All Blog
ดุจดาวดิน ตอนที่ 2 (ต่อ)



ดุจดาวดิน ตอนที่ 2 (ต่อ)

ปานฟ้ากำลังขับรถมาเรื่อยๆ จังหวะหนึ่งเธอหันมามองภาคินที่เงียบขรึมไป

“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ว่าแต่เรื่องที่เราคุยค้างกันไว้เมื่อวาน”
“อ๋อ...คืออย่างนี้ค่ะ...ฉันกำลังตามหาหลานชายที่หายไป”
ภาคินหันมาสนใจ
“หลานชาย”
“ค่ะ...เป็นลูกชายของพี่ปานเดือนชื่อทินภัทร...”

เฟื่องแก้วเดินมาถึงหน้าห้องภาคิน มองนาฬิกาข้อมือตัวเอง ลังเลก่อนยกมือจะเคาะประตูแต่ยกค้างเพราะเสียงบุญทิ้งดังมา
“พี่ภาคินยังไม่กลับเข้ามาเลยครับ”
เฟื่องแก้วหันไปมองเห็นบุญทิ้งหอบกล่องดินสอ กล่องสีหลายกล่องพร้อมกระดาษวาดรูปยืนอยู่
“แล้วนี่จะเอาอุปกรณ์วาดรูปไปไหนน่ะ หอบเป็นบ้าหอบฟางเชียว เดี๋ยวก็ตกเลอะเทอะหมดหรอก ซนเหมือนกันนะเรา” เฟื่องแก้วถามอย่างหงุดหงิด
“ผมเปล่าซนนะครับ แค่จะเอาไปให้เพื่อนๆ ลองฝึกวาดกันก่อนวันจริงนะครับพี่แก้ว”
เฟื่องแก้วงงๆ
“ฝึกทำไมกัน พูดยังกับว่าจะไปประกวดที่ไหนกันอย่างนั้นแหละ”
“อ้าวนี่พี่แก้วไม่รู้เรื่องเหรอครับ ก็พี่ภาคินจะพาพวกเราไปวาดรูปประกวดที่ห้างสรรพสินค้าของพี่ฟ้าไงครับ”
เฟื่องแก้วพยักหน้าเข้าใจพึมพำ น้ำเสียงดีขึ้น
“อ๋อ...ที่แท้คุณภาคินไปกับคุณปานฟ้าเรื่องนี้เอง โธ่เอ๊ย...คิดมากไปได้”
เฟื่องแก้วขำตัวเอง หันมาลูบหัวบุญทิ้งอย่างอารมณ์ดี
“มา...ให้พี่ช่วยนะจ๊ะ...เอ๋ว่าแต่จะวาดรูปอะไรกันดีล่ะ ไม่เป็นไรเดี๋ยวพี่ช่วยคิดก็แล้วกัน”
เฟื่องแก้วดึงของในมือบุญทิ้งไปช่วยถือยิ้มแย้ม บุญทิ้งมองแล้วเกาหัวตัวเองอย่างงงๆ

รถก้องภพกำลังจอดติดไฟแดง วิมลวรรณบ่นอย่างหงุดหงิด
“มันจะติดอะไรกันนักกันหนานะ เดี๋ยวก็ไปประชุมไม่ทันกันพอดี”
“ที่จริงคุณแม่น่าจะใช้รถที่บ้านนะครับ ไม่น่าให้ผมขับมาให้เลย เซ็งชะมัด”
“แหมตาภพ...เวลาขอเงินแม่ไม่เห็นบ่นแบบนี้เลย”
ก้องภพหัวเราะขำ แล้วก็หัวเราะค้างเมื่อเห็นรถปานฟ้าขับผ่านมาจากอีกฝั่ง ปานฟ้ากำลังคุยกับภาคิน สองคนหัวเราะกัน ก้องภพตาเหลือกตกใจมาก
“มองอะไรลูก...”
ก้องภพหันกลับมาหงุดหงิด
“ปานฟ้าครับแม่...ทำไมถึงมากับไอ้ภาคินได้”
วิมลวรรณตกใจ
“ฮ้า...ลูกมองผิดหรือเปล่า มันจะเป็นไปได้ยังไง”
“แต่มันเป็นไปแล้วนี่แม่...โธ่เว้ย”
ก้องภพหงุดหงิดจนเผลอตบลงไปที่แตรรถเสียงดังลั่นขึ้นมา แท็กซี่คันหน้าโมโหลงมาโวย
“รถมันติดไฟแดงไม่เห็นเหรอไอ้โง่ บีบทำไมว่ะ”
ก้องภพฉุนมาก กดแตรซ้ำเปิดกระจกตะโกนกวนสุดๆ
“รถฉันฉันจะกดแกจะทำไม”
“อ้าวพูดหมาๆแบบนี้ แน่จริงลงเลยสิไอ้หนู”
ก้องภพทำท่าจะลงไป วิมลวรรณต้องทั้งดึงทั้งห้ามชุลมุนวุ่นวาย
“ไม่เอานะตาภพ นั่นไฟเขียวแล้วไปเถอะลูก อย่าเอาทองไปลู่กระเบื้องเลย...ไปสิก้องภพแม่บอกให้ออกรถไงล่ะ”
ก้องภพเหยียดยิ้มกวนสุดๆ ก่อนจะหักรถออกไปอีกทาง ปล่อยให้แท็กซี่ตะโกนด่าลั่นถนน

รถปานฟ้ามาจอดที่หน้ามูลนิธิ ภาคินลงมาแล้วเดินอ้อมด้านคนขับ ปานฟ้ากดกระจกลง
“ผมจะลองประสานกับตำรวจให้ คิดว่าหมวดตุลย์น่าจะช่วยได้เยอะ”
“ขอบคุณมากนะค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
“อย่าลืมพาเด็กๆไปร่วมกิจกรรมนะคะ”
“ครับ...กิจกรรมดีๆแบบนี้ผมไม่ลืมแน่...ขับรถดีๆนะครับ”
ปานฟ้ายิ้มก่อนจะออกรถไป ภาคินมองตามจนรถปานฟ้าลับไป จึงเดินเข้าไปในมูลนิธิไป

ภาคินเห็นเฟื่องแก้วกำลังดูแลบุญทิ้งและเด็กๆวาดรูป ท่าทางเด็กๆมีความสุข ภาคินมองอย่างพอใจ บุญทิ้งเงยหน้าจากรูปที่กำลังวาดหันไปทักภาคิน
“พี่ภาคินกลับมาแล้วเหรอครับ”
เฟื่องแก้วรีบหันไปมองแล้วลุกขึ้นอย่างดีใจ
“คุณภาคิน...”
“เด็กๆวาดรูปเป็นยังไงบ้างแก้ว”
“ก็วาดใช้ได้กันทุกคนนะคะ...แต่มีอยู่คนหนึ่งวาดได้ดีมากเลยค่ะขนาดที่แก้วคิดว่า ถ้าไม่ได้ที่หนึ่งก็ต้องที่สองละคะ”
ภาคินแปลกใจ
“ขนาดนั้นเชียว...ใครกันน้า”
เฟื่องแก้วเดินไปที่บุญทิ้งๆยิ้มๆ ภาคินเดินไปดูจับหัวบุญทิ้งโยก
“เรานะเหรอไอ้หนูไหนดูสิ...พี่แก้วเค้าพูดเกินความจริงหรือเปล่า”
ภาคินเห็นรูปที่บุญทิ้งกำลังระบายสี เป็นรูปแม่กำลังกอดลูก มีตัวหนังสือโย้เย้เขียนไว้ใต้ภาพ
“ไม่มีอ้อมกอดไหน จะอบอุ่นเท่าอ้อมกอดของแม่”
ภาคินอึ้งนิ่งไป

ภาคินหยิบรูปในกระเป๋าเงินซึ่งเป็นรูปตอนเด็ก ในรูปเขากำลังยิ้มอยู่ในอ้อมกอดของแม่แต่กัญญาหันหลังไม่เห็นหน้า เขานั่งมองอย่างเศร้ามาก พึมพำเบาๆ
“แม่ครับ...ผมไม่รู้ว่าทำไมแม่ถึงทิ้งผมไป แต่ผมอยากเจอแม่เหลือเกิน”
ช่วงเวลาเดียวกันนั้น กัญญาอยู่ในห้องพักเล็กๆ กำลังมองรูปภาคินที่ได้มาจากป้านุ่ม กัญญาเช็ดน้ำตา
“ลูกแม่...”
เสียงเคาะประตู พร้อมกับเสียงเรียกของคนในคณะดังขึ้น
“แม่กัญญากินข้าว...”
กัญญารีบเก็บรูปลูกชายลงกล่องขนมปังเก่าๆซ่อนไว้ใต้ตู้เสื้อผ้า ก่อนจะตะโกนบอกไป
“จ้ะ...ไปเดี๋ยวนี้แหละจ๊ะ”

ปานฟ้ายืนมองป้ายกระดาษประชาสัมพันธ์ เชิญชวนเด็กๆ มาร่วมกิจกรรมวาดรูป ตั้งอยู่ ใกล้ๆ บันไดเลื่อนภายในห้างสรรพสินค้า เธอพยักหน้าพอใจหันมาคุยกับพนักงานที่ยืนรออยู่ข้างหลัง
“ใช้ได้...มีทุกชั้นหรือเปล่า”
“ค่ะ...เราติดในลิฟต์ทุกตัวด้วยค่ะคุณปานฟ้า”
“ดีจ้ะ...แล้วเรื่องสถานที่ตกลงจัดชั้นสองใช่มั้ย”
“ค่ะ”
ปานฟ้าพอใจเดินตรวจงานไปพร้อมกับพนักงาน กนั้นได้เดินกลับมาที่ห้องทำงาน เลขาหน้าห้องรีบลุกขึ้นบอก
“คุณปานฟ้าคะ มีแขกมารอพบอยู่ในห้องค่ะ”
ปานฟ้าแปลกใจ
“ใคร...”
“คุณก้องภพค่ะ”
ปานฟ้าถอนใจเบื่อๆ
“เธอไม่ได้บอกเขาเหรอว่าฉันไม่ว่าง เธอก็รู้นี่ว่าอีกสิบห้านาทีฉันต้องเข้าประชุม”
เลขาหน้าเสีย
“ดิฉันบอกแล้วค่ะ แต่คุณก้องภพบอกว่ามีเรื่องสำคัญมาก ต้องคุยกับคุณปานฟ้าให้ได้ค่ะ ดิฉันก็...”
ปานฟ้าตัดบท
“เอาล่ะ...ฉันเข้าใจแล้ว”
ปานฟ้าเปิดประตูเข้าไปอย่างข่มใจเต็มที่ ก้องภพหมุนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานปานฟ้าหันมาทันทีที่ได้ยินเสียงประตูเปิด ปานฟ้าฝืนยิ้มตามมารยาท
“มีอะไรด่วนกับฉันเหรอคะภพ เดี๋ยวฉันต้องเข้าประชุม”
ก้องภพลุกขึ้นถามห้วนๆ
“เมื่อตอนบ่ายคุณไปไหนมา ปานฟ้าชะงัก ก่อนจะหัวเราะเหมือนขำทั้งๆที่หน้าเรียบเฉยมาก
“อ๋อ...เพิ่งรู้ว่าฉันจะไปไหนมาไหน ต้องรายงานคุณด้วยเหรอคะ”
ก้องภพไม่สน เสียงแข็งกว่าเดิม
“ถ้าคุณไปกับคนอื่นผมไม่ว่า แต่นี่คุณไปกับไอ้ภาคิน...”
ปานฟ้าไม่พอใจ
“กรุณาสุภาพหน่อยค่ะก้องภพ คุณภาคินเขาเป็นพี่คุณนะ”
“ผมไม่เคยนับญาติกับมัน”
เสียงโทรศัพท์มือถือปานฟ้าดังขัดจังหวะ ปานฟ้าดูเบอร์แล้วรีบรับ
“ค่ะพี่รุทธิ์...อะไรนะคะ ค่ะฟ้าจะกลับบ้านเดี๋ยวนี้”
ปานฟ้าวิ่งไปที่โต๊ะคว้ากระเป๋า จะวิ่งออกจากห้อง ก้องภพเข้ามาขวาง
“เดี๋ยวสิฟ้า...เรายังคุยกันไม่รู้เรื่อง”
ปานฟ้าจ้องก้องภพเสียงจริงจังมาก
“สำหรับฉันตอนนี้ ไม่มีอะไรสำคัญมากไปกว่าพี่เดือนแล้วค่ะ”
ปานฟ้าวิ่งออกไป ทิ้งให้ก้องภพหันรีหันขวางอย่างฉุนมาก สุดท้ายเดินไปกวาดนิตยสารบนโต๊ะรับแขกตกกระจายเกลื่อน ก่อนจะทิ้งตัวนั่งอย่างหงุดหงิด
“โธ่เว้ย...”

ปานฟ้าวิ่งเข้ามาในบ้านอย่างรีบร้อน ตรงมาที่สายอุษา อนิรุทธิ์ที่รออยู่อย่างกระวนกระวาย ป้าแก้วนั่งหน้าซีดอยู่มุมหนึ่ง
ปานฟ้าจับมือสายอุษาหน้าซีดเผือดน้ำเสียงร้อนรน
“จะทำยังไงดียัยฟ้า...โธ่แม่เดือนของแม่”
“ใจดีๆไว้นะคะคุณแม่ ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นคะ”
สายอุษาหันไปมองอนิรุทธิ์ ที่ร้อนใจไม่แพ้กันเป็นเชิงให้เล่า
“พี่ก็เพิ่งกลับมาครับ ป้าแก้วแกอยู่กับคุณเดือนเป็นคนสุดท้าย บอกว่าเห็นคุณเดือนหลับ แกก็เลยออกไปเข้าห้องน้ำ พอกลับเข้ามาก็ไม่เห็นคุณเดือนแล้ว”
ปานฟ้าหันไปมองป้าแก้ว
“ทีแรกป้าก็เข้าใจว่าเธอลงมาเดินเล่นค่ะ แต่หาจนทั่วแล้วก็ไม่มี” ป้าแก้วทำท่าจะร้องไห้ “ป้าขอโทษค่ะ...ขอโทษจริงๆที่ดูแลคุณเดือนไม่ดี ทั้งๆที่คุณๆก็สั่งไว้แล้วว่าไม่ให้ทิ้งเธอไปไหน”
“ช่างเถอะป้า ไม่ใช่ความผิดของป้าหรอก”
ปานดาวรีบแทรกอย่างหมั่นไส้
“ทำไมจะไม่ผิด...ผิดมากเชียวแหละแบบนี้มันสมควรไล่ออก”
ป้าแก้วสะดุ้ง หน้าซีด
“ป้าแก้วแกเป็นแค่คนใช้ แต่แกก็คอยดูแลพี่เดือนมาตลอด ตั้งแต่พี่เดือนไม่สบาย แล้วพี่ดาวละคะ พี่ดาวเป็นพี่แท้ๆวันๆฟ้าก็ไม่เห็นพี่ทำอะไร ทำไมไม่เคยมาช่วยดูแลพี่เดือนบ้าง ถ้าพี่ดาวสนใจใส่ใจพี่เดือนบ้าง พี่เดือนก็คงไม่หายไปหรอกค่ะ”
ปานเดือนโต้อย่างเหลืออด ปานดาวโมโหพูดเสียงดัง
“เอ๊ะ...ยัยฟ้านี่เธอว่าฉันเหรอ”
“ฟ้าไม่ได้ว่าแต่ฟ้าพูดความจริง พี่เดือนไม่สบายขนาดนี้ ฟ้าไม่เคยเห็นพี่ดาวจะรู้สึกรู้สมอะไร ดีแต่คอยพูดย้ำแต่ว่าพี่เดือนเป็นบ้า”
“ก็แล้วมันบ้าจริงมั้ยล่ะ”
สายอุษาทนไม่ไหว
“พอ...พอทีเถอะ ยัยดาวถ้าลูกไม่ห่วงน้อง ก็กลับเข้าห้องตัวเองไปซะ ส่วนฟ้ากับพ่อรุทธิ์ก็รีบช่วยกันออกตามหายัยเดือนเถอะ อย่ามัวแต่เถียงกันอยู่เลย”
“แล้วนี่คุณพ่อว่ายังไงคะ”
“แม่ไม่ได้บอกเพราะคุณพ่อหลับอยู่...แม่กลัวโรคหัวใจกำเริบขึ้นมาอีก”
“ดีแล้วค่ะ...ถ้าอย่างนั้น อย่าให้คุณพ่อรู้ว่าพี่เดือนหายไป”
ปานฟ้าหันไปทางอนิรุทธิ์
“แยกกันไปแล้วกันนะคะพี่รุทธิ์...ถ้าใครได้เรื่องยังไงส่งข่าวด้วย”
“ครับ...”
ปานฟ้ากับอนิรุทธิ์ พากันวิ่งออกไปอย่างรีบร้อน สายอุษาถอยไปทรุดนั่งอย่างหมดแรง
ปานดาวบ่นต่อ...
“คุณแม่คะ...ยัยฟ้าชักจะเอาใหญ่แล้วนะคะ พูดจากับดาวไม่มีความเกรงอกเกรงใจ คุณแม่ต้องจัดการให้ดาวนะคะ”
สายอุษามองหน้าปานดาวนิ่งๆ ก่อนจะพูดเรียบๆ
“เวลานี้แม่ไม่อยากฟังเรื่องอะไรทั้งนั้น แก้วพาฉันขึ้นข้างบนที”
ป้าแก้วลุกเข้ามาประคองสายอุษาพาขึ้นบันไดไปช้าๆ ปานดาวมองตามขึ้นไปอย่างไม่พอใจ

ภูวดลรออยู่ในห้องอย่างร้อนใจ เห็นปานดาวเปิดประตูเข้ามาหน้าตาบูดบึ้งก็เข้าไปถาม
“เป็นยังไงบ้างคุณดาว...มีใครสงสัยอะไรมั้ย”
ปานดาวเดินผ่านไปนั่งที่เตียง ค่อนข้างแรงเสียงเหี้ยม
“รู้มั้ยภู...ฉันไม่เคยเสียใจสักนิดเดียว ในสิ่งที่ฉันทำกับนังเดือน ไม่ว่าจะกับลูกของมันหรือกับตัวมัน”
ภูวดลแอบยิ้ม ก่อนจะเดินมานั่งตรงหน้าจับมือปานดาวขึ้นมาจูบ
“คุณแม่คุณคงพูดอะไร ให้คุณสะเทือนใจอีกละสิ”
ปานดาวน้ำตาคลอ
“บางทีนะ...บางทีฉันก็เคยคิดเล่นๆว่า ฉันอาจไม่ใช่ลูกคุณพ่อกับคุณแม่ก็ได้ ทำไมคะภูแค่ฉันเรียนหนังสือไม่เก่ง เพราะฉันไม่ชอบเรียน แค่ฉันต้องออกจากมหาลัยกลางคัน เพราะฉันได้พบรักแรกของฉันคือคุณเนี่ย ฉันผิดตรงไหนเหรอคะ”
ภูวดลลูบมือปลอบอ่อนโยน
“ที่รัก...คุณไม่ผิดเลยสักนิดเดียว”
ปานดาวพล่ามต่ออย่างเจ็บใจ
“หึ...นังเดือนกับนังฟ้ามันดีกว่าฉันตรงไหน แค่นังเดือนมันจบเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง นังฟ้ามันจบจากนอก แล้วเป็นไงนังเดือนก็ไม่เห็นจะได้ผัววิเศษตรงไหน ทำเป็นขยันทำงานโธ่เอ๊ยก็อยากจะได้สมบัตินั่นแหละ”
“ใช่...ผมนะเป็นคนไม่ชอบประจบสอพลอ ไม่อย่างนั้นผมก็ไปทำงานที่ห้างแล้ว พอผมไม่ไปทำงานคุณพ่อ คุณแม่คุณก็กลับไม่ชอบหน้าผมอีก ผมบอกตรงๆว่าผมนะทำตัวไม่ถูกเลย”
ภูวดลเช็ดน้ำให้ปานดาว แล้วกระซิบถาม
“ว่าแต่ว่าตอนคุณเข้าไปในห้องปานเดือนนะ ไม่มีใครเห็นแน่น่ะ”
ปานดาวพยักหน้า นึกถึงเหตุการณ์ก่อนที่ปานเดือนจะหายไป

ปานดาวเดินมาตามทางเดินชั้นบน ชะงักเมื่อเห็นป้าแก้วกำลังออกมาจากห้องปานเดือนพอดี เธอรีบหลบแอบข้างเสาต้นใหญ่ รอจนป้าแก้วลงไปข้างล่าง ปานดาวยิ้มร้ายกาจมองไปที่ห้องปานเดือน แล้วรีบเดินไปที่หน้าห้อง มองซ้ายขวาไม่เห็นใคร เปิดประตูเข้าไป
ปานดาวค่อยๆย่องเข้าไปที่เตียงซึ่งปานเดือนหลับอยู่ เธอมองน้องสาวอย่างเกลียดชัง พึมพำเบาๆ
“ลูกแกก็ไปตั้งนานแล้ว แกยังจะมาอยู่เป็นมารทำไมกัน...ตั้งแต่แกไม่สบาย คุณพ่อคุณแม่ก็ยิ่งประคบประหงมเอาใจใส่ดูแลแก ยังกับไข่ในหินเชียวนะ...แกเกิดมาโชคดีจริงๆปานเดือนไม่ว่าจะอยู่ในสภาพไหนก็มีแต่คนรุมรัก...”
ดางตาปานดาววาวโรจน์ด้วยความเกลียด ค่อยๆนั่งลงข้างๆ เขย่าตัวกระซิบกระซาบ
“เดือน...ปานเดือนตื่นเถอะ...เดือน”
ปานเดือนงัวเงียลืมตา ขยับลุกขึ้นมองปานดาวแบบงงๆ
“มาปลุกฉันทำไม”
ปานดาวยิ้มพูดอ่อนหวาน
“เธออยากพบลูกไม่ใช่เหรอ”
ปานเดือนเปลี่ยนเป็นกระตือรือร้น
“ใช่ฉันอยากพบลูก...”
“อยากพบลูก ก็ออกไปตามหาลูกสิ”
ปานเดือนนิ่งคิด ปานดาวยุต่อ
“ไปสิ...ออกไปเลย...ไปตามหาลูก ป่านนี้ลูกเธอรอแย่แล้วล่ะ”
ปานเดือนพยักหน้าพูดคนเดียว
“ใช่...ใช่...ลูกรอฉัน...ฉันต้องออกไปหาลูก”
ปานดาวสะใจมาก…ภูวดลโอบปานดาวเข้ามากอด เมื่อฟังเรื่องที่เธอเล่า
“เมียผมเนี่ยเก่งจริงๆ”
ปานดาวยิ้มรับคำชมอย่างพอใจ ด้วยท่าทางของผู้ชนะ ภูวดลลอบมองเมียรักด้วยสีหน้าและแววตาที่ดูถูก ไม่มีร่อยรอยของความชื่นชมเหลืออยู่เลย

ปานฟ้ารถไปเห็นผู้คนเดินขวักไขว่ริมถนน เธอชะลอรถให้ช้าลง พยายามมองหาปานเดือน
“พี่เดือน...พี่ไปไหนเนี่ย”
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ปานฟ้ากดบลูทูธ
“ค่ะพี่รุทธิ์...ฟ้าก็ยังไม่เจอเลย...ฟ้าก็คิดไม่ออกนะคะว่าพี่เดือนจะไปที่ไหนได้ พี่เดือนไม่ได้ออกไปไหนมาไหนมานานแล้วนะค่ะ ค่ะ...ค่ะ...”
ปาฟ้ากดปิดการติดต่อ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีก เธอกดรับ
“ว่าไงคะพี่รุทธิ์...” ปานฟ้าแปลกใจ “คุณภาคิน”
ปานฟ้าฟังปลายสายอย่างตื่นเต้น

สายอุษานั่งอยู่ข้างเตียง มองเติมบุญที่นอนหลับท่าทางอ่อนโรยอยู่บนเตียงอย่างเศร้าๆ ป้าแก้วนั่งอยู่ที่พื้นใกล้ๆ
“นี่ถ้าหาแม่เดือนไม่เจอ คุณผู้ชายมิยิ่งทรุดหนักเหรอแก้ว”
“ทำใจดีๆไว้ก่อนนะคะคุณขา คนดีๆอย่างคุณเดือนพระต้องคุ้มครองค่ะ”
“โธ่ลูกหนอลูกสติสตังก็ยิ่งไม่ดีอยู่ ป่านนี้จะไปถึงไหนก็ไม่รู้”
สายอุษายกมือไหว้
“คุณพระคุณเจ้าช่วยคุ้มครอง ให้ลูกเดือนกลับมาอย่างปลอดภัยด้วยเถิด...”
สายอุษาถอนใจเฮือกใหญ่ อย่างเป็นกังวล

ปานฟ้าขับรถเข้ามาจอดอย่างเร็ว เธอลงมาเห็นภาคินยืนรออยู่ก่อนแล้วก็รีบวิ่งเข้ามาหา
“คุณภาคิน...ไหนคะพี่เดือน”
“ใจเย็นๆครับคุณฟ้า...”
ภาคินพาปานฟ้าไปแอบมอง ปานเดือนที่นั่งคุยกับบุญทิ้งอย่างมีความสุข ปานฟ้ามองอย่างแปลกใจ
“พี่เดือนมาหาบุญทิ้งเหรอคะ”
“ผมก็ไม่ทราบครับ ว่าเธอจงใจมาหาหรือว่าบังเอิญ”
ขณะเดียวกัน อนิรุทธิ์พรวดพราดเข้ามาหอบเหนื่อย
“ฟ้า...คุณเดือนล่ะ”
อนิรุทธิ์ชะงักมองไปที่ปานเดือนกับบุญทิ้ง เขามองอย่างรันทดใจมากก่อนจะพึมพำเบาๆ
“โธ่คุณเดือน...”
“ผมว่าอย่าทำให้เธอรู้สึกตกใจจะดีกว่านะครับ” ภาคินแนะ
อนิรุทธิ์พยักหน้ารับ
“ผมเห็นด้วย...ว่าแต่คุณภาคินเจอคุณเดือนได้ยังไงกันครับ”
ภาคินเล่าให้ฟังว่าก่อนหน้านี้ ภาคิน เฟื่องแก้ว กำลังเดินอยู่กับเด็กๆ ในบริเวณมูลนิธิ
“จำไว้นะ...ก่อนนอนทุกคนอย่าลืมช่วยพี่แก้ว ดูปิดไฟให้เรียบร้อยด้วยล่ะ อาศัยลุงชิดคนเดียวไม่ไหว แกแก่แล้วหูตาไม่ค่อยดี” ภาคินสั่ง
เด็กๆรับคำ เฟื่องแก้วยิ้มแย้ม
“คุณภาคินไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ”
“ถ้ามีเรื่องอะไรโทรหาผมได้ทุกเวลานะแก้ว”
“ค่ะ”
ภาคินมองไปเห็นบุญทิ้ง จ้องเขม็งไปที่ประตูหน้ามูลนิธิ
“มองอะไรนะบุญทิ้ง”
บุญทิ้งไม่ตอบ ภาคินหันไปมองตามอย่างแปลกใจแล้วเขาก็ต้องประหลาดใจ เมื่อพบว่า ปานเดือนยืนเกาะประตูรั้วมูลนิธิ มองเข้ามาหน้าตายินดีมาก
ปานฟ้าฟังอย่างแปลกใจมาก ถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“พี่เดือนไม่ได้โวยวายอาละวาดเลยหรือคะ”
“ไม่เลยครับ...ตอนผมเดินไปเปิดประตูให้เธอ เธอก็เข้ามาปกติ เพียงแต่ว่าเธอสนใจแต่บุญทิ้งคนเดียว ผมก็เลยให้บุญทิ้งคุยเป็นเพื่อนเธอ แล้วก็โทรตามคุณนั่นแหละครับ”
เฟื่องแก้วเผลอพูดออกมา
“ท่าทางก็เหมือนคนปกตินะคะ”
ภาคินหันมามอง เฟื่องแก้วนึกได้พูดเสียงอ่อย
“ขอโทษค่ะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ” ปานฟ้ายิ้มๆ
อนิรุทธิ์ค่อยๆเดินเข้าไปหาเรียกเบาๆ
“คุณเดือน...”
ปานเดือนหันมาแล้วยิ้มให้
“เรียกฉันเหรอ”
อนิรุทธิ์ข่มความสงสาร เดินเข้าไปประคอง
“ครับ...ผมมารับคุณกลับบ้าน”
ปานเดือนพยักหน้าเศร้าๆพูดกับบุญทิ้ง
“ฉันต้องกลับบ้านแล้ว...หนูจะกลับไปกับฉันได้มั้ย”
บุญทิ้งจับมือปานเดือน
“ผมไปกับคุณไม่ได้หรอกครับ แต่คุณมาหาผมที่นี่เมื่อไรก็ได้”
ปานเดือนตื่นเต้น
“จริงเหรอ...หนูไม่หนีไปไหนใช่มั้ย ฉันมาหาหนูได้ใช่มั้ย”
ปานฟ้าเช็ดน้ำตารีบเข้ามาช่วยเสริม
“ค่ะพี่เดือน...พี่เดือนจะมาเมื่อไร บอกฟ้ากับพี่รุทธิ์นะคะ เราสองคนจะพาพี่เดือนมาเอง พี่เดือนอย่ามาคนเดียวแบบวันนี้นะค่ะ”
ปานเดือนก้มหน้าจ๋อยๆ
“ก็พี่กลัวโดนดุ”
อนิรุทธิ์เข้ามากอดไว้
“ไม่มีใครดุคุณหรอกครับ...วันนี้กลับก่อนเถอะนะบุญทิ้งจะได้พักผ่อน”
ปานเดือนลังเล บุญทิ้งรีบพูด
“ผมเป็นเด็ก เด็กต้องไม่นอนดึกครับ เดี๋ยวผมไม่สบาย คุณเดือนไม่ห่วงผมเหรอครับ”
ปานเดือนตกใจรีบลุกขึ้น ดึงบุญทิ้งให้ลุกด้วย
“ก็ได้จ้ะ...ฉันกลับก่อนก็ได้ หนูจะได้รีบนอนอย่าเป็นอะไรไปน่ะ”
ปานเดือนกอดบุญทิ้งสะอื้น
“อย่าไม่สบายนะ...ไม่สบายแล้วเดี๋ยวตาย...ฉันไม่อยากให้หนูจากฉันไป”
ทุกคนสะเทือนใจ รวมทั้งบุญทิ้งน้ำตาคลอรับคำ
“ครับ...ผมจะไม่เป็นอะไร คุณเดือนกลับบ้านเถอะนะครับ”
ปานเดือนพยักหน้าแต่ไม่ยอมปล่อยบุญทิ้ง อนิรุทธิ์ค่อยๆแกะมือปานเดือนออกอย่างอ่อนโยนประคองปานเดือนจะพาเดินไป แล้วชะงักหันมามองบุญทิ้งยิ้มให้
“ขอบใจมากนะบุญทิ้ง”
บุญทิ้งยกมือไหว้
“สวัสดีครับ”
อนิรุทธิ์พยักหน้า ประคองปานเดือนที่เดินไปแล้วก็ค่อยหันกลับมามองบุญทิ้งตลอดทาง ภาคิน ปานฟ้า เฟื่องแก้ว ก็พากันเดินตามไปส่ง บุญทิ้งน้ำตาไหล พยายามเช็ดแต่น้ำตาก็ไม่หยุดไหล บุญทิ้งหมุนตัวกลับวิ่งเข้าไปในมูลนิธิ

