All Blog
ดุจดาวดิน ตอนที่ 5




ดุจดาวดิน ตอนที่ 5

ปานฟ้าเดินไปตามทางในห้างสรรพสินค้าอย่างรีบร้อน จะไปตามที่นัดไว้กับภาคิน พบก้องภพยืนยิ้มขวางหน้าอยู่ ปานฟ้าหยุดชะงัก

“ไปไหนเหรอครับคุณฟ้า”
“ธุระค่ะ ต้องออกไปพบลูกค้า...”
“ผมขับรถให้”
“ก้องภพ ฟ้ากำลังจะไปทำงานนะคะ นี่ไม่ใช่เวลาที่เราจะมาพูดเล่นกัน”
ก้องภพหงุดหงิดเห็นได้ชัด
“ให้มันจริงเถอะ เรื่องงานน่ะ”
“คนไม่เคยทำงานอย่างคุณน่ะ ไม่มีวันเข้าใจหรอกว่าคนทำงานเขายุ่งแล้วก็วุ่นวายกันยังไง ขอตัวค่ะ”
ปานฟ้าเดินไป ก้องภพมองตามอย่างหงุดหงิด
“ฮึ...ทำงาน ให้มันจริงเถอะ...”
ก้องภพรีบตามออกไปทันที เมื่อปานฟ้าขับรถออกไปจากห้าง เขาก็ขับรถตามไปทันที เพราะอยากรู้ว่าเธอไปไหนกันแน่

ที่โรงพยาบาลศรีธัญญา...ปานเดือนนั่งรถเข็นอย่างเหม่อลอย อุ้มตุ๊กตาที่นอนอยู่บนเบาะ เห่กล่อม อนิรุทธิ์ยืนอยู่ข้างๆ มองดูด้วยสายตาสงสาร
“เอ่..เอ๋ อย่าร้องนะทินภัทรลูกแม่...เดี๋ยวคุณพ่อก็กลับมาจากที่ทำงานแล้วนะลูก...”
ปานเดือนเห่กล่อมลูกน้อย สีหน้ามีความสุข ขณะเดียวกัน ปานฟ้า บุญทิ้ง ภาคินเดินมา
“อยู่นั่นไงครับ”
ทั้งสามคนเห็นปานเดือนเห่กล่อมตุ๊กตาอยู่ ปานฟ้ายืนนิ่ง สงสารพี่สาวจับใจ ภาคินมองดูหน้าปานฟ้าก็เดาได้
“เข้มแข็งนะครับ คุณฟ้า...”
“ค่ะ...”
บุญทิ้งมองดูปานเดือน สงสารจับใจเช่นกัน
“ผมกอดคุณปานเดือนได้มั้ยครับ...”
ปานฟ้าหันมาแล้วนั่งลงพูดกับบุญทิ้ง
“ได้สิ...เข้าไปหาคุณปานเดือนเลยนะบุญทิ้ง...”
บุญทิ้งยิ้ม พยักหน้า แววตาดีใจ วิ่งไปยืนตรงหน้า ปานเดือนเงยหน้าขึ้น แล้วก็ค่อยๆเผยยิ้มออกมา สีหน้าสว่างสดใสผิดกับทีแรก
“ทินภัทรลูกแม่...”
บุญทิ้งโผเข้าหา ปานเดือนกอดไว้แน่น...ร้องไห้
“ลูกแม่ อย่าหนีแม่ไปไหนอีกนะ...หนูอยู่กับแม่นะจ๊ะ...อยู่กับแม่ตลอดไปนะจ๊ะ...สัญญาสิ...”
บุญทิ้งนิ่งไป ไม่รู้จะตอบยังไง ปานฟ้าที่เดินเข้ามาพร้อมภาคินยิ้มให้
“พี่เดือน บุญทิ้งมาเยี่ยม...เดี๋ยวบุญทิ้งก็ต้องกลับ พี่เดือนต้องหาย จะได้อยู่กับบุญทิ้งไงล่ะจ๊ะ”
“หมาย...หมายความว่ายังไง อย่าขัดใจฉันนะ...ไม่งั้นละก็ ฉันจะฆ่าให้หมดทุกคนเลย ใครก็พรากลูกไปจากฉันไม่ได้”
อนิรุทธิ์นั่งลงข้างรถเข็นของปานเดือน พูดปลอบใจ
“คุณเดือน...ใจเย็นๆ สิ ถ้าคุณเดือนไม่ทานยา ไม่นอน ไม่ยอมทำตามที่หมอสั่ง บุญทิ้งก็จะไม่อยู่กับคุณเดือนนะ...ใช่มั้ยบุญทิ้ง...”
“ครับ...”
ปานเดือนยิ้ม กอดบุญทิ้งแน่น น้ำตาไหลพราก
“สัญญากับแม่นะว่า จะไม่หนีแม่ไปไหน...”
“ครับ คุณปานเดือน...”
ปานเดือนชะงัก จับบุญทิ้งห่างตัว พูดเสียงเครือ
“ทำไมไม่เรียกแม่ว่าแม่ละลูก...แล้วใครกันตั้งชื่อลูกของแม่ว่าบุญทิ้ง...ลูกแม่ชื่อทินภัทร...ทินภัทรจำไว้นะลูก...”
ปานฟ้าเมินหน้าหนีด้วยความสะเทือนใจ น้ำตาคลอ ภาคินส่งผ้าเช็ดหน้าให้ ปานฟ้ารับไป
“ขอบคุณค่ะ”
ปานฟ้าซับน้ำตา อีกด้านหนึ่ง ก้องภพยืนมองอยู่ หน้าเครียด
“มาเยี่ยมคนบ้าด้วยกัน...พี่สาวคุณฟ้านี่นา...ฮึ นี่มันใกล้ชิดกันขนาดนี้เลยเหรอ...”
ก้องภพเดินไปด้วยความหัวเสีย ขณะเดียวกัน ปานฟ้านั่งลงข้างๆปานเดือน
“พี่เดือนต้องอย่าดื้อกับหมอนะคะ จะได้กลับบ้านไวๆคุณพ่อคุณแม่จะได้หมดห่วง...”
“พี่สัญญา พี่ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ พี่ได้ทินภัทรลูกพี่กลับคืนมาแล้วนี่ยัยฟ้า...”
ปานฟ้าหันไปสบตากับภาคิน อนิรุทธิ์นั่งลงข้างๆปานเดือน มองเธออย่างมีความหวังว่าจะหายจากอาการนี้

ปานฟ้ากับภาคินเดินมาด้วยกัน บุญทิ้งก้าวนำไปก่อน เดินห่างออกไป
“บุญทิ้งคงคิดหนัก...” ภาคินพูดขึ้นอย่างกังวล
“เรื่องอะไรคะ”
“ก็เรื่องคุณปานเดือน...ผมเกรงว่าบุญทิ้งจะหลงดีใจไปว่า คุณปานเดือนเป็นแม่ ทั้งที่ไม่เป็นความจริง...”
ปานฟ้าหยุดเดินมองหน้าภาคิน
“ไม่มีอะไรสำคัญเท่าชีวิตของพี่เดือน...ซึ่งนั่นหมายถึงชีวิตของคุณพ่อกับคุณแม่ด้วย คุณพ่อท่านก็เคยบอกว่าถ้าบุญทิ้งยอมที่จะเป็นลูกให้พี่เดือน ทุกอย่างก็จบ”
“แน่ใจเหรอว่า ครอบครัวของคุณฟ้ายอมรับบุญทิ้งได้ เด็กอย่างบุญทิ้งน่าสงสารนะครับ รอยแผลเป็นในใจ ที่เกิดจากอดีตที่พร่ามัว มันฝังลึกไม่ลืมได้ง่ายๆหรอกครับ...เด็กที่ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ หรือว่ามีแต่ก็ไม่สมบูรณ์ ทุกข์ทรมานยังไง ผมทราบดี”
น้ำเสียงของภาคินเศร้าจนปานฟ้ารู้สึกได้ ปานฟ้าจับมือภาคินปลอบใจ
“ฟ้าจะเป็นกำลังใจให้คุณภาคิน และบุญทิ้งตลอดไปค่ะ”
“ขอบคุณครับ...”
ทั้งสองสบตากัน แล้วยิ้มให้กัน

บุญทิ้งเดินมาที่รถของปานฟ้า ก้องภพเดินมาทางด้านหลัง จับตัวบุญทิ้งไว้ ถามเสียงเครียดเชิงขู่
“เด็กข้างถนนอย่างแกน่ะเหรอ จะเป็นลูกชายคุณปานเดือน ฝันไปละมั้ง นี่ไอ้ภาคินมันคิดจะหากินกับเด็กอย่างแก เอาไปอุปโลกน์เป็นหลานเศรษฐีเหรอ...”
บุญทิ้งนิ่งตะลึง ปานฟ้ากับภาคินมาถึงพอดี
“ปล่อยบุญทิ้งเดี๋ยวนี้นะก้องภพ”
“ไม่...เด็กคนนี้แหละที่จะเป็นคนบอกกับคนทั้งโลกว่า คนอย่างแกน่ะลวงโลก เป็นพ่อพระแต่เปลือก แท้ที่จริงก็หากินกับเด็กตาดำๆ”
ขาดคำภาคินก็ตรงเข้าต่อยก้องภพ จนก้องภพเซไป บุญทิ้งเสียหลักล้มลงไป ปานฟ้ารีบถลาไปช่วยบุญทิ้ง แล้วดึงออกมา ขณะที่ภาคินกระชากตัวก้องภพเข้ามา จ้องหน้า
“จำไว้นะคุณก้องภพ ผมยอมให้คุณโขกสับผมได้ทุกอย่าง แต่มีเพียงสองอย่างเท่านั้นที่ผมยอมคุณไม่ได้...เรื่องแม่ของผม กับเรื่องอุดมการณ์ของผม...”
ก้องภพถ่มน้ำลายลงข้างตัว
“วิเศษมาจากไหนวะ ถึงแตะต้องไม่ได้ ก็ไม่จริงหรือไง..”
ภาคินเงื้อหมัดจะต่อยอีก แต่ปานฟ้าถลามาห้ามไว้
“อย่าค่ะ เดี๋ยวมีใครมาจะเรื่องใหญ่...ก้องภพ คุณกลับไปก่อนดีกว่าค่ะ...”
ก้องภพสะบัดออกห่างภาคิน
“คุณฟ้า ผมไม่คิดเลยนะว่าคุณจะตาต่ำ มองคนไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างไอ้ภาคินดีกว่าผม ไม่รู้รึไงว่ากำพืดมันเป็นยังไง...แม่มัน....”
ก้องภพยังพูดไม่ขาดคำ ภาคินก็ต่อยซ้ำเข้าไปอีก ก้องภพเซไป พลางพูด
“ไอ้ภาคิน ฉันจะฟ้องแม่...”
“ผมเตือนคุณแล้วนะ คุณก้องภพ...”
“แล้วแกกับฉันจะได้เห็นดีกัน...ไอ้ลูกนอกสมรส ไอ้ลูกไม่มีแม่ ไอ้...”
ภาคินทำท่าจะเข้าไปทำร้าย ก้องภพหนีหัวซุกหัวซุนไปที่รถของตน บุญทิ้งมองตามไปเศร้าๆ หันไปถามปานฟ้า
“พี่คนนั้นเขาว่าใครหรือครับพี่ปานฟ้า...”
“เขาก็พูดไปยังงั้นแหละจ้ะ บุญทิ้งอย่าไปสนใจเลย” ปานฟ้ากอดบุญทิ้งไว้

ที่โรงลิเก...ช้อยยืนอยู่ที่บนโรงลิเกซึ่งไม่ได้มีการแสดง ทุกคนออกมาจากด้านใน ยืนอึ้งเมื่อเห็นถมเดินหน้าเศร้ามา
“พี่ถม เจ้าของตลาดเขาว่ายังไง...” ช้อยถาม
ถมเงยหน้าขึ้นบอกทุกคน
“เขาไล่เรา...เก็บของ ไปหาที่อยู่ใหม่...”
“โอ๊ย อีกแล้วเหรอ...เร่ร่อนเป็นนกขมิ้นบินไปบินมา หาที่อยู่เป็นหลักแหล่งไม่ได้ซะที...ไหนว่ามีคนระดับแม่ครูมาอยู่ในคณะ แล้วจะโด่งดังคับฟ้าเหมือนคณะอื่นเขาไงล่ะ” ช้อยหันมามองกัญญาอย่างจงใจว่าโดยตรง กระแทกเสียงใส่ “เสียข้าวสุก...”
กัญญามองช้อย ไม่อยากมีเรื่องก็เดินเข้าไปในโรง
“หมั่นไส้ อยากจะตบให้ร่วงตกเวทีเลย..”
ชาวคณะคนอื่นๆยืนขวางกัญญาไว้
“ถ้าทำอะไรแม่ครูนะ โดนดีแน่ จะเอาให้หน้าบวมเป็นนางเอกไม่ได้เลย เอาสิ” คนหนึ่งพูดอย่างไม่พอใจ
ช้อยหงุดหงิด เดินหนีไป อีกคนเบ้หน้าใส่
“นึกว่าตัวเองสวยนักรึไง ถือตัวว่าเป็นนางเอก โธ่เอ๊ย ถ้าย้อนเวลาไปสักห้าปี แกน่ะไม่มีทางเทียบแม่ครูได้หรอก”
ช้อยหันกลับมามองแล้วเดินลงส้นจากไป

