All Blog
รักประกาศิต ตอนที่ 9 (ต่อ)




มัลลิกามานั่งรับประทานอาหารกับเพื่อนๆ ที่ร้านอาหารเล็กๆ แห่งหนึ่ง
“ไอว่าพี่วัสเขาคงสงสัยยูแน่ๆ ถึงได้มาถามอย่างนั้น” เพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้น
“I know” มัลลิกาตอบ
“แล้วตกลงเขามีลูกมีเมียแน่แล้วใช่ไหม” เพื่อนอีกคนถาม
“50 50” มัลลิกาตอบ
“จะมา ห้าสิบอะไรล่ะ ก็ไปเจอกับผู้หญิงกับเด็กคนนั้นแล้วนี่ ทำไมไม่ถาม”
“ไอไม่กล้า” มัลลิกาบอก
เพื่อนคนหนึ่งตกใจ “อะไรนะ สาวมั่นอย่างมอลลี่น่ะเหรอไม่กล้า”
มัลลิกานั่งเงียบ
“มอลลี่ ชีวิตมอลลี่ต้องเดินต่อไปนะ จะคิดจะทำอะไรก็ทำซะเถอะ การอยู่เฉยๆ เขาถือว่าเป็นการถอยหลังนะ” เพื่อนคนนั้นกล่าว
มัลลิกานิ่งอึ้งไม่ตอบอะไร เธอวางช้อนลงแล้วครุ่นคิดด้วยความหนักใจ

เจ้าทิพย์ดารายืนเลือกสี เลือกกระดาษ และอุปกรณ์เพ้นท์ผ้าอยู่ในร้านเครื่องเขียนขนาดใหญ่ในเมืองเชียงใหม่ เธอถือของหลายอย่างพะรุงพะรังจนของหลุดมือ ไม่นานนักก็มือใครคนหนึ่งเข้ามาช่วยเก็บ
“ขอบคุณค่ะ” เจ้าทิพย์ดาราเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่าเนพิสุทธิ์ “อ้าว คุณโป๊ะ”
“สวัสดีครับเจ้า มาซื้อของไปเพ้นท์เสื้อแน่ๆเลย” พิสุทธิ์ทัก
“ค่ะ แล้วคุณโป๊ะมาซื้ออะไรเหรอคะ”
“ผมก็มาซื้อของไปเพ้นท์เสื้อเหมือนกันครับ” พิสุทธิ์ถือของให้เจ้าทิพย์ดารา แล้วทั้งคู่ก็เดินดูของกันต่อ “แต่ซื้อให้นิดเขานะครับ เห็นเขาไม่ค่อยได้ออกมาข้างนอก ไม่รู้ว่าพวกกระดาษพวกสีของเขาจะหมดหรือยัง ขืนทำไร่อย่างเดียวคงเบื่อแย่”
“โห คุณโป๊ะนี่เอาใจน่าดูเลย” เจ้าทิพย์ดาราชื่นชม
“แต่ก็ไม่รู้ว่านิดเขาจะรำคาญมั่งหรือเปล่า ผู้หญิงบางคนก็ไม่ชอบคนเอาใจมาก”
“แต่น้อยชอบ...น้อยอยากให้ภูเอาใจน้อยแบบนี้บ้าง”
“พ่อเลี้ยงคงงานยุ่งมากน่ะครับ”
“ยุ่งยังไงก็ยังมีเวลาเอาใจคุณเล็กมากกว่าใครๆเสมอ” เจ้าทิพย์ดาราตัดพ้อ
“มิน่า ยัยนั่นถึงได้เอาแต่ใจผิดมนุษย์ขนาดนั้น”
เจ้าทิพย์ดารายิ้มและขำกับมุกของพิสุทธิ์
-

ภูชิชย์สั่งงานนิพนธ์อยู่ภายในห้องทำงานของเขา
“เดี๋ยวทำจดหมายตอบทางจังหวัดเรื่องตอบรับงบสนับสนุนงานฤดูหนาวนะ”
ทันใดนั้น เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น สุพัฒนาเดินเข้ามา ภูชิชย์เห็นน้องสาวก็ยิ้ม
“อ้าว คุณเล็ก มีธุระอะไรกับพี่หรือเปล่า”
“คุณเล็กอยากกลับมาทำงานค่ะ” สุพัฒนาบอก
ภูชิชย์ดีใจ “จริงหรือเปล่า”
“จริงสิคะ คุณเล็กบอกนิพนธ์ไปแล้ว”
“ครับคุณเล็กบอกผมตั้งแต่เมื่อวานแล้ว” นิพนธ์ยืนยัน
สุพัฒนาพยักหน้า นิพนธ์พลอยยิ้มไปด้วย
“พี่ดีใจนะ ที่พี่จะมีคุณเล็กกลับมาช่วยงานเหมือนเดิม” ภูชิชย์บอก
“แต่คุณเล็กขอเริ่มงานเบาๆช่วยนิพนธ์ก่อนได้ไหมคะ”
นิพนธ์ยิ้มอย่างมีความสุข แต่สุพัฒนาแอบยิ้มเพราะมีแผน

นิพนธ์กุลีกุจอเก็บโต๊ะตัวเองให้สุพัฒนา แล้วก็หันไปพูดกับเธอ
“คุณเล็กนั่งโต๊ะผมไปก่อนนะครับ ไว้ผมจะจัดให้ใหม่”
“ขอบใจนะ เธอทำงานของเธอไปเถอะ” สุพัฒนาบอก
“ครับ” นิพนธ์นั่งลงที่โต๊ะเล็กๆ ซึ่งอยู่ใกล้ๆ แล้วก็เปิดคอมพิวเตอร์ทำงาน
สุพัฒนาทำเป็นหยิบแฟ้มนิพนธ์ขึ้นมาดูงาน แล้วก็ทำเป็นนึกได้
“เอ้อ...นิพนธ์ ไปเอาแฟ้มที่พี่ภูเซ็นมาหรือยัง จะได้มาเคลียร์งาน”
นิพนธ์มองแฟ้ม แล้วยิ้มเจื่อนๆ “ยังเลยครับ ผมทำไม่ทันน่ะครับ”
“แหม...เธอนี่ พี่ภูไปประชุมตั้งนานแล้วยังไม่ไปเอาอีก เกิดตั้งเบิกค่าแรงคนงานได้ช้าละพี่ภูโกรธตาย”
“ผมจะไปเอาเดี๋ยวนี้ครับ”
“ไม่ต้องหรอก ฉันทำให้นะ” สุพัฒนาอาสา

สุพัฒนาหอบแฟ้มออกมาจากห้องของภูชิชย์แล้วเปิดดู เธอเห็นลายเซ็นต์ภูชิชย์ในเอกสารเบิกเงินค่าล่วงเวลาของคนงาน สุพัฒนายิ้มร้าย แล้วเดินออกไป

สุพัฒนาเข้ามานั่งที่โต๊ะแล้วเปิดคอมพิวเตอร์ ก่อนจะหยิบ Flash Drive ในลิ้นชักขึ้นมา สุพัฒนาเสียบ flash drive เข้าไปในเครื่องแล้วทำเป็นนั่งทำงานไป ครู่หนึ่งเธอก็ทำเป็นสงสัย
“เอ๊ะ นิพนธ์...เธอได้เช็คเรื่องการเบิกค่าล่วงเวลาคนงานหรือเปล่า”
“เปล่าครับ มีอะไรเหรอครับ” นิพนธ์ตอบแล้วก็รีบลุกขึ้นมาดู
“ก็นี่ไง วันที่ 25 มีการเบิกค่าล่วงเวลา ฉันจำได้ว่าวันนั้นเป็นวันที่นายเจมส์นักศึกษาฝึกงานมาถึงไม่ใช่เหรอ”
นิพนธ์หยิบปฏิทินมาดู “ใช่ครับ”
“แล้ววันนั้นเราก็มีงานเลี้ยงต้อนรับ พี่ภูให้ทุกคนเลิกงานก่อนเวลา แล้วมันจะมีการเบิกค่าล่วงเวลาได้ยังไง นริศราเป็นคนทำใช่ไหม”
“เอ่อ..ครับ” นิพนธ์ตอบ
“นี่ถ้าปกติเธอไม่เช็ค พี่ภูก็เซ็นไม่ดู เท่ากับนริศราจะได้เงินไปหลายหมื่นเข้ากระเป๋าเลยนะ”
“คุณนิดเธอคงไม่ทำแบบนั้นหรอกครับ”
“เดี๋ยวก็รู้ว่าทำหรือเปล่า เธอไปตามนริศรามาเดี๋ยวนี้ ฉันจะโทรเรียกพี่ภูเอง” สุพัฒนาสั่ง

นริศรากำลังใช้อุปกรณ์เช็คความหวานขององุ่นอยู่ที่ไร่องุ่น สักพักลุงปั๋นก็วิ่งมาตาม
“คุณนิดครับ คุณนิด เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ”
“มีเรื่องอะไรเหรอคะลุงปั๋น” นริศราตกใจ
“คุณเล็กให้ตามตัวคุณนิดไปที่สำนักงานด่วนครับ” ลุงปั๋นบอก
นริศรางง “คุณเล็กเหรอ? ลุงปั๋นรู้ไหมว่ามีเรื่องอะไร”
ลุงปั๋นหน้าเสีย “ที่จริงผมก็ไม่ทราบหรอกครับ แต่นังบัวเกี๋ยงมันไปโพนทะนาแล้วว่า คุณเล็กจับทุจริตคุณนิดได้ครับ”
นริศราตกใจ “ฉันทุจริตเหรอ”

สุพัฒนา ภูชิชย์ และนิพนธ์มองนริศราที่มายืนอยู่ในห้องทำงานภูชิชย์เป็นตาเดียว แฟ้มใบหนึ่งกางอยู่บนโต๊ะ ภูชิชย์และนิพนธ์มีสีหน้ากังวล
“นี่หมายความว่ายังไง” สุพัฒนาถาม
นริศรางง “ฉันจำได้ว่าไม่มีการเบิกโอทีให้คนงานของวันที่ 25 แน่ๆค่ะ ขนาดของฉันเองที่พ่อเลี้ยงบอกจะให้เพราะเป็นวันหยุดของฉัน ฉันยังไม่ได้ทำให้ตัวเองเลย”
“จริงสิ พี่ยังไม่เห็นใบเบิกโอทีของนริศราเลย” ภูชิชย์นึกขึ้นได้
สุพัฒนาหน้าเสียไปเล็กน้อยแต่ก็รีบพูดกลบเกลื่อน
“อาจจะทำให้ตายใจก็ได้นี่ ของเธอมันจะกี่ร้อยบาท แต่ของคนงานรวมๆกันเป็นหมื่นๆ แล้วเงินโอทีมันมีการทำเบิกแทบทุกวัน เธอก็คงฉวยโอกาสที่พี่ภูกับนิพนธ์ไม่ค่อยตรวจละเอียดมั่วนิ่ม”
“ไม่จริงค่ะ ฉันยืนยันว่าไม่ได้ทำ” นริศรายืนกราน
“ดูดีๆสิว่านี่มันลายเซ็นเธอหรือเปล่า” สุพัฒนาถาม
นริศราหยิบแฟ้มมาเปิดดู พอเห็นเป็นลายเซ็นตัวเองเธอก็อึ้งและพูดอะไรไม่ออก

เป็งซึ่งกำลังถือลังใส่องุ่นอยู่ฟังเรื่องจากปากลุงปั๋นแล้วก็ตกใจ
“หา! คุณนิดโกงเงินเหรอ”
เป็งมืออ่อนจนทำลังองุ่นร่วง แต่ลุงปั๋นรับไว้ได้ทัน
“เฮ้ยๆ แหม มือไม้อ่อนเลยเหรอวะไอ้เป็ง” ลุงปั๋นทัก
“คุณนิด นางฟ้าของเป็ง ไม่น่าทำอย่างนี้เลย เงินทองของคนอื่นไปอยากได้ของเขาทำไม โธ่ๆๆ”
บรรดาคนงานตั้งวงวิพากษ์วิจารณ์กันยกใหญ่
ทันใดนั้นเจมส์กับคนงานอีกชุดหนึ่งก็เดินมา
“ลุงปั๋น พี่นิดล่ะครับ ผมจะเบิกไม้ไปทำค้างองุ่นหน่อย” เจมส์บอก
ลุงปั๋นกับคนงานมองหน้ากันเพราะพูดอะไรไม่ออก
“มีอะไรกันเหรอครับ” เจมส์ถาม

แม่อุ้ยและพรที่กำลังทำกับข้าวอยู่ที่โรงครัวรู้เรื่องจากบัวเกี๋ยงก็ถึงกับตกใจ แม่อุ้ยทำทัพพีหล่นทันที เหล่าคนงานที่ทำครัวกันอยู่ทั้ง 5 คนก็พลอยตกใจไปด้วย
“ไม่จริง ข้าไม่เชื่อเด็ดขาดว่าคุณนิดจะโกงเงิน คุณนิดเธอเป็นลูกคนใหญ่คนโต เรียนหนังสือหนังหามาจากเมืองนอกเธอไม่ทำแบบนี้เด็ดขาด” แม่อุ้ยไม่เชื่อคำของบัวเกี๋ยง
“แหม...แม่อุ้ย ถึงจะสูงส่งมาจากไหน แต่อย่าลืมสิว่าต้องมาทำงานที่เพราะตกอับ คนจนตรอกน่ะมันทำได้ทุกอย่างแหล่ะ” บัวเกี๋ยงบอก
“พวกเราต้องหนักแน่นไว้นะ พี่บัวเกี๋ยงมันกุข่าวมากี่รอบแล้ว ใครจะไปเชื่อจอมโกหกตอแหลอย่างมันใช่ไหม” พรเตือนสติทุกคน
พวกคนงานต่างเห็นด้วยกับแม่อุ้ยและพร
“อีพร...เอ็งด่าข้าก็เท่ากับด่าคุณเล็กนะ เพราะคุณเล็กเป็นคนตรวจงานนังนิดเจอ” บัวเกี๋ยงบอก
แม่อุ้ยกับพรหน้าจ๋อย
“ตอนนี้คุณนิดอยู่ทีไหน” แม่อุ้ยถาม
“คงรอคำสั่งไล่ออกอยู่ที่สำนักงานมั้ง”
“นังพร ฝากดูทางนี้ด้วย ข้าจะไปให้กำลังใจคุณนิด” แม่อุ้ยพูดแล้วก็เดินไป
“ฉันไปด้วยสิ” พรรีบตามแม่อุ้ยไป
พวกคนงานต่างพูดกันว่าจะไปด้วย
“นี่ จะทิ้งงานได้ไง เดี๋ยวถึงเวลาฉันหิวต้องมีข้าวกินนะ” บัวเกี๋ยงรีบทักขึ้น
“ถ้าเอ็งหิวมาก ก็เอาเศษกระดูกที่เหลือในครัวไปแทะเล่นก่อนไป” แม่อุ้ยแขวะ
“แม่อุ้ย นี่หาว่าฉันเป็นหมาเหรอ” บัวเกี๋ยงโกรธ
“ข้าไม่ได้หาเว้ย แค่ดูจากรูปทรงปากเอ็งแล้วมันเหมือนนี่”
แม่อุ้ยพูดแล้วเดินชนไหล่บัวเกี๋ยงก่อนจะเชิดใส่เดินออกไป พรเดินตามและชนบ้าง เหล่าคนงานเดินตามไป บัวเกี๋ยงมองตามอย่างไม่พอใจ
“โอ๊ย...อีพวกนี้ คอยดูนะพอกำจัดนังนิดเสร็จแล้วจะถึงตาพวกแก ไอ้พวกลูกจ้าง”

นริศรายืนดูใบเบิกค่าล่วงเวลาอย่างอึ้งๆ ภูชิชย์และนิพนธ์รอฟังคำอธิบายอย่างใจจดใจจ่อ
“ว่ายังไงนริศรา ใช่ลายเซ็นเธอหรือเปล่า” ภูชิชย์ถามย้ำ
นริศรามองภูชิชย์ และนิพนธ์ “ใช่ค่ะ”
ภูชิชย์อึ้งที่ได้ยินเช่นนั้น สุพัฒนายิ้มด้วยความสะใจ
ภูชิชย์พูดด้วยน้ำเสียงผิดหวัง “เธอทำจริงๆเหรอ”
นริศราทั้งอึ้งทั้งงง “ไม่ใช่นะคะ ฉันไม่ได้เป็นคนเซ็น”
“เมื่อกี๊เธอยอมรับเองว่าลายเซ็นเธอ แต่ตอนนี้มาบอกว่าไม่ได้เป็นคนเซ็น ตกลงยังไงกันแน่”
“นั่นสิครับคุณนิด ผมก็ไม่เข้าใจ” นิพนธ์บอก
“ก็ไม่ยังไงหรอก คนร้ายที่กำลังจนมุม ก็หาทางโกหกไปน้ำขุ่นๆอย่างนี้แหละ” สุพัฒนารีบพูด
“คุณนิดครับ ตกลงมันมีอะไรผิดพลาดเหรอครับ เพราะผมเองก็รู้สึกเหมือนจะยังไม่เห็นรายการนี้ผ่านตามาเลย” นิพนธ์ถาม
สุพัฒนาหันขวับไปหานิพนธืทันที “ก็โง่อย่างนี้ไงล่ะ ถึงปล่อยให้ใครเขามาโกงเอาได้”
นิพนธ์หน้าเสีย
“ช่วยอธิบายให้เข้าใจหน่อย..นริศรา” ภูชิชย์ขอ
นริศราไม่รู้จะอธิบายอย่างไรเพราะขณะนี้ตัวเธอก็งงไปหมดแล้ว

บัวเกี๋ยงปากยื่นปากยาวพูดอยู่ข้างหลังพวกคนงานที่กำลังยืนชะเง้ออยู่หน้าสำนักงาน
“เห็นหรือยังล่ะ คุณผู้จัดการที่ทุกคนชื่นชมน่ะ ออกลายจนได้”
แม่อุ้ยหันขวับ แล้วเดินมาชี้หน้าบัวเกี๋ยง “หุบปากไปเลยนังบัวเกี๋ยง ยังไม่รู้อะไรเป็นอะไรเลย”
“ไม่น่าเลยคุณนิด ทำไมคิดตื้นๆอย่างนี้ ถ้าโดนไล่ออก หนานจะอยู่ดูหน้าใคร” หนานหันไปมองบัวเกี๋ยง พร และแม่อุ้ย “มีแต่หน้าเหี่ยวๆ ดำๆให้ดู”
บัวเกี๋ยงเข้ามาเขกหัวหนาน “นี่แน่ะ ยังจะมาปากมอมอีกไอ้หมาหนาน”
“แต่ฉันว่าอาจจะมีคนแกล้งคุณนิดก็ได้” พรแสดงความคิดเห็น
“What? ที่นี่มีคนไม่ชอบคนดีๆอย่างที่พี่นิดด้วยเหรอครับ” เจมส์ตั้งคำถาม
พวกคนงานเริ่มส่งเสียงฮือฮาคล้อยตามพร
“ใช่ครับคุณเจมส์...คุณนิดโดนใส่ร้ายมาหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้ก็คงอีหรอบเดิม”
ลุงปั๋นพูดจบก็มองไปทางบัวเกี๋ยง บัวเกี๋ยงเชิดหน้าทำใจดีสู้เสือ
“อุ๊ย อย่าหลับหูหลับตาเข้าข้างกันนักเลย คราวนี้น่ะของจริงแน่นอน” บัวเกี๋ยงพูด
“พูดเหมือนรู้เรื่องอยู่ก่อนเลยนะพี่บัวเกี๋ยง” พรพูดดักแล้วมองหน้าบัวเกี๋ยงอย่างไม่พอใจ บัวเกี๋ยงจ้องหน้าพรด้วยความโกรธ

สุพัฒนาฟังนริศราแล้วก็หัวเราะเยาะและต่อว่าผู้จัดการสาว
“ตายแล้ว คิดได้ยังไงเนี่ย มีคนปลอมลายเซ็นเธอ..โอ๊ย คุณนริศรา มันไม่โบ้ยกันหน้าด้านๆไปหน่อยเหรอ ใครมันจะปลอมลายเซ็นเธอจ๊ะ คนงานก็แทบจะเขียนหนังสือกันไม่เป็น หรือว่าจะเป็นนิพนธ์ พี่ภู หรือฉัน”
นริศราหันไปเห็นสายตาผิดหวังของภูชิชย์ก็พยายามอธิบาย “ลายเซ็นต์ของฉันมันกึ่งตัวเขียน อาจจะมีการปลอมได้ง่าย”
“เธอกำลังจะบอกว่ามีคนแกล้งเธองั้นเหรอ” ภูชิชย์ถาม
สุพัฒนาหัวเราะ “น้ำเน่าน่ะ เธออาจจะตั้งใจเซ็นให้ง่าย เพื่อที่เวลาจะโกง จะได้มาตีหน้าซื่อบอกว่าลายเซ็นของเธอมันปลอมได้ง่ายอย่างนี้ไงล่ะ”
“ฉันก็เซ็นของฉันอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว ไม่ได้จะมาเปลี่ยนให้มันง่ายเอาตอนนี้ ฉันแน่ใจว่าฉันต้องโดนแกล้งแน่ๆ” นริศรายืนยัน
“ผมว่าดูลายเซ็นต์ไม่ชัวร์ เราก็พิสูจน์ด้วยวิธีอื่นเถอะครับ” นิพนธ์เสนอ
“จริงด้วย ดูข้อมูลในคอมพิวเตอร์สิคะ ยังไงความจริงก็ต้องอยู่ในนั้น” นริศราบอก
นริศรากับสุพัฒนามองหน้ากันอย่างท้าทาย

นริศรารีบลงนั่งที่โต๊ะของนิพนธ์แล้วเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ทันที สุพัฒนายิ้มอย่างร้ายกาจ นริศราใส่รหัสของตัวเองเพื่อเปิดคอมพิวเตอร์แล้วก็กด enter
ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์มีหลายไฟล์ นริศราเลือกคลิ๊กไฟล์ค่าแรงล่วงเวลา

บัวเกี๋ยงที่ยืนอยู่หน้าอาคารสำนักงานมีท่าทีโกรธจัด
“พูดให้มันดีๆนะนังพร ข้าว่าเอ็งนั่นแหล่ะ แหม...ออกรับแทนนังนั่นดีนัก นอนก็นอนห้องเดียวกัน เผลอๆร่วมมือกันทุจริตกับนังนิดหรือเปล่า”
“อีบัวเกี๋ยง มากไปแล้วนะ” พรโมโห
“มากยังไง เอ็งนอนกับโจรมันก็โจรทั้งคู่นั่นแหล่ะ”
“หืม...ทนไม่ไหวแล้ว วันนี้ของตบคนที่เรียกว่าพี่หน่อยเถอะวะ”
พรพุ่งเข้าไปผลักบัวเกี๋ยงจนล้มแล้วทั้งสองก็ตบกันอุตลุต เจมส์มองเหตุการณ์ด้วยความตกใจ
“Oh my god!”
“โจรเหรอ นี่แน่ะ คุณนิดไม่ใช่โจรเว้ย” พรเสียงดัง
“อีพร ปล่อยกูนะ กูจะด่า อีโจร อีนิดขี้โกง ขี้ขโมย” บัวเกี๋ยงดิ้นสู้
แม่อุ้ย ลุงปั๋น และคนงานเข้ามาช่วยกันห้าม
“เอ้า เฮ้ย หยุดๆ” ลุงปั๋นดึงพรออกมาได้ “อยู่ๆก็ตบกัน ผีบ้าเข้าสิงหรือไง”
“นังพร ฝากไว้ก่อนเถอะ เสร็จเรื่องนังนิดแล้วข้าจะบอกคุณเล็กให้ไล่เอ็งออก” บัวเกี๋ยงแค้น
“กลัวตายแล้ว....ระวังจะเหมือนทุกครั้ง สุดท้ายกลายเป็นเอ็งแหล่ะพี่บัวเกี๋ยงที่เป็นคนผิด รับรองถ้าคุณนิดพิสูจน์ความจริงได้อีก คราวนี้พ่อเลี้ยงไม่เลี้ยงเอ็งแน่”
บัวเกี๋ยงชะงักแล้วมองไปในสำนักงานด้วยความกังวล

หน้าจอคอมพิวเตอร์แสดงผลว่ามีการทำรายการเบิกค่าล่วงเวลาให้คนงานเมื่อวันที่ 25 เดือนที่แล้ว นริศรา นิพนธ์ และภูชิชย์เห็นดังนั้นก็ตกใจ
“เห็นมั้ยคะพี่ภู หลักฐานเต็มสองตา นี่คงกะว่าพี่ภูกับนิพนธ์จำไม่ได้น่ะสิว่าวันนั้นเราจัดเลี้ยงให้เจมส์กระทันหัน คนงานเลิกเร็วไม่มีการทำล่วงเวลา ฉลาดมากนี่นริศรา” สุพัฒนาพูด
ในขณะที่นริศรากำลังอึ้ง สุพัฒนาก็เข้ามาฉวยเม้าส์เลื่อนเคอร์เซอร์สำรวจไปทั่วทั้งหน้าจอ
“ไหนดูซิ มีอะไรหมกเม็ดอีกหรือเปล่า”
ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์มีรายการเตรียมทำค่าล่วงเวลาวันที่ 5 แสดงขึ้นมา
สุพัฒนาทำเป็นตกใจ “โอ้โห นี่เธอรู้ได้ไงว่าวันไหนจะมีการใช้คนงานล่วงเวลา แล้วต้องใช้กี่คน ถึงต้องเตรียมเบิกซะล่วงหน้าขนาดนี้”
“ไม่ใช่นะคะ ฉันไม่ได้ทำ” นริศราปฏิเสธ
“พาสเวิร์ดก็เป็นของเธอ เธอไม่ทำแล้วใครจะเข้ามาทำได้” สุพัฒนาถาม
“คุณนิดครับ เคยบอกรหัสส่วนตัวกับใครหรือเปล่า” นิพนธ์ถาม
นริศราส่ายหน้า “ไม่เคยค่ะ”
“พี่ภูต้องจัดการเรื่องนี้นะคะ” สุพัฒนาโวยวายแล้วหันมาพูดกับนริศรา “เพราะที่ไร่แห่งนี้ไม่สนับสนุนการทุจริตทุกรูปแบบ”
ภูชิชย์กับนริศราอึ้งเพราะพูดอะไรไม่ออก
“ฉันขอเวลาสามวัน รับรองว่าฉันต้องหาคนที่ทำผิดมาให้ได้” นริศราเสนอ
“ตกลง” ภูชิชย์ตอบรับ
สุพัฒนาพูดสวนทันที “ไม่ตกลง! ฉันไม่ไว้ใจเธอ เวลาตั้งสามวัน เธออาจจะหาแพะมารับบาปแทนเธอก็ได้”
“คุณเล็ก แต่พี่ว่าเราควรจะให้โอกาสนริศราหาหลักฐานมาสู้นะ” ภูชิชย์บอก
“ผมก็จะช่วยคุณนิดพิสูจน์ความจริงครับ อาจจะเร็วกว่าสามวันก็ได้” นิพนธ์อาสา
“กรี๊ด” สุพัฒนาตวาดลั่น “ตกลงนี่อยากจะช่วยโจรกันนักใช่ไหม”
สุพัฒนาเริ่มหอบและทำท่าหมดแรง ภูชิชย์กับนิพนธ์ตกใจรีบประคองเข้ามาประคอง สุพัฒนาพยายามสะบัดออก
“พี่ภูเป็นอะไรไป ที่ไอ้ผลกินเหล้าพี่ภูไล่มันออก แต่กับผู้หญิงคนนี้ตั้งใจทุจริตพี่ภูกลับจะให้โอกาสมันสู้ พี่ภูเห็นมันดีกว่าคุณเล็กใช่ไหม” สุพัฒนาโวย
สุพัฒนาโมโหกวาดข้าวของบนโต๊ะลงพื้น
“นังนิด สะใจแกแล้วสิ ขนาดแกเป็นโจรพี่ภูเขายังไม่ทำอะไรแกเลย ฉันเกลียดแก ฉันจะฆ่าแก”
สุพัฒนาจะเข้าไปทำร้ายนริศรา ภูชิชย์กับนิพนธ์พยายามดึงเอาไว้ สุพัฒนากรี๊ดลั่น
“นริศรา” ภูชิชย์หันไปหานริศรา
นริศราพูดสวนขึ้น “ฉันอยากจะพิสูจน์ตัวเองนะคะ แต่มันคงจะไม่ยุติธรรมกับนายผลอย่างที่คุณเล็กว่า”
“มีหัวคิดเหมือนกันเหรอ แล้วตกลงแกจะทำยังไง” สุพัฒนาถาม
“ฉันจะไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดค่ะ” นริศราบอก
ภูชิชย์กับนิพนธ์อึ้งกับคำประกาศของนริศรา สุพัฒนายิ้มแล้วซบอกภูชิชย์ ก่อนจะมองนริศราด้วยความสะใจ

นริศราเดินหน้าเครียดออกมาจากสำนักงาน พรกับบัวเกี๋ยงยังคงมองหน้าเหมือนจะเอาเรื่องกัน ลุงปั๋นเห็นนริศราก็รีบร้องบอกทุกคน
“คุณนิดออกมาแล้ว”
พวกคนงานรีบเข้าไปหานริศรา ยกเว้นบัวเกี๋ยงที่ยืนหน้าหงิกหัวฟูอยู่คนเดียว
“เรื่องมันเป็นยังไงกันคะคุณนิด” แม่อุ้ยถามด้วยความเป็นห่วง
“มีคนแกล้งคุณนิดใช่ไหมคะ” พรซัก
บัวเกี๋ยงได้ยินก็พูดแขวะมาจากนอกวง
“แทนที่จะเสียเวลาถาม ไปช่วยมันเก็บกระเป๋าดีกว่า”
คนงานพูดพร้อมกัน “บัวเกี๋ยง!”
“ช่างเถอะ” นริศรามองหน้าคนงาน “ฉันจะไปเก็บของ” พูดจบนริศราก็เดินไปทันที
คนงานเรียกพร้อมกัน “คุณนิด!”
คนงานทั้งหมดยืนอึ้ง ต่างมองหน้ากันอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
บัวเกี๋ยงหัวเราะลั่น “เห็นไหมล่ะ คราวนี้น่ะของจริง ฮ่าๆๆ”
“ขอโทษนะครับ พี่บัวเกี๋ยงมีความสุขมากที่พี่นิดจะไปใช่ไหมครับ” เจมส์ถาม
“ใช่น่ะสิ มีอะไรเหรอคะคุณเจมส์”
“เปล่าครับ ตอนแรกผมแค่สงสัยว่าใครกันที่นิสัยเลวมากอยากให้คนดีๆอย่างพี่นิดไป ตอนนี้ผมรู้แล้ว” เจมส์พูด
บัวเกี๋ยงโกรธ “ไอ้ฝรั่งบ้า ด่าเก่งกว่าคนไทยอีก”

นริศรานั่งเก็บของอยู่เงียบๆ ภายในห้องพัก พรกับแม่อุ้ยเข้ามาช่วยเก็บด้วย ทั้งสามต่างก็ร้องไห้เพราะกลั้นไม่อยู่
“คุณเล็กนี่ร้ายจริงๆเลย เล่นเอาเรื่องพี่ผลมาอ้างเพื่อบีบคุณนิด” พรสะอื้น
“ใช่...เธอปิดประตูทุกทางที่ฉันจะได้พิสูจน์ตัวเอง” นริศราบอก
“แล้วนี่คุณนิดจะทำยังไงต่อคะ จะไปอยู่ไหน” แม่อุ้ยถาม
“ฉันก็ยังไม่รู้เลย”
พรยกมือไหว้ท่วมหัว “สาธุ ขอให้คนที่มันใส่ร้ายคุณนิดได้รับกรรมเร็วๆ”
“ไม่เอาน่าพร เก็บของต่อเถอะ” นริศราบอก
นริศราเก็บของต่อจนเสร็จ แล้วก็ลุกไปหยิบกล่องเล็กๆ ที่ใส่สมุดจดงาน กุญแจห้องเก็บของ และกุญแจรถขึ้นมาดู
“งานสุดท้ายแล้วสินะ” นริศราเศร้า

บัวเกี๋ยงยกนิ้วโป้งทั้งสองข้างให้สุพัฒนาอย่างชื่นชม ส่วนสุพัฒนาก้มลงดมดอกไม้อย่างมีความสุข
“คุณเล็กเก่งมากเลยค่ะที่ทำให้พ่อเลี้ยงกับคุณนิพนธ์จับไม่ได้”
“เรื่องแฮ็คพาสเวิร์ดของนริศราไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย เพราะว่าฉันมีผู้ช่วยดี”
บัวเกี๋ยงงง “แฮ็คอะไรนะคะ มันใช้ยังไง”
สุพัฒนารำคาญ “โอ๊ย แกนี่ forever โง่ โง่ตลอดการตลอดชาติสิน่า”
บัวเกี๋ยงพึมพำ “แหม ก็อยากรู้มั่งนี่คะ”
“ถ้าฉันเล่าไปแกจะเข้าใจไหมเนี่ย”
“แหม...บัวเกี๋ยงออกจะฉลาด บางทีอาจจะเข้าใจก็ได้นะคะ”
สุพัฒนาเหลือบมองบ่าวอย่างเอือมๆ แล้วเธอก็นึกถึงเรื่องเมื่อวาน

ภาพเหตุการณ์ที่สุพัฒนาแอบเข้าห้องทำงานของนิพนธ์ย้อนกลับมา ตอนนั้นสุพัฒนายืนครุ่นคิดอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ส่วนกลาง แล้วก็ตัดสินใจโทรหามัลลิกา
“มอลลี่ เธอรู้วิธีแฮ็คพาสเวิร์ดเปิดคอมพ์ไหม”
“ก็พอได้อ่ะ แล้วคุณเล็กจะไปแฮ็คข้อมูลใครล่ะ” มัลลิกาถาม
“อย่าถามมากน่า บอกวิธีมาก็พอ”
“ได้โปรแกรมที่คุณเล็กจะแฮ็คคืออะไร” มัลลิกาถาม
สุพัฒนานิ่งฟังแล้วก็ยิ้มร้าย
เวลาผ่านไป สุพัฒนาเหลือบดูโพยแล้วยิ้มอย่างดีใจ เธอวางโพยหน้าคอมพิวเตอร์ จากนั้นก็ลงมือพิมพ์ตามแล้วกดenter พอเครื่องเปิด สุพัฒนาก็ยิ้มดีใจที่แฮ็คสำเร็จ เธอรีบหาไฟล์ค่าแรงล่วงเวลาคนงาน แล้วคลิกทันที
“คราวนี้ ต่อให้เทวดาก็ช่วยแกไม่ได้” สุพัฒนาลงมือพิมพ์
เวลาผ่านไป สุพัฒนามายืนรอที่เครื่องปริ๊นท์ เธอเอากระดาษเปล่ามาลองเซ็นต์ลายเซ็น 3-4ครั้งก็เห็นว่าเลียนแบบได้ สุพัฒนาหยิบใบเบิกที่เครื่องปริ๊นท์มาเซ็นแล้วใส่ในแฟ้ม เธอยิ้มอย่างพอใจแล้วเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานเพื่อเก็บแฟ้ม

ทันใดนั้นเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น สุพัฒนารีบเขยิบไปอีกตู้แล้วคว้าแฟ้มขึ้นมาอ่านก่อนจะรู้ว่านิพนธ์เดินเข้ามา

สุพัฒนาเล่าให้บัวเกี๋ยงฟังเสร็จแล้วก็ยิ้มอย่างสะใจ
“เป็นไงล่ะ ฉันเก่งไหม”
บัวเกี๋ยงหน้าแหย “เอ่อ...คุณเล็กคะ เล่าใหม่อีกรอบได้ไหมคะ บัวเกี๋ยงก็ไม่รู้อยู่ดีว่าไอ้แฮกไอ้ปาดเวิด โปแกมอะไรเนี่ยมันคืออะไร”
สุพัฒนาเอานิ้วจิ้มหัวบัวเกี๋ยง
“นึกแล้วว่าแกต้องโง่ ฉันไม่เล่าแล้ว”
“ก็ได้ค่ะ ช่างมัน ถึงยังไงนังนิดก็โดนคุณเล็กเขี่ยกระเด็นอยู่ดี”
สุพัฒนายิ้มด้วยความสะใจ “อยากเห็นตอนนังนั่นหิ้วกระเป๋าออกจากไร่ฉันไปชะมัดเลย มันคงเป็นภาพที่ฉันจะจำไม่รู้ลืม”
บัวเกี๋ยงหัวเราะชอบใจ “บัวเกี๋ยงก็จะได้หมดเสี้ยนหนามซะที”
สุพัฒนาหันมามองบัวเกี๋ยง บัวเกี๋ยงรีบพูดกลบเกลื่อนทันที
“บัวเกี๋ยงหมายถึง มันไปให้พ้นหูพ้นตาซะทีก็ดี เห็นทีไรก็รำคาญ กลัวมันจะทำร้ายคุณเล็กค่ะ มันก็เลยเหมือนเสี้ยนตำ อยากจะสะกิดออกอะไรอย่างนี้น่ะค่ะ”
สุพัฒนางง “แกนี่มาเพ้อเจ้ออะไร”
สุพัฒนาไม่สนใจบัวเกี๋ยงต่อ เพราะเธอกลับมานึกสะใจนริศรา
นริศรานั่งวัดต้นกาแฟที่แปลงกาแฟท้ายไร่จนเสร็จ แล้วเธอก็จดบันทึกลงสมุด จากนั้นก็เดินดูต้นกล้ากาแฟที่ปลูกเสร็จแล้วด้วยความเศร้า
นริศราเดินกลับมายังจุดที่วางกล่อง เธอเอาสมุดใส่กล่องแล้วก็หันกลับ แต่ก็ต้องตกใจที่เห็นภูชิชย์ยืนรออยู่
นริศราสะดุ้ง “เอ่อ...ฉันมาบันทึกรายงานประจำวัน”
“ฉันเห็นแล้ว ขยันจดวันสุดท้ายเลยนะ” ภูชิชย์บอก
“ขอบคุณที่มองฉันในแง่ดีค่ะ”
“เปล่า...ฉันมองเธออย่างที่เธอเป็นต่างหาก”
นริศราแกล้งหัวเราะ “พ่อเลี้ยงมีอารมณ์ขันเหมือนกันนะคะ”
“ฉันพูดจริงนะ” ภูชิชย์บอก
นริศรายืนกล่องให้ภูชิชย์ “กุญแจห้องเก็บเครื่องมือ สมุดพวกค่าใช้จ่ายต่างๆ ส่วนในสมุดรายละเอียด ฉันลงตารางงานของแต่ละส่วนที่จะต้องทำเสร็จแล้วค่ะ”
ภูชิชย์มองกล่องแต่ยังไม่รับ “นริศรา เธออยากจะอธิบายอะไรกับฉันอีกไหม”
“อธิบายมันก็แค่คำพูด เอาเป็นฉันรู้ก็แล้วกันค่ะว่าฉันทำหรือไม่ได้ทำ ฉันต้องไปแล้ว ช่วยรับไปเถอะค่ะ”
“แล้วไร่กาแฟแปลงนี้ล่ะ เธอจะทิ้งมันไปเหรอ” ภูชิชย์ถาม
“ฝากพ่อเลี้ยงติดตามผลให้หน่อยแล้วกัน แต่ไม่ต้องประคบประหงมดูแลอะไรหรอกค่ะ” นริศรามองไปที่แปลงกาแฟ “ฉันเชื่อว่าพวกมันจะแกร่งและอดทนเหมือนฉัน ถ้าวันหนึ่งมันสำเร็จ พ่อเลี้ยงก็ถ่ายทอดความรู้นี้เป็นให้กับชาวบ้านด้วยนะคะ”
“กลับไปทำกับนายวัสที่กรุงเทพฯไหม” ภูชิชย์เสนอ
“ที่นั่นชื่อบริษัทสุพัฒนาการเกษตรนะคะ”
ภูชิชย์ชะงัก “งั้นฉันจะหา...”
นริศราจับมือภูชิชย์เพื่อให้รับกล่องเอาไว้
“ส่วนกุญแจรถฉันจะไปฝากไว้ที่คุณนิพนธ์นะคะ” นริศราบอก
“เราจะเจอกันอีกไหม” ภูชิชย์ถาม นริศรามองอย่างงงๆ ภูชิชย์รีบพูดต่อ “เอ่อ..ฉันหมายถึงเธอต้องมาเซ็นรับเงินเดือนส่วนที่เหลือกับพวกเงินเก็บสะสมน่ะ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันออกไปแบบคนที่มีความผิด ฉันก็ไม่ควรได้อะไรไป” นริศรายิ้ม “ฉันลานะคะพ่อเลี้ยง”
ภูชิชย์ดึงแขนนริศราไว้ “เดี๋ยวสิ...ขอให้ฉันไปส่งได้ไหม ที่สนามบิน ท่ารถ หรือที่กรุงเทพฯก็ได้”
“ขอบคุณค่ะ แต่อย่าดีกว่า”
นริศราเดินจากไป ภูชิชย์ไม่กล้าที่จะเหนี่ยวรั้งอะไรแล้ว เขาได้แต่ยืนมองแล้วถอนใจด้วยความเครียด

