราพรรณก่อนหน้านี้
“แล้วมันมีวิธีอื่นอีกมั้ย”
“เฮ้ย 2 อันก็ชัวร์แล้วนะ ถ้าเขาไม่สนก็เลิกพิสูจน์อะไรได้แล้ว”
“ไม่เอาสิ สำรองเผื่อไว้อีกอันเถอะ เผื่อเหลือเผื่อขาด”
“เออ ก็ได้...ข้อสุดท้ายนะ แกต้องลองทำตัวมีปัญหา”
“ทำตัวมีปัญหา ติดยา อะไรแบบนี้น่ะเหรอ”
วราพรรณส่ายหน้า
“ไม่ใช่ ฉันหมายถึงว่าให้แกทำว่ามีเรื่องไม่สบายใจ ไปปรึกษาเขา แบบว่ามีเรื่องเครียดมาก ตัดสินใจไม่ได้ อยากให้ใครซักคนเข้าใจ”
“แล้วไงต่อวะ”
“ก็ถ้าเขาใส่ใจกับปัญหาของแก เป็นห่วงแก คอยถามไถ่แกนะ นั่นแหละ ฟันธงไปเลย”
นับดาวพยักหน้าเข้าใจ
“แล้วไอ้ปัญหาที่แกว่านี่ ต้องเป็นเรื่องยังไงวะ”
“อืม...แกเคยมีเรื่องกลุ้มใจอะไรบ้างล่ะ”
“ฉันเหรอ ก็...ซื้อหวยไม่เคยถูก ตกงานบ่อย ชอบมีเชื้อราขึ้นที่เท้า”
“พอเลยแก ฉันกลัวผู้ชายจะรังเกียจมากกว่าเป็นห่วงนะ”
นับดาวเหวอไป
“อ้าว”
“แกต้องปรึกษาเรื่องเพื่อน เรื่องงาน ไม่ก็เรื่องหัวใจเว้ย เอาให้มันดูดีเป็นคนมีแก่นสารหน่อย”
“อืม...อย่างนี้นี่เอง”
“แล้วตกลงใครวะ”
“เออ ฉันต้องรีบไปแล้วนะ ขอบใจมากเพื่อน”
นับดาวรีบวิ่งไป วราพรรณงงๆ
“อ้าว...ใช้ประโยชน์เสร็จแล้วก็ไปเลยนะ ฉันยังไม่รู้เลยว่าใคร”
วราพรรณเซ็งๆ

นับดาวมองไปที่เป็นไท แล้วกระแอมเสียงดัง
“วันนี้คุณไทดูยุ่งจังเลยนะคะ”
“ก็นิดหน่อยครับ”
“คือ...ฉันมีปัญหาหนักใจนิดหน่อยน่ะค่ะ อยากคุยกับใครซักคน”
“เหรอครับ ไม่โทรหาคุณไคคุงละครับ”
นับดาวเซ็ง
“เขาไม่เข้าใจฉันหรอกค่ะ”
“เรื่องอะไรเหรอครับ”
“เรื่อง...เอ่อ...เรื่อง...งานน่ะค่ะ”
“เอ่อ...ผมทำอะไรให้คุณลำบากใจรึเปล่าครับเนี่ย”
นับดาวคิดในใจ
‘ห่วงเราแล้ว’
“สิ่งที่ผมพูด หมายถึงว่าอยากให้เราทำงานด้วยกันอย่างสบายใจทั้งคู่ งานจะได้ออกมาดี”
นับดาวจ๋อย คิดในใจ
“อ้าว ก็นึกว่าห่วงเรา...ฉันก็อยากให้งานออกมาดีค่ะ”
“แล้วตกลงมีเรื่องอะไรครับ”
“เอ่อ...ฉันกลัวจะทำออกมาได้ไม่น่ะค่ะ เครียดมากเลย”
“นึกว่าเรื่องอะไร...อย่าไปกลัวสิ่งที่ยังมาไม่ถึงสิครับ”
นับดาวคิดในใจ
“นั่นแน่ ก็แอบห่วง”
“เดี๋ยวถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวกลับก่อนละกันนะครับ”
“อ้าว”
“ทำไมละครับ”
นับดาวไม่อยากให้ไป
“จริงๆ ก็มีปัญหาอื่นอีกค่ะ”
“ปัญหาอะไรครับ”
นับดาวนิ่งคิด ว่าจะสร้างเรื่องอะไรดี

ค่ำนั้น...สังวรณ์เดินเข้ามาในงานเลี้ยงรุ่นเล็กๆ ที่จัดงานแบบกันเอง คนยังมากันไม่หนาตานัก เขาทำหน้าเบ้ๆ ดูถูกคนอื่นๆในงาน แล้วเดินไปที่เวทีคุยกับเพื่อนที่เป็นคนจัดงาน
“งานเล็กๆแค่นี้จะจัดทำไมวะ”
“อ้าว สังวรณ์ มาพอดีเลยนะ”
“ช่วยเรียกให้ถูก ฉันเปลี่ยนชื่อเป็นซังวอนแล้วเว้ย”
“เออ จะชื่ออะไรก็เถอะ แต่แกต้องขึ้นกล่าวเปิดงานบนเวทีให้ด้วยนะ”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ฉันถนัดอยู่แล้ว แล้วอีกอย่างฉันก็เป็นคนที่ได้ดิบได้ดีที่สุดในรุ่นเรา”
เพื่อนหมั่นไส้
“เออ แกเก่ง”
สังวรณ์ยิ้มภูมิใจ
“แน่นอนอยู่แล้ว...ฉันขอดูสคริปต์งานหน่อย”
“สคริปต์อะไร ไม่มีหรอก งานมันเล็กๆ แกก็แค่ขึ้นไปกล่าวอะไรเล็กๆน้อยๆ แล้วก็ส่งให้นักร้องที่จะมาร้อง แค่นั้นพอ”
“นักร้อง เอาใครมาวะ น้องน้ำชา หรือ เฟย์ฟางแก้ว”
เพื่อนงงๆ
“น้ำชาอะไรของแกวะ”
“น้ำชาที่ร้อง” สังวรณ์ร้องพร้อมเต้น “รักแท้รักที่อะไร ตับไตไส้พุง หรือรักกางเกงที่นุ่งก็ดูสวยดี แบบนี้ไง”
เพื่อนมองสมเพช
“น้องน้ำชาเขาเป็นเด็กปัญญาอ่อนเหรอ ดูแกทำเข้า”
สังวรณ์ชะงักกึก
“อย่ามาว่าน้องน้ำชานะเว้ย แล้วนี่แกเอาใครมาร้องเพลงในงานวะ”
“คุณรจนา”
สังวรณ์ แปลกใจ
“รจนาไหนวะ”
“ก็รจนา นักร้องนำวงสุนทรีย์ภรณ์ไง”
สังวรณ์ตาเหลือก
“ห๊า...วงสุนทรีย์ภรณ์เนี่ยนะ นี่มันงานเลี้ยงรุ่นอาม่าที่สนามม้านางเลิ้งรึเปล่าเนี่ย”
สังวรณ์เซ็งมาก

รจนาแต่งตัวด้วยชุดราตรีสวย แต่งหน้าเต็ม สำรวจความเรียบร้อยของตัวเองหน้ากระจก รจนามองตัวเอง แล้วนึกย้อนถึงคำพูดของหมอ ที่ว่าห้ามเธอใช้เสียง เธอมองแผ่นเสียงเก่าๆของวงสุนทรีย์ภรณ์ของเธอ
“ฉันจะทำในสิ่งที่ฉันรัก”

เป็นไทค่อนข้างลำบากใจที่เขาต้องมาใกล้ชิดกับนับดาวอีก ทั้งที่เขาพยายามจะตีตัวออกห่าง คุยเฉพาะเรื่องงานเท่านั้น เขาลำบากใจยังไม่ออกจากรถ ส่วนนับดาวออกไปรอด้านนอกแล้ว
‘ห้ามใจไว้เป็นไท อย่าหวั่นไหวเด็ดขาด เขามีเจ้าของแล้ว เขาคงไม่มาสนใจคนอย่างเรา’
เป็นไทถอนหายใจรวบรวมความกล้าออกมาจากรถ...นับดาวหันมายิ้มให้ เป็นไทพยายามหลบตาไม่มอง
“ตกลงคุณมีปัญหาอะไรครับ”
“คือฉัน...”
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์เป็นไทดังขึ้น เขาขอตัวรับโทรศัพท์ นับดาวจะเล่า ก็เก้อไป
“เออว่าไง...จัดการได้เลยเรื่องนั้น...ถูก...เจ้าไหนมีปัญหา...ถ้างั้นก็เปลี่ยนเลย เพราะถ้ามีปัญหายิบย่อยแบบนี้คงมีเรื่อยๆแน่...ใช่...ตกลงตามนั้น...โอเค” เป็นไทกดวางสาย “โทษทีครับ ธุระเรื่องงาน เมื่อกี้คุณว่าอะไรนะครับ”
“ฉันจะบอกคุณว่า...”
โทรศัพท์เป็นไทดังขึ้นอีก เขาขอตัวรับ นับดาวจะเล่าๆ ก็เก้อไปอีกครั้ง
“เออ มีอะไรอีก...รถบรรทุกของโดนจับวิ่งนอกเวลา...แล้วใครให้ขนของตอนนี้เล่า...โทรหาองอาจเลย เรื่องตำรวจผมไม่ถนัด เออ โอเค...แค่นี้นะ” เป็นไทวางสาย “ขอโทษจริงๆครับ เดี๋ยวปิดเสียงเลย คราวนี้ไม่ด่วนไม่รับเลย” เขากดปิดเสียง “ว่าต่อได้เลยครับ”
นับดาวถอนหายใจ หันหลังให้เขา
“สิ่งที่ฉันจะพูดต่อไปนี้ ฉันคงพูดตอนมองหน้าคุณไม่ได้ เพราะฉันอายกับสิ่งที่ฉันทำลงไป จริงๆฉันก็ไม่อยากบอกคุณหรอก แต่ฉันคิดว่าฉันคงชอบคุณเข้าแล้ว ฉันเลยไม่อยากโกหกคุณอีก จริงๆแล้ว ฉันไม่ใช่ยูกิ”
เสียงเป็นไทดังขึ้น
“อะไรนะ”
“ใช่...ที่คุณได้ยินน่ะถูกแล้ว”
“องอาจปิดเครื่อง ได้ไงเนี่ย ก็รู้ๆกันอยู่ว่าช่วงนี้เรายุ่งๆ...”
นับดาวงงๆ หันหลังกลับไปดู เห็นเขากำลังคุยโทรศัพท์ เธอเสียอารมณ์มาก
“แล้วนี่อยู่โรงพักไหน...เออ เดี๋ยวรีบไปจัดการให้...แล้วก็พยายามโทรหาองอาจด้วยล่ะ มันมีเส้นสาย จะได้ง่ายขึ้น ...เออ แล้วเจอกัน” เป็นไทวางสาย มองนับดาวหน้าแหยๆ “พอดีโทรศัพท์มันสั่น จักกะจี๋หน้าขาเลยต้องรับ เมื่อกี้ถึงตอน ฉันคงพูดตอนมองหน้าคุณไม่ได้แล้ว แล้วไงต่อครับ”
นับดาวเซ็งมาก
“ไม่มีอะไรสำคัญหรอกค่ะ คุณไปช่วยลูกน้องที่โรงพักเถอะ”
เป็นไทอึ้ง
“รู้ด้วยเหรอ”
“รับโทรศัพท์ถี่ขนาดนี้ ไม่ได้ยินก็บ้าแล้ว”
นับดาวมองค้อน

สังวรณ์ยืนอยู่บนเวทีงานเลี้ยงรุ่น เขากล่าวเปิดงาน
“หลังจากที่เราจบมัธยมกันไป ก็ไม่ค่อยได้มีโอกาสมาพบปะสังสรรค์กันพร้อมหน้าแบบนี้ ถึงมันจะเป็นงานเลี้ยงรุ่นง่อยๆที่ผมไม่ค่อยอยากจะมาเท่าไหร่ แต่ด้วยเห็นแก่เพื่อนๆทุกคนที่ไม่ค่อยเจริญรุ่งเรืองกันเท่าไหร่ ผมก็เลยจำต้องมาเพื่อให้ทุกคนได้รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รู้จักกับ ซีซังวอน คนนี้ ถือเป็นโชคดีของทุกคนที่เราเคยเรียนมารุ่นเดียวกัน”
ผู้คนในงานมองงงๆ เหมือนรู้สึกถูกด่า
“เอาล่ะ...หลังจากคำกล่าวเปิดงานของผม เราก็จะมีเพลงมาให้ฟัง จากนักร้องแก่ๆ ที่ไม่ยอมคืนไมค์ คนจัดงานคงกลัวว่างานคืนนี้จะกร่อยไม่พอ เดี๋ยวขอเชิญคุณรจนาบนเวทีเลยครับ มาสัมภาษณ์กันหน่อย”
รจนาเดินขึ้นมาบนเวที มีความสุข ยิ้มให้ทุกคน ทุกคนปรบมือให้ แววตาเธอมีความสุขมากคิดถึงการร้องเพลงเหลือเกิน
“หายหน้าไปนานเลยนะครับ แก่กว่าที่คิดไว้อีก”
รจนายิ้ม
“ชมกันเกินไปค่ะ นี่ขนาดแต่งหน้าเต็มที่แล้วนะคะ ถ้ารองพื้นน้อยกว่านี้แก่กว่านี้อีกค่ะ”
คนหัวเราะกับสิ่งที่รจนาพูด สังวรถามต่อ
“หายไปจากจอทีวีเลยนะครับ”
“ไม่ค่อยรับงานออกสื่อค่ะ จะรับก็แต่งานอีเว้นท์ เพราะตั้งใจไปเรียนให้จบน่ะค่ะ พ่อแม่จะได้ภูมิใจ”
“รุ่นนี้พ่อแม่ยังอยู่อีกเหรอเนี่ย เออ...แล้วผมอยากจะบอกให้ทุกคนที่ไม่ได้ทำงานวงการบันเทิงเข้าใจนะครับว่า ถ้าดาราบอกว่ารับแต่งานอีเว้นท์ หมายถึงว่าไม่มีงาน รีบๆเรียกฉันไปเล่นหนัง เล่นละครเถอะ เงินจะหมดแล้ว”
รจนายิ้มรับ เหมือนไม่เข้าใจว่าสังวรณ์ด่า คนหัวเราะกับการปะทะคารมของสังวรกับรจนา

รถเป็นไทมาจอดหน้าบ้าน นับดาวยังงอนๆที่เขาไม่สนใจเธอเลย
“ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ ช่วงนี้งานยุ่งจริงๆ มีปัญหามาให้แก้ตลอดเวลาเลย”
“เอาเถอะค่ะ ฉันจะว่าอะไรได้ล่ะ”
“เออ มันมีจดหมายจากแฟนคลับของคุณเขียนมาที่บริษัท อยู่ด้านหลัง เดี๋ยวผมหยิบให้”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวฉันหยิบเอง”
เป็นไทกับนับดาวต่างใจตรงกันหันไปหยิบของที่เบาะหลัง ปากของเขาไปโดนแก้มของเธอพอดี ทั้งคู่ชะงักมองตากัน ต่างคนต่างอาย
“ขอโทษครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
นับดาวถอยออกมาไม่กล้าสบตาเขา เป็นไทยื่นไปหยิบปึกจดหมายจากด้านหลังรถมายื่นให้ นับดาวรับมาลงจากรถรีบวิ่งเข้าบ้านด้วยความอาย เป็นไทมองแล้วเผลอยิ้มออกมา
นับดาววิ่งเข้าบ้าน ปิดประตูด้วยความอาย แล้วเธอก็เอามือจับแก้ม แล้วเต้นบ้าบอมีความสุขมาก นับดาวสังเกตเห็นบ้านเงียบๆ เธอมองไปตามมุมต่างๆของบ้าน ไม่เห็นใครจึงเรียกหารจนา
“ย่า...ย่า...อยู่ไหนน่ะ”
นับดาวตะโกนหาย่าไปตามมุมต่างๆของบ้าน เธอเดินหาเข้ามาในห้อง แต่รจนาก็ไม่อยู่ เธอสังเกตเห็นว่าหน้ากระจกมีเครื่องสำอางวางระเกะระกะ ลิปติกถูกเปิดไว้ นับดาวหยิบดู สงสัยหันไปเห็นชุดราตรีหลายชุดวางเกลื่อนบนเตียง
“ย่าคงไม่...”
เธอเดินกลับมาหน้ากระจก เห็นสมุดคิวงานของรจนาวางอยู่ มีจดว่าวันนี้ไปงานเลี้ยงรุ่น
“นั่นไง ชัดเลย”
นับดาวรีบร้อนออกไป