กัญญาเดินมาหาถม ที่นั่งซึมอยู่อย่างไม่สบายใจ
“ไปเก็บของซะสิกัญญา...เดี๋ยวเจ้าของตลาดเขามาไล่หรอก...ฉันเสียใจนะที่หาค่าเช่าที่มาให้เขาไม่ทัน...”
“พี่ถมอย่าโทษตัวเองเลย เดี๋ยวนี้คนไม่นิยมดูลิเกแล้ว...ลิเกดังๆเขาก็มีจุดขายอย่างอื่นกันทั้งนั้น เราไม่มีดาราแม่เหล็ก ไม่มีเครื่องไฟและเสื้อผ้าสวยๆ ฉันเองก็แก่เกินกว่าจะดึงคนมาติดคณะเราได้...”
“อย่าโทษตัวเองเลย ทุกคนทำดีที่สุดแล้ว...ไปเก็บของเถอะ...”
“จ้ะ เดี๋ยวฉันตามไป”
ถมพยักหน้า แล้วเดินไปถึงมุมหนึ่งของโรงลิเก ขณะที่ชาวคณะเก็บข้าวของกันอยู่ ช้อยเดินมาขวาง
“นังกัญญามันไม่ไป ก็ไม่ต้องให้มันไปกับเรา...”
“ใครบอกล่ะ สาระแนเรื่องชาวบ้านนัก เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ...”
ถมเข้าไปในโรงลิเก ช้อยหงุดหงิด พูดตามไป
“นังช้อยพูดอะไรไม่เคยถูก คอยดูนะถ้าวันไหนลิเกคณะนี้ ไม่มีชดช้อย พลอยมณี นางเอกแสนสวยชื่อดังอยู่ประจำคณะนี้แล้วจะอดตายกันหมด..”
ชาวคณะที่ได้ยิน ทำท่าอ้วก ส่งเสียงโอ้กอ้าก ช้อยหันมาแล้วมองแค้นๆ

กัญญาหลบมานั่งตามลำพัง แล้วโทรหาป้านุ่ม ไม่นานนักป้านุ่มมารับสาย
“พี่นุ่มเหรอจ๊ะ”
ป้านุ่มดีใจ รีบหันไปทางหนึ่งไม่เห็นใครก็รีบพูด
“แม่บุษบา ฉันดีใจจังเลย นี่แม่บุษบาโทรมาจากไหนรึจ๊ะ”
“ฉันต้องย้ายวิกอีกแล้วนะ”
“อ้าว จะไปอยู่ที่ไหนล่ะคราวนี้ โธ่ นึกว่าไปตลาดแล้วจะได้เจอกันซะอีก...”
วิมลวรรณเดินมา แล้วคว้าโทรศัพท์ของป้านุ่มไปทันที วิมลวรรณแนบโทรศัพท์กับหูตนเอง เสียงของกัญญาดังมา
“ยังไม่รู้เลยจ้ะ ฝากภาคินด้วยนะจ๊ะพี่นุ่ม...”
วิมลวรรณโกรธจัด พูดตะคอกไป
“นี่แกยังไม่ตายเหรอนังบุษบา...ฉันเคยบอกแกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าติดต่อมา อย่าลืมสิว่าลูกแกอยู่ในกำมือของฉัน..”
บุษบาตกใจ รีบปิดสัญญาณโทรศัพท์ทันที
“นังบุษบา นังแมวขโมย หนอย หลงคิดว่าแกปีนต้นงิ้วอยู่ในนรกแล้วซะอีก ที่ไหนได้ยังกล้าโทรมาอีก”
วิมลวรรณหันมาเห็นป้านุ่ม ขว้างมือถือของป้านุ่มไปที่โซฟา แล้วเข้ามาตบหน้าป้านุ่มอย่างแรง ดึงผม ทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ด้วยความแค้น ป้านุ่มร้องไห้โฮๆ ไม่กล้าทำร้ายตอบ
อานนท์เข้ามาพอดี
“อะไรกัน คุณหญิง...ไม่กลัวมันตายหรือไง...”
อานนท์แยกวิมลวรรณออกมา
“เข้าข้างมันนักใช่มั้ย ฉันจะได้ตบมันให้ตายคามือเลย..”
วิมลวรรณจะเข้าไปทำร้าย แต่เห็นก้องภพเข้ามา เลือดเลอะที่มุมปาก ใบหน้าช้ำบวม
“คุณแม่...”
วิมลวรรณตะลึง
“ตายจริงตาภพ ใครทำอะไรแกน่ะ...”
“ก็จะใครซะอีกละแม่ ก็ไอ้ลูกไม่มีแม่ของคุณพ่อไง...”
อานนท์ตกใจ
“แกไปทำอะไรภาคินเขาล่ะ หา...”
“คุณพี่ ลูกเราเจ็บ ไม่เห็นเหรอไง...ยังจะเข้าข้างไอ้ภาคินอีก”
ป้านุ่มคว้าโทรศัพท์ที่โซฟา แล้ววิ่งออกไปข้างนอก
“อะไรเหรอครับ คุณแม่...”
“นังนุ่ม กลับมานะ กลับมาให้ฉันลงโทษแกซะดีๆ โทษฐานที่กล้าติดต่อกับนังบุษบา...”
ทั้งอานนท์ และก้องภพต่างก็อึ้งไป กับชื่อ...บุษบา...

กัญญายืนหน้าเศร้าอยู่ เมื่อคืดถึงสิ่งที่วิมลวรรณพูด...
‘นี่แกยังไม่ตายเหรอนังบุษบา...ฉันเคยบอกแกแล้วใช่มั้ย ว่าอย่าติดต่อมา อย่าลืมสิว่าลูกแกอยู่ในกำมือของฉัน..นังบุษบา นังแมวขโมย หนอย หลงคิดว่าแกปีนต้นงิ้วอยู่ ในนรกแล้วซะอีก ที่ไหนได้ยังกล้าโทรมาอีก’
กัญญาน้ำตาไหล
“ภาคิน แม่ขอโทษ...เขาคงโกรธแม่ แล้วทำร้ายลูกของแม่แน่ๆ เลย โธ่...”
ช้อยเท้าเอวตะโกนมาจากบนเวที
“โอ๊ย หมั่นไส้ อาลัยอาวรณ์อะไรกับที่นี่นักหนา หรือว่ามีผู้ชายหน้าโง่มาหลงหัวปักหัวปำ พี่ถมดูซิ ร้องไห้ยังกะญาติเสีย...”
“ปากเสีย นังช้อย...อยู่หน้าโรงร้องไห้เป็นนางเอกน่าสงสาร ทำไมตัวจริงถึงได้ร้ายนักหนาวะ”
ถมตวาดกลับอย่างโมโห

ป้านุ่มออกมาจากบ้าน เรียกรถแท็กซี่เพื่อไปตลาด ขณะเดียวก็โทรหาภาคินไปด้วย
ที่มูลนิธิ...ตุลย์กำลังมองภาพวาดของบุญทิ้งอยู่
“ฝีมือไม่เลว มีหวังได้รางวัลแน่ๆ จริงมั้ยครับคุณแก้ว..”
“ไม่รู้..”
เฟื่องแก้วตอบเมินๆ ขณะเดียวกันเสียงโทรศัพท์ของภาคินที่วางอยู่ดังขึ้น เฟื่องแก้วหยิบส่งให้ภาคินที่เดินเข้ามาพร้อมปานฟ้าพอดี
“ขอบคุณครับ...” ภาคินกดรับสายเมื่อเห็นชื่อคนที่โทรมา “ว่าไงครับป้านุ่ม..”
“เกิดเรื่องใหญ่แล้วค่ะ คุณหญิงโกรธที่คุณหนูทำร้ายคุณก้องภพ...ป้าว่า...”
ภาคินพูดด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น
“ป้านุ่มไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมยินดีที่จะกลับไปให้คุณหญิงสอบสวน ถ้าผมผิด ผมก็จะยอมรับผิดเอง..”
“ค่ะ ป้าก็โทรมาเตือนคุณหนูก่อนเท่านั้นแหละค่ะ”
ป้านุ่มวางสายไป ภาคินเดินออกจากมูลนิธิมาที่รถ ปานฟ้า ตุลย์ เฟื่องแก้ว เดินตามออกมาด้วย
“ฟ้าอยู่ในเหตุการณ์ จะให้ฟ้าไปเป็นพยานด้วยมั้ยคะ..” ปานฟ้าถามอย่างกังวล
“ขอบคุณครับคุณฟ้า แต่ไม่เป็นไรหรอก ถึงจะมีพยานหรือหลักฐาน คุณหญิงก็คงไม่ฟังหรอก ท่านเชื่อความรู้สึกของท่านมากกว่า...”
ภาคินเปิดประตูรถ
“เฮ้ย แล้วตกลงคืนนี้ว่าไงวะ เรื่องจะไปลาดตระเวนกัน” ตุลย์ถาม
ภาคินมองเฟื่องแก้ว
“คุณแก้วไปกับหมวดตุลย์นะครับ เด็กๆทางนี้ ให้ลุงชิดแก ช่วยดูแลก็ได้...ผมไปก่อนนะครับ คุณฟ้า...”
ภาคินขับรถออกไป ปานฟ้ายืนมองด้วยความเห็นใจ

วิมลวรรณทาแผลให้ก้องภพ ด้วยอารมณ์ขุ่นมัว โกรธและเกลียดภาคินมาก
“แม่อยากจะฆ่ามันนัก มันทำร้ายลูกแม่ก็เหมือนทำร้ายหัวใจแม่...”
อานนท์หัวเราะในลำคอหึๆ วิมลวรรณตวัดสายตามองอานนท์อย่างไม่พอใจ
“หัวเราะอะไร...อย่าทำให้ฉันรู้สึกว่าคุณรักไอ้ลูกผู้หญิงใจง่ายมากกว่าตาภพลูกเรานะ...”
“ถามจริงเถอะ วันๆจิตใจคุณหญิงเคยสงบสุขกับเขาบ้างหรือเปล่า ว่างๆ ก็เข้าวัดฟังธรรมบ้างนะ จิตใจจะได้เย็นขึ้นบ้าง...”
“ฮึ ฉันเป็นยังงี้ก็เพราะใครล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ..”
ก้องภพหงุดหงิดที่พ่อแม่ทะเลาะกัน
“โอ๊ย ทะเลาะกันอยู่ได้ น่าเบื่อ...”
ภาคินเดินเข้ามา อานนท์หันไปถามทันที
“ภาคิน เกิดอะไรขึ้นเล่าให้พ่อฟังซิ...”
“ทำไมต้องเล่า ฉันไม่อยากฟัง ลูกเราเจ็บเห็นอยู่โทนโท่ยังจะพูดจาเข้าข้างมันอีก...มานี่ มาให้ฉันลงโทษแกซะดีๆ ไอ้ภาคิน”
ภาคินเดินไปตรงหน้า วิมลวรรณตบหน้าจนภาคินหน้าหันไป
“จำไว้ อย่าแตะต้องลูกฉันอีก...”
“ผมก็อยากบอกคุณหญิงไว้ว่า อย่าให้คุณก้องภพแตะต้องถึงแม่ผมอีก ผมจะไม่ออมมือเลย แม้แต่คุณหญิงเองก็เถอะ”
วิมลวรรณตกใจ
“ไอ้ภาคิน แกอย่ามาทำตัวนักเลงในบ้านนี้นะ...นิสัยแบบนี้ ตระกูลฉันไม่มีหรอก...ติดเชื้อชั่วแม่แกมาละสิ...”
ภาคินจ้องหน้าวิมลวรรณ
“ผมยอมให้ครั้งนี้ครั้งเดียวนะครับ ไม่งั้นอย่าหาว่าผมไม่เตือน...”
ภาคินเดินไป ก้องภพหลบตา
“คุณพี่เห็นมั้ยคะ ไอ้ภาคินมัน...”
“ถ้าใครมาว่าแม่ของก้องภพ คุณคิดว่าก้องภพมันจะโกรธมั้ย”
“ถามได้ โกรธสิ แม่ของตาภพก็ฉันนี่ไง...”
“ใช่ เหมือนผม ใครด่าแม่ผม ผมก็ต้องโกรธ...รู้งี้แล้วตาภพ แกควรไปขอโทษพี่เขาซะ...”
“พี่...คุณพ่อให้ผมนับญาติกับมันเหรอ...ไม่มีทางหรอก...” ก้องภพไม่พอใจ
“งั้นก็ไปให้พ้นหน้าฉัน...”
ก้องภพมองหน้าพ่อผิดหวัง
“คุณพ่อ!”
วิมลวรรณโกรธจัด
“คุณหญิงแม่ของฉัน เคยเตือนแล้วว่าฉันเลือกผัวผิด ฮึ ฉันเพิ่งรู้ว่าเป็นจริงก็วันนี้เอง...” วิมลวรรณดัง “นังนุ่ม...นังนุ่ม หายหัวไปไหนนะ อย่าให้ฉันเจอนะ ฮึ่ม ไม่คิดเลยว่าเลี้ยงงูพิษไว้ในบ้าน”
วิมลวรรณพาลไปทั่ว อานนท์สุดจะทน เดินหนีไปอีกคน...