นิพนธ์นั่งดูใบเบิกที่นริศราเซ็นไว้อยู่ที่โต๊ะทำงาน เขาพลิกดูแล้วดูอีก
“คุณนิดเนี่ยนะจะคิดโกงเงิน ทำไมรู้สึกว่ามันมีอะไรแปลกๆ”
นิพนธืนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ในอดีต ตอนที่เขาเปิดประตูสำนักงานมาเห็นสุพัฒนายืนอยู่หน้าตู้ใส่เอกสารและทำเหมือนยืนดูแฟ้มงาน พอสุพัฒนาเห็นนิพนธ์เปิดประตูเข้ามาก็ยิ้มนิ่งๆ
“อ้าว...นิพนธ์ นึกว่ากลับไปแล้ว” สุพัฒนาทัก
“ผมลืมกุญแจบ้านพักน่ะครับ”
“อ๋อ...เหรอ”
สุพัฒนาพยักหน้ารับรู้ แล้วเธอก็วางแฟ้มงานในมือใส่ตู้ จากนั้นจึงเลือกแฟ้มอันใหม่มาเปิดดูอีก

นิพนธ์นึกถึงเหตุการณ์ต่อจากนั้น ตอนที่เขาเดินมาไขกุญแจลิ้นชักหยิบกุญแจบ้านพัก แล้วปิดลิ้นชักไขกุญแจล็อค พอจะลุกขึ้นนิพนธ์ก็มองเห็นสิ่งผิดปกติที่พื้น
เขาเห็นเครื่องปริ๊นเตอร์เสียบปลั๊กอยู่
“เฮ้ย...วันนี้เราเสียบปลั๊กเหรอ ก็มันไม่มีอะไรต้องปริ๊นท์นี่นา” นิพนธ์ส่ายหน้า “เริ่มโก๊ะแล้วเว้ย”
นิพนธ์ดึงปลั๊กออกแล้วเดินออกจากห้องไป

นิพนธ์เหม่อคิดถึงเหตุการณ์ในอดีตเหล่านั้น สักพักนริศราก็เดินเข้ามาแล้วเคาะโต๊ะ นิพนธ์สะดุ้ง
“อ้าว...คุณนิด”
“นิดเอากุญแจรถมาคืนค่ะ”
นริศราบอกแล้ววางกุญแจรถลงบนโต๊ะ แล้วเธอก็เห็นเอกสารในมือนิพนธ์
“ผมไม่เชื่อว่าคุณนิดทำ” นิพนธ์อธิบาย
นริศราแกล้งหัวเราะกลบเกลื่อน “นิดก็ไม่เชื่อค่ะ”
“โธ่...คุณนิด ยังทำตลกอีก ผมว่าเรามาช่วยกันหาความจริงดีกว่าไหมครับ ผมเชื่อว่าพ่อเลี้ยงก็คิดเหมือนผม แต่...เอ่อ...”
“ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะคุณนิพนธ์ ถ้านิดอยู่มันจะดูว่านิดเอาเปรียบนายผล คุณนิพนธ์ก็จะเสียไปด้วย นิดไม่อยากให้คนอื่นต้องมาลำบากเพราะนิดอีก ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมานะคะ”
นิพนธ์ลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมือเพราะจะขอจับมือกับนริศรา นริศราจับมือนิพนธ์ตอบ
“ผมก็ยินดีมากที่ได้ร่วมงานกับคุณนิดครับ ขอให้คุณนิดโชคดีนะครับ” นิพนธ์อวยพร
ทั้งสองยิ้มให้กันแล้วนริศราก็เดินออกจากห้องไป นิพนธ์มองตามแล้วมองเอกสารในมือด้วยสีหน้าครุ่นคิด

นริศราเดินมาเจอสุพัฒนาและบัวเกี๋ยงที่เดินเข้ามาขวาง ทั้งสองมองนริศราอย่างสะใจ
“นึกว่าไสหัวไปแล้วซะอีก” สุพัฒนาเอ่ย
“ฉันกำลังจะไปค่ะ” นริศราบอก
นริศราจะเดินเลี่ยงไปแต่บัวเกี๋ยงเดินมาขวางไว้อีก
“นี่น่ะเหรอนักเรียนนอก มาจากตระกูลทหารชั้นสูง ที่แท้ก็หัวขโมย ถามจริงๆเถอะกำมะลอกันทั้งตระกูลหรือเปล่าเนี่ย” บัวเกี๋ยงกระแหนะกระแหน
นริศราหันมาแล้วเดินเข้าไปตบบัวเกี๋ยงฉาดใหญ่ สุพัฒนามองอย่างอึ้งๆ
บัวเกี๋ยงร้องกรี๊ดด้วยความโกรธแล้วจะเข้าไปตบนริศรา “นังนิด”
นริศราตบบัวเกี๋ยงอีกทีแล้วผลักบัวเกี๋ยงจนกระเด็นไป
“ไหนๆก็จะไปแล้ว ฉันขอปิดบัญชีกับเธอเลยแล้วกันนะบัวเกี๋ยง”
บัวเกี๋ยงร้องกรี๊ดแล้ววิ่งเข้าไปหาสุพัฒนา “คุณเล็ก..คุณเล็กช่วยบัวเกี๋ยงด้วย คุณเล็กตบมันล้างแค้นให้บัวเกี๋ยงด้วยสิคะ”
“นังนิด แก...” สุพัฒนาไม่พอใจ
“คุณก็เหมือนกัน ฉันไม่ใช่พนักงานของที่นี่อีกแล้ว อย่ามาจิกหัวเรียก ไม่งั้นฉันไม่เกรงใจนะ” นริศราเตือน แล้วเธอก็เดินหน้าเข้มออกไป สุพัฒนาเห็นก็รีบถอยทันที
“อีบ้า อีอันธพาล อย่ามาทำตัวนักเลงที่นี่นะ ไม่งั้นฉันจะเรียกตำรวจมาลากแกไป” สุพัฒนาตะโกน
นริศราจ้องหน้าแล้วเดินผ่ากลางพร้อมทั้งผลักสุพัฒนากับบัวเกี๋ยงกระเด็นไปคนละทาง
“อุ๊บส์...พอดีพวกคุณยืนขวางทางฉันค่ะ” นริศราว่าแล้วเธอก็เดินเชิดออกไป สุพัฒนากกับบัวเกี๋ยงได้แต่มองหน้ากันด้วยความอึ้งและเหวอ
“กรี๊ด...นังนิดฉันเกลียดแก” สุพัฒนาร้องลั่น

นริศราเดินอย่างอารมณ์เสียมาตามทางเดินในไร่ แล้วเธอก็หยุดมองไปทั่วบริเวณ
“ที่ไร่นี้จะไม่ให้ฉันจากไปอย่างที่ยังเหลือความรู้สึกดีๆบ้างเลยใช่ไหม”
สายลมเอื่อยๆ พัดมากระทบตัวนริศรา นริศราหันไปมองก็เห็นไร่องุ่นมีลมพัดผ่าน แสงแดดอ่อนๆส่องไปจับที่ผลองุ่นซึ่งออกผลจนเต็มไร่ แลดูชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำ นริศราสูดกลิ่นหอมขององุ่น นริศรารู้สึกดีจึงเดินเข้าไปในไร่
นริศราเดินดูไร่องุ่นไปเรื่อยๆ เธอสัมผัสลำต้น ใบ และผลคล้ายจะเก็บเป็นความทรงจำเอาไว้ เธอเดินผ่านคนงานที่กำลังทำค้างองุ่น นริศราเดินเข้าไปช่วยทำเล็กน้อยก่อนจะเดินดูต่อไป สักพักก็มีรถกระบะคนงานแล่นมาจอด
“คุณนิด” เป็งซึ่งเป็นคนขับเรียก
“ฉันกำลังจะไปแล้วล่ะ แค่อยากมาลาต้นไม้พวกนี้เท่านั้น” นริศราบอก
“คุณนิดอยากไปให้ทั่วไร่ไหมล่ะครับ” เป็งที่นั่งมาด้วยถาม
นริศรายิ้ม แล้วนริศราก็ขึ้นไปนั่งท้ายรถกระบะ รถกระบะแล่นไปอย่างช้าๆ เธอมองบรรยากาศทั่วไร่
อย่างมีความสุข

ภูชิชย์นั่งอ่านสมุดที่นริศราจดอยู่ตรงหน้าผาที่แปลงกาแฟท้ายไร่อย่างหงอยเหงา
“ฮึ...จดซะละเอียดเลย” ภูชิชย์ยิ้ม
นิพนธ์เดินเข้ามาหยุดตรงหน้า
“อ้าว...นิพนธ์ รู้ได้ไงว่าฉันอยู่นี่” ภูชิชย์เงยหน้าขึ้นถาม
“ตอนนี้คนงานไม่ยอมทำงานกัน แต่พ่อเลี้ยงไม่รู้เรื่อง แสดงว่าต้องอยู่ในที่ๆไม่ต้องการคนงานครับ” นิพนธ์ตอบ
ภูชิชย์พูดด้วยเสียงเหนื่อยใจ “แล้วทำไมคนงานถึงสไตรค์ล่ะ บอกหรือเปล่าว่าอยากได้อะไร”
“พวกเขาอยากส่งคุณนิดครับ”
ภูชิชย์ชะงักไปแล้วนั่งนิ่ง
“พ่อเลี้ยงจะไปส่งเธอไหมครับ” นิพนธ์ถามขึ้น
ภูชิชย์ส่ายหน้า “ผมถามเขาแล้วแต่นริศราเขาปฎิเสธ”
“ถ้างั้นผมขออนุญาตเอารถไปส่งเธอนะครับ” นิพนธ์ขอ
ภูชิชย์แอบตื่นเต้น “นริศราบอกเหรอว่าจะไปไหน”
“แฮ่ะๆๆ ผมยังไม่ได้ถามเลยครับ”
“งั้นนายรีบไปส่งเลยนะแล้วมาบอกด้วยว่าเขาไปไหน” ภูชิชย์สั่ง
นิพนธ์พยักหน้ารับแล้วเดินออกไป ภูชิชย์แอบอมยิ้มอยู่คนเดียว

พรกับแม่อุ้ยขนของของนริศราซึ่งมีแค่กระเป๋าใบเดียวลงมาจากบ้านพัก โดยมีลุงปั๋น เจมส์ และคนงานทุกคนยืนรอส่ง
เจมส์เดินเข้ามาหานริศรา
“ผมเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้นะครับ แต่ยังไงผมก็อยากจะบอกว่าพี่นิดเป็นคนดีสำหรับผม ขอบคุณที่เทรนงานผมนะครับ You’re the best. ครับ”
เจมส์กับนริศราจับมือกัน แล้วนริศราก็เดินมาหาคนงาน
“ขอบคุณทุกคนสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมานะ” นริศราบอก
“คุณนิดไม่ต้องขอบคุณหรอกครับ เพราะพวกเราเองก็เคยทำไม่ดีกับคุณนิด” หนานพูด
นริศรายิ้ม “ฉันขอจำแต่ความดีกับความน่ารักของทุกคนได้ไหม”
บรรดาคนงานหญิงได้ยินก็เริ่มร้องไห้ ฝ้ายเดินเข้ามายกมือไหว้
“ขอบคุณนะคะฉันจะไม่ลืมเลยว่าครั้งหนึ่งคุณนิดยอมเสี่ยงชีวิตช่วยลูกฉัน”
“ต่อไปก็ดูแลลูกดีๆนะ ไข้เลือดออกน่ะถึงหายแล้วก็กลับมาเป็นได้อีก”
ฝ้ายร้องไห้แล้วถอยออกมา นริศราเข้าไปไหว้แม่อุ้ยกับลุงปั๋น
“ฉันไปนะจ๊ะแม่อุ้ย ลุงปั๋น ขอบคุณที่ดูแลฉันอย่างดีนะ” นริศราเดินไปหาพรที่กำลังร้องไห้อยู่ “ขอบคุณนะพรที่ให้ฉันพักด้วย ฉันดีใจนะที่ได้เป็นเพื่อนกับเธอ”
พรร้องไห้โฮ แม่อุ้ยน้ำตาไหลตาม ทั้งสองเดินเข้ามากอดนริศรา
“รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีนะ ขอให้คุณนิดของพวกเราโชคดีนะคะ” แม่อุ้ยอวยพร
“ขอบคุณจ้ะ”
“แล้วคุณนิดจะไปยังไงครับ” ลุงปั๋นถาม
“ฉันจะเดินไปรอรถที่ถนนหน้าไร่จ้ะ”
“ห๊า...จากนี่ไปหน้าไร่ก็ไกลแล้ว แล้วเดินไปป้ายรถที่ถนนใหญ่อีกมันจะไหวเหรอครับ ผมว่าผมเอารถไปส่งคุณนิดที่ท่ารถเลยดีกว่า”
“อย่าเลยลุงปั๋น เดี๋ยวจะเป็นเรื่องอีก”
จู่ๆ นิพนธ์ก็เดินแทรกคนงานเข้ามา
“ไม่หรอกครับ ผมขอพ่อเลี้ยงแล้ว ให้ผมไปส่งนะครับ” นิพนธ์บอก
นริศรารู้สึกอึดอัดใจ แต่นิพนธ์เดินมาคว้ากระเป๋าไปใส่ที่รถ
“คุณนิพนธ์อย่า” นริศราพยายามห้าม
แต่นิพนธ์ไม่สนใจเดินไปเปิดประตูรอ นริศรามองอย่างละเหี่ยใจ

นิพนธ์ขับรถไปตามทาง โดยมีนริศรานั่งอยู่ข้างๆ
“คุณนิดจะไปที่ไหนครับ ผมไปส่งได้ทุกที่ ไม่ต้องเกรงใจนะครับ”
“นิดขอลงแค่ที่หน้าไร่ก็พอค่ะ เดี๋ยวนิดต่อรถประจำทางไปเอง” นริศราบอก
“อ้าว ทำไมล่ะครับ ผมไปส่งได้จริงๆนะครับ”
“ขอบคุณมากค่ะคุณนิพนธ์ นิดรู้ดีว่าทุกคนเป็นห่วงนิด แต่นิดสบายใจที่จะไปเองค่ะ”
นิพนธ์แอบมองนริศราอย่างชั่งใจว่าจะเอาอย่างไรดี

นิพนธ์ยืนรอรถอยู่กับนริศราที่ป้ายรถเมล์หน้าไร่สุพัฒนา
“แล้ววันนึงผมจะช่วยพิสูจน์ความจริงให้คุณนิดนะครับ ผมหวังว่าถึงวันนั้นแล้วคุณนิดจะกลับมา” นิพนธ์บอก
นริศรายิ้ม “ขอบคุณค่ะ แต่นิดคงไม่กลับมาทำงานที่นี่แล้วล่ะค่ะ”
“คุณนิดอย่าเพิ่งยอมแพ้สิครับ”
“นิดว่าพอแล้วดีกว่าค่ะ นิดสู้มาหลายครั้งแล้ว มันก็ไม่เคยมีอะไรดีขึ้น ถึงคราวนี้จะชนะอีก มันก็จะมีเรื่องต่อๆไป นิดมองไม่เห็นทางที่จะทำให้ไร่นี้สงบสุข นอกจากนิดจะไปจากที่นี่” นริศราเห็นรถประจำทางแล่นมาแต่ไกล “นิดต้องไปแล้วล่ะค่ะ”
รถประจำทางแล่นเข้ามาจอดที่ป้าย นริศราก้มหยิบกระเป๋าที่วางอยู่ที่พื้นแล้วจะเดินไปขึ้นรถ
นิพนธ์นึกขึ้นได้ก็รีบถาม “แล้วคุณนิดจะไปลงที่ไหนครับ”
นริศรายิ้มแต่ไม่ตอบคำถามนิพนธ์ “ลาก่อนนะคะ”
นริศราเดินไปขึ้นรถ เธอหันมายิ้มให้แล้วเดินขึ้นรถไป ประตูรถปิด แล้วรถประจำทางก็แล่นออกไป
นิพนธ์พูดเบาๆ “โชคดีนะครับคุณนิด”

สุพัฒนานั่งดูเอกสารแล้วเช็คงานกับคอมพิวเตอร์อยู่ที่โต๊ะนิพนธ์ สักพักนิพนธ์ก็เดินเข้ามา
“พ่อเลี้ยงยังไม่กลับเข้ามาเหรอครับ” นิพนธ์ถาม
“ยังนี่ เธอรู้ไหมว่าพี่ภูอยู่ไหน” สุพัฒนาถามกลับ
“ผมเอ่อ...ไม่ทราบครับ”
“หวังว่าคงไม่แอบหนีตามนังนิดไปนะ” สุพัฒนาพูดแล้วก็นึกได้ “นังนิดไปแล้วใช่ไหม”
“ครับ”
“ดี ต่อไปนี้ฉันจะกลับมาทำงานแทนเธอ ส่วนเธอก็กลับไปเป็นผู้จัดการไร่เหมือนเดิม”
“ครับ”
“ทีนี้ไร่เราก็จะสงบสุขอีกครั้ง” สุพัฒนาบอก
“ครับ”
“พูดอย่างอื่นบ้างก็ได้นะ ฉันไม่อยากฟังแต่ครับๆๆ”
“คุณเล็กคิดว่ามีคนแกล้งคุณนิดหรือเปล่าครับ” นิพนธ์เอ่ยถาม
สุพัฒนาตวาด “นิพนธ์!”
“ผมขอตัวไปดูงานในไร่เลยแล้วกันนะครับ”
สุพัฒนากับนิพนธ์จ้องหน้ากัน แล้วนิพนธ์ก็เดินออกไป สุพัฒนามองตามอย่างไม่พอใจ
“มันคงไม่ฉลาดจับฉันได้หรอกน่า” สุพัฒนาพึมพำ

ภูชิชย์นั่งอ่านสมุดบันทึกอยู่ที่หน้าผาจนจบเล่ม
“เขียนละเอียดยังกับสอนเด็กใหม่” ภูชิชย์พูดกับสมุด “ฉันน่ะมืออาชีพนะนริศรา”
ภูชิชย์นั่งขำอยู่คนเดียวแล้วหันไปก็เห็นนิพนธ์กำลังยืนมองอยู่ด้วยสายตางงๆ ภูชิชย์ตกใจแต่รีบวางฟอร์มกลบเกลื่อน
“ทำไมกลับมาเร็ว ไปส่งเขาที่ไหน”
“แค่ที่ป้ายรถหน้าไร่ครับ” นิพนธ์ตอบ
ภูชิชย์งง “แค่หน้าไร่เองเหรอ”
“คุณนิดเธอเกรงใจ ไม่อยากใช้รถของไร่เราครับ”
“แล้วเขาบอกหรือเปล่าจะไปไหน”
“ผมก็ไม่ทราบนะครับ แต่รถคันที่คุณนิดขึ้นมันไปเชียงใหม่ครับ”
“งั้นก็คงไปหาแฟนเขา”
“คุณโป๊ะน่ะเหรอครับ”
ภูชิชย์หงุดหงิดขึ้นมาทันที “ก็จะใครอีกล่ะ”
นิพนธ์มองภูชิชย์อย่างขำๆ เพราะเขารู้สึกว่าภูชิชย์น่าจะชอบนริศรา
“นายนี่มันไม่ได้เรื่อง” ภูชิชย์ว่าแล้วก็ลุกเดินไปขึ้นรถแล้วขับออกไป นิพนธ์มองตาม
“แล้วไล่เขาไปทำไมล่ะครับพ่อเลี้ยง”

มัลลิกานั่งอยู่กับเพื่อนที่ร้านอาหาร เพื่อนกินข้าวกันแต่มัลลิกายังนั่งกอดอกมองอาหารเงียบๆ จนเพื่อนต้องหยุดกินแล้วหันมามอง
“มอลลี่ยูเป็นอะไรหรือเปล่า นัดไอมากินข้าว แต่ยูกลับมานั่งมองข้าว”
“ไม่มีอะไรหรอก ไอขอกลับบ้านก่อนนะ” มัลลิกาลุกขึ้น
เพื่อนคนหนึ่งรีบคว้ามือมัลลิกาไว้ “เฮ้ย เดี๋ยว นั่งก่อน ยูยังไม่ได้กินอะไรเลย แล้วไหนบอกจะไปช็อปปิ้งด้วยไง”
มัลลิกานั่งลงตามเดิม “ก็ไอไม่อยากกิน ไม่อยากช็อปแล้วนี่”
“ยูดูแปลกๆนะ มีเรื่องอะไรที่ทำงานหรือเปล่า” เพื่อนถามแล้วนึกได้ถึงกับตาโต “หรือว่า เรื่องพี่วัส”
เพื่อนทั้งสองมองหน้ากันตาโต มัลลิกายังนั่งนิ่ง
“ทำไม นักสืบของไอให้ข้อมูลเด็ดอะไรมาเหรอ หรือว่า...พี่วัสเป็นเกย์” เพื่อนถาม
“เฮ้ย จริงดิ” เพื่อนอีกคนรับมุก แล้วเพื่อนๆ ก็หัวเราะกัน “จริงๆเลยน้ามอลลี่ ตามแทบตาย ได้เก้งกวางมาซะงั้น”
“มันไม่ใช่ว่าได้เก้งกวางมา แต่มันจะได้สามีคนอื่นเขามาน่ะสิ” มัลลิกาพูด
เพื่อนๆ ตกใจ “หา!”
มัลลิกาถอนใจด้วยความเซ็ง

มัลลิกาขับรถออกมาจากร้านอาหารด้วยสีหน้าเครียดมาตลอดทางก่อนจะตัดสินใจจอดข้างทาง มัลลิกาถอนใจแล้วหลับตาพัก สักพักเธอก็หยิบซองสีน้ำตาลออกมา แล้วหยิบรูปวิทวัสกับครอบครัวที่อยู่ในซองออกมาดูอีกครั้ง
“พี่วัส...รัชนิดา...ลูกหนู”
มัลลิกาเอารูปใส่ซองแล้วปาไปท้ายรถด้วยความเจ็บใจ

นริศรานั่งรอพิสุทธิ์อยู่ในร้านกาแฟกลางเมืองเชียงใหม่ ครู่หนึ่งพิสุทธิ์ก็เดินยิ้มร่าเข้ามา
“ไงนิด มีข่าวดีอะไรเหรอ ถึงได้นัดเราออกมาที่นี่ ร้านกาแฟที่โรงแรมก็มี”
“เราไม่อยากเจอพี่นาน่ะ” นริศราบอก
“อือๆ เข้าใจ ไหนมีข่าวดีอะไร”
“เราออกจากไร่สุพัฒนาแล้วนะ”
พิสุทธิ์ตกใจ

หลังจากฟังเรื่องจากนริศรา พิสุทธิ์ก็เดินอย่างฉุนเฉียวออกมาจากร้าน แล้วมุ่งไปที่รถ
“โป๊ะ ไม่เอาน่า อย่าทำอย่างนี้” นริศราเดินตามมาปรามไว้
“แล้วพวกนั้นมาทำแบบนี้กับนิดก่อนทำไมล่ะ เราจะไปเอาเรื่องให้ถึงที่สุด”
“โป๊ะ...ฟังนะ สิ่งที่เราโดนมันหนักแล้วก็ร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเรายังอยู่ต่อก็ไม่รู้จะเจออะไรที่หนักกว่านี้ เราออกมาตอนนี้ดีที่สุดแล้ว”
พิสุทธิ์คิดตามแล้วสงบลง “เราขอโทษ เราโมโหไปหน่อย แล้วนี่นิดจะทำยังไงต่อ”
“เราคิดว่าจะหาเกสท์เฮาส์พักก่อนสักคืน แล้วพรุ่งนี้ค่อยหางานทำที่นี่ เพราะถ้ากลับกรุงเทพฯพี่นาก็คงไม่ให้เราเข้าบ้านอยู่ดี”
“มาทำงานโรงแรมกับเรานะ”
“อย่าเลย เราไม่อยากให้พ่อแม่ของโป๊ะลำบากใจ โป๊ะเองก็จะพลอยแย่ไปด้วย” นริศราปฏิเสธ
พิสุทธิ์ถอนใจ “ถ้างั้นเราจะหางานให้ ลูกค้าวีไอพีที่นี่หลายคนก็สนิทกับเราๆจัดการเอง”
นริศราจะอ้าปากพูดแต่พิสุทธิ์แทรกขึ้นมาก่อน “ห้ามปฎิเสธ!”
นริศรายิ้ม “โอเค งั้นเราเปลี่ยนเป็นขอบคุณแล้วกัน....เพิ่งรู้ว่าโป๊ะดุนะเนี่ย”
พิสุทธิ์หัวเราะ “งั้นเดี๋ยววันนี้เราพานิดไปหาที่พักก่อนดีกว่า กระเป๋าอยู่ที่ไหนล่ะ”
“เราฝากไว้ที่ห้างน่ะ”
ทั้งสองขึ้นรถ แล้วพิสุทธิ์ก็ขับรถออกไป

พิสุทธิ์พานริศรามาที่บ้านพักสไตล์ล้านนา แล้วก็หันไปบอกเพื่อนสาว
“คืนนี้นิดพักที่นี่ก่อนก็แล้วกัน นี่ถ้าพี่สะใภ้นิดไม่ได้อยู่ที่โรงแรมนะ เราจะเปิดห้องสวีทให้เลย”
“แหม แค่นี้ก็ดีถมไปแล้ว เราไปนะ” นริศราหันหลังจะเดินขึ้นบันไดบ้าน
จู่ๆ พิสุทธิ์ก็คิดอะไรขึ้นได้ “นิด”
นริศราหันมา “อะไรเหรอ”
“ยังไม่ดึกเลย ไปเที่ยวกันไหม”
“เราไม่มีกระจิตกระใจเที่ยวหรอก”
“แต่เราว่านิดอยู่ในห้องคนเดียวก็จะเครียดเปล่าๆ ไปเที่ยวเถอะวันนี้มีถนนคนเดิน เราอยากไป ตั้งแต่มานี่ยังไม่ได้ไปเลย”
“โห...ตอนแรกนึกว่าหวังดีกับเรา ที่แท้ก็ตัวเองอยากไปนี่เอง”
นริศราพูดแล้วยิ้มด้วยแววตาที่มีความสุขขึ้น พิสุทธิ์ก็ยิ้มอย่างมีความสุขที่เห็นนริศราหายซึม

บรรดาคนงานนั่งกินข้างกันอย่างหงอยๆ ในโรงอาหาร
“ไม่มีคุณนิด กินข้าวไม่อร่อยเลยเนอะ ป่านนี้จะไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้” พรเป็นห่วง
“นั่นสิพูดแล้วข้าก็อยากร้องไห้ คิดถึงแกเน๊อะ” แม่อุ้ยว่า
บัวเกี๋ยงเดินเข้ามาเห็นพวกคนงานเศร้าซึมก็หมั่นไส้
“อู๊ยยย..จะคร่ำครวญอะไรนักหนา พ่อแม่ตายก็ไม่ใช่ ยัยนั่นน่ะดีแล้วที่ไปๆได้ซะทีหน้าด้านหน้าทนอยู่ได้ตั้งนาน”
“นี่ นังบัวเกี๋ยง คุณนิดเขาไปแล้ว ยังจะมาด่าเขาอีกทำไม” ลุงปั๋นว่า
“อย่าให้รู้นะว่าพี่แกล้งคุณนิด งานนี้ฉันเอาตายแน่” พรขู่
“เออ ไอ้พวกหมาหมู่ สักวันถ้าฉันใหญ่ ฉันจะไล่ออกให้หมดเลยคอยดู”
คนงานทุกคนหัวเราะ แม่อุ้ยด่าบัวเกี๋ยงทันที
“ใหญ่อะไรของเอ็ง จะไปเป็นเมียพ่อเลี้ยงเหรอ นึกว่าข้าดูไม่ออกเหรอ อีคางคกยังไม่ทันได้ขึ้นวอ”
“แม่อุ้ย ถ้าฉันไปถามความเห็นคุณเล็กว่า รู้สึกยังไงถ้าพี่บัวเกี๋ยงจะขึ้นมาเป็นพี่สะใภ้คุณเล็ก คงสนุกดีพิลึกนะ” พรหัวเราะเยาะ
“นี่แม่อุ้ย นังพร อย่ามาพูดพล่อยๆนะ คิดเหรอว่าคุณเล็กจะเชื่อพวกแก”
“ลองดูไหมล่ะ” แม่อุ้ยท้า
“บ้า...ไม่ต้องเลยนะ ห้ามเอาเรื่องนี้ไปกวนใจคุณเล็ก”
บัวเกี๋ยงพูดอย่างเจ็บใจแล้วก็เดินกระทืบเท้าออกไป
“ไอ้พวกบ้า...คอยดูนะ ฉันจะทำให้พวกแกหัวเราะไม่ออกเลย” บัวเกี๋ยงโมโห

พิสุทธิ์พานริศราไปเดินเล่นที่ถนนคนเดิน ทั้งสองยืนดูดนตรีเปิดหมวก ยืนดูการละเล่นต่างๆ และเดินซื้อขนมกินกัน
จากนั้นทั้งคู่ก็ไปเดินเล่นที่ริมปิง นริศราเดินถือขวดน้ำองุ่นพร้อมกับดูดมาเรื่อยๆ ก่อนจะมาหยุดยืนที่ริมแม่น้ำ พิสุทธิ์แอบมองนริศราอย่างมีความสุข
“เราดีใจนะที่เห็นนิดหายเครียด หายเศร้าแล้ว ต่อไปนี้นิดก็ไม่ต้องไปคิดถึงคนพวกนั้นอีกแล้วนะ”
นริศรายิ้มโดยไม่ตอบอะไร เธอเหม่อมองไปข้างหน้า
นริศราถือขวดน้ำองุ่นแล้วใช้นิ้วลูบตรงฉลากตราไร่สุพัฒนาไปมา เธอยังเหม่อมองไปที่แม่น้ำพร้อมกับคิดถึงทุกคนที่ไร่และภูชิชย์







Create Date : 11 มีนาคม 2555
Last Update : 11 มีนาคม 2555 23:16:17 น.
Counter : 289 Pageviews.

0 comment
รักประกาศิต ตอนที่ 9




สุพัฒนาทำเป็นยืนดูแฟ้มงานอยู่หน้าตู้เอกสารพอเห็นนิพนธ์เดินเข้ามาเธอก็ยิ้มพร้อมกับทำนิ่งๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“อ้าว...นิพนธ์ นึกว่ากลับไปแล้ว” สุพัฒนาทักขึ้น
“ผมลืมกุญแจบ้านพักน่ะครับ” นิพนธ์บอก
“อ๋อ...เหรอ”
สุพัฒนาพยักหน้ารับรู้ แล้วก็วางแฟ้มงานในมือใส่ไว้ในตู้ จากนั้นจึงเลือกแฟ้มใบใหม่ขึ้นมาเปิดดู
นิพนธ์งง “ทำไมคุณเล็กถึงมาอยู่ที่นี่ตอนนี้ล่ะครับ”
สุพัฒนาพูดกลบเกลื่อน “ฉันก็แค่เบื่อ ไม่มีอะไรทำ เลยอยากกลับมาดูงานบ้าง เผื่อจะมีอะไรให้ทำจะได้ช่วยเธอด้วย ดีไหมล่ะ
นิพนธ์ยิ้มอย่างปลาบปลื้ม “จริงเหรอครับ”
“จริงสิ ฉันไม่ใช่คนขี้เกียจนะ จะได้แฮปปี้กับการไม่ต้องทำอะไร”
“ถ้าพ่อเลี้ยงรู้ พ่อเลี้ยงก็คงดีใจด้วยแน่ๆ” นิพนธ์บอก
สุพัฒนาพยักหน้าพร้อมกับยิ้ม

บัวเกี๋ยงยังคงยืนอยู่หน้าสำนักงานด้วยใบหน้าหงุดหงิด เธอมองไปรอบๆ ด้วยความกังวล
“นังคุณเล็กบ้ามันทำอะไรของมันวะ ช้าจริง” บัวเกี๋ยงนึกได้ “ตายล่ะ ไม่ใช่ชักตายอยู่ในนั้นแล้วล่ะ โอ๊ย...อยู่กับคนบ้าจนอีบัวเกี๋ยงมันจะบ้าตามไปแล้ว”
บัวเกี๋ยงมองไปในสำนักงานแล้วก็นิ่งคิดสักครู่ก่อนจะตัดสินใจเดินย่องไปด้านข้างของสำนักงาน

สุพัฒนาชูแฟ้มที่กำลังอ่านอยู่ขึ้นแล้วเอ่ยชมนิพนธ์
“เธอจัดระบบเอกสารได้ดีนี่”
“จริงๆคุณนิดเธอเป็นคนมาช่วยจัดให้น่ะครับ ตอนเธอมาเรียนงานกับผมแล้วเห็นว่าแฟ้มต่างๆมันหายากเลยจัดให้ผมใหม่”
“นัง...เอ่อ..ยัยนั่นเขารู้เรื่องการจัดการเอกสารด้วยเหรอ”
“ครับ ไม่ได้จัดแค่ที่นี่นะครับ จัดให้หมดทั้งสำนักงานเลย”
สุพัฒนาชะงักไปเล็กน้อยแต่ก็รีบกลับมายิ้ม “แหม ที่ฉันจัดไว้มันคงดูแย่มากเลยเน๊อะถึงต้องจัดใหม่”
นิพนธ์ได้ยินก็รู้ตัวว่าพลั้งปากไป “คุณเล็กอย่าโกรธคุณนิดเลยนะครับ เธอหวังดีน่ะครับ”
สุพัฒนารีบยิ้มกลบเกลื่อนทันที
“ไม่หรอกน่า ก็เขาทำดีจริงๆนี่ แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะจัดการงานได้ออกมาดีมาก”
นิพนธ์เริ่มงง “คุณเล็กชมคุณนิด?”
“ทำไม ทำดีก็ต้องว่าดีสิ แปลกอะไรนักหนา”
นิพนธ์ยิ้ม “ครับๆ ดีครับ ผมดีใจที่ได้ยินแบบนี้นะครับ”
สุพัฒนาหันหลังแล้วเก็บแฟ้มใส่ตู้ด้วยสีหน้าไม่พอใจ
บัวเกี๋ยงเดินมาหาช่องแอบดูอยู่ที่หน้าประตูสำนักงาน พอมองลอดเข้าไปเห็นนิพนธ์เธอก็ตกใจ
“เฮ้ย คุณนิพนธ์ เข้าไปตั้งแต่เมื่อไหร่วะ ซวยล่ะ นังคุณเล็กเอาฉันตายแน่”
นิพนธ์ที่คุยกับสุพัฒนาในห้องทำงานมีท่าทางกระตือรือร้นขึ้นมา “แล้วคุณเล็กจะกลับมาทำงานเมื่อไหร่ล่ะครับ วันพรุ่งนี้เลยไหมครับ หรือว่าจะทำตอนนี้ก็ได้ ผมจะได้จัดโต๊ะทำงานให้คุณเล็กใหม่”
นิพนธ์กุลีกุจอจะเดินไปจัดโต๊ะ แต่สุพัฒนารีบห้าม
“เอ่อ...ไม่ต้องหรอก ที่จริงฉันก็อยากเริ่มงานเลยนะ แต่สงสัยจะไม่ไหว”
“คุณเล็กเป็นยังไงบ้างครับ” นิพนธ์เป็นห่วง
“ฉันปวดหัวน่ะ คงจะเครียดเพราะอ่านเอกสารเมื่อกี้”
นิพนธ์ยิ้ม “งั้นคุณเล็กไปพักก่อนดีกว่า งานน่ะเริ่มเมื่อไหร่ก็ได้ สุขภาพสำคัญที่สุดครับ ให้ผมช่วยพากลับบ้านนะครับ”
“ไม่ต้องหรอก...ขอบใจนะ” สุพัฒนายิ้มให้ “แล้วฉันจะกลับมาทำงานกับเธอแน่ๆนิพนธ์”
นิพนธ์ดีใจที่ได้ยินเช่นนั้น เขาเห็นสุพัฒนายิ้มให้ก็ถึงกับยืนอึ้ง สุพัฒนาเปิดประตูออกไปอย่างแรงจนกระแทกบัวเกี๋ยงที่แอบดูอยู่หงายหลังลงไปกับพื้น บัวเกี๋ยงตกใจจนอ้าปากค้าง
บัวเกี๋ยงเรียกเจ้านายเสียงอ่อย “คุณเล็ก”
สุพัฒนานิ่วหน้าด้วยความโกรธแต่ก็กลัวนิพนธ์จะจับได้จึงแกล้งเฉไฉ
“อ้าวบัวเกี๋ยง แกตามหาฉันอยู่เหรอ ดีแล้วที่มา ฉันกำลังปวดหัว รีบพาฉันกลับบ้านที”
บัวเกี๋ยงงง “บัวเกี๋ยงตามหาคุณเล็กเหรอคะ?”
สุพัฒนารีบดึงแขนบัวเกี๋ยงให้ลุกตามไป “ไปสิ โอ๊ย ปวดจี๊ดขึ้นมาอีกแล้ว”
สุพัฒนากึ่งเกาะแขนกึ่งลากบัวเกี๋ยงไป นิพนธ์มองตามโดยไม่เอะใจอะไร