ภาคินกับปานฟ้า ยืนมองจนรถของอนิรุทธิ์ออกไป ปานฟ้าถอนใจหันมามองภาคิน
“ฉันต้องขอบคุณคุณอีกครั้งนะคะ”
“ดูท่าทางคุณเหนื่อยๆ”
เฟื่องแก้วไม่พอใจรีบพูด
“งั้นก็น่าจะรีบกลับไปพักน่ะค่ะ”
“ค่ะ...คุณสองก็เหมือนกัน ยังไงฉันก็ต้องขอโทษแทนพี่เดือนด้วยนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
ปานฟ้าฝืนยิ้ม ภาคินรีบพูด
“อย่าคิดมากเลยครับ...แค่คุณปานเดือนปลอดภัยก็ดีแล้ว”
ปานฟ้ารู้สึกโหวงๆแต่ฝืนไว้
“ค่ะ...ฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ”
“ครับ...”
ปานฟ้าจะเดินไปที่รถแต่กลับเซ ภาคินตกใจรีบประคอง
“คุณปานฟ้า...”
ปานฟ้าเป็นลมหมดสติพับอยู่คาอ้อมแขนของเขา ภาคินตกใจ
“คุณปานฟ้า...คุณปานฟ้า”
ภาคินเป็นห่วงปานฟ้ามาก เฟื่องแก้วมองภาพตรงหน้าอย่างขัดใจ

ภาคินอุ้มปานฟ้ามานอนอยู่ที่โซฟาตัวยาว จ่อยาดมที่จมูกไว้ แล้วเรียกอย่างเป็นห่วง
“คุณฟ้า...ปานฟ้า...”
ปานฟ้ายังนอนนิ่ง ภาคินปัดผมที่หล่นลงมาปรกหน้าเบาๆ จ้องหน้าเธอนิ่งอยู่อย่างนั้น เฟื่องแก้วถือแก้วยาหอมเข้ามามองอย่างไม่พอใจ แกล้งปิดประตูดังๆ ภาคินรู้สึกตัวถอยออกมา พูดแก้เก้อ
“ยังไม่ฟื้นเลยแก้ว...หรือว่าเราจะพาคุณปานฟ้าไปหาหมอ”
“ไม่ต้องมั้งคะ...เธอคงตกใจบวกกับเหนื่อยมากเลยเป็นลม”
ขณะเดียวกันนั้นปานฟ้าค่อยๆรู้สึกตัว ลืมตาขึ้นสายตาพร่าเลือนเห็นหน้าภาคินเบลอแล้วค่อยๆชัดขึ้น เธอตกใจขยับลุกจะนั่ง ภาคินรีบบอก
“ช้าๆ ครับเดี๋ยวจะหน้ามืดไปอีก”
ปานฟ้านั่งจนได้ หันมาเห็นเฟื่องแก้วอยู่ด้วย สีหน้าดีขึ้น
“ฉัน...ฉันเป็นอะไรไปคะเนี่ย”
“คุณเป็นลมไปนะครับ”
ปานฟ้ามองรอบๆเห็นว่าอยู่ในห้อง
“แล้วฉัน...มาอยู่นี่ได้ยังไงคะ”
เฟื่องแก้วข่มความไม่พอใจตอบเสียงห้วนๆ
“ก็คุณภาคินอุ้มคุณมานะสิคะ...นี่ค่ะยาหอม...ทานแล้วจะได้ดีขึ้น”
เฟื่องแก้วยื่นแก้วยาหอมให้ ปานฟ้ารับมาหน้าแดงหลบสายตาภาคินที่กำลังมองมาอย่างเป็นห่วง

ภาคินอาสาเป็นคนขับรถให้ปานฟ้านั่งข้างๆ ขณะขับอยู่บนท้องถนน ปานฟ้าหันไปมองหน้าภาคินแล้วเอ่ยขึ้น
“ฉันบอกว่าขับกลับเองได้คุณก็ไม่เชื่อ”
“ผมเชื่อครับ แต่อยากให้แน่ใจว่าคุณจะถึงบ้านแน่ไม่ไปเป็นลมที่ไหนอีก”
ปานฟ้านิ่งไปหันไปมองภาคิน
“ขอบคุณนะคะ”
ภาคินหันมายิ้มตอบ สองคนสบตากันปานฟ้าหน้าแดงรีบหันมองออกไปนอกหน้าต่าง เสียงเฟื่องแก้วดังขึ้นในความคิด ‘ก็คุณภาคินอุ้มคุณมานะสิคะ’

ปานฟ้ารู้สึกเก้อเขิน
ภาคินขับรถเข้ามาจอดรอที่หน้าประตูรั้ว ประตูเปิดออกโดยอัตโนมัติ รถจอดนิ่งเครื่องยนต์ดับลง ทั้งสองลงมาจากรถ ปานฟ้าเดินอ้อมไปด้านคนขับ

“ลำบากคุณแย่เลย”
“ไม่เป็นไรครับ...คุณรีบเข้าบ้านเถอะ”
“ขอบคุณจริงๆค่ะ”
“ครับ...”
ภาคินเปิดประตูรถให้เธอเข้าไปนั่งแล้วปิดประตู ก้มมองอยู่ ปานฟ้าเปิดกระจก
“หลับฝันดีนะครับ”
ปานฟ้ายิ้มรับ
“ค่ะ...”
ปานฟ้าขับรถเข้าบ้าน ตามองที่กระจกส่องหลัง เห็นภาคินยังยืนมองอยู่จนลับสายตาไป เธอยิ้มอย่างมีความสุข

ภาคินนั่งรถแท็กซี่มาที่หน้าบ้าน แล้วเปิดประตูใหญ่เดินเข้าไป ขณะที่ใกล้ถึงตัวบ้าน จู่ๆก้องภพโผล่พรวดออกมาเสียงดัง
“ไอ้ภาคิน”
ภาคินไม่ทันระวังตัว โดนก้องภพพุ่งเข้ามาชกจนเซถลาล้มลงไป ก้องภพถลาเข้าไปกระชากขึ้นมา
“วันนี้ ฉันจะเอาเลือดชั่วของแกออกมา”
ก้องภพชกอีก ภาคินเซไป
“เป็นบ้าอะไรขึ้นมาคุณก้องภพ คุณมาชกผมทำไม”
ก้องภพชี้หน้า
“แกไม่ต้องมาถาม วันนี้ฉันจะสอนให้ไอ้เด็กกำพร้าอย่างแกรู้จักเงาหัวของตัวเองเสียบ้าง”
ก้องภพพุ่งเข้าใส่ ภาคินหลบแล้วสวนกลับ ก้องภพถลาเป็นนกปีกหัก
“ผมต่างหากที่จะสอนให้คุณรู้ว่า ผมไม่ใช่ลูกไล่ของคุณ”
ก้องภพพุ่งเข้าใส่ภาคิน สองคนสู้กันอย่างไม่มีใครยอมใคร ป้านุ่มผ่านมาเห็นตกใจรีบวิ่งไปด้านใน

ในห้องรับแขก วิมลวรรณกระชากหนังสือพิมพ์ออกจากมืออานนท์
“นี่คุณ...อย่ามาทำเป็นทองไม่รู้ร้อนน่ะ”
อานนท์ถอนใจรำคาญ
“แล้วคุณจะให้ผมทำยังไง”
“อ้าว...คุณก็ต้องเรียกไอ้ภาคินมาถามให้รู้เรื่องสิ”
“นี่คุณหญิง ภาคินเขาโตแล้วการที่จะไปไหนมาไหนกับใคร ก็เป็นสิทธิ์ส่วนตัวของเขา แล้วอีกอย่างหนูปานฟ้าเขาก็ยังไม่ได้เป็นอะไรกับตาภพ สองคนนั้นเขาอาจจะติดต่อกันเรื่องงานก็ได้”
“เป็นไปไม่ได้”
“จะได้หรือไม่ได้คุณจะต้องมาวุ่นวายอะไร เจ้าภพมันยังไม่เห็นเดือดร้อนสักหน่อย”
ป้านุ่มวิ่งหน้าตื่นเข้ามา
“คุณขาแย่แล้วค่ะ”
วิมลวรรณตวาด
“อะไร”
“คุณภาคินกับคุณก้องภพ ต่อยกันใหญ่แล้วค่ะ”
ทั้งอานนท์และวิมลวรรณตะลึง

ก้องภพเซถลาล้มไปที่สนามอย่างหมดสภาพ ภาคินมองแล้วทำท่าจะเดินหนีไป ก้องภพเจ็บใจที่สู้ไม่ได้ตะโกนด่า
“ไอ้ลูกไม่มีแม่...ไอ้ลูกเมียน้อย...ไอ้ลูกผู้หญิงใจง่าย”
ภาคินชะงักแค้นมาก หันกลับมาย่างสามขุมเข้าหา ก้องภพตกใจรีบลุกขึ้นจะวิ่งหนี ภาคินเข้ามากระชากแล้วชกเต็มแรง ก้องภพเซถลาไปล้มที่เท้าวิมลวรรณ
“ว้าย...ก้องภพ...ก้องภพลูกแม่” วิมลวรรณชี้หน้าภาคิน “ไอ้สารเลว...ไอ้บ้า นี่แกกล้าดียังไงมาทำลูกภพของฉันเสียหน้าตาแตกยับเยินอย่างนี้...หา”
ภาคินยืนนิ่งหันไปมองอานนท์ ที่มองมาอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
ทั้งหมดเข้าไปในห้องนั่งเล่น ก้องภพใส่ความภาคินทันที
“ผมแค่ถามมันดีๆ มันก็เล่นงานผมแบบไม่ทันให้ตั้งตัวเลยครับ”
วิมลวรรณแค้นมาก
“คุณอานนท์คุณต้องจัดการขั้นเด็ดขาดกับมันนะ ไม่อย่างนั้นฉันไม่ยอมจริงๆด้วย”
อานนท์ถอนใจมองภาคินที่ยืนนิ่ง
“ไหนเล่าความจริงมาสิภาคิน”
วิมลวรรณรีบพูดแทรกขึ้น
“ไม่ต้องถามอะไรแล้วเห็นอยู่ชัดๆว่า มันริทำตัวเป็นนักเลงเป็นอันธพาล แบบนี้มันจะอยู่ร่วมบ้านกันไม่ได้แล้ว”
อานนท์ตวาดเสียงดัง
“หยุดทีเถอะ...ให้ภาคินพูดก่อนได้มั้ยแล้วผมจะตัดสินเองว่าใครมันผิดใครมันถูก เอ้าภาคินพูดมา”
ภาคินมองก้องภพอย่างเจ็บใจ ก้องภพหลบตาหันไปสำออยกับวิมลวรรณ
“โอ๊ยเจ็บจังครับแม่...”
วิมลวรรณโอ๋ลูก
“จ๊ะๆๆเดี๋ยวแม่จะประคบให้น่ะลูกน่ะ”

อานนท์กลับเข้ามาที่ห้องนอน วิมลวรรณเดินตามเข้ามาในห้องโวยวายเสียงดัง
“คุณทำอย่างนี้ได้ยังไง คุณให้ท้ายมันแบบนี้ อีกหน่อยมันคิดอยากจะตบฉันมันก็คงตบเข้าให้”
อานนท์หันขวับกลับมา
“คนอย่างภาคินถ้าได้ลงมือตบผู้หญิงสักคนละก็ แสดงว่าผู้หญิงคนนั้นสมควรโดนตบจริงๆ”
วิมลวรรณแทบเต้น
“นี่คุณ...คุณเข้าข้างมันมากไปแล้วน่ะ”
“การที่เจ้าภพมันไปหาเรื่องชกต่อยภาคินก่อน แถมพูดจาดูถูกแม่เขาน่ะ ผมว่ามันยังน้อยเกินไปเสียด้วยซ้ำ ถ้าเป็นผม...ผมก็จะทำอย่างที่ภาคินทำนั่นแหละ และผมก็เชื่อถ้าใครมาด่าคุณเจ้าภพมันก็คงไม่ยอมเหมือนกัน”
วิมลวรรณโมโหจนพูดไม่ออก
“จบได้แล้วนะคุณหญิง...ผมจะนอน”
อานนท์เดินไปที่เตียงหันตะแคงไปอีกทาง วิมลวรรณยืนมองอย่างอัดอั้นแทบกระอัก

ป้านุ่มใช้ผ้าประคบที่บริเวณหน้า ภาคินสะดุ้ง
“เจ็บเหรอคะ...คุณหนูขอโทษนะคะ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับป้า...ผมดีขึ้นมากแล้วป้านุ่มไปนอนเถอะ”
ป้านุ่มถอนใจพูดฉุนๆ
“คนอะไร้...พาลจริงๆ นี่ยังดีนะคะ ที่คุณผู้ชายท่านเป็นคนยุติธรรม”
ภาคินนิ่ง ป้านุ่มรีบพูดต่อ
“เห็นมั้ยคะ คุณพ่อนะรักคุณหนูนะ”
“แต่ไม่รักแม่ผมใช่มั้ยป้านุ่ม”
“ทำไมคุณหนูพูดอย่างนั้นละคะ”
“ถ้าพ่อรักแม่...ทำไมแม่ถึงหนีไปละครับ...แล้วทำไมเวลาผมถามถึงแม่ พ่อถึงไม่ยอมบอกอะไรเลย”
“คุณหนูคะ...บางทีการที่คุณท่านไม่พูดถึงคุณแม่ของคุณหนู ก็ไม่ได้หมายความว่าท่านไม่รักไม่คิดถึงนะค่ะ แต่บางทีถ้าเราพูดถึงแล้วมันเจ็บปวด สู้ไม่พูดเสียยังจะดีกว่า”
ภาคินอึ้งไป คิดตามคำพูดของป้านุ่มอย่างไม่แน่ใจ

เช้าวันใหม่...ก้องภพขับรถออกมาเห็นภาคินเดินอยู่ข้างหน้า ก้องภพเหยียดยิ้มแล้วเหยียบคันเร่งเฉี่ยว ภาคินกระโดดหลบมองอย่างไม่พอใจ แต่ก็ข่มใจเดินต่อ ก้องภพจอดรถเสียงดัง รอจนภาคินเดินมาถึงจึงกดกระจกลงถามห้วนๆ
“ไอ้กาฝาก...ทีหลังมาเดินขวางถนนแบบนี้ จะชนซะให้ขาหักเลย”
ภาคินนิ่งไม่โต้ตอบ ก้องภพหัวเราะสะใจก่อนจะออกรถไปอย่างรวดเร็ว ภาคินข่มใจจะเดินต่อแต่ก็ต้องชะงัก เพราะรถของอานนท์มาจอดข้างๆ อานนท์กดกระจกลงเรียกอ่อนโยน
“ขึ้นรถสิภาคิน พ่อจะไปส่ง”
ภาคินลังเลก่อนจะตอบอย่างสุภาพ
“ขอบคุณครับ แต่ผมไปเองได้”
อานนท์ทำเสียงดุ
“พ่อสั่งให้ขึ้นรถ”
อานนท์ปิดกระจกนั่งรอ ภาคินจำใจต้องเดินอ้อมไปขึ้นอีกด้าน รถออกไป วิมลวรรณยืนมองอย่างไม่พอใจมาก

วิมลวรรณเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น ป้านุ่มกำลังจัดแจกันบนโต๊ะสะดุ้งหันมาทำท่าจะถอยออกไป วิมลวรรณตวาดแว๊ด
“ทำไม..เห็นฉันยังกับเห็นผีต้องตกใจถึงขนาดนั้นเชียวเหรอนังนุ่ม”
ป้านุ่มรีบพูดนอบน้อม
“เปล่านะเจ้าคะ”
วิมลวรรณเข้ามานั่ง
“แกไม่ต้องมาโกหก..ฉันรู้ว่าแกคิดยังไง แกคงคิดอยู่ในใจมาตลอดละสิว่าฉันนะใจร้ายใช่มั้ย”
ป้านุ่มอึ้ง วิมลวรรณพูดเสียงขมขื่น
“แกมันไม่เคยมีผัว แกไม่รู้หรอกว่าความรู้สึกของคนที่ถูกผัวนอกใจนะมันเป็นยังไง”
ป้านุ่มพูดเสียงอ่อน
“ใช่ค่ะ...อิฉันอาจจะไม่รู้ แต่ถ้าเป็นตัวเองฉันก็จะคิดเสียว่า มันเป็นกรรมตั้งแต่ชาติก่อน จะไม่ก่อกรรมทำเข็ญให้มันเป็นเวรเป็นกรรมโยงกันไปมาไม่รู้จบ อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ว่าเวรต้องระงับด้วยการไม่จองเวรไงคะคุณ”
วิมลวรรณหันขวับ
“นังบ้า...ฉันไม่ได้ให้แกมาเทศน์สั่งสอนฉันน่ะ...ไป๊ จะไปทำอะไรก็ไป”
นุ่มอ่อนใจเดินออกไปจากห้อง วิมลวรรณเจ็บแค้น
“สำหรับฉัน ใครทำให้ฉันเจ็บมันต้องเจ็บกว่าฉัน เป็นร้อยเป็นพันเท่า”

รถอานนท์วิ่งมาท่ามกลางการจราจรแออัด ในท้องถนนยามเช้าของกรุงเทพ
“เมื่อคืนก่อนทำไมไม่กลับบ้าน มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
“ไม่มีครับ พอดีที่มูลนิธิยุ่งๆผมก็เลยค้างที่นั่น”
อานนท์พยักหน้า
“ทำไมไม่เอารถที่บ้านไปใช้ รถเรามีตั้งหลายคัน พ่อเคยบอกแล้วว่า...”
ภาคินรีบพูดตัดบท
“ผมไม่ชอบขับรถครับ”
อานนท์อึ้งไป ถอนใจแบบอ่อนใจ
“งั้นก็ตามใจ แต่ถ้าต้องการอะไรขอให้บอกพ่อ”
ภาคินหันมามองอานนท์ ถามไม่แน่ใจ
“จริงเหรอครับ”
อานนท์รีบตอบกระตือรื้อร้น
“จริงสิ...รู้มั้ยภาคิน ว่าพ่อไม่สบายใจเลย ที่ลูกไม่ยอมรับความช่วยเหลืออะไรจากพ่อเลย แม้นแต่เรื่องเรียนลูกก็สอบชิงทุนเอาเอง ให้พ่อได้ให้อะไรลูกบ้างสิ”
“ผมอยากรู้ว่า...แม่ของผมอยู่ที่ไหน แล้วทำไมแม่ถึงทิ้งผมไป”
อานนท์อึ้งนิ่งไปอย่างเจ็บช้ำ
“ได้มั้ยครับพ่อช่วยบอกผมหน่อย”
“พ่อบอกลูกได้แต่เพียงว่า...แม่ของลูกเป็นผู้หญิงที่พ่อรักมากที่สุด ลูกรู้ไว้แค่นั้นก็พอแล้ว...”
ภาคินมองอานนท์อย่างแปลกใจ ที่น้ำเสียงอานนท์เศร้าสะเทือนใจมาก

ปานฟ้าเข้ามาหาปานเดือนในห้องนอน ปานเดือนจับมือน้องสาวแล้วอ้อนวอน
“นะ..ช่วยพาพี่ไปหาเด็กคนนั้นหน่อยนะจะให้ไหว้ก็ได้นะ”
ปานเดือนทำท่าจะไหว้จริงๆ ปานฟ้ารีบห้าม
“อย่าทำอย่างนี้สิคะพี่เดือน”
อนิรุทธิ์มองปานเดือนอย่างสะเทือนใจ
“ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ก็ร่ำร้องอ้อนวอนจะให้พี่พาไปหาบุญทิ้งให้ได้”
ปานเดือนนึกได้
“ใช่แล้วบุญทิ้ง...ทินภัทร...ลูกแม่...นะพาไปหน่อยขอร้องล่ะ”
ปานฟ้าข่มความสะเทือนใจยิ้มแย้ม
“ตกลงค่ะ”
ปานเดือนดีใจเหมือนเด็ก
“จริงๆนะ...เธอใจดีจัง”
ปานเดือนโผเข้ากอดน้องสาว ปานฟ้าพยักหน้ากับอนิรุทธิ์ แล้วดันตัวพี่สาวนออกพูดอย่างขึงขัง
“แต่ต้องเป็นบ่ายๆนะคะ เพราะฟ้าต้องไปเคลียร์งานก่อน”
“งานยุ่งมากเหรอฟ้ามีอะไรให้พี่ช่วยมั้ย” อนิรุทธิ์ถามอย่างเป็นห่วง
“ไม่หรอกค่ะ...แต่ตอนเที่ยงฟ้ามีนัดทานข้าวกับสปอนเซอร์ ที่จะร่วมจัดงานประกวดวาดภาพของเด็กๆไงคะ บ่ายๆคงเสร็จ”
ปานเดือนรีบพูด
“ได้ๆๆบ่ายๆก็ได้...พี่จะแต่งตัวรอบ่ายแน่นะ”
“แน่ค่ะ...ฟ้ารับปากแล้วก็ต้องพาไปแน่ๆ”
ปานฟ้าลุกขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นฟ้าไปทำงานก่อน...พี่รุทธิ์ละคะจะไปพร้อมกันเลยมั้ย”
“ฟ้าไปก่อนเถอะ...พี่จะอยู่กับคุณเดือนอีกสักพักพอดีช่วงเช้าไม่มีอะไร”
ปานฟ้าพยักหน้า หันไปยิ้มกับปานเดือนที่โบกมือให้ยิ้มแย้มกำชับ
“อย่าลืม...อย่าลืมนะ”
ปานฟ้ายิ้มเศร้าใจสงสารปานเดือนมาก

ธัญวิทย์นั่งห้อยเท้าอยู่ที่เตียง พิมนั่งคุกเข่าใส่ถุงเท้าให้...
“คุณธัญวิทย์ตั้งใจเรียนนะคะ โตขึ้นจะได้เก่งๆแล้วก็ฉลาดๆ”
ธัญวิทย์ชักเท้าหนีโมโห
“นี่แกจะว่าฉันโง่เหรอ”
พิมตกใจ คว้าเท้าไว้ลูบปลอบ
“ไม่ใช่ค่ะ...พิมแค่อยากให้คุณธัญวิทย์นะเก่งกว่าคนอื่นๆ”
ธัญวิทย์ทำท่าผยอง
“ฉันไม่จำเป็นต้องเก่งหรอกเพราะฉันมีเงิน คุณแม่บอกว่าเงินนะซื้อได้ทุกอย่าง”
ปานดาวเข้ามาในห้อง
“ถูกแล้วล่ะลูก เงินนะซื้อได้ทุกอย่างจริงๆ”
ธัญวิทย์กระโดดลุกขึ้นวิ่งไปกอดแม่ พิมมองตามอย่างไม่ค่อยพอใจ
“แม่ครับ...วันนี้วันหยุดผมอยากไปเที่ยวบ้าง ไม่ต้องไปเรียนพิเศษสักวันไม่ได้เหรอครับนะแม่นะ”
ปานดาวก้มมองลูกชายอย่างรักใคร่
“ก็ได้...วันนี้แม่อารมณ์ดี เราไปเที่ยวกันดีกว่าเดี๋ยวชวนคุณพ่อไปด้วยดีมั้ย”
ธัญวิทย์กระโดดหอมแก้มแม่
“ไชโย...แม่ใจดีที่สุดในโลกเลย งั้นกินข้าวเช้าแล้วไปกันเลยนะ”
ปานดาวพยักหน้า ธัญวิทย์วิ่งออกไปจากห้อง พิมลุกขึ้นพูดไม่ค่อยพอใจ
“ที่จริงคุณดาวน่าจะให้คุณธัญวิทย์ไปเรียนพิเศษนะคะ แกยิ่งเรียนไม่เก่งอยู่ด้วย ผลสอบครั้งที่แล้วก็เกือบจะตกตั้งหลายวิชา”
ปานดาวถามเสียงเรียบ แต่เย็นชาจนน่ากลัว
“ฉันขอความเห็นแกเหรอ...”
พิมอึ้ง ปานดาวจ้องหน้าพิมเขม็ง
“ลูกฉัน...ฉันรู้ว่าฉันต้องทำยังไง แกมีหน้าที่แค่คอยดูแลรับใช้คุณธัญวิทย์ ไม่ได้มีหน้าที่ออกความเห็น อย่าลืมเสียสิ”
พิมโกรธแต่ข่มอารมณ์ ก้มหน้านิ่งเหมือนสำนึก ปานดาวเหยียดยิ้มก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป พิมเงยหน้ามองปานดาว ด้วยสายตาชิงชัง
“ลูกฉัน...ลูกฉัน...เชอะนังแม่กาเอ๊ย...”

ปานดาว ภูวดล ธัญวิทย์เดินคุยกันมาอย่างอารมณ์ดี ทั้งหมดชะงักที่เห็นสายอุษา
นั่งรออยู่ที่โต๊ะแล้ว ป้าแก้วยืนรออยู่ใกล้ๆ พอเห็นทั้งสามคน ป้าแก้วก็รีบไปหยิบโถข้าวมาตัก ทั้งสามรีบเข้ามานั่งอย่างสำรวม
“ขอโทษค่ะคุณแม่...ดาวนึกว่าคุณแม่จะทานบนห้องเสียอีก”
“ไม่เป็นไร แม่ก็เพิ่งลงมา”
ปานดาวเอาใจ
“เห็นคุณแม่ทำใจได้อย่างนี้ดาวก็เบาใจค่ะ...คุณแม่ไม่ต้องห่วงนะคะถ้าวันนี้ยังไม่เจอตัวยัยเดือน เดี๋ยวดาวจะให้ภูไปแจ้งความเองใช่มั้ยคะภู”
ภูวดลรีบรับคำ
“ครับคุณแม่ ผมตั้งใจอยู่แล้วแต่รอให้ครบยี่สิบสี่ชั่วโมงเสียก่อน ไม่อย่างนั้นตำรวจเขาก็ไม่รับแจ้ง”
“แจ้งทำไม...”
“อ้าว...ก็ยัยเดือน”
“พ่อรุทธิ์เขาพาตัวกลับมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”
ปานดาวและภูวดลตกใจ มองหน้ากันอย่างมีพิรุธ ภูวดลเผลอไอ ธัญวิทย์หันไปถามอย่างไม่รู้เรื่อง
“อะไรติดคอเหรอฮะพ่อ”
ภูวดลสะดุ้ง สายอุษากับป้าแก้วหันไปมอง ภูวดลรีบคว้าแก้วน้ำดื่มรวดเดียว ปานดาวทำเนียนถามไม่รู้ไม่ชี้ทั้งที่หน้าเจื่อนๆ
“แล้วยัยเดือนเขาบอกมั้ยคะว่าเอ้อ...ทำไมเขาถึงออกไปจากบ้าน”
สายอุษาส่ายหน้า ตักอาหารพูดไปเรื่อยๆ
“ดาวก็รู้ว่าน้องเป็นยังไง ถึงซักไปก็พูดไม่รู้เรื่อง แค่กลับมาอย่างปลอดภัยแม่ก็พอใจแล้ว คราวหน้า คราวหลังก็ต้องระวังให้มากขึ้นนะแก้ว”
ป้าแก้วรีบรับคำ
“ค่ะคุณผู้หญิง อิฉันจะไม่ทิ้งคุณเดือนไว้คนเดียวอีกแล้วค่ะ”
ปานดาวแอบถอนหายใจโล่งอกสบตากับสามี ภูวดลรีบเปลี่ยนเรื่อง
“แล้วนี่คุณฟ้ายังไม่ตื่นเหรอครับ...สงสัยเมื่อคืนคงจะเหนื่อยมาก”
“ยัยฟ้าไปทำงานแต่เช้าแล้ว พูดถึงยัยฟ้าแม่ละสงสารไหนจะต้องทำงานแทนพ่อ ไหนจะต้องวิ่งมาดูแลยัยเดือน เห็นแล้วเหนื่อยแทน”
ปานดาวแอบทำหน้าเซ็ง สบตากับภูวดลบุ้ยใบ้ ปานดาวแกล้งยิ้มอ่อนหวาน
“ดาวก็เห็นใจยัยฟ้านะคะ ที่จริงดาวก็อยากไปช่วยที่ห้างฯแต่กลัวยัยฟ้าเขาจะหาว่าดาวไปจุ้นจ้าน”
สายอุษาชะงักพูดนิ่งๆ
“คิดยังไงขึ้นมาถึงอยากไปช่วยงานน้อง อยู่มาตั้งนานแม่ไม่เห็นเธอเคยอยากทำงาน เห็นแต่คอยรอรับเงินเดือนเท่านั้น”
ปานดาวอึ้ง
“ก็เพราะไม่เคยมีใครเห็นความสำคัญของดาวนะสิคะ...อย่างว่าแหละนะก็ดาวมันไม่มีปริญญานี่ ทุกคนก็เลยมองข้ามหัวดาวไปหมด”
สายอุษาชะงัก รวบช้อนถอนใจหันไปบอกป้าแก้ว
“ฉันอิ่มแล้วแก้ว...เดี๋ยวเอาผลไม้ขึ้นไปให้ที่ห้องด้วยนะ”
“ค่ะคุณ...”
ปานดาวหน้าตึง มองแม่ที่ลุกไปจากโต๊ะอย่างโมโห เธอรวบช้อนเสียงดัง ธัญวิทย์ถามอย่างไม่รู้เรื่อง
“คุณแม่อิ่มแล้วเหรอครับ”
ปานดาวไม่ตอบลุกออกไป ธัญวิทย์มองภูวดลงงๆ
“ลูกกินต่อเถอะ พ่อจะไปดูแม่เขาเอง”
ภูวดลรีบลุกตามไป เหลือธัญวิทย์นั่งกินข้าวอยู่คนเดียวอย่างไม่สนใจใคร