บนเวทีรจนากำลังร้อเพลง “ด่วนพิศวาส” อยู่อย่างไพเราะ แววตาของเธอมีความสุขกับการได้ร้องเพลงมาก สังวรณ์เดินเข้ามายืนมอง
“อือหือ เพลง...กลัวคนจะสนุกมั้งเนี่ย”
สังวรส่ายหน้าให้กับเพลงลูกกรุงของรจนา

นับดาวออกมาริมถนนโบกแท็กซี่ แล้วก็โทรศัพท์ไปด้วย แท็กซี่จอด เธอขึ้นไปนั่ง ยื่นแผนที่ให้แท็กซี่
“ไปตามนี้เลยพี่”
นับดาวยังจดจ่อกับโทรศัพท์ที่โทรออก
“หมอเหรอ...ฉันนับดาวนะคะ...คนที่ย่าผ่าตัดเส้นเสียงน่ะค่ะ คือฉันอยากจะรู้ว่าถ้าสมมติว่าย่าฉันใช้เสียงก่อนเวลาที่กำหนดมันจะอันตรายแค่ไหนคะ...”
นับดาวร้อนใจ ฟังคำตอบหมอในแท็กซี่

รจนาร้องเพลงจบ พูดกับแขกในงานอยู่บนเวที
“ต้องขอโทษทุกท่านด้วยนะคะ ที่วันนี้อาจจะร้องไม่ค่อยเต็มเสียงนัก คือฉันเพิ่งผ่าตัดเส้นเสียงมา สาเหตุก็มาจากใช้เสียงมากจนเกินไป”
สังวรณ์ที่นั่งอยู่ด้านล่างวิจารณ์รจนา
“เอ้า...เข้าดราม่าอีก นอกจากไม่ชวนสนุกแล้ว ยังชวนกันเวทนาอีก มีอะไรน่าเบื่อกว่านี้อีกมั้ยเนี่ย”
สังวรเดินออกไปจากงาน...ขณะเดียวกันนั้นนับดาวเดินเข้ามาหน้างานเลี้ยงรุ่น เธอถามคนที่อยู่ด้านหน้า
“เอ่อคุณคะ ย่าฉัน...คุณรจนาน่ะค่ะ มาร้องเพลงที่งานนี้รึเปล่าคะ”
คนที่หน้างานชี้เข้าไปด้านใน
“ขอบคุณค่ะ”
นับดาววิ่งสวนเข้าไปด้านใน ชนกับสังวรณ์ สังวรณ์หันไปจะด่า แต่นับดาวกล่าวขอโทษทั้งที่ไม่หันหน้ากลับมา รีบวิ่งเข้าไปด้านใน
“ขอโทษนะคะ”
สังวรณ์บ่น
“อะไรของมัน ไร้มารยาทสิ้นดี”
สังวรณ์เดินต่อไป...นับดาวเข้ามาในงาน เห็นรจนากำลังพูดอยู่บนเวที เธอจะเดินเข้าไปห้าม เสียงรจนาดังขึ้นก่อน...
“พวกคุณรู้มั้ยคะว่าคนผ่าตัดเส้นเสียงต้องทำอะไรบ้าง ก็ทำทุกอย่างเหมือนปกติแหละค่ะ เพียงแต่ห้ามใช้เสียง จริงๆฉันไม่ควรจะมาร้องเพลงวันนี้หรอกค่ะ แต่ฉันก็ลองมาทบทวนดูแล้ว ฉันจะตายวันนี้ วันพรุ่งก็ไม่รู้ ถ้าวันนี้ฉันไม่ได้ทำในสิ่งที่มันทำให้ฉันมีความสุข ไม่ได้ทำในสิ่งที่ฉันฝัน ฉันคงเป็นคนแก่ที่ตายไปอย่างไร้ค่าที่สุด”
นับดาวได้ยินสิ่งที่ย่าพูดก็ชะงัก จากที่จะไปห้าม เธอก็ยืนนิ่ง ฟังย่าพูด
“ในเมื่อสิ่งแรกที่ฉันตื่นมาแล้วคิดถึงคือการร้องเพลง แล้วสิ่งสุดท้ายก่อนจะหลับตานอนฉันก็คิดถึงการร้องเพลง ฉันจะต้องไปสนใจอะไรอีก นี่คือความฝันของฉัน”
คนในงานปรบมือให้กับคำพูดของรจนา นับดาวมองย่าตัวเองด้วยรอยยิ้มที่ภูมิใจ

เวลาผ่านไป รจนาเดินออกมาจากงาน นับดาวยืนยิ้มรับ
“หนูมารับย่ากลับบ้านด้วยกัน”
รจนายิ้มให้หลานตัวเองบางๆ นับดาวจูงย่าของตนเดินออกไป ผู้คนต่างซุบซิบๆกัน
“หลานของคุณรจนาหน้าตาน่ารักมากเลยเนอะ”
“ใช่...สวยยังกับเป็นดาราเลย”
สังวรณ์เดินเข้ามาได้ยินพอดี หน้าหื่นทันที
“ใคร...ใครน่ารัก...ไหน”
“ก็หลานคุณรจนาที่พากันเดินออกไปทางโน้นไง”
สังวรณ์มองตามไป เขาเห็นนับดาวกำลังจูงรจนาออกไป แม้จะเห็นหน้านับดาวแค่แว้บเดียว แต่เขาก็ตกใจ เพราะมีส่วนคล้ายยูกิมาก
“คล้ายยูกิมาก”
สังวรณ์รีบวิ่งตามไป

สังวรณ์วิ่งตามนับดาวมาถึงริมถนน เห็นเธอกับรจนาพากันขึ้นแท็กซี่ออกไปพอดี สังวรณ์เจ็บใจที่ตามไม่ทัน
“หลานของอดีตนักร้องวงสุนทรีย์ภรณ์ เหรอ ชักเห็นอะไรสนุกๆแล้วสิ”
สังวรณ์มองตามอย่างสนใจ

เมื่อกลับมาถึงบ้าน รจนากับนับดาวนั่งคุยกันอยู่ในห้อง
“หนูไม่ว่าสิ่งที่ย่าทำไปวันนี้หรอกนะ แต่หนูแค่อยากจะบอกว่าหนูเป็นห่วง ไม่อยากให้ย่าหักโหมในการใช้เสียงเกินไป”
“ย่าก็จะไม่ว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่หรอกนะ ย่าแค่เป็นห่วง แต่เราก็โตแล้ว น่าจะรู้ว่าอะไรดี อะไรไม่ดี”
“ก็ย่าบอกเองไม่ใช่เหรอว่าเราควรจะทำตามฝัน หนูอยากเป็นดารา โอกาสมันมาถึงแล้วนะย่า”
“แต่สิ่งที่เราทำอยู่มันไม่ใช่การเป็นดารา แต่มันคือการเป็นคนอื่น”
นับดาวสลดลง
“หนูรู้ แต่ขอโอกาสได้สัมผัส ได้ชื่นชม กับสิ่งที่หนูใฝ่ฝันมาตลอดบ้างได้มั้ย แม้ว่าความจริงมันจะเป็นไปไม่ได้ แค่ความฝันชั่วครู่ชั่วยามก็ยังดี”

เป็นไทกับองอาจนอนอยู่บนเตียงด้วยกัน องอาจหลับกรนคร่อกๆ ส่วนเป็นไทเอามือก่ายหน้าผากนอนคิดเรื่องนับดาว เขานึกถึงภาพที่เขาบังเอิญหอมแก้มเธอในรถ เป็นไทกระวนกระวายใจ ถอนหายใจ หันไปมององอาจที่หลับไม่รู้เรื่อง เขาเอาเท้าถีบขาองอาจ
“องอาจ...องอาจ”
เป็นไทถีบแรงขึ้น แรงขึ้น เสียงดังขึ้น จนองอาจตื่น
“หืม”
“หลับยัง”
องอาจงัวเงียมาก
“หลับแล้ว”
“คนหลับจะตอบได้ไง”
องอาจงัวเงียมาก
“โห เล่นถีบขนาดนี้ใครไม่ตื่น นึกว่าสึนามิซัด”
“คุณเคยแอบชอบใครรึเปล่า”
เป็นไทถามในสิ่งที่อยากรู้...

นับดาวยังคงนั่งคุยกับรจนาอยู่ในห้อง รจนาถามอย่างเป็นห่วง
“แล้วมันมีความสุขมั้ย ไอ้สิ่งที่เราทำอยู่น่ะ”
“มันก็สุขๆทุกข์น่ะ แต่มันดีมากเลยนะย่า มีคนมาชอบเรา มาชื่นชมเราเต็มไปหมดเลย”
“เขาชื่นชมยูกิต่างหาก ไม่ใช่นับดาว เขาตะโกนเรียกชื่อเราออกมาซักคำมั้ย”
นับดาวส่ายหน้า
“มองเข้าไปในตาของคนที่คิดว่าเขาชื่นชมเราสิ เห็นเราอยู่ในนั้นมั้ย”
นับดาวส่ายหน้าอีก
“มันมีแต่คนชื่อยูกิใช่มั้ย ลองฟังเพลงที่เขาร้องสิ เขาพูดกับเรามั้ย”
“พอแล้วย่า แค่นี้หนูก็เศร้าจะแย่แล้ว”
“งั้นก็ลองคิดดีๆ ว่าควรจะทำต่อไปมั้ย”
“แต่หนูไม่รู้ว่ายูกิตัวจริงเขาอยู่ไหน ถ้าไม่มียูกิ งานคอนเสิร์ตก็ล่ม แล้วมันก็จะเต็มไปด้วยคนผิดหวัง”
“เราคิดจะทำเพื่อคนอื่นจริงๆเหรอนับดาว”
นับดาวนิ่ง ไม่ตอบอะไรย่า ได้แต่ก้มหน้าเงียบ

องอาจงัวเงียมาก เมื่อถูกเป็นไท ปลุกขึ้นมากลางดึก
“คุยตอนเช้าได้มั้ย ตอนนี้ไม่มีอารมณ์ชอบใครละ”
“ถ้าตอนเช้าก็คุยเรื่องลาออกเลยก็แล้วกัน”
องอาจงัวเงียมาก “ได้” นอนต่อ แล้วก็สะดุ้งขึ้นมา “ลาออก”
“หรือจะคุยเรื่องลาออกตอนนี้”
“โหยเจ้านาย ใช้อำนาจหน้าที่ในทางที่ผิดอีกแล้ว วันนี้ผมทำงานให้เจ้านายทั้งวันเลยนะ”
“ยังเหลือหน้าที่อีกอย่าง คือคุยกับผมตอนนี้ไง”
องอาจมองนาฬิกา บอกเวลาตีสอง
“นี่ผมทำงานออแกไนซ์หรือฝึกรด.กันแน่ ปลุกขึ้นมาไปขโมยธงตอนตีสอง สบายละ”
องอาจหน้าง่วงแต่ก็ต้องฝืนคุยกับเป็นไท

นับดาวนอนกลิ้งไปกลิ้งมา นอนไม่หลับ ในหัวเธอมีแต่ภาพเป็นไทที่ยิ้มให้ ภาพที่ล้มตอนเต้นแล้วเป็นไทมาประคอง ภาพเป็นไทเมินเฉยไม่สนใจตอนเธอมองผ่านกระจก ตอนเธอแกล้งล้มหน้าทิ่ม
“โอ๊ย...จะมัวคิดถึงเขาทำไมเนี่ย เขาจะชอบหรือไม่ชอบมันก็ไม่ใช่ตัวเธออยู่ดีนับดาว เขาเห็นแต่ยูกิ ยูกิ ยูกิ ยูกิ”
นับดาวมองจดหมายแฟนคลับ ที่เขียนจ่าหน้าซองถึงยูกิเป็นตั้งๆที่หัวเตียง เธอแกะมันอ่านฉบับหนึ่งเป็นลายมือของคนที่หัดเขียนภาษาญี่ปุ่นมาถึงยูกิ ตอนท้ายมีเขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า I Love Yuki นับดาวปิดมัน
“ฉันอ่านไม่ออก เพราะไม่ใช่ยูกิ”
นับดาวเอาหมอนปิดหน้าตัวเอง ไม่อยากยอมรับความจริง
“เธอไม่ใช่ยูกิ เธอไม่ใช่ยูกิ เธอไม่ใช่ยูกิ”

องอาจยังงัวเงียคุยกับเป็นไท
“คุณเคยแอบชอบใครมั้ย”
องอาจส่ายหน้า
“ไม่เคย”
เป็นไทจ้องอย่างไม่เชื่อ
“ทำไมไม่เคย ชีวิตนี้ไม่เคยแอบชอบใครซักครั้งเลยรึไง”
“ไม่ เพราะถ้าผมชอบใครผมก็บอกเลย ไม่เคยแอบซักครั้ง”
“บอกไปแล้วเคยสมหวังบ้างมั้ย”
“ถ้าเคยคงไม่มานอนกับผู้ชายอยู่อย่างนี้หรอกมั้งครับ”
“อ้าว แล้วบอกทำไม”
“แล้วจะเก็บไว้ทำไม ชีวิตคนไม่ใช่หนังเกาหลี แอบรักกันไป แอบรักกันมา กว่าจะรู้ก็เป็นโรคตายซะละ ไม่ว่าจะบอกช้าหรือเร็ว ถ้าเขาไม่ชอบ เราก็อกหักอยู่ดี แล้วเราจะยืดเวลาไปทำไม ชอบไม่ชอบว่ากันไป ไม่เอาเราจะได้ไปชอบคนอื่น”
“แล้วถ้าเขามีแฟนแล้วล่ะ”
“ไม่เห็นเกี่ยวเลย เราชอบเขา แล้วเราจะฆ่าแฟนเขามั้ย ก็เปล่า มันไม่เกี่ยวกัน”
“แต่มันไม่ผิดศีลธรรมเหรอ”
“ผิดอะไร เราไม่แย่ง เราแค่เพิ่มทางเลือกให้เขา เขาจะตัดสินใจยังไงมันก็เรื่องก็เขา ไม่ได้เกี่ยวกับเราเลย หน้าที่ของเราแค่แสดงเจตจำนงเท่านั้นเอง”
เป็นไทลังเล
“จะดีเหรอ บอกไปเลยเนี่ยนะ”
“ผมให้เวลาไปคิดเป็นการบ้านละกัน พรุ่งนี้เช้าเอามาส่งด้วยนะ”
องอาจล้มตัวลงนอนต่อ ไม่สนใจอีก เป็นไทหันไปอีกทีเห็นองอาจหลับแล้ว
“ทิ้งกันเลยนะ”
เป็นไทคิด แล้วเขาก็ถอนหายใจรวบรวมความกล้า
“เอาวะ เป็นไงเป็นกัน ดับเครื่องชน”
ขณะเดียวกันนั้น นับดาวที่ยังนอนไม่หลับเอาหมอนที่ปิดหน้าตัวเองออก ลุกขึ้นนั่ง ตัดสินใจเด็ดขาด
“พอแล้ว ฉันไม่อยากอยู่ใกล้คุณอีกแล้ว ยังไงมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่แล้วนี่”

นับดาวถอนหายใจ อย่างเซ็งๆ












Create Date : 12 มีนาคม 2555
Last Update : 12 มีนาคม 2555 0:18:36 น.
Counter : 256 Pageviews.