พอเดินมาถึงมุมหนึ่งในไร่ สุพัฒนาก็ผลักบัวเกี๋ยงออก
“ทำงานดีเหลือเกินนะแก มัวแต่ทำอะไรอยู่ ถึงปล่อยให้ไอ้นิพนธ์เข้ามาได้”
“บัวเกี๋ยงขอโทษ บัวเกี๋ยงสะเพร่า” บัวเกี๋ยงยื่นหน้าให้ตบ “คุณเล็กตบบัวเกี๋ยงเลยค่ะ”
สุพัฒนาจ้องบัวเกี๋ยงเหมือนจะเอาเรื่องแต่แล้วก็หัวเราะออกมา บัวเกี๋ยงเห็นก็ถึงกับงง สุพัฒนาจิ้มหน้าผากบัวเกี๋ยงจนบัวเกี๋ยงหน้าหงาย
“ฉันกำลังอารมณ์ดี ตบแกไม่ลงหรอก” สุพัฒนาบอก
“อะไรนะคะ” บัวเกี๋ยงขยี้หูตัวเอง
“ตกลงจะให้ฉันตบแกให้ได้เลยใช่ไหม”
สุพัฒนาเงื้อมือทำท่าจะตบเพราะความรำคาญ บัวเกี๋ยงรีบหลบแล้วถามเจ้านาย
“อ๊าย..ไม่ตบน่ะดีแล้วค่ะ แล้วตกลงคุณเล็กไปทำอะไรในสำนักงานเหรอคะ”
“คนโง่เรียนน้อยอย่างแกน่ะ บอกไปก็ไม่เข้าใจหรอก”
สุพัฒนายิ้มร้ายแล้วเดินไปทันที บัวเกี๋ยงค้อนแล้วเดินตามไป

นิพนธ์เดินมาไขกุญแจลิ้นชักโต๊ะทำงานเพื่อหยิบกุญแจบ้านพัก เขาปิดลิ้นชักไขกุญแจล็อค พอจะลุกขึ้นเขาก็มองเห็นสิ่งผิดปกติบางอย่างที่พื้น
นิพนธ์เห็นปลั๊กเครื่องปริ๊นเตอร์เสียบอยู่
“เฮ้ย...วันนี้เราเสียบปลั๊กเหรอ ก็มันไม่มีอะไรต้องปริ๊นท์นี่นา” นิพนธ์ส่ายหน้า “เริ่มโก๊ะแล้วเว้ย”
นิพนธ์ดึงปลั๊กเครื่องปริ๊นเตอร์ออกแล้วก็เดินออกจากห้องไป

เจ้าเทพมงคลยืนอ่านเอกสารอยู่ที่โรงบ่มไวย์ของไร่เทพมงคล เจ้าดาระกากับคนงานยืนลุ้นอยู่ไม่ไกล
“บอกบริษัทนี้ด้วยนะ” เจ้าเทพมงคลพูดขึ้น “เรื่องขึ้นค่าขวดหนึ่งสตางค์น่ะไม่ว่า แต่ถ้าทำไซส์ผิดแบบคราวที่แล้วแล้วเราซีลฝาขวดไม่ได้คราวนี้ฉันไม่ยอมจริงๆ ฉันจะฟ้องแล้วก็ยกเลิกสัญญา”
“จะดีเหรอคะ ถ้าเกิดขึ้นอีกน้องกลัวว่าลูกค้าจะยกเลิกเราซะก่อนสิคะ” เจ้าดาระกาทักท้วง
“เราค้าขายกันมานาน แล้วเขาก็เพิ่งเปลี่ยนเครื่องจักร อะไรๆมันก็ยังไม่ลงตัว พี่อยากให้โอกาสเขาอีกสักครั้ง” เจ้าเทพมงคลบอก
เจ้าดาระกายิ้ม “นี่แหล่ะที่ใครๆก็อยากทำงานกับเจ้าพี่ของน้อง”
เจ้าเทพมงคลกับเจ้าดาระกายิ้มให้กัน เจ้าเทพมงคลก้มเซ็นเอกสารแล้วส่งให้เจ้าดาระกาเซ็นต่อ ก่อนจะส่งให้คนงาน ทั้งสองหันหลังกลับเพื่อจะเดินออกแต่ก็เห็นเจ้าทิพย์ดารายืนยิ้มอยู่
“อ้าว...เจ้าน้อย ทำไมมาเงียบๆล่ะลูก” เจ้าดาระกาถามอย่างดีใจ
เจ้าทิพย์ดาราเดินเข้ามากอดบิดากับมารดา
“น้อยกลับมาเห็นเด็กบอกว่ามาดูงานที่นี่เลยตามมาค่ะ”
“พอดีมันมีเรื่องการบรรจุไวน์นิดหน่อย นี่พ่อกับแม่ก็เลยยุ่งแต่เช้าเลย” เจ้าดาระกาบอก
“น้อยนึกว่าเจ้าพ่อไปตรวจร่างกายซะอีก”
เจ้าทิพย์ดารามองหน้าบิดามารดาอย่างคาดคั้น เจ้าเทพมงคลกับเจ้าดาระกาหน้าเจื่อนไปเพราะรู้ตัวว่าเผลอแสดงพิรุธไปเสียแล้ว

เจ้าทิพย์ดารานั่งหน้างออยู่ที่ห้องรับแขก โดยมีเจ้าเทพมงคลกับเจ้าดาระกานั่งจ๋อยอยู่ข้างๆ ทั้งสองกระแซะไหล่เพื่อเกี่ยงกันให้เริ่มต้นคุยกับบุตรสาว
“เอ่อ...เจ้าน้อย พ่อกับแม่ขอโทษนะลูก” เจ้าเทพมงคลตัดสินใจพูด
“แต่ที่พ่อกับแม่ทำไปก็เพราะหวังดีนะจ้ะ” เจ้าดาระกาเสริม
เจ้าทิพย์ดาราแกล้งทำเป็นงอนไม่พูดอะไรจนผู้ให้กำเนิดทั้งสองมองหน้ากันแล้วถอนใจด้วยความเครียด
“เอาละๆ พ่อยอมแพ้แล้ว ถ้าลูกกับคุณโป๊ะแล้วไม่คลิ๊กก็ไม่เป็นไร”
เจ้าทิพย์ดาราที่แกล้งทำหน้างออยู่ทนไม่ไหวปล่อยหัวเราะออกมาทันที
“คลิ๊กเหรอคะ” เจ้าทิพย์ดาราขำ “เดี๋ยวนี้เจ้าพ่อใช้ศัพท์วัยรุ่นด้วย”
เจ้าดาระกาค้อน “นี่แกล้งงอนพ่อกับแม่เหรอ”
“แหม...ก็หลอกน้อยก่อนทำไมล่ะคะ”
“แล้วตกลงว่าไงพ่ออยากรู้ผล”
เจ้าทิพย์ดารายิ้มเจ้าเล่ห์แล้วแกล้งเฉไปเรื่องอื่น
“ไปได้ดีค่ะ น้อยเสนอที่ประชุมว่าเราจะต้องทำเรื่องเชิญคนดังๆให้ส่งของที่เขาประดิษฐ์เองมาให้ประมูล ทางคุณโป๊ะก็จะดูแลเรื่องการออกแบบเวทีให้ด้วยนอกเหนือจากการให้ใช้สถานที่จัดงาน เรียกว่าอะไรที่เกี่ยวกับโรงแรมคุณโป๊ะให้ฟรีหมดค่ะ”
“เอ่อ...เจ้าน้อยจ๊ะ แม่ว่าเจ้าพ่ออยู่รู้ผลเรื่องลูกกับคุณโป๊ะ แบบว่าได้คุยกันเรื่องอื่นที่ไม่ใช่เรื่องงานไหม” เจ้าดาระกาเข้าประเด็น
“อ๋อ....เรื่องคลิ๊กน่ะเหรอคะ น้อยน่ะคลิ๊กกับคุณโป๊ะตั้งแต่แรกแล้วค่ะ” เจ้าทิพย์ดาราตอบ
เจ้าเทพมงคลกับเจ้าดาระกาถามด้วยความตกใจพร้อมกัน “จริงเหรอ?”
ทั้งสองมองหน้ากันอย่างแปลกใจแต่ก็แฝงไปด้วยความดีใจ
“แต่คลิ๊กแบบเพื่อนนะคะ จบการรายงานข่าววันนี้ค่ะ” เจ้าทิพย์ดาราอมยิ้มเดินหนีไป
“อ้าว..” เจ้าดาระกาถอนใจแล้วก็ส่ายหน้า “เจ้าพี่คะ น้องว่าเราคงลุ้นไม่ขึ้นแล้วมั้งคะ”
“ไม่หรอกน่า เริ่มเป็นเพื่อนกันไปก่อนแบบนี้ก็ได้ เหมือนสมัยเราสองคนไงจ๊ะ”
เจ้าเทพมงคลพูดแล้วมองเจ้าดาระกาพร้อมกับส่งยิ้มให้ เจ้าดาระกายิ้มเขิน

วิทวัสนั่งคุยโทรศัพท์กับภูชิชย์อยู่ในห้องทำงาน หลังจากฟังพี่ชายได้สักพักวิทวัสก็มีสีหน้าตกใจ
“เฮ้ย ไม่จริง พี่ภูรู้ได้ไงว่าคุณนิดยังไม่จบปริญญาตรี ใครคาบข่าวอะไรไปบอกพี่ภูล่ะเนี่ย พี่ภูอย่าไปเชื่อนะ โปรไฟล์คุณนิดน่ะตรงตามมาตรฐานบริษัทเราเป๊ะ”
“เป๊ะมากเลยนะ หรืออีกเทอมจะจบตรีที่อเมริกาเนี่ยนะ” ภูชิชย์พูดอย่างรู้ทัน
“พ..พะ..พี่ภู พี่ภูรู้เรื่องนี้แล้วเหรอครับ”
“พี่สะใภ้เขาบอกพี่เอง ว่านริศราเป็นลูกเต้าเหล่าใคร เรียนอะไรมา เจ้าตัวเขาก็ยอมรับแล้วด้วย”
วิทวัสกุมขมับ “จบกัน”
“ยังไม่จบน้องรัก เพราะที่พี่ยังไม่รู้คือทำไมนายต้องช่วยเขาหลอกพี่ด้วย นายมีความผิดนะนายวัส”
วิทวัสหน้าจ๋อย “ผมขอโทษครับ ที่ผมทำก็เพราะคิดเหมือนคุณนิดว่าถ้าพี่ภูรู้ว่าเธอเรียนไม่จบก็อาจจะไม่รับ แต่จะให้ยัยมอลลี่ไปทำงานผมก็ยอมไม่ได้ มันก็เลยเป็นแบบนี้ครับ แล้วนี่พี่ภูจะทำยังไงต่อครับ จะให้ผมหาคนไปแทนคุณนิดไหม”
“หาคนแทนเหรอ?” ภูชิชย์ถามกลับ
“ครับ...ผมจะให้คุณนิดกลับมาทำงานที่กรุงเทพฯแทน พี่ภูจะได้สบายใจ”
“อะไรของนาย เพ้อเจ้อ...ที่พี่โทรมาก็แค่จะบอกให้นายส่งประวัตินริศรามาไว้ที่นี่ด้วยตามระเบียบบริษัทก็พอ ทำซะให้มันถูกต้องน่ะเข้าใจไหม”
วิทวัสงง “อ้าว...นี่พี่ภูยอมให้คุณนิดทำงานต่อเหรอครับ”
“เขาทำงานดี สู้งาน แล้วทำไมพี่ต้องมีปัญหากับเขาด้วยล่ะ คนมีวุฒิทำงานไม่ได้ก็มีถมไปนี่”
“ได้ครับได้ แล้วผมจะรีบจัดส่งไฟล์ให้นะครับ” วิทวัสดีใจ
“พี่ขอข้อมูลจริงๆนะ ไม่ต้องแต่งเติมบิดเบือนอะไรล่ะ”
วิทวัสหัวเราะ “แน่นอนครับพี่ชาย” วิทวัสวางสาย แล้วกดอินเตอร์คอมที่โต๊ะ “คุณมอลลี่ เข้ามาพบผมหน่อย”
วิทวัสไม่ได้ยินเสียงตอบ ก็นึกสงสัย “มอลลี่ๆ” วิทวัสลุกออกไปดูทันที

วิทวัสเปิดประตูออกมาด้วยความหงุดหงิด เขาไม่เห็นมัลลิกาอยู่ที่โต๊ะ มิหนำซ้ำเก้าอี้ทำงานยังสอดเก็บเข้าใต้โต๊ะอย่างเรียบร้อยอีกด้วย
วิทวัสยืนมองด้วยความสงสัย แล้วเขาก็หันไปถามพนักงานคนอื่น
“จูน กลับไปแล้วเหรอ” วิทวัสชี้ที่โต๊ะมัลลิกา
“ค่ะ” พนักงานหญิงชื่อจูน ตอบ
วิทวัสส่ายหน้า “คนมีวุฒิที่ทำงานไม่ได้ก็มีถมไป...ฮึ..ที่นี่ก็มีคนหนึ่งละครับพี่ภู”
วิทวัสหยิบมือถือขึ้นมากดโทรออกแล้วเดินกลับเข้าห้องไป

รัชนิดานั่งคุยโทรศัพท์กับวิทวัสอยู่ในห้องทำงานของเธอที่ธนาคาร
“นี่แสดงว่าคุณนิดต้องเป็นคนดีและทำงานดีมากๆ คุณภูถึงยอมให้เธอทำงานต่อ” รัชนิกาดีใจ “แหม...ชักอยากเจอตัวซะแล้วสิ”
“ไม่ต้องห่วง ไว้มีโอกาสผมต้องให้เจอกับเขาแน่ๆ ว่าแต่วันนี้ผมคงกลับเย็นหน่อยนะ เพราะเลขาคนเก่งผมหายตัวไปอีกแล้ว” วิทวัสบอก
“อ้าว...ไหนคุณวัสบอกว่าช่วงนี้เธอดีขึ้นแล้วไม่ใช่เหรอคะ” รัชนิดาแปลกใจ
“ดีได้ไม่กี่วัน สงสัยจะเหมือนเดิม”
“ถ้างั้นคุณวัสทำงานเถอะค่ะ นิดาไปรับลูกเอง”
รัชนิดาวางสายแล้วจัดแจงปิดคอมพิวเตอร์ ก่อนจะหยิบกระเป๋าถือเดินออกไปจากห้อง

รัชนิดาเดินมาโบกรถแท๊กซี่หน้าห้างสรรพสินค้าใหญ่กลางเมือง รถแท็กซี่ขับมาจอด รัชนิดาขึ้นรถแล้วปิดประตู สักพักมัลลิกาก็ขับรถผ่านรถแท็กซี่คันนั้นไป
“ไปโรงเรียน...ค่ะ” รัชนิดาบอกคนขับรถแท็กซี่
แท็กซี่เคลื่อนออกไป

เสียงสัญญาณเลิกเรียนดังทั่วบริเวณโรงเรียน ผู้ปกครองมากมายมารับลูกหลานที่หน้าโรงเรียน เด็กบางส่วนทยอยขึ้นรถโรงเรียนไป
เด็กๆ มากมายวิ่งเล่นอยู่เต็มสนาม ครูจำนวนหนึ่งคอยยืนดูที่ขอบสนาม ลูกหนูนั่งรอคุณพ่อกับคุณแม่อยู่ที่มุมหนึ่ง สักพักนุ้ยกับนุ่นก็วิ่งเข้ามาหาเธอ
“ลูกหนูยังไม่กลับเหรอ” นุ่นถามขึ้น
“คุณพ่อคุณแม่ยังไม่มารับเลย นุ่นล่ะ” ลูกหนูถามกลับ
“ป้าใหญ่ก็ยังไม่มารับเลย เบื่อมาก” นุ่นบอก
“ใช่...ป้าใหญ่ชอบมารับช้า อยากให้คุณแม่กลับจากเชียงใหม่เร็วๆจะได้ไม่ต้องรออีก” นุ้ยเสริม
“งั้นพี่นุ้ยกับนุ่นไปเล่นกับลูกหนูนะ” ลูกหนูชวน
“เอาสิ เล่นไล่จับนะ” นุ้ยบอก
เด็กทั้งสามวิ่งไปเล่นในสนาม สักพักรถของมัลลิกาก็แล่นมาจอดที่หน้าโรงเรียน มัลลิกาก้าวลงจากรถแล้วหยิบแจ๊กเก็ตกับแว่นตาดำมาใส่

มัลลิกายืนดูรูปอยู่ที่ข้างสนามของโรงเรียน เสียงนักสืบที่เธอติดต่อมาทำงานให้ดังขึ้นมาในหัว
“จากการสืบตามดู ผู้หญิงในรูปกับเด็ก น่าจะเป็นภรรยาและลูกของคุณวิทวัส แต่ก็ยังไม่แน่ชัด เพราะส่วนใหญ่ผู้หญิงจะมารับเด็กคนเดียว ถ้าคุณมัลลิกาให้เวลาผมมากกว่านี้อีกหน่อยรับรองผมได้ข้อมูลเยอะกว่านี้แน่ครับ”
รูปในมือของมัลลิกามีอยู่หลายใบ ทั้งหมดเป็นรูปรัชนิดาและลูกหนู บางรูปเป็นรูปพร้อมกับพ่อแม่ลูก บางรูปเป็นวิทวัสขณะอุ้มลูกหนู มัลลิกาดึงรูปที่เห็นลูกหนูชัดๆ ขึ้นมาหนึ่งใบ แล้วยกขึ้นเทียบกับเด็กๆ ที่สนามเพื่อหาลูกหนู
“ตายแล้ว เด็กเยอะแบบนี้จะหาเจอไหมเนี่ย” มัลลิกาบ่น
สักพักมัลลิกาก็เห็นลูกหนูที่กำลังวิ่งเล่นกับนุ้ยและนุ่นอยู่ไกลๆ มัลลิกาเก็บรูปใส่กระเป๋า แล้วรีบเดินเข้าไปหาเด็กทั้งสามทันที

มัลลิกาเดินเข้ามาใกล้เด็กทั้งสาม เธอมองอย่างพิจารณาแล้วตัดสินใจเรียก
“เอ่อ...หนูจ๊ะ”
ลูกหนูนึกว่ามัลลิกาเรียกชื่อ ทำให้เธอหันไปมองจนสะดุดหกล้ม มัลลิกาเห็นก็ตกใจ
“ว๊ายตายแล้ว”
มัลลิการีบวิ่งเข้าไปหาลูกหนู นุ้ยกับนุ่นวิ่งมาดูด้วย
“เป็นอะไรหรือเปล่า” มัลลิกาถาม
“ลูกหนูไม่เป็นไรค่ะ” ลูกหนูตอบ
“ชื่อลูกหนูเหรอจ๊ะ” มัลลิกาถาม
“ค่ะ” ลูกหนูตอบ
“หนูชื่อนุ่นเป็นเพื่อนลูกหนูค่ะ” นุ่นแนะนำตัว
“ผมชื่อนุ้ยเป็นพี่ชายนุ่นครับ”
มัลลิกาเห็นความน่ารักของเด็กๆ ก็ถึงกับยิ้มออกมา
“เมื่อกี้เรียกลูกหนูเหรอคะ” ลูกหนูถาม
มัลลิกานึกได้ “อ๋อ...ใช่ค่ะ พี่อยากรู้ว่าคุณพ่อคุณแม่ของลูกหนูชื่ออะไรคะ”
ทันใดนั้น ทั้งหมดก็ได้ยินเสียงรัชนิดาตะโกนเรียกลูกสาว “ลูกหนู”
เด็กๆหันไปตามเสียง ลูกหนูยิ้มแล้ววิ่งไปหารัชนิดาทันที “คุณแม่”
มัลลิกายืนขึ้น รัชนิดากับมัลลิกามองหน้ากัน รัชนิดายิ้มให้มัลลิกา มัลลิกาพยายามยิ้มรับแต่ในใจรู้สึกตื่นเต้น

มัลลิกากับรัชนิดาช่วยกันปัดฝุ่นและเช็ดหน้า เช็ดตัวให้ลูกหนู โดยที่นุ้ยกับนุ่นยืนดูอยู่
“ลูกคนเดียวเหรอคะ” มัลลิกาเอ่ยถาม
“ค่ะ แล้วของคุณก็มารับลูกเหรอคะ” รัชนิดาถาม
“เอ่อ...เอ่อฉันมารับหลานน่ะค่ะ แต่เขายังไม่อยากกลับก็เลยรอให้เล่นกับเพื่อนให้เสร็จ” มัลลิกากุเรื่อง
“อ๋อ...ค่ะ” รัชนิดาพูดกับลูกสาว “ลูกหนูอยากกลับหรือยังคะ”
“แล้วคุณพ่อไม่มารับด้วยเหรอคะ” มัลลิกาถาม
“เขามีงานด่วนพอดีน่ะค่ะ”
มัลลิกาพูดเข้าเรื่อง “เอ๊ะ ฉันรู้สึกคุ้นๆหน้าคุณจังเลย เราเคยเจอกันที่ร้านอาหารใช่หรือเปล่าคะ”
“ร้านอาหาร” รัชนิดานิ่งคิด

รัชนิดานึกถึงวันที่เธออุ้มลูกหนูซึ่งอยู่ในชุดนักเรียนอนุบาลเดินมาทางด้านหน้าร้านอาหาร มัลลิกาเดินสวนมาบังรัชนิดา ทั้งสองยืนยักแย่ยักยันยังกันไปมา
รัชนิดายิ้ม “ขอโทษค่ะ”
มัลลิกายิ้ม “ไม่เป็นไรค่ะ”
มัลลิกาหยุด รัชนิดาจึงอุ้มลูกหนูเดินเลี่ยงไปอีกทาง

รัชนิดานึกถึงเหตุการณ์ดังกล่าวได้ก็โพล่งออกมา
“อ๋อ จำได้แล้วค่ะ บังเอิญจังเลยนะคะที่ได้เจอกันอีก”
มัลลิกายิ้ม “ค่ะ บังเอิญมาก ฉันก็ไม่คิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้บังเอิญเกิดขึ้นกับชีวิตฉัน”
รัชนิดางง “อะไรนะคะ”
“อ๋อ...เปล่าค่ะ” มัลลิการีบพูดกลบเกลื่อน “แล้ว..วันนั้นคุณไปทานข้าวกับครอบครัวเหรอคะ”
“ใช่ค่ะ”
“คุยกันตั้งนานยังไม่ทราบชื่อคุณเลย ฉัน มัลลิกาค่ะ”
“นิดาค่ะ”
รัชนิดายิ้มให้มัลลิกาด้วยความจริงใจ มัลลิกามองรัชนิดากับลูกหนูแล้วยิ้มแต่ในใจรู้สึกเครียด

รัชนิดาเดินนำเด็กรับใช้ที่บ้านซึ่งถือถาดอาหารมาวางบนโต๊ะอาหาร แล้วเธอก็ช่วยเด็กรับใช้จัดอาหาร ส่วนวิทวัสเล่นกับลูกหนูอยู่ที่มุมหนึ่งของบ้าน
“เชิญคุณพ่อคุณลูกได้แล้วค่ะ” รัชนิดาเรียก
วิทวัสอุ้มลูกหนูมานั่งประจำที่ รัชนิดาตักข้าวให้สองคนพ่อลูก
“วันนี้นิดาไปรับลูกหนูเลยได้เพื่อนใหม่มาหนึ่งคน” รัชนิดาเล่า
“ใครเหรอ” วิทวัสถาม
“ชื่อพี่มัลลิกาค่ะ” รัชนิดาบอก
วิทวัสตกใจ “เป็นไปไม่ได้ นี่มอลลี่ไปเจอนิดากับลูกมาเหรอ”
“มอลลี่” รัชนิดานึก “อ๋อ...เลขาคุณวัสน่ะเหรอคะ”
“ใช่...เขาชื่อจริงว่ามัลลิกา”
วิทวัสบอกแล้วก็เริ่มวิตกกังวล รัชนิดาเสิร์ฟอาหารเสร็จก็มานั่งที่โต๊ะแล้วยิ้มพร้อมกับจับมือวิทวัส
“คุณมัลลิกาคนนี้เขามีหลานเรียนที่โรงเรียนนี้ แล้วเขาก็ออกจะคุยดีกับนิดา นิดาว่าคนละคนกับมัลลิกาเลขาคุณวัสแน่ๆค่ะ” รัชนิดาบอก
วิทวัสยังนิ่งอึ้ง สีหน้าของเขายังเต็มไปด้วยความกังวล
“เขาแต่งตัวยังไง หน้าตายังไง” วิทวัสถาม
รัชนิดาพยายามนึก “ก็ใส่แจ็กเก็ตสีน้ำเงิน”
“ใส่แจ็คเก็ตเหรอ งั้นอาจจะไม่ใช่”
“คุณวัสคะ ไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ ถึงจะเป็นคนเดียวกัน นิดาก็ไม่ได้พูดชื่อคุณออกมาเลย อย่าเครียดเลยนะคะ”
วิทวัสฝืนยิ้มให้ดูเป็นปกติที่สุด

หยาดน้ำค้างยามเช้าเกาะพราวอยู่ทั่วใบไม้หน้าอาคารสำนักงานของไร่สุพัฒนา นิพนธ์ยืนรอเอกสารที่กำลังพิมพ์อยู่ที่เครื่องปริ๊นท์ เขารวบรวมเอกสารมาใส่แฟ้มแล้วยืนอ่านอย่างอารมณ์ดี ภูชิชย์เดินเข้ามานั่งที่โต๊ะ นิพนธ์จึงเอาแฟ้มเอกสารไปให้
“เอกสารหลักฐานต่างๆของคุณนิดที่คุณวัสส่งเมล์มาให้ครับ” นิพนธ์บอก
ภูชิชย์รับแฟ้มไปดู นิพนธ์พูดต่อ
“ไม่แปลกใจเลยนะครับว่าคุณนิดจะเก่งแบบนี้”
“อะไรกันนิพนธ์ แค่นริศราเรียนเมืองนอกก็ว่าเก่งแล้วเหรอ หรือคิดว่าเขาเป็นลูกนายพลแล้วจะเก่ง”
“เปล่าครับ ผมหมายถึงว่างานพิเศษที่คุณนิดทำระหว่างเรียนน่ะครับ พ่อเลี้ยงดูสิครับ เธอทำตั้งแต่พี่เลี้ยงเด็ก ผู้ช่วยบรรณารักษ์ จนถึงผู้ช่วยเลขาแผนกจัดซื้อในห้างที่อเมริกาเลยนะครับ ผมรู้สึกดีจังที่ได้ร่วมงานกับคนเก่งแบบนี้”
ภูชิชย์เปิดแฟ้มดูแล้วก็อมยิ้ม
“พ่อเลี้ยงคิดเหมือนผมใช่ไหมครับ” นิพนธ์ถาม
“ก็ยอมรับนะว่าเขาเก่งที่ผ่านการใช้ชีวิตในต่างประเทศ แถมยังมีความอดทนเข้มแข็งสมกับเป็นลูกทหาร”
ภูชิชย์พูดไปก็เผลอยิ้มไปจนนิพนธ์มองจ้อง ภูชิชย์รู้สึกตัวจึงรีบหุบยิ้มทันที
“เห็นแบบนี้แล้วผมก็ไม่ห่วงเรื่องโครงกาแฟปลอดสารพิษของคุณนิดแล้วครับ ต่อให้พ่อเลี้ยงแกล้งเธอขนาดไหน ผมว่าเธอก็ต้องทำสำเร็จ” นิพนธ์มั่นใจ
ภูชิชย์วางแฟ้มลงบนโต๊ะแล้วมีสีหน้าเครียดขึ้นมาทันที เขาเอาศอกท้าวโต๊ะแล้วถามนิพนธ์
“นิพนธ์...นายว่าฉันใจร้ายกับนริศรามากเกินไปไหม”
นิพนธ์ตอบเสียงจริงจัง “มากที่สุดเลยครับ”
ภูชิชย์ได้ฟังคำตอบก็ถึงกับศอกไถลออกจากโต๊ะทันที

เสียงรถราจอแจดังอยู่หน้าบริษัทของวิทวัส วิทวัสเดินเข้าห้องทำงาน เขาเห็นมัลลิกากำลังนั่งพิมพ์งานอย่างขะมักเขม้น วิทวัสมองเลขาไม่วางตาพลางคิดถึงเรื่องเมื่อวาน
มัลลิการู้สึกว่าวิทวัสมายืนจ้องก็พยายามทำตัวให้เป็นปกติ
“มอร์นิ่งค่ะพี่วัส” มัลลิกาทัก
“ครับ”
วิทวัสจะเดินเข้าห้อง แต่ก็อดไม่ได้จึงย้อนกลับมาถาม
“มอลลี่ เมื่อวานตอนเย็นคุณไปไหน”
“เอ่อ...พอดีมอลลี่ปวดหัวน่ะค่ะ ขอโทษที่ไม่ได้บอกพี่วัสนะคะ” มัลลิกาตอบ
“ปวดหัวเหรอ”
มัลลิกาหยิบใบรับรองแพทย์กับใบเสร็จส่งให้วิทวัส
“ใบรับรองแพทย์กับใบเสร็จค่ะ มอลลี่กำลังจะทำเบิก”
“โอเค”
วิทวัสรับคำแล้วเดินเข้าห้องไป มัลลิกามองตาม พอเห็นว่าวิทวัสเข้าห้องไปแล้วเธอก็หยิบรูปลูกหนูกับรัชนิดาออกมาดูด้วยสีหน้าเครียด

วิทวัสมานั่งลงที่โต๊ะทำงานแล้วก็ครุ่นคิด สักพักเขาก็ส่ายหน้า
“คงไม่ใช่อย่างที่นิดาว่าจริงๆ”

นริศรา ลุงปั๋น และเจมส์มายืนดูคนงานขุดปรับพื้นที่ทำแนวปลูกกาแฟที่บริเวณซึ่งเคยรกร้างท้ายไร่สุพัฒนา
นริศราอธิบายให้เจมส์ฟัง “พอเราทำแนวดินปลูกกาแฟเสร็จขั้นตอนต่อไปก็เป็นการลงกล้ากาแฟ”
- เจมส์พยักหน้ารับรู้
“คุณนิดจะไปคัดต้นกล้าเมื่อไหร่ดีครับ” ลุงปั๋นถาม
“วันนี้เลยก็ดีจ้ะ ฉันอยากเห็นต้นกาแฟอาราบิกาปลอดสารพิษเติบโตที่นี่เร็วๆจัง”
นริศรามองไปไกลๆ แล้วยิ้มอย่างมีความหวัง ลุงปั๋นเดินแยกไปคุมคนงาน เจมส์ยืนคุยกับนริศรา
“ผมไม่เข้าใจเลย แนวคิดกาแฟปลอดสารพิษของพี่นิดนี่สุดยอด แต่ทำไมพ่อเลี้ยงถึงให้ปลูกที่ตรงนี้ ถ้าเป็นผมๆจะให้พื้นที่ๆดีๆแล้วก็เยอะๆ”
“ช่างมันเถอะเจมส์ เราต้องเข้าใจพ่อเลี้ยงเขาด้วย เขาเป็นนักธุรกิจ ยังไงกำไรขาดทุนก็สำคัญมาก” นริศราบอก
“แต่ว่า...” เจมส์ยังข้องใจ
“ที่เจมส์เลือกมาฝึกงานที่ก็เพราะความสำเร็จทางธุรกิจของที่นี่ไม่ใช่เหรอ อย่างน้อยพ่อเลี้ยงก็ยังให้ที่เราสำหรับการเริ่มต้นนะ”
เจมส์ยิ้ม “นี่ถ้าพ่อเลี้ยงมาได้ยินคงดีใจนะครับที่มีลูกน้องดีอย่างนี้”
“แหม...พี่ก็ไม่ควรพูดถึงหัวหน้าในทางไม่ดีไม่ใช่เหรอ...แม้ใจจะอยากก็เถอะ”
นริศรากับเจมส์หัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน
จู่ๆ ทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงภูชิชย์ดังขึ้น “เฮ้อ...นึกว่าจะหายโกรธกันไปแล้วซะอีก”
นริศรากับเจมส์สะดุ้งเฮือกและหันไปมองตามเสียงก็เห็นภูชิชย์ยืนยิ้มอย่างกวนๆ อยู่ นริศรากับเจมส์หน้าเสียทันที
ภูชิชย์เดินนำนริศราให้เดินห่างออกมา ทั้งสองยืนดูลุงปั๋น เจมส์ และคนงานทำงานอยู่ไกลๆ
“เอ่อ...ฉันขอโทษนะคะที่นินทาคุณให้คนอื่นฟัง” นริศราเอ่ย
“ขอโทษทำไม ฉันก็ทำเธอไว้เยอะจริงๆ ตอนนี้ฉันยังแก้ไขทันใช่ไหม”
นริศรางง “พ่อเลี้ยงจะแก้ไขอะไรคะ”
“ฉันจะให้เธอเลิกทำกาแฟปลอดสารพิษ ถือว่าเราไม่ได้ตกลงเดิมพันกัน จะไม่มีแพ้ชนะระหว่างเรา”
ภูชิชย์ยิ้มให้นริศราแต่นริศราหน้าเครียดและไม่ยิ้มตอบ
“ไม่ดีใจเหรอ ฉันมาลดงานเธอนะ” ภูชิชย์ถาม
“แต่ว่าฉันก็ยังอยากทำโครงการนี้”
ภูชิชย์งง “ฉันพูดจริงทำจริงนะ เธอไม่ต้องพิสูจน์อะไรอีกแล้ว”
“ความตั้งใจแรกของฉันก็คือจะเอาชนะคุณ แต่เมื่อเริ่มลงมือทำ ฉันก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าโครงการนี้สำเร็จ ฉันว่าน่าจะเอาไปแนะนำชาวบ้านต่อ”
ภูชิชย์ยิ้ม “กว่ากาแฟจะโตก็อีก2-3 ปี ถึงจะเก็บผลได้ แสดงว่าเธอจะอยู่ที่นี่กับฉันอีกนานใช่ไหม”
นริศราพูดแก้เก้อ “ใครว่า พอฉันเก็บเงินไปเมืองนอกได้ ฉันก็โยนให้คุณมาทำต่อไงล่ะ”
ภูชิชย์ถอนใจ “ตามใจ งั้น...ต่อไปนี้เราช่วยกันนะ ฉันจะไม่ปล่อยให้เธอทำคนเดียว”
พูดจบภูชิชย์ก็จ้องหน้านริศราแล้วยิ้ม นริศรามองแล้วอึ้ง อยู่ๆ เธอก็ใจเต้นและรู้สึกเขิน
“ก็แล้วแต่คุณสิ ฉันจะไปทำงานต่อแล้ว”
ภูชิชย์ยังคงจ้องหน้านริศราอยู่ นริศราเขินจึงหลบตาแล้วก็หันหลังเดินไปทางหนึ่ง ภูชิชย์มองตามอย่างงงๆ แล้วก็ตะโกนบอก
“เธอจะไปไหน ทางลงอยู่ทางนี้”
นริศราหลับตาปี๋ด้วยความเขินสุดๆ แล้วเธอก็รีบเปลี่ยนสีหน้าให้เป็นปกติก่อนจะหันกลับมา
“คือฉันจะไปลองดูอ่ะว่า พอจะทำทางลงตรงนี้ได้บ้างไหม”
นริศราเดินไปตามทางที่ภูชิชย์บอกโดยพยายามทำสีหน้าให้เป็นปกติ ภูชิชย์มองตามแล้วเดินย้อนไปทางที่นริศราเดินไปตอนแรกก่อนจะมองลงไป
“คิดอะไรของเขาจะทำทางลงตรงหน้าผา” ภูชิชย์งง

ภูชิชย์กับนริศราเดินนำเจมส์มาถึงหน้าเรือนเพาะต้นกล้า ลุงปั๋นเดินตามมา นริศรายังคงอธิบายให้เจมส์ฟัง
“ต้นกาแฟถือเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก จึงสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเองเหมือนไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ที่อยู่ตามป่า และต้นกล้าที่นี่ก็ผ่านการฝึกให้ทนทานต่อแสงแดดและการขาดน้ำในเบื้องต้นแล้ว”
“นี่เธอแน่ใจนะว่าจะไม่ให้น้ำมันเลย ฉันให้เขาทำท่อแล้วสูบน้ำขึ้นไปก็ได้” ภูชิชย์แย้ง
“อย่าเลยค่ะ ฉันอยากให้ธรรมชาติดูแลกันเอง กาแฟเป็นไม้ยืนต้น ยังไงปริมาณน้ำฝนจากธรรมชาติก็พอเพียง” นริศรายิ้ม “เราไม่ได้แค่กำลังจะทำกาแฟปลอดสารพิษนะคะ แต่เราจะทำกาแฟแบบเศรษฐกิจพอเพียงด้วย”
“ถ้าสำเร็จ ผมจะเอาแนวคิดนี้ไปเผยแพร่ต่อครับ” เจมส์บอก
ภูชิชย์ยิ้มและพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
ต่อมา นริศราสอนเจมส์ดูลักษณะต้นกล้า
“เราจะเลือกต้นกล้าที่มีขนาดสูง 45-50 ซม.มีใบประมาณ 6-8 คู่”
“แล้วเราควรจะเลือกกี่ต้นดีล่ะครับ” เจมส์ถาม
นริศรายิ้ม “พ่อเลี้ยงใจดีให้ที่เรามาสองไร่ พี่คิดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1000 ต้นกำลังดีค่ะ”
นริศรายังคงอธิบายเจมส์โดยมียกตัวอย่างให้ดูต่อไป เธอแยกต้นกล้าที่ดีและที่ใช้ไม่ได้ออกจากกัน ภูชิชย์ยืนมองแล้วอมยิ้ม
ภูชิชย์กับนริศราช่วยกันเลือกต้นกล้าแล้วส่งให้เจมส์กับลุงปั๋นเอาใส่รถเข็น
เวลาต่อมา ทุกคนช่วยกันลงต้นกล้า นริศรายืนคุมเจมส์ทำงาน พอเผลอเธอก็แอบมองภูชิชย์ เช่นเดียวกับภูชิชย์ที่แอบมองนริศราเป็นระยะๆ บางทีก็หันมามองพร้อมกันแล้วก็รีบหันหน้าหนีกันไป
นริศราเดินมาเลือกต้นกล้าที่ท้ายรถกระบะ ภูชิชย์เดินมาพอดี ภูชิชย์ยิ้มให้แล้วหยิบต้นกล้าส่งให้นริศราต้นหนึ่ง
“ขอให้เธอทำสำเร็จนะ ฉันเป็นกำลังใจให้” ภูชิชย์พูด
นริศรากับภูชิชย์ยิ้มให้กัน แล้วนริศราก็รับต้นกล้าจากภูชิชย์