หน้าโรงลิเก...กัญญาวางกระเป๋าเดินทางใบเก่าๆลง เมื่อเห็นป้านุ่มเดินมา ทั้งคู่จับมือกัน
“แม่บุษบา ไปอยู่ที่ไหนต้องติดต่อกลับมานะ สัญญาสิ”
“ฉันติดต่อแน่ เพราะฉันอยากได้ข่าวภาคิน พี่นุ่ม คุณหญิงโกรธมากใช่มั้ย แล้วเธอจะทำอะไรภาคินหรือ
เปล่า เธอเคยขู่ฉันไว้”
“อย่าคิดมากไปเลย คุณหนูน่ะโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เอาตัวรอดได้...ห่วงตัวเองดีกว่านะแม่กัญญา...”
กัญญาจับมือป้านุ่มน้ำตาไหล
“ยังไงฉันก็ฝากลูกด้วยนะแม่นุ่ม”
“จ้ะ...”
กัญญาถือกระเป๋าเดินไป ป้านุ่มมองตามด้วยความสงสาร

“กรรมเวรอะไรของแม่กัญญานะ...”
ภาคินมองดูรูปตัวเองเมื่อครั้งยังเด็ก แต่ในรูปถ่ายใบนั้นแม่ของเขาหันหลังอยู่จึงไม่เห็นหน้า

“สักวัน...ผมจะทำให้แม่หันหน้ามาทางผมให้ได้ ผมจะต้องรู้ว่าแม่ผมหน้าตาเป็นยังไง”
ภาคินคิดถึงแม่อย่างจับใจ ช่วงเวลาเดียวกันนั้น กัญญานั่งอยู่ในรถสองแถว มองออกไปข้างนอกหน้าเศร้าๆ รำพึงในใจ
‘แม่ต้องหนีไปเรื่อยๆ แม่กลัว...กลัวว่าคุณหญิงเขาจะทำร้ายลูกของแม่อย่าโกรธแม่นะ ภาคิน’
กัญญาปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้ว ช้อยมองอย่างหมั่นไส้

ป้านุ่มเปิดประตูเล็กเข้ามา แล้วก็ตกใจ เมื่อเห็นวิมลวรรณยืนแอบอยู่ข้างประตู วิมลวรรณดึงผมของป้านุ่มจนหน้าหันมา
“โอ๊ย คุณหญิงเจ็บค่ะ”
“ฉันสิ เจ็บมากกว่าแกไม่รู้กี่เท่า...บอกมานังกัญญาอยู่ที่ไหน”
ป้านุ่มตกใจ ส่ายหน้า
“อิฉันไม่ทราบค่ะ”
“ก็แกติดต่อกับมันไม่ใช่เหรอ”
“เธอเพิ่งติดต่อมาวันนี้เองค่ะ ร้อยวันพันปีก็ไม่เคยติดต่อกัน”
“งั้นแกก็สาธยายมาว่า...วันนี้หายหัวไปไหนมา”
“ไปตลาดค่ะ”
วิมลวรรณมองป้านุ่น ไม่เห็นกับข้าวหรือตะกร้าใส่กับข้าว
“ท่าทางแกเหมือนไม่ได้ไปตลาด...ผักชีสักต้นก็ยังไม่มีติดมือ”
วิมลวรรณปล่อยผมของป้านุ่มอย่างแรง จนเซไป อานนท์เข้ามา
“ว่าไงนุ่ม ซื้อหอยแครงไม่ได้เหรอ”
ป้านุ่มสบตาอานนท์ รีบรับมุก
“เอ้อ...ไม่มีค่ะ”
อานนท์ส่งสายตาให้หนีไป ป้านุ่มรีบเดินไป วิมลวรรณคว้าข้อมือของป้านุ่มไว้
“ถ้าวันไหนฉันจับได้ว่าแก ยังติดต่อกับนังหน้าด้านนั่นอยู่ รู้วันไหน ฉันก็จะเฉดหัวแกออกจากบ้านวันนั้น”
วิมลวรรณมองแค้นๆ

ป้านุ่มยืนอยู่ในครัวยังหวาดหวั่นอยู่ไม่หาย ภาคินเดินเข้ามา
“บอกผมได้มั้ยป้านุ่ม...ว่าแม่ผมอยู่ไหน”
ป้านุ่มอึกอัก ส่ายหน้า
“นุ่มไม่ทราบจริงๆค่ะ”
“ป้าอย่าปิดผมเลย...ผมอยากพบแม่”
ป้านุ่มส่ายหน้าเช็ดน้ำตาเดินหนีไป ภาคินมองตามไปด้วยสายตาเศร้าๆ ขณะเดียวกันนั้น เสียงหัวเราะหยันดังมาทางหนึ่ง ภาคินหันไปก็เห็นก้องภพยืนอยู่ ใบหน้ายังมีรอยช้ำบวม
“ไอ้ลูกหลงแม่”
ภาคินเดินหนีไปอย่างไม่อยากมีเรื่องด้วย ก้องภพมองตามยิ้มเยาะ

วันใหม่...อนิรุทธิ์เข็นรถของปานเดือน มาตามทางเดินของโรงพยาบาล ปานเดือนนั่งเหม่อลอย ในมือของเธออุ้มตุ๊กตาแล้วหยอกล้อกับตุ๊กตา คิดว่าเป็นลูก สายอุษาที่มองอยู่สะอื้น ผินหน้ามาทางสามี เติมบุญจับมือภรรยาปลอบใจ ปานฟ้ายืนอยู่ข้างแม่ น้ำตาไหลพราก
“คุณ...นี่ยัยเดือนลูกเราเหรอนี่...ทำไมชะตากรรมของยัยเดือนต้อง เป็นยังงี้ด้วย”
“ใจเย็นๆคุณ...ยัยเดือนต้องหาย เชื่อผมสิ”
ปานฟ้าประคองแม่ อนิรุทธิ์เห็นกลุ่มของปานฟ้า ก็ชี้ให้ปานเดือนดู
“คุณเดือนครับ เห็นมั้ยครับ คุณพ่อคุณแม่แล้วก็คุณฟ้ามาเยี่ยม”
ปานเดือนมองไปที่กลุ่มของสายอุษา อย่างจำไม่ได้
“ใคร...ใครกัน...”
สายอุษากลั้นสะอื้นไว้ไม่ได้ เดินไปหาลูกสาว ทุกคนตามไป
“เดือน...นี่แม่ไง แล้วนี่ก็คุณพ่อ แล้วก็น้องฟ้า”
ปานเดือนเอียงคอมอง ส่ายหน้า แล้วก้มลงเห่กล่อมลูกต่อ
“เอ๊...อย่าร้องนะลูกแม่...ทินภัทรลูกแม่...ทินภัทร โตขึ้นลูกต้องเรียนเก่งๆนะลูก...โอ๋ อย่าร้องนะ...อย่าร้อง...”
เติมบุญมองลูกสาวอย่างสงสารจับใจ
“เรากลับกันก่อนเถอะคุณ ตอนนี้ยัยเดือนยังจำเราไม่ได้หรอก”
ปานฟ้าหันมาถามอนิรุทธิ์
“วันก่อนพาบุญทิ้งมา พี่เดือนก็ดูอาการดีขึ้นแล้วนี่คะพี่รุท”
“นั่นสิ...แต่พอบุญทิ้งหายหน้าไป อาการของคุณเดือนก็กลับมาเป็นอย่างเดิมอีก”
“โธ่ พี่เดือน”
ปานฟ้าเศร้าสลดสงสารพี่สาว

ปานดาวตวัดสายตามองมาสามี พูดเสียงเครียด
“ดาวเคยนึกนะภู ถ้าดาวเจ็บปางตาย พ่อกับแม่จะไปเยี่ยมดาว เหมือนไปเยี่ยมนังเดือนหรือเปล่า”
“จะเครียดไปทำไม ยังไงน้องสาวเธอก็คงกลับมาเป็นปกติได้ยาก”
“อย่าประมาท หมอเดี๋ยวนี้เก่งจะตายไป”
“หมอเก่งหรือจะสู้ผมเก่ง...ตอกย้ำว่ามันเป็นบ้าทุกวันโรคบ้าของ มันก็ไม่มีวันหายหรอก...เชื่อสิ”
พิมเข้ามา หน้าตาตื่น
“คุณดาวคะ คุณผู้หญิงเรียกพิมไปพบ...สงสัยว่าจะเป็นเรื่องคุณเดือน”
“แกน่ะรอบจัดจะตายไป...แค่นี้ก็ต้องกลัวด้วยเหรอ ฉันเชื่อว่าแกเอา ตัวรอดได้ จริงมั้ยคะภู”
ภูวดลพยักหน้าเห็นด้วย
“ใช่...ผมก็เชื่อว่านังพิมน่ะเอาตัวรอดได้”
“ถ้าแกยิ่งพูดให้เจ้ารุทกับนังเดือน มันดูแย่มากเท่าไหร่ ฉันก็จะมี รางวัลให้แกมากเท่านั้น” ปานดาวหันมาบอก
พิมยิ้มมั่นใจสุดๆ

ปานฟ้าเดินไปเดินมาอยู่ในสวน เธอถือโทรศัพท์มือถือ อย่างเป็นห่วงภาคินที่มีเรื่องชกต่อยกับก้องภพ หยิบโทรศัพท์มือถือกดหาภาคิน ไม่นานนักเขารับสาย
“คุณ...ไม่เป็นไรมากใช่ไหมค่ะ”
ภาคินขมขื่นใจ
“ผมไม่เจ็บตัวหรอกครับ แต่เจ็บใจมากกว่า ต้องขอโทษคุณฟ้าด้วย ที่ทำให้กังวลเพราะความใจร้อนของผม”
“เป็นฟ้าก็ไม่รู้จะทนไหวไหม คุณก้องภพไม่ไหวจริงๆเล่นกันถึงพ่อแม่แบบนี้ ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษเลย”
ภาคินพูดอย่างน้อยใจ
“ที่เขาพูดก็อาจมีส่วนถูก ความจริงก็คือความจริงวันยันค่ำ”
“แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์ดูถูกคุณแบบนั้น ทุกคนเกิดมามีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกันนะค่ะ ไม่ว่าจะเกิดมายังไงก็ตาม”
ภาคินยิ้มอย่างซึ้งใจในน้ำใจของเธอ
“ถ้าทุกคนคิดเหมือนคุณปานฟ้าก็ดีสิครับ”
“คุณอย่าคิดมากนะ...ฉัน...เป็นห่วงและเห็นใจคุณนะค่ะ”
“แค่ได้ยินแบบนี้ก็หายเป็นปลิดทิ้งแล้วครับ ขอบคุณมาก”
ปานฟ้ายิ้มอย่างคลายกังวล ภาคินยิ้มดีใจอย่างมีความสุขในใจเงียบๆ

ในห้องรับแขก...พิมจิบน้ำส้ม หยิบผลไม้ในถาดมากิน วางมาดคุณนายนั่งบนเก้าอี้รับแขก กดรีโมทดูทีวีอย่างเพลินใจ ปานฟ้าเข้ามาเห็นมองอย่างไม่พอใจ พิมตกใจเล็กน้อย ลุกขึ้นจากเก้าอี้แต่ยังถือถาดผลไม้ติดมือมากิน ตามองทีวี ยิ้มหัวเราะกับรายการทีวี ไม่สนใจ
ปานฟ้ามองอย่างเคือง เดินเข้าไปปิดทีวีแล้วจ้อง พิมทำหน้าไม่พอใจ ถอนหายใจลอยหน้าจะเดินหนีไป
“ไม่ดูก็ได้ค่ะ”
“เดี๋ยว...”
“มีอะไรเหรอค่ะ” พิมน้ำเสียงยียวน
“เธอชักจะเอาใหญ่แล้วนะ อย่าให้ฉันเห็นพฤติกรรมแบบนี้อีก...ครั้งนี้ฉันให้อภัย”
พิมแสยะยิ้มเดินตรงมาสบตาปานฟ้า
“พิมทำอะไรผิดเหรอค่ะ คุณฟ้าถึงต้องให้อภัย พิมดูทีวีอยู่ดีๆ คุณฟ้า มาปิดทีวีเฉย พิมต้องให้อภัยคุณฟ้าสิค่ะ...มันถึงจะถูก”