ปานดาวยืนกอดอกอย่างเจ็บใจ ภูวดลเข้ามาโอบด้านหลังพูดปลอบโยน
“ไม่ต้องเสียใจไปหรอกครับคุณดาว”
ภูวดลจับเมียรักให้หันมา ปานดาวเชิด
“ฉันไม่เคยเสียใจ ให้กับคนที่บ้านนี้ไปนานแล้วล่ะ”
“ดีครับ...คุณต้องเข้มแข็งอย่างนี้สิที่รัก”
ปานดาวเกาะแขนอ้อน
“เราไปเที่ยวกันดีกว่า ฉันเบื่อบ้านเต็มที”
ภูวดลโอบ
“ผมรู้แต่คุณต้องอดทนสิ ผมว่าไม่เลวเลยนะที่คุณบอกว่าจะไปช่วยงานปานฟ้านะ”
“ฉันก็พูดไปอย่างนั้นแหละ เรื่องทำงานนะไม่เคยอยู่ในสมองฉันหรอก”
“แต่ผมกลับคิดตรงข้ามกับคุณ”
ปานดาวมองภูวดลอย่างไม่เข้าใจ
“ยิ่งสถานการณ์เป็นแบบนี้ ผมว่าเราจะนอนใจไม่ได้ น้องสาวคุณคนนี้ไม่ใช่เล่นนะคุณน่าจะเข้าไปดูแลกิจการบ้าง เกิดน้องสาวคุณยักย้ายถ่ายเท เราจะได้แก้เกมทัน”
“จริงสิทำไมฉันคิดไม่ถึงเลย”
“ก็คุณมีผมคอยช่วยคิดอยู่แล้วไง”
ธัญวิทย์วิ่งเข้ามา
“ไปกันหรือยังครับคุณพ่อคุณแม่”
ปานดาวมองลูก
“แต่วันนี้ฉันรับปากลูกไว้ว่าจะพาไปเที่ยว”
ภูวดลยิ้มร่าเริง
“ไม่มีปัญหา...วันนี้ผมจะพาคุณกับลูกเที่ยวให้สนุกเลย ไปลูก”
ภูวดลโอบธัญวิทย์เดินไป ปานดาวคล้อยตามคำยุยงของสามี
“ฉันจะไม่มีวันยอมแพ้แกหรอก...นังปานฟ้า”

ปานฟ้ากำลังเซ็นเอกสารง่วนอยู่ในห้องทำงานแล้วส่งให้เลขาที่ยืนรอ เลขารีบบอก
“คุณปานฟ้าจะเข้ามาอีกมั้ยคะ”
“คงไม่ล่ะ...ทานกลางวันกับคุณอนุสรณ์ แล้วฉันจะกลับบ้านเลย”
“คุณอนุสรณ์ท่านใจดีจังนะคะเห็นแจ้งว่าจะเอาทั้งนม น้ำผลไม้แล้วก็ขนมมาแจกเด็กๆทั้งหมดนะค่ะ”
“แบบนี้สิถึงจะเรียกว่ารู้จักตอบแทนสังคม กิจการของเขาถึงเจริญเอาๆไงล่ะ แต่ก่อนแค่ผลิตนมนะ เดี๋ยวนี้ครบทุกอย่างเลยที่เกี่ยวกับเด็กๆนะ”
ปานฟ้าคว้ากระเป๋าลุกขึ้น
“ฉันไปล่ะ”
“ค่ะ...”
ปานฟ้าเดินเร็วๆออกไปมีเลขาเดินตามไปด้วยก่อนจะปิดประตูห้องเรียบร้อย

ปานฟ้าขับรถเลี้ยวออกไป ครู่หนึ่งก้องภพขับรถมาอีกทางเลี้ยวเข้ามาอย่างรวดเร็วอย่างอารมณ์ของคนขับได้ดี
หน้าห้องปานฟ้า ...เลขากำลังคุยโทรศัพท์ตกใจ ที่ก้องภพเดินเร็วๆผ่านหน้าไป เลขารีบวางสายอย่างร้อนรน
“แค่นี้ก่อนนะเธอ...”
เลขาลุกขึ้นวิ่งไปดักหน้าก้องภพ
“เดี๋ยวค่ะคุณ”
ก้องภพมองเหยียดๆ
“หลีกไป...ฉันมีเรื่องจะเคลียร์กับเจ้านายเธอ”
“คุณปานฟ้าไม่อยู่ค่ะ”
ก้องภพตวาด
“โกหก...”
เลขาเจื่อนแล้วกลับโมโหบ้าง
“ฉันจะโกหกคุณทำไมคะ”
ก้องภพผลักเลขากระเด็นไป เปิดประตูเข้าไปอย่างแรง
“ฟ้า...”
ก้องภพไม่เห็นปานฟ้าในห้องก็ฉุนมากหันกลับมา เลขายิ้มสะใจ
“ดิฉันบอกคุณแล้ว”
“ปานฟ้าไปไหน”
“ดิฉันบอกไม่ได้หรอกค่ะ...ถ้าเจ้านายไม่ได้สั่ง”
ก้องภพข่มใจสุดๆ ชี้หน้าเลขาประมาณฝากไว้ก่อน ผละไปอย่างหงุดหงิดมาก

ก้องภพทุบพวงมาลัยรถอย่างฉุนสุดขีด
“ไปไหนว่ะ...หรือว่าไปกับไอ้ภาคิน”
ก้องภพคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาโทร สายไม่ว่าง เขาโมโหมาก
“คุยบ้าคุยบออะไรอยู่...เห็นสายซ้อนเข้าทำไมไม่รับ เธอจะหยามฉันมากไปแล้วนะปานฟ้า”
ก้องภพเจ็บใจสุดๆ ออกรถเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
ขณะเดียวกันนั้น...ภาคินพูดโทรศัพท์ยิ้มๆ
“บุญทิ้งคงดีใจมาก ดูท่าทางจะถูกชะตากับคุณปานเดือนซะด้วย”
ปานฟ้าคุยผ่านบลูทูธขับรถไปด้วย
“ค่ะ...ฉันก็ดีใจที่เห็นพี่เดือนมีความสุข...แล้วเจอกันนะค่ะ”
ปานฟ้าทำท่าจะกดตัดการติดต่อ ภาคินรีบพูด
“เดี๋ยวครับคุณฟ้า...เอ้อทานข้าวกลางวันให้อร่อยนะครับ”
ปานฟ้าขำ
“ค่ะ...”
ปานฟ้ากดตัดการติดต่อ หยิบโทรศัพท์มาดูพึมพำรำคาญ
“สายก้องภพ”
ปานฟ้าขับรถต่อไปไม่สนใจ

เฟื่องแก้วยืนมองเด็กๆ รวมทั้งบุญทิ้งช่วยกับทำความสะอาดเก็บกวาดใบไม้ คนที่โตหน่อยช่วยกันตัดหญ้า ภาคินเดินเข้ามาเฟื่องแก้วตกใจ
“คุณภาคินไปโดนอะไรมาคะ”
ภาคินยิ้มเจื่อนๆ
“ไม่เป็นไรนะนิดหน่อย...เด็กๆขยันกันดีจริงนะ”
เฟื่องแก้วยังสงสัย แต่ไม่กล้าซักต่อ
“ค่ะ...เห็นแล้วชื่นใจนะคะที่เด็กๆมูลนิธิเราไม่เกเรไม่เคยก่อเรื่องเหมือนที่อื่น”
ภาคินพยักหน้า มองที่บุญทิ้งที่กำลังกวาดใบไม้ผ่านมา
“บุญทิ้ง...”
บุญทิ้งหยุดหันมา เห็นภาคินกวักมือเรียกก็รีบวิ่งมาหา
“พี่ภาคินมีอะไรจะใช้ผมเหรอครับ เอ๊ะ...”
บุญทิ้งมองหน้าภาคินตกใจ ภาคินรีบพูด
“ไม่มีหรอก แต่จะบอกว่าเย็นๆคุณปานเดือนจะมาหา”
บุญทิ้งดีใจ
“จริงเหรอครับ”
ภาคินพยักหน้า เฟื่องแก้วรีบถาม
“จะมากับใครคะ”
ภาคินมองหน้า
“ถามทำไมเหรอ”
เฟื่องแก้วอึกอัก
“อ๋อ...ก็แก้วเห็นเธอไม่ค่อยสบาย ก็คงมาคนเดียวไม่ได้ไม่ใช่เหรอคะ”
“คุณปานฟ้าจะพามา” ภาคินมองบุญทิ้ง “บุญทิ้งคงไม่กลัวคุณปานเดือนใช่มั้ย”
“ไม่เลยครับ...”
ภาคินพยักหน้า เดินกลับไปที่ห้องทำงาน บุญทิ้งดีใจวิ่งไปกวาดใบไม้ต่อ เฟื่องแก้วพึมพำไม่พอใจ
“จะมาทำไมบ่อยๆ...พี่หรือน้องกันแน่ที่อยากมา”
เฟื่องแก้วสะบัดหันไป ตกใจที่เจอตุลย์ยืนยิ้มอยู่ด้านหลัง
“อุ๊ย...หมวดเนี่ย...ตกใจหมดทำไมมาเงียบๆ”
“ผมก็มาปกติธรรมดานี่น่า ไม่ได้ลอยมาแต่หัวสักหน่อย ว่าแต่เมื่อกี้ได้ยินบ่นพึมพำว่าใครมาบ่อยๆครับ”
เฟื่องแก้วตกใจแล้วรีบพูดใส่หน้า
“ว่าหมวดไง...ไม่รู้จะมาทำไมบ่อยๆไม่มีงานการทำเหรอ”
“เอ้า...งานเข้าเลยเราไงมาลงที่ผมล่ะเนี่ย”

เฟื่องแก้วสะบัดไปอย่างรำคาญ ตุลย์มองงงๆ












Create Date : 02 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2555 11:02:42 น.
Counter : 262 Pageviews.

0 comment
ดุจดาวดิน ตอนที่ 2


ดุจดาวดิน ตอนที่ 2

ภาคินกับสิริโสภา เดินคุยกันมาที่เบนซ์สปอร์ตคันหรู

“ขอบคุณมากนะโสภา ที่มาช่วยทำให้เด็กๆ สนุกและมีความสุข” ภาคินบอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“จ้า...เปลี่ยนจากคำขอบคุณ เป็นไปดินเนอร์หรูๆกันสักมื้อดีกว่ามั้ง”
“ผมไม่มีเงินมากขนาดนั้นหรอก แต่ถ้าเป็นก๋วยเตี๋ยวเรือละก็ ผมจะเลี้ยงคุณสักสิบชามเลยเป็นไง”
สิริโสภาแกล้งทำท่าจะเป็นลม
“เฮอะ...ดูพูดเข้า ยังกับคุณนะสิ้นไร้ไม้ตอกเสียเต็มประดา สมบัติพ่อคุณนะกินเข้าไปอีกสิบชาติก็ยังไม่หมดเลยมั้ง”
ภาคินหน้าเคร่งขึ้น
“คุณก็รู้ว่ามันไม่ใช่ของของผม อย่าพูดอีกเลยนะ”
สิริโสภาเข้ามาใกล้ๆ พูดด้วยอย่างจริงจัง
“ภาคิน...ฉันรู้ว่าคุณมีอุดมการณ์ที่แรงกล้า ถึงได้มาเป็นอาสาสมัครที่มูลนิธิเด็กเร่ร่อน แต่...”
“โสภา...”
ภาคินปรามเสียงจริงจัง โสภาชะงักหยุดพูดไปกะทันหัน แล้วยักไหล่
“โอเคไม่พูดก็ไม่พูด”
สิริโสภาเดินไปที่รถ หันกลับมาบอกก่อนจะเปิดประตู
“ถ้ามีอะไรจะให้ฉันช่วยก็บอกได้เลยนะ...”
ภาคินพยักหน้า
“ขับรถดีๆนะ”
“จ้ะ...บาย...”
สิริโสภาขึ้นรถ แล้วขับรถออกไป ภาคินหันหลังกลับเดินเข้าด้านใน

รถตู้ปานฟ้าขับสวนกับรถของสิริโสภา คนขับหันมาบอก...
“ข้างหน้านี่มีมูลนิธิเล็กๆ คุณปานฟ้าจะทำบุญที่นี่มั้ยครับ หรือจะให้ไปที่มูลนิธิอื่น”
ปานฟ้าชะเง้อมอง
“ที่นี่ก็ได้ ทำบุญกับมูลนิธิเล็กๆสิดี เขาคงต้องการความช่วยเหลือมากกว่า มูลนิธิที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว หรือพี่รุทธิ์ว่าไงคะ”
“พี่เห็นด้วยกับฟ้าจ๊ะ”
คนขับจอดลงหน้ามูลนิธิ แล้ววิ่งลงมาเลื่อนประตูให้ ปานฟ้าก้าวลงมาก่อน ถอดแว่นกันแดดอันใหญ่ออก มองเข้าไปที่ตึกของมูลนิธิ ยิ้มอย่างพอใจก่อนหันกลับไปที่รถ
“พี่รุทธิ์คะพาพี่เดือนลงมาเถอะคะ...”
อนิรุทธิ์ประคองปานเดือนลงจากรถ ปานเดือนมองรอบๆบริเวณอย่างเหม่อๆลอยๆ

ด้านใน...เฟื่องแก้ว กับตุลย์ช่วยเด็กๆเก็บข้าวของจากงานเลี้ยง
“หมวดไม่ต้องหรอกค่ะ เหนื่อยมาตั้งแต่เช้าแล้ว”
ตุลย์ยิ้มแย้ม
“ไม่เป็นไรครับช่วยกันจะได้เสร็จเร็วๆ”
สองคนชะงักเห็นปานฟ้า ปานดาว อนิรุทธิ์เดินเข้ามา เฟื่องแก้วรีบทักทาย
“สวัสดีค่ะ”
ปานฟ้ายิ้มรับ
“สวัสดีค่ะ...ฉันกับพี่สาวมาทำบุญนะคะ”
เฟื่องแก้วมองที่ทั้งสามคนไม่เห็นมีของอะไรมา ปานฟ้ารีบพูดต่อ
“คือฉันไม่ได้เตรียมของอะไรมาหรอกคะ แต่ตั้งใจจะมาบริจาคเป็นเงินคงไม่ขัดข้องใช่มั้ยคะ”
เฟื่องแก้วเข้าใจ
“ถ้าอย่างนั้นคงต้องเชิญคุณทั้งสามคน ที่ห้องด้านในเลยค่ะ”
เฟื่องแก้วหันไปทางตุลย์
“หมวดคะ ฉันฝากทางนี้หน่อยนะคะ”
“เชิญตามสบายครับผม”
เฟื่องแก้วหันมาทางปานฟ้า
“เชิญทางนี้ค่ะ”
“ค่ะ...”
เฟื่องแก้วกำลังจะเดินนำทั้งสามคนไป บุญทิ้งถือกล่องกระดาษผ่านมาถามเฟื่องแก้ว
“พี่แก้วครับ กล่องนี้จะให้เอาไปเก็บที่ไหนครับ”
สายตาทั้งหมดหันไปมองที่บุญทิ้ง ปานเดือนจ้องบุญทิ้งตาไม่กะพริบแล้วก็เบิกตาโต ก่อนจะวิ่งพรวดพราดเข้าไปคว้าตัวบุญทิ้ง จนกล่องกระเด็นตกแล้วกอดไว้แน่น ร้องเสียงดังอย่างคนดีใจสุดขีด
“ทินภัทรลูกแม่...ในที่สุดแม่ก็เจอลูก โธ่ลูกจ๋าลูกอยู่ที่นี่เอง ทินภัทร...ทินภัทร แม่คิดถึงลูกเหลือเกิน...”
ปานเดือดกอดบุญทิ้งพร่ำเพ้อแบบคนสติไม่ค่อยดี บุญทิ้งงงแต่ก็ยืนให้กอดนิ่งไม่ได้ขัดขืน เฟื่องแก้วตกใจ ในขณะที่อนิรุทธิ์เข้าไปพยายามแยกตัวปานเดือนออกมาแต่เธอไม่ยอม ปานฟ้าได้สติรีบขอโทษ
“ขอโทษนะคะเอ้อพี่สาวฉัน...คือลูกชายเธอหายไปนะคะก็เลยเข้าใจผิด คงคิดถึงลูก”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
ปานฟ้ารีบเข้าไปช่วยอนิรุทธิ์ที่กำลังปลอบอยู่
“คุณเดือนปล่อยเถอะเด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกของเรานะ”
ปานเดือนไม่ปล่อย แต่หันมาตวาดอนิรุทธิ์อย่างโมโห
“คุณพูดอะไรน่ะ...เดือนไม่ปล่อย เดือนเจอลูกแล้ว ทินภัทรไปกับแม่นะลูกกลับบ้านเรานะ”
“พี่เดือนคะ...ปล่อยเด็กก่อนเถอะคะเชื่อฟ้านะคะ...นะคะพี่เดือน”
เฟื่องแก้วเข้ามาช่วยแยกด้วยจนดึงตัว บุญทิ้งออกได้ ปานฟ้ากับอนิรุทธิ์จับปานเดือนไว้คนละข้าง ในขณะที่ปานเดือนอาละวาดโวยวายไม่ยอม
“ไม่...เอาลูกฉันมา...อย่าเอาลูกฉันไปอีกเลย...เอาลูกฉันคืนมา”
อนิรุทธิ์กระซิบปานฟ้า
“พี่ว่ากลับก่อนดีมั้ยฟ้า...อาการคุณเดือนกำเริบขึ้นมาอีกแล้ว”
ปานฟ้ารีบพยักหน้ากระซิบ
“ค่ะ...ก็ดีเหมือนกัน...” ปานฟ้ารีบหันไปบอกเฟื่องแก้ว “เอ้อฉันขอตัวกลับก่อนแล้วกันนะคะเรื่องทำบุญไว้ฉันจะมาใหม่อีกทีค่ะ”
“ค่ะ...ไม่เป็นไรค่ะ”
ปานเดือนมองเฟื่องแก้ว กำลังจะพาบุญทิ้งเดินหนีไปเธอสะบัดแขนจากอนิรุทธิ์จนหลุด แล้วหันมาผลักปานฟ้าเต็มแรง วิ่งไปกอดบุญทิ้งไว้แน่น ปานฟ้าเสียหลักเซไปจะล้ม ภาคินเข้ามารับไว้ในอ้อมแขนได้ทัน สองคนมองกันอย่างตกใจจำกันได้

ตุลย์ เฟื่องแก้ว บุญทิ้ง ยืนมอง ภาคินที่กำลังยืนคุยกับปานฟ้าที่รถตู้ ตุลย์โยกหัวบุญทิ้งเบาๆ
“ตกใจหรือเปล่าบุญทิ้ง ไม่มีอะไรแล้วล่ะ”
บุญทิ้งมองที่รถตู้
“ไม่ครับ...”
เฟื่องแก้วทำท่าขนลุก
“น่ากลัวจัง...เห็นหน้าตาท่าทางก็ดี๊ดี ไม่น่าเป็นคนบ้าได้เลย”
“แต่ผมว่าคุณคนนั้น แกน่าสงสารออกนะครับพี่แก้ว” บุญทิ้งแย้ง
“จ้ะก็น่าสงสารอยู่หรอก แต่คงต้องออกห่างๆ นี่ไม่รู้ว่าอาละวาดทำร้ายคนด้วยหรือเปล่า ความจริงถ้ามีอาการทางประสาทแบบนี้ก็ไม่น่าจะพาออกมาเลยนะ...ไปเถอะไปช่วยกันเก็บของต่อดีกว่า”
เฟื่องแก้วหันหลังเดินเข้าไปด้านใน ตุลย์ตามไปด้วย บุญทิ้งหันหลังแล้วชะงักจ้องมองไปที่รถตู้แล้วก็ตัดใจหันกลับ
ภาคินยืนคุยอยู่กับปานฟ้า ขณะที่อนิรุทธ์โอบปลอบปานเดือน ที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่บนรถ
“ฉันต้องขอโทษจริงๆนะคะ ที่จะมาทำบุญแต่กลับกลายเป็นมาทำความวุ่นวายให้”
“ไม่เป็นไรครับ...มันเป็นเหตุสุดวิสัยไม่มีใครโทษคุณหรอกครับ เอ้อ...ผมขอให้พี่สาวของคุณหายเร็วๆนะครับ”
ปานฟ้าฝืนยิ้ม
“ขอบคุณค่ะ...ไว้โอกาสหน้าฉันจะมาใหม่นะคะ”
ปานฟ้ากำลังจะขึ้นรถ ภาคินโพล่งออกไป
“กิ๊บของคุณ...”
ปานฟ้าชะงักหันมาถามงงๆ
“คะ...”
“เอ้อ...คือกิ๊บที่คุณฝากผมไว้”
ปานฟ้านึกได้
“จะบอกว่าทำหายไปแล้วใช่มั้ยคะ...ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
“เปล่าครับ...ผมยังเก็บไว้ให้อย่างดี”
ปานฟ้าอึ้งหน้าแดง
“เหรอคะ...ถ้าอย่างนั้นวันหน้าฉันจะแวะมาเอาค่ะ”
ปานฟ้ารีบขึ้นรถไป ภาคินเดินมาปิดประตูให้ อนิรุทธิ์ก้มหัวและยิ้มให้ ภาคินก้มหัวและยิ้มตอบ เขายืนมองจนรถลับสายตาไป

เมื่อกลับไปถึงบ้าน...ปานฟ้ากับอนิรุทธิ์พยายามจะพาปานเดือนลงจากรถ แต่ปานเดือนไม่ยอมโวยวายคร่ำครวญเสียงดัง
“ไม่...ไม่ไป...ปล่อยสิปล่อย...”
“พี่เดือนขา ถึงบ้านแล้วลงมาก่อนเถอะนะคะ”
“ไม่ปล่อยพี่...พี่จะไปหาลูก...พี่คิดถึงลูก”
ปานเดือนหันไปเขย่าตัวอนิรุทธิ์อ้อนวอน
“คุณคะ...พาฉันไปหาลูกหน่อยเถอะคะ...ฉันขอร้อง...ฉันคิดถึงลูกนะคะคุณ...นะคะ”
“ตกลงครับคุณเดือน ผมจะพาคุณไปหาลูก ลูกเราอยู่ข้างในไงครับลงมาก่อนนะ”
ปานเดือนตื่นเต้น
“ลูกเราอยู่ข้างในเหรอคะ”
“ครับลงมาก่อนนะ”
ปานเดือนพยักหน้าอย่างว่าง่ายรีบลงจากรถ ปานฟ้าถอนใจโล่งอก สองคนพากันประคองปานเดือนเข้าบ้าน ขณะเดียวกัน ปานดาวยืนมองอยู่ที่หน้าต่างชั้นบนของตัวตึก แล้วเดินมานั่งที่โซฟาในห้อง หัวเราะสะใจ ภูวดลที่นอนดูโทรทัศน์ ละสายตาหันมาถามอย่างแปลกใจ
“ขำอะไรคุณดาว”
ปานดาวยิ้มเยาะ
“ขำนังบ้า มันอาละวาดอีกแล้วนะสิ”
ภูวดลสนใจ
“กลับกันมาแล้วเหรอ”
ปานดาวพยักหน้า หมั่นไส้
“ริจะทำตัวเป็นนางเอก มันได้ใจถือว่าคุณพ่อรักมันอะไรๆก็มัน กับนังเดือนไม่เคยเห็นหัวฉันเลย”
ภูวดลทำหน้าเศร้า
“คงเป็นเพราะคุณ มาได้ผู้ชายต่ำต้อยอย่างผมเป็นสามีล่ะมั้ง ถ้าจะโทษก็คงต้องโทษที่ผมไม่ดี”
ปานดาวตกใจรีบเข้ามากอดภูวดล
“อย่าพูดแบบนี้อีกนะคะภู มันไม่เกี่ยวกับคุณสักนิด”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ปานดาวหันไปตวาด
“ใคร...”
“พิมเองค่ะ”
ปานดาวรีบไปเปิดประตูแล้วถามทันที...
“เจอตัวมันมั้ย”
พิมพยักหน้า ภูวดลรีบถาม
“ใช่ไอ้พ่วงจริงๆหรือเปล่า”
“ใช่สิ...ไอ้พ่วงตัวเป็นๆเลยล่ะ”
พิมเล่าถึงเหตุการณ์ที่เธอไปที่โรงพัก เธอไปที่ห้องคุมขัง เห็นพ่วงยืนพิงลูกกรงเซ็งๆอยู่
“ไอ้พ่วง...”
พ่วงหันมามองอยู่นานแล้วนึกได้
“นังพิม”
พิมมองซ้าย ขวา เข้ามาติดลูกกรง
“เออฉันเอง”
“นี่แกมาเยี่ยมข้าเหรอ แหมไม่คิดเลยว่าคนอย่างแกจะมีน้ำใจ นี่ข้าอยากกินเหล้าจังว่ะไปซื้อใส่ถุงมาทีสิ...ใส่น้ำแข็งมาด้วยนะตำรวจมันจะได้นึกว่าเป็นน้ำอัดลม”
“ตำรวจบ้านพ่อแกนะสิจะได้โง่จนดูไม่ออก นี่ฉันมานี่ไม่ได้มาเยี่ยมแก แต่จะมากำชับแกเรื่องไอ้เด็กคนนั้น”
“เด็กไหนวะ”
“ก็เด็กที่ฉันเอาไปขายให้แกไง จำไว้นะห้ามแกปูดเรื่องนี้กับตำรวจเด็ดขาด”
พ่วงทำท่านักเลง
“แกจะทำไมข้านังพิม”
“ฉันนะไม่ทำไมแกหรอก แต่เจ้านายฉันนะเขามีเงินล้นฟ้า เขาอาจจะจ้างใครสักคนมาติดคุกข้างๆแกแล้วก็เชือดแกแบบนิ่มๆก็ได้ถ้าแกปากโป้ง”
พ่วงหน้าถอดสี
“นังพิม...แกขู่ข้าเหรอ”
“ไม่ได้ขู่แต่เอาจริง”
พิมจ้องพ่วงอย่างน่ากลัวจนพ่วงหงอ
เมื่อเล่าให้ปานดาว กับภูวดลฟัง พิมยืนยันแข็งขัน
“รับรองค่ะมันไม่กล้าปากโป้งแน่ๆ”
ปานดาวยิ้มพอใจ
“ดี...เออแล้วมันบอกหรือเปล่าว่า ตอนนี้ไอ้ทินภัทรมันอยู่ไหน”
“มันก็ว่าขายไปแถวชายแดน ตั้งนานแล้วค่ะ”
ปานดาวหันไปยิ้มกับภูวดลอย่างพอใจ
“ต่อให้น้องสาวคุณ พลิกแผ่นดินหาก็ไม่มีทางเจอ”
“ใช่...ธัญวิทย์ลูกเราเท่านั้นที่จะเป็นทายาทของอัครดำรงกุลเพียงคนเดียว”
ทั้งสามคนยิ้มอย่างพอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

ป้าแก้วกำลังตั้งโต๊ะอาหาร ธัญวิทย์เดินเข้ามาเกาะโต๊ะมองเซ็งๆ
“ข้าวต้มอีกแล้ว...นี่แก...ไม่มีอะไรกินดีกว่านี้แล้วเหรอ”
ป้าแก้วอึ้ง ก่อนจะหันมาตอบอย่างเกรงใจ
“ก็คุณท่านไม่ค่อยสบาย คุณปานเดือนก็ทานได้แต่ของอ่อนๆ คุณผู้หญิงก็เลยให้ป้าทำข้าวต้มนะคะ”
ธัญวิทย์กระชากเก้าอี้อย่างแรง กระแทกตัวนั่งลง
“คนนั่นก็เจ็บ คนนี้ก็ป่วย ทำไมไม่ตายๆกันไปเสียเลยล่ะ”
ป้าแก้วยกมือทาบอกตกใจ
“ตายจริงคุณหนู...ทำไมพูดอย่างนั้นละคะคนป่วยนะไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคุณตากับคุณน้าของคุณหนูเองนะคะ ทีหลังคุณหนูอย่าพูดแบบนี้อีกนะคะ”
พิมเข้ามาตะคอกป้าแก้วเสียงดัง
“สะเออะ...เป็นแค่คนใช้ เจ๋ออะไรมาสั่งสอนคุณธัญวิทย์”
พิมหันไปทางธัญวิทย์พูดประจบ
“คุณธัญวิทย์อย่าไปฟังนะคะ คุณมีสิทธิ์ที่จะพูดอะไรก็ได้ทั้งนั้น”
ปานฟ้าเข้ามาก่อน
“แล้วเธอมีสิทธิ์อะไรที่มาสั่งสอนหลานชายฉัน ให้เป็นเด็กนิสัยไม่ดีพูดจาก้าวร้าวผู้ใหญ่แบบนี้”
พิมชะงัก ธัญวิทย์หน้าจ๋อย ปานฟ้ามองอย่างไม่พอใจมาก พิมเคืองแต่ข่มอารมณ์เพราะรู้ว่าปานฟ้าเอาจริง

ปานฟ้าเดินมาที่รถ มีพิมตามมาอย่างไม่สบอารมณ์ ปานฟ้าหยุดแล้วหันไปมองเสียงเรียบแต่เอาเรื่อง
“ฉันหวังว่าจะไม่ได้ยินเธอ สอนหลานฉันในทางที่ผิดๆอีกนะพิม”
พิมไม่พอใจแต่จำใจรับคำ
“ค่ะ...”
ปานฟ้าจะขึ้นรถแล้วนึกได้หันไปพูดต่อ
“อ๋อ...แล้วป้าแก้วน่ะแกเป็นคนเก่าคนแก่ของที่นี่ อยู่มาตั้งแต่เธอยังไม่เกิดด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นจะพูดจะจาอะไรก็ขอให้เกรงใจแกหน่อย ถ้ายังอยากจะอยู่ด้วยกันต่อไป”
ปานฟ้าขึ้นรถขับออกไป พิมมองตามอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ

เย็นนั้น...บุญทิ้งใช้ไม้ม็อบถูพื้นทางเดินอย่างใจลอย แล้วชะงักครุ่นคิด นึกถึงตอนที่ปานเดือนจ้องเขาตาไม่กะพริบ แล้วก็เบิกตาโตก่อนจะวิ่งพรวดพราด เข้าไปคว้าตัวเขาจนกล่องกระเด็นตกแล้วกอดแน่น ร้องเสียงดังอย่างคนดีใจสุดขีด
“ทินภัทรลูกแม่...ในที่สุดแม่ก็เจอลูก โธ่ลูกจ๋าลูกอยู่ที่นี่เอง ทินภัทร...ทินภัทร แม่คิดถึงลูกเหลือเกิน”
บุญทิ้งเผลอยิ้มอย่างสุขใจ แล้วต้องสะดุ้งเมื่อมือภาคินเข้ามาจับที่บ่า ภาคินมองขำๆ
“เอ้า...เป็นอะไรไปนะบุญทิ้ง ยืนยิ้มคนเดียว”
บุญทิ้งอาย
“เปล่าครับ...คุณเอ๊ย...พี่ภาคินยังไม่กลับอีกเหรอครับ”
“เดี๋ยวก็จะกลับแล้วล่ะ ขอเคลียร์งานให้เสร็จก่อน”
ภาคินเดินตรงไปที่ห้อง บุญทิ้งถูพื้นต่อ แต่แล้วก็หยุดยิ้มอย่างสุขใจอีกครั้ง

ภาคินเปิดห้องทำงานเข้ามา แล้วชะงักเมื่อเห็นเฟื่องแก้ว กำลังเช็ดทำความสะอาดโต๊ะทำงานอยู่
“ผมบอกกี่ครั้งแล้วแก้ว ว่าไม่ต้องมาทำความสะอาดโต๊ะให้ผม ผมจัดการเองได้ ลำพังงานของคุณก็เยอะแยะอยู่แล้ว”
เฟื่องแก้วหันมายิ้มหวาน
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แก้วเต็มใจทำเพื่อคุณภาคิน”
ภาคินชะงักแล้วทำเหมือนไม่ได้ยิน เดินมาที่โต๊ะ เฟื่องแก้วพูดต่อ
“ความจริงวันนี้น่าเสียดายจังนะคะ”
“เสียดายอะไร”
“ก็เสียดายที่ผู้หญิงคนนั้น สติแตกขึ้นมาเสียก่อนนะสิคะ ไม่อย่างนั้นน้องสาวเขาคงจะบริจาคให้มูลนิธิเราเยอะอยู่เหมือนกัน ดูท่าทางจะเป็นคนรวยไม่ใช่เล่น”
ภาคินนิ่งคิด แล้วก็ก้มหน้าสนใจงานตรงหน้า เฟื่องแก้วเลยจำใจถอยออกไปเงียบๆภาคินหยุดทำงาน
เงยหน้าขึ้น เผลอยิ้มแล้วรีบสะบัดหัวราวกับจะไล่ความคิดออกไป ลงมือทำงานต่ออย่างเคร่งเครียด

ค่ำนั้น...ตึกห้างสรรพสินค้าเปิดไฟสว่างไสว ปานฟ้ายังอยู่ในห้องทำงาน เลขามองอย่างชื่นชม
“คุณปานฟ้า ขยันจังนะคะ มาถึงยังไม่ทันพักก็มาทำงานเลย”
“สงสารพี่รุทธิ์นะสิ รับภาระหนักมานาน ว่าแต่ตอนนี้ที่ห้างเรามีกิจกรรมอะไรพิเศษบ้างจ๊ะ”
“ที่กำลังจัดอยู่ก็งานแสดงสินค้าสี่ภาคค่ะ แล้วอาทิตย์จะมีการประกวดวาดภาพระบายสี เพื่อส่งเสริมให้เด็กๆใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์”
“ฮึ่ม...ความคิดพี่รุทธิ์ดีจังนะ”
มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ปานฟ้าหันไปยังไม่ทันพูดอนุญาต ก็เห็นก้องภพเปิดประตูโผล่แต่หน้าเข้ามา
“เซอร์ไพรส์ครับฟ้า”
ปานฟ้างงๆ
“รู้ได้ไงคะเนี่ยว่าฉันกลับมาแล้ว” ปานฟ้าหันไปบอกเลขา “ออกไปก่อนนะจ๊ะ”
“ค่ะ...”
เลขาเดินออกไป ก้องภพเข้ามามือไขว้หลังไว้ ปานฟ้าเคลียร์เอกสารบนโต๊ะอยู่ชะงักเห็นช่อดอกกุหลาบขาวช่อใหญ่มากยื่นมาตรงหน้า
“ขอต้อนรับการกลับมาเมืองไทยครับ”
ปานฟ้ายิ้มรับไว้
“ขอบคุณค่ะ”

ปานฟ้าเดินดูในห้างฯอย่างสนใจก้องภพเดินตามพูดออดอ้อน
“น่านะไปดินเนอร์กันนะฟ้า ผมมีอะไรจะเซอร์ไพรส์ฟ้า”
“เนื่องในโอกาสอะไรคะ”
“ก็ต้อนรับที่ฟ้ากลับมาไง”
“เมื่อกี้ก็ให้ดอกไม้แล้วนี่คะพอแล้วล่ะ”
“ถ้าฟ้าปฏิเสธผมเสียใจนะ”
ปานฟ้ายิ้มอ่อนใจแบบคงขัดไม่ได้ ก้องภพยิ้มพอใจ

สองคนเดินมาที่ลานจอดรถ ปานฟ้าเดินไปที่รถ
“อย่าขับเร็วนะคะเดี๋ยวฉันตามไม่ทัน”
“วันนี้ผมไม่ได้เอารถมา”
“รถเสียเหรอคะ”
“ไม่ได้เสียหรอกครับ แต่ผมว่านั่งไปด้วยกันจะดีกว่า ขับตามกันไปไม่เห็นโรแมนติกเลย”
ปานฟ้าจะเปิดรถชะงัก
“จริงสิ...คุณยังไม่ได้บอกฉันเลยว่าคุณรู้ได้ไง”
“แม่ผมโทรไปหาคุณแม่ฟ้านะสิ ถึงได้รู้เรื่อง พูดแล้วก็น้อยใจที่จริง ผมน่าจะรู้เป็นคนแรกด้วยซ้ำ ผมคิดถึงฟ้ามากรู้มั้ย”
ก้องภพยื่นหน้าเข้ามาเกือบชนแก้ม ปานฟ้าหลบวูบ เสียงแข็งขึ้น
“ทีหลังอย่าเล่นแบบนี้นะคะ...ฉันไม่ชอบ”
ก้องภพจ๋อย ทำเสียงอ้อน
“ขอโทษครับฟ้า”
ปานฟ้าขึ้นรถด้านคนขับ ก้องภพมองอย่างพอใจ พึมพำเบาๆ
“ยากๆแบบนี้สิท้าทายดีนัก”

ที่ร้านอาหารหรู...พนักงานนำก้องภพกับปานฟ้า มาที่โต๊ะริมกระจกเห็นวิวทิวทัศน์กรุงเทพยามค่ำคืนสวยงามมาก ปานฟ้านั่งลง พนักงานโค้งก่อนจะจุดเชิงเทียนบนโต๊ะแล้วถอยออกไป ปานฟ้ามองโต๊ะรอบๆไม่มีใครสักโต๊ะ
“ทำไมไม่มีคนเลยคะ”
ก้องภพยิ้มทำท่าลับลมคมใน ปานฟ้ารู้ทัน
“อย่าบอกนะคะว่าคุณจองทั้งชั้นนี่”
ก้องภพยิ้มเท่
“ใช่แล้วครับ”
ปานฟ้าไม่ยินดี
“เนี่ยนะเหรอคะเซอร์ไพรส์ของคุณ”
ก้องภพพยักหน้าอย่างคิดว่าเท่สุดๆ ปานฟ้าถอนใจ พิงพนักเก้าอี้กอดอกแล้วมองก้องภพ เหมือนมองเด็กที่ไม่รู้จักโต
“ถ้าคุณเอาเงินตั้งหลายหมื่น ที่จ่ายไปคืนนี้ไปทำบุญ ฉันว่ามันยังจะทำให้ฉันเซอร์ไพรส์ได้มากกว่าที่คุณจะทิ้งเงินไปโดยเปล่าประโยชน์แบบนี้”
ก้องภพชักเซ็งแต่พยายามฝืน
“โธ่...ฟ้าก็...เพิ่งจะเจอกันอย่าซีเรียสเลยน่า โอเค...สำหรับคนอื่นมันอาจจะเยอะแต่สำหรับเราขนหน้าแข้งไม่ร่วงสักหน่อย”
ปานฟ้าถอนใจ
“ไม่ใช่เราค่ะ...คุณคนเดียว ถึงฉันจะมีเงินแต่มันก็เป็นเงินของพ่อฉัน กว่าท่านจะมีวันนี้ได้คุณรู้มั้ยว่าท่านต้องลำบากแค่ไหน”
ก้องภพเหลือกตาไปมาแบบอ่อนใจสุดๆ ที่ทุกอย่างพลิกความคาดหมายไปหมด พนักงานลำเลียงอาหารเข้ามาวาง ปานฟ้าข่มความไม่พอใจ หันหน้ามองออกไปที่ทิวทัศน์ด้านนอก ก้องภพก็เซ็งแต่พยายามเอาอกเอาใจปานฟ้าตักโน่นนี่ให้อย่างน่ารำคาญ ปานฟ้าฝืนกินไปตามมารยาท

หลังจากทานอาหาร ปานฟ้าขับรถมาจอดหน้าบ้าน ก้องภพคะยั้นคะยอ
“ไม่ลงไปหน่อยเหรอครับ”
ปานฟ้าฝืนยิ้ม
“ไม่ล่ะคะ...ดึกแล้ว”
ก้องภพตื้อ
“แม่คงดีใจมากถ้าเจอคุณ”
“ช่วยเรียนท่านด้วยว่า...ฉันจะมากราบท่านวันหลัง”
ก้องภพผิดหวัง
“แล้วแต่ฟ้าแล้วกัน กู๊ดไน้ต์นะครับ”
“ค่ะ กู๊ดไน้ต์ค่ะ”
ก้องภพจำใจลงจากรถโบกมือให้ ปานฟ้ารีบกลับรถขับออกไป ก้องภพมองตามเตะวืดไปในอากาศอย่างหงุดหงิดใจ

รถปานฟ้าขับมาเรื่อยๆ จู่ๆมีมอเตอร์ไซค์ขับมาประกบแล้วตัดหน้ารถกะทันหัน ปานฟ้ารีบเบรกอย่างตกใจ
“โอ๊ย...บ้าจังขับรถประสาอะไรเนี่ย”
ปานฟ้าเห็นรถมอเตอร์ไซค์ล้มลงก็ตกใจ
“แย่แล้ว...”
ปานฟ้ารีบเปิดประตูลงไป แต่แล้วปานฟ้าก็ต้องตกใจสุดขีด เมื่อชายสองคนลุกขึ้นเหมือนไม่เป็นอะไร แล้ววิ่งเข้ามาจับแขนเธอ ปานฟ้าตะลึง
“อะไรกันเนี่ย...พวกแกจะทำอะไร”
ชายคนหนึ่งชักมีดออกมา
“หุบปากไม่ต้องถาม ขึ้นไปขับรถ”
มันหันไปบอกเพื่อน
“แกขับมอไซค์ตามมา ข้าจะประกบนังคนสวยนี่ไปเอง”
ปานฟ้าตะโกนเสียงดัง
“ช่วยด้วย...อุ๊บ...”
ชายคนนั้นชกเข้าที่ท้องเธอเต็มแรง ปานฟ้าตัวงอ
“โอ๊ย...”
“พูดด้วยดีๆไม่ชอบ ชอบเจ็บตัว...”
แล้วเพื่อนของมันก็ร้องขึ้นอย่างตกใจ
“เฮ้ยมีคนมา”
ปานฟ้าข่มความเจ็บหันไปมอง เห็นภาคินเดินตรงมาเรื่อยๆ ชายคนนั้นผลักปานฟ้าเข้ารถขู่เสียงน่า
“อย่าแหกปากนะไม่งั้นข้ากระซวกแน่”
ปานฟ้าเข้าไปนั่ง ชายคนั้นทำทียืนคุยกับเพื่อน ภาคินเดินมาถึงหันมามองชายสองคนอย่างแปลกใจและก็ตกใจเมื่อเห็นปานฟ้าที่ข่มความเจ็บตะโกนลั่น
“ช่วยด้วย”
ชายสองคนตกใจ ภาคินถลาเข้าไป
“พวกแกจะทำอะไร”
ชายคนหนึ่ง ชูมีดขู่ ภาคินชะงัก
“อยากแส่นักใช่มั้ย เฮ้ยจัดให้มันหน่อย”
เพื่อนมันพุ่งเข้าใส่ ภาคินหลบสองคนสู้กันชุลมุน ภาคินเอาชนะได้ เขาหันมาที่ชายอีกคนสองคนสู้กัน
มันจ้วงแทงแต่เขาหลบได้ หวุดหวิดจะโดน แต่ในที่สุดเขาก็พลาดโดนมีดแทงเข้าที่แขน
ภาคินล้มลง ชายคนนั้นพุ่งคร่อมเงื้อมือจะจ้วงแทงซ้ำ ปานฟ้ากดแตรรถดังลั่น มันตกใจผละจากภาคิน รีบกระโดดขึ้นมอเตอร์ไซค์ เพื่อนกระโดดตาม แล้วขับหนีไปในความมืด ปานฟ้าวิ่งโซเซมาประคองภาคิน

“คุณภาคิน...คุณเป็นยังไงบ้าง” ปานฟ้าเห็นแผลที่แขนเขาก็ตกใจมาก “คุณโดนแทง!”
ค่ำนั้น...ปานฟ้าใส่ยาที่แผลให้ภาคินอยู่ที่เก้าอี้ยาว ใต้ต้นไม้ในมูลนิธิ ภาคินร้องเบาๆ

“อ๊อย...”
ปานฟ้าชะงัก
“เจ็บเหรอคะ...”
“ครับ...มือคุณหนักจัง เบาหน่อยก็ได้ครับ”
ปานฟ้าทำหน้าหมั่นไส้
“ก็อยากไม่ยอมไปหาหมอนี่คะ...ฉันเองก็ไม่เคยทำแผลให้ใคร นี่ถ้าไปให้หมอทำให้ก็คงไม่เจ็บอย่างนี้หรอกค่ะ”
“ผมไม่อยากให้คุณเป็นข่าวนะสิครับ ผู้หญิงขึ้นหน้าหนึ่งมันไม่ค่อยดีเท่าไร”
ปานฟ้าชะงักแล้วยิ้มอ่อนหวาน
“ขอบคุณนะคะ คุณภาคินที่คิดถึงชื่อเสียงฉัน...ฉันก็ลืมไปเสียสนิท”
ขณะเดียวกันนั้น มีเสียงกุกกักดังมาภาคินหันไปถามดุๆ
“นั่นใคร...”
บุญทิ้งค่อยๆเดินออกมา ภาคินมองอย่างประหลาดใจ
“บุญทิ้ง...ดึกแล้วทำไมยังไม่นอนอีก”
บุญทิ้งหน้าจ๋อยๆกลัวโดนดุ

ปานเดือนนั่งอยู่ริมหน้าต่างหน้าตาเศร้า ผมเผ้ายุ่งเหยิง พูดทั้งๆที่มองออกไปนอกหน้าต่าง
“ฉันนอนไม่หลับ...”
อนิรุทธิ์ตวัดผ้าห่มออก ลุกจากเตียงเดินมาคุกเข่าตรงหน้าปานเดือน
“ถ้าอย่างนั้นทานยาหน่อยนะ คุณจะได้หลับสบาย”
ปานเดือนส่ายหน้า น้ำตาไหลรินลงมา
“ฉันเป็นแม่ที่แย่มากใช่มั้ยคะ...ฉันดูแลลูกไม่ได้ ฉันไม่ได้เรื่อง ฉันไม่ควรเป็นแม่คนเลย”
ปานเดือนร้องไห้สะอื้น อนิรุทธิ์ลุกขึ้นโอบกอดเธอไว้
“ไม่คุณเดือน...คุณอย่าโทษตัวเองแบบนี้เลย มันไม่ใช่ความผิดของคุณเลย ทำใจดีๆไว้น่ะผมสัญญา ผมจะต้องตามหาลูกทินภัทรให้เจอให้ได้”
ปานเดือนเงยหน้ามองอนิรุทธิ์ ถามทั้งน้ำตา
“ป่านนี้ลูกจะไปตกระกำลำบากอยู่ที่ไหนคะ ฉันคิดถึงลูกเหลือเกิน”
สองคนกอดกันอย่างรันทดใจ

ภาคินมองบุญทิ้งพูดอย่างเอ็นดู
“ตัวแค่นี้รู้จักนอนไม่หลับกับเขาด้วย”
บุญทิ้งท่าทางเจียมตัว
“ที่จริงผมหลับไปแล้วครับ แต่ตกใจตื่นขึ้นมาอีก จะปลุกพี่แก้วก็ไม่กล้า พอดีได้ยินเสียงเหมือนคนคุยกัน ผมก็เลยเดินออกมาดู”
ปานฟ้ารีบถาม
“ฝันร้ายเหรอจ๊ะบุญทิ้ง”
บุญทิ้งคิดก่อนจะตอบ
“สำหรับผมมันเป็นฝันดีมากเลยครับ”
ภาคินขำๆ
“ไหนเล่าให้ฟังบ้างได้มั้ย”
“คือผมฝันถึงตอนที่โดนเอ้อ...” บุญทิ้งมองปานฟ้าอย่างเกรงใจก่อนจะพูดต่อ “พี่สาวของคุณปานฟ้า”
ปานฟ้ารีบขัด
“เรียกฉันว่าพี่ฟ้าก็ได้จ้ะ...บุญทิ้งฝันเห็นพี่เดือนพี่สาวฉันเหรอ”
“ครับผมฝันเห็นคุณเดือนตอนวิ่งเข้ากอด แล้วก็บอกว่าผมเป็นลูกครับ”
“โธ่...คงยังตกใจไม่หายจนเก็บเอาไปฝัน นี่บุญทิ้งฉันขอโทษแทนพี่เดือนด้วยนะจ๊ะ”
ภาคินมองหน้า
“แล้วทำไมบุญทิ้ง ถึงบอกว่าเป็นฝันดีล่ะ”
บุญทิ้งตอบเสียงเครือๆ
“ก็เพราะไม่เคยมีใครกอดผมอย่างที่...คุณเดือนกอดเลยครับ มันทำให้ผมคิดถึงแม่ ผมอยากให้แม่กอดผมอย่างนี้บ้างจัง...ผม...”
บุญทิ้งหยุดไป ทำท่าจะร้องไห้ ภาคินอึ้งมองด้วยสายตาเศร้ารำพึงในใจ
‘ฉันเข้าใจความรู้สึกเธอดีบุญทิ้ง’
ปานฟ้าไม่ทันสังเกต เพราะมัวแต่มองบุญทิ้งด้วยความสงสาร

ภาคินเดินมาส่งปานฟ้าที่รถ เมื่อเธอจะกลับ...
“สงสารบุญทิ้งจังนะคะ”
“ครับ...บุญทิ้งเป็นเด็กดี ไม่น่าต้องมาอยู่แบบนี้”
ปานฟ้าหยุดเดิน
“บุญทิ้งอยู่ที่นี่นานแล้วเหรอคะ”
“บุญทิ้งเพิ่งมาอยู่ที่นี่ได้อาทิตย์เดียวเองครับ”
“แล้วก่อนหน้านี้บุญทิ้งอยู่ที่ไหนคะ”
“บุญทิ้งเป็นเด็กเร่ร่อน ถูกบังคับให้ทำงานหาเงินอยู่ในแก็งค์ขอทานนะครับ”
ปานฟ้ากับภาคินพากันเดินมาถึงรถพอดี
“คุณภาคินทำงานเกี่ยวกับเด็กเร่ร่อนแบบนี้ คุณคงมีข้อมูลเกี่ยวกับเด็กๆ ที่ถูกลักพาตัวมาสิคะ”
“ครับ...”
“ถ้าอย่างนั้น ฉันอยากจะขอความช่วยเหลือหน่อยได้มั้ยคะ”
“ด้วยความยินดีครับ...ว่าแต่คุณจะให้ผมช่วยเรื่องอะไร”
“ไว้พรุ่งนี้แล้วกันค่ะ...ฉันจะมาคุยรายละเอียดให้ฟัง ว่าแต่คืนนี้คุณจะค้างที่นี่เหรอคะ”
ภาคินขรึมไป
“ครับ...ดึกมากแล้วผมเกรงใจที่บ้าน”
ปานฟ้ามองภาคินอย่างเข้าใจ
“ถ้าอย่างนั้นฉันกลับก่อนนะค่ะ”
“ขับรถดีๆนะครับ ระวังตัวด้วย”
“ขอบคุณมากนะคะ...สำหรับเรื่องวันนี้”
ปานฟ้าขึ้นรถ หันมายิ้มให้อีกทีก่อนจะขับรถออกไป ภาคินยืนมองตาม ยิ้มอย่างมีความสุข

เช้าวันใหม่...ปานฟ้าลงบันไดมาอย่างรีบร้อน สายอุษาเดินเข้าด้านหนึ่งทักอย่างอ่อนโยน
“อ้าวยัยฟ้าจะรีบไปไหนลูก”
“จะรีบไปทำงานค่ะ”
“กินข้าวเช้าก่อนสิจ๊ะ”
“ไม่ล่ะคะ...ฟ้ารีบ คุณพ่อล่ะคะ”
“ก็เหมือนเดิมละลูก...แต่ไม่ต้องห่วงนะโรคหัวใจก็แบบนี้ล่ะ ตั้งแต่ทินภัทรหายไปคุณพ่อก็สามวันดีสี่วันหาย...ว่าแต่หนูมีปัญหาอะไรเรื่องงานหรือเปล่าจ๊ะ”
“ไม่ใช่เรื่องงานค่ะแต่เป็นเรื่องทินภัทร”
สายอุษาตื่นเต้น
“ทำไม...หรือลูกได้ข่าวอะไร”
“ยังค่ะ...แต่คุณแม่ไม่ต้องห่วงนะคะ ยังไงฟ้าก็ต้องตามหลานกลับมาให้ได้”
ปานฟ้าหอมแก้มแม่ก่อนออกไป สายอุษามองตามอย่างมีความหวัง พิมแอบมองอยู่มุมหนึ่งชักเป็นกังวล

พิมรีบนำข้อมูลที่เธอแอบฟัง มาบอกกับปานดาวกับภูวดล
“ไม่มีทาง...ต่อให้มันพลิกแผ่นดินหา ก็ไม่มีทางเจอไอ้ทินภัทร” ปานดาวตวาดบอก
“แต่ท่าทางคุณปานฟ้า เธอเอาจริงเอาจังมากนะคะ”
ภูวดลหัวเราะเยาะ
“สาวสมัยใหม่ก็ดูไฟแรงแบบนี้ล่ะ...อีกไม่นานก็มอด ขนาดพ่อแม่มันยังถอดใจเลย”
พิมพยักหน้าเบาใจ หัวเราะออกมาได้
“นั่นสิ...สุดท้ายสมบัติ ก็ต้องตกเป็นของธัญวิทย์คนเดียวเท่านั้น”
ปานดาวหันขวับตวาดเสียงดัง
“คุณธัญวิทย์...”
พิมจ๋อยไป ปานดาวสำทับเสียงจริงจัง
“จำไว้นะนังพิม...อย่าได้ทำเป็นลืมตัวมาตีเสมอลูกชายของฉัน...ธัญวิทย์เป็นลูกชายของฉันกับคุณภูจำไว้ให้ขึ้นใจ แล้วแกก็จะสบายไปตลอดชาติ”
พิมก้มหน้ารับคำเหมือนเกรงมาก
“ค่ะคุณดาว”
ปานดาวเดินเชิดผ่านพิมไป พิมมองตามแค้นแต่พอสบตาภูวดลที่มองปรามมา พิมข่มใจสะบัดหน้าเดินไปอีกทาง ภูวดลลอบถอนใจโล่งอก

ปานดาวพยายามกล่อมธัญวิทย์ ให้ลุกจากที่นอน
“ไม่เอานะลูก...อาทิตย์นี้หยุดเรียนไปตั้งสามวันแล้วนะ”
ธัญวิทย์คว้าผ้าห่มคลุมโปง
“ก็ผมไม่ชอบเรียนหนังสือนี่แม่ก็”
ปานดาวดึงผ้าห่มออก ธัญวิทย์รีบเอามือปิดหู ปานดาวส่ายหน้ายิ้มอ่อนใจค่อยๆดึงมือลูกชายออก
“เอาอย่างนี้นะ ถ้าลูกยอมไปโรงเรียนแม่จะขึ้นค่าขนมให้”
ธัญวิทย์นิ่งคิด ปานดาวชูสองนิ้ว ธัญวิทย์ส่ายหน้า ชูสี่นิ้ว ปานดาวขำชูสามนิ้ว พูดขึงขัง
“สามร้อยบาทขาดตัว...ถ้าไม่เอาก็ตามใจ”
ปานดาวทำท่าจะลุก ธัญวิทย์รีบกระโดดกอด
“ก็ได้ฮ่ะแม่...สามร้อยก็สามร้อย แต่เทอมหน้าแม่ต้องขึ้นเป็นห้าร้อยนะ”
ปานดาวหัวเราะ เอ็นดูลูกชายมาก
“จ้า...ตัวแค่เนี่ยใช้เงินเก่งจังนะ”
“ก็เรารวยนี่ฮะแม่...แม่เป็นคนบอกผมเองว่าสมบัติคุณตาน่ะ ใช้อีกสิบชาติก็ไม่หมด”
ปานดาวหันมากอดธัญวิทย์
“รู้อย่างนี้แล้ว ลูกก็ต้องหมั่นคอยเข้าไปประจบคุณตาบ่อยๆสิ ลูกรู้มั้ย...”
ธัญวิทย์พยักหน้าเข้าใจ
“ฮ่ะแม่...”
ปานดาวหอมแก้มธัญวิทย์อย่างชื่นใจ

ขณะที่เด็กๆในมูลนิธิกำลังเรียนหนังสือ เฟื่องแก้วเดินดูแต่ละคนจนมาถึงบุญทิ้ง
“ไงบุญทิ้ง ทันเพื่อนๆคนอื่นมั้ย”
บุญทิ้งพยักหน้า
“ทันครับพี่แก้ว”
เฟื่องแก้วมองอย่างทึ่งๆ
“เคยเรียนหนังสือกับเขาด้วยเหรอ”
“ไม่ได้เรียนหรอกครับ แต่ผมชอบอ่านหนังสือพิมพ์ที่ลุงพ่วงแกซื้อมา คำไหนอ่านไม่ได้ก็ถามพี่ๆที่อยู่ด้วยกัน พวกเขาเคยเรียนมาก็พอสอนผมได้นะครับ”
ภาคินเดินผ่านมาได้ยินพอดี
“ฮึ่ม...ไม่เลวนี่บุญทิ้ง แบบนี้ปีหน้าพี่จะส่งให้เธอเข้าเรียนพร้อมเพื่อนๆรุ่นเดียวกัน”
บุญทิ้งดีใจมาก
“จริงๆเหรอครับ...ผมจะได้เรียนหนังสือเหรอครับ”
ภาคินเข้ามาลูบหัว
“จริงสิ...ความรู้เป็นสิ่งสำคัญมาก เคยได้ยินมั้ยรู้อะไรก็ไม่สู้รู้วิชา”
บุญทิ้งต่อเสียงแจ๋ว
“รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี”
ภาคินกับเฟื่องแก้วมองหน้ากัน แล้วหัวเราะชอบใจ
“เก่งมากบุญทิ้ง รู้มั้ยเด็กๆที่นี่ทุกคนจะได้เข้าเรียนเมื่อถึงเวลา แต่ใครที่อายุยังไม่ถึงพี่แก้วก็จะเป็นคนสอนเบื้องต้นให้”
บุญทิ้งยิ้มอย่างดีใจมาก
“ถ้าได้เข้าเรียนจริงๆ ผมจะตั้งใจเรียนให้ดีที่สุดเลยครับพี่ภาคิน”
ภาคินพยักหน้า หันไปยิ้มกับเฟื่องแก้ว แล้วหันมามองบุญทิ้งอย่างเอ็นดู