เวลาต่อมา ภูชิชย์ นริศรา และเจมส์นั่งกินข้าวอยู่ด้วยกันที่โรงอาหาร
“เธอคิดหรือยังว่าจะปลูกอะไรคู่กับกาแฟ เพื่อจะช่วยให้มันคอยเป็นร่มเงาให้กาแฟ แล้วก็ป้องกันการพังทลายของดินด้วย” ภูชิชย์ถาม
“ในหนังสือบอกว่าปลูกต้นกล้วยก็ได้ ผมว่าอันนี้เหมาะสุด” เจมส์เสนอ
“แต่ฉันตั้งใจว่าจะเป็นต้นมะม่วงค่ะ”
ภูชิชย์กับเจมส์ทวนคำพร้อมกัน “มะม่วง?”
“มะม่วงมันหวาน มดแดงได้มาขึ้นนะสิ” ภูชิชย์ว่า
“นั่นแหล่ะค่ะที่ฉันต้องการ เพราะถ้าเราจะไม่ใช้สารเคมีช่วยเราก็ต้องให้ธรรมชาติช่วย มดแดงจะช่วยกัดกินเชื้อราที่จะมาขึ้นต้นกาแฟ” นริศราบอก
“ว๊าว...วิธีของพี่นิดนี่ดีมาก ประหยัดเงิน เวลา รักษาสิ่งแวดล้อม” เจมส์ชม
“เป็นความโชคดีของคนไทยที่ในหลวงท่านพระราชทานปรัชญาในการทำการเกษตรบนพื้นฐานของความพอเพียงและให้ธรรมชาติดูและกันเอง” นริศราพูด
“นริศรา ฉันยอมแพ้เธอแล้ว เธอเก่งจริงๆ”
ภูชิชย์พูดแล้วยิ้มให้ เจมส์กับนริศราตาโตมองหน้ากันเหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง

อีกด้านหนึ่ง แม่อุ้ยกับพรกำลังตักข้าวให้คนงานที่มายืนต่อแถว ทั้งสองสะกิดกันให้ดูภูชิชย์ที่กำลังตักกับข้าวให้นริศรากับเจมส์ แม่อุ้ยกับพรถึงกับมองตาค้าง ลุงปั๋นที่กำลังยืนรอทั้งสองตักข้าวให้ทักขึ้น
“เฮ้ย...ฉันจะกินข้าววันนี้นะเว้ย”
“เดี๋ยวก่อน ขอดูฉากพระเอกนางเอกก่อนสิวะ ดูนั่นสิ พ่อเลี้ยงกับคุณนิดเขาญาติดีกันตั้งแต่เมื่อไหร่” แม่อุ้ยแปลกใจ
“ไม่ได้ดีธรรมดานะ ถึงกับตักอาหารให้กันนี่ ฉันว่าต้องดีเป็นพิเศษเลยล่ะ” พรเสริม
“ข้าก็แปลกใจอยู่เหมือนกัน จู่ๆวันนี้พ่อเลี้ยงก็ดีกับคุณนิดมากเลย แต่เป็นแบบนี้ก็ดีนะ น่ารักดี” ลุงปั๋นบอก
“น่ารักเหรอ...จริงด้วย คู่นี้ดูๆไปก็น่ารักจริงๆ” แม่อุ้ยเชียร์
“แต่จะน่ารักได้กี่วันก็ไม่รู้”
“อ้าวนังพร ปากเสียแล้วไหมล่ะ”
“ก็จริงไหมล่ะ ดูโน่นสิมีคนหนึ่งที่คงไม่คิดเหมือนพวกเรา” พรชี้ให้ทุกคนมองไป
ทุกคนหันไปก็เห็นบัวเกี๋ยงที่นั่งอยู่กับคนงานอีกมุมกำลังนั่งจ้องนริศราตาเขม็ง
“จ้องตาเขียวแบบนี้ เดี๋ยวถึงหูคุณเล็กแน่” ลุงปั๋นกังวล
พูดไม่ทันขาดคำบัวเกี๋ยงก็ลุกขึ้นเดินถือจานไปโยนใส่กาละมังจากนั้นก็เดินจ้ำออกไปทันที
“ว่าแล้วปะไร” ลุงปั๋นพูด

แม้บัวเกี๋ยงจะนำเรื่องของนริศรามาฟ้องถึงที่ห้องนั่งเล่น แต่สุพัฒนาก็นอนเอนหลังอ่านหนังสือต่อไปอย่างไม่เดือดร้อนอะไร
“ช่างมันสิ มันมีความสุขก็ดีแล้ว” สุพัฒนาพูดเรียบๆ
บัวเกี๋ยงงง “ช่างมันได้ยังไงกันคะ มันกำลังแย่งพ่อเลี้ยงไปแล้วนะคะ”
“แล้วไง” สุพัฒนาถามกลับ
“ก็ทำไมคุณเล็กไม่ไปตบมันล่ะคะ ตบๆๆ ตบๆๆๆ พูดแล้วบัวเกี๋ยงคันมือยิกเลย”
“ตบเหรอ...ไม่ล่ะ...ขี้เกียจ เสียเวลา”
บัวเกี๋ยงหน้าเหวอ “คุณเล็ก”
บัวเกี๋ยงอ้าปากจะโวยต่อ แต่สุพัฒนารีบตัดบทขึ้นมาก่อน
“หุบปาก ไปชงชามิ้นท์มาให้ฉันกินหน่อย”
“หา! จะกินชา โอ๊ย อะไรกันเนี่ยคุณเล็ก”
“ฉันสั่งให้แกทำอะไรก็ไปทำสิ ถ้าไม่ไปฉันตบแกแทนนังนิด”
บัวเกี๋ยงไม่เข้าใจในท่าทีที่เปลี่ยนไปของเจ้านาย เธอจะพูดอะไรก็พูดไม่ออก รู้สึกอึดอัดคล้ายอกจะแตกตาย แล้วบัวเกี๋ยงก็เดินฟึดฟัดออกไป
สุพัฒนาหน้ามีรอยยิ้มแต่มือกำหนังสือจนสั่นระริกแล้วเธอก็ฉีกหนังสือทั้งๆ ที่ยังยิ้มอยู่
“ตบทำไมให้ฉันเจ็บมือ” สุพัฒนาพูดอย่างเยือกเย็น

บัวเกี๋ยงเดินเข้ามาทิ้งตัวลงนั่งในครัวอย่างหงุดหงิด
“โอ้ย อีคุณเล็กนี่ก็บ้า ให้ไปด่านังนิด กลับมาด่าเราซะงั้น ทำยังกับจะไปญาติดีกับมัน สมควรแล้วที่ต้องไปรักษาโรคบ้า” บัวเกี๋ยงยื่นมือจะหยิบกาต้มชา แล้วเธอคิดขึ้นมาได้ “ไม่ได้ ถ้ามันดีกันแล้ว ทีนี้เราจะใช้ใครกำจัดนังนิดล่ะ”
บัวเกี๋ยงทุบโต๊ะด้วยความโมโห

นริศรานั่งคิดและเขียนงานลงสมุดบันทึกอยู่ในห้องพัก จู่ๆ เธอก็เผลอนึกถึงภูชิชย์แล้วยิ้มออกมา

ภาพเหตุการณ์ในวันนี้ย้อนกลับมาอีกครั้ง
“ขอโทษทำไม ฉันก็ทำเธอไว้เยอะจริงๆ ตอนนี้ฉันยังแก้ไขทันใช่ไหม” ภูชิชย์พูด
นริศรางง “พ่อเลี้ยงจะแก้ไขอะไรคะ”

ภาพเหตุการณ์ต่อจากนั้นย้อนกลับมาในหัวของนริศรา
ภูชิชย์ยิ้มให้แล้วส่งต้นกล้าให้นริศราต้นหนึ่ง
“ขอให้เธอทำสำเร็จนะ ฉันเป็นกำลังใจให้”

แล้วอีกภาพเหตุการณ์ก็ผุดขึ้นในหัวของนริศรา
“นริศรา ฉันยอมแพ้เธอแล้ว เธอเก่งจริงๆ” ภูชิชย์พูดยิ้มๆ

นริศรานั่งนึกถึงเหตุการณ์เหล่านั้นก็นั่งยิ้มอยู่คนเดียว
“แปลกคน บทจะดีก็ดีใจหาย” นริศรานึกขึ้นได้ “หรือว่าจะนิสัยเหมือนน้องสาว พอรู้ว่าเราเป็นลูกนายพลก็เลยดีด้วย เฮ้อ...นายภูชิชย์นายจะเป็นคนอย่างนั้นจริงเหรอ”
นริศราถอนใจแล้วเหม่อมองไปด้านข้างแล้วเธอก็ตกใจที่เห็นพรซึ่งผัดแป้งหน้าขาววอกนั่งอยู่ข้างๆ
“ว๊าย พร ตกใจหมดเลย มาเมื่อไหร่”
“มาตั้งนานแล้วค่ะ จนเอาผ้าเช็ดตัวไปตากแล้วก็มานั่งฟังคุณนิด” พรบอก
นริศราตกใจ “แล้วพร...เอ่อ...ได้ยินอะไรหรือเปล่า”
พรพูดทวนคำของนริศราทันที “แปลกคน บทจะดีก็ดีใจหาย” พรนิ่งนึกแล้วพูดต่อ “หรือว่าจะนิสัยเหมือนน้องสาว พอรู้ว่าเราเป็นลูกนายพลก็เลยดีด้วย เฮ้อ...นายภูชิชย์นายจะเป็นคน อย่างนั้นจริงเหรอ” พรทำท่าทางเลียยแบบ “ว๊าย พร ตกใจหมดเลย มาเมื่อไหร่”
นริศราเซ็ง “ครบเลย จะขาดสักคำก็ได้นะ”
“แล้วตกลงคุณนิดเป็นลูกนายพลเหรอคะ”
“ถึงตอนนี้คงปิดพรไม่ได้แล้ว ถ้าฉันเล่า...พรไม่ต้องไปบอกใครนะ”
พรพยักหน้าตาแป๋ว

คนงานทุกคนที่นั่งรวมตัวกันอยู่ที่โรงอาหารมีท่าทีตกใจ
“ห๊า...ลูกนายพล เรียนเมืองนอก” พวกคนงานพูดเกือบจะพร้อมกัน
พรพยักหน้ารับอย่างภูมิใจที่รู้ข่าวก่อนใคร คนงานเริ่มคุยฮือฮากันยกใหญ่
“ไม่ใช่ระดับนังพร ไม่มีใครมีทางรู้ข่าวนี้นะ” พรพูดแล้วนึกได้ “อ้อ...แล้วห้ามบอกต่อเชียวนะ”
“เอ่อ...พี่พรครับ ตอนพี่เรียกพวกเราพี่บอกให้มาให้หมดไม่ใช่เหรอครับ” เจมส์ทักขึ้น
“ใช่” พรตอบ
“แล้วมันจะเหลือใครในไร่ให้บอกต่อล่ะครับ” เจมส์ถาม
พรค้อน “แหม...ฝรั่งขี้เม้าท์นะเนี่ย”
“นึกแล้วว่าคุณนิดต้องเป็นลูกชาติลูกตระกูล โถแม่คุณ จะมาเป็นเลขากลับต้องมาทำไร่” แม่อุ้ยเห็นใจ
“แต่ฉันละนับถือเลย ผู้หญิงอะไรอดทนมาก” หนานบอก
“ถูกพวกเราแกล้งก็หลายครั้ง แต่ก็ยังรักพวกเราดูแลพวกเราดี” เป็งพูด
“นึกๆแล้วก็สงสารเธอนะ พ่อเลี้ยงไม่น่าแกล้งเธอเลย ตอนนี้ความจริงเปิดมาแล้ว ต่อไปพ่อเลี้ยงคงดีกับเธอเนอะ” ฝ้ายแสดงความเห็น
ลุงปั๋นพูดกับแม่อุ้ย “เป็นไงล่ะ หายสังสัยหรือยังว่าทำไมพ่อเลี้ยงกับคุณนิดถึงดีกัน”
“แหม...พูดแบบนี้ก็แสดงว่าพ่อเลี้ยงดีกับคุณนิดเพราะเธอมีหัวโขนน่ะสิ” แม่อุ้ยว่า
“คุณนิดก็แอบคิดนะ” พรบอก
ทันใดนั้นทุกคนก็ได้ยินเสียงใครสักคนดังขึ้น “แต่ฉันว่าพวกเราไม่ควรคิดแบบนั้นนะ”
คนงานทุกคนหันไปก็เห็นนิพนธ์เดินเข้ามารวมกลุ่ม
นิพนธ์มองไปที่เจมส์ “มาไม่กี่วันก็เอากับเขาด้วยนะ”
เจมส์หน้าเสีย “แฮ่ะๆๆ ผมกำลังปรับตัวครับ”
นิพนธ์ยิ้ม “เรื่องคุณนิดจะคิดกับพ่อเลี้ยงมันก็อาจเป็นได้ เพราะเธอเป็นคนมาใหม่ แต่กับพวกเราอยู่ที่นี่กันมานาน คิดว่าพ่อเลี้ยงเป็นคนที่คบคนที่หน้าตา ฐานะงั้นเหรอ ถ้าเป็นแบบนั้น พ่อเลี้ยงคงไม่เลี้ยงดูพวกเราไปจนถึงส่งลูกหลานบางคนเรียนหนังสือหรอก”
พวกคนงานพยักหน้าและพูดคุยกันในทำนองเห็นด้วย
“อีกอย่างนะ ที่พ่อเลี้ยงดีกับคุณนิดเพราะพ่อเลี้ยงก็เหมือนพวกเรา คือแพ้ความดีและความอดทนตั้งใจทำงานของคุณนิด” นิพนธ์บอก
“แบบนี้ถ้าคุณนิดเข้าใจพ่อเลี้ยงผิดก็จะไม่ดีสิครับ” ลุงปั๋นพูด
พวกคนงานเห็นด้วยกับลุงปั๋น
“ตอนนี้พ่อเลี้ยงรู้จักคุณนิดแล้ว ก็คงต้องถึงเวลาที่คุณนิดจะรู้จักพ่อเลี้ยงบ้างล่ะ” นิพนธ์บอก
“ไม่เป็นไรค่ะ พรจะช่วยเชียร์เอง”
คนงานฮือขึ้นมาว่าจะช่วยเชียร์กันยกใหญ่
“เฮ้ยๆๆ นี่จะทำอะไรกัน” นิพนธ์ปราม
คนงานไม่สนใจฟังนิพนธ์ ทุกคนต่างพูดคุยวางแผนกันยกใหญ่
“ท่าทางพ่อเลี้ยงจะมีแนวร่วมแล้วครับ” เจมส์บอกนิพนธ์

บัวเกี๋ยงยืนเทนมสดใส่แก้วอยู่ในครัว โดยมีสุพัฒนายืนอยู่ข้างๆ
“คุณเล็กจะทำอะไร บัวเกี๋ยงไม่เข้าใจ พ่อเลี้ยงไม่ทานอะไรก่อนนอนคุณเล็กก็รู้” บัวเกี๋ยงถาม
“เหอะน่า...ฉันจะหาวิธีปรับความเข้าใจกับพี่ภู” สุพัฒนาบอก
“ปรับความเข้าใจ...ยังไงคะ”
“ก็แกลองคิดดูสิ หลังๆมานี่ เวลาเราจะเล่นงานนังนิดทีไร พี่ภูต้องช่วยมันทุกครั้ง แล้วก็ทะเลาะกับฉัน ถ้าฉันยังโกรธกับพี่ภูอยู่ วันที่นังนิดมันไปพี่ภูก็ต้องช่วยมันอีก”
“หา...นี่คุณเล็กถึงกับกำหนดวันที่นังนิดมันจะไปจากที่นี่เลยเหรอคะ” บัวเกี๋ยงดีใจ
“ใช่....และวันนั้นพี่ภูก็จะหมดหนทางช่วยมัน”
“ตกลงคุณเล็กมีแผนชั่วอะไรอีกค่ะเนี่ย” บัวเกี๋ยงถาม
สุพัฒนาได้ยินก็ค้อนบัวเกี๋ยง

ภูชิชย์นั่งทำงานอยู่ในห้องทำงานที่บ้าน สุพัฒนากับบัวเกี๋ยงเปิดประตูเข้ามาแล้วเอาแก้วนมวางลงบนโต๊ะเบื้องหน้าของภูชิชย์
“สองสามวันนี้เราไม่ได้คุยกัน คุณเล็กรู้สึกไม่ดีเลย เลยอยากขอโทษพี่ภูค่ะ”
สุพัฒนาพูดพร้อมกับตีหน้าเศร้า ภูชิชย์ลุกขึ้นมาจับหัวน้องสาวด้วยความเอ็นดู
“พี่ดีใจนะที่คุณเล็กหายโกรธพี่” ภูชิชย์ยิ้ม “นี่พี่ทานเพราะคุณเล็กนะเนี่ย”
ภูชิชย์ดื่มนมจนหมดแก้ว สุพัฒนาดีใจรีบเข้าไปกอด
“คุณเล็กรักพี่ภูที่สุด”
“ถ้ารักพี่ก็อย่าดื้อกับพี่อีกนะ”
“วันนี้ได้ข่าวว่าพี่ภูกับนิด ทำงานกันได้ดีเหรอคะ”
ภูชิชย์ชะงักไปเล็กน้อย “เอ่อ...ใช่จ้ะ”
สุพัฒนายิ้ม “นิดเขาเก่งนะคะ ทำงานในไร่ก็ได้ ทำงานเอกสารก็เก่ง นิพนธ์ยังชมเลย”
“นี่คุณเล็กไม่โกรธนริศราแล้วเหรอ”
“คุณเล็กมาคิดๆดู เราจะเกลียดคนเก่งไปทำไมคะ ทำให้เราเสียประโยชน์เปล่าๆ นิดเองก็น่าสงสาร คงมาจากครอบครัวต่ำๆ คุณเล็กไม่ควรไปซ้ำเติมเขา”
“ไม่นะ นริศราเขามาจากครอบครัวดีเลยล่ะ” ภูชิชย์รีบบอก
สุพัฒนางง “ครอบครัวดี?”
ภูชิชย์หยิบแฟ้มเอกสารประวัติของนริศราส่งให้สุพัฒนาอ่าน บัวเกี๋ยงทนไม่ไหวลุกขึ้นมาอ่านด้วย
“นริศราเป็นลูกสาวนายพล” ภูชิชย์บอก “พี่ชายก็เป็นทหาร แล้วเขาก็เคยเรียนที่อเมริกา เพียงแต่ว่าเขายังเรียนไม่จบ พ่อของเขาเสีย เลยไม่ได้กลับไปเรียนต่อ”
สุพัฒนากับบัวเกี๋ยงพลิกเปิดดูประวัตินริศราด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

สุพัฒนาเดินเข้ามาในห้องนอนแล้วนั่งที่เตียง บัวเกี๋ยงตามเข้าแล้วรีบลงมานั่งข้างๆ
“คุณเล็ก คุณเล็กขา” บัวเกี๋ยงเรียก
สุพัฒนาหงุดหงิด “จะเรียกทำไมนักหนา”
“ก็บัวเกี๋ยงเป็นห่วงน่ะสิคะ ตั้งแต่อ่านประวัตินังนั่นจบคุณเล็กก็เงียบไปเลย บัวเกี๋ยงกลัว”
“กลัวอะไร?” สุพัฒนาถามกลับ
“บัวเกี๋ยงกลัวว่าพอคุณเล็กรู้ว่านังนิดเป็นลูกนายพลแล้วจะเปลี่ยนไปอยู่ข้างมันค่ะ”
“ใครบอก ฉันเกลียดมันมากขึ้นด้วยซ้ำ”
“จริงเหรอคะ บัวเกี๋ยงก็เกลียดมากขึ้นด้วยเหมือนกันค่ะ”
“ไม่ว่ามันจะเป็นใคร ถ้ามันคิดจะทำให้พี่ภูรักแล้วแย่งพี่ภูไปจากฉัน ฉันก็จะเกลียดมัน”
“บัวเกี๋ยงดีใจที่ได้ยินแบบนี้นะคะ แล้วแผนคุณเล็กจะเริ่มเมื่อไหรล่ะคะ”
“พรุ่งนี้” สุพัฒนาตอบ
บัวเกี๋ยงได้ยินก็ดีใจและตื่นเต้นจนตาโต

ภูชิชย์ยืนมองไปที่นอกหน้าต่างห้องนอนซึ่งเป็นทิศเดียวกับบ้านพักคนงานหญิง
“นริศรา เธอคงดีใจนะที่รู้ว่าคุณเล็กเลิกโกรธเกลียดเธอแล้ว”
ทันใดนั้น เสียงมือถือของภูชิชย์ก็ดังขึ้น ภูชิชย์หยิบมาดูหน้าจอ พอเห็นชื่อเจ้าน้อย เขาก็รู้สึกสับสน แต่ก็กดรับ “ครับเจ้า”
เจ้าทิพย์ดารานั่งคุยโทรศัพท์อยู่ในห้องนอนของเธอ
“เอ...วันนี้ภูงานยุ่งมากเหรอคะ”
“ครับ พอดีผมไปช่วยนริศราเขาลงกาแฟที่ท้ายไร่น่ะครับ เลยเพิ่งได้ทำงานของตัวเองเมื่อค่ำนี้เอง”
“มิน่า วันนี้น้อยเลยไม่ได้ยินเสียงภู”
“เอ่อ...ผมขอโทษนะครับเจ้า”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แต่ภูอย่าหายไปแบบนี้บ่อยๆนะคะ...น้อย...น้อยคิดถึง”
“ครับ” ภูชิชย์ตอบ
แล้วต่างคนก็ต่างเงียบไปครู่ใหญ่
“เอ่อ...แล้วเจ้าน้อยมีอะไรอีกหรือเปล่าครับ” ภูชิชย์ถามขึ้น
“พรุ่งนี้น้อยอยากไปซื้อของมาเตรียมเพ้นท์เสื้องานประมูลหาทุนงานฤดูหนาว ภูไปกับน้อยนะคะ”
“ผม เอ่อ..ผมต้องช่วยคุณนิดดูเรื่องกาแฟของเขาน่ะครับ”
“เหรอคะ...งั้นก็ไม่เป็นไรค่ะ”
“เจ้าน้อย...คือผมขอโทษนะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะภู น้อยเข้าใจ ฝันดีนะคะ” เจ้าทิพย์ดาราวางสายด้วยสีหน้าเศร้า
ภูชิชย์เริ่มคิดหนัก เขาหยิบรูปเจ้าทิพย์ดาราขึ้นมาดูแล้วถอนใจ ก่อนจะมองกลับไปยังทางบ้านพักคนงานหญิงเช่นเดิม

สุพัฒนาจะเอนตัวลงนอน บัวเกี๋ยงมาช่วยห่มผ้าให้พร้อมกับพูดประจบ
“คุณเล็กจะไม่บอกสักนิดเหรอคะ ว่าคุณเล็กคิดแผนอะไรอยู่”
“แกจะเซ้าซี้ถามไปทำไม บอกแล้วไงคนโง่อย่างแกไม่มีวันรู้เรื่องหรอก” สุพัฒนาด่า
จู่ๆ มือถือของบัวเกี๋ยงก็ดังขึ้น บัวเกี๋ยงหยิบออกมาดู แล้วมองไปที่สุพัฒนาก็เห็นว่าเจ้านายสาวกำลังจ้องเธอตาขุ่น
“ใคร” สุพัฒนาถามเสียงขุ่น
บัวเกี๋ยงอึกอัก “พ่อน่ะค่ะ”
สุพัฒนาโมโห “ทำไมพ่อแกชอบโทรมากลางคืนนักหา!”
บัวเกี๋ยงเริ่มจ๋อย “แกคงมีธุระด่วนน่ะค่ะ”
“ไปบอกพ่อแกนะ ว่าฉันซื้อโทรศัพท์เอาไว้ให้ฉันคุยกับแก ไม่ได้ให้สาแหรกของแกมาโทรคุยกันได้ตามสบายแบบนี้”
“ค่ะ” บัวเกี๋ยงเดินออกไปจากห้อง
สุพัฒนามองตามด้วยความหงุดหงิด

บัวเกี๋ยงเดินออกมาคุยโทรศัพท์นอกห้องสุพัฒนา
“พี่ผล โทรมาทำไมบ่อยๆ คุณเล็กด่าฉันแล้วนะ”
“ด่าทำไม พี่ไม่ได้โทรหาคุณเล็กสักหน่อย” ผลตอบ
“ก็นี่มันเครื่องของเขา เขาไม่ให้คนอื่นโทรมา แค่นี้นะ” บัวเกี๋ยงตัดบท
“เฮ้ย อย่าเพิ่ง เอาเงินออกมาให้หน่อย พี่รออยู่ที่หน้าไร่” ผลสั่ง
“เงิน? โอ๊ย ฉันไม่มีหรอก”
“ไม่มีแล้วพี่จะเอาอะไรกิน” ผลถาม
“พี่ก็ไปหางานทำเอาสิ”
“ก็มันหาไม่ได้นี่โว้ย ถึงต้องมาขอไง” ผลเริ่มฉุน
“นี่อย่ามาขึ้นเสียงกับฉันนะ ฉันบอกไม่มีก็คือไม่มี ไว้มีแล้วจะโทรไป”
“อีบัวเกี๋ยง เอ็งกล้าเหรอ อย่าให้ข้าโมโหนะ เอาเงินมาให้เดี๋ยวนี้ ไม่งั้นข้าบุกเข้าไร่ประจานเอ็งแน่”
บัวเกี๋ยงได้ยินก็หงุดหงิด เธอกัดฟันด้วยความเจ็บใจ

บัวเกี๋ยงย่องออกมาที่หน้าไร่ในยามดึกสงัด ผลที่แอบอยู่ชะเง้อมองพอเห็นว่าเป็นบัวเกี๋ยงก็กระชากตัวเข้ามา บัวเกี๋ยงตกใจจะร้องแต่ผลปิดปากเธอไว้ บัวเกี๋ยงกระชากมือผลออกด้วยความโมโห
บัวเกี๋ยงส่งเงินให้ “เอาไป มีแค่นี้แหล่ะ”
ผลกระชากเงินจากมือบัวเกี๋ยง บัวเกี๋ยงจะเดินไปแต่ผลดึงแขนเธอไว้
“อะไรอีกล่ะ ถ้าไม่เชื่อจะค้นตัวฉันก็ได้นะ มีแค่นี้จริงๆ”
“คืนนี้พี่จะเข้าไปนอนด้วย” ผลบอก
บัวเกี๋ยงตกใจ “อะไรนะ พี่จะบ้าเหรอ” บัวเกี๋ยงทำเสียงอ่อน “พี่ผล อย่าทำแบบนี้เลยนะ เราจะอดตายทั้งคู่”
“แล้วเอ็งจะปล่อยให้พี่ตายคนเดียวเหรอ คืนนี้พี่ไม่รู้จะไปนอนที่ไหน กลับบ้านก็ไม่ได้ พวกในบ่อนมันตามล่าพี่อยู่”
บัวเกี๋ยงมองหน้าผล แล้วตัดสินใจถอดสร้อยทองเส้นเล็กเท่าหนวดกุ้งที่คอให้ผล
“พอใช้หนี้ไหม” บัวเกี๋ยงถาม
ผลคว้าหมับทันที “อย่างงี้ก็ค่อยยังชั่วหน่อย”
“รีบไปสิ เดี๋ยวใครมาเห็น”
ผลมองซ้ายขวาแล้วก็เผ่นออกไปทันที บัวเกี๋ยงถอนใจด้วยความเซ็ง
“เมื่อไหร่ไอ้เห็บไอ้เหาตัวนี้มันจะตายๆไปจากชีวิตฉันซะทีวะ”

อากาศยามเช้าที่แปลงดอกไม้เต็มไปด้วยความสดใส สุพัฒนามานั่งดมกลิ่นดอกไม้อยู่ที่ริมแปลง สักพักนิพนธ์ที่ถือพลั่วอยู่ในมือก็ยืนขึ้นกลางแปลง เขามองสุพัฒนาที่กำลังดมดอกนั้นดอกนี้อย่างมีความสุข สุพัฒนาเงยหน้าขึ้นมองนิพนธ์ นิพนธ์สะดุ้งแล้วก็เขิน
“อ้าวนิพนธ์” สุพัฒนาเดินเข้าไปหาโดยตามองไปที่อุปกรณ์ “พี่ภูให้เธอมาทำแปลงดอกไม้ให้ฉันเหรอ”
นิพนธ์อึกอัก “ครับ.คุณเล็ก ตื่นแต่เช้าเลยนะครับ”
“อืม ฉันรู้สึกว่าวันนี้สดชื่นกว่าทุกวัน” สุพัฒนาบอก
“วันนี้คุณเล็กอารมณ์ดีเป็นพิเศษ”
“คงเพราะจะมีเรื่องดีๆเกิดขึ้นกับฉันมั้ง”
“เรื่องอะไรครับ”
“ก็นัง..” สุพัฒนาจะหลุดพูดออกมาแต่ก็เปลี่ยนเรื่องได้ทัน “เอ่อ...ก็อากาศดีแบบนี้ ฉันก็อารมณ์ดีสิ แล้วยิ่งมาอยู่ใกล้ๆ ดอกไม้สวยๆพวกนี้ ฉันยิ่งอารมณ์ดีเลย”
นิพนธ์ยิ้ม “มันเหมือนภาพที่ผมเห็นคุณเล็กตอนนั้นเลย”
“เหรอ ตอนไหนอ่ะ”

ภาพเหตุการณ์ในอดีตผุดขึ้นในหัวของนิพนธ์
วันนั้นภูชิชย์กำลังบรรยายให้กลุ่มนักศึกษาที่มาดูงานในไร่ฟัง โดยมีนิพนธ์อยู่ในกลุ่มนั้นด้วย
“ที่ไร่องุ่นนี้ นอกจากเราจะปลูกองุ่นส่งให้ตลาดแล้ว ในอนาคตเราก็ยังมีโครงการทำโรงบ่มไวน์เอง เพื่อทำให้ครบวงจร และเป็นการสร้างรายได้ให้ชุมชนเพิ่มมากขึ้น น้องๆปีสี่ที่กำลังจะจบแล้ว ใครความสนใจอยากร่วมงานกับเราก็มาศึกษางานที่ไร่ของผมได้นะ แต่ว่าตอนนี้เชิญน้องๆทานน้ำทานขนมกันตามสบายเลยนะครับ”
แม่อุ้ยกับฝ้ายเดินถือน้ำและขนมเข้ามา แล้วสุพัฒนาในชุดนักศึกษาก็ถือถาดขนมตามมาเป็นคนสุดท้าย นิพนธ์หันไปเห็นก็ปิ๊งทันที
“อ้าวคุณเล็ก เลิกเรียนแล้วเหรอ” ภูชิชย์ถามน้องสาว
“ค่ะ พอเลิกเรียน คุณเล็กก็รีบกลับมาช่วยพี่ภูเลยนะคะ” สุพัฒนาตอบ
“ขอบคุณค่ะ” ภูชิชย์ลูบหัวน้องสาวด้วยความเอ็นดู
สุพัฒนารินน้ำและส่งขนมให้กลุ่มนักศึกษา เธอทั้งยิ้มแย้ม ทั้งน่ารักและสดใสจนนิพนธ์รู้สึกประทับใจและมองไม่วางตา พอถึงคิวนิพนธ์ สุพัฒนาก็ส่งน้ำและยิ้มให้ นิพนธ์ดีใจจนยิ้มค้าง สุพัฒนาไม่ได้สนใจ หันไปหยิบขนมให้พี่ชายต่อไป

นิพนธ์เล่าเหตุการณ์ในวันนั้นให้สุพัฒนาฟัง แต่เธอฟังแล้วก็หัวเราะออกมา
“ตอนนั้น เธอคงดูแย่มากจนฉันจำไม่ได้เลย” สุพัฒนาว่า
“คงจะใช่ครับ ผมมันดูแย่เสมอ” นิพนธ์จ๋อยจึงเปลี่ยนเรื่องทันที “คุณเล็กอยากได้ดอกไม้หรือเปล่าครับ ผมจะตัดให้”
“ไม่ล่ะ ฉันชอบดูมันอยู่กับต้นเยอะๆแบบนี้มากกว่า”
“ครับ”
นิพนธ์จะนั่งลงทำสวนต่อ แต่สุพัฒนามาจับมือเขาไว้ นิพนธ์อึ้งแล้วสุพัฒนาก็ดึงพลั่วจากมือนิพนธ์
“ฉันช่วย” สุพัฒนาบอก
“อย่าเลยครับคุณเล็ก เลอะเทอะเปล่าๆ”
“ไม่เอา แปลงดอกไม้ของฉัน ฉันก็ต้องมีส่วนทำให้มันสวยด้วยสิ”
ทั้งสองช่วยกันตัดแต่งกิ่ง รดน้ำ พรวนดินแปลงดอกไม้ สักพักสุพัฒนาก็เจอหนอนเลยสะดุ้งตกใจ นิพนธ์เห็นเข้าก็หัวเราะ นิพนธ์แกล้งทำท่าเหมือนจะจับหนอนมาหลอกสุพัฒนา สุพัฒนาจึงไล่ฉีดน้ำใส่นิพนธ์
สักพักสุพัฒนาก็เห็นแมลงปอและผีเสื้อบินวนดอกไม้ เธอวิ่งไล่จับอย่างมีความสุข นิพนธ์แอบมอง สุพัฒนาไม่ได้สนใจนิพนธ์ พอวิ่งสักพักสุพัฒนาก็เริ่มเหนื่อย
“ไม่ไหวแล้ว” สุพัฒนาว่า
นิพนธ์ยิ้มและขำ “อะไรกัน เห็นไล่จับแต่ผีเสื้อ เหนื่อยแล้วเหรอครับ”
“แหม ฉันก็พรวนดินให้ตั้งหลายต้นแล้วนะ”
“ครับๆ เหนื่อยก็ไปนั่งพักเถอะครับ”
สุพัฒนาเดินไปนั่งที่เก้าอี้ นิพนธ์เดินตามไป

สุพัฒนานั่งพักตรงเก้าอี้ใต้ต้นไม้ นิพนธ์เดินเปิดขวดน้ำดื่มแล้วนำมายื่นให้ สุพัฒนารับมาดื่ม
“นี่ รู้หรือยัง ว่านริศราเขาเป็นเด็กนอก แล้วก็เป็นถึงลูกนายพลเชียวนะ” สุพัฒนาถาม
“ทราบแล้วครับ” นิพนธ์ตอบ
“ขอถามครั้งสุดท้ายนะ ตกลงนายจะจีบแม่นั่นไหม”
“ผมขอยืนยันเหมือนเดิม ว่าไม่ครับ” นิพนธ์พูดพร้อมมองตาสุพัฒนานิ่ง
สุพัฒนายักไหล่ “ก็ดี”
นิพนธ์งง “คุณเล็กหมายความว่ายังไงเหรอครับ ผมไม่เข้าใจ”
สุพัฒนายิ้มแล้วเดินหนีไป







Create Date : 11 มีนาคม 2555
Last Update : 11 มีนาคม 2555 23:14:50 น.
Counter : 394 Pageviews.