หน้าประตูเข้าห้องโถง เติมบุญกับสายอุษา เดินหน้าเศร้าคุยกันมา ภูวดลและปานดาวเดินตามหลัง ขณะที่ปานฟ้าชักโมโหในความเหิมเกริมของสาวใช้ เธอตะเบ็งเสียงอย่างโกรธจัด
“มากไปแล้วนะพิม เธอกล้าดียังไง มาเถียงฉันขนาดนี้”
พิมเถียงอย่างไม่คิดเกรงใจ
“ก็กล้าแบบนี้...ใครจะทำไม...พิมไม่ผิดนี่นา”
สายอุษาเดินมาเห็นพิมเถียงปานฟ้าฉอดๆ ก็ตวาด
“นังพิม...หุบปากของแกเดี๋ยวนี้”
พิมตกใจหันไปมอง เห็นสายอุษาเอาจริงไม่กล้าเถียงต่อ นั่งลงกับพื้น หน้ามุ่ยกระฟัดกระเฟียด
“แค่นั่งดูทีวีนิดเดียว ทำเป็นเรื่องใหญ่กันไปได้” พิมจ้องปานฟ้าอย่างไม่เกรง “พิมก็เมีย คุณรุทธิ์คนหนึ่งนะ จะไม่มีสิทธิ์มีเสียงทำอะไรในบ้านนี้เลยหรือไง”
ภูวดลกับปานดาวยิ้มหยันอย่างสะใจในคำพูดพิม ปานฟ้าโกรธจัด
“ทำเรื่องบัดสีขนาดนั้น แล้วยังจะมาอ้างสิทธิ์อีกคนบ้านนี้ไม่สนใจเรื่องต่ำๆแบบนั้น ถ้าคิดจะอยู่ที่นี่ก็ต้องรู้ว่าตัวเป็นใคร”
พิมเบะปากใส่อย่างไม่แยแส
“พิมก็จะเป็นตัวพิมนี่แหละอย่าหาเรื่องกันดีกว่า” พิมลุกยืนกอดอก “พิม...เป็นเมียคุณรุท...เป็นมานานแล้วด้วยไหนๆเรื่องก็แดงออกมาแล้ว ทุกคนในบ้านนี้ก็ต้องยอมรับ”
เติมบุญหน้าเครียด
“อะไรนะ...”
สายอุษาตะลึง
“เป็นไปไม่ได้...ใครจะไปยอมรับแก โอยยย...ฉันจะเป็นลม”
พิมเชิดหน้าไม่ยอม
“ต้องได้สิคะ...แต่ถ้าคิดจะเฉดหัวพิม ทิ้งไปง่ายๆ ล่ะก้อ...อย่าหวัง ไม่งั้นได้เห็นฤทธิ์กันแน่”
ทุกคนอึ้ง สายอุษากุมขมับ ปานฟ้ากับเติมบุญเครียด ปานดาวสบตากับภูวดลอย่างสะใจและชอบใจในมารยาของพิม

สายอุษานั่งที่เตียงนอน เติมบุญนั่งอยู่ไม่ห่าง ปานฟ้าถือแก้วน้ำส้มมาส่งให้แม่ สายอุษารับมาดื่ม
“แม่ไม่เข้าใจ นายรุทธิ์ไปเกลือกกลั้วกับผู้หญิงอย่างนังพิมได้ยังไง”
ปานฟ้ายังโมโหไม่หาย
“แทนที่จะนึกอาย นับวันพิมยิ่งอวดดี วันนี้ฟ้าอดไม่ได้จริงๆ แล้วดูท่าพิมสิค่ะ กร่างซะ...”
เติมบุญส่ายหน้า
“ถ้ามันวุ่นกันนัก ก็ให้พิมไปอยู่ที่อื่น”
“อุ้ย...ไม่ได้หรอกคุณ อยู่กับเราแบบนี้ มันไปไหนเรายังรู้ ถ้าไปอยู่ข้างนอก แล้วไปอาระวาดกับลูกเดือน มิแย่เข้าไปใหญ่เหรอค่ะ”
ปานฟ้าเหนื่อยใจ
“คุณพ่อขา...ทำไมบ้านเราถึงมีแต่เรื่องนะ”
“บ้านเรามันโชคร้ายตั้งแต่ทินภัทรหายไป” เติมบุญสบตาสายอุษา “ถ้าหลานกลับมาเมื่อไร ผมมั่นใจว่าเดือนต้องหายเป็นปกติแน่นอนถึงตอนนั้น...ทุกอย่างจะกลับมาดีเหมือนเก่า”
ปานฟ้ามองสายอุษาอย่างเชื่อมั่น
“ฟ้าจะพยายามหาตัวหลานให้เจอ แล้วพากลับมาให้ได้ ไม่ว่าจะยากแค่ไหน”
ปานฟ้าโอบแม่อย่างเห็นใจ สายอุษาเหมือนจะร้องไห้ เติมบุญจับมือให้กำลังใจ

พิมสีหน้าระรื่น นับธนบัตรใบละพันในมือหลายสิบใบ นับเสร็จเอามาดมอย่างชื่นใจ ปานดาวกับภูวดล แสยะยิ้ม
“แกเนี่ย นางร้ายในละครยังแพ้ ตีบทซะแตกกระเจิง เริ่มแล้ว ก็ต้องสานต่อให้จบ เอาให้ผัวนังเดือนมันกระเด็นออกจากบ้านนี้ให้ได้”
พิมยัดเงินใส่ยกทรง ยักคิ้วได้ใจ
“ไม่ต้องห่วงค่ะคุณขา แค่เนี่ยจิ๊บๆ เดี๋ยวแม่จะเอาให้เละทั้งผัวทั้งเมียเลยคอยดู คืองี้ค่ะคุณดาว พิมจะ...”
ภูวดลรีบตัดบท
“ไม่ต้องโม้มากนังพิม แกทำให้ได้เหมือนพูดเถอะ” ภูวดลสบตาแล้วสั่งเสียงแข็ง “ขยี้มันให้เละ มารยามีเท่าไรขุดมาใช้ให้หมด ยิ่งแกทำกับอนิรุทธิ์เท่าไร เมียมันจะยิ่งบ้าหนักเท่านั้น”
ปานดาวแสยะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“ยิงนกตัวเดียว กำจัดได้สองคนเลย ไหนนังฟ้าจะเสร็จไอ้ก้องภพอีก” ปานดาวหัวเราะสะใจ “โอ้ย...คิดแล้วมันสุขจริงจริ๊งงงง...ทุกอย่างในบ้านนี้และทุกสิ่งในตระกูลนี้ต้องตกเป็นของฉันคนเดียว”
ปานดาวปรบมือหัวเราะชอบใจในฝันที่จะเป็นจริง พิมจ้องปานดาวปรายตาอิจฉา ไม่ต่างกับภูวดลที่แค่นยิ้มชอบใจดวงตาฉายแววชั่วร้ายมีเล่ห์เหลี่ยม มากกว่าที่ปาดดาวจะรู้ได้

วันต่อมา...บุญทิ้งหัดวาดรูปลายดินสอ ใบหน้าผู้หญิงลงในกระดาษ ภาคินกับปานฟ้านั่งอยู่ใกล้ๆ มองบุญทิ้งอย่างครุ่นคิด
“ฉันตัดสินใจแล้วคะ ทางเดียวที่จะทำให้พี่เดือนดีขึ้น คือต้อง ให้พี่รุทธิ์กับพี่เดือนรับบุญทิ้งเป็นลูกบุญธรรม”
บุญทิ้งมองปานฟ้าตกใจปนดีใจ ภาคินส่ายหน้าอย่างหนักใจ
“ยากครับ เพราะคุณเดือนกำลังป่วยหนัก การจะรับเด็กไปอุปการะพ่อแม่บุญธรรมต้องมีสุขภาพกายสุขภาพจิตสมบรูณ์ ผมว่าตอนนี้ที่ทำได้ดีที่สุด คือทุกคนต้องดูแลให้กำลังใจเธอ ให้หายป่วยเร็วที่สุด”
บุญทิ้งหน้าเศร้าสงสารปานเดือน
“พี่ฟ้าพาผมไปหาคุณเดือนหน่อยสิครับ ผมคิดถึงคุณเดือน”
ปานฟ้าลูบหัวบุญทิ้งอย่างเอ็นดู
“พี่ก็อยากพาไป แต่ตอนนี้ทางโรงพยาบาลให้พี่เดือนพักผ่อนมากๆ บุญทิ้งเองก็ต้องฝึกวาดให้เยอะ เพราะใกล้ถึงวันแข่งขันแล้ว ไว้อีกพัก พี่ค่อยพาไปนะ”
บุญทิ้งอิดออด
“แต่ผม...อยาก...ไป ก็พี่ภาคินบอกว่า ทุกคนต้องช่วยกัน”
ภาคินปรามนิดๆ
“ไม่เอาน่าบุญทิ้ง อย่ารบเร้าพี่ฟ้าแบบนี้ เกรงใจพี่เขาบ้าง”
ปานฟ้ายิ้มให้บุญทิ้งที่ทำหน้าผิดหวัง บุญทิ้งถอนใจ ครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

เฟื่องแก้วเล่นกับเด็กอยู่ในสนามอย่างสนุกสนาน บุญทิ้งแต่งตัวหล่อกว่าทุกวัน แอบดูอยู่ข้างมุมตึก เด็กชายคิดไปคิดมา คิดไม่ตก แล้วตัดสินใจ วิ่งอย่างเร็วไปอีกมุมตึก หลบเฟื้องแก้วและไม่ให้ทุกคนเห็น ลุงยามที่ประตูฟุบหลับ สัปหงกอย่างเหนื่อยล้า บุญทิ้งย่องไปที่ประตู เปิดประตูออก รีบออกไปโดยไม่มีใครสังเกตเห็น
บุญทิ้งวิ่งเหลียวหน้าเหลียวหลังอย่างกลัวใครจะตามมา เด็กชายวิ่งมาหยุดหอบหายใจรัว หันซ้ายขวา ไม่รู้จะไปทางไหน ขณะเดียวกันนั้น ชายคนหนึ่งเดินผ่านมา เด็กชายรีบถามเสียงหอบ
“น้าๆ...โรงบาล...” บุญทิ้งนึกๆ “สี...สี...กันยา ไปทางไหนครับ”
“โรงบาลอะไร ไม่เคยได้ยิน ไม่รู้จัก”
ชายคนนั้นเดินผ่านไป บุญทิ้งมองตามอย่างงงงวย หันมาเจอหญิงแต่งตัวดีอีกคนเดินผ่านมา เข้าไปจับแขน รีบเอ้ยถาม
“น้าๆ ช่วยบอกผมหน่อย ทางไปโรงบาล สีกันยา ไปยังไงครับ”
หญิงคนนั้นเลี่ยงตัวหลบสะบัดแขนหนี มองหัวจรดเท้า ทำท่ารังเกียจ เดินเลี่ยงไปอย่างเร็ว บุญทิ้งเริ่มใจเสีย แต่ยังพยายามมองหาคนถามรายต่อไป พ่อดีมีลุงแก่ๆเดินมา บุญทิ้งรีบเข้าไปถาม
“ลุงครับ ลุงรู้จักโรงบาล สีกันยาไหม”
ลุงมองบุญทิ้งอย่างงงๆ
“สีกันยาไหนว่ะ...ข้าเคยได้ยินแต่ ศรีธัญญา โรงบาลบ้า”
บุญทิ้งยิ้มอย่างดีใจที่มีคนเข้าใจ เข้าไปจับแขนลุง
“เออ...นั้นแหละ...สีทันยา...ผมจำชื่อผิด ลุงบอกทางไปหน่อย”
ลุงเกาหัวทนบุญทิ้งรบเร้าไม่ไหว ชี้มืออธิบายทาง ชี้ไม้ชี้มือวกวนไปมา บุญทิ้งพยักหน้ารับอย่างตั้งใจฟัง