0 comment
ฉันรักเธอนะ ตอนที่ 5



วราพรรณสะพายกล้องแอบอยู่ข้างๆรถ ชะเง้อมองรอสังวรณ์ลงมา แพรวไพลินเอารถเข้ามาจอดเห็นท่าทางวรพรรณพิรุธ เธอเดินปรี่เข้าไปหา

“นี่เธอมาทำอะไรลับๆล่อๆน่ะ”
วราพรรณตกใจ หันไป แพรวไพลินโวยวาย
“จะขโมยรถใช่มั้ย”
วราพรรณสะดุ้ง
“เฮ้ย...ไม่ใช่นะ”
“แล้วมาทำอะไร ที่นี่มันเป็นที่ส่วนบุคคลนะ”
วราพรรณอึกอัก
“คือฉันมาหามุมถ่ายรูปสวยๆน่ะ ไม่รู้นี่หว่าว่าเป็นที่ส่วนบุคคล”
แพรวไพลินมองพินิจพิเคราะห์
“อ๋อ เธอน่ะคือทอมที่ควงยายยูกินี่นา”
วราพรรณหน้าตื่น
“ฉันไม่ใช่ทอม แล้วฉันก็ไม่เคยควงคนชื่อยูกิด้วย”
“อย่าเลย ฉันจำได้”
วราพรรณจำได้
“อ๋อ...ฉันจำได้แล้วเหมือนกัน คุณคือไฮโซไร้มารยาทที่เดินชนเพื่อนฉันคนนั้นนั่นเอง”
แพรวไพลินไม่พอใจ
“เธอกับยายยูกิน่ะสิไร้มารยาท”
“นี่ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่มีเพื่อนชื่อยูกิ”
“ก็ฉันเห็นอยู่ว่าเธอไปกับยูกิ”
“เพื่อนฉันชื่อนับดาว คนไทยแท้ๆเว้ย ไม่ใช่ยูกิบ้าบออะไรนั่น”
“โอ๊ย จะอะไรก็ช่างเถอะ ฉันไม่อยากเถียงกับเธอแล้ว ไร้สาระ”
แพรวไพลินเชิดใส่แล้วเดินไป วราพรรณไม่ชอบขี้หน้าแพรวไพลินเอาซะเลย ขณะที่แพรวไพลินไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่จากที่คุยกับวราพรรณ
“นับดาว...นับดาวได้ยังไง ก็เห็นๆอยู่ว่าคือยูกิ”
แพรวไพลินงงๆ แต่ก็พยายามไม่ใส่ใจ

สังวรณ์กับเป็นไท ยังเชือดเฉือนกันต่อหน้านับดาว
“ไปทานข้าวกับผมเถอะนะครับยูกิ คุยโน่นคุยนี่ สัมภาษณ์เรื่องโน้นนิดเรื่องนี้หน่อย”
เป็นไทไม่ยอม
“แต่คุณมีซ้อม เดี๋ยวทีมงานก็มากันแล้ว”
“มีอย่างที่ไหนให้ศิลปินมาก่อนทีมงาน นี่ทำงานแบบมืออาชีพกันเป็นรึเปล่าเนี่ย”
“แล้วคุณละครับ เป็นถึงเจ้าของหนังสือพิมพ์ นิตยสาร แถมยังมีบริษัทออแกไนซ์ แค่สัมภาษณ์ศิลปิน ไม่เห็นต้องลงมาทำเองเลย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไม่มีใครไว้ใจได้ หรือหวังประโยชน์อะไรกันแน่”
สังวรณ์ชักฉุน
“อ้าว...ถ้าจะขุดเรื่องส่วนตัวมาคุยกันแบบนี้ ท่าทางจะยาวนะ”
นับดาวเบื่อหน่ายมากรีบห้าม
“พอเถอะค่ะ”
“ทุกอย่างจะจบด้วยดีเลยครับ ถ้าคุณยูกิให้เกียรติไปทานข้าวกับผมซักมื้อ”
นับดาวอึกอัก
“เอ่อ...”
เป็นไทไม่ยอมรีบแย้ง
“มันไม่ใช่เรื่องจำเป็นที่คุณต้องทำเลยครับยูกิ ข่าวพีอาร์เรามีแจกอยู่แล้ว”
สังวรณ์หันไปอ้อนวอน
“ไปกินเถอะครับ จะได้มีแรงมาซ้อมเต้นต่อนะ”
เป็นไทพยายามห้าม
“อย่าไปเลย กินอิ่มๆมาเดี๋ยวจุกนะ”
สังวรณ์ คว้าข้อมือข้างนึงของนับดาวจะลากให้ไป
“ไปเถอะ”
เป็นไทคว้าข้อมืออีกข้างของนับดาวไว้
“อย่าไปเลย”
“ไป”
“อย่าไป”
สังวรณ์กับเป็นไทลากนับดาวไปมา ไปมา จนเธอทนไม่ไหวสะบัดมือ
“โอ๊ย...พอทั้งคู่นั่นแหละ”
แพรวไพลินเดินเข้ามาในห้องพอดี
“สวัสดีค่ะ ทำอะไรกันอยู่คะเนี่ย ท่าทางสนุกเชียว”
ทุกคนหันไปมองหน้าแพรวไพลินเป็นตาเดียว บอกเป็นนัยๆว่ามันไม่ได้สนุก แพรวไพลินเก้อๆรีบเปลี่ยนเรื่อง
“พี่ไทขา มาทานข้าวด้วยกันนะคะ”
เป็นไทมองแพรวไพลินเบื่อๆ ส่วนนับดาวมองเป็นไท แอบน้อยใจลึกๆ
“นี่แพรวตื่นแต่เช้ามาทำกับข้าวให้พี่ไทเองเลยนะ” แพรวไพลินหันมองสังวรณ์ “แล้วนี่ใครคะเนี่ย”
สังวรณ์ยิ้มด้วยท่าทีโอ่ๆ
“ผมซีซังวอน เจ้าของ โอ้วเทรดดิ่ง ครับ”
“อ๋อ ฉันเคยได้ฟังคุณพ่อพูดถึงคุณอยู่เหมือนกันค่ะ เพิ่งมีโอกาสได้เจอตัวจริง”
“เช่นกันครับ คุณแพรวไพลิน”
“แล้วนี่มาทำอะไรคะเนี่ย”
“ผมมารับคุณยูกิไปทานข้าวน่ะครับ”
“ก็พาไปสิคะ ไปเลย มัวทำอะไรอยู่ จะได้ไม่เป็นก้างขวางคอกันและกัน”
“ดีเลยครับ” สังวรณ์หันไปหานับดาว “ไปกันเถอะครับคุณยูกิ”
นับดาวมองเป็นไทอย่างน้อยใจ แล้วเธอก็พยักหน้ารับคำเชิญของสังวรณ์ แล้วเดินไปกับเขา เป็นไทก็ได้แต่มองยูกิอย่างเสียดาย

สังวรณ์กับนับดาวเดินออกมาด้วยกัน เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออกหาวราพรรณ
“พิราบกระโดดลงกะทะแล้ว ทอดได้เลย”
วราพรรณยิ้มพอใจคุยโค้ดกับสังวรณ์
“น้ำมันร้อน ลงมาพร้อมสุก”
นับดาวได้ยินเสียงงุบงิบๆของสังวรณ์ ก็สงสัย
“อะไรคะ พิราบทอด”
“อ๋อ คือมันเป็นเมนูเด็ดของร้านที่เราจะไปทานกันน่ะครับ ผมเลยโทรสั่งไว้ล่วงหน้า พอเราไปถึงกันจะได้ได้เลย”
“ฉันไม่ทานสัตว์ปีกหรอกค่ะ”
“ทำไมละครับ”
“ฉันกลัวบินไปไม่ถึงฝัน”
“สิ่งที่ยูกิมี ยังไม่ถึงฝันอีกเหรอครับเนี่ย”
“สำหรับฉันตอนนี้ ต้องเรียกว่าเกินฝันค่ะ”
“นั่นไง แล้วยังต้องใช้ปีกทำอะไรอีกละครับ”
“ก็ใช้บินกลับมาไงคะ”
“คุณยูกินี่ตลกจังเลยนะครับ”
นับดาวแอบบ่นคนเดียว
“ไม่ได้ตั้งใจจะพูดให้ขำซักหน่อย ซีเรียสนะเนี่ย”
นับดาวเดินมากับสังวรณ์ออกไปที่ลานจอดรถ วรพรรณที่ซุ่มอยู่ก็กดกล้องรัว เธอถ่ายปาปารัชชี่นับดาวกับ
สังวรณ์ ตามคำสั่งของเจ้านายอย่างเต็มที่ สังวรณ์พยายามทำมือโอบๆเพื่อให้ได้ภาพฉาว

นับดาวกับสังวรณ์ทานข้าวกันในร้านอาหาร วราพรรณแอบถ่ายรูปทั้งคู่ตลอดเวลา
“วันหลังถ้าจะสัมภาษณ์ โทรมาก็ได้นะคะ ไม่ต้องลำบากมาเอง”
“ตอนแรกผมก็ตั้งใจจะโทรแล้วละครับ แต่ว่า ผมว่าผมคงเมมเบอร์คุณไปผิด โทรหาเท่าไหร่ ก็ไปติดใครก็ไม่รู้ ผมคงต้องขอเบอร์ใหม่อีกครั้ง”
“ค่ะ”
สังวรณ์ทำท่าตักอาหารให้ เพื่อให้วราพรรณถ่ายรูปออกมาได้เรื่องราว

ทีมแดนเซอร์เริ่มทยอยเข้ามาเตรียมซ้อมเต้นกันแล้วส่วนเป็นไทนั่งหน้าเซ็งๆอยู่ มีแพรวไพลินตามประกบ
“ทานข้าวกันค่ะพี่ไท”
“พี่ขี้เกียจน่ะ”
“ก็รู้ว่าขี้เกียจไงคะ เลยทำเอามาให้ถึงที่นี่ไงคะ”
“พี่ขี้เกียจกินน่ะ”
“ขี้เกียจกินเดี๋ยวแพรวป้อนให้ค่ะ”
แพรวไพลินตักไปป้อนถึงปาก เป็นไทไม่กิน
“พี่ขี้เกียจเคี้ยว”
“ขี้เกียจเคี้ยว แพรวมีโจ๊กค่ะ กำลังร้อนๆเลย”
เป็นไทมองหน้าแพรวเบื่อๆ
“มันร้อน”
“งั้นเดี๋ยวแพรวเป่า”
“นี่แพรวไม่เข้าใจคำว่าขี้เกียจใช่มั้ย”
“แล้วพี่ไทจะเอายังไงคะ จะให้แพรวเอาสายยางมากรอกอาหารเหลวให้เลยมั้ย”
“คือพี่ไม่กิน เพราะพี่ไม่หิว แปลว่าไม่ว่าจะมีอะไรน่ากินหรือไม่น่ากิน พี่ก็ไม่เอา เข้าใจมั้ย”
“ไม่เข้าใจค่ะ แพรวก็เอาใจพี่ไทมากขนาดนี้แล้ว จะต้องให้แพรวทำยังไงคะ ถึงจะถูกใจพี่ไทซักที”
“ไม่ต้องทำอะไรเลยนั่นแหละดีที่สุด”
“แต่แพรวเป็นแฟน”
เป็นไทถอนหายใจ
“อยากทำอะไรก็ทำไป แต่อย่าให้มันก้าวก่ายกันมากนักก็แล้วกัน”
เป็นไทลุกขึ้นไปคุยงานกับแดนเซอร์ แพรวไพลินมองอย่างไม่สบอารมณ์

ยามาดะนอนหลับอยู่บนเปลญวณ ยูกิแอบเดินออกมาจากห้อง พอเธอเห็นเขา เธอก็หันไปมองเรือสปีดโบ้ตที่จอดอยู่หวังจะหนี ยูกิมองหากุญแจที่อยู่แถวนั้นแล้วค่อยๆย่อง ทำเสียงให้เบาที่สุดเพื่อจะค้นหา
“กุญแจเรืออยู่ไหนนะ”
ยูกิค่อยๆหาตามซอกตามชั้นต่างๆ ก็ไม่เจอ เธอเจอกล่องเหล็กเก่าๆ คาดหวังว่าจะมีกุญแจอยู่ในนั้น ยูกิกำลังจะเปิดมัน โดยไม่รู้ตัวว่ายามาดะตื่นแล้ว
“ทำอะไรน่ะ”
ยูกิสะดุ้งโหยง ยามาดะเห็นกล่องเหล็กของเขาอยู่ในมือของเธอ
“ส่งนั่นมาให้ผมเดี๋ยวนี้นะ”
ยูกินิ่ง ใจก็อยากเปิดดูข้างใน อีกใจก็กลัว
“บอกให้ส่งมาไง”
ยามาดะวิ่งเข้าไปยื้อกล่องเหล็ก ยูกิตัดสินใจจะไม่คืน
“ไม่ให้”
ยูกิ แย่งมันมาแล้ววิ่งหนี
“เอามานะ”
“มันมีค่ามากสินะ ถ้าอยากได้คืนนัก เอากุญแจเรือมาแลกสิ”
ยามาดะวิ่งไล่ตามจะเอากล่องคืน
“คุณน่ะมันคนไม่มีหัวใจ คุณไม่เข้าใจอะไรหรอก เอามันคืนมาให้ผมเถอะ”
“เอากุญแจเรือมาสิ”
“อยากให้ผมโมโหนักใช่มั้ย”
ยามาดะวิ่งไล่ ยูกิวิ่งหนีถือกล่องเหล็กไปด้วย แต่เขาก็วิ่งมาตะครุบเธอไว้ได้ แต่ก็ทำล้มคว่ำไปทั้งคู่ ยามาดะตะลึงเพราะเขาไม่เคยอยู่ใกล้ยูกิขนาดนี้ ใกล้จนได้กลิ่นหอมจากตัวของเธอ เขาสูดกลิ่นนั้นอย่างละมุนละไม แต่แล้วนึกได้ รีบลุกขึ้นมา ยูกิยังงงๆกับการล้มกลิ้งอยู่
“อย่าเที่ยวเอาความรู้สึกของใครมาเป็นข้อต่อรองอีก”
ยามาดะกระชากกล่องเหล็กออกจากมือยูกิที่ยังนั่งอยู่แล้วเดินไป แรงกระชากทำให้ฝากล่องเปิด ยามาดะยังไม่รู้ตัวของต่างๆที่อยู่ข้างใน ปลิวร่วงออกมา ลมทะเลทำให้สิ่งเหล่านั้นกระจายพริ้วไปกับสายลม สิ่งเหล่านั้นก็คือภาพแอบถ่ายของยูกิ ตั้งแต่มัธยม มาจนมหาลัย แล้วก็ภาพแอบถ่ายจากบ้านของเธอมากมาย รวมถึงกระดาษจดหมาย ผ้าเช็ดหน้า หรือของเล็กๆน้อยๆบางอย่างที่เธอเคยทิ้งไปแล้ว มันมารวมอยู่ในกล่องนี้มากมาย ยูกิเก็บรูปและของที่ใกล้ๆตัวขึ้นมาดู เธอตะลึงกับสิ่งที่เขาเก็บไว้ ยามาดะเพิ่งหันมาเห็นว่าของข้างในร่วงกราวเขารีบวิ่งตามไล่เก็บของอย่างร้อนรน พอเก็บเสร็จเขาก็ไม่กล้าสบตายูกิรีบวิ่งหนีไป ยูกิมอง ตอนนี้เธอชักอยากจะเข้าใจคนๆนี้ขึ้นมาแล้ว

สังวรณ์หยิบนิตยสารที่ลงการสัมภาษณ์ของนับดาวคราวที่แล้วออกมาให้ดู
“นี่เป็นคอลัมน์จากที่ผมสัมภาษณ์คุณครั้งที่แล้วครับ นี่ผมเขียนเองเลยนะครับ”
“เหรอคะ”
นับดาวรีบเปิดดูเห็นรูปตัวเองเบ้อเริ่มในเล่ม
“สวยจังเลย”
“แน่นอนสิ คุณยูกิสวยอยู่แล้วนี่ วันนี้วางแผงวันแรกด้วย คงขายดีน่าดู”
“ค่ะ”
นับดาวเปิดอ่านบทสัมภาษณ์ตัวเอง
“อุ๊ย...ตายแล้ว นี่ฉันให้สัมภาษณ์แบบนี้ออกไปเหรอเนี่ย ดูไม่ฮอตเลย”
สังวรณ์ ยิ้มๆ แต่ก็นึกอะไรขึ้นมาได้
“คุณยูกิอ่านภาษาไทยออกด้วยเหรอครับ”
“เอ่อ...ก็เหมือนว่าฉันจะเรียนมาตั้งแต่เด็กไม่ใช่เหรอคะ”
“แต่เท่าที่ผมอ่านสัมภาษณ์คุณมา คุณบอกว่าพูดไทยได้ แต่เขียนกับอ่านมันยาก ยังทำไม่ได้”
“อ้าว เหรอคะ นั่นคงบทสัมภาษณ์นานแล้วมั้งคะ ฉันก็พออ่านออกนะคะ แหะแหะ”
“เดือนที่แล้วเองครับ คุณคงไม่อ่านได้ภายในเดือนเดียวใช่มั้ย”
นับดาวยิ้มแหยๆ
“แหะ แหะ ก็พอเป็นนิดหน่อยค่ะ”
นับดาวหัวเราะแก้เก้อ ไม่รู้จะแก้ตัวยังไง สังวรณ์เริ่มสงสัยบางอย่างในตัวนับดาว