ภาคินกำลังนั่งดูแฟ้มบนโต๊ะ เฟื่องแก้ววางแก้วกาแฟให้ ภาคินเงยหน้ามอง
“ขอบใจ...”
“คุณภาคินดูอะไรคะ ให้แก้วช่วยอะไรมั้ย”
“กำลังดูแฟ้มประวัติของบุญทิ้งที่หมวดตุลย์เขาให้มานะ”
“มีอะไรเหรอคะ”
“ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอก แค่อ่านดูอีกทีจากคำให้การของนายพ่วง ผมไม่อยากเชื่อเลยว่าเด็กที่หน้าตาน่ารัก แถมฉลาดอย่างบุญทิ้งจะถูกพ่อแม่ เอามาทิ้งไว้ที่กองขยะอย่างที่นายพ่วงบอก”
“นั่นสิคะ...แต่นายพ่วงก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องโกหกนี่คะ”
“ก็ถูกนะ...เพราะเด็กคนอื่นๆนายพ่วงก็สารภาพความจริงทั้งหมด เฮ้อ...ผมอาจจะคิดมากไปเองก็ได้”
เฟื่องแก้วยิ้ม กำลังจะออกไปแต่เหลือบมองไปเห็นแผลของเขาเข้า เฟื่องแก้วตกใจ รีบเดินเข้ามาจนชิด
“ตายแล้วคุณภาคิน ไปโดนอะไรมาคะ”
ภาคินมองที่แผลพูดเรียบๆ
“อุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะ ไม่ต้องตื่นเต้นไปหรอกแก้ว”
เฟื่องแก้วจับที่แขน ท่าทางห่วงมาก
“ไม่หน่อยนะคะ ถึงกับเลือดตกยางออกอย่างนี้”
ภาคินดึงมือเฟื่องแก้วออก แต่เธอไม่ยอมจะดูแผลให้ ได้เลยกลายเป็นเขาจับมือเธออยู่ ภาคินมองข้ามไหล่เฟื่องแก้วไป เห็นปานฟ้ายืนมองอยู่หน้าห้อง ก็ตกใจ
“คุณปานฟ้า...”
ปานฟ้ายืนมองอยู่นิ่งๆ อย่างคาดไม่ถึง ได้สติรีบพูดตะกุกตะกัก
“ขอโทษนะคะ...เห็นประตูไม่ได้ปิดฉันเลยไม่ได้เคาะ”
เฟื่องแก้วถอยออกมา ยิ้มให้ปานฟ้าแล้ว หันไปมองเห็นภาคิดที่มีหน้าตาตกใจก็มองอย่างแปลกใจ
ปานฟ้าเดินเร็วๆมาที่รถ ภาคินเดินตามมาติดๆ
“ทำไมคุณฟ้าจะรีบกลับละครับ”
ปานฟ้าไม่หยุดเดิน พูดห้วนๆ
“ก็ฉันบอกเรื่องที่ห้างฉันจัดประกวดวาดรูปแล้วนี่คะ ถ้าคุณสนใจก็เชิญพาเด็กๆไปได้”
“แต่เมื่อวานคุณบอก มีเรื่องจะขอความช่วยเหลือผมนี่ครับ
“ฉันเปลี่ยนใจแล้วล่ะคะ...เห็นคุณยุ่งๆอยู่ฉันกลับก่อนคงจะดีกว่า”
สองคนมาถึงรถ ปานฟ้าจับประตูรถ ภาคินจับมือเธอไว้ไม่ให้เปิด ปานฟ้าชะงักรีบดึงมือกลับ ท่าทางถือตัวมาก ภาคินรีบพูด
“ขอโทษครับ...ผมไม่ได้ตั้งใจเพียงแต่...”
ตุลย์เข้ามาขัดจังหวะ
“สวัสดีคุณภาคิน...อ้าวคุณนะเองมาทำบุญใหม่เหรอครับ”
ปานฟ้างงแต่แล้วก็จำเขาได้
“สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีครับคุณ...”
“ปานฟ้าค่ะ”
ตุลย์ก้มหัวให้
“สวัสดีครับผมตุลย์...มีอะไรจะให้รับใช้ก็เชิญได้ทุกเวลานะครับ” ตุลย์หันไปทางภาคิน “คุณภาคิน...ผมขออนุญาตพาคุณแก้วไปทานข้าวกลางวันน่ะ หวังว่าคุณคงไม่ว่าอะไรถ้าจะออกก่อนเวลาสักหน่อย”
ภาคินยิ้ม
“เชิญตามสบายเลยหมวด”
ตุลย์ยิ้มหน้าบาน หันไปก้มหัวให้ปานฟ้าอีกที
“ผมขอตัวก่อนนะครับ”
ปานฟ้ารับคำงงๆ
“ค่ะ”
ภาคินได้โอกาสจึงรีบพูด
“หมวดตุลย์น่ะเขาชอบแก้วอยู่ ส่วนแก้วผมก็ยังไม่เห็นมีใคร ไม่แน่นะผมว่าคู่นี้อาจจะลงเอยกันเร็วๆนี้ก็ได้ ถ้าหมวดตุลย์เขาหมั่นมาทุกวันแบบนี้”
ปานฟ้าท่าทางเก้อๆ ภาคินแกล้งจงใจถาม
“หรือคุณฟ้าว่ายังไงครับ”
“ไม่ทราบค่ะ...ฉันหิวข้าวแล้วตั้งแต่เช้ายังไม่ทานข้าวเลย”
ปานฟ้าเดินไปเปิดประตูรถ ภาคินทำเสียงอ่อย
“ผมก็ยังไม่ทานเหมือนกัน ใจคอคุณฟ้าจะไม่ชวนผมสักคำเลยเหรอครับ”
ปานฟ้าขึ้นรถนั่งเฉย ภาคินจ๋อยไป สักครู่เธอก็กดกระจกลงพูดหน้าตาเฉย
“ไหนว่าหิวไงคะ ทำไมยังไม่ขึ้นรถอีกล่ะ”
ภาคินยิ้มดีใจรีบเปิดประตูรถขึ้นไปอย่างว่องไว ปานฟ้าขับรถออกไปทันที

เฟื่องแก้วเดินออกมากับตุลย์ เธอเพ่งมองท้ายรถปานฟ้าที่ออกไปจากมูลนิธิไม่ค่อยพอใจ
“เอ๊ะ...คุณภาคินกับคุณปานฟ้าเขาไปไหนกัน”
ตุยล์มองตามพูดขำๆ
“ก็คงไปกินข้าวนะสิครับ...เราก็ไปกันเถอะ”
เฟื่องแก้วหยุดเดิน
“ไหนเมื่อกี้หมวดบอกว่า จะชวนคุณภาคินไปด้วยกันไงคะ”
ตุลย์อึกอัก
“ก็...ก็คิดไว้อย่างนั้น แต่ตอนนี้จะชวนยังไงละครับ ก็คุณภาคินไปกับคุณปานฟ้าคนสวยแล้วนี่”
เฟื่องแก้วฉุนมากหันกลับ ตุลย์งงรีบวิ่งมาขวาง
“อ้าว...คุณแก้วจะไปไหน รถผมจอดอยู่ตรงโน่น”
“ฉันไม่หิว...ฉันไม่ไปแล้วค่ะ...หลีกทางด้วยคะหมวด”
ตุลย์งงๆ เฟื่องแก้วเดินชนไหล่ตุลย์เข้าไปในมูลนิธิอย่างอารมณ์เสีย ตุลย์มองอย่างไม่เข้าใจ

ปานฟ้าขับรถมาจอดริมถนน ทั้งสองลงมาจากรถ ปานฟ้ามองรอบๆอย่างแปลกใจ
“คุณพาฉันมาที่นี่ทำไมคะ”
ภาคินยิ้มมีเลศนัย
“ก็พามาหาอะไรทานนะสิครับ”
ปานฟ้ายกมือป้องแดดมองหาร้านแล้วหันกลับมา
“ไหนละคะร้านอาหาร...ไม่เห็นมีสักร้านเลย”
“ของอร่อยมันก็ต้องหายากหน่อย ไปกันเถอะครับ”
ภาคินพาปานฟ้าออกเดินลัดเลาะลงข้างทางไป ปานฟ้าตามไปอย่างงงๆ...ภาคินพาปานฟ้าเดินมาถึงสะพานไม้ข้ามคลองเล็กๆ เขาหยุดเดินหันไปมอง
“ผมลืมไปคุณจะข้ามได้มั้ยเนี่ย"
ปานฟ้าท่าทางขึงขัง
“ทำไมคะ...ทำไมฉันจะข้ามไม่ได้ คนอื่นเขายังข้ามได้ ฉันก็ต้องข้ามได้สิ”
ภาคินยิ้มๆมองที่รองเท้าส้นแหลมสูงของปานฟ้าแล้วส่ายหน้า
“เอาอย่างนี้คุณจับแขนผมแล้วกัน จะได้ช่วยพยุงให้คุณทรงตัวได้”
ปานฟ้ายิ้มอวดดี
“นี่คุณภาคินเจ้าคะ...ฉันน่ะไม่ใช่คุณหนู หรือไฮโซมาจากไหน เดินแค่นี้ฉันเดินได้สบายมาก ไม่เชื่อคุณก็คอยดู”
ปานฟ้าก้าวฉับๆข้ามสะพานไปอย่างมั่นใจ ส้นรองเท้าทิ่มลงไปตรงช่องระหว่างไม้
ปานฟ้าเสียหลัก
“ว๊าย...”
ภาคินพุ่งเข้ารับร่างของเธอไว้ได้ทัน ปานฟ้าตกใจตาต่อตาสบกันในระยะประชิด ภาคินทำเสียงดุใส่
“คนดื้อ...เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ”
ปานฟ้าทรงตัวได้ยิ้มเจื่อนๆ
“ขอบคุณค่ะ...”
ภาคินยกแขนขึ้นเป็นเชิงให้เกาะ คราวนี้ปานฟ้าเกาะโดยไม่ลังเล ภาคินขำ ปานฟ้าแอบค้อน สองคนพากันข้ามสะพานไป ตรงไปที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือริมคลอง เข้าไปนั่งลงที่โต๊ะริมคลอง เธอมองอย่างพอใจ
“ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่า จะมีร้ายก๋วยเตี๋ยวเรือ ท่าทางน่าอร่อยซ่อนอยู่ในนี้”
ภาคินซ่อนยิ้ม
“ครับ...ผมรับรองว่าเชลล์ยังต้องขอมาชิม”
ปานฟ้าอมยิ้ม
“ฉันไม่ยักรู้ว่าคุณ เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องอาหารการกิน”
ภาคินเก้อ ปานฟ้าถามต่อ
“ฉันจะสั่งได้หรือยังคะ”
ภาคินรีบยกมือเรียกเด็ก
“น้อง...”
ปานฟ้ารีบบอก
“ฉันขอเส้นเล็ก ไม่ใส่ถั่วงอก ไม่ใส่เครื่องในนะคะ อ๋อแล้วก็ไม่ใส่น้ำตกด้วย”
ภาคินแปลกใจ
“คุณทานเหมือนผมเลย”
เด็กในร้านเดินมาวางน้ำแข็งเปล่าให้ ปานฟ้ารีบหยิบมาดูดเพราะหิวน้ำมาก ภาคินสั่งอย่างรวดเร็ว
“เล็ก ไม่งอก ไม่ใน ไม่ตก หกชาม”
ปานฟ้าสำลักน้ำ ภาคินตกใจรีบหยิบทิชชูตรงหน้ายื่นให้
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“คุณสั่งมาให้ใครคะตั้งหกชาม ฉันน่ะชามเดียวก็เหลือแล้ว”
ภาคินยิ้มๆไม่ตอบ ปานฟ้าพูดจริงจัง
“ใครสั่งมาต้องรับผิดชอบด้วย...”
ภาคินยิ้มๆ มองบรรยากาศรอบๆร้านอย่างสบายใจ

วิมลวรรณชะงักช้อน ที่กำลังตักข้าวเข้าปาก เงยมองก้องภพที่เดินแกว่งกุญแจรถเข้ามานั่ง
“แหม...ลงมาได้เวลาอาหารกลางวันเชียวนะลูกชายฉัน”
ก้องภพหัวเราะหันไปทางป้านุ่ม
“เอาแต่กาแฟนะ...ฉันยังไม่หิว”
“ค่ะ...”
ป้านุ่มเดินออกไปจากห้องอาหาร ก้องภพแบมือมาตรงหน้าวิมลวรรณ
“ขอสามหมื่นสิครับแม่”
วิมลวรรณตีมือลูกชายพูดห้วนๆ
“แม่ไม่ใช่ตู้เอทีเอ็มนะจ๊ะ”
“น่าแม่ก็...จะตกปลาตัวใหญ่ ก็ต้องใช้เหยื่อล่อดีๆหน่อยสิครับ”
วิมลวรรณหยุดกินถามอย่างสนใจ
“ตกลงแกเจอหนูปานฟ้าแล้วหรือยัง”
“เจอแล้วแม่...โอโหแม่รู้มั้ยฟ้านะยิ่งโตยิ่งสวย เวลาอยู่ใกล้ๆผมแทบอดใจไว้ไม่ไหว”
“ก็ไม่ต้องอดซี้...รวบหัวรวบหางเสียเลย ถ้าแกขืนชักช้าระวังเถอะ ไอ้หนุ่มหน้าไหนมันจะมาคว้าหนูปานฟ้าไปซะก่อน ทั้งสวยทั้งรวยหาได้ง่ายๆที่ไหนล่ะ”
“ใครกล้ามาแตะของๆผมล่ะก็ ผมไม่เอามันไว้แน่แม่”
ก้องภพหน้าตาเอาเรื่องจริงๆอย่างที่พูด

บนโต๊ะมีชามก๋วยเตี๋ยวชามเล็กๆ ซ้อนกันอยู่สี่ชาม ภาคินกำลังกินก๋วยเตี๋ยวชะงักแอบมองดูปานฟ้าที่กำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย ปานฟ้าวางช้อนกับตะเกียบ ยกมือพัดปากประมาณเผ็ดมาก รีบหยิบน้ำมาดูด ภาคินขำๆ
“ไหนใครบอกว่าชามเดียวก็เหลือ”
ปานฟ้าดูดน้ำเสร็จ ยิ้มร่าเริงพูดแบบไม่ยอมจนมุมง่ายๆ
“เหลือแต่ชามไงคะ...ฉันยังพูดไม่จบต่างหาก”
ภาคินส่ายหน้าอ่อนใจ
“อิ่มมั้ยครับต่ออีกมั้ย”
“ไม่ไหวแล้วค่ะ...”
ภาคินเรียกเด็กมาเก็บเงิน ปานฟ้ารีบเปิดกระเป๋าสะพายหยิบกระเป๋าใบเล็กออกมาเปิดหยิบแบงค์พันมาถือไว้
“ฉันจ่ายเองค่ะ...ฉันอยากเลี้ยงตอบแทนคุณ”
เด็กเข้ามาบอก
“หกสิบบาทพี่”
ปานฟ้าตาโต
“อะไรนะ...ชามละสิบบาทเองเหรอจ๊ะ”
ภาคินหยิบกระเป๋า ดึงแบงค์ย่อยมาจ่ายให้พอดีราคาและตอบแทนเด็กไปด้วย
“ครับ...น้ำแข็งเปล่าฟรีแล้วก็ไม่มีเซอร์วิสชาร์จด้วย”
ปานฟ้ารีบห้ามเด็ก
“น้องคะเอานี่ค่ะ วันนี้ฉันจะเลี้ยง”
เด็กส่ายหน้า
“ไม่มีทอนหรอกพี่”
ปานฟ้าจ๋อย ภาคินมองยิ้มๆ
“ไม่เป็นไรหรอกครับ...ผมจะถือว่าคุณยังติดเลี้ยงข้าวผมอยู่มื้อหนึ่งก็แล้วกัน”
ปานฟ้ายิ้มออกมาได้ ภาคินเดินไปขยับเก้าอี้ให้เธอลุกขึ้นอย่างสุภาพ ขณะเดียวกันนั้นมีเสียงระนาดดังแว่วมา ภาคินหันไปถามเด็กอย่างแปลกใจ
“เสียงอะไรนะน้อง”
“อ๋อ...ลิเกท้ายตลาดนี่เองพี่”
ปานฟ้าสนใจ
“ลิเก...”
ภาคินมองขำๆ
“ผมทายได้เลยว่าคุณคงไม่เคยดูลิเก”
ปานฟ้าตื่นเต้น
“ค่ะ...แวะไปดูกันหน่อยได้มั้ยคะฉันอยากเห็นจัง”

ที่โรงลิเกท้ายตลาด ภาคินกับปานฟ้าเห็นกัญญา กำลังรำและร้องลิเกอยู่ มีคนดูไม่มากนัก
“หัวอกแม่แทบจะขาดเมื่อคิดถึงเจ้า แม่เคยเฝ้าอุ้มชูอยู่เช้าค่ำ แต่คนชั่วมาพรากไปให้ระกำ แม่ชอกช้ำอกกลัดหนองต้องตรอมตรม”
ระนาดตีรับ กัญญารำสวยงามทำท่าโศกเศร้า ปานฟ้าดูแล้วตื่นเต้นมาก
“เข้าไปดูใกล้อีกหน่อยได้มั้ยคะ”
ภาคินพยักหน้าเดินเข้าไป กัญญากำลังทำท่าร้องไห้เงยขึ้นมาชะงัก เมื่อเห็นภาคินเดินเข้ามากับปานฟ้า กัญญาตะลึงน้ำตาคลอ แล้วรีบเล่นต่อ
“ลูกแม่...” กัญญาพูดไปตาก็มองภาคินไป “แม่คิดถึงลูกเหลือเกิน...เวรกรรมอะไรหนอที่ทำให้เราแม่ลูกต้องพลัดพรากจากกัน ลูกจ๋า...แม่...”
กัญญาพูดไม่ออก น้ำตาไหลรินลงมา คนดูชอบใจ ถมมองอย่างแปลกใจพึมพำเบาๆ
“ในบทมันมีด้วยเหรอวะ”
กัญญาฝืนใจเล่นต่อ
“แม่...คิดถึงลูกเหลือเกิน”
กัญญาลุกขึ้นรำหายเข้าไปข้างเวที คนดูตบมือกันใหญ่ ปานฟ้าตื่นเต้น
“โอโห...เขาเล่นเก่งจังนะคะ”
เงียบไม่มีเสียงตอบจากภาคิน เธอหันมามองเห็น เขาหน้าเศร้ามากก็ตกใจ
“คุณภาคิน...มีอะไรหรือเปล่าคะ”
ภาคินกระพริบตาถี่ๆ
“เปล่าครับ...ผมว่าเราไปกันเถอะ”
ภาคินไม่รอคำตอบเดินผละไป ปานฟ้างงๆ แต่ก็ตามเขาไป กัญญาแอบมองลูกชายอยู่ข้างเวทีอย่างสะเทือนใจมาก น้ำตาของเธอค่อยๆไหลลงมาก่อนจะพึมพำเบาๆ
“ลูกแม่...”
กัญญาเดินมาพักเห็นช้อยกำลังโวยวายกับถม
“พี่ถมก็คอยแต่ให้ท้ายนังกัญญามันอยู่อย่างนี้”
“ให้ท้ายอะไรเล่า นี่ช้อย...แล้วเรียกแม่กัญญาเขาให้มันดีๆหน่อย”
“ทำไม...ก็มันชอบเล่นนอกบท เก่งนักเรื่องขโมยซีนให้คนดูเห็นใจมันน่ะ แบบนี้ฉันก็แย่สิ”
กัญญารีบเข้ามาพูดเสียงอ่อน
“ฉันขอโทษนะช้อย...เมื่อกี้มันอินไปหน่อย ก็เลยเผลอพูดนอกบทไป”
“ไม่ต้องขอโทษหรอกกัญญา ถึงตอนซ้อมจะไม่มี แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เนื้อเรื่องมันเสียไปนี่นา ตรงข้ามคนดูกลับชอบใจกันใหญ่”
ช้อยแค้น
“อุ๊ย...ทำอะไรก็ดีไปหมด ไม่อยากจะเป็นแล้วโว้ยนังโอ่งนังเอกเนี่ย”
ช้อยสะบัดออกไป กัญญาอึ้งได้แต่หันมามองถม
“ฉันขอโทษจริงๆนะจ๊ะพี่ถม”
“อย่าคิดมากนะ...ก็ฉันบอกแล้วไงว่าไม่เป็นอะไรนะ”
“พี่ถมอย่าเข้าข้างฉันเลย ผิดก็ต้องว่าตามผิดฉันเข้าใจจ้ะ”
“แต่...”
กัญญารีบพูดขัดขึ้น
“พี่ถมอย่าทำอย่างนี้เลย ยิ่งพี่ดีกับฉันมาก ฉันก็ยิ่งทำตัวลำบาก พี่ปฏิบัติกับฉันเหมือนคนอื่นๆในคณะเถอะนะ ผิดก็ต้องว่าตามผิด”
“ทำไมพูดแบบนี้ละแม่กัญญา แม่กัญญาก็รู้ว่าใจฉันคิดยังไง”
“ฉันรู้จ้ะแต่พี่ก็คงรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้...ขอร้องล่ะคิดว่าฉันเป็นน้องเป็นนุ่งคนหนึ่งก็แล้วกันนะ อย่าให้ฉันต้องลำบากใจไปมากกว่านี้เลย”

กัญญาเดินผ่านไป นั่งลบเครื่องสำอางออก ถมยืนอึ้งมองตาม ถอนใจหนักหน่วง












Create Date : 02 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2555 10:58:33 น.
Counter : 325 Pageviews.

0 comment
ดุจดาวดิน ตอนที่ 1 (ต่อ)


ดุจดาวดิน ตอนที่ 1 (ต่อ)

เช้าวันต่อมา คุณหญิงวิมลวรรณนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อย่างสนใจ

“ไม่เห็นมีข่าวเลย...สงสัยคุณเติมบุญจะปิดข่าว อ้าวตาภพ...”
วิมลวรรณเงยมองก้องภพ ที่รีบร้อนจะออกไป
“จะไปไหนนะ”
“จะไปส่งฟ้านะครับแม่”
“แม่นึกว่าจะเลื่อนการเดินทางเสียอีก หลานชายหายไปทั้งคน”
“ผมโทรไปถามมาฟ้าเองก็ไม่อยากไป แต่คุณลุงกับคุณป้าขอร้องให้ไป”
วิมลวรรณพยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้นแกก็ช่วยถามข่าวคราวแทนแม่ด้วย พูดให้เขารู้ว่าเราเป็นห่วงเป็นใยมากรู้มั้ย เขาจะได้มองว่าเรามีน้ำใจ”
“ครับแม่...วันนี้แม่ไม่ไปไหนใช่มั้ยครับ ผมจะให้ไอ้ช่วงขับรถไปให้รีบๆแบบนี้ไม่อยากขับเองเดี๋ยวโดนตำรวจจับ”
“ไม่ทันแล้วล่ะ พ่อแกเขาใช้ให้ขับรถไปต่างจังหวัดให้ ขี้เกียจขับทางไกลกว่าจะกลับก็พรุ่งนี้”
ก้องภพเซ็ง
“ว้า...แล้วใครจะขับให้ผมล่ะแม่”
วิมลวรรณยิ้มมีเลศนัย ก้องภพชะงักมองหน้าวิมลวรรณต่างรู้กันในที ก้องภพหัวเราะสะใจ

แม้การจราจรจะบางตา แต่ภาคินขับอย่างระวัง ก้องภพนั่งข้างหลังตะคอกใส่
“ขับเป็นเต่าคลานอยู่ได้ ฉันรีบๆๆๆแกได้ยินมั้ยขับให้มันเร็วกว่านี้หน่อย”
ภาคินข่มใจมองกระจกส่องหลัง ก้องภพมองตอบตวาด
“มองอะไร...”
ภาคินนิ่ง ก้องภพไม่เลิก
“ถ้าฉันไปส่งแฟนฉันไม่ทันล่ะก็ ฉันเอาเรื่องแกแน่ไอ้ภาคิน”
ภาคินข่มใจขับรถเร็วขึ้นตามที่ก้องภพต้องการ ก้องภพยิ้มอย่างเหนือกว่า

ที่สนามบิน...ปานฟ้าคุยอยู่กับเติมบุญและสายอุษา
“นี่ถ้าที่บ้านไม่มีเรื่อง ทุกคนก็คงมาส่งลูกกันพร้อมหน้าพร้อมตา” เติมบุญบอกเศร้าๆ
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ...ที่จริงฟ้าไม่อยากให้คุณพ่อกับคุณแม่มาส่งด้วยซ้ำ บอกตรงๆว่าฟ้าเป็นห่วงพี่เดือน ดูพี่เดือนอาการไม่ค่อยดีเลย”
“ไม่ต้องห่วงหรอกลูก ตั้งใจไปเรียนให้สำเร็จ ทางแม่เดือน พ่อรุทธิ์เขาดูแลได้อยู่แล้ว” สายอุษาบอกให้ลูกสาวสสบายใจ
“นั่นสิ..ถ้าได้ตัวทินภัทรกลับมาเมื่อไหร่ พี่สาวลูกก็คงไม่เป็นอะไรหรอก”
เติมบุญรีบเปลี่ยนเรื่อง
“เครื่องออกกี่โมงล่ะ”
“อีกครึ่งชั่วโมง ฟ้าคงต้องเข้าไปข้างในแล้วล่ะคะ”
เติมบุญพยักหน้า
“เดี๋ยวฟ้าขอตัวไปห้องน้ำก่อนนะคะ”
“ไปเถอะลูก...พ่อกับแม่จะรออยู่ตรงนี้”
ปานฟ้าเดินไป ก้องภพวิ่งหอบๆเข้ามาทักเติมบุญกับสายอุษา
“สวัสดีครับคุณลุง...คุณป้า...” ก้องภพไม่เห็นปานฟ้าก็ตกใจ “ฟ้าเข้าไปแล้วเหรอครับ”
เติมบุญหัวเราะ
“ยังหรอกหลานชาย...ยัยฟ้าไปห้องน้ำเดี๋ยวก็มา”
ก้องภพค่อยยิ้มออกมาได้

ภาคินเดินมาเข้าห้องน้ำ เด็กนักเรียนหิ้วตะกร้าใส่กุหลาบเข้ามาดักหน้า ภาคินหยุดมอง เด็กนักเรียนหยิบกุหลาบสีแดงส่งให้ดอกหนึ่ง
“พี่ขาช่วยซื้อกุหลาบหนูหน่อยนะคะ หนูจะเอาเงินไปเป็นค่าเทอมค่ะ”
ภาคินมองอย่างสงสาร
“ดอกละเท่าไร”
“สิบบาทค่ะ”
ภาคินพยักหน้า หยิบแบงก์ยี่สิบออกมาส่งให้
“เอ้า...ไม่ต้องทอนหรอกพี่ให้...แล้วก็ตั้งใจเรียนนะ”
เด็กพนมมือไหว้
“ขอบคุณค่ะ...”
ภาคินมองเด็กเดินจากไป ยิ้มอย่างสงสาร จะเดินเข้าด้านห้องน้ำชายแล้วก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นปานฟ้าเดินออกมาจากด้านห้องน้ำหญิง
ปานฟ้าเงยหน้ามาเจอภาคินตกใจ รีบยกมือไหว้ ภาคินรับไหว้งงๆ
“ไหว้ผมทำไม...”
“ก็คุณเป็นพี่ชาย ของก้องภพไม่ใช่เหรอคะ”
ภาคินอึ้ง ยิ้มสมเพชตัวเอง
“ถ้าก้องภพได้ยินคงไม่พอใจนัก ทีหลังไม่ต้องไหว้ผมหรอกครับมันไม่เหมาะ”
“ฉันโตพอที่จะรู้ได้ด้วยตัวเองว่า อะไรเหมาะอะไรไม่เหมาะ แล้วการตัดสินใจของฉันก็ไม่เกี่ยวกับใครด้วยโดยเฉพาะก้องภพ”
ภาคินอึ้งไปอีก ปานฟ้าไหว้อีกครั้ง
“ฉันไปละคะ”
ปานฟ้าหันหลัง ภาคินรีบเรียกไว้
“เดี๋ยวครับ”
ปานฟ้าหันมามอง
“อะไรคะ”
“คุณ...ทำกิ๊บติดผมตกไว้ที่สนาม ผมเก็บได้ จะเอาไปให้แต่ไม่มีโอกาส”
ปานฟ้าดีใจ
“เหรอคะ...ถ้าอย่างนั้นฉันขอฝากไว้ก่อนก็แล้วกัน อีกหกปีจะกลับมาเอาค่ะ ถ้าคุณไม่ทำหายไปเสียก่อน”
ภาคินอดยิ้มไม่ได้ พอเธอจะเดินไปเขารีบพูด
“ขอให้เดินทางปลอดภัยนะครับ”
ปานฟ้าหันมายิ้ม ภาคินตัดสินใจส่งดอกกุหลาบให้ ปานฟ้าเขินๆขณะรับดอกกุหลาบมาถือไว้
“ขอบคุณค่ะ”
ปานฟ้ารีบหมุนตัวกลับเดินเร็วๆไป ภาคินมองตามจนเธอเดินลับไป

ปานฟ้าเดินกลับมาหาทุกคน ก้องภพดีใจรีบเข้าไปหา
“นึกว่าจะมาไม่ทันส่งฟ้าซะแล้ว”
“ต้องมาทำไมลำบากเปล่าๆ”
สายอุษามองนาฬิกา
“จวนได้เวลาแล้วมั้งลูก”
“ค่ะ” ปานฟ้ากราบที่อกเติมบุญและสายอุษา “ฟ้าไปก่อนนะคะยังไงถ้ามีข่าวหลานช่วยบอกฟ้าด้วย”
สายอุษายิ้มให้ลูกสาว
“จ้ะลูก...”
“ไม่ต้องคิดเรื่องอื่นนะยัยฟ้า คิดแต่เรื่องเรียนอย่างเดียว พ่อกับแม่จะรอความสำเร็จของลูก” บุญเติมเตือนสติ
ปานฟ้ายิ้มรับ
“ค่ะ...คุณพ่อ คุณแม่”
ปานฟ้าหันมาทางก้องภพ
“ไปก่อนนะก้องภพ ขอบใจมากที่มาส่ง”
“แล้วเมลมาคุยกันบ้างนะฟ้า”
ปานฟ้าพยักหน้า เดินเข้าไปที่ประตูทางเข้า เธออดเหลือบมองหาภาคินไม่ได้ แต่ไม่เห็น เธอก้มลงมองกุหลาบในมือ ก่อนจะหันกลับมาโบกมือให้ทุกคนแล้วตัดสินใจเดินเข้าไป

ภาคินยืนอยู่ด้านนอกสนามบิน มองเครื่องบินบนท้องฟ้านิ่งๆ ก้องภพเข้ามาด้านหลังพูดเยาะๆ
“ท่าทางแกเหมือนหมา มองเครื่องบินไม่มีผิดเลยว่ะ”
ภาคินสะอึก กำมือแน่นระงับอารมณ์เดินไปที่รถจอดอยู่ ก้องภพยิ้มเยาะเดินตามมาขึ้นรถไป ภาคินขับออกไปอย่างรวดเร็ว
ภาคินขับรถไปเรื่อยๆ ก้องภพนั่งกระดิกเท้าพูดขึ้นลอยๆ
“ป่านนี้ฟ้าคงร้องไห้ขี้มูกโป่ง เพราะทนคิดถึงฉันไม่ไหวแน่ๆ”
ภาคินเฉย ก้องภพชะโงกมาตรงกลางข้างๆ
“แกว่าแฟนฉันสวยมั้ยไอ้ภาคิน”
ภาคินนิ่ง ก้องภพพูดต่อโดยไม่ต้องการคำตอบ
“เสียดายจริงๆที่ยังไม่ทันได้ฟันก่อนไป แต่ก็ช่างเถอะยังไงๆยัยฟ้าก็ไม่พ้นมือฉันอยู่แล้ว”
ก้องภพถอยกลับไปนั่งกระดิกขา มองออกนอกหน้าต่าง มือภาคินกำพวงมาลัยรถแน่นเกร็งจนเส้นเลือดโปน เขาหักพวงมาลัยอย่างแรง จนก้องภพถลำไปข้างหน้า แต่มีเข็มขัดนิรภัยคาดไว้ ศีรษะชนเข้ากับข้างหน้า อย่างแรง หน้านิ่ว โวยวาย
“ไอ้บ้าเอ๊ย แกขับรถประสาอะไรว่ะ”
ภาคินตอบเรียบๆ
“ขอโทษครับ...คันหน้าแซงปาดเข้ามากะทันหัน ถ้าผมไม่หลบก็คงชน”
ก้องภพหันมองภาคิน แค้นๆ แต่เห็นภาคินหน้านิ่งมากเหมือนไม่ได้แกล้งจริงๆ ก็ขยับเสื้อผ้าให้เข้าที่ ภาคินสายตามีแววสะใจแวบเดียวก็กลับเป็นปกติ ตามองเครื่องบินเหนือฟ้าไกลๆเผลอยิ้มนิดๆ
บนเครื่องบิน...ปานฟ้านั่งอยู่ริมหน้าต่างมองออกไป ก่อนจะหันมามองกุหลาบที่ยังถืออยู่ในมืออดยิ้มให้ไม่ได้