พระอาทิตย์แผดแสงแดดร้อนเปรี้ยง บุญทิ้งเงยมองพระอาทิตย์ตาหยี่ ใบหน้าเต็มไปด้วยผุดเหงื่อ เด็กชายเอาชายเสื้อขึ้นเช็ดเหงื่อ
“ไหนว่าใกล้ๆ เดินเป็นชั่วโมงแล้วยังไม่ถึง”
บุญทิ้งเดินผ่านด้านหน้าอาคารที่ด้านในมีตึกใหญ่ แต่ปิดประตูรั้วไว้ เด็กชายดีใจ รีบวิ่งไปเกาะประตู มองรอดเข้าไปข้างในใจหวังเห็นใครสักคนจะได้เรียก ทันใดนั้นหมาตัวใหญ่กระโจนมาประจันหน้าเกือบโดนหน้าบุญทิ้ง เห่าเสียงดังดุมาก บุญทิ้งหน้าหงาย ล้มลงไปกับพื้น ยามออกมาไล่
“เดี๋ยวเอ็งได้โดนไอ้นี่มันขย้ำคอตาย...ไปขอทานที่อื่นไป”
บุญทิ้งหน้าเสีย ตกใจกลัวทั้งหมาทั้งยาม
“ที่นี่ไม่ใช่โรงบาลสีทันยาเหรอครับ”
ยามเกาหัว กระบองเขี่ยไล่
“โอ๊ย...ไอ้เด็กบ้าเอ้ย จะไปโรงบาลบ้าที่ไหนก็ไป...ไป”
บุญทิ้งรีบลุกทำท่าจะร้องไห้ มองยาม หมาเห่าเสียงดัง ยามยกกระบองขึ้นจะตี บุญทิ้งรีบหลบ วิ่งหนีไป

เย็นนั้น...เมฆดำเริ่มปกคลุมพระอาทิตย์ ฝนเริ่มตั้งเค้า ฟ้าร้องเสียงดัง บุญทิ้งเดินอย่างอิดโรยผ่านหน้ารถเข็นขายกล้วยแขก หยุดยืนมอง ลูบท้อง กลืนน้ำลาย ป้าขายกล้วยแขก เอาที่ปัดแมลงวันทำท่าปัดไล่ บุญทิ้งสะดุ้งเดินผ่านไป
ฝนเริ่มลงเม็ดหนัก ฟ้าคำรามอย่างน่ากลัว บุญทิ้งเงยหน้ามอง เม็ดฝนที่ตกใส่หน้า รีบหาที่หลบฝน เด็กชายเนื้อตัวเปียกปอนไปทั้งตัว สีหน้าหมดหวังทิ้งตัวนั่งชันเข่าอย่างอ่อนล้าอยู่ที่ซอกตึกรกๆแห่งหนึ่ง มองดูเม็ดฝนที่ตกมาอย่างหนัก เด็กชายน้ำตาคลอ เริ่มจะร้องไห้ พูดเสียงเครือ
“ผมจะเจอคุณไหมครับ...คุณเดือน”
บุญทิ้งเอามือปาดน้ำตา ร้องไห้หนักขึ้น สายฝนตกกระหน่ำ เด็กชายนั่งร้องไห้อย่างโดดเดี่ยวในซอกตึก ฟ้ามืดค่ำ ลงไปทุกที
เมื่อฝนขาดเม็ด ถนนเจิ่งนองไปด้วยน้ำ ป้าขายกล้วยแขกเข็นรถผ่านมา มองเห็นบุญทิ้งนอนขดอยู่ซอกตึก ป้าหยิบถุงกล้วยแขกเดินไปโยนตรงหน้าบุญทิ้ง เด็กชายสะดุ้ง ตาตื่นลุกนั่งงัวเงีย เหลือบเห็นกล้วยแขก รีบคว้ามากินอย่างหิวโหย ป้ามองอย่างเอ็นดู
“ยัดแบบนั้น เดี๋ยวได้ติดคอตาย ไม่มีอะไรตกถึงท้องทั้งวันสิท่า” ป้ายิ้มขำ “ข้าเห็นเอ็งยืนน้ำลายยึด มองกล้วยแขกตั้งแต่เย็นแล้วฟ้ารั่วแบบนี้ ...ให้เอ็งกินยังดีกว่าต้องเททิ้ง”
ป้าปัดเม็ดฝนออกจากเสื้อ บุญทิ้งยิ้มแก้มตุ่ย ยกมือไหว้ป้าขายกล้วยแขก พูดกล้วยแขกเต็มปาก
“ขอบคุณคับ ป้าใจดีจัง...” เด็กชายรีบกลืนกล้วย นึกได้รีบถาม “ป้ารู้จักโรงบาลสีทันยาไหม”
ป้าแค่นหัวเราะขำๆ
“ไม่รู้ได้ไง ข้าเคยอยู่”
บุญทิ้งยิ้มมองป้าด้วยแววตาเป็นประกายมีความหวังอีกครั้ง ลุกขึ้นกระโดดโลดเต้น
“ไชโย...เย้ๆๆๆ...”
ขณะเดียวกันนั้น รถเก๋งแล่นมาอย่างเร็ว ผ่านน้ำที่เจิ่งนองที่ฟุตบาท น้ำกระจายมาโดนบุญทิ้งยิ้มแย้มกระโดดโลดเต้นไม่หยุด เปียกไปทั้งตัว ป้าขายกล้วยแขกพลอยโดนน้ำไปด้วย ตะโกนด่าเสียงลั่นด้วยความโมโห

ค่ำนั้น...ภาคิน ปานฟ้า และเจ้าหน้าที่มูลนิธิ 2 คน วิ่งมาบรรจบกันที่สามแยก ต่างหอบเหนื่อย หน้าหมดหวัง ส่ายหน้า
“หาจนทั่วแล้วครับ ไม่เจอเลย เดี๋ยวผมไปหาทางโน้นอีกรอบ”
เจ้าหน้าที่ 2 คนเดินจากไป ปานฟ้าปาดเหงื่อที่หน้าผากเอามือพัดหน้าอย่างร้อน เป็นห่วงบุญทิ้งมาก
“แจ้งไปทาง จส.100 กับร่วมด้วยแล้ว แต่ยังไม่มีใครเจอบุญทิ้งเลยคะ”
ภาคินยิ้ม มองปานฟ้าอย่างซึ้งน้ำใจ
“ขอบคุณมากครับ คุณเลยต้องมาลำบากด้วย”
ภาคินหยิบผ้าเช็ดหน้าให้ ปานฟ้ายิ้มรับมาซับเหงื่อตามหน้า แล้วส่งสายตาห่วงใยให้เขา
“มีปัญหาก็ต้องช่วยกันสิคะ คุณทั้งเหนื่อยทั้งเครียดกว่าฉันเยอะเดี๋ยวไปซื้อน้ำให้นะคะ”
ภาคินยิ้มอย่างชื่นใจในความเป็นห่วงจากปานฟ้า
“ไม่เป็นไรครับ แค่รู้ว่าคุณเป็นห่วง ผมก็หายเหนื่อยแล้ว”
ปานฟ้ายิ้มเขิน ทำอะไรไม่ถูก ภาคินทำท่าครุ่นคิด นึกอะไรได้บางอย่าง
“เดี๋ยวก่อน...ผมนึกได้แล้ว...บุญทิ้งต้องไปที่นี่แน่ๆ”
ปานฟ้าหันมามองเป็นเชิงถาม อย่างสงสัย

รถเมล์แล่นมาจอดหน้าโรงพยาบาลศรีธัญญาแล้วแล่นออกไป บุญทิ้งยืนอยู่หน้าโรงพยาบาลทำปากมุบมิบสะกดคำ
“ศอศาลา...รออี...รี...ศอนรี...ศรี”
บุญทิ้งยิ้มอย่างมีความหวัง ตั้งใจอ่านชี้มือไปที่ป้าย อ่านทีละตัว
“ทอธง ไม้หันอากาศ ยอ...ยักษ์...เอ้ย...ยอ...หญิง ธัญ...ธัญญา...ศรีธัญญา...” เด็กชายยกมือดีใจ ที่อ่านออก “เย้...ใช่แล้วที่นี่”
บุญทิ้งรีบวิ่งเข้าไปในโรงพยาบาล ก้านเดินสวนออกมาชนบุญทิ้งจนตัวเซแทบล้ม ก้านมองหน้าเฉย แววตาดุ เด็กชายมองชายแปลกหน้าอย่างหวาดๆ รีบหลีกจะเดินหนีไปอีกทาง ก้านคว้าคอเสื้อไว้ ถามเสียงห้าว
“เดี๋ยวไอ้หนู...จะรีบไหนวะ”
บุญทิ้งอึกอัก นึกกลัว
“หน้าตา ผิวพรรณแบบนี้ มันลูกคนมีกะตังนิหว่า เอ็งหนีออกจากบ้านใช่ไหม” ก้านรวบตัวบุญทิ้งไว้ “ไหนมาดูสิในกระเป๋ามีเท่าไร”
ก้านล้วงกระเป๋ากางเกง บุญทิ้งสะบัดจะหนี
“ปล่อยนะ...บอกให้ปล่อย”
“เฮ้ย...นิ่งๆสิวะ เดี๋ยวจับตัวไปเรียกค่าไถ่หรอก”
ก้านล้วงกระเป๋าไม่เจอสักบาท ก็โยนตัวบุญทิ้งเซเกือบล้ม
“โอ๊ย”
“ถุย...ลูกเศรษฐีอะไร ไม่มีสักบาท”
บุญทิ้งมองก้านด้วยความกลัว รีบวิ่งหนีไป ก้านแสยะปากตามหลังอย่างสุดชั่ว

บุญทิ้งวิ่งหนีเตลิดด้วยความกลัว วิ่งไปซ้ายที ไปขวาที อย่างผิดๆถูกๆ ไม่รู้จะไปทางไหนดี ผู้ป่วยสติไม่ดี หน้าตาแปลกๆ เดินผ่านมา มองบุญทิ้งสายตาแปลกๆ ยิ้มกวักมือเรียกแบบคนสติไม่ดีให้มาหา บุญทิ้งถอยกรูด ยิ่งกลัวหนัก วิ่งหนีไป
บุญทิ้งวิ่งไปก็เหลียวหลังไป กลัวว่าก้านจะตามมาจนชนเข้ากับชายคนหนึ่ง ที่โผล่มาโดยบังเอิญอย่างจังชายคนนั้นจับตัวบุญทิ้งไว้ บุญทิ้งหลับตาร้องเสียงหลง
“โอ๊ย...ปล่อยๆๆๆ ผมไม่ใช่ลูกเศรษฐี...ไม่ใช่”
ภาคินเขย่าตัวบุญทิ้งจนลืมตา
“นี่พี่เอง บุญทิ้ง....ตกใจอะไรมาเนี่ย”
บุญทิ้งลืมตา เรียกชื่อภาคินเสียงดังลั่น
“พี่ภาคิน...”
เด็กชายกอดภาคินไว้อย่างดีใจหน้าเหมือนจะร้องไห้ ยังกลัวก้านไม่หาย ภาคินลูบหลังเบาๆให้ผ่อนคลาย

ลูกบิดประตูห้องปานเดือนขยับจะเปิดออก ปานเดือนในสภาพโทรมๆเพราะอดนอนนั่งอยู่ที่ปลายเตียง ขณะเดียวกันนั้น หน้าที่เศร้าสร้อยของเธอกลับเปลี่ยนเป็นดีใจ หันไปทางประตูห้อง
“ทินภัทร...นั่นลูกใช่ไหม...ทินภัทร”
พิมก้าวเข้ามาในห้อง มองปานเดือนหน้าเรียบเฉย ตาฉายแววชั่วร้ายเลือดเย็น ปานเดือนชะงัก
“จำพิมได้ไหมคะคุณเดือน ผอมไปเยอะเลยนี่ พิมเป็นห่วง แวะมาเยี่ยม”
ปานเดือนยังหันซ้ายขวา แต่ไม่เห็นบุญทิ้ง ขยับลุกจากเตียง เข้ามาใกล้ประจันหน้า จนพิมชะงัก
“ลูกฉันไปไหน เธอเอาไปซ่อนใช่ไหม” ปาเดือนจับไหล่พิมเขย่า “บอกมานะ ลูกฉันอยู่ไหน”
พิมจ้องมอง ยิ้มส่ายหน้าช้าๆ
“โถ...อกแม่แทบแตก น่าเห็นใจจริงจิ๊ง ลูกหายค่อยๆหา เดี๋ยวก็เจอ”
พิมรั้งมือปานเดือนออกสะบัดแรง ถมึงตาใส่ ขึ้นเสียงอย่างไม่กลัว
“แต่ถ้าผัวหาย หาเท่าไรมันก็ไม่เจอ”
พิมหัวเราะใส่หน้า ปานเดือนอึ้ง จ้องมองพิมอย่างงงๆ
“เธอพูดอะไร...ผัวใคร...”
พิมแสยะยิ้มกลับอย่างเหนือกว่า
“จะผัวใครล่ะ ก็พูดกันอยู่ 2 คน ไหนๆก็บ้าไปแล้ว มีผัวไว้ก็ใช้อะไรไม่ได้ ให้พิมช่วยเอาไปใช้แล้วกันนะ รับรองจะดูแลอย่างดี”
ปานเดือนโกรธจนสั่น กำหมัดแน่น
“เธอพูดเรื่องอะไร ฉันไม่รู้เรื่อง...ไม่อยากพูดด้วยแล้ว ออกไป...ไป”
ปานเดือนหน้าเครียด ปวดหัว เอามือปิดหูไว้ทั้งสองข้างส่ายหน้าไปมาอย่างไม่อยากรับฟัง เริ่มร้องไห้ พิมเข้าไปใกล้ ถมึงตาใส่ แสยะยิ้ม
“ไม่อยากพูด งั้นฟังให้ดี วันๆ เพ้อถึงแต่ลูก จนผัวเบื่อจนไม่รู้จะเบื่อแค่ไหนแล้ว...แกมันเสียจิตจนโดนผัวทิ้ง” พิมหัวเราะใส่ “สำนึกกะลาหัวไว้ด้วย”
ปานเดือนหลับตา สะบัดมือ ข้อศอกอย่างแรง แต่กลับไปโดนหน้าพิมอย่างจังแบบตั้งใจ
“โอ๊ย...บ้าแล้วยังฤทธิ์มากอีกนะ”
พิมมองปานเดือนอย่างฉุนๆ ลูบหน้าไปมาด้วยความเจ็บปวด
“ไม่จริง...เป็นไปไม่ได้ รุทธิ์ไม่มีวันทิ้งฉัน เขารักฉัน เธอโกหก”
พิมจ้องมองปานเดือนอย่างโกรธจัด
“เล่นฉันก่อนเรอะ...อยากลองของกับนังพิมหรือไง”
พิมจิกผมปานเดือน ลากหัวกดตัวจนปานเดือนลงไปนั่งกับพื้นข้างขาเตียงเหล็ก ตะคอกใส่
“นังบ้า อยู่ไปก็รกโลก เอาหัวโขกเสาให้ตายเลยดีมั้ย”
ปานเดือนมองพิมด้วยแววตาหวาดกลัว