นับดาวลงจากรถสังวรณ์ โบกมือลา
“ขอบคุณนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
นับดาวเดินหันหลังจากรถสังวรณ์มา เธอหน้าเครียดทันที
“แย่แล้วจะสงสัยรึเปล่านะ”
นับดาวเดินออกไป วราพรรณเดินเข้ามาหาสังวรณ์ที่รถ
“เป็นไง ได้ภาพมั้ย”
“ได้เต็มเลยค่ะ”
“ดี พาดหัวแรงๆเลยนะ ยูกิแอบควงซังวอนเดทกลางกรุง อะไรก็ว่าไป”
วราพรรณชะงัก
“แบบนี้จะดีเหรอคะ”
“อะไรที่ฉันว่าดี มันก็ต้องดี”
“ค่ะ”
“เออนี่...ฉันมีเรื่องบางอย่างอยากให้เธอไปสืบ”
“เรื่องอะไรคะ”
“ฉันได้กลิ่นอะไรแปลกๆเกี่ยวกับเรื่องยูกิน่ะ ไม่รู้ไอ้เป็นไทมันเล่นตุกติกอะไร รึเปล่า”
“ทำไมละคะ”
“เอาเป็นว่า เธอไปสืบมาว่า อยู่ที่นี่มันมีคนติวภาษาไทยให้ยูกิมั้ย เช็คให้ละเอียดว่ายูกิทำอะไรที่เมืองไทยบ้าง”
“ได้ค่ะ”
“เรื่องนี้เป็นความลับมาก อย่าบอกใครแม้แต่คนเดียว เข้าใจมั้ย”
“เข้าใจค่ะ”
สังวรณ์มองตามนับดาวอย่างสงสัยบางอย่าง

นับดาวเดินขึ้นมาในห้องซ้อมเต้น เห็นแพรวไพลินนั่งประกบเป็นไทอยู่ เธอไม่อยากมอง ทำทีทักทายคนอื่นไป...ตลอดการซ้อมเต้นของนับดาว แพรวไพลินนั่งจุ๋งจิ๋งอยู่กับเป็นไทตลอด นับดาวเต้นเลอะเทอะ ท่าสาวบางโพนั้นโก้จริงๆ แด๊นซ์เซอร์เข้าใจว่าเป็นสเต็ปใหม่เลยเต้นตาม นับดาวเศร้าๆมองเป็นไท
“สาวบางโพนั้นโก้จริงๆ สาวบางโพนั้นโก้จริงๆ ห้า หก เจ็ด แปด ต่ะล่ะแล่ด แต๊ด แต๊ดแต่ด สาวฮอกไกโดนั้นโก้จริงๆ”
แด๊นเซอร์งง ก่อนเต้นตามพร้อมกัน
“สาวฮอกไกโดนั้นโก้จริงๆ ต่ะล่ะแล๊ดแต๊ดแต่ด”

ค่ำนั้น...นับดาวเดินลงมาที่ลานจอดรถคนเดียว เธอชะเง้อมองหารถเป็นไท
“รถไม่อยู่ กลับไปแล้วสินะ”
นับดาวเดินเหงาๆคนเดียวจะโบกแท็กซี่ แต่ทันใดนั้นรถเป็นไทก็มาจอดเทียบหน้า
“จะไปไหนครับ”
“ไม่เป็นไร ฉันกลับแท็กซี่ได้”
“ผมถามว่าจะไปไหน ไม่ได้ถามว่าเป็นไรรึเปล่า”
“คุณแพรวไพลินกลับไปแล้วเหรอ”
“ผมถามก็ตอบสิ ไม่ใช่ให้มาถามผม”
“ฉันยังไม่อยากกลับบ้าน”
“รถคันนี้ไม่เคยอยากส่งคุณกลับบ้านอยู่แล้ว”
นับดาวมองเป็นไทก่อนที่เธอจะตัดสินใจขึ้นรถของเขา
“ไปไหนดีครับ”
“มารับฉันแบบนี้ แฟนคุณไม่ว่าเอาเหรอ”
“ผมว่าเราอย่าพูดถึงคนอื่นเวลาเราอยู่กันสองคนดีมั้ย”
นับดาวถอนหายใจ เป็นไทถามอีก
“อยากไปไหนครับ”
“ไปที่มืดๆ เปลี่ยวๆ มีป่าละเมาะอยู่ใกล้ๆมั้ง ถามได้”
เป็นไทหันขวับไปมองหื่นๆ
“จะไปมั้ยล่ะ”
นับดาวสะดุ้ง
“ไม่ไป ไปหาอะไรกินแถวนี้ก็พอ”
“แหม นึกว่าอยากไปจริงๆ เปรี้ยวปากเลยนะเนี่ย”
เป็นไทยิ้มล้อๆ ทำเอานับดาวที่แอบน้อยใจเป็นไทเรื่องแพรวไพลินอยู่ก็ยิ้มออกมาได้

ถนนข้าวสารบรรยากาศคึกคักทั้งคนไทยและคนต่างชาติ เป็นไทพานับดาวมาเดิน
“คิดยังไงพาฉันมาที่นี่เนี่ย”
“คนต่างชาติส่วนใหญ่เค้าก็มาที่นี่กันทั้งนั้นแหละ”
นับดาวบ่นคนเดียว
“ถ้าไม่เคยมาขายผัดไทอยู่พักนึงก็คงน่าตื่นเต้นอยู่หรอก”
“ยูกิชอบมั้ยละครับ”
“ชอบสิคะ แหมได้เห็นฝรั่งเดินไปเดินมา น่าตื่นเต้นจะตาย” พูดไปอย่างนั้น แต่หน้าตาเบื่อมาก
“ผมละไม่แปลกใจเลยว่าชาวต่างชาติชอบที่นี่ ดูสิครับมีคนทุกไลฟ์สไตล์เลย”
“หึ หึ”
เป็นไทกับนับดาวเดินมาเจอชาวต่างชาติญี่ปุ่นกำลังหลงทาง จะถามทางอื่น
“อาโน...”
คนเดินผ่านไปมาไม่ในใจ เป็นไทมอง สงสาร
“นั่นคนญี่ปุ่นนี่ ยูกิไปช่วยเค้าหน่อยสิครับ”
นับดาวหันควับมามาองหน้าเป็นไท
“ฉันเนี่ยนะ”
“ก็คุณคนญี่ปุ่น น่าจะคุยกับเค้ารู้เรื่อง”
“แล้วรู้ได้ไงว่าเค้าเป็นคนญี่ปุ่น”
“ท่าทางแบบนั้น หน้าตางงแบบนั้น แถมพูดอาโน แบบนี้อีก ญี่ปุ่นแน่ๆ”
“เอ่อ”
“เอาน่า ไม่ต้องเกรงใจผมหรอก”
เป็นไทดันยูกิให้ไปช่วย นับดาวพยายามขืนตัว ไม่ไปตามแรงดันเป็นไท

ค่ำคืนนั้น...ยามาดะนั่งซึมอยู่ริมทะเล ยูกิเดินมาหาเขา พอเขาเห็นยูกิเดินมา เขาไม่กล้าสบตา จะลุกหนีไป
“เดี๋ยว”
ยามาดะหยุดตามเสียงเรียกแต่ไม่หันไปมอง
“ฉันเอานี่มาคืน”
ยูกิยื่นรูปรวมนักเรียนตอนม.ต้นที่มีเธอกับยามาดะอยู่ในนั้นด้วยกัน ยามาดะเห็นรูปรีบรับมา
“ยามาดะ เธอทำแบบนี้ทำไม”
ยามาดะสบตายูกิ ไม่ตอบอะไร เขาเดินออกไปกับความเงียบ กำรูปไว้ในมือแน่น

นับดาวยังอึกอัก เป็นไทยังดันให้เขาไปคุยกับคนญี่ปุ่น นับดาวหันไปเห็นร้านข้าวไข่เจียวข้างทาง
“ก็ได้ เดี๋ยวฉันไปช่วยเอง แต่คุณน่ะ ช่วยไปซื้อข้าวให้หน่อยได้มั้ย”
เป็นไทมองไปที่ร้านข้าวไข่เจียว
“ได้”
เป็นไทเดินแยกออกไป นับดาวโล่งอก เธอทำเดินเข้าไปหาคนญี่ปุ่น ขณะที่เป็นไทสั่งข้าวไข่เจียวที่ร้านรถเข็น
“ขอข้าวไข่เจียวที่นึง เอาแบบอร่อยที่สุดเลยนะครับ”
เป็นไทยิ้มให้คนขาย แล้วเขาก็มองไปที่นับดาว ที่กำลังคุยกับคนญี่ปุ่น ดูเป็นกันเองมาก สนุกสนาน

นับดาวกำลังคุยกับคนญี่ปุ่น
“พอจะรู้ทางไปภูเขาทองมั้ย”
เมื่อถูกถามเป็นภาษาญี่ปุ่น นับดาวสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนฟังรู้เรื่อง เป็นมิตร แต่พูดมั่ว
นับดาวยิ้ม
“พูดอะไรของแก ใครจะฟังรู้เรื่อง มาเมืองไทย พูดไทยสิ”
คนญี่ปุ่นงง
“คุณพูดอะไร ฉันฟังไม่รู้เรื่อง”
นับดาวยิ้ม
“พูดได้ไม่ยอมหยุดเลยนะ จะไปไหนก็ไปสิ ไปโน่น ไปทางโน้นเลยโน่น”
นับดาวชี้ไปเรื่อยเปื่อย คนญี่ปุ่นมองตาม
“ทางโน้นเหรอ อาริงาโตะโกไซมัส”
คนญี่ปุ่นเดินไป
“ไปไหนก็ไป ไปซักที”
นับดาวถอนหายใจโล่งอก เป็นไทถือข้าวไข่เจียวเดินเข้ามา
“เป็นไงบ้าง คุยกันยาวเชียว”
นับดาวเนียนๆว่าคุยรู้เรื่อง
“ก็คุยกันตามประสาคนชาติเดียวกัน บางทีเราก็เบื่อนะคะ ไปไหนก็มีแต่คนจำได้”
“ก็คุณเป็นซุปเปอร์สตาร์นี่น่า...เค้าคงชื่นชอบผลงานคุณสิครับ”
“ชอบมากเลย ชมแล้วชมอีก เราก็ไม่รู้จะบอกยังไง ว่าเพลงอัลบั้มนั้นแต่งตอนหลับนะ ถ้าแต่งตอนมีสติก็ไม่อยากจะบอกว่าจะดีขนาดไหน ไม่อยากให้เค้าคาดหวัง”
เป็นไทหัวเราะ ยื่นข้าวให้
“นี่ข้าวคุณครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
นับดาวรับมากินอย่างคนหิว ดูมูมมาม
“คุณนี่กินง่ายอยู่ง่ายนะครับ”
นับดาวยิ้มๆ เป็นไทมองนับดาวกินข้าวอย่างเอ็นดู

เป็นไทกับนับดาวเดินดูขอบบนถนนข้าวสาร หยิบมาลองบ้าง เอามาใส่ให้กันบ้าง ทั้งคู่สนิทกันมากขึ้น
เป็นไทมาจอดรถที่ดาดฟ้าแห่งหนึ่ง ทั้งคู่ดูนอนบนฝากระโปรงหน้าพิงเอนพิงกระจก แหงนมองดูดาว
“ผมชอบมาที่นี่ ตอนที่คิดงานไม่ออก”
“มาทำอะไรคะ”
“นับดาว”
นับดาวตกใจ หันขวับตามชื่อที่เรียก
“นับดาว...”
“ใช่ ฟังดูโง่ๆใช่มั้ย คนอะไรจะมานั่งนับดาวบนฟ้า ทั้งที่รู้ว่ามันไม่มีที่สิ้นสุด”
นับดาวเข้าใจ
“อ๋อ...นับดาวแบบนั้นนี่เอง”
“แล้วยูกิเข้าใจว่ายังไงละครับ”
“คือ งงภาษาไทยนิดหน่อย นึกว่าเป็นชื่อใคร อะไรแบบนั้น”
“ชื่อคนเหรอ” เป็นไทหัวเราะ”ใครจะไปชื่อนับดาวกัน ดูเลื่อนลอย ไม่มีอนาคตไม่มีที่สิ้นสุด งก็ไม่รู้”
นับดาวโกรธแต่เก็บอารมณ์ไว้
“นั่นสินะ ใครจะใช้ชื่อนั้น ดูโง่ๆเนอะ”
“มาก”
นับดาวสะดุ้ง
“ยังจะย้ำอีก ฉันว่าเราเปลี่ยนเรื่องพูดกันดีกว่า”
“รู้มั้ย ผมเคยนับดาวได้มากที่สุดในท้องฟ้าคือเท่าไหร่”
“สามพัน”
“เจ็ด”
“เจ็บพัน”
“เจ็ดดวง นับแค่ดาวลูกไก่ว่ามี 7 ดวงจริงรึเปล่าก็พอแล้ว”
“โธ่ ก็นึกว่าจะเยอะ”
“ผมไม่สนใจหรอกว่าดาวบนฟ้ามีเยอะแค่ไหน แค่ดวงที่ผมสนใจไม่หายไปก็พอ”
นับดาวมองเป็นไท เธอเริ่มรู้สึกแปลกเมื่อได้อยู่ใกล้ๆผู้ชายคนนี้

นับดาวนอนดูหนังสือซุบซิบบันเทิงวางอยู่บนเตียง เป็นภาพปาปารัชชี่ตอนที่ยูกิกับเป็นไทถูกแอบถ่าย
“วันนี้คุณพูดชื่อฉันตั้ง 4 ครั้งแน่ะคุณไท...มันคงดีถ้านับดาวคนนี้เป็นดาวที่คุณสนใจบ้าง”
นับดาวมองภาพเป็นไทในหนังสือ เหม่อลอย

สายของวันรุ่งขึ้น...รจนานั่งดูทีวีอยู่ นับดาวเดินเอาดอกไม้ใส่ขวด ที่เก็บมาได้จากทะเลแทนแจกัน ถือมาให้รจนา
“ย่า เอาของมาฝาก”
รจนาทำเชิด
“ดูอะไรอยู่น่ะ”
รจนาทำไม่สนใจ แล้วรายการที่นับดาวสัมภาษณ์กับสังวรณ์ก็ออกอากาศพอดี นับดาวเห็น
“เฮ้ย...ได้ดูพอดีเลย” นับดาวชี้ทีวี “นี่ไงย่า หนู หนูได้ออกทีวีแล้วเห็นมั้ย”
รจนาดูทีวี เห็นสังวรณ์สัมภาษณ์ก็เรียกยูกิ...ยูกิ...
“ฝันหนูได้เป็นจริงแล้วไง ที่ย่าบอกว่าหนูทำไม่ได้น่ะ”
รจนาฝืนพูดออกมา เค้นเสียงออกจากลำคอเบาๆ
“นั่นมันคนอื่น ไม่ใช่หลานฉัน”
รจนาพูดจบก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไป นับดาวได้แต่มองตามย่าไป
“ย่า หมอเค้าห้ามพูดนะ”

รจนาไม่มีปฏิกริยาโต้ตอบ นับดาวถอนหายใจเห็นด้วยกับคำพูดของย่า นั่นไม่ใช่ตัวเธอจริงๆ
ถนนข้าวสารบรรยากาศคึกคักทั้งคนไทยและคนต่างชาติ เป็นไทพานับดาวมาเดิน