0 comment
รักประกาศิต ตอนที่ 9 (ต่อ)




เวลาต่อมา ภูชิชย์ นริศรา และเจมส์นั่งกินข้าวอยู่ด้วยกันที่โรงอาหาร
“เธอคิดหรือยังว่าจะปลูกอะไรคู่กับกาแฟ เพื่อจะช่วยให้มันคอยเป็นร่มเงาให้กาแฟ แล้วก็ป้องกันการพังทลายของดินด้วย” ภูชิชย์ถาม
“ในหนังสือบอกว่าปลูกต้นกล้วยก็ได้ ผมว่าอันนี้เหมาะสุด” เจมส์เสนอ
“แต่ฉันตั้งใจว่าจะเป็นต้นมะม่วงค่ะ”
ภูชิชย์กับเจมส์ทวนคำพร้อมกัน “มะม่วง?”
“มะม่วงมันหวาน มดแดงได้มาขึ้นนะสิ” ภูชิชย์ว่า
“นั่นแหล่ะค่ะที่ฉันต้องการ เพราะถ้าเราจะไม่ใช้สารเคมีช่วยเราก็ต้องให้ธรรมชาติช่วย มดแดงจะช่วยกัดกินเชื้อราที่จะมาขึ้นต้นกาแฟ” นริศราบอก
“ว๊าว...วิธีของพี่นิดนี่ดีมาก ประหยัดเงิน เวลา รักษาสิ่งแวดล้อม” เจมส์ชม
“เป็นความโชคดีของคนไทยที่ในหลวงท่านพระราชทานปรัชญาในการทำการเกษตรบนพื้นฐานของความพอเพียงและให้ธรรมชาติดูและกันเอง” นริศราพูด
“นริศรา ฉันยอมแพ้เธอแล้ว เธอเก่งจริงๆ”
ภูชิชย์พูดแล้วยิ้มให้ เจมส์กับนริศราตาโตมองหน้ากันเหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง

อีกด้านหนึ่ง แม่อุ้ยกับพรกำลังตักข้าวให้คนงานที่มายืนต่อแถว ทั้งสองสะกิดกันให้ดูภูชิชย์ที่กำลังตักกับข้าวให้นริศรากับเจมส์ แม่อุ้ยกับพรถึงกับมองตาค้าง ลุงปั๋นที่กำลังยืนรอทั้งสองตักข้าวให้ทักขึ้น
“เฮ้ย...ฉันจะกินข้าววันนี้นะเว้ย”
“เดี๋ยวก่อน ขอดูฉากพระเอกนางเอกก่อนสิวะ ดูนั่นสิ พ่อเลี้ยงกับคุณนิดเขาญาติดีกันตั้งแต่เมื่อไหร่” แม่อุ้ยแปลกใจ
“ไม่ได้ดีธรรมดานะ ถึงกับตักอาหารให้กันนี่ ฉันว่าต้องดีเป็นพิเศษเลยล่ะ” พรเสริม
“ข้าก็แปลกใจอยู่เหมือนกัน จู่ๆวันนี้พ่อเลี้ยงก็ดีกับคุณนิดมากเลย แต่เป็นแบบนี้ก็ดีนะ น่ารักดี” ลุงปั๋นบอก
“น่ารักเหรอ...จริงด้วย คู่นี้ดูๆไปก็น่ารักจริงๆ” แม่อุ้ยเชียร์
“แต่จะน่ารักได้กี่วันก็ไม่รู้”
“อ้าวนังพร ปากเสียแล้วไหมล่ะ”
“ก็จริงไหมล่ะ ดูโน่นสิมีคนหนึ่งที่คงไม่คิดเหมือนพวกเรา” พรชี้ให้ทุกคนมองไป
ทุกคนหันไปก็เห็นบัวเกี๋ยงที่นั่งอยู่กับคนงานอีกมุมกำลังนั่งจ้องนริศราตาเขม็ง
“จ้องตาเขียวแบบนี้ เดี๋ยวถึงหูคุณเล็กแน่” ลุงปั๋นกังวล
พูดไม่ทันขาดคำบัวเกี๋ยงก็ลุกขึ้นเดินถือจานไปโยนใส่กาละมังจากนั้นก็เดินจ้ำออกไปทันที
“ว่าแล้วปะไร” ลุงปั๋นพูด

แม้บัวเกี๋ยงจะนำเรื่องของนริศรามาฟ้องถึงที่ห้องนั่งเล่น แต่สุพัฒนาก็นอนเอนหลังอ่านหนังสือต่อไปอย่างไม่เดือดร้อนอะไร
“ช่างมันสิ มันมีความสุขก็ดีแล้ว” สุพัฒนาพูดเรียบๆ
บัวเกี๋ยงงง “ช่างมันได้ยังไงกันคะ มันกำลังแย่งพ่อเลี้ยงไปแล้วนะคะ”
“แล้วไง” สุพัฒนาถามกลับ
“ก็ทำไมคุณเล็กไม่ไปตบมันล่ะคะ ตบๆๆ ตบๆๆๆ พูดแล้วบัวเกี๋ยงคันมือยิกเลย”
“ตบเหรอ...ไม่ล่ะ...ขี้เกียจ เสียเวลา”
บัวเกี๋ยงหน้าเหวอ “คุณเล็ก”
บัวเกี๋ยงอ้าปากจะโวยต่อ แต่สุพัฒนารีบตัดบทขึ้นมาก่อน
“หุบปาก ไปชงชามิ้นท์มาให้ฉันกินหน่อย”
“หา! จะกินชา โอ๊ย อะไรกันเนี่ยคุณเล็ก”
“ฉันสั่งให้แกทำอะไรก็ไปทำสิ ถ้าไม่ไปฉันตบแกแทนนังนิด”
บัวเกี๋ยงไม่เข้าใจในท่าทีที่เปลี่ยนไปของเจ้านาย เธอจะพูดอะไรก็พูดไม่ออก รู้สึกอึดอัดคล้ายอกจะแตกตาย แล้วบัวเกี๋ยงก็เดินฟึดฟัดออกไป
สุพัฒนาหน้ามีรอยยิ้มแต่มือกำหนังสือจนสั่นระริกแล้วเธอก็ฉีกหนังสือทั้งๆ ที่ยังยิ้มอยู่
“ตบทำไมให้ฉันเจ็บมือ” สุพัฒนาพูดอย่างเยือกเย็น

บัวเกี๋ยงเดินเข้ามาทิ้งตัวลงนั่งในครัวอย่างหงุดหงิด
“โอ้ย อีคุณเล็กนี่ก็บ้า ให้ไปด่านังนิด กลับมาด่าเราซะงั้น ทำยังกับจะไปญาติดีกับมัน สมควรแล้วที่ต้องไปรักษาโรคบ้า” บัวเกี๋ยงยื่นมือจะหยิบกาต้มชา แล้วเธอคิดขึ้นมาได้ “ไม่ได้ ถ้ามันดีกันแล้ว ทีนี้เราจะใช้ใครกำจัดนังนิดล่ะ”
บัวเกี๋ยงทุบโต๊ะด้วยความโมโห

นริศรานั่งคิดและเขียนงานลงสมุดบันทึกอยู่ในห้องพัก จู่ๆ เธอก็เผลอนึกถึงภูชิชย์แล้วยิ้มออกมา

ภาพเหตุการณ์ในวันนี้ย้อนกลับมาอีกครั้ง
“ขอโทษทำไม ฉันก็ทำเธอไว้เยอะจริงๆ ตอนนี้ฉันยังแก้ไขทันใช่ไหม” ภูชิชย์พูด
นริศรางง “พ่อเลี้ยงจะแก้ไขอะไรคะ”

ภาพเหตุการณ์ต่อจากนั้นย้อนกลับมาในหัวของนริศรา
ภูชิชย์ยิ้มให้แล้วส่งต้นกล้าให้นริศราต้นหนึ่ง
“ขอให้เธอทำสำเร็จนะ ฉันเป็นกำลังใจให้”

แล้วอีกภาพเหตุการณ์ก็ผุดขึ้นในหัวของนริศรา
“นริศรา ฉันยอมแพ้เธอแล้ว เธอเก่งจริงๆ” ภูชิชย์พูดยิ้มๆ

นริศรานั่งนึกถึงเหตุการณ์เหล่านั้นก็นั่งยิ้มอยู่คนเดียว
“แปลกคน บทจะดีก็ดีใจหาย” นริศรานึกขึ้นได้ “หรือว่าจะนิสัยเหมือนน้องสาว พอรู้ว่าเราเป็นลูกนายพลก็เลยดีด้วย เฮ้อ...นายภูชิชย์นายจะเป็นคนอย่างนั้นจริงเหรอ”
นริศราถอนใจแล้วเหม่อมองไปด้านข้างแล้วเธอก็ตกใจที่เห็นพรซึ่งผัดแป้งหน้าขาววอกนั่งอยู่ข้างๆ
“ว๊าย พร ตกใจหมดเลย มาเมื่อไหร่”
“มาตั้งนานแล้วค่ะ จนเอาผ้าเช็ดตัวไปตากแล้วก็มานั่งฟังคุณนิด” พรบอก
นริศราตกใจ “แล้วพร...เอ่อ...ได้ยินอะไรหรือเปล่า”
พรพูดทวนคำของนริศราทันที “แปลกคน บทจะดีก็ดีใจหาย” พรนิ่งนึกแล้วพูดต่อ “หรือว่าจะนิสัยเหมือนน้องสาว พอรู้ว่าเราเป็นลูกนายพลก็เลยดีด้วย เฮ้อ...นายภูชิชย์นายจะเป็นคน อย่างนั้นจริงเหรอ” พรทำท่าทางเลียยแบบ “ว๊าย พร ตกใจหมดเลย มาเมื่อไหร่”
นริศราเซ็ง “ครบเลย จะขาดสักคำก็ได้นะ”
“แล้วตกลงคุณนิดเป็นลูกนายพลเหรอคะ”
“ถึงตอนนี้คงปิดพรไม่ได้แล้ว ถ้าฉันเล่า...พรไม่ต้องไปบอกใครนะ”
พรพยักหน้าตาแป๋ว

คนงานทุกคนที่นั่งรวมตัวกันอยู่ที่โรงอาหารมีท่าทีตกใจ
“ห๊า...ลูกนายพล เรียนเมืองนอก” พวกคนงานพูดเกือบจะพร้อมกัน
พรพยักหน้ารับอย่างภูมิใจที่รู้ข่าวก่อนใคร คนงานเริ่มคุยฮือฮากันยกใหญ่
“ไม่ใช่ระดับนังพร ไม่มีใครมีทางรู้ข่าวนี้นะ” พรพูดแล้วนึกได้ “อ้อ...แล้วห้ามบอกต่อเชียวนะ”
“เอ่อ...พี่พรครับ ตอนพี่เรียกพวกเราพี่บอกให้มาให้หมดไม่ใช่เหรอครับ” เจมส์ทักขึ้น
“ใช่” พรตอบ
“แล้วมันจะเหลือใครในไร่ให้บอกต่อล่ะครับ” เจมส์ถาม
พรค้อน “แหม...ฝรั่งขี้เม้าท์นะเนี่ย”
“นึกแล้วว่าคุณนิดต้องเป็นลูกชาติลูกตระกูล โถแม่คุณ จะมาเป็นเลขากลับต้องมาทำไร่” แม่อุ้ยเห็นใจ
“แต่ฉันละนับถือเลย ผู้หญิงอะไรอดทนมาก” หนานบอก
“ถูกพวกเราแกล้งก็หลายครั้ง แต่ก็ยังรักพวกเราดูแลพวกเราดี” เป็งพูด
“นึกๆแล้วก็สงสารเธอนะ พ่อเลี้ยงไม่น่าแกล้งเธอเลย ตอนนี้ความจริงเปิดมาแล้ว ต่อไปพ่อเลี้ยงคงดีกับเธอเนอะ” ฝ้ายแสดงความเห็น
ลุงปั๋นพูดกับแม่อุ้ย “เป็นไงล่ะ หายสังสัยหรือยังว่าทำไมพ่อเลี้ยงกับคุณนิดถึงดีกัน”
“แหม...พูดแบบนี้ก็แสดงว่าพ่อเลี้ยงดีกับคุณนิดเพราะเธอมีหัวโขนน่ะสิ” แม่อุ้ยว่า
“คุณนิดก็แอบคิดนะ” พรบอก
ทันใดนั้นทุกคนก็ได้ยินเสียงใครสักคนดังขึ้น “แต่ฉันว่าพวกเราไม่ควรคิดแบบนั้นนะ”
คนงานทุกคนหันไปก็เห็นนิพนธ์เดินเข้ามารวมกลุ่ม
นิพนธ์มองไปที่เจมส์ “มาไม่กี่วันก็เอากับเขาด้วยนะ”
เจมส์หน้าเสีย “แฮ่ะๆๆ ผมกำลังปรับตัวครับ”
นิพนธ์ยิ้ม “เรื่องคุณนิดจะคิดกับพ่อเลี้ยงมันก็อาจเป็นได้ เพราะเธอเป็นคนมาใหม่ แต่กับพวกเราอยู่ที่นี่กันมานาน คิดว่าพ่อเลี้ยงเป็นคนที่คบคนที่หน้าตา ฐานะงั้นเหรอ ถ้าเป็นแบบนั้น พ่อเลี้ยงคงไม่เลี้ยงดูพวกเราไปจนถึงส่งลูกหลานบางคนเรียนหนังสือหรอก”
พวกคนงานพยักหน้าและพูดคุยกันในทำนองเห็นด้วย
“อีกอย่างนะ ที่พ่อเลี้ยงดีกับคุณนิดเพราะพ่อเลี้ยงก็เหมือนพวกเรา คือแพ้ความดีและความอดทนตั้งใจทำงานของคุณนิด” นิพนธ์บอก
“แบบนี้ถ้าคุณนิดเข้าใจพ่อเลี้ยงผิดก็จะไม่ดีสิครับ” ลุงปั๋นพูด
พวกคนงานเห็นด้วยกับลุงปั๋น
“ตอนนี้พ่อเลี้ยงรู้จักคุณนิดแล้ว ก็คงต้องถึงเวลาที่คุณนิดจะรู้จักพ่อเลี้ยงบ้างล่ะ” นิพนธ์บอก
“ไม่เป็นไรค่ะ พรจะช่วยเชียร์เอง”
คนงานฮือขึ้นมาว่าจะช่วยเชียร์กันยกใหญ่
“เฮ้ยๆๆ นี่จะทำอะไรกัน” นิพนธ์ปราม
คนงานไม่สนใจฟังนิพนธ์ ทุกคนต่างพูดคุยวางแผนกันยกใหญ่
“ท่าทางพ่อเลี้ยงจะมีแนวร่วมแล้วครับ” เจมส์บอกนิพนธ์

บัวเกี๋ยงยืนเทนมสดใส่แก้วอยู่ในครัว โดยมีสุพัฒนายืนอยู่ข้างๆ
“คุณเล็กจะทำอะไร บัวเกี๋ยงไม่เข้าใจ พ่อเลี้ยงไม่ทานอะไรก่อนนอนคุณเล็กก็รู้” บัวเกี๋ยงถาม
“เหอะน่า...ฉันจะหาวิธีปรับความเข้าใจกับพี่ภู” สุพัฒนาบอก
“ปรับความเข้าใจ...ยังไงคะ”
“ก็แกลองคิดดูสิ หลังๆมานี่ เวลาเราจะเล่นงานนังนิดทีไร พี่ภูต้องช่วยมันทุกครั้ง แล้วก็ทะเลาะกับฉัน ถ้าฉันยังโกรธกับพี่ภูอยู่ วันที่นังนิดมันไปพี่ภูก็ต้องช่วยมันอีก”
“หา...นี่คุณเล็กถึงกับกำหนดวันที่นังนิดมันจะไปจากที่นี่เลยเหรอคะ” บัวเกี๋ยงดีใจ
“ใช่....และวันนั้นพี่ภูก็จะหมดหนทางช่วยมัน”
“ตกลงคุณเล็กมีแผนชั่วอะไรอีกค่ะเนี่ย” บัวเกี๋ยงถาม
สุพัฒนาได้ยินก็ค้อนบัวเกี๋ยง

ภูชิชย์นั่งทำงานอยู่ในห้องทำงานที่บ้าน สุพัฒนากับบัวเกี๋ยงเปิดประตูเข้ามาแล้วเอาแก้วนมวางลงบนโต๊ะเบื้องหน้าของภูชิชย์
“สองสามวันนี้เราไม่ได้คุยกัน คุณเล็กรู้สึกไม่ดีเลย เลยอยากขอโทษพี่ภูค่ะ”
สุพัฒนาพูดพร้อมกับตีหน้าเศร้า ภูชิชย์ลุกขึ้นมาจับหัวน้องสาวด้วยความเอ็นดู
“พี่ดีใจนะที่คุณเล็กหายโกรธพี่” ภูชิชย์ยิ้ม “นี่พี่ทานเพราะคุณเล็กนะเนี่ย”
ภูชิชย์ดื่มนมจนหมดแก้ว สุพัฒนาดีใจรีบเข้าไปกอด
“คุณเล็กรักพี่ภูที่สุด”
“ถ้ารักพี่ก็อย่าดื้อกับพี่อีกนะ”
“วันนี้ได้ข่าวว่าพี่ภูกับนิด ทำงานกันได้ดีเหรอคะ”
ภูชิชย์ชะงักไปเล็กน้อย “เอ่อ...ใช่จ้ะ”
สุพัฒนายิ้ม “นิดเขาเก่งนะคะ ทำงานในไร่ก็ได้ ทำงานเอกสารก็เก่ง นิพนธ์ยังชมเลย”
“นี่คุณเล็กไม่โกรธนริศราแล้วเหรอ”
“คุณเล็กมาคิดๆดู เราจะเกลียดคนเก่งไปทำไมคะ ทำให้เราเสียประโยชน์เปล่าๆ นิดเองก็น่าสงสาร คงมาจากครอบครัวต่ำๆ คุณเล็กไม่ควรไปซ้ำเติมเขา”
“ไม่นะ นริศราเขามาจากครอบครัวดีเลยล่ะ” ภูชิชย์รีบบอก
สุพัฒนางง “ครอบครัวดี?”
ภูชิชย์หยิบแฟ้มเอกสารประวัติของนริศราส่งให้สุพัฒนาอ่าน บัวเกี๋ยงทนไม่ไหวลุกขึ้นมาอ่านด้วย
“นริศราเป็นลูกสาวนายพล” ภูชิชย์บอก “พี่ชายก็เป็นทหาร แล้วเขาก็เคยเรียนที่อเมริกา เพียงแต่ว่าเขายังเรียนไม่จบ พ่อของเขาเสีย เลยไม่ได้กลับไปเรียนต่อ”
สุพัฒนากับบัวเกี๋ยงพลิกเปิดดูประวัตินริศราด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

สุพัฒนาเดินเข้ามาในห้องนอนแล้วนั่งที่เตียง บัวเกี๋ยงตามเข้าแล้วรีบลงมานั่งข้างๆ
“คุณเล็ก คุณเล็กขา” บัวเกี๋ยงเรียก
สุพัฒนาหงุดหงิด “จะเรียกทำไมนักหนา”
“ก็บัวเกี๋ยงเป็นห่วงน่ะสิคะ ตั้งแต่อ่านประวัตินังนั่นจบคุณเล็กก็เงียบไปเลย บัวเกี๋ยงกลัว”
“กลัวอะไร?” สุพัฒนาถามกลับ
“บัวเกี๋ยงกลัวว่าพอคุณเล็กรู้ว่านังนิดเป็นลูกนายพลแล้วจะเปลี่ยนไปอยู่ข้างมันค่ะ”
“ใครบอก ฉันเกลียดมันมากขึ้นด้วยซ้ำ”
“จริงเหรอคะ บัวเกี๋ยงก็เกลียดมากขึ้นด้วยเหมือนกันค่ะ”
“ไม่ว่ามันจะเป็นใคร ถ้ามันคิดจะทำให้พี่ภูรักแล้วแย่งพี่ภูไปจากฉัน ฉันก็จะเกลียดมัน”
“บัวเกี๋ยงดีใจที่ได้ยินแบบนี้นะคะ แล้วแผนคุณเล็กจะเริ่มเมื่อไหรล่ะคะ”
“พรุ่งนี้” สุพัฒนาตอบ
บัวเกี๋ยงได้ยินก็ดีใจและตื่นเต้นจนตาโต

ภูชิชย์ยืนมองไปที่นอกหน้าต่างห้องนอนซึ่งเป็นทิศเดียวกับบ้านพักคนงานหญิง
“นริศรา เธอคงดีใจนะที่รู้ว่าคุณเล็กเลิกโกรธเกลียดเธอแล้ว”
ทันใดนั้น เสียงมือถือของภูชิชย์ก็ดังขึ้น ภูชิชย์หยิบมาดูหน้าจอ พอเห็นชื่อเจ้าน้อย เขาก็รู้สึกสับสน แต่ก็กดรับ “ครับเจ้า”
เจ้าทิพย์ดารานั่งคุยโทรศัพท์อยู่ในห้องนอนของเธอ
“เอ...วันนี้ภูงานยุ่งมากเหรอคะ”
“ครับ พอดีผมไปช่วยนริศราเขาลงกาแฟที่ท้ายไร่น่ะครับ เลยเพิ่งได้ทำงานของตัวเองเมื่อค่ำนี้เอง”
“มิน่า วันนี้น้อยเลยไม่ได้ยินเสียงภู”
“เอ่อ...ผมขอโทษนะครับเจ้า”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แต่ภูอย่าหายไปแบบนี้บ่อยๆนะคะ...น้อย...น้อยคิดถึง”
“ครับ” ภูชิชย์ตอบ
แล้วต่างคนก็ต่างเงียบไปครู่ใหญ่
“เอ่อ...แล้วเจ้าน้อยมีอะไรอีกหรือเปล่าครับ” ภูชิชย์ถามขึ้น
“พรุ่งนี้น้อยอยากไปซื้อของมาเตรียมเพ้นท์เสื้องานประมูลหาทุนงานฤดูหนาว ภูไปกับน้อยนะคะ”
“ผม เอ่อ..ผมต้องช่วยคุณนิดดูเรื่องกาแฟของเขาน่ะครับ”
“เหรอคะ...งั้นก็ไม่เป็นไรค่ะ”
“เจ้าน้อย...คือผมขอโทษนะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะภู น้อยเข้าใจ ฝันดีนะคะ” เจ้าทิพย์ดาราวางสายด้วยสีหน้าเศร้า
ภูชิชย์เริ่มคิดหนัก เขาหยิบรูปเจ้าทิพย์ดาราขึ้นมาดูแล้วถอนใจ ก่อนจะมองกลับไปยังทางบ้านพักคนงานหญิงเช่นเดิม

สุพัฒนาจะเอนตัวลงนอน บัวเกี๋ยงมาช่วยห่มผ้าให้พร้อมกับพูดประจบ
“คุณเล็กจะไม่บอกสักนิดเหรอคะ ว่าคุณเล็กคิดแผนอะไรอยู่”
“แกจะเซ้าซี้ถามไปทำไม บอกแล้วไงคนโง่อย่างแกไม่มีวันรู้เรื่องหรอก” สุพัฒนาด่า
จู่ๆ มือถือของบัวเกี๋ยงก็ดังขึ้น บัวเกี๋ยงหยิบออกมาดู แล้วมองไปที่สุพัฒนาก็เห็นว่าเจ้านายสาวกำลังจ้องเธอตาขุ่น
“ใคร” สุพัฒนาถามเสียงขุ่น
บัวเกี๋ยงอึกอัก “พ่อน่ะค่ะ”
สุพัฒนาโมโห “ทำไมพ่อแกชอบโทรมากลางคืนนักหา!”
บัวเกี๋ยงเริ่มจ๋อย “แกคงมีธุระด่วนน่ะค่ะ”
“ไปบอกพ่อแกนะ ว่าฉันซื้อโทรศัพท์เอาไว้ให้ฉันคุยกับแก ไม่ได้ให้สาแหรกของแกมาโทรคุยกันได้ตามสบายแบบนี้”
“ค่ะ” บัวเกี๋ยงเดินออกไปจากห้อง
สุพัฒนามองตามด้วยความหงุดหงิด

บัวเกี๋ยงเดินออกมาคุยโทรศัพท์นอกห้องสุพัฒนา
“พี่ผล โทรมาทำไมบ่อยๆ คุณเล็กด่าฉันแล้วนะ”
“ด่าทำไม พี่ไม่ได้โทรหาคุณเล็กสักหน่อย” ผลตอบ
“ก็นี่มันเครื่องของเขา เขาไม่ให้คนอื่นโทรมา แค่นี้นะ” บัวเกี๋ยงตัดบท
“เฮ้ย อย่าเพิ่ง เอาเงินออกมาให้หน่อย พี่รออยู่ที่หน้าไร่” ผลสั่ง
“เงิน? โอ๊ย ฉันไม่มีหรอก”
“ไม่มีแล้วพี่จะเอาอะไรกิน” ผลถาม
“พี่ก็ไปหางานทำเอาสิ”
“ก็มันหาไม่ได้นี่โว้ย ถึงต้องมาขอไง” ผลเริ่มฉุน
“นี่อย่ามาขึ้นเสียงกับฉันนะ ฉันบอกไม่มีก็คือไม่มี ไว้มีแล้วจะโทรไป”
“อีบัวเกี๋ยง เอ็งกล้าเหรอ อย่าให้ข้าโมโหนะ เอาเงินมาให้เดี๋ยวนี้ ไม่งั้นข้าบุกเข้าไร่ประจานเอ็งแน่”
บัวเกี๋ยงได้ยินก็หงุดหงิด เธอกัดฟันด้วยความเจ็บใจ

บัวเกี๋ยงย่องออกมาที่หน้าไร่ในยามดึกสงัด ผลที่แอบอยู่ชะเง้อมองพอเห็นว่าเป็นบัวเกี๋ยงก็กระชากตัวเข้ามา บัวเกี๋ยงตกใจจะร้องแต่ผลปิดปากเธอไว้ บัวเกี๋ยงกระชากมือผลออกด้วยความโมโห
บัวเกี๋ยงส่งเงินให้ “เอาไป มีแค่นี้แหล่ะ”
ผลกระชากเงินจากมือบัวเกี๋ยง บัวเกี๋ยงจะเดินไปแต่ผลดึงแขนเธอไว้
“อะไรอีกล่ะ ถ้าไม่เชื่อจะค้นตัวฉันก็ได้นะ มีแค่นี้จริงๆ”
“คืนนี้พี่จะเข้าไปนอนด้วย” ผลบอก
บัวเกี๋ยงตกใจ “อะไรนะ พี่จะบ้าเหรอ” บัวเกี๋ยงทำเสียงอ่อน “พี่ผล อย่าทำแบบนี้เลยนะ เราจะอดตายทั้งคู่”
“แล้วเอ็งจะปล่อยให้พี่ตายคนเดียวเหรอ คืนนี้พี่ไม่รู้จะไปนอนที่ไหน กลับบ้านก็ไม่ได้ พวกในบ่อนมันตามล่าพี่อยู่”
บัวเกี๋ยงมองหน้าผล แล้วตัดสินใจถอดสร้อยทองเส้นเล็กเท่าหนวดกุ้งที่คอให้ผล
“พอใช้หนี้ไหม” บัวเกี๋ยงถาม
ผลคว้าหมับทันที “อย่างงี้ก็ค่อยยังชั่วหน่อย”
“รีบไปสิ เดี๋ยวใครมาเห็น”
ผลมองซ้ายขวาแล้วก็เผ่นออกไปทันที บัวเกี๋ยงถอนใจด้วยความเซ็ง
“เมื่อไหร่ไอ้เห็บไอ้เหาตัวนี้มันจะตายๆไปจากชีวิตฉันซะทีวะ”

อากาศยามเช้าที่แปลงดอกไม้เต็มไปด้วยความสดใส สุพัฒนามานั่งดมกลิ่นดอกไม้อยู่ที่ริมแปลง สักพักนิพนธ์ที่ถือพลั่วอยู่ในมือก็ยืนขึ้นกลางแปลง เขามองสุพัฒนาที่กำลังดมดอกนั้นดอกนี้อย่างมีความสุข สุพัฒนาเงยหน้าขึ้นมองนิพนธ์ นิพนธ์สะดุ้งแล้วก็เขิน
“อ้าวนิพนธ์” สุพัฒนาเดินเข้าไปหาโดยตามองไปที่อุปกรณ์ “พี่ภูให้เธอมาทำแปลงดอกไม้ให้ฉันเหรอ”
นิพนธ์อึกอัก “ครับ.คุณเล็ก ตื่นแต่เช้าเลยนะครับ”
“อืม ฉันรู้สึกว่าวันนี้สดชื่นกว่าทุกวัน” สุพัฒนาบอก
“วันนี้คุณเล็กอารมณ์ดีเป็นพิเศษ”
“คงเพราะจะมีเรื่องดีๆเกิดขึ้นกับฉันมั้ง”
“เรื่องอะไรครับ”
“ก็นัง..” สุพัฒนาจะหลุดพูดออกมาแต่ก็เปลี่ยนเรื่องได้ทัน “เอ่อ...ก็อากาศดีแบบนี้ ฉันก็อารมณ์ดีสิ แล้วยิ่งมาอยู่ใกล้ๆ ดอกไม้สวยๆพวกนี้ ฉันยิ่งอารมณ์ดีเลย”
นิพนธ์ยิ้ม “มันเหมือนภาพที่ผมเห็นคุณเล็กตอนนั้นเลย”
“เหรอ ตอนไหนอ่ะ”

ภาพเหตุการณ์ในอดีตผุดขึ้นในหัวของนิพนธ์
วันนั้นภูชิชย์กำลังบรรยายให้กลุ่มนักศึกษาที่มาดูงานในไร่ฟัง โดยมีนิพนธ์อยู่ในกลุ่มนั้นด้วย
“ที่ไร่องุ่นนี้ นอกจากเราจะปลูกองุ่นส่งให้ตลาดแล้ว ในอนาคตเราก็ยังมีโครงการทำโรงบ่มไวน์เอง เพื่อทำให้ครบวงจร และเป็นการสร้างรายได้ให้ชุมชนเพิ่มมากขึ้น น้องๆปีสี่ที่กำลังจะจบแล้ว ใครความสนใจอยากร่วมงานกับเราก็มาศึกษางานที่ไร่ของผมได้นะ แต่ว่าตอนนี้เชิญน้องๆทานน้ำทานขนมกันตามสบายเลยนะครับ”
แม่อุ้ยกับฝ้ายเดินถือน้ำและขนมเข้ามา แล้วสุพัฒนาในชุดนักศึกษาก็ถือถาดขนมตามมาเป็นคนสุดท้าย นิพนธ์หันไปเห็นก็ปิ๊งทันที
“อ้าวคุณเล็ก เลิกเรียนแล้วเหรอ” ภูชิชย์ถามน้องสาว
“ค่ะ พอเลิกเรียน คุณเล็กก็รีบกลับมาช่วยพี่ภูเลยนะคะ” สุพัฒนาตอบ
“ขอบคุณค่ะ” ภูชิชย์ลูบหัวน้องสาวด้วยความเอ็นดู
สุพัฒนารินน้ำและส่งขนมให้กลุ่มนักศึกษา เธอทั้งยิ้มแย้ม ทั้งน่ารักและสดใสจนนิพนธ์รู้สึกประทับใจและมองไม่วางตา พอถึงคิวนิพนธ์ สุพัฒนาก็ส่งน้ำและยิ้มให้ นิพนธ์ดีใจจนยิ้มค้าง สุพัฒนาไม่ได้สนใจ หันไปหยิบขนมให้พี่ชายต่อไป

นิพนธ์เล่าเหตุการณ์ในวันนั้นให้สุพัฒนาฟัง แต่เธอฟังแล้วก็หัวเราะออกมา
“ตอนนั้น เธอคงดูแย่มากจนฉันจำไม่ได้เลย” สุพัฒนาว่า
“คงจะใช่ครับ ผมมันดูแย่เสมอ” นิพนธ์จ๋อยจึงเปลี่ยนเรื่องทันที “คุณเล็กอยากได้ดอกไม้หรือเปล่าครับ ผมจะตัดให้”
“ไม่ล่ะ ฉันชอบดูมันอยู่กับต้นเยอะๆแบบนี้มากกว่า”
“ครับ”
นิพนธ์จะนั่งลงทำสวนต่อ แต่สุพัฒนามาจับมือเขาไว้ นิพนธ์อึ้งแล้วสุพัฒนาก็ดึงพลั่วจากมือนิพนธ์
“ฉันช่วย” สุพัฒนาบอก
“อย่าเลยครับคุณเล็ก เลอะเทอะเปล่าๆ”
“ไม่เอา แปลงดอกไม้ของฉัน ฉันก็ต้องมีส่วนทำให้มันสวยด้วยสิ”
ทั้งสองช่วยกันตัดแต่งกิ่ง รดน้ำ พรวนดินแปลงดอกไม้ สักพักสุพัฒนาก็เจอหนอนเลยสะดุ้งตกใจ นิพนธ์เห็นเข้าก็หัวเราะ นิพนธ์แกล้งทำท่าเหมือนจะจับหนอนมาหลอกสุพัฒนา สุพัฒนาจึงไล่ฉีดน้ำใส่นิพนธ์
สักพักสุพัฒนาก็เห็นแมลงปอและผีเสื้อบินวนดอกไม้ เธอวิ่งไล่จับอย่างมีความสุข นิพนธ์แอบมอง สุพัฒนาไม่ได้สนใจนิพนธ์ พอวิ่งสักพักสุพัฒนาก็เริ่มเหนื่อย
“ไม่ไหวแล้ว” สุพัฒนาว่า
นิพนธ์ยิ้มและขำ “อะไรกัน เห็นไล่จับแต่ผีเสื้อ เหนื่อยแล้วเหรอครับ”
“แหม ฉันก็พรวนดินให้ตั้งหลายต้นแล้วนะ”
“ครับๆ เหนื่อยก็ไปนั่งพักเถอะครับ”
สุพัฒนาเดินไปนั่งที่เก้าอี้ นิพนธ์เดินตามไป

สุพัฒนานั่งพักตรงเก้าอี้ใต้ต้นไม้ นิพนธ์เดินเปิดขวดน้ำดื่มแล้วนำมายื่นให้ สุพัฒนารับมาดื่ม
“นี่ รู้หรือยัง ว่านริศราเขาเป็นเด็กนอก แล้วก็เป็นถึงลูกนายพลเชียวนะ” สุพัฒนาถาม
“ทราบแล้วครับ” นิพนธ์ตอบ
“ขอถามครั้งสุดท้ายนะ ตกลงนายจะจีบแม่นั่นไหม”
“ผมขอยืนยันเหมือนเดิม ว่าไม่ครับ” นิพนธ์พูดพร้อมมองตาสุพัฒนานิ่ง
สุพัฒนายักไหล่ “ก็ดี”
นิพนธ์งง “คุณเล็กหมายความว่ายังไงเหรอครับ ผมไม่เข้าใจ”
สุพัฒนายิ้มแล้วเดินหนีไป

มัลลิกามานั่งรับประทานอาหารกับเพื่อนๆ ที่ร้านอาหารเล็กๆ แห่งหนึ่ง
“ไอว่าพี่วัสเขาคงสงสัยยูแน่ๆ ถึงได้มาถามอย่างนั้น” เพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้น
“I know” มัลลิกาตอบ
“แล้วตกลงเขามีลูกมีเมียแน่แล้วใช่ไหม” เพื่อนอีกคนถาม
“50 50” มัลลิกาตอบ
“จะมา ห้าสิบอะไรล่ะ ก็ไปเจอกับผู้หญิงกับเด็กคนนั้นแล้วนี่ ทำไมไม่ถาม”
“ไอไม่กล้า” มัลลิกาบอก
เพื่อนคนหนึ่งตกใจ “อะไรนะ สาวมั่นอย่างมอลลี่น่ะเหรอไม่กล้า”
มัลลิกานั่งเงียบ
“มอลลี่ ชีวิตมอลลี่ต้องเดินต่อไปนะ จะคิดจะทำอะไรก็ทำซะเถอะ การอยู่เฉยๆ เขาถือว่าเป็นการถอยหลังนะ” เพื่อนคนนั้นกล่าว
มัลลิกานิ่งอึ้งไม่ตอบอะไร เธอวางช้อนลงแล้วครุ่นคิดด้วยความหนักใจ

เจ้าทิพย์ดารายืนเลือกสี เลือกกระดาษ และอุปกรณ์เพ้นท์ผ้าอยู่ในร้านเครื่องเขียนขนาดใหญ่ในเมืองเชียงใหม่ เธอถือของหลายอย่างพะรุงพะรังจนของหลุดมือ ไม่นานนักก็มือใครคนหนึ่งเข้ามาช่วยเก็บ
“ขอบคุณค่ะ” เจ้าทิพย์ดาราเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่าเนพิสุทธิ์ “อ้าว คุณโป๊ะ”
“สวัสดีครับเจ้า มาซื้อของไปเพ้นท์เสื้อแน่ๆเลย” พิสุทธิ์ทัก
“ค่ะ แล้วคุณโป๊ะมาซื้ออะไรเหรอคะ”
“ผมก็มาซื้อของไปเพ้นท์เสื้อเหมือนกันครับ” พิสุทธิ์ถือของให้เจ้าทิพย์ดารา แล้วทั้งคู่ก็เดินดูของกันต่อ “แต่ซื้อให้นิดเขานะครับ เห็นเขาไม่ค่อยได้ออกมาข้างนอก ไม่รู้ว่าพวกกระดาษพวกสีของเขาจะหมดหรือยัง ขืนทำไร่อย่างเดียวคงเบื่อแย่”
“โห คุณโป๊ะนี่เอาใจน่าดูเลย” เจ้าทิพย์ดาราชื่นชม
“แต่ก็ไม่รู้ว่านิดเขาจะรำคาญมั่งหรือเปล่า ผู้หญิงบางคนก็ไม่ชอบคนเอาใจมาก”
“แต่น้อยชอบ...น้อยอยากให้ภูเอาใจน้อยแบบนี้บ้าง”
“พ่อเลี้ยงคงงานยุ่งมากน่ะครับ”
“ยุ่งยังไงก็ยังมีเวลาเอาใจคุณเล็กมากกว่าใครๆเสมอ” เจ้าทิพย์ดาราตัดพ้อ
“มิน่า ยัยนั่นถึงได้เอาแต่ใจผิดมนุษย์ขนาดนั้น”
เจ้าทิพย์ดารายิ้มและขำกับมุกของพิสุทธิ์
-

ภูชิชย์สั่งงานนิพนธ์อยู่ภายในห้องทำงานของเขา
“เดี๋ยวทำจดหมายตอบทางจังหวัดเรื่องตอบรับงบสนับสนุนงานฤดูหนาวนะ”
ทันใดนั้น เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น สุพัฒนาเดินเข้ามา ภูชิชย์เห็นน้องสาวก็ยิ้ม
“อ้าว คุณเล็ก มีธุระอะไรกับพี่หรือเปล่า”
“คุณเล็กอยากกลับมาทำงานค่ะ” สุพัฒนาบอก
ภูชิชย์ดีใจ “จริงหรือเปล่า”
“จริงสิคะ คุณเล็กบอกนิพนธ์ไปแล้ว”
“ครับคุณเล็กบอกผมตั้งแต่เมื่อวานแล้ว” นิพนธ์ยืนยัน
สุพัฒนาพยักหน้า นิพนธ์พลอยยิ้มไปด้วย
“พี่ดีใจนะ ที่พี่จะมีคุณเล็กกลับมาช่วยงานเหมือนเดิม” ภูชิชย์บอก
“แต่คุณเล็กขอเริ่มงานเบาๆช่วยนิพนธ์ก่อนได้ไหมคะ”
นิพนธ์ยิ้มอย่างมีความสุข แต่สุพัฒนาแอบยิ้มเพราะมีแผน

นิพนธ์กุลีกุจอเก็บโต๊ะตัวเองให้สุพัฒนา แล้วก็หันไปพูดกับเธอ
“คุณเล็กนั่งโต๊ะผมไปก่อนนะครับ ไว้ผมจะจัดให้ใหม่”
“ขอบใจนะ เธอทำงานของเธอไปเถอะ” สุพัฒนาบอก
“ครับ” นิพนธ์นั่งลงที่โต๊ะเล็กๆ ซึ่งอยู่ใกล้ๆ แล้วก็เปิดคอมพิวเตอร์ทำงาน
สุพัฒนาทำเป็นหยิบแฟ้มนิพนธ์ขึ้นมาดูงาน แล้วก็ทำเป็นนึกได้
“เอ้อ...นิพนธ์ ไปเอาแฟ้มที่พี่ภูเซ็นมาหรือยัง จะได้มาเคลียร์งาน”
นิพนธ์มองแฟ้ม แล้วยิ้มเจื่อนๆ “ยังเลยครับ ผมทำไม่ทันน่ะครับ”
“แหม...เธอนี่ พี่ภูไปประชุมตั้งนานแล้วยังไม่ไปเอาอีก เกิดตั้งเบิกค่าแรงคนงานได้ช้าละพี่ภูโกรธตาย”
“ผมจะไปเอาเดี๋ยวนี้ครับ”
“ไม่ต้องหรอก ฉันทำให้นะ” สุพัฒนาอาสา

สุพัฒนาหอบแฟ้มออกมาจากห้องของภูชิชย์แล้วเปิดดู เธอเห็นลายเซ็นต์ภูชิชย์ในเอกสารเบิกเงินค่าล่วงเวลาของคนงาน สุพัฒนายิ้มร้าย แล้วเดินออกไป

สุพัฒนาเข้ามานั่งที่โต๊ะแล้วเปิดคอมพิวเตอร์ ก่อนจะหยิบ Flash Drive ในลิ้นชักขึ้นมา สุพัฒนาเสียบ flash drive เข้าไปในเครื่องแล้วทำเป็นนั่งทำงานไป ครู่หนึ่งเธอก็ทำเป็นสงสัย
“เอ๊ะ นิพนธ์...เธอได้เช็คเรื่องการเบิกค่าล่วงเวลาคนงานหรือเปล่า”
“เปล่าครับ มีอะไรเหรอครับ” นิพนธ์ตอบแล้วก็รีบลุกขึ้นมาดู
“ก็นี่ไง วันที่ 25 มีการเบิกค่าล่วงเวลา ฉันจำได้ว่าวันนั้นเป็นวันที่นายเจมส์นักศึกษาฝึกงานมาถึงไม่ใช่เหรอ”
นิพนธ์หยิบปฏิทินมาดู “ใช่ครับ”
“แล้ววันนั้นเราก็มีงานเลี้ยงต้อนรับ พี่ภูให้ทุกคนเลิกงานก่อนเวลา แล้วมันจะมีการเบิกค่าล่วงเวลาได้ยังไง นริศราเป็นคนทำใช่ไหม”
“เอ่อ..ครับ” นิพนธ์ตอบ
“นี่ถ้าปกติเธอไม่เช็ค พี่ภูก็เซ็นไม่ดู เท่ากับนริศราจะได้เงินไปหลายหมื่นเข้ากระเป๋าเลยนะ”
“คุณนิดเธอคงไม่ทำแบบนั้นหรอกครับ”
“เดี๋ยวก็รู้ว่าทำหรือเปล่า เธอไปตามนริศรามาเดี๋ยวนี้ ฉันจะโทรเรียกพี่ภูเอง” สุพัฒนาสั่ง

นริศรากำลังใช้อุปกรณ์เช็คความหวานขององุ่นอยู่ที่ไร่องุ่น สักพักลุงปั๋นก็วิ่งมาตาม
“คุณนิดครับ คุณนิด เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ”
“มีเรื่องอะไรเหรอคะลุงปั๋น” นริศราตกใจ
“คุณเล็กให้ตามตัวคุณนิดไปที่สำนักงานด่วนครับ” ลุงปั๋นบอก
นริศรางง “คุณเล็กเหรอ? ลุงปั๋นรู้ไหมว่ามีเรื่องอะไร”
ลุงปั๋นหน้าเสีย “ที่จริงผมก็ไม่ทราบหรอกครับ แต่นังบัวเกี๋ยงมันไปโพนทะนาแล้วว่า คุณเล็กจับทุจริตคุณนิดได้ครับ”
นริศราตกใจ “ฉันทุจริตเหรอ”

สุพัฒนา ภูชิชย์ และนิพนธ์มองนริศราที่มายืนอยู่ในห้องทำงานภูชิชย์เป็นตาเดียว แฟ้มใบหนึ่งกางอยู่บนโต๊ะ ภูชิชย์และนิพนธ์มีสีหน้ากังวล
“นี่หมายความว่ายังไง” สุพัฒนาถาม
นริศรางง “ฉันจำได้ว่าไม่มีการเบิกโอทีให้คนงานของวันที่ 25 แน่ๆค่ะ ขนาดของฉันเองที่พ่อเลี้ยงบอกจะให้เพราะเป็นวันหยุดของฉัน ฉันยังไม่ได้ทำให้ตัวเองเลย”
“จริงสิ พี่ยังไม่เห็นใบเบิกโอทีของนริศราเลย” ภูชิชย์นึกขึ้นได้
สุพัฒนาหน้าเสียไปเล็กน้อยแต่ก็รีบพูดกลบเกลื่อน
“อาจจะทำให้ตายใจก็ได้นี่ ของเธอมันจะกี่ร้อยบาท แต่ของคนงานรวมๆกันเป็นหมื่นๆ แล้วเงินโอทีมันมีการทำเบิกแทบทุกวัน เธอก็คงฉวยโอกาสที่พี่ภูกับนิพนธ์ไม่ค่อยตรวจละเอียดมั่วนิ่ม”
“ไม่จริงค่ะ ฉันยืนยันว่าไม่ได้ทำ” นริศรายืนกราน
“ดูดีๆสิว่านี่มันลายเซ็นเธอหรือเปล่า” สุพัฒนาถาม
นริศราหยิบแฟ้มมาเปิดดู พอเห็นเป็นลายเซ็นตัวเองเธอก็อึ้งและพูดอะไรไม่ออก






Create Date : 29 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 29 กุมภาพันธ์ 2555 9:29:04 น.
Counter : 283 Pageviews.