บุญทิ้งดื่มน้ำอย่างหิวกระหาย หันมามองภาคิน แล้วดื่มต่อ ภาคินมองด้วยสายตาสังเวชใจ
“ผู้ชายคนนั้น น่ากลัวมากเลยครับ เขานึกว่าผมเป็นลูกเศรษฐีล้วงกระเป๋าหาตังค์ใหญ่เลย...แต่ ผมไม่มีสักสลึง”
ภาคินมองบุญทิ้งอย่างเอ็นดู
“เขาคงล้อเล่น แกล้งบุญทิ้ง ว่าแต่เรานี่ ดูไปก็คล้ายลูกเศรษฐีเหมือนกันนะ”
บุญทิ้งมองแขนขาตัวเอง คุยทับ
“ใครๆ ก็ชอบพูดแบบนี้ แต่ไม่เห็นมีเศรษฐีมาขอไปเลี้ยงสักที”
ปานฟ้ามองบุญทิ้งอย่างขำๆ
“ต่อไปต้องระวังตัวนะ อย่าไปไหนมาไหนคนเดียว แก๊งค์ลักเด็กมันมีเยอะไม่ว่ารวยว่าจน มันจับหมด อย่าหายตัวไปเหมือน....”
ปานฟ้าพูดต่อไม่ออก บุญทิ้งมองหน้าเชิงถาม
“เหมือน...ทินภัทร หลานพี่”
บุญทิ้งมองหน้าปานฟ้าที่เศร้าลงเมื่อพูดถึงทินภัทร ภาคินมองปานฟ้าอย่างเห็นใจ
“ผมจะช่วยคุณ ตามหาทินภัทรให้พบให้ได้ แต่ถ้าหาแล้วไม่เจอ...” ภาคินเหลือบมองบุญทิ้ง “ก็เอาบุญทิ้งไปแทน ดีไหมบุญทิ้ง”
ปานฟ้ายิ้มหันมองบุญทิ้งที่พยักหน้างึกๆ ยิ้มแก้มแทบปริ

พิมจับตัวปานเดือนให้นั่งลงกับพื้น ยิ้มให้อย่างเลือดเย็น ปานเดือนมองพิมอย่างหวาดระแวง
“จะทำอะไร...อย่านะ ฉันกลัว”
พิมยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“ไม่ต้องกลัวหรอกค่ะ พิมจะสอนให้เล่นอะไรสนุกๆ คุณเดือนอยู่ว่างๆก็นั่งทำไป ลองเอาหัวโขกกับขาเตียงนี่สิค่ะ เดี๋ยวพิมจะสอนให้ ทำแบบนี้...” พิมจับหัวปานเดือนโขกเสาเตียง “นั้นแระ...ไหนทำเองสิค่ะ”
ปานเดือนเอี้ยวคอมองพิมอย่างงงๆ แต่เห็นพิมหน้าดุเอาจริงก็กลัว
“ไม่เห็นสนุกเลย มันเจ็บนะ”
พิมยิ้มหยัน
“จะทำเองหรือให้ฉันทำให้...ลองทำไปเรื่อยๆ สิค่ะ สนุกจะตาย ยิ่งโขกยิ่งหายปวดหัว”
พิมหัวเราะสะใจ ปานเดือนหน้าเสียเหมือนจะร้องไห้ เธอกลัวเสียงตวาด ของพิมจึงเอาหัวตัวเองโขกขาเตียงเหล็ก ตาคอยหันกลับมามอง พิมหัวเราะอย่างสะใจ
“อยากเกิดมารวย มีพร้อมทุกอย่าง แกก็ต้องโดนแบบนี้ บ้าแล้วก็อย่าอยู่ต่อไปเลย โขกอีกสิ แรงอีก เบาแบบนั้นจะสนุกอะไร มันต้องแรงๆ”
พิมตรงเข้าไปจับหัว ปานเดือนดิ้นสะบัดมือและขาอย่างหวาดกลัว มือเลยฟาดเข้าหน้าพิมอย่างไม่ตั้งใจ โดนตาจนพิมหน้าหงายไป
“โอ๊ย...ฟาดมาได้นังบ้านี่”
ปานเดือนลุกหนี เอามือลูบหน้าผากเจ็บ
“ไหนว่าสนุก...เจ็บจะตาย” ปานเดือนยิ้มแบบคนเสียสติ ชี้หน้าพิมแล้วหัวเราะ “หรือว่าเธอชอบ” ปานเดือนตรงเข้าหาพิม “เอาสิ ทำให้ฉันดู”
พิมหน้าตื่น จะถอยหลัง
“เฮ้ย...อย่าเข้ามานะ”
ปานเดือนตรงเข้าไปจับหัวพิม กดลงที่เสาเตียงแล้วโขกซ้ำๆหลายที
“โอ๊ย...ยายโรคประสาทเอ๊ย...ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ”
“ชอบแบบนี้เหรอ...ฉันช่วยนะ...อย่างนี้สนุกกว่า...ยิ่งโขกยิ่งหาย ปวดหัวใช่ไหม...” ปานเดือนหัวเราะดังลั่น “...สนุกเนอะ สนุกจังเลย ชอบ”
ปานเดือนหัวเราะไป โขลกหัวพิมไป อนิรุทธิ์เข้ามาเห็นก็ตกใจ ตรงเข้าไปจับตัวปานเดือนออกมา ปานเดือนตาลอย หัวเราะ อนิรุทธิ์หน้าเครียดจับไหล่ปานเดือนสั่น
“เดือน....หยุดเดี๋ยวนี้นะ...กำลังทำอะไร...รู้ตัวรึเปล่า”
พิมฉวยจังหวะ คิดจะวิ่งหนี อนิรุทธิ์เห็น วิ่งไปคว้าตัวเอาไว้
“ปล่อยนะ พิมกลัวคุณเดือน คุณเดือนบ้าไปแล้วจริงๆ”
“ใส่ร้ายฉันยังไม่พอ ยังจะมาก่อกวนเมียฉันถึงนี่ เธอต้องการอะไร”
อนิรุทธิ์จ้องหน้าเขม็ง พิมอึ้งไป นิ่งคิดหาเรื่องโกหกเอาตัวรอด

พิมเดินมาลงนั่ง ยกมือคลึงหน้าผากอย่างเจ็บ อนิรุทธิ์เดินมาลงนั่งใกล้ๆ
“ทำไมต้องใส่ร้ายฉัน ...ว่า...ไปทำอะไรเธอ...ว่าไง ทำไมต้องสร้างเรื่องโกหกทุกคน ฉันทำอะไรให้เธอไม่พอใจ”
พิมอ้ำอึ้ง นึกหาทางเอาตัวรอด
“พิมก็ไม่อยากทำคุณรุทธิ์หรอกคะ แต่...”
“แต่อะไร”
“พิมต้องการใช้เงิน...แล้ว...พิม...พิมไม่กล้าบอกคุณรุทธิ์หรอกค่ะเดี๋ยวคุณคนนั้นเขาว่าเอา”
“คุณคนไหน...ว่าไง...บอกมาเดี๋ยวนี้”
พิมทำท่านึกสุดท้ายก็โพล่งออกมา
“คุณฟ้าค่ะ”
อนิรุทธิ์อึ้ง นึกไม่ถึง
“ปานฟ้าเนี่ยนะ...”
พิมทำพยักหน้า
“คุณปานฟ้าเป็นคนคิดแผนการทั้งหมด”

พิมตีหน้าเศร้าอย่างน่าสงสาร อนิรุทธิ์ฟังแบบแทบไม่เชื่อหูตัวเอง







Create Date : 02 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2555 15:29:41 น.
Counter : 238 Pageviews.

0 comment
ดุจดาวดิน ตอนที่ 4 (ต่อ)




ภาคินอุ้มบุญทิ้งเข้าไปในโรงพยาบาล เฟื่องแก้วเดินตามมาติดๆ อนิรุทธิ์ซึ่งนั่งซึมอยู่ หันมาเห็นก็ยิ้มให้

“บุญทิ้ง”
ภาคินเข้าไปถาม
“คุณเดือนอยู่ห้องไหนครับ”
อนิรุทธิ์รีบพาไป
“ทางนี้ครับ”
ทุกคนเดินมา อนิรุทธิ์หน้าดีขึ้นทันที
“ขอบคุณมากเลยนะครับ ผมว่าคุณเดือนต้องอาการดีขึ้นแน่”
เฟื่องแก้วมองบุญทิ้ง
“ห่วงก็แต่บุญทิ้งยังงัวเงียอยู่น่ะสิคะ”
“ไม่เป็นไรหรอกคุณแก้ว”
ทั้งหมดเดินไปอย่างมีความหวัง