“คิดยังไงพาฉันมาที่นี่เนี่ย”
“คนต่างชาติส่วนใหญ่เค้าก็มาที่นี่กันทั้งนั้นแหละ”
นับดาวบ่นคนเดียว
“ถ้าไม่เคยมาขายผัดไทอยู่พักนึงก็คงน่าตื่นเต้นอยู่หรอก”
“ยูกิชอบมั้ยละครับ”
“ชอบสิคะ แหมได้เห็นฝรั่งเดินไปเดินมา น่าตื่นเต้นจะตาย” พูดไปอย่างนั้น แต่หน้าตาเบื่อมาก
“ผมละไม่แปลกใจเลยว่าชาวต่างชาติชอบที่นี่ ดูสิครับมีคนทุกไลฟ์สไตล์เลย”
“หึ หึ”
เป็นไทกับนับดาวเดินมาเจอชาวต่างชาติญี่ปุ่นกำลังหลงทาง จะถามทางอื่น
“อาโน...”
คนเดินผ่านไปมาไม่ในใจ เป็นไทมอง สงสาร
“นั่นคนญี่ปุ่นนี่ ยูกิไปช่วยเค้าหน่อยสิครับ”
นับดาวหันควับมามาองหน้าเป็นไท
“ฉันเนี่ยนะ”
“ก็คุณคนญี่ปุ่น น่าจะคุยกับเค้ารู้เรื่อง”
“แล้วรู้ได้ไงว่าเค้าเป็นคนญี่ปุ่น”
“ท่าทางแบบนั้น หน้าตางงแบบนั้น แถมพูดอาโน แบบนี้อีก ญี่ปุ่นแน่ๆ”
“เอ่อ”
“เอาน่า ไม่ต้องเกรงใจผมหรอก”
เป็นไทดันยูกิให้ไปช่วย นับดาวพยายามขืนตัว ไม่ไปตามแรงดันเป็นไท

ค่ำคืนนั้น...ยามาดะนั่งซึมอยู่ริมทะเล ยูกิเดินมาหาเขา พอเขาเห็นยูกิเดินมา เขาไม่กล้าสบตา จะลุกหนีไป
“เดี๋ยว”
ยามาดะหยุดตามเสียงเรียกแต่ไม่หันไปมอง
“ฉันเอานี่มาคืน”
ยูกิยื่นรูปรวมนักเรียนตอนม.ต้นที่มีเธอกับยามาดะอยู่ในนั้นด้วยกัน ยามาดะเห็นรูปรีบรับมา
“ยามาดะ เธอทำแบบนี้ทำไม”
ยามาดะสบตายูกิ ไม่ตอบอะไร เขาเดินออกไปกับความเงียบ กำรูปไว้ในมือแน่น

นับดาวยังอึกอัก เป็นไทยังดันให้เขาไปคุยกับคนญี่ปุ่น นับดาวหันไปเห็นร้านข้าวไข่เจียวข้างทาง
“ก็ได้ เดี๋ยวฉันไปช่วยเอง แต่คุณน่ะ ช่วยไปซื้อข้าวให้หน่อยได้มั้ย”
เป็นไทมองไปที่ร้านข้าวไข่เจียว
“ได้”
เป็นไทเดินแยกออกไป นับดาวโล่งอก เธอทำเดินเข้าไปหาคนญี่ปุ่น ขณะที่เป็นไทสั่งข้าวไข่เจียวที่ร้านรถเข็น
“ขอข้าวไข่เจียวที่นึง เอาแบบอร่อยที่สุดเลยนะครับ”
เป็นไทยิ้มให้คนขาย แล้วเขาก็มองไปที่นับดาว ที่กำลังคุยกับคนญี่ปุ่น ดูเป็นกันเองมาก สนุกสนาน

นับดาวกำลังคุยกับคนญี่ปุ่น
“พอจะรู้ทางไปภูเขาทองมั้ย”
เมื่อถูกถามเป็นภาษาญี่ปุ่น นับดาวสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนฟังรู้เรื่อง เป็นมิตร แต่พูดมั่ว
นับดาวยิ้ม
“พูดอะไรของแก ใครจะฟังรู้เรื่อง มาเมืองไทย พูดไทยสิ”
คนญี่ปุ่นงง
“คุณพูดอะไร ฉันฟังไม่รู้เรื่อง”
นับดาวยิ้ม
“พูดได้ไม่ยอมหยุดเลยนะ จะไปไหนก็ไปสิ ไปโน่น ไปทางโน้นเลยโน่น”
นับดาวชี้ไปเรื่อยเปื่อย คนญี่ปุ่นมองตาม
“ทางโน้นเหรอ อาริงาโตะโกไซมัส”
คนญี่ปุ่นเดินไป
“ไปไหนก็ไป ไปซักที”
นับดาวถอนหายใจโล่งอก เป็นไทถือข้าวไข่เจียวเดินเข้ามา
“เป็นไงบ้าง คุยกันยาวเชียว”
นับดาวเนียนๆว่าคุยรู้เรื่อง
“ก็คุยกันตามประสาคนชาติเดียวกัน บางทีเราก็เบื่อนะคะ ไปไหนก็มีแต่คนจำได้”
“ก็คุณเป็นซุปเปอร์สตาร์นี่น่า...เค้าคงชื่นชอบผลงานคุณสิครับ”
“ชอบมากเลย ชมแล้วชมอีก เราก็ไม่รู้จะบอกยังไง ว่าเพลงอัลบั้มนั้นแต่งตอนหลับนะ ถ้าแต่งตอนมีสติก็ไม่อยากจะบอกว่าจะดีขนาดไหน ไม่อยากให้เค้าคาดหวัง”
เป็นไทหัวเราะ ยื่นข้าวให้
“นี่ข้าวคุณครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
นับดาวรับมากินอย่างคนหิว ดูมูมมาม
“คุณนี่กินง่ายอยู่ง่ายนะครับ”
นับดาวยิ้มๆ เป็นไทมองนับดาวกินข้าวอย่างเอ็นดู

เป็นไทกับนับดาวเดินดูขอบบนถนนข้าวสาร หยิบมาลองบ้าง เอามาใส่ให้กันบ้าง ทั้งคู่สนิทกันมากขึ้น
เป็นไทมาจอดรถที่ดาดฟ้าแห่งหนึ่ง ทั้งคู่ดูนอนบนฝากระโปรงหน้าพิงเอนพิงกระจก แหงนมองดูดาว
“ผมชอบมาที่นี่ ตอนที่คิดงานไม่ออก”
“มาทำอะไรคะ”
“นับดาว”
นับดาวตกใจ หันขวับตามชื่อที่เรียก
“นับดาว...”
“ใช่ ฟังดูโง่ๆใช่มั้ย คนอะไรจะมานั่งนับดาวบนฟ้า ทั้งที่รู้ว่ามันไม่มีที่สิ้นสุด”
นับดาวเข้าใจ
“อ๋อ...นับดาวแบบนั้นนี่เอง”
“แล้วยูกิเข้าใจว่ายังไงละครับ”
“คือ งงภาษาไทยนิดหน่อย นึกว่าเป็นชื่อใคร อะไรแบบนั้น”
“ชื่อคนเหรอ” เป็นไทหัวเราะ”ใครจะไปชื่อนับดาวกัน ดูเลื่อนลอย ไม่มีอนาคตไม่มีที่สิ้นสุด งก็ไม่รู้”
นับดาวโกรธแต่เก็บอารมณ์ไว้
“นั่นสินะ ใครจะใช้ชื่อนั้น ดูโง่ๆเนอะ”
“มาก”
นับดาวสะดุ้ง
“ยังจะย้ำอีก ฉันว่าเราเปลี่ยนเรื่องพูดกันดีกว่า”
“รู้มั้ย ผมเคยนับดาวได้มากที่สุดในท้องฟ้าคือเท่าไหร่”
“สามพัน”
“เจ็ด”
“เจ็บพัน”
“เจ็ดดวง นับแค่ดาวลูกไก่ว่ามี 7 ดวงจริงรึเปล่าก็พอแล้ว”
“โธ่ ก็นึกว่าจะเยอะ”
“ผมไม่สนใจหรอกว่าดาวบนฟ้ามีเยอะแค่ไหน แค่ดวงที่ผมสนใจไม่หายไปก็พอ”
นับดาวมองเป็นไท เธอเริ่มรู้สึกแปลกเมื่อได้อยู่ใกล้ๆผู้ชายคนนี้

นับดาวนอนดูหนังสือซุบซิบบันเทิงวางอยู่บนเตียง เป็นภาพปาปารัชชี่ตอนที่ยูกิกับเป็นไทถูกแอบถ่าย
“วันนี้คุณพูดชื่อฉันตั้ง 4 ครั้งแน่ะคุณไท...มันคงดีถ้านับดาวคนนี้เป็นดาวที่คุณสนใจบ้าง”
นับดาวมองภาพเป็นไทในหนังสือ เหม่อลอย

สายของวันรุ่งขึ้น...รจนานั่งดูทีวีอยู่ นับดาวเดินเอาดอกไม้ใส่ขวด ที่เก็บมาได้จากทะเลแทนแจกัน ถือมาให้รจนา
“ย่า เอาของมาฝาก”
รจนาทำเชิด
“ดูอะไรอยู่น่ะ”
รจนาทำไม่สนใจ แล้วรายการที่นับดาวสัมภาษณ์กับสังวรณ์ก็ออกอากาศพอดี นับดาวเห็น
“เฮ้ย...ได้ดูพอดีเลย” นับดาวชี้ทีวี “นี่ไงย่า หนู หนูได้ออกทีวีแล้วเห็นมั้ย”
รจนาดูทีวี เห็นสังวรณ์สัมภาษณ์ก็เรียกยูกิ...ยูกิ...
“ฝันหนูได้เป็นจริงแล้วไง ที่ย่าบอกว่าหนูทำไม่ได้น่ะ”
รจนาฝืนพูดออกมา เค้นเสียงออกจากลำคอเบาๆ
“นั่นมันคนอื่น ไม่ใช่หลานฉัน”
รจนาพูดจบก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไป นับดาวได้แต่มองตามย่าไป
“ย่า หมอเค้าห้ามพูดนะ”
รจนาไม่มีปฏิกริยาโต้ตอบ นับดาวถอนหายใจเห็นด้วยกับคำพูดของย่า นั่นไม่ใช่ตัวเธอจริงๆ

สายๆของวันใหม่ นับดาวมาที่ห้องซ้อม ขณะที่เธอกำลังวอร์มร่างกาย เป็นไทกับองอาจเดินเข้ามา
“ไฮ...ยูกิ”เป็นไทยยิ้มให้
“สวัสดีค่ะ”
“ซ้อมวันนี้เป็นไงบ้าง”
“ก็สนุกดีค่ะ”
“คือวันนี้ผมจะมาแจ้งตารางงานกับยูกินะครับ” องอาจหยิบตารางงานมาดู
“คือเราตั้งใจว่าจะเริ่มทำการพีอาร์ ตามรายการต่างๆแล้ว”
“ออกทีวีเหรอคะ เอาสิ เอาสิ ฉันชอบ” นับดาวบอกอย่างตื่นเต้น
องอาจพยักหน้ารับ
“โดยจะมีรายการแรก จะเป็นรายการที่จะต้องไปโชว์ความสามาถพิเศษด้วยน่ะครับ”
“ความสามารถพิเศษ...ถ้าไม่มีละคะ ฉันเป็นคนไม่มีความสามารถพิเศษเลยค่ะ”
องอาจงง
“พูดเป็นเล่น ผมอ่านในหนังสือคุณทำเป็นตั้งหลายอย่าง ทั้งเล่นเปียโน เป่าฟรุ๊ท”
นับดาวกลัว
“ไม่เอานะ ของพวกนั้นฉันไม่ทำหรอก”
“ทำไมละครับ”
“เอ่อคือ...มันธรรมดาไปน่ะ เล่นดนตรี ใครก็เล่นได้ทั้งนั้น”
“แล้วคุณยูกิอยากทำอะไรละครับ”
“ชงชาเป็นไง ผมเคยอ่านสัมภาษณ์คุณ คุณเป็นแชมป์ชงชาระดับจังหวัดของเกาะฮอกไกโดเลย”
“แชมป์ชงชา”
นับดาวงง งง ไม่รู้คืออะไร

เย็นวันนั้น ดาวเดินหน้าเบ้มาที่ห้างสรรพสินค้า ครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องการชงชา
“ชงชา ทำไมต้องมีพิธีด้วย ก็ชงๆกินๆก็จบ แล้วเราจะไปรู้ได้ไงล่ะว่าทำยังไง”
นับดาวเดินผ่านหน้าร้านชาชัก คนขายกำลังสาวชาอย่างเมามัน นับดาวเดินผ่านไปแล้วแต่ก็คิดได้ ชะงักแล้วหันควับกลับมา เหมือนคิดอะไรออก นับดาวยิ้มออกมา รีบตรงไปที่ร้านชาชัก ระหว่างนั้นเป็นไทโทรมา เธอจึงโทรศัพท์ไปด้วย ขอเจ้าของร้านฝึกการรินชาแบบชาชัก
“ไม่ต้องค่ะไม่ต้อง เดี๋ยวฉันเตรียมอุปกรณ์ชงชาไปเองค่ะ ของแบบนี้มันต้องใช้อุปกรณ์ที่คุ้นมือหน่อย...ได้ค่ะ ไม่ต้องห่วง ฉันเตรียมไปทันถ่ายรายการแน่ๆ...แค่นี้ก่อนนะคะ”
นับดาวเอามือหยิบโทรศัพท์ออกวางหันมา คราวนี้เธอสาวชาชักใหญ่ เธอหันไปถามเจ้าของร้านชาชัก
“แบบนี้ใช้ได้มั้ยคะ”
เจ้าของร้านพยักหน้า กับท่าทางชักชาของนับดาวที่เริ่มคล่องแล้ว

ค่ำคืนนั้น...นับดาวนอนก่ายหน้าผากคิดเรื่องยูกิ อยู่ๆวราพรรณก็เปิดประตูพรวดเข้ามา นับดาวสะดุ้ง
“เฮ้ย...แกมาได้ไงเนี่ย"
“ก็เซ็งๆไงเลยแวะมา”
“นี่แกเข้านอกออกในบ้านฉันได้ทุกเวลาขนาดนี้เลยเหรอ”
วราพรรณค้อน
“ทำเป็นโลกส่วนตัวไปได้”
“แล้วนี่มีอะไรล่ะ”
“เซ็งว่ะ เบื่องาน”
“แกเนี่ยนะเบื่องาน ก็เห็นชอบเป็นนักข่าวจะตายไม่ใช่เหรอ”
“ก็ชอบอยู่หรอก แต่ไม่ชอบเขียนข่าวโกหก เจ้านายฉันน่ะ...ชอบให้นั่งเทียนโน่นนั่นนี่ กลัวบาปว่ะ”
“ก็ย้ายไปทำที่อื่นสิ แกมีประสบการณ์หลายปี ที่อื่นเค้าก็น่าจะรับนะ”
วราพรรณถอนใจ
“แกไม่รู้อะไร เจ้านายท่าจะไว้ใจฉันมากเว้ย เค้าบอกว่าจะเลื่อนตำแหน่งให้ฉันด้วย ล่าสุดนะให้ฉันไปตามสืบ...” วราพรรณอึ้งไป นึกขึ้นมาได้ว่าสังวรณ์บอกให้เก็บเป็นความลับแว้บมา
“สืบอะไร”
“ไม่มีอะไรหรอก” วราพรรณหันไปเห็นข้าวของชงชาของนับดาว “นี่แกจะแข็นรถเข็นขายกาแฟเหรอ”
“เปล่า อุปกรณ์ชงชา”
“ชงชาอะไรของแกวะ”
“ช่างฉันเถอะน่า”
วราพรรณหยิบอุปกรณ์ต่างๆมาพินิจพิเคราะห์ดู
“แน่เลย อาชีพใหม่แกนี่คือคนขายกาแฟแน่เลย”
“ไม่รู้สักเรื่องจะได้มั้ยเนี่ย”
นับดาวพยายามไม่สนใจวราพรรณ