0 comment
รักประกาศิต ตอนที่ 9




สุพัฒนาทำเป็นยืนดูแฟ้มงานอยู่หน้าตู้เอกสารพอเห็นนิพนธ์เดินเข้ามาเธอก็ยิ้มพร้อมกับทำนิ่งๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“อ้าว...นิพนธ์ นึกว่ากลับไปแล้ว” สุพัฒนาทักขึ้น
“ผมลืมกุญแจบ้านพักน่ะครับ” นิพนธ์บอก
“อ๋อ...เหรอ”
สุพัฒนาพยักหน้ารับรู้ แล้วก็วางแฟ้มงานในมือใส่ไว้ในตู้ จากนั้นจึงเลือกแฟ้มใบใหม่ขึ้นมาเปิดดู
นิพนธ์งง “ทำไมคุณเล็กถึงมาอยู่ที่นี่ตอนนี้ล่ะครับ”
สุพัฒนาพูดกลบเกลื่อน “ฉันก็แค่เบื่อ ไม่มีอะไรทำ เลยอยากกลับมาดูงานบ้าง เผื่อจะมีอะไรให้ทำจะได้ช่วยเธอด้วย ดีไหมล่ะ
นิพนธ์ยิ้มอย่างปลาบปลื้ม “จริงเหรอครับ”
“จริงสิ ฉันไม่ใช่คนขี้เกียจนะ จะได้แฮปปี้กับการไม่ต้องทำอะไร”
“ถ้าพ่อเลี้ยงรู้ พ่อเลี้ยงก็คงดีใจด้วยแน่ๆ” นิพนธ์บอก
สุพัฒนาพยักหน้าพร้อมกับยิ้ม

บัวเกี๋ยงยังคงยืนอยู่หน้าสำนักงานด้วยใบหน้าหงุดหงิด เธอมองไปรอบๆ ด้วยความกังวล
“นังคุณเล็กบ้ามันทำอะไรของมันวะ ช้าจริง” บัวเกี๋ยงนึกได้ “ตายล่ะ ไม่ใช่ชักตายอยู่ในนั้นแล้วล่ะ โอ๊ย...อยู่กับคนบ้าจนอีบัวเกี๋ยงมันจะบ้าตามไปแล้ว”
บัวเกี๋ยงมองไปในสำนักงานแล้วก็นิ่งคิดสักครู่ก่อนจะตัดสินใจเดินย่องไปด้านข้างของสำนักงาน

สุพัฒนาชูแฟ้มที่กำลังอ่านอยู่ขึ้นแล้วเอ่ยชมนิพนธ์
“เธอจัดระบบเอกสารได้ดีนี่”
“จริงๆคุณนิดเธอเป็นคนมาช่วยจัดให้น่ะครับ ตอนเธอมาเรียนงานกับผมแล้วเห็นว่าแฟ้มต่างๆมันหายากเลยจัดให้ผมใหม่”
“นัง...เอ่อ..ยัยนั่นเขารู้เรื่องการจัดการเอกสารด้วยเหรอ”
“ครับ ไม่ได้จัดแค่ที่นี่นะครับ จัดให้หมดทั้งสำนักงานเลย”
สุพัฒนาชะงักไปเล็กน้อยแต่ก็รีบกลับมายิ้ม “แหม ที่ฉันจัดไว้มันคงดูแย่มากเลยเน๊อะถึงต้องจัดใหม่”
นิพนธ์ได้ยินก็รู้ตัวว่าพลั้งปากไป “คุณเล็กอย่าโกรธคุณนิดเลยนะครับ เธอหวังดีน่ะครับ”
สุพัฒนารีบยิ้มกลบเกลื่อนทันที
“ไม่หรอกน่า ก็เขาทำดีจริงๆนี่ แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะจัดการงานได้ออกมาดีมาก”
นิพนธ์เริ่มงง “คุณเล็กชมคุณนิด?”
“ทำไม ทำดีก็ต้องว่าดีสิ แปลกอะไรนักหนา”
นิพนธ์ยิ้ม “ครับๆ ดีครับ ผมดีใจที่ได้ยินแบบนี้นะครับ”
สุพัฒนาหันหลังแล้วเก็บแฟ้มใส่ตู้ด้วยสีหน้าไม่พอใจ
บัวเกี๋ยงเดินมาหาช่องแอบดูอยู่ที่หน้าประตูสำนักงาน พอมองลอดเข้าไปเห็นนิพนธ์เธอก็ตกใจ
“เฮ้ย คุณนิพนธ์ เข้าไปตั้งแต่เมื่อไหร่วะ ซวยล่ะ นังคุณเล็กเอาฉันตายแน่”
นิพนธ์ที่คุยกับสุพัฒนาในห้องทำงานมีท่าทางกระตือรือร้นขึ้นมา “แล้วคุณเล็กจะกลับมาทำงานเมื่อไหร่ล่ะครับ วันพรุ่งนี้เลยไหมครับ หรือว่าจะทำตอนนี้ก็ได้ ผมจะได้จัดโต๊ะทำงานให้คุณเล็กใหม่”
นิพนธ์กุลีกุจอจะเดินไปจัดโต๊ะ แต่สุพัฒนารีบห้าม
“เอ่อ...ไม่ต้องหรอก ที่จริงฉันก็อยากเริ่มงานเลยนะ แต่สงสัยจะไม่ไหว”
“คุณเล็กเป็นยังไงบ้างครับ” นิพนธ์เป็นห่วง
“ฉันปวดหัวน่ะ คงจะเครียดเพราะอ่านเอกสารเมื่อกี้”
นิพนธ์ยิ้ม “งั้นคุณเล็กไปพักก่อนดีกว่า งานน่ะเริ่มเมื่อไหร่ก็ได้ สุขภาพสำคัญที่สุดครับ ให้ผมช่วยพากลับบ้านนะครับ”
“ไม่ต้องหรอก...ขอบใจนะ” สุพัฒนายิ้มให้ “แล้วฉันจะกลับมาทำงานกับเธอแน่ๆนิพนธ์”
นิพนธ์ดีใจที่ได้ยินเช่นนั้น เขาเห็นสุพัฒนายิ้มให้ก็ถึงกับยืนอึ้ง สุพัฒนาเปิดประตูออกไปอย่างแรงจนกระแทกบัวเกี๋ยงที่แอบดูอยู่หงายหลังลงไปกับพื้น บัวเกี๋ยงตกใจจนอ้าปากค้าง
บัวเกี๋ยงเรียกเจ้านายเสียงอ่อย “คุณเล็ก”
สุพัฒนานิ่วหน้าด้วยความโกรธแต่ก็กลัวนิพนธ์จะจับได้จึงแกล้งเฉไฉ
“อ้าวบัวเกี๋ยง แกตามหาฉันอยู่เหรอ ดีแล้วที่มา ฉันกำลังปวดหัว รีบพาฉันกลับบ้านที”
บัวเกี๋ยงงง “บัวเกี๋ยงตามหาคุณเล็กเหรอคะ?”
สุพัฒนารีบดึงแขนบัวเกี๋ยงให้ลุกตามไป “ไปสิ โอ๊ย ปวดจี๊ดขึ้นมาอีกแล้ว”
สุพัฒนากึ่งเกาะแขนกึ่งลากบัวเกี๋ยงไป นิพนธ์มองตามโดยไม่เอะใจอะไร

พอเดินมาถึงมุมหนึ่งในไร่ สุพัฒนาก็ผลักบัวเกี๋ยงออก
“ทำงานดีเหลือเกินนะแก มัวแต่ทำอะไรอยู่ ถึงปล่อยให้ไอ้นิพนธ์เข้ามาได้”
“บัวเกี๋ยงขอโทษ บัวเกี๋ยงสะเพร่า” บัวเกี๋ยงยื่นหน้าให้ตบ “คุณเล็กตบบัวเกี๋ยงเลยค่ะ”
สุพัฒนาจ้องบัวเกี๋ยงเหมือนจะเอาเรื่องแต่แล้วก็หัวเราะออกมา บัวเกี๋ยงเห็นก็ถึงกับงง สุพัฒนาจิ้มหน้าผากบัวเกี๋ยงจนบัวเกี๋ยงหน้าหงาย
“ฉันกำลังอารมณ์ดี ตบแกไม่ลงหรอก” สุพัฒนาบอก
“อะไรนะคะ” บัวเกี๋ยงขยี้หูตัวเอง
“ตกลงจะให้ฉันตบแกให้ได้เลยใช่ไหม”
สุพัฒนาเงื้อมือทำท่าจะตบเพราะความรำคาญ บัวเกี๋ยงรีบหลบแล้วถามเจ้านาย
“อ๊าย..ไม่ตบน่ะดีแล้วค่ะ แล้วตกลงคุณเล็กไปทำอะไรในสำนักงานเหรอคะ”
“คนโง่เรียนน้อยอย่างแกน่ะ บอกไปก็ไม่เข้าใจหรอก”
สุพัฒนายิ้มร้ายแล้วเดินไปทันที บัวเกี๋ยงค้อนแล้วเดินตามไป

นิพนธ์เดินมาไขกุญแจลิ้นชักโต๊ะทำงานเพื่อหยิบกุญแจบ้านพัก เขาปิดลิ้นชักไขกุญแจล็อค พอจะลุกขึ้นเขาก็มองเห็นสิ่งผิดปกติบางอย่างที่พื้น
นิพนธ์เห็นปลั๊กเครื่องปริ๊นเตอร์เสียบอยู่
“เฮ้ย...วันนี้เราเสียบปลั๊กเหรอ ก็มันไม่มีอะไรต้องปริ๊นท์นี่นา” นิพนธ์ส่ายหน้า “เริ่มโก๊ะแล้วเว้ย”
นิพนธ์ดึงปลั๊กเครื่องปริ๊นเตอร์ออกแล้วก็เดินออกจากห้องไป

เจ้าเทพมงคลยืนอ่านเอกสารอยู่ที่โรงบ่มไวย์ของไร่เทพมงคล เจ้าดาระกากับคนงานยืนลุ้นอยู่ไม่ไกล
“บอกบริษัทนี้ด้วยนะ” เจ้าเทพมงคลพูดขึ้น “เรื่องขึ้นค่าขวดหนึ่งสตางค์น่ะไม่ว่า แต่ถ้าทำไซส์ผิดแบบคราวที่แล้วแล้วเราซีลฝาขวดไม่ได้คราวนี้ฉันไม่ยอมจริงๆ ฉันจะฟ้องแล้วก็ยกเลิกสัญญา”
“จะดีเหรอคะ ถ้าเกิดขึ้นอีกน้องกลัวว่าลูกค้าจะยกเลิกเราซะก่อนสิคะ” เจ้าดาระกาทักท้วง
“เราค้าขายกันมานาน แล้วเขาก็เพิ่งเปลี่ยนเครื่องจักร อะไรๆมันก็ยังไม่ลงตัว พี่อยากให้โอกาสเขาอีกสักครั้ง” เจ้าเทพมงคลบอก
เจ้าดาระกายิ้ม “นี่แหล่ะที่ใครๆก็อยากทำงานกับเจ้าพี่ของน้อง”
เจ้าเทพมงคลกับเจ้าดาระกายิ้มให้กัน เจ้าเทพมงคลก้มเซ็นเอกสารแล้วส่งให้เจ้าดาระกาเซ็นต่อ ก่อนจะส่งให้คนงาน ทั้งสองหันหลังกลับเพื่อจะเดินออกแต่ก็เห็นเจ้าทิพย์ดารายืนยิ้มอยู่
“อ้าว...เจ้าน้อย ทำไมมาเงียบๆล่ะลูก” เจ้าดาระกาถามอย่างดีใจ
เจ้าทิพย์ดาราเดินเข้ามากอดบิดากับมารดา
“น้อยกลับมาเห็นเด็กบอกว่ามาดูงานที่นี่เลยตามมาค่ะ”
“พอดีมันมีเรื่องการบรรจุไวน์นิดหน่อย นี่พ่อกับแม่ก็เลยยุ่งแต่เช้าเลย” เจ้าดาระกาบอก
“น้อยนึกว่าเจ้าพ่อไปตรวจร่างกายซะอีก”
เจ้าทิพย์ดารามองหน้าบิดามารดาอย่างคาดคั้น เจ้าเทพมงคลกับเจ้าดาระกาหน้าเจื่อนไปเพราะรู้ตัวว่าเผลอแสดงพิรุธไปเสียแล้ว

เจ้าทิพย์ดารานั่งหน้างออยู่ที่ห้องรับแขก โดยมีเจ้าเทพมงคลกับเจ้าดาระกานั่งจ๋อยอยู่ข้างๆ ทั้งสองกระแซะไหล่เพื่อเกี่ยงกันให้เริ่มต้นคุยกับบุตรสาว
“เอ่อ...เจ้าน้อย พ่อกับแม่ขอโทษนะลูก” เจ้าเทพมงคลตัดสินใจพูด
“แต่ที่พ่อกับแม่ทำไปก็เพราะหวังดีนะจ้ะ” เจ้าดาระกาเสริม
เจ้าทิพย์ดาราแกล้งทำเป็นงอนไม่พูดอะไรจนผู้ให้กำเนิดทั้งสองมองหน้ากันแล้วถอนใจด้วยความเครียด
“เอาละๆ พ่อยอมแพ้แล้ว ถ้าลูกกับคุณโป๊ะแล้วไม่คลิ๊กก็ไม่เป็นไร”
เจ้าทิพย์ดาราที่แกล้งทำหน้างออยู่ทนไม่ไหวปล่อยหัวเราะออกมาทันที
“คลิ๊กเหรอคะ” เจ้าทิพย์ดาราขำ “เดี๋ยวนี้เจ้าพ่อใช้ศัพท์วัยรุ่นด้วย”
เจ้าดาระกาค้อน “นี่แกล้งงอนพ่อกับแม่เหรอ”
“แหม...ก็หลอกน้อยก่อนทำไมล่ะคะ”
“แล้วตกลงว่าไงพ่ออยากรู้ผล”
เจ้าทิพย์ดารายิ้มเจ้าเล่ห์แล้วแกล้งเฉไปเรื่องอื่น
“ไปได้ดีค่ะ น้อยเสนอที่ประชุมว่าเราจะต้องทำเรื่องเชิญคนดังๆให้ส่งของที่เขาประดิษฐ์เองมาให้ประมูล ทางคุณโป๊ะก็จะดูแลเรื่องการออกแบบเวทีให้ด้วยนอกเหนือจากการให้ใช้สถานที่จัดงาน เรียกว่าอะไรที่เกี่ยวกับโรงแรมคุณโป๊ะให้ฟรีหมดค่ะ”
“เอ่อ...เจ้าน้อยจ๊ะ แม่ว่าเจ้าพ่ออยู่รู้ผลเรื่องลูกกับคุณโป๊ะ แบบว่าได้คุยกันเรื่องอื่นที่ไม่ใช่เรื่องงานไหม” เจ้าดาระกาเข้าประเด็น
“อ๋อ....เรื่องคลิ๊กน่ะเหรอคะ น้อยน่ะคลิ๊กกับคุณโป๊ะตั้งแต่แรกแล้วค่ะ” เจ้าทิพย์ดาราตอบ
เจ้าเทพมงคลกับเจ้าดาระกาถามด้วยความตกใจพร้อมกัน “จริงเหรอ?”
ทั้งสองมองหน้ากันอย่างแปลกใจแต่ก็แฝงไปด้วยความดีใจ
“แต่คลิ๊กแบบเพื่อนนะคะ จบการรายงานข่าววันนี้ค่ะ” เจ้าทิพย์ดาราอมยิ้มเดินหนีไป
“อ้าว..” เจ้าดาระกาถอนใจแล้วก็ส่ายหน้า “เจ้าพี่คะ น้องว่าเราคงลุ้นไม่ขึ้นแล้วมั้งคะ”
“ไม่หรอกน่า เริ่มเป็นเพื่อนกันไปก่อนแบบนี้ก็ได้ เหมือนสมัยเราสองคนไงจ๊ะ”
เจ้าเทพมงคลพูดแล้วมองเจ้าดาระกาพร้อมกับส่งยิ้มให้ เจ้าดาระกายิ้มเขิน

วิทวัสนั่งคุยโทรศัพท์กับภูชิชย์อยู่ในห้องทำงาน หลังจากฟังพี่ชายได้สักพักวิทวัสก็มีสีหน้าตกใจ
“เฮ้ย ไม่จริง พี่ภูรู้ได้ไงว่าคุณนิดยังไม่จบปริญญาตรี ใครคาบข่าวอะไรไปบอกพี่ภูล่ะเนี่ย พี่ภูอย่าไปเชื่อนะ โปรไฟล์คุณนิดน่ะตรงตามมาตรฐานบริษัทเราเป๊ะ”
“เป๊ะมากเลยนะ หรืออีกเทอมจะจบตรีที่อเมริกาเนี่ยนะ” ภูชิชย์พูดอย่างรู้ทัน
“พ..พะ..พี่ภู พี่ภูรู้เรื่องนี้แล้วเหรอครับ”
“พี่สะใภ้เขาบอกพี่เอง ว่านริศราเป็นลูกเต้าเหล่าใคร เรียนอะไรมา เจ้าตัวเขาก็ยอมรับแล้วด้วย”
วิทวัสกุมขมับ “จบกัน”
“ยังไม่จบน้องรัก เพราะที่พี่ยังไม่รู้คือทำไมนายต้องช่วยเขาหลอกพี่ด้วย นายมีความผิดนะนายวัส”
วิทวัสหน้าจ๋อย “ผมขอโทษครับ ที่ผมทำก็เพราะคิดเหมือนคุณนิดว่าถ้าพี่ภูรู้ว่าเธอเรียนไม่จบก็อาจจะไม่รับ แต่จะให้ยัยมอลลี่ไปทำงานผมก็ยอมไม่ได้ มันก็เลยเป็นแบบนี้ครับ แล้วนี่พี่ภูจะทำยังไงต่อครับ จะให้ผมหาคนไปแทนคุณนิดไหม”
“หาคนแทนเหรอ?” ภูชิชย์ถามกลับ
“ครับ...ผมจะให้คุณนิดกลับมาทำงานที่กรุงเทพฯแทน พี่ภูจะได้สบายใจ”
“อะไรของนาย เพ้อเจ้อ...ที่พี่โทรมาก็แค่จะบอกให้นายส่งประวัตินริศรามาไว้ที่นี่ด้วยตามระเบียบบริษัทก็พอ ทำซะให้มันถูกต้องน่ะเข้าใจไหม”
วิทวัสงง “อ้าว...นี่พี่ภูยอมให้คุณนิดทำงานต่อเหรอครับ”
“เขาทำงานดี สู้งาน แล้วทำไมพี่ต้องมีปัญหากับเขาด้วยล่ะ คนมีวุฒิทำงานไม่ได้ก็มีถมไปนี่”
“ได้ครับได้ แล้วผมจะรีบจัดส่งไฟล์ให้นะครับ” วิทวัสดีใจ
“พี่ขอข้อมูลจริงๆนะ ไม่ต้องแต่งเติมบิดเบือนอะไรล่ะ”
วิทวัสหัวเราะ “แน่นอนครับพี่ชาย” วิทวัสวางสาย แล้วกดอินเตอร์คอมที่โต๊ะ “คุณมอลลี่ เข้ามาพบผมหน่อย”
วิทวัสไม่ได้ยินเสียงตอบ ก็นึกสงสัย “มอลลี่ๆ” วิทวัสลุกออกไปดูทันที

วิทวัสเปิดประตูออกมาด้วยความหงุดหงิด เขาไม่เห็นมัลลิกาอยู่ที่โต๊ะ มิหนำซ้ำเก้าอี้ทำงานยังสอดเก็บเข้าใต้โต๊ะอย่างเรียบร้อยอีกด้วย
วิทวัสยืนมองด้วยความสงสัย แล้วเขาก็หันไปถามพนักงานคนอื่น
“จูน กลับไปแล้วเหรอ” วิทวัสชี้ที่โต๊ะมัลลิกา
“ค่ะ” พนักงานหญิงชื่อจูน ตอบ
วิทวัสส่ายหน้า “คนมีวุฒิที่ทำงานไม่ได้ก็มีถมไป...ฮึ..ที่นี่ก็มีคนหนึ่งละครับพี่ภู”
วิทวัสหยิบมือถือขึ้นมากดโทรออกแล้วเดินกลับเข้าห้องไป

รัชนิดานั่งคุยโทรศัพท์กับวิทวัสอยู่ในห้องทำงานของเธอที่ธนาคาร
“นี่แสดงว่าคุณนิดต้องเป็นคนดีและทำงานดีมากๆ คุณภูถึงยอมให้เธอทำงานต่อ” รัชนิกาดีใจ “แหม...ชักอยากเจอตัวซะแล้วสิ”
“ไม่ต้องห่วง ไว้มีโอกาสผมต้องให้เจอกับเขาแน่ๆ ว่าแต่วันนี้ผมคงกลับเย็นหน่อยนะ เพราะเลขาคนเก่งผมหายตัวไปอีกแล้ว” วิทวัสบอก
“อ้าว...ไหนคุณวัสบอกว่าช่วงนี้เธอดีขึ้นแล้วไม่ใช่เหรอคะ” รัชนิดาแปลกใจ
“ดีได้ไม่กี่วัน สงสัยจะเหมือนเดิม”
“ถ้างั้นคุณวัสทำงานเถอะค่ะ นิดาไปรับลูกเอง”
รัชนิดาวางสายแล้วจัดแจงปิดคอมพิวเตอร์ ก่อนจะหยิบกระเป๋าถือเดินออกไปจากห้อง

รัชนิดาเดินมาโบกรถแท๊กซี่หน้าห้างสรรพสินค้าใหญ่กลางเมือง รถแท็กซี่ขับมาจอด รัชนิดาขึ้นรถแล้วปิดประตู สักพักมัลลิกาก็ขับรถผ่านรถแท็กซี่คันนั้นไป
“ไปโรงเรียน...ค่ะ” รัชนิดาบอกคนขับรถแท็กซี่
แท็กซี่เคลื่อนออกไป

เสียงสัญญาณเลิกเรียนดังทั่วบริเวณโรงเรียน ผู้ปกครองมากมายมารับลูกหลานที่หน้าโรงเรียน เด็กบางส่วนทยอยขึ้นรถโรงเรียนไป
เด็กๆ มากมายวิ่งเล่นอยู่เต็มสนาม ครูจำนวนหนึ่งคอยยืนดูที่ขอบสนาม ลูกหนูนั่งรอคุณพ่อกับคุณแม่อยู่ที่มุมหนึ่ง สักพักนุ้ยกับนุ่นก็วิ่งเข้ามาหาเธอ
“ลูกหนูยังไม่กลับเหรอ” นุ่นถามขึ้น
“คุณพ่อคุณแม่ยังไม่มารับเลย นุ่นล่ะ” ลูกหนูถามกลับ
“ป้าใหญ่ก็ยังไม่มารับเลย เบื่อมาก” นุ่นบอก
“ใช่...ป้าใหญ่ชอบมารับช้า อยากให้คุณแม่กลับจากเชียงใหม่เร็วๆจะได้ไม่ต้องรออีก” นุ้ยเสริม
“งั้นพี่นุ้ยกับนุ่นไปเล่นกับลูกหนูนะ” ลูกหนูชวน
“เอาสิ เล่นไล่จับนะ” นุ้ยบอก
เด็กทั้งสามวิ่งไปเล่นในสนาม สักพักรถของมัลลิกาก็แล่นมาจอดที่หน้าโรงเรียน มัลลิกาก้าวลงจากรถแล้วหยิบแจ๊กเก็ตกับแว่นตาดำมาใส่

มัลลิกายืนดูรูปอยู่ที่ข้างสนามของโรงเรียน เสียงนักสืบที่เธอติดต่อมาทำงานให้ดังขึ้นมาในหัว
“จากการสืบตามดู ผู้หญิงในรูปกับเด็ก น่าจะเป็นภรรยาและลูกของคุณวิทวัส แต่ก็ยังไม่แน่ชัด เพราะส่วนใหญ่ผู้หญิงจะมารับเด็กคนเดียว ถ้าคุณมัลลิกาให้เวลาผมมากกว่านี้อีกหน่อยรับรองผมได้ข้อมูลเยอะกว่านี้แน่ครับ”
รูปในมือของมัลลิกามีอยู่หลายใบ ทั้งหมดเป็นรูปรัชนิดาและลูกหนู บางรูปเป็นรูปพร้อมกับพ่อแม่ลูก บางรูปเป็นวิทวัสขณะอุ้มลูกหนู มัลลิกาดึงรูปที่เห็นลูกหนูชัดๆ ขึ้นมาหนึ่งใบ แล้วยกขึ้นเทียบกับเด็กๆ ที่สนามเพื่อหาลูกหนู
“ตายแล้ว เด็กเยอะแบบนี้จะหาเจอไหมเนี่ย” มัลลิกาบ่น
สักพักมัลลิกาก็เห็นลูกหนูที่กำลังวิ่งเล่นกับนุ้ยและนุ่นอยู่ไกลๆ มัลลิกาเก็บรูปใส่กระเป๋า แล้วรีบเดินเข้าไปหาเด็กทั้งสามทันที

มัลลิกาเดินเข้ามาใกล้เด็กทั้งสาม เธอมองอย่างพิจารณาแล้วตัดสินใจเรียก
“เอ่อ...หนูจ๊ะ”
ลูกหนูนึกว่ามัลลิกาเรียกชื่อ ทำให้เธอหันไปมองจนสะดุดหกล้ม มัลลิกาเห็นก็ตกใจ
“ว๊ายตายแล้ว”
มัลลิการีบวิ่งเข้าไปหาลูกหนู นุ้ยกับนุ่นวิ่งมาดูด้วย
“เป็นอะไรหรือเปล่า” มัลลิกาถาม
“ลูกหนูไม่เป็นไรค่ะ” ลูกหนูตอบ
“ชื่อลูกหนูเหรอจ๊ะ” มัลลิกาถาม
“ค่ะ” ลูกหนูตอบ
“หนูชื่อนุ่นเป็นเพื่อนลูกหนูค่ะ” นุ่นแนะนำตัว
“ผมชื่อนุ้ยเป็นพี่ชายนุ่นครับ”
มัลลิกาเห็นความน่ารักของเด็กๆ ก็ถึงกับยิ้มออกมา
“เมื่อกี้เรียกลูกหนูเหรอคะ” ลูกหนูถาม
มัลลิกานึกได้ “อ๋อ...ใช่ค่ะ พี่อยากรู้ว่าคุณพ่อคุณแม่ของลูกหนูชื่ออะไรคะ”
ทันใดนั้น ทั้งหมดก็ได้ยินเสียงรัชนิดาตะโกนเรียกลูกสาว “ลูกหนู”
เด็กๆหันไปตามเสียง ลูกหนูยิ้มแล้ววิ่งไปหารัชนิดาทันที “คุณแม่”
มัลลิกายืนขึ้น รัชนิดากับมัลลิกามองหน้ากัน รัชนิดายิ้มให้มัลลิกา มัลลิกาพยายามยิ้มรับแต่ในใจรู้สึกตื่นเต้น

มัลลิกากับรัชนิดาช่วยกันปัดฝุ่นและเช็ดหน้า เช็ดตัวให้ลูกหนู โดยที่นุ้ยกับนุ่นยืนดูอยู่
“ลูกคนเดียวเหรอคะ” มัลลิกาเอ่ยถาม
“ค่ะ แล้วของคุณก็มารับลูกเหรอคะ” รัชนิดาถาม
“เอ่อ...เอ่อฉันมารับหลานน่ะค่ะ แต่เขายังไม่อยากกลับก็เลยรอให้เล่นกับเพื่อนให้เสร็จ” มัลลิกากุเรื่อง
“อ๋อ...ค่ะ” รัชนิดาพูดกับลูกสาว “ลูกหนูอยากกลับหรือยังคะ”
“แล้วคุณพ่อไม่มารับด้วยเหรอคะ” มัลลิกาถาม
“เขามีงานด่วนพอดีน่ะค่ะ”
มัลลิกาพูดเข้าเรื่อง “เอ๊ะ ฉันรู้สึกคุ้นๆหน้าคุณจังเลย เราเคยเจอกันที่ร้านอาหารใช่หรือเปล่าคะ”
“ร้านอาหาร” รัชนิดานิ่งคิด

รัชนิดานึกถึงวันที่เธออุ้มลูกหนูซึ่งอยู่ในชุดนักเรียนอนุบาลเดินมาทางด้านหน้าร้านอาหาร มัลลิกาเดินสวนมาบังรัชนิดา ทั้งสองยืนยักแย่ยักยันยังกันไปมา
รัชนิดายิ้ม “ขอโทษค่ะ”
มัลลิกายิ้ม “ไม่เป็นไรค่ะ”
มัลลิกาหยุด รัชนิดาจึงอุ้มลูกหนูเดินเลี่ยงไปอีกทาง

รัชนิดานึกถึงเหตุการณ์ดังกล่าวได้ก็โพล่งออกมา
“อ๋อ จำได้แล้วค่ะ บังเอิญจังเลยนะคะที่ได้เจอกันอีก”
มัลลิกายิ้ม “ค่ะ บังเอิญมาก ฉันก็ไม่คิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้บังเอิญเกิดขึ้นกับชีวิตฉัน”
รัชนิดางง “อะไรนะคะ”
“อ๋อ...เปล่าค่ะ” มัลลิการีบพูดกลบเกลื่อน “แล้ว..วันนั้นคุณไปทานข้าวกับครอบครัวเหรอคะ”
“ใช่ค่ะ”
“คุยกันตั้งนานยังไม่ทราบชื่อคุณเลย ฉัน มัลลิกาค่ะ”
“นิดาค่ะ”
รัชนิดายิ้มให้มัลลิกาด้วยความจริงใจ มัลลิกามองรัชนิดากับลูกหนูแล้วยิ้มแต่ในใจรู้สึกเครียด

รัชนิดาเดินนำเด็กรับใช้ที่บ้านซึ่งถือถาดอาหารมาวางบนโต๊ะอาหาร แล้วเธอก็ช่วยเด็กรับใช้จัดอาหาร ส่วนวิทวัสเล่นกับลูกหนูอยู่ที่มุมหนึ่งของบ้าน
“เชิญคุณพ่อคุณลูกได้แล้วค่ะ” รัชนิดาเรียก
วิทวัสอุ้มลูกหนูมานั่งประจำที่ รัชนิดาตักข้าวให้สองคนพ่อลูก
“วันนี้นิดาไปรับลูกหนูเลยได้เพื่อนใหม่มาหนึ่งคน” รัชนิดาเล่า
“ใครเหรอ” วิทวัสถาม
“ชื่อพี่มัลลิกาค่ะ” รัชนิดาบอก
วิทวัสตกใจ “เป็นไปไม่ได้ นี่มอลลี่ไปเจอนิดากับลูกมาเหรอ”
“มอลลี่” รัชนิดานึก “อ๋อ...เลขาคุณวัสน่ะเหรอคะ”
“ใช่...เขาชื่อจริงว่ามัลลิกา”
วิทวัสบอกแล้วก็เริ่มวิตกกังวล รัชนิดาเสิร์ฟอาหารเสร็จก็มานั่งที่โต๊ะแล้วยิ้มพร้อมกับจับมือวิทวัส
“คุณมัลลิกาคนนี้เขามีหลานเรียนที่โรงเรียนนี้ แล้วเขาก็ออกจะคุยดีกับนิดา นิดาว่าคนละคนกับมัลลิกาเลขาคุณวัสแน่ๆค่ะ” รัชนิดาบอก
วิทวัสยังนิ่งอึ้ง สีหน้าของเขายังเต็มไปด้วยความกังวล
“เขาแต่งตัวยังไง หน้าตายังไง” วิทวัสถาม
รัชนิดาพยายามนึก “ก็ใส่แจ็กเก็ตสีน้ำเงิน”
“ใส่แจ็คเก็ตเหรอ งั้นอาจจะไม่ใช่”
“คุณวัสคะ ไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ ถึงจะเป็นคนเดียวกัน นิดาก็ไม่ได้พูดชื่อคุณออกมาเลย อย่าเครียดเลยนะคะ”
วิทวัสฝืนยิ้มให้ดูเป็นปกติที่สุด

หยาดน้ำค้างยามเช้าเกาะพราวอยู่ทั่วใบไม้หน้าอาคารสำนักงานของไร่สุพัฒนา นิพนธ์ยืนรอเอกสารที่กำลังพิมพ์อยู่ที่เครื่องปริ๊นท์ เขารวบรวมเอกสารมาใส่แฟ้มแล้วยืนอ่านอย่างอารมณ์ดี ภูชิชย์เดินเข้ามานั่งที่โต๊ะ นิพนธ์จึงเอาแฟ้มเอกสารไปให้
“เอกสารหลักฐานต่างๆของคุณนิดที่คุณวัสส่งเมล์มาให้ครับ” นิพนธ์บอก
ภูชิชย์รับแฟ้มไปดู นิพนธ์พูดต่อ
“ไม่แปลกใจเลยนะครับว่าคุณนิดจะเก่งแบบนี้”
“อะไรกันนิพนธ์ แค่นริศราเรียนเมืองนอกก็ว่าเก่งแล้วเหรอ หรือคิดว่าเขาเป็นลูกนายพลแล้วจะเก่ง”
“เปล่าครับ ผมหมายถึงว่างานพิเศษที่คุณนิดทำระหว่างเรียนน่ะครับ พ่อเลี้ยงดูสิครับ เธอทำตั้งแต่พี่เลี้ยงเด็ก ผู้ช่วยบรรณารักษ์ จนถึงผู้ช่วยเลขาแผนกจัดซื้อในห้างที่อเมริกาเลยนะครับ ผมรู้สึกดีจังที่ได้ร่วมงานกับคนเก่งแบบนี้”
ภูชิชย์เปิดแฟ้มดูแล้วก็อมยิ้ม
“พ่อเลี้ยงคิดเหมือนผมใช่ไหมครับ” นิพนธ์ถาม
“ก็ยอมรับนะว่าเขาเก่งที่ผ่านการใช้ชีวิตในต่างประเทศ แถมยังมีความอดทนเข้มแข็งสมกับเป็นลูกทหาร”
ภูชิชย์พูดไปก็เผลอยิ้มไปจนนิพนธ์มองจ้อง ภูชิชย์รู้สึกตัวจึงรีบหุบยิ้มทันที
“เห็นแบบนี้แล้วผมก็ไม่ห่วงเรื่องโครงกาแฟปลอดสารพิษของคุณนิดแล้วครับ ต่อให้พ่อเลี้ยงแกล้งเธอขนาดไหน ผมว่าเธอก็ต้องทำสำเร็จ” นิพนธ์มั่นใจ
ภูชิชย์วางแฟ้มลงบนโต๊ะแล้วมีสีหน้าเครียดขึ้นมาทันที เขาเอาศอกท้าวโต๊ะแล้วถามนิพนธ์
“นิพนธ์...นายว่าฉันใจร้ายกับนริศรามากเกินไปไหม”
นิพนธ์ตอบเสียงจริงจัง “มากที่สุดเลยครับ”
ภูชิชย์ได้ฟังคำตอบก็ถึงกับศอกไถลออกจากโต๊ะทันที

เสียงรถราจอแจดังอยู่หน้าบริษัทของวิทวัส วิทวัสเดินเข้าห้องทำงาน เขาเห็นมัลลิกากำลังนั่งพิมพ์งานอย่างขะมักเขม้น วิทวัสมองเลขาไม่วางตาพลางคิดถึงเรื่องเมื่อวาน
มัลลิการู้สึกว่าวิทวัสมายืนจ้องก็พยายามทำตัวให้เป็นปกติ
“มอร์นิ่งค่ะพี่วัส” มัลลิกาทัก
“ครับ”
วิทวัสจะเดินเข้าห้อง แต่ก็อดไม่ได้จึงย้อนกลับมาถาม
“มอลลี่ เมื่อวานตอนเย็นคุณไปไหน”
“เอ่อ...พอดีมอลลี่ปวดหัวน่ะค่ะ ขอโทษที่ไม่ได้บอกพี่วัสนะคะ” มัลลิกาตอบ
“ปวดหัวเหรอ”
มัลลิกาหยิบใบรับรองแพทย์กับใบเสร็จส่งให้วิทวัส
“ใบรับรองแพทย์กับใบเสร็จค่ะ มอลลี่กำลังจะทำเบิก”
“โอเค”
วิทวัสรับคำแล้วเดินเข้าห้องไป มัลลิกามองตาม พอเห็นว่าวิทวัสเข้าห้องไปแล้วเธอก็หยิบรูปลูกหนูกับรัชนิดาออกมาดูด้วยสีหน้าเครียด

วิทวัสมานั่งลงที่โต๊ะทำงานแล้วก็ครุ่นคิด สักพักเขาก็ส่ายหน้า
“คงไม่ใช่อย่างที่นิดาว่าจริงๆ”