ปานเดือนกับปานฟ้าหันมา เห็นภาคินอุ้มบุญทิ้งมา มีเฟื่องแก้วตามมาด้วย อนิรุทธิ์ยืนอยู่หลังสุด ปานเดือนดีใจพูดเสียงเครือ
“บุญทิ้ง...บุญทิ้งมาหาแม่มาลูก”
ปานฟ้ายิ้มให้ภาคิน แล้วหันมาสบตาด้วยสายตาเป็นมิตรให้เฟื่องแก้ว แต่เฟื่องแก้วได้แต่ยิ้มมุมปากตอบ บุญทิ้งงัวเงีย หันมาเห็นปานเดือน ก็ยิ้ม ภาคินส่งบุญทิ้งให้นั่งบนเตียงคนไข้ ปานเดือนลืมทุกสิ่งทุกอย่างจนหมด หอมแก้มกอดจูบบุญทิ้ง ปานฟ้ายิ้มพอใจ
“พี่เดือนคงสบายใจแล้วนะคะ”
“ใช่...ใช่ พี่ได้ลูกทินภัทรคืนมาแล้ว พี่ก็สบายใจ พี่ดีใจ ทินภัทรอย่าทิ้งแม่ไปไหนอีกนะลูก”
บุญทิ้งมองหน้าภาคิน
“สักวันแกคงได้อยู่กับคุณปานเดือนแน่นอนครับ แต่ว่าตอนนี้แกคงต้องกลับไปพักผ่อนก่อน คุณปานเดือนก็ต้องพักผ่อนนะครับ”
ปานเดือนหน้าเสียไป กอดบุญทิ้งไว้แน่น ไม่ยอมให้ใครเอาบุญทิ้งไป
“ไม่...ไม่ ฉันไม่ยอม”
“พี่เดือนอย่าดื้อสิคะ ทางโรงพยาบาลไม่อนุญาต ให้เด็กนอนบนเตียงคนไข้หรอกนะคะ ถ้าจะนอนในห้องนี้พี่เดือนไม่กลัวเหรอคะว่า เด็กจะนอนไม่หลับ หรืออาจได้รับเชื้อโรคอะไรบางอย่างได้”
“ก็...ก็ได้ แต่ฟ้าต้องสัญญากับพี่นะว่าพรุ่งนี้จะต้องพาลูกมาหาพี่...สัญญานะ”
บุญทิ้งหันมาบอกปานเดือน
“ผมจะมาหาคุณเดือนครับ...พี่ภาคินพาผมมานะครับ...พี่แก้วด้วย”
ปานเดือนยิ้มให้ ภาคินกับเฟื่องแก้ว
“คุณสองคนต้องพาแกมาให้ฉันนะ”
อนิรุทธิ์เดินเข้ามาหา
“คุณเดือน...”
ปานเดือนหันมองอนิรุทธิ์ สีหน้ายังไม่วางใจ ปานฟ้ารีบปลอบ
“ตลอดเวลาที่พี่เดือนไม่สบาย พี่รุทธิ์ไม่เป็นอันกินอันนอนเลยนะคะ ฟ้ายืนยันได้เลย พี่เดือนต้องไว้ใจพี่รุทธิ์นะคะ ทุกคนรักพี่เดือน ไม่มีใครทรยศพี่เดือนหรอกค่ะ”
ขณะเดียวกัน ปานดาวกับภูวดลผลักประตูเข้ามา ปานดาวพูดต่อทันที
“แน่ใจเหรอ...ยัยฟ้า แกไม่รู้อะไร นังพิมมันสารภาพแล้ว ผัวนังเดือนมีอะไรกับมันมานานแล้ว”
อนิรุทธิ์หันขวับไปทันที
“ไม่จริง หยุดใส่ร้าย หยุดทำครอบครัวเราแตกแยกซะทีเถอะครับ”
ปานเดือนปากคอสั่น ริมฝีปากสั่นระริก ปานดาวมองหยัน
“เฮอะ หยุดใส่ร้าย ยัยฟ้า มีแต่พวกเราแหละที่โง่งมมาซะนาน ไม่เคยรู้อะไรเลย”
ภูวดลยิ้มสะใจ ปรายตามองอนิรุทธิ์เยาะๆ ภาคินกับเฟื่องแก้วอึดอัดมองหน้ากัน ปานเดือนร้องไห้กอดบุญทิ้งไว้แน่น ปานดาวใส่ความต่อ
“ฮึ ผัวสุดที่รัก สวมเขาให้เมียที่เป็นบ้า”
ปานเดือนร้องไห้โฮ ภูวดลจ้องหน้าบุญทิ้ง บุญทิ้งเงยหน้าขึ้นมาสบตาภูวดลพอดี บุญทิ้งหวาดกลัวขึ้นมาทันที ผลุนผลันกระโดดลงจากเตียง วิ่งออกไปจากห้อง เฟื่องแก้วตกใจ
“บุญทิ้ง...บุญทิ้ง...”
เฟื่องแก้ววิ่งตามออกไป ภาคินหันไปบอกปานฟ้า
“ผมไปก่อนนะครับ คุณฟ้า”
ภาคินตามออกไป อนิรุทธิ์จ้องหน้าปานดาวอย่างแค้นเคือง
“มีความสุขนักหรือครับ คุณดาวที่เห็นครอบครัวคนอื่นแตกแยกกันน่ะ”
ปานเดือนร้องไห้ ปานฟ้ากอดปานเดือนไว้อย่างสงสารพี่สาวจับใจ
“ฉันพูดให้ทุกคนตาสว่าง ฉันผิดด้วยเหรอ”
“ผิดสิครับ...ผิดที่เรื่องที่คุณดาวพูดมันไม่เป็นความจริง”
อนิรุทธิ์เดินออกไปอย่างโกรธจัด ภูวดลมองตาม สายตาแค้นๆ ปานฟ้าหันไปมองหน้าปานดาว
“กลับไปเถอะค่ะพี่ดาว เรื่องในครอบครัวของเรา น่าจะไปพูดกันที่บ้าน”
ปานดาวหันไปมองปานเดือน
“งั้นแกก็กลับกับฉัน ปล่อยให้อีบ้านี่มันอยู่ที่นี่แหละ”
ปานฟ้ามองพี่สาวอย่างผิดหวัง
“ไม่ได้หรอกค่ะ คืนนี้ฟ้าจะต้องอยู่กับพี่เดือน”
ปานดาวยิ้มหยัน
“แม่พระ...แน่จริงก็ทำให้มันหายสิ ทุเรศ กลัวคนเขาไม่รู้รึไงว่าเป็นคนดี...” ปานดาวหันไปหาสามี “กลับกันเถอะค่ะ ขืนอยู่ฉันคงสำลักความดีของนังฟ้าตายแน่”
ปานเดือนยิ้มเยอะแล้วเดินออกจากห้องไป

ภาคิด เฟื่องแก้ว บุญทิ้ง เดินมาที่รถ
“ไม่มีอะไรแล้วนะบุญทิ้ง นอนหลับให้สบายไปเลย” เฟื่องแก้วเปิดประตูหลังให้บุญทิ้งเข้าไป
“ครับพี่แก้ว”
ทางด้านอนิรุทธิ์ตรงไปที่รถของตน แล้วขับออกไปทันที ปานดาวกับภูวดลออกมา
ทั้งสองมองตามรถอนิรุทธิ์
“ผมอยากกระทืบมันให้จมดินเลย”
ปานดาวมองตามไปอย่างเคียดแค้น
“ถ้ามีโอกาสก็ไม่ต้องรีรอ”
ปานดาวหันมาเห็นภาคินกับเฟื่องแก้วจะเข้าไปในรถ ก็รีบสาวเท้าไปหา ภูวดลตามไปติดๆ
“เดี๋ยว”
ภาคินกับเฟื่องแก้วชะงัก หันมา ปานดาวสาวเท้าไปใกล้ พูดเย้ยหยันใส่ภาคิน
“เกิดมาพ่อแม่ก็ไปคนละทาง คิดว่าคนทั้งสังคมเขาไม่รู้หรือไง ครอบครัวฉันสนิทกับคุณหญิงวิมลวรรณมาก รู้เรื่องทุกอย่างในครอบครัวของคุณ”
ภาคินมองหน้า
“ผมก็ไม่เคยปิดบังเรื่องราวของผม ความจริงก็คือความจริง ไม่เคยคิดเอาความร่ำรวยของครอบครัวมาสร้างความเด่นดังให้ตัวเอง คุณปานดาวไม่ต้องห่วงหรอกครับ...ขอบคุณที่กรุณาเป็นห่วง...คุณปานดาวควรเป็นห่วงคนใกล้ตัวจะดีกว่า”
ภาคินมองไปทางภูวดล แล้วจะเข้าไปในรถ แต่ปานดาวพูดขึ้นก่อน
"อย่าคิดว่าฉันจะให้น้องสาว แต่งงานกับคนไม่มีอนาคตอย่างแก เลิกเป็นมดแดงแฝงพวงมะม่วงได้แล้ว”
เฟื่องแก้วแอบดีใจ แต่สะกดความรู้สึกไว้ ทั้งภาคินกับเฟื่องแก้วเข้ามาในรถ ภูวดลเดินเข้ามาใกล้รถเป็นจังหวะที่บุญทิ้งลุกขึ้นพอดี มองออกไปเห็นสายตาของภูวดลที่จ้องเขม็งมา บุญทิ้งรีบนอนลง หันหน้าเข้าหาเบาะ รถเคลื่อนออกไป ปานดาวกับภูวดลมองตามไปด้วยสายตาแค้นๆ

พยาบาลฉีดยาให้ปานเดือน ซึ่งนอนไม่รู้สึกตัว
“คนไข้คงจะหลับไปถึงเช้า คุณจะกลับไปพักผ่อนก่อนก็ได้นะคะ”
“ไม่เป็นไร ขอบคุณค่ะ”
พยาบาลยิ้มแล้วออกไป ปานฟ้าขยับผ้าห่มให้พี่สาวมองด้วยสายตาสงสาร

ขณะที่ภาคินขับรถ เฟื่องแก้วที่นั่งนิ่งอยู่ หันมองหน้าเขาแล้วตัดสินใจพูด...
“เอ้อ...ท่าทางคุณปานดาว ไม่อยากให้คุณปานฟ้า มาสนิทสนมกับคุณภาคินเลยนะคะ”
ภาคินหันมา แววตาไม่พอใจ แต่ไม่ตอบขับรถต่อไป
“แก้วขอโทษค่ะ ที่ยุ่งเรื่องส่วนตัวของคุณ แก้วก็พูดตามที่แก้วเข้าใจ”
“ไม่เป็นไร” ภาคินบอกเสียงขุ่นนิดๆ

กลางดึกคืนนั้น...เติมบุญกับสายอุษานั่งรออยู่ในห้อง ด้วยความกระวนกระวาย ป้าแก้วเอาเครื่องดื่มร้อนๆ มาเสิร์ฟ
“โอวัลตินค่ะ”
ทั้งสองไม่ได้สนใจเครื่องดื่ม เมื่อหันไปเห็นอนิรุทธิ์เดินเข้ามาในบ้าน สายอุษารีบถามขึ้น
“ยัยเดือนเป็นไงบ้าง”
อนิรุทธิ์อึดอัดใจมาก เติมบุญมอง
“ว่าไงล่ะ”
“คุณพ่อคุณแม่ ถามคนที่ตามมาข้างหลังเองดีกว่าครับ”
อนิรุทธิ์เดินขึ้นบันไดไป ทุกคนมองตาม แล้วมองหน้ากัน ปานดาวกับภูวดลเข้ามา สายอุษาถามทันที
“ยัยดาว แม่อยากรู้เรื่องยัยเดือน”
ปานดาวพูดสวนมาทันที
“มันก็ยังอาละวาดเหมือนเดิมแหละค่ะ คุณแม่”
สายอุษาหน้าเสีย
“โธ่...”
ปานดาวหาว ไม่อยากคุยด้วย แล้วเดินไป ภูวดลเดินตาม สายอุษาทรุดตัวลงนั่ง เติมบุญหันมาพูดปลอบให้กำลังใจ
“พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ ยัยฟ้าคงดูแลยัยเดือนได้น่า”
สายอุษาร้องไห้
“ตอนเด็กๆ ลูกเราสามคนรักกันมาก ฉันยังดีใจว่าครอบครัวเราอบอุ่นดีกว่าครอบครัวอื่น ทำไมตอนนี้มันถึงเป็นยังงี้ล่ะ มันกรรมเวรอะไรของเราคะคุณ”
“น่า...สักวันทุกสิ่งทุกอย่างต้องดีขึ้น เชื่อผมสิ ห่วงแต่คุณแหละ ถ้าไม่สบายเป็นอะไรไป จะแย่กันไปหมด”
เติมบุญพยายามปลอบใจ

เช้าวันใหม่...ธัญวิทย์แต่งชุดนักเรียนเดินออกมากับปานดาว พิมเดินถือกระเป๋ามาให้ด้วย สายอุษากับป้าแก้ว เดินดูดอกไม้อยู่ที่หน้าบ้าน ปานดาวหันไปบอกลูก
“สวัสดีคุณยายหรือยังจ๊ะลูกธัญวิทย์”
ธัญวิทย์หันมา ไหว้สายอุษา
“ไหว้พระเถอะจ้ะ ตั้งใจเรียนนะลูก”
“ทำไมผมต้องเรียนด้วยล่ะครับ คุณยาย น่าเบื่อ”
สายอุษามองหน้าหลานชาย
“ทำไมพูดยังงั้นล่ะจ๊ะธัญวิทย์ เรียนหนังสือสูงๆ โตขึ้นจะได้มีงานทำ มีเงินใช้เยอะๆ ไงล่ะจ๊ะ”
“คุณพ่อบอกว่าบ้านเรารวย มีเงินมากมาย ตายแล้วเกิดใหม่อีกสิบชาติก็ใช้ไม่หมด”
สายอุษาอึ้งไป ก่อนจะตัดบท
“รีบไปโรงเรียนเถอะจ้ะ เดี๋ยวจะสาย...แล้วนี่ต้องไปยังไง”
“รถโรงเรียนมารับที่หน้าบ้านค่ะ เดี๋ยวก็มาแล้วค่ะ” พิมบอก
ปานดาวหันไปบอกลูกชาย
“รีบไปเถอะจ้ะ เดี๋ยวรถโรงเรียนคอย เพื่อนๆ เขาจะว่าเอาได้”
“ลองว่าสิ ผมจะต่อยให้กลิ้งเลย”
ป้าแก้วกับสายอุษาสบตากันอย่างไม่ค่อยชอบใจ พิมพาธัญวิทย์เดินไป สายอุษาหันมาหาลูกสาว
“ผัวเราน่ะ ไม่น่าสอนลูกยังงี้...สอนให้ไม่เรียน ไม่ทำงานแบบนี้มันไม่ดีนะยัยดาว”
“คุณแม่พูดประชดดาวใช่มั้ย เห็นดาวกับภูไม่มีงานทำ”
“แกคิดไปเองนะ แม่พูดถึงตาธัญวิทย์ต่างหาก...ไม่ได้พูดถึงผัวเรา”
“คุณแม่เพิ่งพูดอยู่หยกๆ ยังจะไม่ยอมรับอีก ที่ดาวกับภูเป็นยังงี้เพราะใครล่ะคะ ถ้าไม่ใช่คุณพ่อคุณแม่...ฮึ...”
สายอุษาชะงักอึ้ง
“ยัยดาว...”
ภูวดลเดินมาพอดี ห้ามปานดาว
“เงียบเถอะครับ คุณดาว...พูดไปก็เปล่าประโยชน์ คุณแม่คุณไม่เคยเห็นคุณค่าในตัวเราสองคนหรอก”
สายอุษาหันไปบอกป้าแก้ว
“แก้ว พาฉันเข้าไปข้างในที”
“ค่ะ คุณผู้หญิง”
ปานฟ้าขับรถผ่านหน้า พิมกับธัญวิทย์เข้าไปในบ้าน
“คุณน้าปานฟ้าของคุณธัญวิทย์น่ะเป็นคนไม่ดี” พิมใส่ไฟทันที
ธัญวิทย์มองหน้าพิม
“ทำไมล่ะ”
“อ้าว...ก็แย่งทุกสิ่งทุกอย่างไปจากคุณพ่อ คุณแม่ของคุณธัญวิทย์ไงคะ...ระวังเถอะ เงินทอง ทรัพย์สมบัติจะไม่เหลือตกถึงคุณธัญวิทย์ ต่อไป คุณธัญวิทย์จะต้องทำงานหนัก ไม่งั้นก็ต้องอดตาย...คุณธัญวิทย์เคยเห็นขอทานตามข้างถนนมั้ยล่ะคะ”
ธัญวิทย์หน้าเครียด
“ผมไม่มีวันเป็นยังงั้นหรอก”
“อุ๊ย รถโรงเรียนมาแล้วค่ะ”
พิมลอบอมยิ้มด้วยความสะใจ ที่ทำให้ธัญวิทย์เกลียดปานฟ้า