คืนนั้น...ภาคินอยู่ในห้องนอน นั่งมองกิ๊บติดผมในมือ นึกถึงคำพูดของปานฟ้า
‘เหรอคะ...ถ้าอย่างนั้นฉันขอฝากไว้ก่อนก็แล้วกัน อีกหกปีจะกลับมาเอาค่ะ ถ้าคุณไม่ทำหายไปเสียก่อน’
ภาคินยิ้มนิดๆให้กับกิ๊บติดผมในมือ ก่อนจะลงมือเปิดลิ้นชักโต๊ะหากล่องมาใส่ สักพักเขาก็หากล่องเล็กๆได้ หยิบออกมาเปิดแล้วบรรจงวางกิ๊บของปานฟ้า ลงไปในกล่องอย่างทะนุถนอม

วันใหม่...เติมบุญ สายอุษา ปานเดือน อนิรุทธิ์มาตามคดีที่โรงพัก คุยกับตำรวจอยู่ในห้องร้อยเวร
“อะไรกันคุณตำรวจ จะเป็นเดือนอยู่แล้วทำไมมันไม่มีความคืบหน้าเลย” เติมบุญตบโต๊ะด้วยอารมณ์โกรธ
“ใจเย็นๆครับ...ทางเราก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ แต่ทางคนร้ายก็ไม่ยอมติดต่อมาเลย แบบนี้มันคงไม่ได้คิดจะเรียกค่าไถ่แล้วล่ะครับ” ตำรวจพยายามอธิบาย
ปานเดือนเสียงสั่น
“หมายความว่ายังไงคะ”
“มันอาจจะขโมยเด็กไปเป็นลูก หรืออาจจะเป็นพวกโรคจิต ที่ชอบทำร้ายเด็กก็ได้”
ปานเดือนร้องไห้
“อะไรนะคะ”
อนิรุทธิ์พยายามปลอบ
“ใจเย็นๆคุณเดือน”
สายอุษาร้อนใจ
“ไม่มีทางอื่นเลยหรือคะคุณตำรวจ”
“ผมส่งสายสืบออกตามหาทั่วเลยนะครับ แม้กระทั่งแถวชายแดน ถ้ามันเอาเด็กไปขายละก็ ไม่รอดสายตาไปได้หรอกครับ”
จู่ๆปานเดือนก็กรี๊ดขึ้นมากแล้วสลบไป ทุกคนตกใจมาก เติมบุญกับสายอุษามองลูกอย่างสงสาร
“แม่เดือน...โธ่ เดือนลูก”
“รีบพาคุณเดือน ส่งโรงพยาบาลเถอะครับ เธอช็อกไปแล้ว”
ทั้งหมดกุลีกุจออย่างตื่นตระหนกรวมทั้งตำรวจด้วย

ปานดาวคุยโทรศัพท์ แกล้งร้องตกใจ
“ตายแล้ว...โธ่นี่ยัยเดือนจะเป็นอะไรมาก หรือเปล่าคะคุณแม่”
ภูวดลยืนฟังอยู่ข้างๆลุ้น
“รอหมอตรวจอยู่เหรอคะ...ค่ะ...เดี๋ยวดาวจะรีบไปโรงพยาบาลเลยค่ะๆๆ คุณแม่”
ปานดาวตัดการติดต่อยิ้มเยาะ ภูวดลรีบถาม
“ไงคุณ ถึงกับเข้าโรงพยาบาลเลยเหรอ อาการเป็นไง”
“ยังไม่รู้ แต่ฉันภาวนาขอให้มันเป็นบ้าไปเลยยิ่งดี”
ปานดาวยิ้มเยาะอย่างร้ายกาจสุดๆ

ปานเดือนนอนซึมอยู่บนเตียงคนไข้ ไม่มองหน้าใครไม่พูดจา ทุกคนกังวลมาก สายอุษาหันมามองหมอ
“ทำไมลูกสาวฉัน เป็นแบบนี้ล่ะคะหมอ”
“จากการตรวจร่างกายทั้งหมด คุณปานเดือนก็ปกติดี”
เติมบุญสงสัย
“หมายความว่ายังไง”
“ผมคิดว่า น่าจะเป็นอาการทางจิตใจมากกว่าครับ”
อนิรุทธิ์ตกใจ
“อะไรนะครับคุณหมอ คุณเดือนมีอาการทางจิตเหรอครับ”
หมอพยักหน้า
“หมออยากแนะนำ ให้พาคนไข้ไปพบจิตแพทย์ให้เร็วที่สุด”
ทุกคนตกใจ สายอุษาจับแขนปานเดือนคร่ำครวญ
“โธ่แม่เดือนของแม่...เวรกรรมอะไรถึงต้องมาเป็นอย่างนี้”
เติมบุญแน่นหน้าอก ทำท่าจะทรุด อนิรุทธิ์หันมาเห็นร้องตกใจ
“คุณพ่อ...”
หมอรีบเข้ามาช่วยประคอง ทุกคนวุ่นวายโกลาหลกันยกใหญ่

เติมบุญนอนนิ่งอยู่บนเตียง ในห้องพักผู้ป่วยสายอุษานั่งอยู่ข้างเตียง มองแล้วหันมาพูดกับอนิรุทธิ์
“แม่เดือนก็แย่ คุณพี่ก็โรคหัวใจกำเริบ”
“ตั้งสติไว้นะครับคุณแม่” อนิรุทธิ์ปลอบ
สายอุษาถอนใจ
“ทุกอย่างมันเกิด เพราะทินภัทรหายไปแท้ๆ”
อนิรุทธิ์หน้าเศร้าสลดลง
“ใช่ครับ ถ้าตามลูกกลับมาได้ทุกคนคงดีขึ้น”
สายอุษาหน้าเครียดหนักใจ
“แล้วเราจะไปตามทินภัทรได้ที่ไหนล่ะ ขนาดตำรวจยังไม่เจอเลย”
“ยังไงๆ ผมก็ต้องตามทินภัทรกลับมาให้ได้”
อนิรุทธิ์น้ำตาคลอ แต่ใบหน้าและสายตาไม่ยอมแพ้ง่ายๆ

ภูวดลกับปานดาวมาหาพิมที่ห้องเช่าเก่าๆ แล้วส่งเงินให้ พิมกระตุกเงินจากมือภูวดลไป
“นึกว่าจะไม่ได้ซะแล้ว หายหัวไปเลยนะพี่”
“ก็บอกแล้วไงว่าต้องรอให้เรื่องมันเงียบซะก่อน ว่าแต่แกก็ได้เงินที่ขายไอ้ทินภิทรไป ใช้หมดแล้วเหรอไง”
“ไม่หมดได้ไง ก็ตอนนี้ฉันต้องทำมาหากินคนเดียว ไม่ได้สุขสบายเหมือนพี่นี่นา”
พิมมองปานดาวอย่างไม่ชอบหน้า
“กลับเถอะภู...อึดอัดจนหายใจจะไม่ออกอยู่แล้ว” ปานดาวรำคาญลุกขึ้น
พิมมองหมั่นไส้ ปานดาวจ้องพิม
“จำไว้น่ะอย่าเผลอไปหลุดปากเรื่องนี้เด็ดขาด ต่อให้เธอเป็นน้องของภูฉันก็เอาตายแน่”
พิมกระแทกเสียง
“รู้แล้วล่ะค่ะ”
พิมลุกตาม แล้วเซจะล้มภูวดลรีบรับ
“แกไม่สบายเหรอนังพิม”
“อาการปกติของคนท้องน่ะไม่เป็นไรหรอก นี่ก็ยังคิดๆอยู่ว่าจะไปเอาออกแต่ก็กลัวๆกล้าๆอยู่เนี่ย ขืนออกมาก็จะพากันอดตาย”
พิมส่ายหัวเซ็งๆ ภูวดลมองพิมอย่างครุ่นคิด

ภูวดลขับรถมาจอดริมถนน หันไปบอกปานดาวว่าจะเอาลูกของพิม มาเลี้ยงเป็นลูกตัวเอง ปานดาวฟังแล้วตกใจ
“อะไรนะ...คุณพูดใหม่สิ”
ภูวดลยิ้มอย่างมีแผน
“ผมบอกว่า...เราน่าจะเอาลูกนังพิมมาเป็นลูกของเราเสีย...ตอนนี้ทินภัทรก็ไม่อยู่แล้วถ้าคุณมีลูกแล้วเกิดเป็นลูกชาย สมบัติพ่อคุณจะไปไหนเสีย”
ปานดาวคิดตามอย่างเริ่มสนใจ
“แล้วน้องคุณจะยอมเหรอ”
“นังพิมน่ะไม่มีปัญหาแน่...มันเองก็ไม่อยากได้ลูกอยู่แล้ว”
“แล้วท้องฉันล่ะ...จะทำยังไงไม่ให้ใครๆสงสัย”
“ไม่ยาก...ไอ้เรื่องที่ผมเป็นหมันก็ไม่มีใครรู้...กลับไปนี่คุณก็แกล้งทำเป็นแพ้ท้อง แล้วก็บอกใครๆว่าท้อง จากนั้นก็ขอคุณแม่ไปเมืองนอก อ้างว่าแพ้อากาศเมืองไทยหรืออะไรก็ได้ รอจนนังพิมคลอด เราก็อุ้มเด็กกลับมาอุปโลกน์ว่าเป็นลูกเรา ใครจะมาสงสัย...”
ปานดาวพยักหน้าเห็นด้วย
“ไม่เลว...แต่ถ้าถึงตอนนั้น นังพิมมันเกิดเสียดายลูกขึ้นมาล่ะ”
“ก็ให้มันมาอยู่กับลูกมันก็ได้นี่...ให้มันเป็นคนเลี้ยงเด็กก็ได้”
“แน่ใจนะว่าจะไม่มีปัญหา”
“นังพิมนะถึงมันจะล้นๆไปบ้าง แต่มันก็เกรงผมมาก ผมรับรองว่ามันไม่ทำให้เราเดือดร้อนหรอก คุณว่าไง...คุณดาว”
ปานดาวคิดหนัก ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ

สองปีต่อมา....ปานฟ้านั่งอยู่หน้าโน้ตบุ๊ค คุยกับอนิรุทธิ์กับสายอุษาผ่านเว็บแคม
“ฟ้าผอมไปนะลูก”
“นิดหน่อยค่ะแม่ ใกล้จะสอบแล้วช่วงนี้ฟ้าอยู่ดูหนังสือดึกๆทุกคืน แล้วพี่เดือนละค่ะ”
อนิรุทธิ์มองสายอุษา ก่อนจะรีบพูดยิ้มแย้ม
“หลับไปแล้วจ้ะ”
“ว้าทุกทีเลย ไม่ได้คุยกับพี่เดือนสักครั้ง ถ้าอย่างนั้นฟ้าฝากบอกพี่เดือนด้วยนะคะว่าให้หายเร็วๆ คุณพ่อล่ะคะคุณแม่”
“อ๋อ...คุณพ่อไปงานเลี้ยงนะจ้ะ นี่ก็บ่นถึงลูกอยู่บ่อยๆ”
“ก็ยังดีนะคะ ที่พี่ดาวมีธัญวิทย์มาช่วยแก้เหงา ให้คุณพ่อหายคิดถึงทินภัทรได้บ้าง”
สายอุษาอึ้งๆไปเมื่อนึกถึงธัญวิทย์ ลูกชายของปานดาว อนิรุทธิ์รีบเปลี่ยนเรื่อง
“ตกลงปิดเทอมนี้ ฟ้าจะไม่กลับบ้านอีกแล้วเหรอครับ”
“ค่ะ...ฟ้าได้งานก็เลยอยากลองทำดู จะได้เป็นประสบการณ์ด้วย อีกอย่างฟ้าเสียดายค่าเครื่องบินนะคะ เอ้อจริงสิธัญวิทย์กี่ขวบแล้วคะ”
“ขวบกว่าๆแล้วจ้ะ”
“คงกำลังน่ารักน่าดูเลย”
สองคนยิ้มเจื่อนๆ แต่ปานฟ้าไม่ทันสังเกต

ธัญวิทย์ ปัดจานข้าวตกกระจายร้องงอแง
“ไม่กินๆๆๆ”
พิมมองอย่างเหลืออด จะเข้ามาตี
“ไอ้เด็กบ้าดื้อชะมัด...ตีซะทีดีมั้ยเนี่ย”
“หยุดนะนังพิม” เสียงปานดาวดังขึ้น
พิมชะงัก ปานดาวเข้ามาอุ้มธัญวิทย์ไป
“แกจะทำอะไรคุณธัญวิทย์”
“ไม่ทำอะไรหรอกค่ะ...แต่คุณดูสิคะ...ดื้อเป็นบ้าเลยพิมจะไม่ไหวอยู่แล้ว”
“ถ้าแกไม่ไหวก็ไสหัวไป”
พิมชะงัก ปานดาวมองหน้า
“แต่ถ้าแกจะอยู่ต่อ ก็ต้องทำให้ได้ และอย่าบังอาจมาแตะต้องลูกฉันเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นแกโดนดีแน่นังพิม”
ปานดาวอุ้มธัญวิทย์เดินไป พิมมองเยาะ
“ลูกฉันๆๆเชอะ...พูดได้ไม่อายปาก นี่ถ้าไม่เห็นแก่สมบัติไอ้แก่ล่ะก็ นังพิมไม่อยู่ให้สับโขกอย่างนี้หรอก”
พิมถอนใจอย่างหัวเสีย

ปานฟ้าปิดโน้ตบุ๊คลงมา หยิบหนังสือเดินมาที่เตียงจะอ่าน เปิดไปเจอดอกกุหลาบที่ทับไว้จนแห้ง เธอหยิบดอกกุหลาบออกมาดูมองยิ้มๆพึมพำ
“ป่านนี้เจ้าของกุหลาบดอกนี้ จะยังเก็บกิ๊บของเราไว้ให้หรือเปล่าน้า”
ปานฟ้าลุกเดินไปยืนมองนอกหน้าต่าง เหมือนจะมองข้ามขอบฟ้าไปให้ถึงเมืองไทย
ช่วงเวลาเดียวกันนั้น...ภาคินมองกิ๊บในมือแล้วยิ้มๆ
“สองปีแล้วสิ...เหลืออีกสี่ปีกว่าเจ้าของเขาจะมาเอาคืน หรือไม่ป่านนี้เขาก็ลืมเจ้าแล้วล่ะเจ้ากิ๊บน้อย”
ขณะเดียวกันนั้น เสียงเคาะประตูดังขึ้น ภาคินรีบวางกิ๊บลงในกล่องเก็บใส่ลิ้นชักตามเดิม เดินไปเปิดประตูเห็นป้านุ่มยืนอยู่
“ป้า...มีอะไรเหรอครับ”
“คุณพ่อให้มาตามคุณหนูไปพบค่ะ”
ภาคินแปลกใจ

เมื่อภาคินมาพบอานนท์ที่ห้องทำงาน เขาถามเสียงอ่อนโยน...
“เรียนจบแล้วสินะเรา”
“ครับ”
“ดีแล้วจะได้มาช่วยงานที่บริษัท เริ่มพรุ่งนี้เลยดีมั้ย ไปพร้อมพ่อก่อน แล้วพ่อจะดูรถดีๆให้ใช้สักคัน”
ภาคินมองหน้า พูดอย่างเกรงใจแต่เด็ดเดี่ยว
“ผมได้งานแล้วครับ”
อานนท์หน้าเปลี่ยนเป็นเครียด
“งานอะไร”
“เป็นอาสาสมัครมูลนิธิเด็กกำพร้าครับ”
อานนท์ส่ายหน้า
“นึกยังไงจะไปทำงานแบบนั้น บริษัทเราก็มีแกน่าจะมาช่วยพ่อมากกว่า”
ทันใดนั้นเสียงวิมลวรรณดังเข้ามา
“จะไปฝืนใจลูกชายหัวแก้วหัวแหวนทำไมกันคะ”
วิมลวรรณเข้ามานั่งข้างๆอานนท์
“ควรจะให้เจ้าตัวเขาทำงานที่ใจรักมากกว่า ฉันว่างานที่เขาอยากทำก็เหมาะสมกับตัวเขาอยู่แล้ว” วิมลวรรณเน้นเยาะๆ “มูลนิธิเด็กกำพร้า ไม่เลว...ไม่เลวทีเดียว”
วิมลวรรณหัวเราะเหมือนกับขำมาก ภาคินนิ่งอย่างพยายามข่มความรู้สึก

ภาคินเดินมาหยุดหอบๆ เพราะพยายามข่มอารมณ์สุดๆ เขาเงยหน้ามองดาวบนฟ้า ส่ายหน้าถามอย่างอัดอั้น
“แม่ครับ...แม่อยู่ที่ไหนทำไมแม่ถึงทิ้งผมไป...ทำไม...ทำไม”
ภาคินทรุดลงคุกเข่าอยู่กับพื้น ป้านุ่มเข้ามาจับที่บ่า ภาคินหันมามอง
“ป้านุ่ม...”
ป้านุ่มคุกเข่าลงข้างๆ น้ำตาคลอ
“อดทนไว้นะคะคุณหนู เชื่อป้าเถอะค่ะว่า คนดีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายย่อมคุ้มครอง สักวันคุณหนูก็ต้องได้รับสิ่งดีๆตอบแทน”
“ผมไม่ต้องการอะไรเลยครับป้านุ่ม ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริงผมขอให้แม่กลับมาหาผม อย่าทิ้งผมไปอย่างนี้ ผมก็พอใจแล้ว”
“แม่ของคุณหนู ไม่ได้อยากทิ้งคุณหนูไปหรอกนะคะ”
ภาคินชะงัก ถามละล่ำละลัก
“ป้า...ป้ารู้จักแม่ของผมเหรอครับ ป้ารู้เรื่องแม่ใช่มั้ย...ใช่มั้ยครับป้านุ่ม”
ภาคินมีความหวัง ป้านุ่มอึกอักรีบส่ายหน้า
“ป้าไม่รู้หรอกค่ะ...เพียงแต่ป้าเชื่อว่าคนเป็นแม่ ไม่มีวันที่จะทิ้งลูกของตัวเองหรอก ถ้ามันไม่มีเรื่องคอขาดบาดตายจริงๆ”
ภาคินก้มหน้าหมดหวัง ป้านุ่มได้แต่มองอย่างสงสารจับใจ

วิมลวรรณจ้องอานนท์ตาเขียว
“ทำไมฉันแตะต้องมันไม่ได้เลยเหรอ”
“ผมไม่เข้าใจคุณจริงๆ ทำไมคุณชอบฟื้นฝอยหาตะเข็บ คุณมีความสุขมากนักเหรอคุณหญิง กับการที่ได้พูดจากระทบกระแทกแดกดันผมกับภาคิน”
“ฉันไม่ได้มีความสุข ฉันมีแต่ความเจ็บปวดที่โดนผัวตัวเองสวมเขาให้”
อานนท์ข่มใจ
“ผมขอโทษคุณกี่ร้อยหนแล้ว”
“อ๋อ...คุณนึกว่าแค่ขอโทษ มันก็ลบล้างความชั่ว ที่คุณกับนังบุษบาร่วมมือกันทำร้ายจิตใจฉันได้อย่างงั้นเหรอ”
ภาคินเดินผ่านหน้าห้องมาถึงชะงักฟัง ทันใดนั้นประตูเปิดออกมาอย่างแรง ภาคินรีบหลบเข้าหลังประตู เขาเห็นพ่อเดินหัวเสียออกไป เสียงวิมลวรรณยังดังตามออกมาอย่างแค้นๆ
“ไปเลยจะไปลงนรกที่ไหนก็ไปเลย...ไป๊”
ภาคินสีหน้ามีความหวังขึ้น พึมพำออกมา
“บุษบา...แม่ชื่อบุษบา”

ค่ำคืนนั้น....เสียงดนตรีและเสียงร้องลิเกจากด้านหน้าเวทีดังจนมาถึงด้านหลัง นักแสดงคนอื่นๆ เตรียมการแสดงอยู่
บุษบาที่เวลานี้เปลี่ยนใหม่ชื่อเป็นกัญญา เปิดนิตยสารฉบับหนึ่งค้างไว้ ภาพในนิตยสารเป็นภาพของวิมลวรรณ อานนท์ และก้องภพ ถ่ายรูปครอบครัวด้วยสีหน้าและท่าทางอบอุ่นร่วมกันแต่ไม่มีรูปของภาคิน เธอไล้มือไปที่ภาพนั้น น้ำตารื้น รีบเปิดอ่านข้อความสัมภาษณ์อย่างรวดเร็วแล้วเงยหน้าขึ้น พึมพำกับตัวเอง
“ทำไมไม่มีลูกแม่...” กัญญาน้ำตาคลอ “ไม่มีใครพูดถึงลูกเลยสักคนหรือว่า...โธ่ลูก”
กัญญาร้องไห้ ถมเดินเข้ามา
“ถึงคิวแล้วแม่กัญญา อ้าว...ร้องไห้อีกแล้ว”
กัญญารีบเช็ดน้ำตา
“คิดถึงลูกอีกล่ะสิ”
“ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละพี่”
กัญญาจะลุก ถมจับมือไว้ มองอย่างเห็นใจมาก
“ลูกแม่กัญญาก็ตายไปนานแล้ว หักอกหักใจเสียบ้างเถอะ เห็นเธอโศกเศร้าบ่อยๆ อย่างนี้ฉันเป็นห่วงนะ”
ช้อยเป็นนางร้ายประจำคณะแต่งชุดลิเกอยู่มุมหนึ่ง ชะงักหยุดมองอย่างไม่พอใจ ก่อนจะสะบัดไป กัญญาดึงมือออกอย่างสุภาพ
“จ้ะ...พี่ขอบใจมาก”
กัญญารีบเดินออกไป ถมถอนใจพึมพำ
“เมื่อไรเธอจะยอมใจอ่อนกับฉันซะทีนะแม่กัญญา”
ช้อยยืนมองกัญญา เดินมาถึงอย่างหมั่นไส้พูดขึ้นลอยๆ ปรายตาไปทางถม
“เคยเห็นแต่นางเอก ต้องคอยง้องอนเจ้าของคณะ เพิ่งจะเห็นคณะนี้แหละที่เจ้าของต้องคอยงอนง้อเอาใจแม่นางเอก อีกหน่อยคงต้องกราบให้มาเล่นเลยละมั้ง”
กัญญาชะงัก แล้วตัดใจไม่สนเดินผ่านช้อยไปข้างเวทีเตรียมตัวขึ้นแสดง ช้อยยังพูดต่อ
“พี่ถม ก็ช่างกระไร สาวๆสดๆไม่สน สนแต่พวกแตงเถาตายอย่างนังกัญญาเชอะ”
กัญญาหันกลับมาแต่ช้อยเดินเชิดไป กัญญาได้แต่ถอนหายใจข่มใจตัวเองไม่ให้โกรธ
เมื่อออกไปหน้าเวที...กัญญาร้องลิเกตามบทบาท เสียงร้องไพเราะจับใจผู้ชม จนผู้ชมปรบมือให้ ถมโผล่หน้าออกมาดูจากด้านข้างของโรงลิเก
“เพราะจริงๆ แฟนลิเกของแม่กัญญานี่เหนียวแน่นจัง ไปแสดงที่ไหน คนเยอะทุกที่”
ที่ด้านข้างเวทีอีกข้างหนึ่ง ช้อยมองดูกัญญาร้องลิเกด้วยสายตาหมั่นไส้

“หมั่นไส้ สักวันฉันจะเฉดหัวแกออกจากคณะนี้ให้ได้”

ช้อยคำรามในลำคอ
เช้าวันต่อมาป้านุ่มถือตะกร้าออกมาจากบ้าน เดินมองหารถพึมพำ

“วันนี้พวกวินมอเตอร์ไซค์ มันหายหัวไปไหนหมด”
เสียงกัญญาเรียกดังมาเบาๆ
“พี่นุ่ม...พี่นุ่ม”
ป้านุ่มหันซ้ายขวา
“ใครเรียก”
ป้านุ่มตาโต เมื่อเห็นกัญญาแอบอยู่มุมหนึ่ง ป้านุ่มรีบลนลานเข้าไปหา
“แม่บุษบา...นี่ฉันไม่ได้ฝันไปใช่มั้ย”
“ฉันเองจ้ะพี่นุ่ม”
ป้านุ่มมองซ้ายขวาร้อนรน
“ไปหาที่คุยกันที่อื่นเถอะ...ไปเร็ว”
กัญญาพยักหน้าเห็นด้วย

ในตลาดสด...ผู้คนจับจ่ายซื้อของกันมากมายมากมาย กัญญากับป้านุ่มนั่งคุยกันอย่างตื่นเต้น อยู่ที่ร้านกาแฟเล็กๆ
“ไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้เจอกันอีก นี่แม่บุษไปอยู่ที่ไหนมาล่ะ แล้วยังเล่นลิเกอยู่หรือเปล่า หรือทำมาหากินอะไร โอ๊ย...ฉันดีใจจริงๆ”
“ฉันก็ยังเล่นลิเกเหมือนเดิม แต่อยู่ไม่ค่อยเป็นที่เป็นทางหรอกจ้ะ ที่ไหนเล่นดีก็ปักหลักนานหน่อย ถ้าไม่มีคนก็เร่ไปเรื่อยแล้วแต่เจ้าของคณะเขา”
ป้านุ่มพยักหน้าน้ำตาไหล
“ลำบากแย่สินะแม่คุณเอ๊ย...ดูผอมดำไปนะ”
กัญญาตื้นตันพูดไม่ออกน้ำตาไหลเหมือนกัน ป้านุ่มรีบเช็ดน้ำตา
“เออแล้วมานี่ มีอะไรเดือดร้อนหรือเปล่า”
ป้านุ่มควักกระเป๋าสตางค์ออกมาจะเปิดหยิบเงิน
“ฉันก็ไม่มีเงินติดตัวมามากนัก แค่เอามาซื้อกับข้าว แม่บุษเอาไปก่อนก็แล้วกัน”
กัญญารีบห้าม
“ฉันไม่ได้มาหาพี่นุ่มเพราะเรื่องเงินหรอกจ้ะ”
ป้านุ่มชะงัก กัญญารีบพูดต่อ
“ฉันอยากรู้ข่าวคราวเรื่องลูก...เขาเป็นยังไงบ้างป่านนี้คงโตเป็นหนุ่มแล้วสิน่ะ”
ป้านุ่มอึ้งมองกัญญา ที่ร้องไห้ออกมาอีกอย่างสงสาร
“ลูกคงโกรธและเกลียดฉันมาก” กัญญาบอกอย่างเสียใจ
“ไม่หรอก...คุณหนูแค่เสียใจ เพราะเธอไม่เข้าใจว่าทำไมแม่บุษ ถึงต้องทิ้งเธอไป”
ป้านุ่มมองกัญญา ที่กำลังร้องไห้อย่างสงสาร
“ฉันเองก็น้ำท่วมปาก จะพูดอะไรก็ไม่ได้ แม่บุษก็คงเข้าใจฉันนะ”
“ฉันเข้าใจดีจ้ะพี่นุ่ม ยังไงฉันก็ฝากภาคินด้วย ฉันมันคนมีกรรมมีลูกก็ไม่ได้เลี้ยงดูอุ้มชูเขาเลย”
ป้านุ่มนึกขึ้นได้ หยิบกระเป๋าเงินออกมา ดึงรูปถ่ายภาคินครึ่งตัวออกมายื่นให้
“นี่ไงรูปคุณหนู ตอนเรียนจบเห็นว่าต้องไปถ่ายติดใบสมัครงานอะไรนี่ละ เอามาอวดฉัน ฉันก็เลยขอไว้ เอ้าฉันให้แม่บุษ”
กัญญาดีใจมากรับรูปมามือสั่น ตาจ้องรูปภาคินอย่างปลื้มใจ
“ภาคิน...โตเป็นหนุ่มขนาดนี้เชียวเหรอ”
“โอ๊ย...รูปร่างสูงใหญ่ดูสิได้เค้าหน้า ทั้งพ่อทั้งแม่มาเชียว”
กัญญาค่อยๆเอามาแนบอกอย่างทะนุถนอม ป้านุ่มมองแล้วเบือนหน้าไปเช็ดน้ำตาอย่างสะเทือนใจ

ภาคินอยู่ในห้องทำงานของมูลนิธิเด็กเร่ร่อน เขากำลังดูแฟ้มประวัติของเฟื่องแก้วที่มาสมัครงานอย่างพอใจ ก่อนจะเงยหน้ามองเธอที่นั่งอยู่ตรงข้าม
“ผมพอใจประสบการณ์ของคุณมาก”
เฟื่องแก้วตาโต
“หมายความว่า...”
ภาคินลุกขึ้นยื่นมือไปตรงหน้า
“ยินดีที่เราจะได้ร่วมงานกัน”
เฟื่องแก้วรีบยกมือไหว้ มองภาคินหน้าแดง
“ขอบคุณมากค่ะ...แก้วจะตั้งใจทำงานให้ดีที่สุด”
“ผมเชื่อ...ว่าแต่คุณจะเริ่มงานได้เมื่อไร”
“เดี๋ยวนี้เลยค่ะ”
ภาคินงง
“แต่คุณต้องพักอยู่ที่นี่นะ”
“ไม่มีปัญหาค่ะ ตอนเลิกงานแก้วจะกลับไปเอากระเป๋าที่หอพัก แก้วอาศัยเพื่อนอยู่น่ะค่ะ”
ภาคินพยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้นวันนี้ก็ทำความรู้จักกับเด็กๆก่อน ส่วนเรื่องตารางกิจกรรมต่างๆอยู่ที่ห้องด้านนอกคุณลองไปศึกษาดูไม่เข้าใจอะไรก็มาถามผมได้”
“ค่ะ...คุณภาคิน”
ภาคินก้มหน้าทำงานต่อ เฟื่องแก้วมองเขาอย่างพอใจมาก

เมื่อออกมานอกห้อง เฟื่องแก้วเดินมาหยุดเคลิ้มๆ หันไปมองทางห้องทำงานของภาคิน
“หล่อจัง...ฮึ่ม...”
เฟื่องแก้วหันกลับมาจะเดินต่อชนกับตุลย์เต็มแรง
“โอ๊ย...”
เฟื่องแก้วเซจะล้ม ตุลย์รีบคว้าเอวไว้ดึงเข้ามากอด แล้วมองตาเฟื่องแก้วอย่างซึ้งมาก เขาครุ่นคิดในใจ
‘โอโห...เหมือนในละครเลยแหะ...สงสัยจะเป็นเนื้อคู่เราแน่ๆ’
เฟื่องแก้วได้สติ ผลักเขาออกเต็มแรง แถมตบหน้าฉาดใหญ่
“หน่อยแน่...แตะอั๋งฉันเหรอไอ้บ้า”
ตุลย์ตะลึงลูบแก้มอย่างงงๆกลืนน้ำลายพึมพำ
“ไม่เห็นเหมือนในละครเลย”
ภาคินเข้ามาด้านหลังทักเสียงดัง
“อ้าวหมวดตุลย์...สวัสดีครับ”
ตุลย์กับเฟื่องแก้วหันไปมองภาคิน
“สวัสดีคุณภาคิน”
“แก้วรู้จักร้อยตำรวจตรีตุลย์ พิบูลย์รังสรรค์ไว้สิ หมวดทำหน้าที่ประสานงานกับมูลนิธิเรา...นี่คุณเฟื่องแก้วครับหมวดเจ้าหน้าที่คนใหม่” ภาคินแนะนำ
เฟื่องแก้วยิ้มเจื่อนๆ
“เอ้อ...ขอโทษนะคะหมวด...ฉัน...”
ตุลย์รีบยิ้มหน้าทะเล้น
“ไม่เป็นไรครับ...ผมถือว่าฟาดเคราะห์ก็แล้วกัน”
ภาคินงงๆ
“พูดเรื่องอะไรกันครับเนี่ย...”
สองคนสบตากันแล้วขำ ภาคินมองอย่างไม่เข้าใจ

ภาคินเดินนำตุลย์เข้าไปในห้อง แล้วหัวเราะเสียงดัง
“ก็วันนี้หมวดไม่ได้ใส่เครื่องแบบ แก้วเขาคงนึกว่าพวกโรคจิต ชอบฉวยโอกาสกับผู้หญิงล่ะมั้ง”
ตุลย์ตาเหลือก
“นี่หน้าตาผม เหมือนไอ้พวกโรคจิตอย่างงั้นเหรอ”
ภาคินขำมากขึ้น
“เปล่าๆผมไม่ได้หมายความว่ายังงั้น”
ตุลย์มองค้อน ภาคินพยายามหยุดหัวเราะ
“ว่าแต่หมวดมานอกเครื่องแบบอย่างนี้ สงสัยไปสืบอะไรเด็ดมาอีกล่ะสิท่า”
ตุลย์เปลี่ยนเป็นจริงจัง
“ผมกำลังตามตัวไอ้หัวหน้าใหญ่มันอยู่ ไอ้นี้มันร้ายมาก จับกี่ทีก็ได้แต่พวกกระจิ๊บกระจ้อย ส่วนตัวมันหนีไปได้ทุกที เจ้าหน้าที่ชุดเก่านะล่ามันมาหลายปีแล้ว”
“ไม่ว่าจะกี่ปี เราก็ต้องกำจัดพวกขยะสังคมพวกนี้ให้หมด ไม่อย่างนั้นจะต้องมีเด็กที่ถูกลักพามาใช้แรงงานอย่างทารุณอีกนับไม่ถ้วน” ภาคินบอกอย่างจริงจัง
“ถูก...คุณนี่อุดมการณ์แรงกล้าจริงๆ อย่างนี้สิเราถึงร่วมมือกันได้”
“แล้วไอ้ตัวหัวหน้านี่มันชื่ออะไรครับหมวด”
“ไอ้พ่วง...”
แม้จะรู้ตัวหัวหน้า แต่การจับกุมไม่สามารถทำได้ในช่วงเวลานั้น...