นริศรา ลุงปั๋น และเจมส์มายืนดูคนงานขุดปรับพื้นที่ทำแนวปลูกกาแฟที่บริเวณซึ่งเคยรกร้างท้ายไร่สุพัฒนา
นริศราอธิบายให้เจมส์ฟัง “พอเราทำแนวดินปลูกกาแฟเสร็จขั้นตอนต่อไปก็เป็นการลงกล้ากาแฟ”
- เจมส์พยักหน้ารับรู้
“คุณนิดจะไปคัดต้นกล้าเมื่อไหร่ดีครับ” ลุงปั๋นถาม
“วันนี้เลยก็ดีจ้ะ ฉันอยากเห็นต้นกาแฟอาราบิกาปลอดสารพิษเติบโตที่นี่เร็วๆจัง”
นริศรามองไปไกลๆ แล้วยิ้มอย่างมีความหวัง ลุงปั๋นเดินแยกไปคุมคนงาน เจมส์ยืนคุยกับนริศรา
“ผมไม่เข้าใจเลย แนวคิดกาแฟปลอดสารพิษของพี่นิดนี่สุดยอด แต่ทำไมพ่อเลี้ยงถึงให้ปลูกที่ตรงนี้ ถ้าเป็นผมๆจะให้พื้นที่ๆดีๆแล้วก็เยอะๆ”
“ช่างมันเถอะเจมส์ เราต้องเข้าใจพ่อเลี้ยงเขาด้วย เขาเป็นนักธุรกิจ ยังไงกำไรขาดทุนก็สำคัญมาก” นริศราบอก
“แต่ว่า...” เจมส์ยังข้องใจ
“ที่เจมส์เลือกมาฝึกงานที่ก็เพราะความสำเร็จทางธุรกิจของที่นี่ไม่ใช่เหรอ อย่างน้อยพ่อเลี้ยงก็ยังให้ที่เราสำหรับการเริ่มต้นนะ”
เจมส์ยิ้ม “นี่ถ้าพ่อเลี้ยงมาได้ยินคงดีใจนะครับที่มีลูกน้องดีอย่างนี้”
“แหม...พี่ก็ไม่ควรพูดถึงหัวหน้าในทางไม่ดีไม่ใช่เหรอ...แม้ใจจะอยากก็เถอะ”
นริศรากับเจมส์หัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน
จู่ๆ ทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงภูชิชย์ดังขึ้น “เฮ้อ...นึกว่าจะหายโกรธกันไปแล้วซะอีก”
นริศรากับเจมส์สะดุ้งเฮือกและหันไปมองตามเสียงก็เห็นภูชิชย์ยืนยิ้มอย่างกวนๆ อยู่ นริศรากับเจมส์หน้าเสียทันที

ภูชิชย์เดินนำนริศราให้เดินห่างออกมา ทั้งสองยืนดูลุงปั๋น เจมส์ และคนงานทำงานอยู่ไกลๆ
“เอ่อ...ฉันขอโทษนะคะที่นินทาคุณให้คนอื่นฟัง” นริศราเอ่ย
“ขอโทษทำไม ฉันก็ทำเธอไว้เยอะจริงๆ ตอนนี้ฉันยังแก้ไขทันใช่ไหม”
นริศรางง “พ่อเลี้ยงจะแก้ไขอะไรคะ”
“ฉันจะให้เธอเลิกทำกาแฟปลอดสารพิษ ถือว่าเราไม่ได้ตกลงเดิมพันกัน จะไม่มีแพ้ชนะระหว่างเรา”
ภูชิชย์ยิ้มให้นริศราแต่นริศราหน้าเครียดและไม่ยิ้มตอบ
“ไม่ดีใจเหรอ ฉันมาลดงานเธอนะ” ภูชิชย์ถาม
“แต่ว่าฉันก็ยังอยากทำโครงการนี้”
ภูชิชย์งง “ฉันพูดจริงทำจริงนะ เธอไม่ต้องพิสูจน์อะไรอีกแล้ว”
“ความตั้งใจแรกของฉันก็คือจะเอาชนะคุณ แต่เมื่อเริ่มลงมือทำ ฉันก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าโครงการนี้สำเร็จ ฉันว่าน่าจะเอาไปแนะนำชาวบ้านต่อ”
ภูชิชย์ยิ้ม “กว่ากาแฟจะโตก็อีก2-3 ปี ถึงจะเก็บผลได้ แสดงว่าเธอจะอยู่ที่นี่กับฉันอีกนานใช่ไหม”
นริศราพูดแก้เก้อ “ใครว่า พอฉันเก็บเงินไปเมืองนอกได้ ฉันก็โยนให้คุณมาทำต่อไงล่ะ”
ภูชิชย์ถอนใจ “ตามใจ งั้น...ต่อไปนี้เราช่วยกันนะ ฉันจะไม่ปล่อยให้เธอทำคนเดียว”
พูดจบภูชิชย์ก็จ้องหน้านริศราแล้วยิ้ม นริศรามองแล้วอึ้ง อยู่ๆ เธอก็ใจเต้นและรู้สึกเขิน
“ก็แล้วแต่คุณสิ ฉันจะไปทำงานต่อแล้ว”
ภูชิชย์ยังคงจ้องหน้านริศราอยู่ นริศราเขินจึงหลบตาแล้วก็หันหลังเดินไปทางหนึ่ง ภูชิชย์มองตามอย่างงงๆ แล้วก็ตะโกนบอก
“เธอจะไปไหน ทางลงอยู่ทางนี้”
นริศราหลับตาปี๋ด้วยความเขินสุดๆ แล้วเธอก็รีบเปลี่ยนสีหน้าให้เป็นปกติก่อนจะหันกลับมา
“คือฉันจะไปลองดูอ่ะว่า พอจะทำทางลงตรงนี้ได้บ้างไหม”
นริศราเดินไปตามทางที่ภูชิชย์บอกโดยพยายามทำสีหน้าให้เป็นปกติ ภูชิชย์มองตามแล้วเดินย้อนไปทางที่นริศราเดินไปตอนแรกก่อนจะมองลงไป
“คิดอะไรของเขาจะทำทางลงตรงหน้าผา” ภูชิชย์งง

ภูชิชย์กับนริศราเดินนำเจมส์มาถึงหน้าเรือนเพาะต้นกล้า ลุงปั๋นเดินตามมา นริศรายังคงอธิบายให้เจมส์ฟัง
“ต้นกาแฟถือเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก จึงสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเองเหมือนไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ที่อยู่ตามป่า และต้นกล้าที่นี่ก็ผ่านการฝึกให้ทนทานต่อแสงแดดและการขาดน้ำในเบื้องต้นแล้ว”
“นี่เธอแน่ใจนะว่าจะไม่ให้น้ำมันเลย ฉันให้เขาทำท่อแล้วสูบน้ำขึ้นไปก็ได้” ภูชิชย์แย้ง
“อย่าเลยค่ะ ฉันอยากให้ธรรมชาติดูแลกันเอง กาแฟเป็นไม้ยืนต้น ยังไงปริมาณน้ำฝนจากธรรมชาติก็พอเพียง” นริศรายิ้ม “เราไม่ได้แค่กำลังจะทำกาแฟปลอดสารพิษนะคะ แต่เราจะทำกาแฟแบบเศรษฐกิจพอเพียงด้วย”
“ถ้าสำเร็จ ผมจะเอาแนวคิดนี้ไปเผยแพร่ต่อครับ” เจมส์บอก
ภูชิชย์ยิ้มและพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
ต่อมา นริศราสอนเจมส์ดูลักษณะต้นกล้า
“เราจะเลือกต้นกล้าที่มีขนาดสูง 45-50 ซม.มีใบประมาณ 6-8 คู่”
“แล้วเราควรจะเลือกกี่ต้นดีล่ะครับ” เจมส์ถาม
นริศรายิ้ม “พ่อเลี้ยงใจดีให้ที่เรามาสองไร่ พี่คิดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1000 ต้นกำลังดีค่ะ”
นริศรายังคงอธิบายเจมส์โดยมียกตัวอย่างให้ดูต่อไป เธอแยกต้นกล้าที่ดีและที่ใช้ไม่ได้ออกจากกัน ภูชิชย์ยืนมองแล้วอมยิ้ม
ภูชิชย์กับนริศราช่วยกันเลือกต้นกล้าแล้วส่งให้เจมส์กับลุงปั๋นเอาใส่รถเข็น
เวลาต่อมา ทุกคนช่วยกันลงต้นกล้า นริศรายืนคุมเจมส์ทำงาน พอเผลอเธอก็แอบมองภูชิชย์ เช่นเดียวกับภูชิชย์ที่แอบมองนริศราเป็นระยะๆ บางทีก็หันมามองพร้อมกันแล้วก็รีบหันหน้าหนีกันไป
นริศราเดินมาเลือกต้นกล้าที่ท้ายรถกระบะ ภูชิชย์เดินมาพอดี ภูชิชย์ยิ้มให้แล้วหยิบต้นกล้าส่งให้นริศราต้นหนึ่ง
“ขอให้เธอทำสำเร็จนะ ฉันเป็นกำลังใจให้” ภูชิชย์พูด

นริศรากับภูชิชย์ยิ้มให้กัน แล้วนริศราก็รับต้นกล้าจากภูชิชย์






Create Date : 29 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 29 กุมภาพันธ์ 2555 9:28:13 น.
Counter : 269 Pageviews.

0 comment
รักประกาศิต ตอนที่ 8 (ต่อ)





ภูชิชย์เล่นกีตาร์ด้วยอารมณ์ซาบซึ้งไปกับบทเพลง สลับกับการเหลือบมองหน้านริศรา นริศราก็ร้องเพลงอย่างไพเราะจนจบเพลง
บรรดาคนงานต่างลุกขึ้นยืนปรบมือเป่าปากกันอย่างสนุกสนาน สักพักก็มีเรียกร้องให้เอาอีก...เอาอีก แม่อุ้ย พร และเหล่าคนงานยืนดูด้วยความชื่นชม
“คุณนิดของข้า นี่ทั้งสวยทั้งเก่งจริงๆ แถมยังร้องเพลงเพราะอีกนะนังพร” แม่อุ้ยชื่นชม
“ดูๆไปพ่อเลี้ยงกับคุณนิดก็เหมาะกันนะแม่อุ้ย ถ้าบอกว่าเป็นแฟนกันฉันก็เชื่อเลยล่ะ” พรเคลิ้ม
พอได้ยินพรพูดแม่อุ้ยก็กระตุกแขนพรให้มองดูด้านหน้า พรเห็นว่าตัวเองยืนอยู่หลังโต๊ะเจ้าทิพย์ดารา นิพนธ์ และพิสุทธิ์
พอได้สติพรก็หน้าเสียทันที เธอรีบกระซิบแม่อุ้ย
“แม่อุ้ย...ตายแล้วฉันจะทำไงดีอ่ะ เจ้าน้อยจะได้ยินไหมเนี่ย”
แม่อุ้ยกระซิบตอบ “นังพรเอ๊ย อยากส่งตัวไปให้เจ้าน้อยตบปากจริงๆ พูดไม่คิด ตอนนี้จะทำไงได้ กลับไปโต๊ะสิวะ”
แม่อุ้ยดึงหูพรให้เดินกลับไป เจ้าทิพย์ดาราเหลียวมองตามแม่อุ้ยกับพรไป พอหันกลับมาก็เห็นพิสุทธิ์นั่งมองไปบนเวทีด้วยสีหน้าเครียด พิสุทธิ์หันมาเห็นว่าเจ้าทิพย์ดารามองอยู่ก็ยิ้มเจื่อนๆ เจ้าทิพย์ดาราก็ยิ้มรับเจื่อนๆ เช่นกัน แล้วทั้งสองก็หันกลับไปมองบนเวทีด้วยสีหน้าเครียด

ผลที่มองไปบนเวทีแล้วหันกลับมามองขวดชาเขียว
“ทนไม่ไหวแล้วเว้ย เปรี้ยวปากชะมัด”
ผลเปิดขวดชาเขียวแล้วรินเหล้าใส่แก้ว
“ไหนว่าจะรอให้พวกเจ้านายกลับไปก่อนไง” เป็งถาม
“ก็มันกินอะไรก็ไม่อร่อย ขอข้าเผาหัวหน่อยเถอะวะ” ผลบอก
หนานกับคนงานคนอื่นๆ หัวเราะแล้วยื่นแก้วมาให้ผลริน แต่เป็งยังคงลังเล
“ไม่เป็นไรหรอกน่าไอ้เป็ง ยังไงพ่อเลี้ยงก็คงกลับก่อนพวกเราเมา” หนานพูด
ในที่สุดเป็งก็ยื่นแก้วมาให้ผล แล้วทั้งหมดก็ชนแก้วกันและส่งเสียงเฮลั่น จนโต๊ะอื่นหันมามอง คนงานหนุ่มจึงต้องจุ๊ปากให้เงียบๆ

ภูชิชย์ นริศรา และเจมส์เดินกลับมานั่งที่โต๊ะ นริศราเดินตรงไปนั่งข้างๆ พิสุทธิ์ ภูชิชย์เดินไปนั่งกับเจ้าทิพย์ดาราเหมือนเดิม
“Thank you very much indeed. นะครับพ่อเลี้ยง” เจมส์กล่าว “พี่นิด You guys make tonight is my night จริงๆครับ”
“ด้วยความยินดีค่ะ” นริศรายิ้มให้
“ว่าแต่พ่อเลี้ยงกับคุณนิดแอบไปซ้อมกันเมื่อไหร่ครับ ผมไม่เห็นรู้เรื่องเลย” นิพนธ์สงสัย
“ไม่ได้ซ้อมหรอกค่ะ พอดีนิดเคยได้ยินพ่อเลี้ยงเล่นเพลงนี้แล้วนิดรู้จักอยู่แล้วก็เลยร้องได้” นริศราบอก
“ตั้งแต่ผมมาทำงานที่นี่ผมยังไม่เคยเห็นพ่อเลี้ยงเล่นกีตาร์เลย คุณนิดโชคดีมากนะครับมีโอกาสได้เห็นด้วย” นิพนธ์พูด
“พอดีวันนั้นผมนอนไม่หลับ เลยไปรื้อกีตาร์มานั่งเล่น นริศราเขาก็นอนไม่หลับเดินมาผ่านมาก็เลยเห็นก็เท่านั้นเอง” ภูชิชย์อธิบาย
เจ้าทิพย์ดารากับพิสุทธิ์ได้ยินก็นั่งนิ่งเพราะพูดอะไรไม่ออก

เวลาผ่านไป ไฟบนเวทีดับลง คนงานส่วนใหญ่ทอยอยแยกย้ายกลับห้องพัก เหลือคนงานนั่งกินกันอยู่แค่เล็กน้อยเท่านั้น
แม่อุ้ย พร และลุงปั๋นลุกจากโต๊ะทำท่าจะกลับ นริศราเดินกลับมาที่โต๊ะ
“เจ้าน้อยกับคุณโป๊ะกลับไปแล้วเหรอคะ” แม่อุ้ยถาม
“จ้ะ พ่อเลี้ยงไปส่งเจ้าน้อยแล้ว โป๊ะก็เพิ่งกลับไป ส่วนเจมส์เขาง่วงมากคงเหนื่อยจากการเดินทาง ฉันเลยให้คุณนิพนธ์พากลับไปบ้านแล้ว” นริศราบอก
“งั้นคุณนิดก็ไปนอนเถอะค่ะ ไม่ต้องห่วงทางนี้” แม่อุ้ยพูด
“ฉันอยากดูความเรียบร้อยจนงานเลิก” นริศราบอก
“นี่ก็ห้าทุ่มแล้ว พรว่าเลิกตอนนี้ดีที่สุดค่ะ ขืนปล่อยไปเรื่อยๆได้อยู่กันยันเช้า”
“ก็ดี เดี๋ยวช่วยกันเก็บของหน่อยนะ ฉันจะอยู่ช่วยด้วย” นริศราเห็นด้วย
ลุงปั๋นตะโกน “อ้าวเฮ้ย....เลิกได้แล้ว พวกเราช่วยกันเก็บข้าวของแล้วได้ไปนอนกัน”
คนงานคนอื่นๆ พากันลุกขึ้นช่วยเก็บโต๊ะ เก็บของ มีเพียงโต๊ะของผลที่ยังนั่งกินกันอยู่
“แหม....ดูพวกไอ้ผลสิ คนอื่นลุกมาทำงานกัน พวกมันนั่งเป็นคุณชายกันอยู่ได้ ขอไปด่าหน่อยเถอะ” แม่อุ้ยฉุน
นริศราดึงแขนแม่อุ้ยไว้ “ไม่ต้องหรอกแม่อุ้ย เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
นริศราเดินไปที่โต๊ะผล ขณะที่ทุกคนที่โต๊ะกำลังหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
“นี่ พรุ่งนี้เราต้องทำงานกันปกตินะ ช่วยเก็บของแล้วรีบกลับไปนอนกันดีกว่า” นริศราบอกกับกลุ่มของผล
ผลลุกขึ้นยืนพูดกับนริศรา
“ถ้าผมช่วย คุณนิดจะกลับไปนอนกับผมไหมครับ”
คนงานทั้งกลุ่มหัวเราะลั่น นริศราถอยห่างทันทีเพราะได้กลิ่นเหล้า
“นี่กินเหล้ากันเหรอ”
ผลรีบปิดปากทันทีเพราะกลัวกลิ่นออก กลุ่มคนงานที่โต๊ะผลเริ่มหน้าเสียก้มหน้าหลบตา
“เหล้าที่ไหน ไม่มีครับ” ผลปฏิเสธ
นริศรามองไปบนโต๊ะก็เห็นขวดชาเขียววางอยู่หลายขวด เธอจึงหยิบขึ้นมาดม
“แล้วนี่อะไร?” นริศราถาม
ผลหัวเราะ “ไหนๆก็เจอแล้ว งั้นมากินด้วยกันสักจอกนะครับ”
ผลจับมือนริศราแล้วจะเอาแก้วเหล้าป้อนเธอ นริศราปัดแก้วเหล้าออกแล้วกระชากมือกลับ หนานกับเป็งรีบลุกขึ้นมาดึงผลไม่ให้ลวนลามนริศราอีก
“ฉันขอสั่งให้ทุกคนกลับไปนอนเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นฉันเอาเรื่องแน่” นริศราเสียงแข็ง
“โธ่เอ๊ย...ทำเป็นหยิ่ง มันก็ไอ้ลูกจ้างเขาเหมือนกันแหล่ะวะ”
ผลพูดแล้วสะบัดตัวหลุดจากเพื่อนที่จับ เขาจะเข้าไปกอดนริศรา นริศราโมโหผลักผลเซไปชนโต๊ะจนแก้วแตกบาดมือเลือดไหล
“ฤทธิ์เยอะนักเหรอ”
ผลโมโห เขาพุ่งจะเข้าไปทำร้ายนริศรา แต่จู่ๆ ก็มีมือใครสักคนเข้ามากระชากคอเสื้อของผลจากด้านหลัง
“ใครวะ” ผลโมโห
แล้วผลก็ถูกผลักไปชนกับกลุ่มเพื่อนร่วมโต๊ะ ผลหันมาเห็นว่าเป็นภูชิชย์ก็ตกใจ
“พ่อเลี้ยง!”

ผล เป็ง หนาน และพวกคนงานที่กินเหล้านั่งก้มหน้านิ่งอย่างรู้สึกผิด ภูชิชย์กับนริศรายืนจ้องผลและเหล่าคนงาน บนโต๊ะมีขวดชาเขียวของกลางนับสิบขวดวางอยู่
“ใครเป็นคนเอามา” ภูชิชย์ถาม ทุกคนเงียบจนภูชิชย์ตบโต๊ะอย่างแรง “ว่าไง”
“พี่ผลครับ” หนานบอก
ผลโกรธ “ไอ้หนาน ไอ้สารเลว มึงหักหลังกู”
ผลจะลุกขึ้นไปชกหนาน หนานรีบหลบทันที
“หยุดนะไอ้ผล” ภูชิชย์ตะคอก ผลถึงกับชะงัก
“ผมผิดไปแล้วครับพ่อเลี้ยง ผมขอโทษ ผมสัญญาครับว่าจะไม่ทำอีกแล้ว” ผลพูดเสียงอ่อย
พวกคนงานที่เหลือยกมือไหว้ภูชิชย์แล้วกล่าวขอโทษด้วย
ภูชิชย์หันมาพูดกับนริศรา “เธอคิดว่าควรจะลงโทษพวกนี้ยังไง”
นริศราถอนใจยาว “คือตามกฎถ้าพวกเขากินเหล้าในเวลางาน ก็ควรจะโดนไล่ออก”
ผลและคนงานชะงักมองหน้านริศราด้วยความตกใจ
“แต่เวลานี้มันไม่ใช่เวลางาน แล้วคืนนี้เราก็มีงานเลี้ยงด้วย ควรเป็นโทษพักงานหรือตัดเงินเดือนแทนดีไหมคะ”
ผลและคนงานถอนใจโล่งอก
“มันก็ดี สำหรับคนที่กินเหล้า ฉันจะพักงานและตัดเงินเดือน หนึ่งเดือน” ภูชิชย์พูด
เหล่าคนงานยกมือไหว้ขอบคุณภูชิชย์กับนริศรากันยกใหญ่
“แต่ไอ้ผล” ภูชิชย์พูดต่อ “แกทำผิดซ้ำซากทั้งๆที่แกทำงานอยู่ข้างๆฉันแท้ๆ แล้วคราวนี้แกก็เอาเหล้ามาเลี้ยงเพื่อนซะเอง ฉันไล่แกออก”
ผลลุกพรวดขึ้นทันที
“พ่อเลี้ยง มันไม่โหดไปหน่อยเหรอครับ”
“หลังอาหารเช้าแกจะต้องออกไปจากที่นี่” ภูชิชย์ยืนยัน
ผลยืนจ้องหน้าภูชิชย์กับนริศราด้วยความแค้นใจ

ภูชิชย์กับนริศราเดินคุยกันมาตามทางกลับห้องพักคนงานหญิง
“เธอคงจะคิดว่าฉันใจร้ายสิที่ไล่ผลมันออก”ภูชิชย์ถาม
นริศราถอนใจ “ที่ฉันเคยขอร้องพ่อเลี้ยงให้ช่วยนายผล เพราะคิดว่าคนเราทำผิดพลาดกันได้ ถ้าเราให้โอกาสเขาก็จะแก้ไขให้ดีขึ้น แต่มันคงใช้ไม่ได้กับนายผล บอก ตรงๆว่าคราวนี้ฉันเห็นด้วยกับพ่อเลี้ยงค่ะ”
ภูชิชย์ชะงักมองหน้านริศรา แล้วก็ขำออกมา “นี่ฉันหูฝาดไปหรือเปล่าเนี่ย”
“อันไหนที่พ่อเลี้ยงทำถูกฉันก็ไม่รู้จะขัดไปทำไม” นริศราบอก
ทั้งคู่เดินมาเรื่อยๆ จนถึงหน้าบ้านพัก
“ยังไงฉันก็ขอบคุณนะสำหรับงานวันนี้” ภูชิชย์กล่าว
“ไม่เป็นไรค่ะ เพราะฉันได้โอที” นริศรายิ้ม “ฉันขอตัวนะคะ”
นริศราเดินขึ้นบ้านไป ภูชิชย์มองตามแล้วเผลอยิ้มพอนึกขึ้นได้เขาก็รีบหุบยิ้มแล้วงงตัวเอง
“เฮ้ย...นี่เราคิดอะไรวะ”
ภูชิชย์ตบหัวตัวเองเรียกสติแล้วรีบเดินกลับบ้านทันที

สุพัฒนานอนหลับอยู่บนเตียง โดยมีบัวเกี๋ยงนอนอยู่ข้างเตียง สักพักโทรศัพท์ของบัวเกี๋ยงก็ดังขึ้น สุพัฒนากับบัวเกี๋ยงสะดุ้งตื่น บัวเกี๋ยงรีบคว้าโทรศัพท์มาดูพอเห็นหน้าจอก็ตกใจไม่กล้ากดรับ
สุพัฒนาตวาดบ่าวด้วยความหงุดหงิด “บัวเกี๋ยง ใครมันโทรมาหาแกตอนนี้?”
“เอ่อ....พ่อค่ะ”
“แกออกไปคุยข้างนอนเลยไป ฉันจะนอน”
บัวเกี๋ยงรีบลุกเดินออกไปคุยนอกห้อง สุพัฒนามองตามตาเขม่นเพราะโมโหที่ต้องตื่นกลางดึก

บัวเกี๋ยงฟังผลพูดแล้วก็มีสีหน้าตกใจ
“พี่ผลนะพี่ผล ไม่น่าหาเรื่องเลย กี่ครั้งแล้วที่เป็นแบบนี้ ทำไมไม่ระวังตัว”
“เงียบเถอะน่าอีบัวเกี๋ยง” ผลว่าอย่างฉุนๆ “พี่เรียกเอ็งมาช่วยหาทางออก ไม่ได้เรียกมาด่าซ้ำ”
“แล้วฉันจะไปช่วยพี่ยังไงล่ะ”
ผลเข้ามากอดจากด้านหลัง
“เอ็งก็ไปขอคุณเล็กให้ช่วยสิวะ”
“จะบ้าเหรอ พี่ก็รู้ว่าไอ้กฎห้ามกินเหล้านี่ทั้งพ่อเลี้ยงกับคุณเล็กเป็นคนตั้งกฎ แล้วพี่จะให้ฉันไปบอกคุณเล็กว่ายังไง อย่าลืมสิ พี่เป็นคนเอาเหล้าเข้ามาเองนะ”
ผลโมโห “โว้ย แล้วนี่พี่จะทำไงดีวะ”
“พี่ก็ไปหางานที่อื่นทำสิ ไม่เห็นจะยากเลย”
ผลจ้องหน้าบัวเกี๋ยงแล้วบีบแขนเธออย่างแรงจนบัวเกี๋ยงเจ็บ
“พี่ผล...ฉันเจ็บนะ”
“ฮึ...ให้พี่ไปทำงานที่อื่น เอ็งจะได้เสวยสุขอ่อยพ่อเลี้ยงได้สะดวกใช่ไหม”
“นี่ ฉันรู้ตัวฉันหรอกน่าว่าไม่มีอะไรดีจะไปสู้เจ้าน้อย พี่ลืมเรื่องนี้ไปได้เลย”
“ถึงพี่จะไปอยู่ข้างนอก แต่ถ้าจับได้ว่าเอ็งนอกใจพี่ เอ็งตายแน่” ผลขู่
ผลปล่อยแขนบัวเกี๋ยงแล้วเดินไปนั่งเก็บของใส่กระเป๋า บัวเกี๋ยงมองตามแล้วก็ลอบยิ้มอย่างสะใจ ก่อนจะเดินไปหาผล
“ฉันช่วยเก็บของให้นะ”

คนงานนั่งกินอาหารอยู่ในโรงอาหารตอนเช้ามืด นริศรากับเจมส์เดินอยู่ที่หน้าโรงอาหารโดยจะไปที่จอดรถ
“เดี๋ยวช่วงเช้านี่พี่จะพาดูไร่ทั้งหมดก่อนนะ เจมส์จะได้เห็นว่าที่นี่ทำอะไรบ้าง แล้วช่วงบ่ายเราก็จะเข้าตามตารางงานของพี่ พี่ทำไว้หมดแล้ว” นริศราอธิบาย
นริศราส่งใบตารางงานให้เจมส์ เจมส์เดินไปหยุดอ่านใต้แสงไฟ นริศราเดินตามไป
“Well organized มากครับ” เจมส์ชม
“ไปกันเถอะสายแล้ว” นริศราชวน
ทั้งสองเดินไปถึงรถก็เห็นรถของภูชิชย์แล่นเข้ามาจอด ภูชิชย์ลงมาหาทั้งคู่
“จะไปเริ่มงานใช่ไหม งั้นไปรถฉันแล้วกัน”
นริศรางง “ทำไมคะ”
“ก็วันนี้วันแรกฉันก็ควรจะไปกับเจมส์ด้วยไม่ใช่เหรอ” ภูชิชย์ยื่นหน้ามากระซิบกับนริศรา “จะได้ประเมินด้วยว่าตอนนี้เธอมีความรู้เรื่องงานดีแค่ไหน” ภูชิชย์หันมาพูดกับเจมส์ “ไปเจมส์ ขึ้นรถ”
นริศราถอนใจด้วยความเซ็งแล้วขึ้นรถไปกับภูชิชย์และเจมส์

คนงานกำลังเตรียมดินอยู่ที่ไร่องุ่น โดยมีภูชิชย์กับเจมส์ยืนฟังนริศราอธิบายอยู่
“ตรงนี้เรากำลังเตรียมดินเพื่อลงองุ่น ดินในบริเวณนี้จะเป็นลักษณะกลุ่มดินภูเขามีความอุดมสมบูรณ์อยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างดี เพราะฉะนั้นเราจะทำการไถให้ลึก แล้วตากดินไว้ 1 อาทิตย์ โดยปลูกพืช ตระกูลถั่วคลุมไว้ก่อน แล้วไถกลบเมื่อออกดอกจะเป็นการทำให้ดินมีลักษณะดีขึ้น”
ภูชิชย์มองยิ้มๆ
ต่อมา ภูชิชย์จอดรถดูนริศรากำลังสอนขับแทร็กเตอร์ให้กับเจมส์ เจมส์ขับแทร็กเตอร์ไปเรื่อยๆ แล้วรถก็เป๋ไป ภูชิชย์ตกใจจะวิ่งเข้าไปดูแต่นริศราก็ดึงรถกลับมาได้ ภูชิชย์ที่แอบดูอยู่ถอนหายใจอย่างโล่งอก
นริศราเดินนำเจมส์ดูมุมต่างๆ ในไร่กาแฟและฟาร์มปศุสัตว์ เธออธิบายและสาธิตวิธีการรีดนม การเก็บกาแฟ โดยมีภูชิชย์ยืนมองอย่างชื่นชม
เวลาต่อมา นริศรายืนอธิบายเกี่ยวกับการกักเก็บน้ำและการระบายน้ำอยู่ที่บ่อเก็บน้ำภายในไร่
“ในอนาคตที่กิจการของไร่ขยายมากขึ้น เราอาจจะต้องขยายขนาดของบ่อออกไปอีก” นริศราบอก
“แล้วเราจะรู้ได้ยังไงครับว่าต้องใช้น้ำเท่าไหร่ถึงจะพอกับที่เราต้องการ” เจมส์ถาม
“ไม่ยากค่ะ ทุกวันนี้เรามีบันทึกอยู่แล้วว่าใช้น้ำวันละกี่ลิตร คูณด้วย 365 วันก็จะรู้ว่าใน 1 ปีเราควรสำรองไว้เท่าไหร่ โดยคิดออกมาเป็นลูกบาศก์เมตร แล้วคิดอัตราส่วนการขยายของการใช้น้ำต่อพื้นที่ บวกกับการระเหยของน้ำอีกวันละ 1 ซม. เราก็จะได้ปริมาณน้ำคร่าวๆ แล้วค่อยมาคำนวนหาขนาดของบ่อ”
เจมส์อ้าปากค้าง “ว๊าว...พี่นิดเพิ่งมาทำงานแล้วเก่งแบบนี้ แสดงว่าพ่อเลี้ยงต้องสอนเก่งมากเลยนะครับ”
ภูชิชย์ที่ยืนฟังอยู่ถึงกับอึ้งและพูดไม่ออก
“ค่ะ” นริศราปรายตามอง “ถ้าไม่ได้การสอนงานในแบบฉบับของพ่อเลี้ยง พี่จะไม่เป็นงานขนาดนี้”
เจมส์ยกนิ้วชื่นชมภูชิชย์ ภูชิชย์ยิ้มรับเจื่อนๆ

เจมส์ยืนจดรายละเอียดพร้อมกับช่วยกับคนงานผสมปุ๋ยอยู่ที่โรงทำปุ๋ยหมัก นริศรากับภูชิชย์ยืนดูอยู่ในที่ที่ห่างออกมา
“ทำไมไม่บอกเจมส์ล่ะ ว่าฉันแทบไม่ได้สอนงานอะไรเธอเลย ทุกอย่างเธอเรียนรู้ด้วยตัวเอง” ภูชิชย์ถาม
“บอกไปแล้วมันจะเกิดประโยชน์อะไรคะ”
“ความสะใจมั้ง อย่างน้อยเธอก็ได้เอาคืนฉัน”
“สะใจฉัน แล้วพ่อเลี้ยงก็เสีย ไร่ก็เสีย เจมส์ก็ไม่ได้ความรู้อะไรมากขึ้น ตัวฉันก็จะกลายเป็นลูกน้องที่ไม่ดี ฉันว่าความสะใจไม่เรียกว่าประโยชน์นะคะ”
“นี่เธอคิดอย่างนี้จริงๆเหรอ”
“ค่ะ ฉันคิดแบบนี้แล้วฉันสบายใจ ส่วนพ่อเลี้ยงจะเชื่อฉันหรือไม่ มันเป็นปัญหาของพ่อเลี้ยงแล้วค่ะ”
ระหว่างนั้นเจมส์ก็ตะโกนถามนริศรา “พี่นิดครับ ปุ๋ยเสร็จแล้วเราจะทำยังไงต่อครับ”
นริศราแยกเดินไปหาเจมส์ ภูชิชย์มองตาม
“เธอช่วยฉันเหรอเนี่ย” ภูชิชย์พูดเบาๆ

เจ้าทิพย์ดารายืนดื่มกาแฟและมองเหม่อออกไปไกลอยู่ที่ระเบียงบ้าน เธอนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่งานเลี้ยงต้อนรับเจมส์

“งานออกมาน่ารักดีนะคะภู” เจ้าทิพย์ดาราพูดชม
ภูชิชย์นิ่งเงียบจนเจ้าทิพย์ดาราต้องเรียก “ภูคะ”
“อะไรครับเจ้า” ภูชิชย์รู้สึกตัว
“ใจลอยไปไหนคะ”
“เอ่อ...เปล่าครับ เจ้าจะเอาอาหารอะไรเพิ่มไหมครับ ผมจะไปตักให้”
“ภูคะ อาหารของน้อยยังเต็มโต๊ะอยู่เลยนะคะ”
เจ้าทิพย์ดาราสะกิดให้ภูชิชย์ดูบรรดาจานที่วางอยู่ตรงหน้าของเธอ พอเห็นอาหารหลายจานตรงหน้าเจ้าทิพย์ดาราภูชิชย์ก็ยิ้มเจื่อนๆ

แล้วเจ้าทิพย์ดาราก็นึกถึงตอนที่พรพูดกับแม่อุ้ยหลังจากชมการร้องเพลงและเล่นกีตาร์ของนริศรากับภูชิชย์บนเวทีจบ
“ดูๆไปพ่อเลี้ยงกับคุณนิดก็เหมาะกันนะแม่อุ้ย ถ้าบอกว่าเป็นแฟนกันฉันก็เชื่อเลยล่ะ” พรพูด
พอได้ยินพรพูดเช่นนั้นแม่อุ้ยก็กระตุกแขนพรให้มองดูด้านหน้าซึ่งเป็นโต๊ะของเจ้าทิพย์ดารา
แม่อุ้ยรีบดึงหูพรให้เดินกลับไปทันที
เจ้าทิพย์ดาราเหลียวมองตามแม่อุ้ยกับพรไป แล้วหันกลับมาก็เห็นพิสุทธิ์กำลังมองไปบนเวทีด้วยสีหน้าเครียด พิสุทธิ์หันมาเห็นเจ้าทิพย์ดารามองอยู่ก็ยิ้มเจื่อนๆ เจ้าทิพย์ดาราก็ยิ้มรับเจื่อนๆ เช่นกัน
แล้วทั้งสองก็หันกลับไปมองบนเวทีด้วยสีหน้าเครียด

พอคิดถึงเหตุกาณณ์เมื่อคืน เจ้าทิพย์ดาราก็ถอนใจด้วยความเครียด เจ้าเทพมงคลกับเจ้าดาระกาเดินมาหาบุตรสาว
“เจ้าน้อยลูก ไม่สบายหรือเปล่า” เจ้าดาระกาถามขึ้น
เจ้าทิพย์ดารางง “เอ่อ....เปล่านี่คะ”
“เห็นเด็กบอกเช้านี้ลูกไม่ยอมทานอะไรเลย”
“น้อยไม่หิวค่ะ สงสัยจะอิ่มจากเมื่อคืน”
“ไม่เป็นไร ดีเหมือนกัน กลางวันนี้จะได้ทานอาหารเยอะ” เจ้าเทพมงคลกล่าว
“เจ้าพ่อจะไปไหนเหรอคะ” เจ้าทิพย์ดาราถาม
“พ่อไม่ได้ไปหรอก แต่จะให้ลูกไปแทน ที่โรงแรมคุณโป๊ะ” เจ้าเทพมงคลบอก
“เจ้าพ่ออ่ะ”
“ฟังพ่อก่อนสิ พ่อมีธุระ คือพ่อคุยกับทางผู้ว่าฯแล้ว งานฤดูหนาวปีนี้เราจะจัดงานระดมทุนก่อนถึงวันงาน ซึ่งโรงแรมคุณโป๊ะเขาก็จะช่วยเรื่องสถานที่ พ่อเลยจะให้น้อยไปประชุมแทนพ่อ”
เจ้าทิพย์ดารามองหน้าเจ้าเทพมงคลกับเจ้าดาระกาด้วยความรู้สึกว่านี่เป็นแผน
“นี่ๆๆ ไม่ต้องมองพ่อกับแม่แบบนั้นเลย เรื่องจับคู่น่ะพ่อกับแม่เลิกคิดไปแล้ว รู้ว่ายังไงลูกก็ไม่มองคนอื่น” เจ้าดาระกาบอก
“แล้วทำไมถึงให้น้อยไปคนเดียวล่ะคะ”
“ก็หมอนัดตรวจร่างกายเจ้าพ่อวันนี้ ถึงต้องรบกวนลูกไงจ๊ะ”
“ไม่รบกวนหรอกค่ะ” เจ้าทิพย์ดารายกมือไหว้ “น้อยขอโทษค่ะที่เข้าใจเจ้าพ่อเจ้าแม่ผิด เอาเป็นว่าน้อยจะจัดการเรื่องนี้ให้นะคะ”
เจ้าเทพมงคลกับเจ้าดาระกาแอบยิ้มให้กัน

พิสุทธิ์เดินมานั่งที่โต๊ะที่อยู่ที่แผนกเซลล์ของโรงแรม เขาเปิดคอมพิวเตอร์ดูแล้วเหม่อคิด
“เมื่อวานพ่อเลี้ยงดูสนใจนิดแปลกๆ” พิสุทธิ์สั่นหัวเหมือนไม่ยอมรับ “เป็นไปไม่ได้น่า เราคงคิดมากไปเอง”
เซลล์พี่เลี้ยงเดินเข้ามานั่งประจำโต๊ะแล้วเอ่ยทัก
“หวัดดีค่ะคุณโป๊ะ วันนี้มาแต่เช้าเลยนะคะ”
พิสุทธิ์ยิ้ม “เห็นบอกว่าวันนี้กรุ๊ปสถานฑูตจะเข้า ผมเลยอยากมาขอดูงานครับ”
“ค่ะ เดี๋ยวมาแล้วพี่จะพาลงไปนะคะ”
ระหว่างนั้นโทรศัพท์ที่โต๊ะก็ดังขึ้น พิสุทธิ์กดรับทันที
“สวัสดีครับ พิสุทธิ์ Speaking. How may I help you?” พิสุทธิ์ตกใจ “ห๊ะ...อีกแล้วเหรอ..ได้ครับ เดี๋ยวผมลงไป”
พิสุทธิ์วางสายด้วยท่าทีเซ็ง แล้วเขาก็เดินไปที่โต๊ะเซลล์พี่เลี้ยง
“เดี๋ยวผมลงไปที่ Front ก่อนนะครับ แล้วจะรีบขึ้นมา”
เซลล์ยิ้มรับ พิสุทธิ์รีบเดินจ้ำลงไปทันที