วันต่อมา วราพรรณมาติดต่อฝ่ายประชาสัมพันธ์ตรงด้านหน้า บริษัทเป็นไท เธอบอกจุดประสงค์ให้เจ้าหน้าที่รู้
“ฉันจะมาขอข้อมูลยูกิเกี่ยวกับคอนเสิร์ตที่จะจัดขึ้น ไปทำสกู๊ปพิเศษ ไม่ทราบว่าต้องติดต่อที่ไหน”
“ถ้าเป็นเรื่องนี้ตอนนี้คงยังไม่สะดวกค่ะ ต้องรอแถลงข่าวก่อน”
“แล้วถ้าเป็นคิวงานทั้งหมด ของยูกิตลอดเวลาที่อยู่ในประเทศไทยล่ะ”
“อันนี้ก็ไม่ได้เหมือนกัน เพราะมีแต่คุณเป็นไทเจ้าของบริษัท กับคุณองอาจโปรดิวเซอร์เท่านั้นที่รู้”
“งั้นขอคุยกับคุณองอาจหน่อยได้มั้ย”
เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ไม่ทันตอบ ก็ได้ยินเสียงองอาจดังมาจากด้านหลังเสียก่อน
“เธอเป็นใครถึงจะขอดูคิวงานยูกิ”
วราพรรณหันไปเห็นองอาจเดินเข้ามา ทั้งสองจำกันไม่ได้ วราพรรณตอบมั่วๆ แก้ตัวไปเรื่อย
“เอ่อ ฉัน...ฉันเป็นแฟนคลับ จะเอาไปลงเว็บไซด์ยูกิ”
“ผมคงให้คุณไม่ได้” องอาจจ้องๆคุ้นหน้า “ว่าแต่เราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า ผมรู้สึกคุ้นๆหน้าคุณ”
วราพรรณกวนใส่
“ฉันมันคนหน้าโหล จริง ๆ แล้วฉันเป็นนักข่าว จะเอาไปทำสกู๊ปพิเศษ”
“สำนักพิมพ์ไหน แล้วมีบัตรนักข่าวหรือเปล่า”
วราพรรณบ่นกับตัวเอง
“เรื่องมากอย่างนี้สงสัยเป็นเกย์แหงๆ”
“ว่าอะไรนะ”
วราพรรณยิ้มหวาน
“ฉันเป็นนักข่าวอิสระไม่มีสังกัดค่า”
“ผมจำคุณได้แล้ว คุณมันยัยทอมร้านเช่าชุดสูทนั่นเอง”
วราพรรณจ้องหน้า...
“นี่นายเองเหรอ”
“วันก่อนด่าผม ผมยังไม่ได้คิดบัญชี เชิญคุณออกไปจากที่นี่ดีกว่า ก่อนที่ผมจะเรียกรปภ.มาจับตัวคุณออกไป”
“นี่ขู่เหรอ นายมีสิทธิ์อะไรมาไล่ฉัน”
“สิทธิ์อะไรไม่รู้ รู้แต่ว่าทำได้”
องอาจหันไปเรียกรปภ. วราพรรณหันไปเห็นรปภ.ท่าทางขึงขังวิ่งตรงมาที่ตนก็ตนใจ
“ฝากไว้ก่อนเถอะ”
วราพรรณยิงฟันใส่องอาจ องอาจยิงฟันกลับ วราพรรณเดินออกไปอย่างไม่สบอารมณ์

วราพรรณเดินมานั่งตรงขอบฟุตปาธ อย่างไม่พอใจ
“ป่านนี้แล้วยังไม่ได้ข้อมูลยูกิ ถ้าหัวหน้ารู้ ฉันตายแน่”
ทันใดนั้นก็มีรถตู้มาจอด ทีมงานชายวิ่งเข้ามาเปิดประตูรถ ล่ามหญิงเดินลงมา พร้อมกระเป๋าถือ และหอบหนังสือญี่ปุ่นหอบใหญ่
“สวัสดีครับ พี่ปุ๊ ล่ามญี่ปุ่นของคุณยูกิใช่มั้ยครับ”
“ยูก” วราพรรณได้ยินชื่อยูกิก็มีความหวังขึ้นมา
ทีมงานจะพาล่ามเข้าไป ในสตูดิโอ แต่ว่าล่ามทำหนังสือหอบใหญ่ หล่นพื้นกระจาย วราพรรณรีบวิ่งเข้าไปช่วยเก็บ หนังสือทำทีตีสนิททันที
“หล่นหมดเลย ช่วยเก็บนะพี่...”

วราพรรณทำเนียน หอบหนังสือ เดินตามล่ามญี่ปุ่น กับทีมงานเข้ามาในบริเวณสตูดิโอมุมหนึ่ง
“พี่ปุ๊รอตรงนี้ก่อนนะครับ...”
วราพรรณวางหนังสือลงให้
“พี่จะรับอะไร ชา กาแฟ โอวัลติน น้ำแดง น้ำปั่น โอเลี้ยง เก๊กฮวย จับเลี้ยง...ไม่มีนะ...”
“อ้าว!”
ทีมงาน กับล่ามร้องออกมาพร้อมกัน
“แล้วจะพูดทำไม”
วราพรรณยิ้ม
“ล้อเล่น ๆ แหม ก็ไม่อยากให้พี่เครียดกันน่ะ เห็นพี่ปุ๊เป็นล่ามให้คุณยูกิ แบบนี้ต้องงานหนักแน่เลย เพราะพี่เป็นคนเดียวที่คุยกับคุณยูกิรู้เรื่องที่สุดใช่มั้ยล่ะ”
ล่ามส่ายหน้า
“ไม่ใช่”
“อ้าว!”
“ไม่ได้พูดญี่ปุ่นซักคำเลยด้วย”
วราพรรณงง
“เฮ้ย อะไรกัน แล้วคุยกันรู้เรื่องได้ยังไงล่ะพี่...”
“โอ๊ยก็คุยภาษาไทยนี่แหละ รายนั้นเค้าพูดภาษไทยเก่งจะตาย ถ้าไม่บอกนึกว่าเป็นคนไทย นี่พี่ก็มาสวยๆ ตามที่บริษัทแม่เขาจ้างไว้แสตนบายเท่านั้นแหละ”
ทีมงานหญิงเดินเข้ามาบอกทีมงานชาย
“พี่ฟู่คะ ไปบรีฟสคริป์ให้คุณยูกิฟังด้วยนะคะ”
ทีมงานชายกับล่ามเดินไป วราพรรณทำท่าเดินตามไปด้วยเนียนๆ”
“ฉันไปด้วย”
แต่ทีมงานหญิงขยับเข้ามาขวางหน้าไว้
“หญิง เข้าไม่ได้นะคะ”
“ฉันมากับพี่ปุ๊...”
“เป็นผู้ติดตามก็เข้าไม่ได้ค่ะ เชิญรอข้างนอกนะคะ”
ทีมงานหญิงหันเดินไป วราพรรณเซ็ง
“โธ่ เอ๊ย ทำไงดีเนี้ย”
วราพรรณนึกๆ แล้วนึกได้ หันไปตะโกนบอกทีมงานหญิง
“นี่รู้จักโปรดิวเซอร์ชื่อองอาจหรือเปล่าล่ะ!! ฉันเป็นแฟนเขานะ!!”
ทีมงานหญิง หันมามองหน้าวราพรรณด้วยความอึ้งสงสัย

นับดาวแต่งหน้า แต่งตัวเรียบร้อย เป็นไทเดินเข้ามาคุยด้วย
“ตื่นเต้นมั้ยครับ”
“ก็นิดหน่อยค่ะ กลัวพลาด”
“ไม่ต้องกลัวครับ ถ้าพลาดก็เทคได้”
“นั่นสินะ แต่ยังไงฉันก็อยากโชว์ฝีมือให้เต็มที่ สมกับที่ฉันเป็นแชมป์ชงชาจากฮอกไกโด”
“ผมน่ะ ชอบพิธีชงชาแบบญี่ปุ่นมานานแล้ว ไม่คิดว่าจะได้เห็นของจริงซักที มันเป็นศิลปะที่งดงามมาก แล้วยิ่งเป็นยูกิทำด้วย”
“ก็ชมกันเกินไป ฉันก็ไม่ได้เก่งอะไรมากมายหรอกค่ะ”
“ผมขอเป็นหนึ่งคนที่ได้ลองชิมชาของคุณนะครับ”
นับดาวเขิน
“ถ้างั้นฉันจะทำสุดฝีมือเลยค่ะ”
นับดาวเขิน เดินออกไป เป็นไทมองตามยิ้มๆ

วราพรรณเดินเข้าไปในสตูโออัดรายการ เห็นองอาจยืนคุยกับทีมงานทางด้านหลัง ไม่เห็นหน้า ทีมงานอื่นเข้าไปบอกบอกองอาจ
“พี่องอาจฮะ ...ทุกอย่างพร้อมแล้วนะฮะ...”
วราพรรณทำหน้าดีใจจะเข้าไปหา
“คุณองอาจ!!”
แต่พอองอาจหันมา วราพรรณเห็นหน้าว่าเป็นคนที่เคยทะเลาะกันเลย เหวอ องอาจยังไม่เห็นวราพรรณ
“เออ งั้น ไปบอกให้ยูกิสแตนด์บายรอได้เลย”
วราพรรณ เซ็ง
“อี เอ๊ย ไอ้องอาจ ที่แท้แกก็เป็นอีตาโปรดิวเซอร์เกย์นี่เอง”
องอาจหันจะเดินออกมา วราพรรณรีบคว้าถุงข้าวกล่องทีมงานยกขึ้นบังหน้า พอองอาจเดินพ้นไป วราพรรณค่อยถอนใจโล่งอก...แล้วทำหน้ายี้ใส่
“แหวะ ถ้าไม่สืบเรื่องยูกิ ฉันไม่มีทางเสียปากบอกเป็นแฟนแกหรอก เกย์เฒ่า แอ๊บแมน”
องอาจที่กำลัง เดินไป จามเสียงดังลั่นขึ้นมา
“ฮัดชิ้วววว ฮึยย ใครนินทาวะ...”
องอาจหันกลับไปมองทาง วราพรรณ อย่างไม่ได้ตั้งใจ วราพรรณสะดุ้งปิดปากตัวเอง รีบหันหน้าหนี แล้วรีบหยิบถุงข้าวขึ้นมาทำท่าจะหิ้วไปแจกทีมงาน อย่างเนียนๆ ดเสียงหญิงเล็กแหลม
“ข้าว...ข้าวมาแล้วค้า ทุกคน”
กล่องข้าวกล่องหนึ่ง หล่นลง องอาจมองเห็น รีบเข้าไปหยิบแล้วตาม เข้าไปหาวราพรรณ
“นี่น้อง ข้าวหล่น”
วราพรรณหน้าตื่น รีบเดินหนีอย่างเร็วไม่ยอมหันกลับไปรับกล่องข้าว

องอาจรีบวิ่งตาม ยื่นกล่องข้าวให้แต่วราพรรณไม่รับ องอาจ เลยวิ่งขึ้นไปแซง ดักหน้า
“น้อง ข้าวๆ เฮ้ยย น้องไม่ได้ยินเหรอ”
วราพรรณที่ก้มหน้าก้มตา วิ่งไม่ทันมองว่า องอาจไปดักหน้าแล้ว ก็เลย ชนเข้ากับองอาจเข้าอย่างจัง องอาจล้มหงายหลังลงไปกับพื้น วราพรรณล้มตามลงไปคร่อมตัวไว้ ...
ทั้งสองมองหน้ากันตะลึง เหมือนมีเคมีบางอย่างที่ต้องกัน วราพรรณมองตาองอาจแล้วรู้สึกเขิน รีบเบือนหน้าหนี กอดองอาจหลับหูหลับตาร้องลั่น
“อ๊าย ไอ้โรคจิต วิตถาร ปล่อยฉันนะ ปล่อยๆๆ”
“อ๊อยย ยายบ้า!! เธอแหละกอดฉัน”
วราพรรณชะงัก มองดูตัวเอง กอดองอาจอยู่จริงๆด้วย องอาจขำๆแซวยิ้มๆ
“ยายทอมกลับใจ จะปล้ำข่มขืนฉันเหรอ”
วราพรรณทั้งเขิน ทั้งเสียหน้า รีบสะบัดลุกขึ้นมา โวยต่อ
“ทุเรศ!...เรื่องอะไรฉันจะไปลวนลามอีแอบโรคจิตอย่างนายให้เสียเวลา...”
องอาจลุกตามขึ้นมา
“นี่เธอ ...พูดอย่างนี้หมายความว่าไง เธอว่าใครเป็นเกย์ฮ้า”
“ก็นายน่ะสิ เป็นเกย์ความจำเสื่อมเหรอไง ถึงไม่รู้ว่าตัวเองเป็นน่ะ”
วราพรรณหันจะเดินออกไป องอาจคว้าแขนดึงไว้
“เดี๋ยว!! ยายทอมปากกรรไกร นึกจะด่าแล้วเดินหนีไปง่ายๆเหรอ”
“ทำไม นายจะทำอะไรฉัน”
“จับส่งตำรวจ”
“เฮ้ย แค่ฉันว่านายเป็นเกย์เนี่ยนะ”
“ฉันไม่ปัญญาอ่อนอย่างเธอหรอก...”
“แล้วมาจับทำไมล่ะ ปล่อยฉันนะ”
วราพรรณ พยายามจะดึงมือออก
“ไม่ปล่อย”
องอาจดึงมือไว้ไม่ปล่อย
“ตอนแรกเธอบอกเป็นแฟนคลับ ต่อมาเป็นนักข่าว ตอนนี้ก็เป็นเด็กส่งข้าวอีก ใครส่งเธอมา มีเป้าหมายอะไรไม่ทราบ”
“บอกให้โง่เหรอ”
“งั้นก็ไปโรงพัก”
“ไม่ไปโว้ย!!”วราพรรณตวาดลั่นแล้ว ต่อยองอาจเข้าหน้า
“อ๊อยยย”
องอาจผงะ ร้องเจ็บ วราพรรณรีบวิ่งหนีออกไปเลย
“เฮ้ย! ยายทอมใจทมิฬ จะหนีไปไหน”
องอาจวิ่งตามไป วราพรรณวิ่งเลี้ยวผ่านมุมตึกมาหยุดหันรีหันขวางจะไปไหนดี เห็นประตูห้องหนึ่งรีบเปิดเข้าไปแอบ องอาจวิ่งผ่านมุมตึกมาหยุดหันรีหันขวางมองไม่เห็นใคร
“เผลอแป๊บเดียว หายไปไหนแล้ว”
วราพรรณที่แอบอยู่ในห้องตัดต่อถอนหายใจ
“เกือบไปแล้ว”
วราพรรณหันมาเห็นเจ้าหน้าที่ห้องตัดต่อมองหน้างง ๆ วราพรรณยิ้มแหย ๆ
“ห้องน้ำไปทางไหนคะ”

วราพรรณโผล่หน้าออกประตูมาหันซ้ายหันขวาไม่เห็นองอาจ ค่อย ๆ หันหลังปิดประตู
ทำท่าจะเดินออกไป แต่องอาจก็ย้อนกลับมาเสียก่อน วราพรรณรีบผลุบกลับไปในห้องตัดต่อเหมือนเดิม ยิ้มแหย ๆ กับทุกคน
“คือฉันขออยู่ในห้องนี้แป๊บนึง คือว่า...โอ๊ย หน้ามืด เป็นลม”
วราพรรณแกล้งเป็นลมล้มลง เจ้าหน้าที่ห้องตัดต่อเห็นรีบเข้ามาดูอย่างเป็นห่วง
ด้านนอก องอาจเดินบ่นมาอย่างไม่สบอารมณ์
“อย่าให้เจอนะ ได้เห็นดีกันแน่”

องอาจเดินผ่านห้องตัดต่อก็นึกเอะใจขึ้นมา หันไปมอง












Create Date : 12 มีนาคม 2555
Last Update : 12 มีนาคม 2555 0:17:00 น.
Counter : 468 Pageviews.