หลายปีต่อมา...ค่ำคืนหนึ่ง พ่วงนั่งรอรับเงินอยู่ในบ้าน เด็กๆหน้าตามอมแมมเข้าแถวมาส่งเงินที่หาได้ทั้งวันให้ พ่วงรับเงินจากเปี๊ยกยิ้มพอใจ
“แจ๋วมากไอ้เปี๊ยก วันนี้แกได้กินข้าวอิ่มแน่”
เปี๊ยกยิ้มออกเดินหลบไป บุญทิ้งเป็นรายต่อไป ส่งเงินให้น้อยนิด พ่วงรับมาแล้วตวาดเสียงดัง
“ไอ้บุญทิ้ง...ทำไมได้แค่นี้ว่ะ...อมเงินข้าเหรอ”
บุญทิ้งรีบปฏิเสธอย่างกลัวๆ
“เปล่านะลุง...วันนี้ฉันหาได้แค่นี้จริงๆ”
พ่วงลุกขึ้นกระชากบุญทิ้งมาค้นทั่วตัวอย่างไม่ปรานี แต่ไม่เจอก็โมโหมาก
“เฮ้ย...นี่มันยังได้ไม่ถึงครึ่งของทุกวันเลย แกอู้หรือเปล่าไอ้บุญทิ้ง”
“เปล่านะลุง ฉันไม่ได้อู้แต่วันนี้ไม่มีใครให้ฉันเลย”
“ไม่จริง...แกนะมันตัวทำเงินจะตาย ใครเห็นแกเขาก็อยากให้ทั้งนั้น แกต้องอู้แน่ๆไอ้เด็กเวรนี่คิดจะลองดีกับข้าใช่มั้ย”
พ่วงกระชากบุญทิ้งมาตีอย่างไม่ฟัง บุญทิ้งร้องลั่น
“โอ๊ย...ลุงพ่วง ฉันเจ็บ...โอ๊ย”
บุญทิ้งได้แต่วิ่งหนีไปรอบๆตัวพ่วง เพราะพ่วงกระชากเสื้อไว้มือหนึ่งอีกมือก็ตีตามตัวไม่หยุด
“มานี่ มาให้ข้าตีซะดีๆ ไอ้ทิ้ง...จับตัวได้ เอ็งหลังลายแน่ ไอ้ทิ้ง”

กลางดึก...บุญทิ้งนั่งกอดเข่าร้องไห้สะอื้นอยู่มุมหนึ่ง เปี๊ยกย่องๆออกมายื่นชามข้าวให้ บุญทิ้งรีบรับมากินอย่างหิวโหย กินไปปาดน้ำตาไป เปี๊ยกมองอย่างสงสาร
“เอ้า...ช้าๆเดี๋ยวก็ติดคอตายหรอกไอ้บุญทิ้ง”
บุญทิ้งชะงักทำท่าติดคอขึ้นมาจริงๆ วางชามรีบวิ่งไปที่ตุ่มคว้าขันตักน้ำมากินทำท่าโล่งอก เดินกลับมานั่งหงอยๆ มองเปี๊ยกแล้วถามเบาๆ
“ทำไมลุงพ่วงแกใจร้ายกับพวกเราจัง”
เปี๊ยกทิ้งตัวนั่งลงถอนใจ
“ก็เพราะเราไม่ใช่ลูกใช่หลานเขานี่”
“แล้วทำไมเราต้องอยู่กับลุงพ่วงด้วยล่ะ ทำไมเราไม่หนี”
เปี๊ยกรีบหันมาเอามือปิดปากบุญทิ้ง ห้ามอย่างตกใจ
“เอ็งอย่าไปพูดให้ลุงพ่วงได้ยินนะไอ้บุญทิ้ง เอ็งตายแน่”
เปี๊ยกปล่อยมือ บุญทิ้งแหงนมองฟ้าเห็นไฟเครื่องบินไกลๆ
“ฉันอยากให้มีนางฟ้า เหาะลงมาช่วยพวกเราจังเลย ฉันอยากไปให้พ้นจากที่นี่”
เปี๊ยกมองตาม
“เฮ้อ...นางฟ้าที่ไหนวะไอ้บุญทิ้งมาทางเครื่องบิน รีบกินๆเข้าจะได้ไปนอนพรุ่งนี้ต้องไปหาเงินแต่เช้า ลุงพ่วงแกยิ่งคาดโทษเอ็งไว้อยู่”
บุญทิ้งคว้าชามมากินข้าวอย่างฝืดคอ

ปานฟ้ากลับจากต่างประเทศ หลังจากำเร็จการศึกษา เมื่อมาถึงบ้าน เธอรีบตรงไปที่ห้องของเติมบุญ เธอเข้าไปกราบพ่อที่นอนอยู่บนเตียง สายอุษามองอย่างดีใจ เติมบุญลูบหัวลูกสาว
“กลับมาเสียทีนะฟ้า ที่นี้พ่อก็คงหมดห่วงเรื่องงานเสียที”
“ทำไมไม่มีใครบอกฟ้าเลยว่า คุณพ่อไม่สบายมากขนาดนี้”
ปานฟ้าหันมาหาแม่ เติมบุญรีบบอก
“พ่อเป็นคนสั่งเองล่ะยัยฟ้า ไม่อยากให้ลูกกังวลจนไม่เป็นอันเรียน”
“อาการคุณพ่อทรงๆทรุดๆนะลูก ถ้าไม่มีเรื่องอะไรมารบกวนใจ ก็ไม่มีปัญหาอะไรมาก แต่คุณหมออยากให้คุณพ่อพักเยอะๆ” สายอุษาอธิบาย
เติมบุญหันมองลูกสาว
“แล้วทำไมไม่บอกล่วงหน้า มาคนเดียวมืดๆค่ำแบบนี้มันอันตรายนะลูก”
“ก็ฟ้าอยากจะมาเซอร์ไพรส์น่ะสิคะ...เอ้อแล้วพี่เดือนละคะเป็นยังไงบ้าง”
สายอุษากับเติมบุญหน้าเศร้า

ปานเดือนอยู่ในห้องนอน มองปานฟ้าเหม่อๆ ดวงตาเหมือนไม่รับรู้อะไรเลย อนิรุทธิ์กับสายอุษาคอยดูแลอยู่ใกล้ๆ ปานฟ้ามองพี่สาวอย่างเศร้าสลด
“พี่เดือนเป็นมากขนาดนี้เชียวเหรอคะ”
“นี่ถือว่าดีขึ้นแล้วนะฟ้า ใหม่ๆมีอาละวาด กรีดร้อง บางทีดึกๆก็ลุกขึ้นมาร้องไห้ แต่หลังๆมานี่แค่ซึมๆเศร้าๆ” อนิรุทธิ์เล่า
“แล้วพาไปหาหมอต่อเนื่องหรือเปล่าคะ”
“แม่ให้จิตแพทย์มาดูแกทุกเดือน”
“หมอว่ายังไงบ้างคะ”
“ก็เป็นอาการทางจิตที่ไม่ยอมรับความจริง คุณเดือนจะเพ้อถึงทินภัทรอยู่เรื่อย หมอแนะนำให้พาไปไหนๆบ้างเพื่อผ่อนคลาย และอย่าพยายามพูดถึงเรื่องเก่าๆไม่อย่างนั้นจะไปกระตุ้นให้คุณเดือนคลั่งขึ้นมาได้”
ปานฟ้าจับมือพี่สาวไว้
“โธ่...พี่เดือน ฟ้ากลับมาแล้วนะคะ...ฟ้าจะต้องหาหลานให้เจอให้ได้”
ขณะเดียวกัน พิมแอบดูอยู่หน้าห้องอย่างตื่นเต้น รีบกลับไปบอกให้ปานดาวรู้
“อะไรนะ” ปานดาวย้อนถามอยางแปลกใจ
“พิมว่าคุณปานฟ้ากลับมาแล้วค่ะ แล้วยังบอกว่าจะตามหาทินภัทรให้เจอให้ได้”
ภูวดลหมั่นไส้
“กลับมาถึงก็ทำตัวเป็นนางเอกเชียว”
“ช่างมัน...ฉันก็อยากจะดูน้ำหน้ามันเหมือนกัน ว่าจะเก่งสักแค่ไหน ป่านนี้ไอ้ทินภัทรมันไปอยู่มุมไหนของโลกแล้วก็ไม่รู้”
ปานดาวเยาะหยัน

วันต่อมา...พ่วงวิ่งหน้าตื่น ตามด้วยบุญทิ้งและเด็กๆเร่ร่อนหลายคน ชนข้าวของในตลาดกระจาย ชนคนที่เดินจับจ่ายซื้อของ ผู้คนรวมทั้งพ่อค้าแม่ค้าร้องวี๊ดว้ายอย่างตกใจ
ภาคิน ตุลย์กับตำรวจลูกน้องอีกจำนวนหนึ่ง วิ่งตามกันมาหยุดมองหา พ่วงกับเด็กๆพากันวิ่งหลบไปคนละทาง ตุลย์ตะโกนบอกลูกน้อง
“กระจายกำลังกันจับให้ได้น่ะ”
ลูกน้องกระจายกำลังตามคำสั่ง แยกย้ายกันไป ตุลย์หันมาพยักหน้ากับภาคินพากันวิ่งไปอีกทาง
พ่วงวิ่งมาหลบที่ตรอกแคบๆ หายใจหอบๆ
“ไอ้ตำรวจบ้าเอ๊ย โจรขโมยเยอะแยะไม่ไปจับมาจับพวกข้าอยู่ได้”
บุญทิ้งวิ่งพรวดพราดเข้ามาเห็นพ่วงดีใจ
“ลุงพ่วงช่วยผมด้วย”
พ่วงฉุนกึก
“ไอ้บุญทิ้งไอ้เด็กเวร...เพราะพวกเอ็งทีเดียวทำมาหากินไม่เสือกดูตาม้าตาเรือ...นี่แหนะ”
พ่วงกระชากบุญทิ้งเข้ามาตีอย่างโมโห บุญทิ้งร้องลั่น
“โอ๊ย...ลุงพ่วง ผมเจ็บ...โอ๊ย”
ภาคินเข้ามากระชากตัวบุญทิ้งออกไป พ่วงตกใจตะลึงมองภาคิน ตุลย์กระโดดเข้ามาล็อคตัวพ่วงไว้ได้พ่วงโวยวายดิ้นหนี
“ปล่อยข้าสิ...ปล่อยสิโว้ย...ปั๊ดโธ่มาจับข้าทำไมเนี่ย”
ตุลย์มองอย่างหมั่นไส้
“ยังจะมีหน้ามาถาม แกลักพาลูกชาวบ้านเขามาเร่ร่อนขอทานแบบนี้ ติดคุกหัวโตแน่”
“จะบ้าเหรอคุณตำรวจ พวกมันเป็นลูกๆหลานๆข้าทั้งนั้น”
ตุลย์ไม่สนเอาตัวพ่วงเดินไป ภาคินก้มลงมองบุญทิ้งที่ร้องไห้สะอื้นอยู่
“ไม่ต้องกลัวนะ ฉันรับรองว่าเธอจะได้กลับไปเจอพ่อแม่แน่ๆ”
บุญทิ้งมองภาคินด้วยแววตาเศร้าๆ

ปานเดือนนั่งอยู่บนรถตู้สายตาเหม่อๆ อนิรุทธิ์ยืนอยู่ข้างรถพูดด้วยอย่างอ่อนโยน
“เดี๋ยวเราจะไปทำบุญกันนะครับ คุณเดือน”
ปานเดือนเฉย ขณะเดียวกันนั้นเสียงปานฟ้าดังเข้ามา
“รอฟ้านานหรือเปล่าคะ”
ปานฟ้าเดินมาอย่างสง่า ยิ้มแย้มมีแว่นกันแดดอันใหญ่คาดอยู่บนผม เธอเดินมาถึงรถ มองปานเดือนก่อนจะกระซิบถามอนิรุทธิ์
“พี่เดือนเป็นยังไงบ้างคะ”
อนิรุทธิ์กระซิบตอบ
“พี่ว่าวันนี้อาการดีกว่าทุกวันนะ”
ปานฟ้าพยักหน้าพูดเสียงดัง
“เราไปกันเถอะค่ะ”
ปานฟ้ากำลังจะก้าวขึ้นรถ ปานดาวเข้ามาพูดเยาะๆ
“แน่ใจแล้วเหรอที่จะเอาคนบ้าออกไปข้างนอกนะ เดี๋ยวก็ได้อาละวาดฟาดหัวฟาดหางจนชาวบ้านเขาแตกตื่นกันหมดหรอก”
ปานฟ้าชะงัก หันกลับมามองปานดาวอย่างไม่พอใจ
“ทำไมพี่ดาวพูดแบบนี้ล่ะคะ พี่เดือนแค่ไม่สบายไม่ได้บ้า”
“พี่ก็แค่หวังดี เห็นเธอเพิ่งกลับมาอาจจะยังไม่รู้อะไร แต่ถ้าเธออยากทำตัวเป็นนางเอกก็ตามใจ”
“ค่ะ...ฟ้าชอบเป็นนางเอก ไม่ชอบเป็นนางร้ายหรือนางอิจฉา”
ปานดาวมองปานฟ้าฉุนๆ
“เธอว่าใคร”
“เปล่านี่คะ...ฟ้าก็พูดไปเรื่อยๆไม่ได้เจาะจงว่าใคร แต่ถ้าใครจะร้อนตัวเพราะพฤติกรรมคล้ายพวกนางอิจฉาอันนี้ก็ช่วยไม่ได้”
ปานดาวโมโห จะพูดต่อก็ชะงักไป เมื่อพิมหน้าตื่นเข้ามาเรียก
“คุณปานดาวคะ”
ปานดาวตวาด
“อะไร”
“คุณภูให้มาตามค่ะ”
ปานดาวจะด่า พิมรีบเน้น
“ด่วนค่ะ”
พิมจ้องตาปานดาวแบบมีเลศนัย ปานดาวชะงัก หันไปมองปานฟ้าที่มองอยู่แบบไม่กลัว
แล้วสะบัดหน้าเดินเข้าไปในบ้าน พิมรีบวิ่งตามไปติดๆ ปานฟ้าถอนใจเฮือกใหญ่หันมาบอกอนิรุทธิ์
“ไปกันเถอะค่ะพี่รุทธิ์”
“ครับ...”
อนิรุทธิ์เบี่ยงตัวหลบให้ปานฟ้าขึ้นไปนั่งคู่กับปานเดือน แล้วขึ้นตามไป คนขับวิ่งมาปิดประตูแล้วอ้อมไปขึ้นรถ ขับออกไป

ปานดาว อ่านหนังสือพิมพ์ในมือที่มีรูปพ่วงที่ถูกจับ
“ตำรวจทลายแก๊งค์ขอทานรวบหัวหน้าใหญ่ได้ทันควัน”
ปานดาวเงยมองภูวดล ถามอย่างโมโห
“คุณให้นังพิมไปตามฉันมาอ่านข่าวบ้าๆเนี่ยน่ะ”
ปานดาวขว้างหนังสือพิมพ์ลงพื้นหงุดหงิด ภูวดลรีบบอก
“มันไม่ใช่แค่นั้นคุณดาว เห็นรูปไอ้ตัวหัวหน้ามั้ยนังพิมมันบอกว่าเป็นไอ้พ่วง”
ปานดาวตกใจหันไปมองพิม ที่กำลังเก็บหนังสือพิมพ์ขึ้นมากางออก ปานดาวกระชากมาดู
ใหม่ แล้วมองพิมถามเสียงเครียด
“แกแน่ใจเหรอ”
“ค่ะ...แหมทำไมพิมจะจำมันไม่ได้...พิมจำมันแม่นเลยค่ะ ก็พิมเอาไอ้ทินภัทรไปขายให้มันกับมือ”
ปานดาวกระชากพิมเข้ามากระซิบเสียงเข้ม
“นังพิม...แกจะพูดออกมาทำไม...”
ปานดาวเดินไปที่ประตู เปิดออกมองไปข้างนอกแล้วหันกลับมาปิดประตู น้ำเสียงร้อนใจ
“แล้วนี่ถ้ามันเกิดบอกตำรวจล่ะ”
“ใจเย็นๆไว้ก่อนน่ะคุณดาว” ภูวดลปราม
พิมคิดๆ
“จริงด้วยค่ะ...มันจะบอกทำไมในเมื่อไอ้ทิน...เอ๊ย...เด็กคนนั้นก็ไม่ได้อยู่กับมันแล้ว”
“แกรู้ได้ยังไง”
“พิมเคยเจอมันหลังจากคืนนั้น มันว่ามันขายเด็กไปแถวๆชายแดนแล้วค่ะ”
ปานดาวพยักหน้าโล่งใจ
“แต่ยังไงก็อย่าเพิ่งไว้ใจมัน แกไปที่โรงพักทำทีเป็นญาติไปเยี่ยม แล้วกำชับมันให้ดีให้มันหุบปากให้สนิทไม่อย่างนั้นมันตาย”
ปานดาวบอกด้วยน้ำเสียงเหี้ยมสุดๆ

ที่โรงพัก...พิมเดินเข้าไปอย่างลับๆล่อๆ มองไปทั่วๆ ตุลย์เดินมาเห็นทักอย่างใจดี
“อ้าว...มาเยี่ยมใครครับ”
พิมตกใจอึกอัก
“อ๋อ...เปล่าๆจ๊ะ ฉันมารอญาตินะ”
“มารอทำไมจะแจ้งความเรื่องอะไรเหรอ”
“คือ...อ๋อ...บัตร...บัตรประชาชนเขาหาย ว่าจะมาแจ้งความนัดกันไว้นะจ๊ะผู้กอง”
ตุลย์ขำ ชี้ดาวสองดวงบนบ่า
“ผมแค่ร้อยโทยังเป็นหมวดอยู่ครับ...ไม่ต้องเลื่อนยศให้หรอก งั้นก็เชิญนั่งรอก่อน”
“ขอบคุณจ้า”
ตุลย์เดินออกไปจากโรงพัก พิมมองหาพ่วงอย่างร้อนใจ

ที่มูลนิธิคุ้มครองเด็กเร่ร่อน...มีการจัดงานเพื่อเด็กๆ สิริโสภาซึ่งเป็นดาราดัง กำลังร่วมร้องเพลงกับเด็กๆหลายคนอยู่บนเวทีอย่างสนุกสนาน ตุลย์และเฟื่องแก้วยืนมองอยู่
“คุณสิริโสภาเธอเป็นกันเองกับเด็กๆมากเลยนะครับ”
เฟื่องแก้วยิ้มๆ
“ค่ะ...เธอจะมาทุกครั้งที่ว่าง ถ้าไม่มาเลี้ยงอาหารกลางวันเด็กๆก็เอาหนังสือดีๆมาให้ เธอเป็นเพื่อนสมัยเรียนมหา’ลัยของคุณภาคินนะคะ”
ตุลย์ทำหน้าทึ่งๆ
“เหรอครับ...เอ...แต่แปลกนะ ทำไมไม่เห็นมีนักข่าวมาทำข่าวเลย”
“ก็เพราะเธอไม่ได้สร้างภาพนะสิคะ เธอถึงไม่ได้ให้ข่าว ฉันคนหนึ่งล่ะที่ไม่ชอบเลยเวลาพวกดารา หรือคนดังที่จะมาเลี้ยงข้าวเด็กสักมื้อ ก็ต้องขนพวกสื่อมาถ่ายรูปทำข่าวกันเสียครึกโครม”
หน้าตาเฟื่องแก้วจริงจัง จนตุลย์มองแล้วอดหัวเราะไม่ได้
“ท่าทางคุณจะไม่ชอบเอาจริงๆเลยนะครับเนี่ย”
“ก็จริงนี่คะ...สร้างภาพชัดๆ”
ตุลย์ยิ้มๆแล้วมองไปที่เด็กๆด้านล่างที่นั่งตามโต๊ะยาว มีถาดหลุมอยู่ตรงหน้าบางคนก้มหน้าก้มตาทานอาหารที่สิริโสภานำมาเลี้ยง บางคนนั่งจ้องตาแป๋วไปบนเวที บรรยากาศครึกครื้นสนุกสนาน เฟื่องแก้วหันมามองตุลย์ แล้วเลยมองตามไปก่อนจะถาม
“หมวดมองหาใครคะ...อ๋อคงจะเป็นบุญทิ้ง”
“ครับ...ทำไมผมไม่เห็นบุญทิ้งเลยล่ะ”
“คุณภาคินเรียกไปพบนะค่ะ”
ตุลย์พยักหน้ารับรู้

ภาคินยืนหันหลังอยู่ เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เข้ามา...”
บุญทิ้งเปิดประตูเข้ามาแล้วยืนนิ่งมองตรงมาที่เขา ภาคินยิ้มให้ผายมือไปที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของเขาน้ำเสียงอ่อนโยน
“นั่งสิบุญทิ้ง...”
บุญทิ้งเดินมานั่ง ภาคินเดินอ้อมโต๊ะทำงานมานั่งที่โต๊ะทำงานตรงหน้า มองลงมาที่บุญทิ้งเห็นก้มหน้านิ่ง น้ำตาไหลเป็นทางลงมาเงียบๆแล้วรีบปาดน้ำตาทิ้ง ภาคินถอนหายใจอย่างสงสาร
“ไม่ต้องห่วงนะบุญทิ้ง ถึงเธอจะไม่มีพ่อแม่มารับ เหมือนเด็กคนอื่นๆที่โดนจับมาด้วยกัน แต่เธอก็ยังอยู่ที่นี่ได้ จนกว่าเราจะพบพ่อแม่ของเธอ”
บุญทิ้งส่ายหน้า
“ผมคงไม่มีวันได้พบพ่อ กับแม่หรอกครับ”
ภาคินขมวดคิ้ว
“ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ...หมวดตุลย์กำลังตามหาพ่อแม่ให้เธออยู่”
“ลุงพ่วงบอกว่าผมไม่มีพ่อแม่ เพราะพ่อแม่เอาผมมาทิ้งไว้ที่กองขยะ ตั้งแต่ผมยังเล็กอยู่ ลุงพ่วงไม่ได้จับผมมา เหมือนเด็กคนอื่นๆ”
ภาคินอึ้งไป เขาตบบ่าเด็กชายเบาๆ เปลี่ยนน้ำเสียงเป็นกระปรี้กระเปร่า
“ถ้าอย่างนั้นเธอก็คิดเสียว่า ที่มูลนิธินี้เป็นบ้านของเธอก็แล้วกัน”
บุญทิ้งเงยหน้ามอง พร้อมกับยกมือไหว้
“ขอบคุณครับคุณภาคิน”
ภาคินหัวเราะเบาๆ
“เรียกฉันว่าพี่ก็ได้ คิดเสียว่าฉันเป็นพี่ชายของเธอคนหนึ่งก็แล้วกัน ตกลงมั้ย”
บุญทิ้งยิ้มออกมาได้
“ตกลงครับพี่ภาคิน”
ภาคินลุกขึ้นยืน พร้อมกับจับตัวบุญทิ้งให้ยืนขึ้นด้วยกัน
“เอาล่ะ...ถ้าอย่างนั้นเธอก็ไปทานอาหาร แล้วก็ร่วมสนุกกับเพื่อนๆได้แล้ว”
ทันใดนั้นมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ภาคินหันไปมองเห็นเฟื่องแก้วเปิดเข้ามา
“คุณภาคินคะ...คุณสิริโสภาจะกลับแล้วค่ะ”

ภาคินพยักหน้ารับรู้














Create Date : 02 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2555 10:57:00 น.
Counter : 227 Pageviews.