ลัคนาทุบโต๊ะที่เคาท์เตอร์รีซีฟชั่นของโรงแรมอย่างหัวเสีย พนักงานต่างล่าถอยด้วยความกลัว
“ตกลงมีใครเชิญคุณโป๊ะหรือยัง ฉันรีบนะ” ลัคาโวยวาย
“พี่นา...เบาๆสิ”
ลาวัลย์เตือนแล้วพยายามดึงแขนลัคนาให้ออกมาจากเคาท์เตอร์
“เบาได้ไง ไม่เห็นเหรอว่ามันแพง เราไม่ควรจ่าย” ลัคนาโวยไม่หยุด
“แต่นี่มันก็ราคาลีมูซีนโรงแรมนะ แล้วเราก็ไปตั้งไกลใช้รถเขาทั้งวัน ราคามันก็เหมาะสมแล้วนี่ ถ้าพี่นาไม่อยากจ่ายวัลย์ขับให้ก็ได้”
“ไม่ได้ เราไปไร่สุพัฒนาทั้งที จะไปรถญี่ปุ่นเก่าๆของแกได้ไง”
“ถ้าพี่จะเอารถโรงแรมจริงๆวันจ่ายให้ก็ได้”
“ยัยวัน ถ้าแกอยากจ่ายเงินมากก็เอาห้าพันมาให้ฉันไปซื้อขนมให้หลาน ยังไงฉันก็ไม่จ่าย ไม่งั้นเราจะตีสนิทนายโป๊ะไปทำไม”
ลัคนาเดินกลับไปที่เคาท์เตอร์ แล้วพิสุทธิ์ก็เดินออกมาจากด้านหลังเคาท์เตอร์
“มีอะไรให้ผมรับใช้ครับ”

พิสุทธิ์ยืนรอส่งลัคนากับลาวัลย์ที่หน้าโรงแรม ลัคนายิ้มแย้มอย่างมีความสุข แต่ลาวัลย์รู้สึกอายมาก
“ที่จริงคุณโป๊ะชาร์จบิลเข้าห้องก็ได้นะคะ วัลย์เต็มใจจ่าย” ลาวัลย์บอก
“ยัยวัน คุณโป๊ะบอกให้ฟรีแล้วเราไปจ่ายก็หักหน้ากันสิ เสียมารยาทจริงๆ” ลัคนาหันมาดุ
“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณวัน เพราะยังไงคุณลัคนาก็เหมือนจะเป็นญาตินิดเขาอยู่แล้ว”
สองพี่น้องสะดุดหูกับคำว่า “เหมือนจะเป็น”
“เหมือนอะไรกันคะ พี่เป็นพี่สะใภ้ก็ต้องถือเป็นญาติใกล้ชิดละไม่ว่า” ลัคนารีบพูด
แล้วรถหรูของโรงแรมก็แล่นมาจอด พิสุทธิ์เปิดประตูให้สองพี่น้องก้าวขึ้นรถไปแต่ก่อนจะปิดประตูพิสุทธิ์ก็ยิ้มแล้วพูด
“ถ้าผมต้อนรับอะไรบกพร่องก็ขอโทษด้วยนะครับ เพราะฐานะของผมตอนนี้ก็เป็นเพียงแค่เด็กฝึกงานเท่านั้น เที่ยวให้สนุกนะครับ”
พิสุทธิ์ปิดประตูให้แล้วรถก็เคลื่อนออกไป พิสุทธิ์มองตามแล้วส่ายหน้า

ลาวัลย์นั่งอารมณ์เสียอยู่ในรถ
“เป็นไงล่ะพี่นา เขาด่าแบบผู้ดีขนาดนี้แล้วจะกล้าขออะไรอีกไหม”
“กล้าสิ” ลัคนาตอบทันที
“พี่นา...วันอายเขาแล้วนะ”
“แต่ฉันไม่แคร์ แค่ฉันได้อย่างที่ฉันต้องการก็พอ แกก็เลิกคิดมากได้แล้ว ทำยังกับถือหุ้นโรงแรมเขางั้นแหล่ะ ถ้าแกเป็นแฟนเขาสิ ฉันจะไม่ให้กระเด็นสักบาทเลย”
ลาวัลย์เห็นคนขับรถแอบเหลือบมองทางกระจกหลังแล้วก็ทำเป็นไม่มอง เธอรู้สึกอายจนต้องเบี่ยงตัวหลบเพราะกลัวคนขับมองอีก

เจมส์กำลังช่วยคนงานดูต้นกล้าอยู่ที่เรือนเพาะชำกับภูชิชย์และนริศรา ระหว่างนั้นโทรศัพท์ของภูชิชย์ก็ดังขึ้น ภูชิชย์กดรับแล้วพูด
“ว่าไงนิพนธ์.......มาแล้วเหรอ....ได้เดี๋ยวฉันกับคุณนิดจะไปเดี๋ยวนี้”
ภูชิชย์วางสาย นริศรามองอย่างสงสัย
“มีอะไรเหรอคะ เห็นพูดถึงฉัน”
“พี่สะใภ้เธอมาเยี่ยม” ภูชิชย์บอก
นริศราอึ้ง “พี่นาน่ะเหรอคะ”
ภูชิชย์พยักหน้ารับแล้วสังเกตเห็นว่านริศราหน้าเจื่อนไป

ลัคนากับลาวัลย์มองเห็นไร่สุพัฒนาอันกว้างใหญ่ไพศาล ลัคนายืนมองจากหน้าต่างด้านในห้องรับแขกอย่างมีความสุข
“ตายแล้ว นี่รวยจริงจังนะเนี่ย ยัยวัลย์ฉันว่าเผลอๆนายนี่จะรวยกว่านายโป๊ะก็ไม่รู้ แกต้องจับเขาให้ได้นะ”
ลาวัลย์ส่ายหน้าด้วยความระอาใจ “เป็นเอามาก”
“เอ๊ะ...ยัยวัน ที่เราดั้นด้นมานี่ก็ไม่ใช่เพราะแกชอบพ่อเลี้ยงเหรอ”
“ชอบน่ะใช่ แต่จะมาจับน่ะไม่ใช่ คนอย่างวันรักคนด้วยใจไม่ได้รักด้วยสมอง”
“แกจะใช้ใจบ้าบออะไรของแกก็ตามใจ แต่รายนี้ฉันจะใช้สมองฉันช่วยแกเอง”
ลัคนายิ้มอย่างมีความหวัง
ทันใดนั้น ภูชิชย์กับนริศราก็เดินเข้ามา พอเห็นทั้งคู่ลัคนาก็รีบยิ้มหวานทันที
“พ่อเลี้ยงสวัสดีค่ะ” ลัคนาลุกไปกอดนริศรา “น้องนิด พี่กับยัยวันมาเยี่ยม ดีใจไหม”
นริศรารู้สึกกระอั่กกระอ่วนใจแต่ก็ฝืนยิ้มรับ
สุพัฒนาลุกพรวดขึ้นมายืนจ้องบัวเกี๋ยงด้วยความไม่พอใจ
“ใครบอกแกบัวเกี๋ยง”
“ใครจะบอกคะ ความสามารถบัวเกี๋ยงล้วนๆ เมื่อกี้บัวเกี๋ยงไปด้อมๆมองๆแถวห้องทำงานพ่อเลี้ยง ก็เห็นคุณนิพนธ์โทรตามพ่อเลี้ยง บอกว่าญาตินังนิดมาหา บัวเกี๋ยงก็เลยไปแอบดู สวยทั้งคู่เลยนะคะ”
“สวยด้วยเหรอ” สุพัฒนาถามย้ำ
“ไม่ใช่แค่สวยนะคะ ท่าทางจะรวยด้วย เห็นมารถคันใหญ่มีคนขับรถมาด้วยนะคะ”
สุพัฒนาตวาด “พอแล้ว แกจะบรรยาหาสวรรค์อะไร”
บัวเกี๋ยงหุบปากทันที
“นังนิด แกเป็นแค่ลูกจ้างกล้าพาญาติมาเป็นแขกพี่ภูเลยเหรอ”
สุพัฒนารีบเดินออกไปด้วยความโมโห บัวเกี๋ยงรีบวิ่งตามไปด้วย

นิพนธ์นั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะ สักพักสุพัฒนากับบัวเกี๋ยงก็เดินเข้ามา
“พี่ภูอยู่ไหน” สุพัฒนาถาม
“พ่อเลี้ยงมีแขกครับ” นิพนธ์ตอบ
“แขกที่ไหน ญาตินังนิดมันไม่ใช่เหรอ”
“เอ่อครับ”
“ก็แล้วพี่ภูกับพวกมันอยู่ไหนล่ะ”
“พ่อเลี้ยงกับคุณนิดกำลังพาไปเที่ยวชมไร่”
“อะไรนะ นี่พี่ภูต้อนรับมันขนาดพาชมไร่เองเลยเหรอ”
“เอ่อ...ครับ”
สุพัฒนาเดินไปคว้าโทรศัพท์บนโต๊ะภูชิชย์แล้วกดโทรออกทันที

โทรศัพท์ของภูชิชย์ที่วางอยู่ในรถมีเสียงสายเข้า แต่ภูชิชย์ นริศรา ลัคนา และลาวัลย์กำลังยืนอยู่ที่คอกวัว
“ตรงนี้จะเป็นส่วนของฟาร์มวัวครับ” ภูชิชย์บอก
“ที่นี่สวยมากค่ะ แต่สงสัยจะเที่ยววันเดียวไม่หมด” ลัคนาพูดเป็นนัย
“ถ้าชอบก็มาอีกก็ได้นะครับ”
“แน่นอนค่ะ” ลัคนาหันไปพูดกับลาวัลย์ “ยัยวัน พี่ขอพักนั่งคุยกับน้องนิดหน่อยนะ เธอไปเดินเล่นกับพ่อเลี้ยงก็ได้”
“เอ่อ...พี่นา ไปด้วยกันสิ” ลาวัลย์อาย
“ไปเถอะไม่ต้องห่วง” ลัคนาหันไปพูดกับภูชิชย์ “พ่อเลี้ยงคะ ฝากพาน้องของนาเดินเล่นหน่อยนะคะ นาอยากคุยกับน้องนิดค่ะ”
ลาวัลย์มองหน้าภูชิชย์แบบเขินๆ

สุพัฒนากดวางแล้วกดโทรออกไปใหม่ รอสักพักก็ไม่มีคนรับสาย สุพัฒนาโมโหยกโทรศัพท์ขว้างใส่พื้นทันที
“นี่พี่ภูเขาหายไปไหนของเขานะ” สุพัฒนาหันมาพูดกับนิพนธ์ “แล้วทำไมเธอไม่รู้จักถาม”
นิพนธ์ถอนใจ “ผมขอโทษครับ”
สุพัฒนาโกรธ เธอจ้องหน้านิพนธ์อย่างเอาเรื่อง นิพนธ์ลุกจากโต๊ะแล้วเดินมาใกล้ๆ สุพัฒนาด้วยความเป็นห่วง
“คุณเล็กครับ เพิ่งโมโหเลยนะครับ เดี๋ยวพ่อเลี้ยงกลับมาก็คงมาเล่าให้คุณเล็กฟัง ผมว่าถ้าคุณเล็กโกรธแล้วไม่สบายขึ้นมามันจะไม่ดีต่อสุขภาพคุณเล็กนะครับ”
“โอ๊ย...เก็บคำเทศน์โง่ๆของเธอไว้เถอะนิพนธ์ ฉันรำคาญ ไม่อยากจะฟัง”
นิพนธ์หน้าจ๋อย สุพัฒนาโมโหผลักนิพนธ์ออกแล้วเดินไปโดยมีบัวเกี๋ยงเดินตามไปด้วย นิพนธ์มองตามแล้วส่ายหน้าด้วยความระอาใจ

สุพัฒนาเดินหอบด้วยความโกรธจัดออกมาด้านหน้าสำนักงาน
“คุณเล็กคะ เราไปตามหาพ่อเลี้ยงในไร่ไหมคะ” บัวเกี๋ยงถาม
“ไม่ต้อง”
บัวเกี๋ยงงง “คุณเล็ก คุณเล็กไม่สบายหรือเปล่าคะ ทำไมวันนี้ใจเย็น”
“ใครว่าฉันใจเย็น ฉันร้อนจะเป็นไฟอยู่แล้ว”
“บัวเกี๋ยงงงค่ะ ก็ถ้าคุณเล็กร้อน แล้วทำไมเราไม่ไปตามหาพ่อเลี้ยงล่ะคะ เพราะถ้าเจอนังนิดกับญาติๆมันเราจะได้ตบๆๆๆมันไงคะ”
“แกก็อีกคน โง่แบบไม่คิดปรับปรุงระบบเลย น่าส่งให้ไปเป็นเมียไอ้นิพนธ์นัก” สุพัฒนาด่า
บัวเกี๋ยงบ่นพึมพำ “อี๋ แค่ผู้จัดการกระจอก”
“บ่นอะไร”
“เปล่าค่ะ บัวเกี๋ยงแค่สงสัยว่าทำไมคุณเล็กต้องมาว่าบัวเกี๋ยงโง่ด้วย”
“ก็คราวที่แล้วพากันไปตบนังนิดกับนังเจ้าน้อยน่ะเป็นไง สุดท้ายพวกมันใช้มารยาจนพี่ภูไปเข้าข้างมันจำไม่ได้เหรอ”
“เฮ้อ...แล้วจะทำไงล่ะคะ ไล่มาสารพัดวิธีแล้วมันก็ยังอยู่”
“มันยังมีอีกวิธีที่เรายังไม่ได้ใช้”
บัวเกี๋ยงมองหน้าสุพัฒนาด้วยความสงสัย สุพัฒนายิ้มร้ายๆ อย่างสะใจ

นริศรากับลัคนาปลีกตัวมานั่งคุยกัน ลัคนามองดูภูชิชย์กับลาวัลย์ที่เดินอยู่ด้วยกันไกลๆ ก็ยิ้มอย่างมีความสุข
“ที่จริงพี่ก็ไม่ได้คิดว่าจะเจอเธออีกหรอกนะ” ลัคนาเอ่ยขึ้น
“เรื่องนั้นนิดรู้อยู่แล้วค่ะ” นริศราตอบ
“แต่ในเมื่อเราต้องเจอกัน ก็ทำดีต่อกันไว้แล้วกัน” ลัคนาบอก
“แหม...พูดแบบนี้ แสดงว่าคนเห็นแก่ตัวอย่างพี่นาคงอยากได้อะไรอีกแน่”
ลัคนาโมโห “ยัยนิด! ฉันเป็นพี่สะใภ้เธอนะ”
“เราอย่ามาเสียเวลานับญาติทั้งๆที่ใจเราไม่คิดเลยนะคะ นิดรู้ค่ะว่าที่พี่นามานี่ก็เพราะจะใช้นิดเป็นสะพานให้พี่วันไปจับพ่อเลี้ยงใช่ไหมคะ”
“ใช่ รู้แล้วก็ช่วยฉันหน่อยละกัน”
ลัคนาพูดแล้วเชิดหน้าใส่เหมือนออกคำสั่ง นริศรายิ้มหวานรับ
“ไม่ค่ะ นิดไม่ชอบช่วยคนที่ทำร้ายนิด และนิดตีสองหน้าไม่เก่งเหมือนพี่นาด้วยค่ะ”
“อ๋อ...นี่เธอขวางฉันเพราะจะจับพ่อเลี้ยงไว้เองละสิ”
นริศราขำ “พี่นาคะ จนถึงวันนี้พี่นายังแยกไม่ออกอีกเหรอคะ ว่านิดไม่ใช่ผู้หญิงประเภทเดียวกับพี่นา”
ลัคนาโกรธจัดจ้องหน้านริศรานิ่ง นริศราจ้องกลับอย่างไม่ลดละ

ลาวัลย์เดินมายืนดูวัวในคอก ภูชิชย์มองไปที่นริศรากับลัคนาที่นั่งคุยกันอยู่ไกลๆ
“อีกนานไหมคะกว่ามันจะโตจนให้นมได้” ลาวัลย์ถามขึ้น
ภูชิชย์ไม่ทันฟังจึงถามกลับ “คุณวันสนิทกับนริศราไหมครับ”
“นี่พ่อเลี้ยงไม่ได้ฟังวันเหรอคะ”
“ขอโทษครับ คุณวันพูดว่าอะไรครับ”
“ช่างมันเถอะค่ะ แต่ที่พ่อเลี้ยงถามวันน่ะหมายความว่ายังไงคะ”
“เอ่อ...ก็ผมแค่รู้สึกว่าผมรู้จักนริศราน้อยมาก ในฐานะนายจ้าง ผมควรจะรู้จักเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้น่ะครับ”
ลาวัลย์ได้ยินก็หน้าจ๋อยไปก่อนจะพูดกับภูชิชย์
“เรื่องของคุณนิด วันคงตอบได้ไม่ดีเท่าเจ้าตัวหรือพี่นาหรอกค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นเรากลับไปคุยกับเขากันไหมครับ”
ลาวัลย์พยักหน้ารับ ภูชิชย์ยิ้มแล้วผายมือให้ลาวัลย์เดินนำไป

ลัคนากับนริศรานั่งอยู่ที่เดิมอย่างไม่สนใจกัน พอภูชิชย์กับลาวัลย์เดินเข้ามาใกล้ ลัคนาก็รีบยิ้มหวานให้ทันที
“ทำไมกลับมาเร็วจัง” ลัคนาถาม
“พ่อเลี้ยงเขามีเรื่องคุณนิดจะถามพี่นาค่ะ” ลาวัลย์ตอบอย่างเซ็งๆ
“เรื่องน้องนิด” ลัคนาปรายตามองนริศราอย่างไม่พอใจ
“ครับ เอ่อ...คือ”
ภูชิชย์มองนริศราที่กำลังนั่งนิ่งหน้าเครียดอยู่ แล้วเขาก็นั่งลงข้างนริศรา ลัคนายิ่งโมโหกระตุกแขนลาวัลย์ให้ดู ลาวัลย์ยักไหล่แบบไม่รู้จะทำยังไงแล้วก็นั่งลงข้างลัคนา
“ตอนนริศรามาทำงานที่นี่ ผมยังไม่ได้สัมภาษณ์บุคคลอ้างอิงของเขาเลย ก็เลยอยากถามอะไรนิดหน่อยน่ะครับ”
“แหม...ถ้าอย่างนั้นพ่อเลี้ยงก็ถามถูกคนแล้วล่ะค่ะ” ลัคนายิ้มรับ
แล้วลัคนาก็แอบยิ้มเยาะนริศรา
“คือนามสกุลสุริยรักษ์ ผมเห็นว่าเหมือนกับนายทหารสองท่าน”
“พล.อ.ณัฐ เป็นพ่อของน้องนิดค่ะ และพันเอก ณรงค์ เป็นพี่ชายและเป็นสามีดิฉัน เอ๊ะ...นี่น้องนิดไม่ได้บอกพ่อเลี้ยงเหรอคะ” ลัคนาสงสัย
“เปล่าครับ ผมก็ไม่ทราบว่าทำไมเขาปิด” ภูชิชย์บอก
“คงจะอายน่ะค่ะ” ลัคนาพูด
“อายที่เป็นลูกนายพลน่ะเหรอ” ภูชิชย์มองนริศราอย่างงงๆ
ลัคนากับนริศราประสานสายตาสู้กัน
“อายที่เรียนไม่เก่งมากกว่าค่ะ” ลัคนาพูดขึ้น “น้องนิดน่ะเขาต่างจากคุณณะพี่ชายเขามาก รายนั้นน่ะเขาเรียนเก่งได้ทุนตั้งแต่เด็กๆจนล่าสุดก็ยังได้ทุนจากกองทัพไปเรียนต่อ แต่น้องนิดสิคะสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ คุณพ่อท่านพล.อ.ณัฐก็เลยส่งไปเรียนที่อเมริกา หมดเงินไปไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ แต่ก็....ไม่จบ”
ภูชิชย์มองหน้านริศรา นริศราพยักหน้ารับ
“ค่ะ วุฒิการศึกษาของฉันคือ ม.6” นริศราบอก
ภูชิชย์มองนริศราด้วยความรู้สึกสงสาร

รถของภูชิชย์แล่นมาจอดที่หน้าสำนักงาน ทั้งหมดก้าวลงมาจากรถ
“ผมขอเชิญคุณลัคนากับคุณลาวัลย์ทานอาหารกลางวันด้วยกันนะครับ” ภูชิชย์บอก
“ยินดีค่ะ” ลัคนารีบตอบรับ
“นริศรา เธอช่วยไปบอกเด็กให้จัดโต๊ะเพิ่มสามที่นะ แล้วให้นิพนธ์มาทานด้วย”
“พ่อเลี้ยงจะให้พี่นิดกับพี่วันทานที่นี่เหรอคะ” นริศราถาม
“ก็ใช่น่ะสิ” ภูชิชย์ตอบ
“ไม่ได้ค่ะ” นริศราพูด
ลัคนากับลาวัลย์มองหน้ากันด้วยความงง แล้วสองพี่น้องก็มองภูชิชย์ ภูชิชย์ก็งงเช่นกัน
“พี่นากับพี่วันมาในฐานะญาติฉัน ก็ควรจะทานที่โรงอาหารกับฉัน” นริศราบอก
“อะไรนะ น้องนิด จะให้พี่ไปทานกับคนงานงั้นเหรอ” ลัคนาทำท่ารังเกียจ
“นริศรา....” ภูชิชย์จะพูดแต่นริศราสวนขึ้นทันที
“พ่อเลี้ยงคะ ถ้าคนงานมีญาติมาเยี่ยมที่ไร่กันทุกคน พ่อเลี้ยงจะให้มาทานข้าวที่นี่กันหมดไหมคะ ถ้าใช่ฉันจะได้ออกประกาศให้คนงานทราบ”
“น้องนิด...มันจะมากเกินไปแล้วนะ” ลัคนาฉุน
“ถ้าพี่นารู้สึกว่ามากเกินไป กลัวจะติดเป็นบุญเป็นคุณกับนิด ก็ไม่ต้องทานสิคะ นิดเข้าใจค่ะว่าพี่นาเป็นคนดีขี้เกรงใจ ไม่ชอบรบกวนคนอื่น”
ลัคนากัดริมฝีปากด้วยความเจ็บใจแต่ก็พูดอะไรไม่ออก ลาวัลย์ยิ้มให้ภูชิชย์กับนริศรา
“จริงด้วยค่ะคุณนิด” ลาวัลย์พูด “พี่กับพี่นามากวนนานแล้วเกรงใจ เราสองคนขอตัวกลับก่อนดีกว่านะคะ ถ้ามีอะไรที่โรงพยาบาลให้วันช่วยก็บอกได้เลยนะคะพ่อเลี้ยง คุณนิด”
นริศรายกมือไหว้ “ขอโทษด้วยนะคะพี่วัน”
“พี่เข้าใจค่ะ ไปนะคะ” ลาวัลย์กล่าวลาแล้วดึงแขนลัคนา ลัคนายิ้มให้ภูชิชย์แต่เชิดหน้าใส่นริศรา จากนั้นทั้งคู่ก็เดินกลับไป
ภูชิชย์มองหน้านริศรานิ่งก่อนจะพูดกับเธอ
“เรามีเรื่องต้องคุยกัน”

ภูชิชย์พานริศราเดินมาที่มุมหนึ่ง
“ถ้าพ่อเลี้ยงจะไล่ฉันออกอย่างเป็นทางการ จะคุยที่สำนักงานฉันก็ไม่ว่านะคะ ถึงตอนนี้ฉันไม่มีอะไรจะเสียแล้ว” นริศราพูดเรียบๆ
“ฉันจะไล่เธอออกด้วยสาเหตุอะไร”
นริศรางง “ก็ตำแหน่งผู้จัดการไร่ต้องจบปริญญาตรี แต่ฉันไม่จบ” นริศราถอนใจ “แล้วยังปิดบังคุณอีก ฉันขอโทษนะคะ ฉันจะไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด”
“ไป...เธอจะไปไหน แล้วใครสั่งให้ไป”
นริศรามองภูชิชย์ด้วยความแปลกใจ
“ถ้าจะมีคนผิด นายวัสก็ผิดที่รับคนที่คุณสมบัติไม่ตรงกับวุฒิที่เราตั้งไว้ ส่วนฉันก็ผิดที่แกล้งให้เธอไปเป็นผู้จัดการ” ภูชิชย์บอก
“แต่ฉันเป็นลูกจ้างที่มาของานคุณทำ ฉันไม่ควรทำแบบนั้น”
“นี่แหล่ะที่ฉันอยากรู้ ว่าเธอทำทำไม”

นริศราตัดสินใจเล่าเหตุการณ์ในวันที่ทำให้เธอต้องออกหางานทำให้ภูชิชย์ฟัง...
วันนั้น นริศราเปิดประตูเข้ามาเห็นลัคนานั่งทำบัญชีอยู่
“พี่นามีอะไรหรือเปล่าคะถึงให้คนไปตาม”
“พี่ขอพูดตรงๆนะ พี่อยากจะตัดเงินค่าใช้จ่ายที่จะส่งนิดเรียนต่อออก” ลัคนาพูด
นริศราตกใจ “อะไรนะคะ ทำไมต้องตัดด้วย เหลืออีกแค่เทอมเดียวนิดก็จะจบแล้ว”
“อย่าลืมสิว่าตอนคุณพ่อป่วยเราก็หมดไปกับค่ารักษาคุณพ่อเป็นล้าน แล้วนี่นิดยังจะมาเอาส่วนที่เหลือไปเรียนอีกเหรอ”
“แต่เงินที่นิดเรียนก็เป็นเงินที่คุณพ่อตั้งใจจะให้นิด พี่ณะเองก็รับรู้”
“ก็เพราะคุณพ่อลำเอียงน่ะสิ” ลัคนารีบพูด
นริศรางงกับสิ่งที่ได้ยิน “พี่นา....นิดไม่อยากจะเชื่อว่าพี่นาจะคิดแบบนี้”
“ก็มันจริงไหมล่ะ ลองคิดดูนะถ้าพี่แบ่งเงินก้อนนี้ให้นิดเรียนจนจบ พอกลับมานิดก็มาแบ่งเงินที่เหลือกับคุณณะ แล้วคุณณะจะเหลืออะไร นิดยังมีหลานอีกสองคนนะ ใจคอจะเอาเปรียบหลานเหรอ”
นริศรานิ่งอึ้งเพราะพูดไม่ออก ลัคนาได้ทีก็รีบซ้ำเติมนริศราทันที
“คุณณะได้ทุนไปเรียนก็ยังมีเงินเดือนจากทางราชการให้พี่ใช้ แล้วนิดล่ะช่วยเหลืออะไรทางบ้านบ้าง....นอกจากแบมือขอเงิน”

นริศราเล่าเรื่องของตัวเองให้ภูชิชย์ฟังต่อ
“ช่วงนั้นฉันก็ออกตระเวณหางาน แต่ไม่มีที่ไหนรับ จนคุณวัสให้โอกาสทั้งๆที่รู้ว่าฉันวุฒิไม่ถึง ฉันจึงมาที่นี่”
“แสดงว่าเธอก็เพิ่งเจอนายวัสอย่างที่เธอบอกน่ะสิ” ภูชิชย์ถาม
“ทุกคนบนโลกนี้เขารู้กันหมดแล้วค่ะ มีแต่คุณนั่นแหล่ะที่มาหาว่าฉันจะจับคุณวัส”
“ก็ตอนนั้นเธอมันน่าสงสัยนี่ เอาละๆเอาเป็นว่าเรามาเริ่มต้นกันใหม่ดีกว่า”
“เริ่มต้นใหม่?” นริศรางง
“ฉันยอมรับนะว่าเธอทำผลงานหลายอย่างได้ดีมาก ดีจนฉันอดทึ่งไม่ได้ ฉันอยากให้เธอทำงานที่นี่ต่อ”
“จริงเหรอคะ” นริศราดีใจ
“เธออยากจะกลับไปทำตำแหน่งเลขาไหมล่ะ ฉันจะให้นิพนธ์กลับมาเป็นผู้จัดการไร่เหมือนเดิม”
นริศราครุ่นคิด ภูชิชย์ถามย้ำ
“ว่าไงล่ะ”
“ฉันขอทำตำแหน่งเดิมได้ไหมคะ ฉันไม่อยากมีปัญหากับคุณเล็ก”
ภูชิชย์ยิ้มแล้วยื่นมือให้จับ “ได้สิ ผู้จัดการนริศรา”
นริศรายิ้ม “ขอบคุณค่ะ ผู้อำนวยการภูชิชย์”
ทั้งสองคนยิ้มให้กันอย่างมีไมตรี

ลัคนาเปิดประตูห้องพักที่โรงแรมแล้วเดินเข้ามาอย่างหงุดหงิด ลาวัลย์เดินตามเข้ามาด้วย
“เจ็บใจยัยนิดนัก ทำแบบนี้มันเท่ากับประกาศตัวเป็นศัตรูกับพี่ชัดๆ” ลัคนาฉุน
“อ้าว...ก็พี่นาเองนั่นแหล่ะที่ไปประจานเขาก่อน” ลาวัลย์แย้ง
ลัคนาเดินมาหยิกแขนลาวัลย์จนลาวัลย์ต้องปัดมือพี่สาวออก
“โอ๊ย...พี่นามาหยิกวันทำไม”
“แกก็อีกคน ตกลงจะเอาไงกันแน่ ฉันช่วยจนเหนื่อย ไปอยู่ข้างยัยนิดซะงั้น ระวังเถอะยัยนิดจะจับอีตาพ่อเลี้ยงของแก”
ลาวัลย์ถอนใจ “โธ่พี่นา พ่อเลี้ยงเขาไม่มีสายตามองวันด้วยซ้ำ แค่คุยกันวันนี้วันก็รู้แล้ว”
“แกก็เลยถอยทัพอย่างงั้นเหรอ ไหนแกบอกว่าชอบเขาหนักชอบเขาหนาไง”
“วันก็ไม่ได้บอกว่าวันเลิกชอบพ่อเลี้ยงนี่ ยิ่งได้คุยได้รู้จักกันวันนี้ วันก็ยิ่งมั่นใจว่าวันคิดถูกที่เห็นเขาเป็นชายในฝัน แต่บางทีชายในฝันก็อาจจะเหมาะที่จะอยู่ในฝันก็ได้นะ”
“ยายวัน ฟังให้ดีนะ แกจะเห็นพ่อเลี้ยงเป็นชายในฝันหรือในสี่แยกอะไรของแกก็ช่าง แต่หน้าที่ของแกคือจับเขาให้ได้ แต่งงานกับเขา แล้วชีวิตแกจะสบายเหมือนฉัน”
“อย่างพี่นาเนี่ยนะเรียกสบาย”
“ก็ใช่สิ ไม่เห็นเหรอ”
“เห็นสิ พี่วันมีเงิน มีครอบครัวดี มีสามีที่รักพี่วันมาก มีน้องสะใภ้ที่เคยรักเคารพพี่ แต่เพราะพี่วันไม่พอยังอยากได้เงินเพิ่ม ยังบังคับสามีให้เป็นใหญ่เป็นโต บงการชีวิตคนทุกคน สุดท้ายวันก็เห็นพี่นานี่แหล่ะที่เครียดที่สุดเวลาคนอื่นทำไม่ได้อย่างใจ แบบนี้เรียกสบายตรงไหน”
“นี่ยัยวันไปเลยนะ พูดไม่เข้าหูแบบนี้ฉันไม่คุยด้วยแล้ว” ลัคนาโกรธ
ลาวัลย์ส่ายหน้าด้วยความระอาใจกับพี่สาวของตัวเองก่อนจะหยิบกระเป๋าเดินออกไป ลัคนามองตามอย่างไม่พอใจ
“คิดแบบนี้น่ะสิถึงเป็นพยาบาลต๊อกต๋อยไม่ไปไหนกับเขาหรอก”

เจ้าทิพย์ดารา พิสุทธิ์ ผู้ว่าฯ และทีมงานเดินดูห้องจัดเลี้ยงภายในโรงแรม พิสุทธิ์คอยอธิบายให้ทุกคนฟัง จากนั้นพิสุทธิ์ เจ้าทิพย์ดารา ผู้ว่าฯ และทีมงานก็มานั่งประชุมกันบริเวณล็อบบี้โรงแรม
เวลาผ่านไป พิสุทธิ์กับเจ้าทิพย์ดาราเดินมาส่งผู้ว่าฯ กับทีมงานที่หน้าประตูโรงแรม
“ผมดีใจนะที่ได้คนหนุ่มสาวมาช่วยงานการกุศล ยังไงก็อย่าทิ้งกันกลางคันล่ะ” ผู้ว่าฯ บอก
พิสุทธิ์กับเจ้าทิพย์ดารายกมือไหว้ลาผู้ว่าฯกับทีมงาน แล้วทั้งสองก็เดินคุยกันไปตามทางเดิน
“แล้วคุณโป๊ะคิดหรือยังคะว่าจะทำอะไรประมูลในงาน”
“ยังเลยครับ เรื่องศิลปะต้องขอให้นิดเขาช่วย”
“แน้...ไม่ได้นะคะ น้อยก็แอบจองคุณนิดไว้ในใจแล้วเหมือน อยากให้คุณนิดมาสอนเพ้นท์ แล้วจะเอาผลงานออกประมูล” เจ้าทิพย์ดาราพูดยิ้มๆ
พิสุทธิ์หัวเราะ “นี่เราสองคนแย่งตัวนิด โดยไม่ถามพ่อเลี้ยงเลยนะครับ เกิดพ่อเลี้ยงหวงนิดขึ้นมาละยุ่งเลย”
เจ้าทิพย์ดาราได้ฟังก็นิ่งอึ้งจนพิสุทธิ์สงสัย
“เจ้าเป็นอะไรครับ”
“เอ่อ...เปล่าค่ะ กำลังคิดวิธีแย่งชิงตัวคุณนิดค่ะ”
ทั้งสองหัวเราะให้กัน
“คุณโป๊ะกับคุณนิดนี่คงสนิทกันมากนะคะ” เจ้าทิพย์ดาราว่า
“ครับ นิดเป็นผู้หญิงที่ผมสนิทที่สุดแล้ว”
เจ้าทิพย์ดารายิ้ม “น้อยก็พอดูออกค่ะ”
พิสุทธิ์เขิน “ว้า....ผมว่าผมไม่ค่อยแสดงออกแล้วนะครับเนี่ย”
“น้อยอ่านแววตาคนเก่งค่ะ แหม..ก็ คุณนิดเธอทั้งสวยทั้งน่ารักแล้วยังเก่งอีกด้วย”
“เขาไม่ได้แค่เก่งนะครับ ยังเข้มแข็งไม่กลัวกับอุปสรรคในชีวิตด้วย”
พิสุทธิ์คุยถึงนริศราด้วยรอยยิ้มที่แสดงถึงความสุข เจ้าทิพย์ดาราเห็นก็ถึงกับขำทันที
“อย่าบอกใครอีกนะคะว่าคุณโป๊ะไม่แสดงออกว่าชอบคุณนิดน่ะ”
พิสุทธิ์หัวเราะเพราะเขิน เจ้าทิพย์ดารายิ้มด้วยความเอ็นดู

สุพัฒนากับบัวเกี๋ยงมายืนด้อมๆมองๆอยู่หน้าสำนักงาน ทั้งสองเห็นนริศราขับรถมาจอด แล้วลงจากรถพร้อมกับเดินถือแฟ้มเข้าสำนักงานไป
บัวเกี๋ยงรีบพูดกับสุพัฒนาทันที
“อุ๊ย...มันมานั่นไงคะ เราจะทำอะไรกับมันดีคะ”
“ปล่อยมัน” สุพัฒนาบอก
บัวเกี๋ยงงง “อ้าว...ถ้าปล่อยมันแล้วเราจะมาเฝ้ามันทำไมคะ”
“เลิกถามซะทีได้ไหม”
สุพัฒนาตวาด บัวเกี๋ยงถึงกับจ๋อย
แล้วทั้งสองก็เห็นนริศราเดินออกมาจากสำนักงานแล้วก็ขับรถออกไป สักพักภูชิชย์กับนิพนธ์ก็เดินออกมาแล้วแยกย้ายกันไป
สุพัฒนาพูดกับบัวเกี๋ยง
“บัวเกี๋ยง เดี๋ยวแกคอยดูอยู่ด้านหน้านะ ถ้ามีใครมาก็เข้าไปเรียกฉันด้วย”
“แหม...เย็นเลิกงานแบบนี้ใครจะมาคะ”
“เออน่า....กันไว้ก่อน”
“แล้วคุณเล็กจะเข้าไปทำอะไรคะ บัวเกี๋ยงยังไม่รู้เลย” บัวเกี๋ยงถาม
“ฉันจะเข้าไปทำให้นังนิดมันกระเด็นไปจากที่นี่น่ะสิ”
“ทำไงคะ” บัวเกี๋ยงถามต่อ
“เซ้าซี้จริง บอกไปคนโง่ไม่เคยทำงานดีๆอย่างแกก็ไม่รู้เรื่องหรอก รำคาญ”
พูดจบสุพัฒนาก็เดินเข้าสำนักงานไป บัวเกี๋ยงมองตามแล้วเบ้ปากไล่หลังทันที

ประตูสำนักงานเปิดออก สุพัฒนาเดินเข้ามาแล้วดึงกุญแจที่ใช้ไขประตูออก เธอเดินไปที่โต๊ะของนิพนธ์แล้วเปิดคอมพิวเตอร์ ระหว่างรอเครื่องเปิดสุพัฒนาก็เอากุญแจไขลิ้นชักแล้วหยิบ Flash Drive ออกมาเสียบเครื่องเพื่อเปิดไฟล์
สุพัฒนาเริ่มเปิดแฟ้มที่นริศราถือมาวางก่อนหน้าแล้วยิ้มอย่างพอใจ เธอลงมือทำอะไรบางอย่างต่อไป

บัวเกี๋ยงยืนเฝ้าอยู่ที่หน้าสำนักงานแล้วเสียงโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น บัวเกี๋ยงมองเบอร์แล้วกดรับด้วยความไม่เต็มใจ
“ว่าไงพี่ผล.....โอ๊ย...ฉันก็ไม่มีเงินหรอก.....นี่เงินเดือนยังไม่ออกจะเอาที่ไหน”
ทันใดนั้น นิพนธ์ก็เดินมาที่ด้านหลังของบัวเกี๋ยง บัววเกี๋ยงมัวแต่คุยโทรศัพท์จึงไม่ทันเห็น นิพนธ์เดินเข้าสำนักงานไป
“แค่นี้นะ...ไว้เงินออกจะส่งไปให้” บัวเกี๋ยงกดวางสายอย่างอารมณ์เสีย

นิพนธ์เดินมาถึงประตู พอจับลูกบิดแล้วเห็นว่าประตูไม่ได้ล็อคเขาก็แปลกใจรีบเปิดเข้าทันที เขามองภาพตรงหน้าด้วยความแปลกใจ
“คุณเล็ก”









Create Date : 29 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 29 กุมภาพันธ์ 2555 9:26:07 น.
Counter : 287 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]