1 comment
ฉันรักเธอนะ ตอนที่ 4 (ต่อ)



ค่ำนั้น...นับดาวแอบตามหลืบชั้นต่างๆของอาหารสัตว์ แอบฟังซีซีคุยกับเจ้าของร้าน

“ตกลงเป็นยังไง”
“จัดการเรียบร้อยแล้วค่ะ”
“แค่นี้ ก็ต้องให้ฉันโทรมาเร่ง”
เจ้าของร้านหันไปบอกเด็กในร้าน
“คุณซีซีมาแล้ว พาออกมาหน่อยเร็ว”
นับดาวแอบมองอย่างใจจดใจจ่อ พึมพำเบาๆ
“ถ้าเธอออกมาเมื่อไหร่ ฉันจะรีบเข้าชาร์ท แล้วก็พาเธอหนีออกไปให้เร็วที่สุดเลยยูกิ”
เสียงทุกอย่างเงียบ สักครู่มีเสียงฝีเท้าหลังประตูดังกึกก้อง มันเข้ามาใกล้เรื่อยๆนับดาวลุ้น รอจังหวะ แล้วเงาที่หลังประตูก็โผล่มายืน นับดาวเตรียมออกสตาร์ท ประตูเปิดออกมา นับดาววิ่งออกตัวเต็มแรง แต่ก็ต้องเบรคแทบไม่ทัน ชนข้าวของระเนระนาด แต่เธอก็เข้าไปหลบทันพอดี เมื่อเห็นว่าสิ่งที่พามาไม่ใช่ยูกิ แต่เป็นหมาตัวหนึ่ง เสียงโครมครามทำเอาทุกคนในร้านหันไปมองแต่ไม่เห็นใคร นับดาวส่งเสียงกลบเกลื่อน
“เมี้ยว”
เจ้าของร้านมองๆ
“สงสัยเจ้าธงชัย แมวที่ร้านน่ะค่ะ”
ซีซีเข้าไปอุ้มหมา
“ไงลูก อาบน้ำแล้วตัวหอมฟุ้งเลยนะ...แล้วนี่ตกลงได้ขังกรงแยกรึเปล่า ไม่ใช่ว่าเอาหมาฉันไปติดหมัดติดเห็บใครมาหรอกนะ”
“พิเศษสำหรับคุณเลยค่ะ”
“ก็ดี” ซีซีหันไปพูดกับหมา “กลับบ้านกันนะลูกนะ ไปกันเถอะ”
ซีซีอุ้มหมาเดินออกจากร้านไป นับดาวได้แต่มองตามเซ็งๆ

นับดาวเดินเซ็งๆเข้ามาในห้อง รจนากำลังฟังเพลงตัวเองจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงของเธออยู่ แต่พอเธอเห็นหลานสาวเข้ามา เธอก็ทำไม่สนใจ
“ย่ากินยาครบรึยัง”
รจนาลอยหน้าลอยตาไม่สนใจ
“ย่างอนอะไรเนี่ย”
รจนาเขียนใส่สมุดว่า
“ฉันไม่ใช่ย่าเธอไม่ใช่เหรอ”
นับดาว ถอนใจ
“โธ่...นึกว่าเรื่องอะไร หนูก็พูดไปงั้นแหละ ตามน้ำไป”
รจนาเขียนใส่สมุดอีก
“เด็กขี้โกหก”
นับดาวอ่านแล้วมองหน้าย่าเศร้าๆ
“ใช่...หนูมันขี้โกหกจริงแหละ”
นับดาวเดินเศร้าๆออกไปจากห้อง รจนาอดห่วงหลานสาวตัวเองไม่ได้

นับดาวเข้ามาในห้องอย่างเซ็งๆ
“ยูกิ...เธอกลับมาทวงตำแหน่งเธอไปซักทีสิ ฉันไม่อยากหลอกตัวเองจนเชื่อว่าฉันคือเธอจริงๆในวันหนึ่ง”
นับดาวทิ้งตัวนั่งบนเตียง เธอไปนั่งทับเอาขวดแก้วที่เธอได้จากชาวประมงจึงหยิบมันขึ้นมาส่องดูจดหมายที่พับไว้ข้างใน แล้วก็เปิดเศษผ้าที่อุดจุกออก แล้วพยายามเอาจดหมายออกมา เธอค่อยๆเอานิ้วคีบจดหมายออกจากขวดโหล
ช่วงเวลานั้น ยูกิหลับตาสวดภาวนาขอพร
“ขอให้จดหมายที่ฉันส่ง ได้ไปถึงมือคนใจดีซักคน แล้วให้เขาส่งคนมาช่วยฉันด้วยเถิด ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่อีกแล้ว”
ยูกิลืมตาขึ้นมา แววตาของเธอไม่เคยคลายความหวังเลย

นับดาวค่อยๆเปิดอ่านจดหมายฉบับนั้นอย่างตั้งใจ พอจดหมายถูกคลี่ออกเธอก็ต้องตาโต ตกใจถึงขนาดเอามือปิดปากตัวเอง
“มันจะเป็นไปได้ยังไง...จดหมายนี่ จดหมาย...”
แต่จากความตื่นเต้นก็ต้องเหี่ยวลงทันที เพราะจดหมายนั่นจริงๆเขียนเป็นภาษาญี่ปุ่น เธออ่านไม่ออก
“แบบนี้ ใครจะไปอ่านออกวะ นี่ลอยมาจากประเทศจีนมั้งเนี่ย มาไกลน่าดู”
นับดาววางจดหมายไว้บนโต๊ะ ไม่สนใจ มาสนใจขวดแทน
“ไปซื้อดอกไม้มาใส่ไว้ง้อย่าดีกว่า”
จดหมายถูกวางบนโต๊ะอย่างนั้น เธอหันไปทำอย่างอื่นแทน

ยามาดะเปิดประตูเข้ามาในห้อง เห็นยูกิกำลังขอพรอยู่
“ขอพรจากดวงดาวให้มีคนมาช่วยรึไง ไม่เลื่อนลอยไปหน่อยเหรอ”
“ฉันทำในสิ่งที่ฉันทำได้”
“ก็ดี...ดีกว่านอนร้องไห้ ส่งเสียงน่ารำคาญ”
“ฉันร้องไห้ก็ดีกว่าคุณที่เมาหัวราน้ำแล้วก็มาระรานคนอื่น”
“ผมระรานใคร”
“ก็เมื่อคืนคุณเข้ามาโวยวายเล่าเรื่องอะไรสมัยเรียน เรื่องยากูซ่าอะไรก็ไม่รู้”
ยามาดะตกใจ
“ผมเล่าให้คุณฟังหมดแล้ว”
“ก็ใช่น่ะสิ เรื่องตัดนิ้วอะไรนั่นด้วย”
“ห๊ะ ผมกล้าพูดความลับของผมออกไปแบบนั้นเลยเหรอ” ยามาดะทำตัวไม่ถูก “ไม่จริงหรอก ผมไม่ใช่คนแบบนั้น”
“ไม่เชื่อก็ลองถามมาสิ”
ยามาดะมองหน้าแล้วถาม
“โรงเรียน”
“ถูกไล่ออก”
“งาน”
“ลูกเรือประมง ก่อนไปเป็นยากูซ่า แล้วถูกตัดนิ้ว”
“ไม่จริง...คุณรู้เรื่องผมหมดแล้ว...ไม่”
ยามาดะทำตัวไม่ถูกรีบวิ่งออกไปหน้าห้อง ยูกิงง
“นั่นเขาเป็นอะไรของเขาน่ะ”
ยามาดะวิ่งออกมานอกห้อง ยังทำใจไม่ได้
“ความลับที่เก็บไว้มาเกือบสิบปี วันนี้เธอรู้แล้ว แล้วจะทำยังไงต่อไป ไม่...”
อาการทำใจไม่ได้ของยามาดะนั้น สุดแสนจะเพี้ยน

ซีซีหยิบเอเชี่ยนฮิตหน้าปกยูกิขึ้นมา เธอฉีกมันออกเป็นชิ้นๆ แล้วก็เอาน้ำมันเครื่องราด
“โฆษณาน้ำมันเครื่องเหรอ...นี่ไงน้ำมันเครื่อง ขนาดแกหายตัวไปตั้งนานขนาดนี้ งานก็ยังไม่เข้ามาถึงฉันอีก นี่มันอะไรกัน จะต้องให้ฉันตามไปฆ่าแกถึงที่เลยรึไง จะบอกให้ ฉันจะไม่ยอมโฆษณาน้ำมันเครื่องนี่หรอก”
ซีซีโกรธมาก

สายๆของวันใหม่ กองถ่ายโฆษณาถ่ายทำกันอยู่ริมถนน ในฉาก ซีซีเห็นเพื่อนรถมอเตอร์ไซค์ดับจึงเดินเข้ามาถาม แต่เธอหน้าตาเบื่อมาก ไม่อยากเล่น
“รถเป็นอะไรน่ะ”
“สตาร์ทไม่ติดน่ะสิ”
“ทำไมไม่ใช้น้ำมันเครื่องดีๆล่ะ ลองนี่ซิ” ซีซีหยิบน้ำมันเครื่องขึ้นมา “น้ำมันเครื่องซีโฟร์ เครื่องใหม่กิ๊ก สตาร์ทติดง่าย”
ทันใดนั้นผู้กำกับก็ตะโกนขึ้น
“คัท...ดีมาก”
ซีซีงงหันไปมองผู้กำกับตกใจว่าดีมากได้ไง เธอเล่นซังกะตายอย่างกับอะไร
“ดีมาก มันเอาทีมงานที่ไหนมาทำงานเนี่ย เล่นเบื่อโลกแบบนั้นน่ะนะดีมาก...โอ๊ย นี่ฉันตกต่ำขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย”
ซีซีเซ็งสุดๆ

องอาจกับเป็นไท พานับดาวมาที่ห้องซ้อมเต้น องอาจแนะนำให้รู้จักกับทีมงานต่างๆ
“นี่เป็นห้องที่จะซ้อมเต้นไปตลอดจนกว่าจะขึ้นคอนเสิร์ตจริงนะครับ แล้วนี่ก็ทีมแดนเซอร์จากญี่ปุ่น ที่ทางสังกัดส่งมา คุณคงรู้จักกันอยู่แล้ว”
นับดาวอึ้งๆ
“รู้จักอยู่แล้วด้วย”
เธอหันไปโบกมือให้เป็นพิธี แดนเซอร์ทักทายกันมาพร้อมเพรียง
“ไฮ ยูกิ”
นับดาวรีบทำเนียนทักทายตอบ
“ไฮ”
องอาจยิ้มให้
“ด้วยทีมงานมืออาชีพ ผมคิดว่าคุณคงไม่มีปัญหาอะไรเท่าไหร่”
“มืออาชีพด้วย หึหึ” นับดาวบ่นกันตัวเอง “ซวยแล้วเรา นับแปดยังไม่ค่อยจะลงจังหวะเลย”
เป็นไทมองนับดาวแล้วถามขึ้น
“ปกติในทุกๆคอนเสิร์ต คุณชอบคิดท่าเต้นใหม่ๆด้วยไม่ใช่เหรอ คราวนี้ได้คิดอะไรไว้บ้างรึยังครับ”
นับดาวอึ้งอีก
“ท่าเต้น ฉันคิดเองด้วย”
“ผมชอบท่าเต้นหลายๆท่าของคุณมากเลย แม้จะไม่ได้เน้นทักษะแต่ก็แสดงความเป็นตัวเองได้ดีมาก”
“หึ หึ ฉันคงทำไปตามความรู้สึกมั้งคะ”
เสียงเพลงของยูกิถูกเปิดโดยแดนเซอร์ พวกเขาคึกคักเข้าตามจังหวะ นับดาวกลับเป็นคนเดียวที่งงๆ องอาจผายมือให้
“เชิญเลยครับยูกิจัง โชว์เท้าไฟเลย”
เป็นไทมองหน้าองอาจ
“หืม โชว์เท้าไฟ นี่คุณพูดถึงยูกิหรือคุณตู้ ดิเรก กันแน่”
พอพูดถึงตู้ ดิเรก องอาจก็ร้องเพลง พร้อมเต้นท่าพี่ตู้ทันที
“สาวบางโพนั้นโก้จริงๆ ตะแลปแตปแตปแตปๆๆ”
“พอแล้ว ไม่อายเขาเหรอนั่น”
องอาจหันไปเห็นทุกคนจ้องเขาด้วยแววตาสมเพช
“แหม เห็นใจกันหน่อย พอเห็นฟลอร์แล้วเสต็ปมันออก แหะ แหะ”
องอาจได้แต่ทำหน้าจ๋อยๆ นับดาวหาทางออกให้ตัวเอง
“เดี๋ยวฉันขอตัวไปด้านหลังก่อนนะคะ”
นับดาวหน้านิ่งเดินออกไป

นับดาวมองซ้ายมองขวา ไม่เห็นใคร เธอก็ปล่อยอารมณ์ที่อดกลั้นแทบไม่ไหวออกมา
“ใครจะไปอดใจได้กับเพลงนั้น ร้องและเต้นมาตั้งแต่เด็กเลยนะนั่น” นับดาวร้องและเต้นไปด้วย “สาวบางโพนั้นโก้จริงๆ ยิ้มมีเสน่ห์ เก๋เกินมองข้ามถามใครดูได้ สวยไปทุกสิ่ง รูปทรงสง่า หน้าตางามยิ่งหญิงใดมาเปรียบ เทียบสาวบางโพ...”
เป็นไทเปิดประตูเข้ามาด้านหลัง ตกใจเห็นนับดาวกำลังเต้นท่าก๊อยๆของเธออย่างเมามัน เขายืนหัวเราะ นับดาวหันไปเห็น สะดุ้ง
“เฮ้ย...”
“นี่คุณเต้นท่าอะไรของคุณน่ะ”
นับดาวทำเก็ก
“ฉันก็คิดท่าเต้นใหม่ไปตามความรู้สึกไง”
เป็นไทหัวเราะ
“ตอนนี้คุณอยากซ้อนมอเตอร์ไซค์หรือว่ายังไง ท่าถึงได้ออกมาสก็อยแบบนี้”
“นี่อย่ามาว่าท่าเต้นฉันนะ”
“ผมไม่ได้ว่าซักหน่อย ผมว่ามันน่ารักดี”
เป็นไทยิ้มๆ นับดาวได้แต่เขิน ทำอะไรไม่ถูก เธอจึงเดินหนีเขาไป

ในห้องซ้อมเต้น เสียงเพลงของยูกิดังลั่น เหล่าแดนเซอร์เต้นกันพร้อมเพรียงอยู่ในห้องซ้อม นับดาวพยายามจะเต้นให้ทันเขา แต่ก็ดูเก้ๆกังๆ เธอนับยังไม่ถูกจังหวะ ดูไม่เข้ากับใครเลย เป็นไทยืนดูเป็นกำลังใจ
เวลาผ่านไปจนเย็น ทุกคนกลับกันหมดแล้วแต่นับดาวยังพยายามฝึกเสต็ปต่างๆของเธอคนเดียว แต่ก็ทำไม่ได้ซักที เธอโมโหตัวเอง ฟาดผ้าขนหนูซับเหงื่อลงกับพื้น เธอมองกระจกเงาที่สะท้อนในห้องซ้อมเต้น พยายามจะหันมาร้องเพลงของยูกิแทน แต่คำก็กลับผิดๆถูกๆ มั่วไป มั่วมา ไม่ได้ดั่งใจ
“โอ๊ย...ทำไมมันยากแบบนี้”
นับดาวทิ้งตัวลงนอนกับพื้น สงบจิตสงบใจตัวเอง
“วันนี้ฉันรู้แล้วล่ะว่าการจะเป็นซุปเปอร์สตาร์มันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การพยายามเป็นคนอื่นนี่สิ ยากกว่าเป็นไหนๆเลย”
นับดาวนอนถอนหายใจ ท้อเหม่อมองทอดอารมณ์อยู่อย่างนั้น