0 comment
ดุจดาวดิน ตอนที่ 1



ดุจดาวดิน ตอนที่ 1

คฤหาสน์ของเติมบุญ อัครดำรงกุล มหาเศรษฐีในยามค่ำคืน ดูโอ่อ่าตระการตา กลางสนามด้านหน้าคืนนี้ มีการจัดงานเลี้ยง แขกเหรื่อมาร่วมงานมากมาย เสียงดนตรีจากมุมหนึ่งบรรเลงเบาๆ สร้างบรรยากาศ ทุกคนต่างดื่มกินและพูดคุยอย่างมีความสุข เมื่อถึงเวลาพิธีกรของงานขึ้นมาบนเวทีเข้าประจำที่ส่งเสียงทักทาย

“สวัสดีครับท่านแขกผู้มีเกียรติทั้งหลาย”
เสียงพูดคุยค่อยๆ เงียบลง แขกเหรื่อทุกคนต่างหันมาสนใจกิจกรรมบนเวทีที่กำลังเริ่มขึ้น
“ขณะนี้ได้เวลาอันเป็นมงคลฤกษ์แล้ว ขอเรียนเชิญคุณเติมบุญ อัครดำรงกุลกล่าวเปิดงานในคืนนี้ด้วยครับ”
เสียงปรบมือดังขึ้น เติมบุญเดินยิ้มแย้มขึ้นไปบนเวที
“ก่อนอื่น ผมต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ฝ่ารถติดมางานในคืนนี้”
แขกพากันหัวเราะ เติมบุญรอจนแขกหยุดแล้วพูดต่อ
“อันที่จริงก็ไม่มีงานพิธีการอะไรนักหนา ผมจัดขึ้นก็เพื่อเป็นการเลี้ยงส่งลูกสาวคนเล็กของผม...ปานฟ้า อัครดำรงกุลไปศึกษาต่อปริญญาตรีและโท ที่ต่างประเทศเพื่อจะได้กลับมาช่วยบริหารห้างสรรพสินค้าของเรา”
เติมบุญผายมือไปข้างเวที ปานฟ้าก้าวขึ้นมาช้าๆ เสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้ง เธอเดินมาหาพ่อ เติมบุญโอบลูกสาวไว้
“นอกจากนั้นก็ เป็นการฉลองครอบรอบหนึ่งขวบ ของทินภัทรหลายชายคนเดียวของตระกูลอัครดำรงกุลด้วย”
เติมบุญหันไปอีกด้านของเวที ปานเดือนอุ้มทินภัทรขึ้นมา เติมบุญเข้าไปรับทินภัทรมาอุ้มไว้เองทั้งกอดทั้งหอมอย่างรักมาก แสงแฟลชวูบวาบทั้งนักข่าวและคนในงานต่างพากันถ่ายภาพน่าประทับใจไว้ เติมบุญอุ้มทินภัทรขนาบข้างด้วยปานฟ้าและปานเดือนยิ้มแย้มให้กล้อง ท่ามกลางเสียงปรบมือดังลั่น
ปานดาวพี่สาวคนโต นั่งอยู่ที่โต๊ะด้านหน้าเวทีมองภาพนั้นด้วยสายตาชิงชัง มุมปากเหยียดยิ้มแกมเยาะ เธอรำพึงอยู่ในใจ
‘มีความสุขกันไปเถอะ อีกเดี๋ยวจะรู้สึก’

เติมบุญอุ้มทินภัทรมาที่โต๊ะ ปานฟ้ากับปานเดือนตามมาด้วย อนิรุทธิ์รีบลุกขึ้นรับตัวทินภัทรมาจากเติมบุญ
“มาหาพ่อเร็ว...คุณตาหนักแย่แล้ว...”
เติมบุญหัวเราะ
“อ้าวพูดแบบนี้ก็ดูถูกกันนี่พ่อรุทธิ์”
ทุกคนได้หัวเราะกันอีก ยกเว้นปานดาวกับภูวดล สามีของเธอที่สบตากันอย่างหมั่นไส้ ทินภัทร หาวออกมา ปานเดือนรีบบอก
“สงสัยลูกจะง่วงแล้วละค่ะ”
ทุกคนมองทินภัทร
“ก็เคยนอนแต่หัวค่ำนี่นา” สายอุษาบอก
ปานเดือนรับลูกจากสามีมาอุ้มแนบอก
“งั้นเดือนพาลูกไปนอนก่อนนะคะ”
ปานดาวรีบขัดขึ้น
“ให้ป้าแก้วพาไปสิจ๊ะ...เดี๋ยวก็จะเปิดฟลอร์แล้ว”
ปานเดือนหัวเราะ
“โธ่พี่ดาวก็...เดือนไม่ค่อยชอบเรื่องเต้นรำหรอกค่ะ”
ภูวดลช่วยเสริม
“นานๆทียืดเส้นยืดสายเสียหน่อยก็ดีนะครับ อีกอย่างคุณเดือนไม่อยู่แล้วคุณรุทธิ์จะเต้นกับใครล่ะ”
ปานฟ้าช่วยตัดสิน
“จริงด้วยค่ะ...นานๆจะสนุกกันที พรุ่งนี้ฟ้าก็จะบินแล้ว ยังไงคืนนี้ก็ไม่ยอมให้พี่เดือนแอบหลบขึ้นตึกไปก่อนแน่ๆ”
ปานฟ้ามองหา
“เอ...แล้วป้าแก้วหายไปไหนเสียละคะ”
“แม่ให้ไปดูผลไม้ที่เรือนครัวนะลูก เห็นยังไม่มีใครยกออกมา” สายอุษาบอก
“ฟ้าไปตามเองค่ะ”
ยังไม่ทันที่ใครจะเอ่ยปากพูดอะไรต่อ ปานฟ้าก็เดินกึ่งวิ่งไปอย่างรวดเร็ว ปานดาวสบตากับภูวดลอย่างสมใจ
ขณะเดียวกัน ก้องภพซึ่งชอบปานฟ้ามานานแล้ว ชะเง้อมองตามปานฟ้า ที่เดินลิ่วๆลับไปด้านหลังอย่างแปลกใจ
“ฟ้าเขาไปไหนนะ”
“ก็รีบตามไปสิลูก ประกบให้ติดไว้เลยนะ เดี๋ยวตอนเต้นรำแกต้องเปิดฟลอร์กับหนูปานฟ้าให้ได้รู้มั้ย” วิมลวรรณผู้เป็นแม่รีบยุ
“ทำไมต้องทำอย่างนั้นด้วยละคุณหญิง” อานนท์ถามขรึมๆ
“อ้าว...ก็เป็นการเปิดตัวให้ทุกคนรู้ไปเลยไงคะ...ว่าตาภพกับหนูปานฟ้าเป็นแฟนกัน”
อานนท์ส่ายหน้า
“ทำอะไรน่าเกลียด สองคนนี่ยังไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย ทำรุ่มร่าม คุณเติมบุญจะตำหนิเอาได้”
“โอ๊ยใครจะกล้าตำหนิ ก้องภพนะลูกคุณหญิงวิมลวรรณเชียวนะ ใครได้ไปเป็นเขยก็ถือว่าโชคดีสุดๆแล้วล่ะคุณ”
อานนท์ถอนใจรำคาญ วิมลวรรณหันไปยุลูกชายต่อ
“รีบตามไปสิตาภพ”
“ครับแม่”
ก้องภพรีบลุกไป วิมลวรรณหันมายิ้มกับอานนท์ แต่แปลกใจที่เขาทำท่าเหมือนมองหาใคร
“คุณมองหาใคร”
“ภาคิน...ทำไมไปจอดรถนานจังไม่เห็นเข้ามาสักที”
วิมลวรรณหน้าหงิกเสียงห้วน
“ฉันบอกให้มันไปรอที่โรงครัวเอง”
อานนท์หันขวับ
“อะไรนะ...ภาคินไม่ใช่คนขับรถนะ จะได้ให้ไปรอที่โรงครัว”
วิมลวรรณกระซิบเสียงเข้ม
“แล้วไง...จะให้มันมานั่งชูคอ ประจานทั้งคุณทั้งฉันให้คนอื่นเขา เอาไปนินทาสนุกปากเหรอ”
อานนท์ชักไม่พอใจ
“ประจานอะไร”
วิมลวรรณยิ้มเยาะ
“สำหรับคุณก็คือผู้ชายตัณหาหน้ามืดมั่วไม่เลือก ส่วนฉันก็ผู้หญิงหน้าโง่ให้ผัวสวมเขาให้ไง”
อานนท์สะอึกอึ้งไปพูดไม่ออก วิมลวรรณสะบัดหน้าไปทางอื่นคอแข็งเชิด แต่พอมีคนเดินมาทัก ก็รีบยิ้มแย้มพูดคุยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ภาคินเดินเรื่อยๆมาตามทาง จะเลี้ยวมุมชนกับปานฟ้าที่เดินเร็วๆ ลัดเลาะมาตามทางมาเต็มแรง
“โอ๊ย...”
ปานฟ้าเซจะล้มภาคินเข้ารับไว้ได้ทัน สองคนมองหน้ากันอย่างตะลึง ภาคินได้สติประคองปานฟ้าให้ทรงตัวได้ พูดดุๆ
“ระวังหน่อยสิ...ใส่ส้นสูงขนาดนั้นล้มไปขาพลิกแน่ๆ”
ปานฟ้ารีบพูด
“ขอโทษค่ะ แล้วก็ขอบคุณมาก...”
“ไม่เป็นไรครับ”
ขณะเดียวกัน เสียงก้องภพดังเข้ามาก่อนตัว
“ฟ้า...”
ภาคินชะงัก ก้องภพวิ่งเหยาะๆเข้ามาเห็นภาคิน ก็มองอย่างไม่พอใจ เข้ามากระชากคอเสื้อตวาด
“ไอ้ภาคิน...แกทำอะไรปานฟ้า”
ภาคินนิ่งมาก ปานฟ้าตกใจรีบเข้ามาดึงตัวก้องภพ
“อย่านะก้องภพ...ไม่มีอะไรหรอก”
ก้องภพจำใจปล่อย ปานฟ้ารีบอธิบาย
“ฉันเป็นคนเดินมาชนเอ้อ...คุณคนนี้เอง”
ก้องภพทำท่าฮึดฮัด พอดีป้าแก้วเดินเข้ามาพอดีเห็นสามคนก็ตกใจ
“มีอะไรกันเหรอคะ”
ปานฟ้าหันไปหาป้าแก้ว
“ไม่มีอะไรหรอกป้า...ฟ้ามาตามให้ป้าแก้วไปรับทินภัทรไปนอนนะคะ”
ป้าแก้วพยักหน้า
“อ๋อ...ไปค่ะไป”
ป้าแก้วเดินนำไป ปานฟ้ามองภาคินก่อนรีบตามป้าแก้วไป ก้องภพจ้องหน้าภาคินเหยียดๆแล้วรีบตามปานฟ้าไปติดๆ ภาคินถอนใจจะเดินเลี่ยงไปอีกทางก็ชะงัก เมื่อเห็นกิ๊บติดผมของปานฟ้าหล่นอยู่ข้างหนึ่ง ภาคินก้มเก็บขึ้นมามอง

ป้าแก้วรับทินภัทรจากปานเดือนมาอุ้ม
“มาค่ะมา...ไปนอนกับแก้วนะค่ะคุณหนู”
ปานดาวแววตาเป็นประกาย มองตามทินภัทรกับป้าแก้วไป เสียงพิธีกรกล่าวเปิดฟลอร์ดัวมา ปานดาวรีบทำรื่นเริง
“ว้าว...เวลาที่รอคอยมาถึงเสียที”
ก้องภพยื่นมือมาตรงหน้าปานฟ้า
“ให้เกียรติเปิดฟลอร์กับผมนะครับฟ้า”
ปานฟ้าส่ายหน้า ก้องภพหน้าเสีย
“ฉันตั้งใจว่าจะเปิดฟลอร์กับคุณพ่อนี่คะ...นะคะคุณพ่อเปิดฟลอร์กับฟ้าหน่อย”
เติมบุญหัวเราะ
“ไม่ไหวล่ะยัยฟ้า พ่อแก่แล้วไปเต้นรำกับตาภพเถอะไปค่อยสมกันหน่อย”
ก้องภพยิ้มดีใจ ยื่นมือมาอีก ปานฟ้าหน้ามุ่ย แต่ก็จำใจต้องส่งมือให้เขาพาเธอไปที่ฟลอร์ ภูวดลมองสองคนยิ้มแย้ม
“น้องฟ้ากับก้องภพเขาสมกันดีนะครับ”
สายอุษาไม่ชอบใจนัก
“พูดอะไรอย่างนั้น...ยัยฟ้ายังเด็กอยู่เลย”
“ไม่เด็กแล้วนะคะตอนนี้ล่ะกำลังเป็นสาวเต็มตัว” ปานดาวแย้ง
เติมบุญขัดขึ้นเสียงเรียบๆ
“น้องไม่ใช่แกนี่ยัยดาว จะได้มีผัวตั้งแต่ยังไม่ถึงยี่สิบนะ”
ปานดาวหน้าง้ำ สะบัดหน้าไปพูดกับภูวดล
“ไปเต้นรำกันเถอะคะภู”
ปานดาวลุกขึ้น ภูวดลรีบลุกตามเก้อๆ สายอุษาพูดเบาๆ
“คุณก็...ไม่น่าไปแขวะลูกเลย”
“ผมไม่ได้แขวะนะแต่พูดความจริง ตัวเองนอกรีตนอกรอยไปคนหนึ่ง แล้วยังคิดจะมายุน้องให้เป็นเหมือนตัวอีกหรือไง”
สายอุษานิ่ง รีบเปลี่ยนเรื่อง
“เอ้าพ่อรุทธิ์ ทำไมไม่พาแม่เดือนออกไปเต้นรำล่ะ”
“ครับคุณแม่”
อนิรุทธิ์ลุกขึ้นยื่นมือให้ ปานเดือนจับมือแล้วลุกตามไป เติมบุญมองตาม
“ยังดีน่ะที่แม่เดือนกับยัยฟ้าทำตัวดี แถมแม่เดือนยังมีทินภัทรให้ผมได้ชื่นใจอีก”
สายอุษายิ้มเห็นด้วย แล้วมองไปที่แขกในงาน เห็นวิมลวรรณส่งยิ้มมาให้
“ตายจริง...นั่นคุณหญิงวิมลวรรณ กับคุณอานนท์ยังไม่ได้ไปทักทายเลย”
เติมบุญพยักหน้า
“งั้นก็ไปกันสิ...”

เติมบุญกับสายอุษาเดินมาที่โต๊ะ วิมลวรรณกับอานนท์ รีบลุกขึ้นไหว้อย่างนอบน้อม
“สวัสดีครับคุณเติมบุญ คุณสายอุษา”
“สวัสดีค่ะเจ้าสัว...คุณพี่”
เติมบุญกับสายอุษารับไหว้ เติมบุญหัวเราะ
“อย่าเรียกเจ้าสัวเลยครับ เรียกชื่อดีกว่า”
เติมบุญกับสายอุษา นั่งลงร่วมโต๊ะ
“มีอะไรขาดตกบกพร่อง ก็ต้องขอโทษด้วยนะครับ”
อานนท์อ้าปาก แต่ไม่ทันวิมลวรรณ
“อุ๊ย...ไม่มีหรอกค่ะ...งานจัดได้เริ่ดมาก”
สายอุษายิ้มแย้ม
“ขอบคุณค่ะ...แล้วคุณทั้งสอง ไม่ออกไปเต้นรำบ้างเหรอคะ”
อานนท์อ้าปากอีก แต่ไม่ทันอยู่ดี
“อ๊าย...ไม่ละคะ ดูเด็กๆหนุ่มสาวเขาเต้นกันดีกว่า แหมยิ่งคู่ของตาภพกับหนูปานฟ้า ยิ่งดูยิ่งสมกันอย่างกับกิ่งทองใบหยกเลยนะคะคุณพี่...ดูสิค่ะ”
วิมลวรรณชี้ชวนไปที่กลางฟลอร์ สายอุษากับเติมบุญสบตากันยิ้มๆไม่พูดอะไรมองตามไป อานนท์แอบถอนใจ ค่อนข้างละอายแทนวิมลวรรณ

ก้องภพกับปานฟ้าเต้นรำกันในจังหวะลีลาศ โดยมีคู่ของปานเดือนกับอนิรุทธิ์และคู่ของปานดาวกับภูวดล ร่วมเต้นกับคู่อื่นๆอยู่ด้วย...ก้องภพกระซิบที่ข้างหู
“รู้มั้ยฟ้า...คืนนี้ผมมีความสุขมากเลย”
ปานฟ้าหันหน้าไปอีกทางอย่างเบื่อๆ ก้องภพมองที่ผมของเธอ
“เอ๊ะกิ๊บติดผมของฟ้า หายไปไหนข้างหนึ่งล่ะ”
ปานฟ้าตกใจ
“เหรอคะ...” ปานฟ้านิ่งคิด “สงสัยจะตก ตอนที่ฉันชนกับคุณ...เอ้อ...ภาคินมั้ง”
ก้องภพหน้าเปลี่ยน พูดเสียงห้วนทันที
“ทำไมฟ้าจำชื่อมันแม่นจัง”
“อ้าว...ก็ภพเป็นคนเรียกชื่อเขาเองไม่ใช่เหรอ”
ก้องภพอึ้งไป ปานฟ้ารีบถามต่อ
“ภพรู้จักเขาด้วยเหรอ เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เห็นเขาเข้ามาในงานเลย”
ก้องภพหงุดหงิด
“ฟ้าอยากรู้เรื่องมันไปทำไม ก็ไอ้แค่ลูกเมียเก็บของคุณพ่อ มันจะกล้าเสนอหน้าเข้ามาในงานได้ยังไง”
ปานฟ้าแปลกใจ
“ลูกเมียเก็บ”
“ใช่...วันนี้มันมาในฐานะคนขับรถให้ผม รู้แบบนี้แล้วฟ้าก็เลิกสนใจคนอย่างมันได้แล้ว มันกับเราคนละชั้นกัน”
ปานฟ้าชักไม่ชอบใจกับคำพูดของเขา
“ทำไมภพพูดอย่างนั้นล่ะ ถ้าคุณภาคินเขาเป็นลูกของคุณพ่อภพ เขาก็เท่ากับเป็นพี่ชายคุณคนหนึ่ง”
ก้องภพโมโห แต่ก็ระงับอารมณ์ไว้ แต่ก็พูดออกมาเสียงขุ่น
“อย่าเอามันมานับญาติกับผมนะ หยุดพูดเรื่องไอ้ภาคินเถอะผมไม่อยากฟัง”
ก้องภพพาปานฟ้า วาดลวดลายบนฟลอร์อย่างหงุดหงิด ปานฟ้าจำใจเต้นตามไปอย่างไม่ค่อยพอใจเหมือนกัน

ภาคินยืนหลบใต้เงาต้นไม้ มองที่ฟลอร์เห็นก้องภพพาปานฟ้าเต้นรำอย่างสวยงาม ภาคินก้มมองกิ๊บในมือ ครุ่นคิดก่อนจะตัดสินใจหันกลับ แล้วเจอกับคนรับใช้ถือถาดใส่ผลไม้ผ่านมา ภาคินรีบถาม
“มีประตูทางออกอื่นมั้ย นอกจากประตูหน้า”
คนรับใช้มอง ภาคินรีบอธิบาย
“ฉันจะไปรอที่รถน่ะจอดไว้ด้านนอก”
คนรับใช้เข้าใจ
“มีประตูด้านข้างเลยเรือนครัวไปน่ะ พวกเราเข้าออกกันทางนั้น”
ภาคินพยักหน้า
“ขอบใจ...”
ภาคินเดินไป คนรับใช้มองตาม
“ท่าทางดีดี๊ไม่น่าเป็นคนขับรถเล๊ย...”
ทุกคนยังเต้นรำกันอยู่ ปานดาวเต้นอยู่กับภูวดล เธอมองรอบๆ เลยไปที่โต๊ะอานนท์เห็นเติมบุญกับสายอุษายังคุยกันอยู่
“ถึงเวลาแล้วค่ะภู...อย่าให้พลาดนะ”
ภูวดลมองรอบๆอย่างระวัง
“เชื่อมือผมเถอะน่า”
“แล้วนังพิมล่ะมันมารออยู่เหรอยัง”
ภูวดลพยักหน้า สองคนค่อยๆเต้นเลี่ยงออกไปทีละน้อยจนหลุดออกไปจากฟลอร์

พิมน้องสาวของภูวดล ลับๆล่อๆแอบอยู่ในเงามืดข้างๆประตู ทันใดนั้นมีเสียงประตูเปิดออกมา พิมดีใจรีบวิ่งออกไป
“ฉันรอตั้งนาน...”
พิมชะงักหน้าเหวอไปทันที เพราะคนที่เดินออกมาเป็นภาคิน พิมตะกุกตะกัก
“ฉันเอ้อ...ฉัน...ฉันนึกว่า...เอ้อ...”
ภาคินมองพิมงงๆ
“ไม่เป็นไรครับ”
ภาคินไปไม่ได้สนใจ พิมถอนใจโล่งอกพึมพำ
“เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ” เธอมองเข้าไปด้านในอย่างกระวนกระวาย “มัวทำบ้าอะไรอยู่นะพี่ภู...เดี๋ยวก็ซวยกันหมดหรอก”

ภูวดลแอบมองที่ประตูห้องที่แง้มไว้ เห็นป้าแก้วกำลังเอาผ้าห่มๆให้ทินภัทรที่หลับสนิท
“น่าเอ็นดูจริง หลับง่ายหลับดายดีเหลือเกิน”
ป้าแก้วไปจัดขวดนมข้าวของจิปาถะที่โต๊ะมุมเตียง มองเหยือกน้ำอุ่นแล้วบ่น
“อ้าว...น้ำอุ่นหมดเหรอเนี่ย...ตายจริงเดี๋ยวดึกๆคุณหนูตื่นขึ้นมาหิวนมล่ะยุ่งเชียว”
ป้าแก้วหยิบเหยือกน้ำเดินมาที่เตียง
“เดี๋ยวอิฉันมานะคะ...”
ป้าแก้วหันมาเปิดประตูเดินไปอีกทาง ภูวดลก้าวออกมาแสยะยิ้มร้ายกาจ รีบเดินไปที่เตียงมองทินภัทรอย่างเกลียดชัง
“โทษฉันไม่ได้นะเจ้าหนู ต้องโทษที่ตาของแกมันลำเอียงมากเกินไป”
ภูวดลก้มลงไปอุ้มทินภัทรขึ้นมา

ในงาน...ทุกคนยังเต้นรำกันอยู่ ปานฟ้ากับก้องภพเป็นจุดเด่น ปานเดือนกับอนิรุทธิ์เต้นกันไปพร้อมกับมองๆคู่ของปานฟ้า
“ดูไปดูมา ยัยฟ้ากับก้องภพก็เหมาะกันจริงๆนะคะ หรือรุทธิ์ว่าไง”
อนิรุทธิ์เหลือบไปมอง
“ก็คงเหมาะมั้งครับถ้า สองคนนั้นจะเรียนจบแล้ว”
ปานเดือนย่นจมูก
“คุณนี่เหมือนคุณพ่อเลยโชคดีนะคะที่เรามีลูกชาย ถ้าเป็นลูกสาวคุณคงหวงน่าดู”
อนิรุทธิ์ทำท่าขึงขัง
“รับรอง ผมจะไว้หนวดให้เฟิ้มเลย”
สองคนหัวเราะกัน แล้วปานเดือนก็เซไป
“โอ๊ย...”
อนิรุทธิ์รีบประคอง
“เป็นอะไรครับคุณเดือน”
“เหมือนจะขาแพลงนะคะ”
“งั้นเข้าไปพักเถอะ”
ปานเดือนพยักหน้า อนิรุทธิ์ประคองปานเดือนกลับมาที่โต๊ะ เห็นปานดาวนั่งอยู่คนเดียว
“อ้าวพี่ดาว...ไม่เต้นรำแล้วเหรอคะ”
“อ๋อ...เหนื่อยนะเพิ่งมาพักเมื่อกี้นี่เอง”
“แล้วคุณภูวดลล่ะครับ” อนิรุทธิ์ถามอย่างแปลกใจ
ปานดาวรีบกลบเกลื่อน
“ไปเอาน้ำให้พี่นะ แล้วเธอสองคนล่ะทำไมหยุดเต้นรำซะล่ะ กำลังสนุกออก”
“เดือนขาแพลงนะคะ...สงสัยห่างฟลอร์ไปนาน”
ปานเดือนมองอนิรุทธิ์ที่นวดขาให้อยู่
“พอแล้วละคะรุทธิ์ดีขึ้นมากแล้ว...ขอบคุณนะคะ”
อนิรุทธิ์นั่งลงข้างๆ สองคนมองไปที่ฟลอร์ ปานดาวร้อนใจแต่พยายามฝืนไว้
‘ภูจัดการเรียบร้อยหรือยังเนี่ย’

พิมรับทินภัทรมาอุ้มไว้อย่างระวัง
“รีบไปจัดการให้เร็วที่สุดนะนังพิม” ภูวดลกำชับ
“รู้แล้วล่ะน่า แล้วเงินค่าจ้างของฉันล่ะ”
“เออ...ไว้ให้เรื่องเงียบก่อนฉันจะเอาไปให้แกเอง เร็วรีบไป”
พิมพยักหน้ามองซ้ายขวา รีบลัดเลาะเข้าในเงามืดหายไป ภูวดลถอนใจโล่งอก

ในห้อง...ป้าแก้วถือเหยือกน้ำอุ่นเข้ามาในห้อง เดินไปวางไว้ที่โต๊ะชงนมจัดโน่นนี้อยู่ครู่ชะงัก ค่อยๆหันไปมองที่เตียง ป้าแก้วตกใจตาเหลือก รีบวิ่งไปยืนจนชิดเตียง
“คุณ...คุณหนู...คุณหนูหายไปไหน”
ป้าแก้วหันซ้าย หันขวามองรอบห้องอย่างลนลาน
“ตายแล้วคุณหนู...” ป้าแก้ววิ่งหน้าตื่นไป
ทางด้านภูวดล ถือแก้วน้ำส้มมาส่งให้ปานดาว
“รอนานมั้ยครับคุณดาว พอดีเจอคนรู้จักเลยทักทายกันนานหน่อย”
ปานดาวยิ้มๆไม่ตอบ พอดีปานฟ้าเข้ามานั่งกับก้องภพ ปานดาวหันไปถามก้องภพยิ้มแย้ม
“อะไรกันคะ...ยังหนุ่มยังแน่นเหนื่อยแล้วเหรอ”
“ผมนะเต้นถึงสว่างยังไหว แต่ฟ้านะสิครับบ่นเมื่อย”
เติมบุญกับสายอุษาเข้ามานั่งที่โต๊ะ เติมบุญเย้าแหย่ลูกสาว
“อ้าว...พ่อกะจะมาเต้นรำด้วยสักหน่อยนะยัยฟ้า”
ปานฟ้ารีบลุกเพราะรำคาญก้องภพ
“ถ้าคุณพ่อท้าละก็ฟ้าไหวอยู่แล้วไปค่ะ”
ปานฟ้าเข้ามาคล้องแขน เติมบุญตะลึง
“หา...เอาจริงเหรอ”
“จริงสิคะ”
ปานฟ้าฉุดแขนพ่อ เติมบุญทำท่ากระปรี้กระเปร่าลุกขึ้น
“เอ้า...แบบนี้ก็คงต้องวาดลวดลายกันหน่อย”
สายอุษาพูดขึ้นลอยๆ
“ให้ใครไปชงยาหอมเตรียมไว้ด้วยล่ะ”
ทุกคนหัวเราะกันใหญ่ ปานฟ้ากับเติมบุญกำลังจะออกไปที่ฟลอร์ ป้าแก้ววิ่งหน้าตื่นมาหอบๆ
“แย่แล้วคุณเจ้าขา...แย่แล้ว”
ทั้งหมดมองป้าแก้ว สายอุษารีบถาม
“อะไรกันแม่คนนี้หึ...โวยวายเป็นเจ็กตื่นไฟไปได้”
ป้าแก้วหายใจลึกๆ
“คุณหนู...คุณหนูค่ะ...”
ปานเดือนรีบถามอย่างตกใจ
“ทินภัทรทำไม...พูดมาเร็วสิป้า”
“คุณหนูหายไปเจ้าค่ะ”
ปานเดือนตะลึงเซจะล้ม อนิรุทธิ์รีบเข้ามาประคอง ทุกคนตะลึง

งานเลี้ยงจบลงทันที...เมื่อแขกกลับไปหมด เจ้าหน้าตำรวจได้มาตรวจหาหลักฐาน ปานดาวกับภูวดล นั่งอยู่ด้วยกันที่โซฟา ป้าแก้วนั่งร้องไห้กระซิกอยู่มุมหนึ่ง
ปานดาวรีบลุกขึ้นทันทีที่เห็นเติมบุญ เดินหน้าเครียดลงบันไดมากับตำรวจ มีปานฟ้าประคองสายอุษา อนิรุทธิ์ประคองปานเดือนตามลงมา
“คุณเติมบุญเคยมีเรื่องบาดหมาง กับใครบ้างหรือเปล่าครับ” ตำรวจถาม
เติมบุญส่ายหน้า
“ไม่มีครับ...ผมทำธุรกิจด้วยความโปร่งใสไม่เคยขัดประโยชน์กับใครเลย คุณตำรวจเช็กดูก็ได้”
“ถ้าอย่างนั้น อาจจะเป็นการลักพาตัวเรียกค่าไถ่”
“มันจะเอาเท่าไร ผมยินดีให้ขอเพียงหลานชายผมกลับมาอย่างปลอดภัย คุณตำรวจต้องช่วยเต็มที่นะครับ”
“ครับ...ระหว่างนี้เราคงต้องรอ ให้ทางคนร้ายติดต่อกลับมา”
ปานเดือนร้องไห้คร่ำครวญ
“โธ่...ทินภัทรลูกแม่...”
ปานเดือนเป็นลมไป อนิรุทธิ์เข้าประคอง
“คุณเดือน...คุณเดือน”
ปานฟ้าตกใจ
“พี่เดือน”
เติมบุญกับสายอุษาก็ตกใจ ทุกคนหันมาสนใจปานเดือน ปานดาวมองภาพความวุ่นวายโกลาหลตรงหน้าอย่างสาแก่ใจ

อนิรุทธิ์อุ้มปานเดือนมานอนในห้องเธอยังสลบอยู่ เขาบีบมือให้รู้สึกตัว ปานฟ้ากับสายอุษามองอย่างเป็นห่วง ปานดาวเข้ามาบอกอย่างกระตือรือร้น
“ภูกำลังโทรตามหมออยู่ค่ะ”
สายอุษาพยักหน้า
“คุณแม่คะ...พรุ่งนี้ฟ้าไม่อยากไปเลยค่ะ” ปานฟ้าหันไปบอกแม่
สายอุษาจับมือปานฟ้า
“ไปเถอะลูกอนาคตของลูกก็สำคัญนะจ๊ะ เรื่องทางนี้แม่เชื่อว่าทางตำรวจเขาต้องจัดการได้”
อนิรุทธิ์เห็นด้วยกับสายอุษา
“นั่นสิครับ...คนชั่วยังไง มันก็ไม่พ้นมือกฎหมายไปได้หรอก”
“เลวจริงๆ เด็กตัวเล็กๆยังจับไปได้...อย่าให้รู้นะว่ามันเป็นใครฟ้าจะไม่มีวันยกโทษให้เลย”
ปานฟ้าบอกอย่างแค้นใจ ปานดาวรีบเสริมเพราะกลัวมีพิรุธ
“จริงๆด้วย...โธ่เอ๊ยทินภัทรหลานป้าป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างนะเฮ้อ...”
ทุกคนพากันเครียดมาก

ในบ้านเก่าๆซอมซ่อ...พ่วงหัวหน้าแกงค์ขอทาน มองทินภัทรที่นอนหลับอยู่ที่พื้น มีผ้าผืนใหญ่คลุมมิดชิดเห็นแต่หน้า
“ผู้ชาย หรือผู้หญิงว่ะนังพิม”
“ผู้ชายแล้วอย่าเสือกปากโป้งไปล่ะ”
พ่วงควักเงินออกมาส่งให้ พิมรับเงินมานับ พ่วงมองพิจารณา
“ท่าทางเป็นลูกผู้ดีมีเงินนี่หว่า แกนี่มันเก่งนะ”
“ไม่ต้องพูดมาก ฉันไปล่ะ”
“แล้วไอ้ก้านผัวแกไปไหนเสียล่ะ ทำไมวันนี้ไม่มาด้วยกัน”
“โน่น...มันอยู่ในตะรางโน่น”
พ่วงหัวเราะ
“คราวนี้คดีอะไร”
“เหมือนเดิม...เสือกไปขายยาให้สายตำรวจโง่ฉิบ...”
พิมลุกขึ้นรีบเดินออกไป พ่วงตามมาปิดประตู ก่อนจะหันมามองทินภัทรที่ยังหลับอยู่
“เออเลี้ยงง่ายๆอย่างนี้ค่อยยังชั่วหน่อย เอจะตั้งชื่อให้แกว่าอะไรดีน่ะอึ่ม...บุญทิ้งก็แล้วกัน”

ภูวดลคุยโทรศัพท์มือถืออยู่ในห้องนอน
“ดี...ทำงานรวดเร็วดี”
ทันใดนั้นเสียงประตูห้องเปิด ภูวดลหันมามองรีบพูด
“เออแค่นี้ก่อนนะ...”
ภูวดลกดตัดสาย ปานดาวขมวดคิ้วเข้ามา
“คุยกับใครคะภู”
ภูวดลเข้ามาใกล้ๆกระซิบ
“นังพิม...มันบอกว่าจัดการเรียบร้อยแล้ว”
ปานดาวยิ้มออก
“ดี...ฉันละสาแก่ใจจนบอกไม่ถูก ตอนที่เห็นหน้าคุณพ่อกับนังปานเดือน ที่รู้ว่าไอ้ทินภัทรหายไป สุขกันมามากแล้ว ถึงเวลาที่จะได้รู้กันเสียบ้างว่า ความเจ็บปวดนะมันเป็นยังไง”

ปานดาวหน้าเหี้ยมมาก สายตามีแต่ความจงเกลียดจงชัง ภูวดลมองปานดาวแล้วแอบยิ้มอย่างพอใจ















Create Date : 02 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2555 10:52:10 น.
Counter : 713 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]