ยูกิฮัมเพลงภาษาญี่ปุ่นของเธอ พร้อมหันซ้าย หันขวาตามเสต็ปเบาๆ ยามาดะเปิดประตูเข้ามา เอาอาหารมาวางให้ เขาไม่กล้าแม้แต่จะสบตาเธอ
“ข้าวเย็น”
ยามาดะก้มหน้างุด ยูกิสงสัย
“เป็นอะไรน่ะ”
“ไม่มีอะไร”
“แต่คุณกำลังหลบหน้าฉัน”
“เปล่า”
“คุณอายฉันเหรอ”
“เปล่า”
“งั้นก็หันมามองหน้าแล้วตอบฉันมาว่าเป็นอะไร”
“นี่ผมเป็นคนจับคุณมานะ ไม่ใช่คุณจับผม จะได้มาเที่ยวซักไซ้แบบนี้”
ยามาดะหันไปจ้องหน้าของเธอ
“คุณเหมือนคนนึงที่ฉันเคยรู้จักจริงๆด้วย แต่นึกไม่ออกซักทีว่าใคร”
ยามาดะรีบหลบหน้าและเดินออกไปข้างนอกทันที ยูกิเรียกไว้
“เดี๋ยวสิ ฉันอยากเห็นหน้าคุณใกล้ๆ ฉันจะได้นึกออก”
ยามาดะไม่ฟัง เดินออกไปด้านนอก ยูกิได้แต่คั่งค้างความสงสัย
ยามาดะออกมานอกห้องด้วยหัวใจเต้นแรง เขานึกย้อนไปถึงตอนเรียนมัธยมที่เขาส่งจดหมายรัก
ให้เธอ แล้วก็แอบดูอยู่หน้าห้อง ยามาดะหยิบรูปรวมเพื่อนๆในห้องสมัยม.ต้นขึ้นมาดูอีกครั้ง เขามองไปที่รูปยูกิเพียงคนเดียว

ค่ำนั้น...สังวรณ์อยู่ในห้องทำงานนั่งอ่านข่าวใน หนังสือพิมพ์ วราพรรณเดินเอาสกู๊ปเข้ามาส่ง สังวรณ์ดูสกู๊ป
“นี่สกู๊ปอะไรเนี่ย”
“ทางน้ำมันเครื่องซีโฟร์เขาจ่ายเงินให้เราโปรโมทค่ะ”
“ยายซีซีขายน้ำมันเครื่องแล้วเหรอเนี่ย” สังวรณ์วางหนังสือพิมพ์ลง “ทำไมมีแต่ข่าวดาราปลายแถวทั้งนั้น ไม่มีสกู๊ปดาราดังๆบ้างรึไง”
“ช่วงนี้ไม่มีกระแสอะไรเลยค่ะ”
“ยูกิไง เรามียูกิอยู่ ทำไมไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์ล่ะ”
“แต่ทางอิสสยาม ไม่ได้ส่งข่าวพีอาร์อะไรมาเลยค่ะ”
“สร้างขึ้นมาเองสิ จับประเด็นฉาวขึ้นมาชูเลย เจ้าเราเจ้าเดียว มีรึจะไม่ดัง”
วราพรรณอึ้งไป
“จะดีเหรอค่ะ”
“ยิ่งกว่าดีซะอีก เดี๋ยวเรื่องนี้ฉันจัดการเอง”
สังวรณ์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจะโทรหายูกิ เขาเลือกเบอร์ที่เมมไว้ในคอนแทค แต่พอจะกดโทรออกเขาก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าแบตแดงแจ๋ง
“เอ้า...ให้มันได้ยังงี้สิ แบตดันจะมาหมดตอนนี้อีก...เดี๋ยวผมขอยืมโทรศัพท์คุณหน่อยสิ”
วราพรรณยื่นมือถือให้
“นี่ค่ะ”
“คุณออกไปก่อน ผมขอคุยเป็นการส่วนตัว”
“ได้ค่ะ”
พอวราพรรณออกไปข้างนอก สังวรณ์ดูเบอร์ยูกิจากในเครื่องตัวเองแล้วกดโทรออก เขายังไม่ทันสังเกตว่าพอโทรออกไปมันเป็นชื่อที่เมมไว้ว่านับดาวในเครื่องของวราพรรณ สังวรณ์ถือสายรอ

เสียงโทรศัพท์มือถือนับดาวดังขึ้น เป็นชื่อวราพรรณโทรมา นับดาวกดรับอย่างเป็นกันเอง
“ว่าไงแก”
สังวรณ์ งง เมื่อได้ยินเสียงที่รับ
“นั่นใคร”
“คุณนั่นแหละใคร นี่เบอร์เพื่อนฉัน”
สังวรณ์ณ์รีบวางโทรศัพท์มองชื่อที่ขึ้นว่า นับดาว งงๆ เขาดูเบอร์ยูกิใหม่แล้วกดไปอีกทีก็ไปติดที่นับดาวอีก
“ฮัลโหล”
“นั่นใคร ทำไมใช้เบอร์นี้”
“ฉันต้องถามคุณ ว่าคุณทำไมใช้เบอร์เพื่อนฉัน”
สังวรณ์งง รีบวางโทรศัพท์
“นี่มันอะไรกันวะ วันนั้นเราก็ missed call เบอร์ยูกิแล้วก็เมมไว้นี่หว่า มันไปผิดพลาดตรงไหนวะเนี่ย”
สังวรณ์งงๆ

สายๆของวันใหม่...เป็นไทแต่งตัวอยู่หน้ากระจก เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว เดินไปหยิบกระเป๋าสตางค์กับกุญแจรถที่โต๊ะข้างหัวเตียง เขาเหลือบตามอง ดอกไม้ที่นับดาวซื้อให้ซึ่งโรยๆเฉาๆ ที่ใส่อยู่ในถังสังกะสี แบบเท่ๆ แนวๆเก๋กู้ดดูดี วางอยู่ที่โต๊ะหัวเตียง เป็นไทชะงักคิดถึงยูกิขึ้นมา เขานึกถึงอดีตเมื่อตอนที่นับดาวเอาดอกไม้ทั้งหมดให้ เขาเขินทำตัวไม่ถูก
“ให้ผมทำไมครับ”
“จะได้หายกันไง วันก่อนคุณก็เอาไปให้ที่บ้านฉันไม่ใช่เหรอ”
เป็นไทเขิน
“แหม แต่ก็ไม่ต้องให้อะไรแบบนี้ก็ได้”
“คุณไม่รู้อะไร ฉันแทบจะนึกไม่ออกว่ายิ้ม หัวเราะตอนไหนบ้าง คุณทำให้ฉันรู้สึกมีค่าขึ้น”
เป็นไทอมยิ้มอย่างมีความสุขแล้ว ก้มหน้าลงไปดมดอกไม้ที่ถังอย่างลืมตัว ทันใดนั้นเสียงแพรวไพลินดังขึ้น
“พี่ไท”
เป็นไทตกใจ หันไปมองตามเสียง ภาพในความคิดผุดเข้ามาในสมองเขาเห็นแพรวไพลิน อยู่ในชุดนางแมวยั่วสวาท ถือ แส้ หน้าโหดจิกเหี้ยมแต่ก็สวยเซ็ก
“พี่นอกใจแพรว!”
แพรวไพลินในชุดนางแมว ฟาดแส้ ป๊าบๆ ใส่ เป็นไทหน้าเหวอ ร้องลั่น หวาดกลัววิ่งหนี แพรวไพลินฟาดแส้ออกไปแส้พุ่งเข้าไปมัดตัวเขา เธอกระตุกแส้ ดึงเขากลับเข้ามายืนอยู่ตรงหน้า แพรวไพลินตะปบนิ้วไล้ที่ใบหน้าและหน้าอกเขาอย่างน่ากลัวแต่เซ็กซี่ เหมือนจะขย้ำเขา
“ช่างกล้านะ...พี่เป็นไท”
“พี่ยังไม่ได้ทำอะไร เลยนะ แพรว”
“พี่นึกว่าแพรวโง่เหรอ ดอกไม้เน่าๆอย่างนั้น พี่จะเก็บไว้อีกทำไมอีกถ้าไม่ใช่ยายยูกิปลาดิบค้างปีมันให้พี่ไว้”
“แพรว รู้ได้ยังไง...แพรวฉลาดมาก”
“หึหึ...ถึงชีวิตจริงจะไม่มีเรื่องย่อให้อ่านอย่างละครหลังข่าว แต่สัญชาตญาณหญิงของแพรวมันบอกว่า พี่กำลังสวมเขาให้แพรว”
แพรวไพลินจี้เล็บแหลมจิกอกเป็นไท
“อ๊อย แพรว...พี่แค่เป็นลูกหนี้นะ ยังไม่ได้เป็นสามี...”
“นั่นแหละ ไอ้ลูกหนี้หลายใจ...ไปลงนรกเสียเถอะ”
แพรวไพลินอ้าปากเห็นเขี้ยวแหลม แล้วก้มลงไปกัดคอ เป็นไท ร้องลั่น ช็อกสุดๆ...เป็นไทนอนกลิ้งบนโซฟา จับคอตัวเองบิดไปบิดมา หลับหูหลับตาร้องลั่น
“อ๊อย ช่วยด้วย”
แพรวไพลินกับองอาจ เดินเข้าห้องมามองอาการของเป็นไทอยู่สักพักแล้ว ทั้งสองมองงงๆ แพรวไพลิน จึงถามอย่างแปลกใจ
“พี่ไท พี่เป็นบ้าอะไรอ่ะ”
เป็นไทยังไม่รู้สึกตัวยังร้องอยู่
“ปล่อยฉัน อย่า...”
แพรวไพลินชักฉุนตะโกนลั่น
“ถ้าพี่ยังไม่เลิกบ้า แพรวจะเก็บดอกเบี้ยเป็นจูบปาก หนึ่งจ๊วบ”
เป็นไทชะงักหายเป็นปลิดทิ้ง
“อย่าเล่นทีเผลอนะ แพรว พี่ไม่ยอมเสียจูบเพื่อใช้หนี้เด็ดขาด”
องอาจปิดปากหัวเราะ
“อิ อิ อิ...หายบ้าเลยเจ้านาย”
เป็นไทมองจิก
“ไอ้องอาจ!”
องอาจรีบชิ่ง
“คุณแพรวซื้อโจ๊กจักรพรรดิมาฝากคุณไทแน่ะครับ ผมไปจัดให้นะครับ”
องอาจรีบเดินออกไป แพรวไพลินเห็นดอกไม้เหี่ยวที่อยู่ในถัง
“ต๊ายตาย ดอกไม้เหี่ยวๆ เฉาๆ ยังจะเก็บไว้อีก”
เป็นไท หน้าตื่นขึ้นมากลัวว่า เธอจะเอาเรื่องเหมือนในความคิด เป็นไทรีบวิ่งเข้าไปขวางดักหน้า แพรวไพลิน
“อย่านะ แพรว มันไม่ใช่อย่างที่แพรวคิดนะ”
แพรวไพลินจ้องอย่างจะเอาเรื่อง หึงหวงยูกิ
“ทำไมจะไม่ใช่ ก็แพรวเห็นอยู่ตำตา พี่ไทนึกว่า แพรวโง่หรือไงคะ”
เป็นไทพึมพำกับตัวเองคิดว่า เธอรู้เรื่องยูกิให้ดอกไม้แล้วจะเป็นเหมือนที่ตัวเองนึกไว้ เขาพึมพำเบาๆ
“เอาวะ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด...” เป็นไทหันไปหาแพรวไพลิน “พี่ยอมรับผิดทุกอย่างแพรวจะด่าจะว่าพี่เป็นผู้ชายที่ใช้ไม่ได้ยังไงก็ได้ แต่อย่าไปว่า...”
เป็นไทกำลังจะบอกชื่อ ยูกิ แต่แพรวไพลินสวนขึ้นมาก่อน
“เด็กขายดอกไม้พวกนั้นใช่มั้ยคะ นี่คงสงสารมันจนซื้อเหมาหมดเลยล่ะสิ”
เป็นไทอึ้งที่แพรวไพลินไม่รู้
“เด็กขายดอกไม้”
“ก็ใช่สิคะ พี่ไทน่ะขี้สงสาร ใจอ่อนกับไอ้พวกเด็กเหลือขอนี่ตลอดๆ ทีกับแพรวไม่เห็นจะใจอ่อนเสียที ฮึย พูดแล้วเซ็ง อารมณ์เสีย แพรวไปสปาให้ปลาตอดเท้าแก้เครียดดีกว่า” แพรวไพลินจะเดินออกไปแล้วหันมา “อ่อ...เดี๋ยวกลางวันเจอกันนะคะ แล้วอย่าลืมกินโจ๊กที่แพรวซื้อมาให้ด้วยล่ะ” เธอส่งจูบให้ “จุ๊บๆ นะคะที่รัก”
แพรวไพลินเดินออกไป เป็นไทถอนใจโล่งอกยิ้มออกมาได้
“ค่อยยังชั่ว ยายแพรวไม่ได้คิดมากอย่างที่เราคิด...”
เป็นไทเหลือบตาไปมองที่ดอกไม้อีกครั้ง แล้วหยิบดอกหนึ่งขึ้นมาดู มองยิ้มๆ ครุ่นคิดในใจ
‘นับวันผมยิ่งรู้สึกดีๆกับคุณมากมาย...ดอกไม้อาจจะเหี่ยวเฉา แต่ดอกรักกำลังบานอยู่ในหัวใจผม นะ ยูกิจัง’

นับดาวมาถึงห้องซ้อมตั้งแต่ยังไม่มีใครมา เธอพยายามจะหัดเต้นตามสเต็ปให้ได้ แต่ก็ไม่ได้ซักที เธอหัดจนเสียหลักจะล้ม แต่แล้วอยู่ๆก็มีคนมาประคองเธอไว้ คือเป็นไทนั่นเอง ทั้งคู่ล้มลงไปทับกัน การกระแทกทำให้ทั้งสองปากชนกันพอดี นับดาวตกใจ ทั้งสองต่างสบตากัน
“หักโหมแบบนี้เดี๋ยวก็บาดเจ็บเข้าจนได้หรอก”
นับดาวตั้งสติได้รีบลุกออกจากเขาทันที
“ฉันไม่เป็นไร”
เป็นไทเห็นเธอหน้าแดง
“เขินเหรอ”
“เปล่า ไม่ได้เขินซะหน่อย”
ทันใดนั้นเลือดกำเดาค่อยๆไหลออกจากจมูกข้างหนึ่งของเธอ เป็นไทเห็นก็หัวเราะ นับดาวรีบปาดมันทิ้ง
“คิดเรื่องลามกอยู่ใช่มั้ยล่ะ” เป็นไทพูดล้อๆ
“ไม่ได้คิด” นับดาวเถียง
“ผมขอโทษ ผมแค่แซวเล่น คุณไม่ต้องเขินหรอกน่า มันแค่อุบัติเหตุ”
“ก็บอกว่าไม่ได้เขินไง”
“โอเคครับ ผมเชื่อ...แต่ผมต้องขอบคุณคุณนะ ผมจะจำวันนี้ไปจนวันตายเลย”
นับดาวด่าทันที
“ไอ้บ้า”
นับดาวพยายามกลั้นความอายของตนไว้ อยู่ๆสังวรณ์ก็โผล่มา
“สวัสดีครับยูกิจัง” สังวรณ์เห็นจมูกนับดาวมีเลือด “อุ๊ยนั่น ยูกิจังเป็นอะไรครับ”
สังวรณ์ปรี่เอาผ้าเช็ดหน้าตน มาซับเลือดให้ทันที
“ตายแล้ว สงสัยจะซ้อมหนักเกินไปนะครับเนี่ย ได้ตรวจสุขภาพประจำปีบ้างรึยัง”
นับดาวมองเป็นไทอย่างเกรงใจที่สังวรณ์มาทำให้เธอแบบนี้
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ”
“นี่คุณมาทำอะไรที่นี่” เป็นไทถามเสียงแข็ง
สังวรณ์ยิ้มกวนๆ
“เอ๊า ผมก็จะมาทำงานของผม”
“งานอะไร”
“ก็ทำข่าวไง”
“แต่นี่มันห้องซ้อมส่วนตัว คิวคอนเสิร์ตเป็นความลับ”
“ก็ใครว่าผมจะมาดูซ้อม ผมจะชวนยูกิจังไปทานข้าว หาประเด็นเขียนสกู๊ปต่างหาก”
เป็นไทมองหยัน
“ขยันทำงานจริงเลยนะ”
“ก็เหมือนคุณนั่นแหละ”

เป็นไทกับสังวรณ์มองหน้ากันแบบเชือดเฉือน












Create Date : 11 มีนาคม 2555
Last Update : 11 มีนาคม 2555 23:57:20 น.
Counter : 303 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]