ปานฟ้าเข้ามาในบ้าน จะรีบขึ้นบันไดไปห้องของตนด้วยท่าทางรีบร้อน ไม่ทันเห็นแม่ สายอุษาต้องเรียกไว้
“ยัยฟ้า...”
ปานฟ้าหันมา เห็นท่าทางแม่ไม่สบายก็รีบกลับลงมา
“ฟ้าขอโทษค่ะ กลับมาเอาเอกสาร จะต้องรีบไปประชุมเลยไม่ทันได้มองคุณแม่”
ปานฟ้านั่งข้างๆ
“ยัยเดือนเป็นยังไงบ้าง”
“อยู่ในมือคุณหมอแล้ว คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก พวกเราต้องช่วยกันเป็นกำลังใจให้พี่เดือนนะคะคุณแม่ ห่วงก็แต่จะมีใครบางคน ทำให้พี่เดือนไม่สบายใจ”
ปานฟ้าหันมาทางป้าแก้ว แต่ป้าแก้วรีบก้มหน้าไม่อยากสบตา
“ป้าแก้ว เกิดอะไรขึ้น เล่าให้ฟ้าฟังได้บ้างมั้ยคะ”
เติมบุญยืนอยู่ที่บันไดขั้นบนๆ พูดขึ้น
“ฉันก็อยากรู้ เรียกทุกคนมารวมกันที่นี่ดีกว่า”
สายอุษาอึ้งไป
“คุณพี่...”
ป้าแก้วกับปานฟ้ารีบขึ้นบันไดไปประคองเติมบุญ

ปานดาวขว้างหวีในมือลงพื้น อย่างระบายอารมณ์ พิมหลบได้ทัน หน้าเสียไป
“แกต้องพูดดีๆนะ อย่าให้ความเดือดร้อนทั้งหมด ตกอยู่กับฉันแล้วก็คุณภู”
“ไม่ต้องห่วงน่า เรื่องนี้นังพิมมันเก่งมาตั้งแต่เกิดแล้ว” ภูวดลบอกอย่างไม่เห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญ
ปานดาวตวัดสายตาถาม
“เรื่องอะไร”
“ก็เรื่องปั้นน้ำเป็นตัว ทำคนชั่วให้เป็นคนดี ทำคนดีให้เป็นคนร้ายได้”
“ก็ขอให้เก่งอย่างที่พูดเถอะ”
“วางใจเถอะค่ะ ขออย่างเดียว พิมเป็นทัพหน้า คุณทั้งสองช่วยสนับสนุนพิมก็แล้วกัน”
พิมบอกเสียงหนักแน่น

ในห้องรับแขก...ทุกคนนั่งที่อยู่โซฟา อย่างรอฟังว่าระหว่างอนิรุทธิ์ กับพิมมีอะไรกันจริงหรือเปล่า ขณะที่พิมกับป้าแก้วนั่งที่พื้น
“คุณอนิรุทธิ์แอบชอบพิมมานานแล้วล่ะค่ะ พิมสู้อุตส่าห์ไม่บอกเรื่องนี้แก่ใคร เพราะไม่อยากให้ทุกคนเดือดร้อน แต่คุณอนิรุทธิ์ก็ไม่ยอมหักห้ามใจ มันก็เลยเกิดเรื่องขึ้นมา...”
สายอุษาส่ายหน้า อย่างไม่เชื่อ ปานฟ้าขัดขึ้น...
“พี่รุทธิ์ไม่ใช่คนยังงั้น เธออย่าใส่ร้ายเขาเลย พิม”
ปานดาวแหวใส่
“เอ๊ะ ยัยฟ้า ต้องการความจริง แต่พอนังพิมมันพูดความจริงก็หาว่ามันใส่ร้าย ฉันอยากจะรู้ว่าเธอต้องการอะไรกันแน่”
“ต้องการความจริงค่ะพี่ดาว”
“ก็มันพูดความจริงแล้วไง...”
ภูวดลช่วยพูด...
“อย่าลืมนะครับว่าพิมมีพยาน ป้าแก้วไง”
ป้าแก้วอึกอัก
“เอ้อ...เอ้อ...”
สายอุษาถามย้ำ
“ว่าไงแก้ว...”
“อิฉัน...”
ป้าแก้วพูดไม่ออก เติมบุญหันไปสั่ง...
“พูดไป ไม่ต้องกลัวใคร ฉันอยู่ที่นี่ เป็นประธานของบ้านหลังนี้ แกไม่ต้องกลัว”
“อิฉันเห็นแม่พิม วิ่งออกมาจากในห้องคุณปานเดือนค่ะ”
พิมรีบพูด
“คุณอนิรุทธิ์ฉุดพิมเข้าไปในห้องนี่คะ พิมต่อสู้ดิ้นรนแล้วก็หนีออกมา”
“มีพยานรู้เห็นยังงี้ ยังจะสงสัยอะไรกันอีกล่ะครับ...”
ภูวดลเสริมทันที เติมบุญส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อ
“เอาเถอะ ฉันจะฟังจากปากนายรุทธิ์อีกที...เรื่องนี้ถือว่ายังไม่ยุติ...”
“คุณพ่อไม่ยุติธรรม...นี่ถ้าหากว่าเป็นภูก่อเรื่องแบบนี้ขึ้นมา ก็คงไล่ภูออกไปจากบ้านแล้วใช่มั้ยล่ะคะ”
ภูวดลมองหน้าปานดาวให้หยุด แต่ปานดาวไม่หยุด
“รักลูกไม่เท่ากัน แล้วยังรักลูกเขยไม่เท่ากันอีก นี่ถ้าเจ้าทินภัทรไม่หายไปจากบ้าน คุณพ่อคุณแม่ก็คงรักหลานไม่เท่ากันอีกใช่มั้ยล่ะคะ”
สายอุษาตวาด
“หยุดนะยัยดาว...”
“ไม่หยุดค่ะ...”
ปานฟ้ารีบบอก
“พี่ดาวคะ ฟ้าขอร้องค่ะ...คุณพ่อไม่สบาย พี่ดาวก็ทราบ”
“แกไม่ต้องมาทำตัวเป็นแม่พระแถวนี้...แน่จริงแกก็โกนหัวบวชชีไปเลยสิ...ไปกันเถอะค่ะภู ดาวทนอยู่ท่ามกลางคนไม่ยุติธรรมไม่ได้...”
“ครับ คุณดาว...”
ภูวดลประคองปานดาวออกไป พิมตามออกไปติดๆ เติมบุญหลับตาเหนื่อยอ่อน ถอนใจ สายอุษารีบปลอบ
“คุณคะ คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”
เติมบุญยกมือห้ามไม่ให้สายอุษาพูด
“ฉันอยากไปหาปานเดือน ออกไปนอกบ้านบ้างคงดีกว่านี้”
“ค่ะ คุณพ่อ ถ้างั้นฟ้าจะเลื่อนการประชุมไปเป็นตอนบ่าย” ปานฟ้าตัดสินใจทันที

อานนท์เห็นภาคินกำลังจะออกไปทำงาน จึงเดินมาคุยด้วย
“พ่อว่าจะซื้อรถคันใหม่ให้เรา...จะได้ขับไปทำงาน”
“ขอบคุณครับ แต่ผมไม่รับ...”
“แกอย่าทิฐิ บ้านนี้ก็เป็นบ้านของแก ยังไงบ้านนี้ก็ยังมีพ่ออยู่...”
ภาคินส่ายหน้า
“ผมไม่อยากมีปัญหา...”
“งั้น แกใช้รถคันเก่าของพ่อไป พ่อจะซื้อคันใหม่ ห้ามปฏิเสธ”
อานนท์ยื่นกุญแจรถให้ พูดแกมบังคับ
“ต่อไปนี้จะใช้รถ จะได้ไม่ต้องขออนุญาตพ่อ...”
ภาคินจำใจรับมา
“ขอบคุณครับ...”
ก้องภพกับวิมลวรรณเดินมาทางหนึ่ง ก้องภพสะกิดให้แม่ดู วิมลวรรณสาวเท้าไปหาทันที “อย่าบอกนะว่ารถคันใหม่ที่คุณจะซื้อน่ะ ซื้อให้ไอ้เด็กเหลือขอ พ่อ แม่ไปคนละทางอย่างมัน”
“ใช่ ผมตั้งใจซื้อให้ภาคิน แต่เขาไม่รับ ผมก็เลยให้คันเก่าเขาแทน...พอใจหรือยัง”
“น่าจะเก็บไว้ให้ผมขับเล่น...” ก้องภพไม่พอใจ
“รถแกก็มี...ทำไมต้องเบียดเบียนภาคินด้วย...”
วิมลวรรณพูดแทน...
“ตาภพไม่ได้เบียดเบียนใคร แค่อ้างสิทธิ์ในสมบัติของตัวเองเท่านั้น ตาภพผิดตรงไหน”
“นั่นสิครับ คุณแม่”
ภาคินฟังสองแม่ลูกแล้วรำคาญ ยื่นกุญแจคืนอานนท์
“คุณพ่อครับ ผมไม่รับดีกว่า”
ก้องภพกับวิมลวรรณอมยิ้มที่ยั่วอารมณ์ภาคินได้สำเร็จ อานนท์พูดเสียงแข็ง
“ไม่ได้ ถ้าแกไม่รับ แกก็ไม่ต้องนับถือว่าฉันเป็นพ่อ”
ภาคินอึ้งไป หันไปบอกกับวิมลวรรณและก้องภพ
“ถ้ายังงั้น ผมก็จำเป็น...ขอบคุณอีกครั้งครับ”
ภาคินไหว้อานนท์แล้วเดินไป
“จองหอง...” วิมลวรรณหันขวับมาหาสามี “ต่อไปนี้ ถ้าจะให้อะไรมันละก็ปรึกษาฉันก่อนนะคะ...อย่างน้อยฉันก็เป็นเมียคุณ ไม่ใช่เมียข้างถนนอย่างแม่มัน”
อานนท์ไม่อยากพูดด้วย เดินหนีเซ็งๆ

ขณะที่ภาคินขับรถอยู่ โทรศัพท์เข้ามา ภาคินกดดูก็เห็นเป็นชื่อปานฟ้า ความรู้สึกแช่มชื่นขึ้นทันที
“ครับ คุณฟ้า...”
ปานฟ้าพูดโทรศัพท์อยู่ เสียงใส
“ฟ้ามีเรื่องขอความช่วยเหลือคุณหน่อยค่ะ”
“ว่ามาเลยครับ...”

ภาคินฟังโทรศัพท์ ด้วยความรู้สึกมีความสุข เขารู้สึกว่าเสียงของปานฟ้าทำให้บรรยากาศแย่ๆของเช้านี้ สดใสขึ้นมา

เด็กน้อยบุญทิ้งนั่งซึมอยู่ที่หน้ามูลนิธิ ขณะที่เด็กอื่นๆ วิ่งเล่นออกกำลังกายยามเช้ากันอยู่ เฟื่องแก้วเดินมาหาถามอย่างแปลกใจ

“บุญทิ้ง ทำไมไม่ไปเล่นกับเพื่อนๆล่ะ”
“ผมไม่นึกอยากเล่นครับ...”
“มีปัญหาอะไรก็คุยกับพี่แก้วได้นะจ๊ะ...คิดมากเรื่องเมื่อคืนเหรอ ท่าทางบุญทิ้งเหมือนกลัวใคร บอกพี่แก้วได้มั้ยจ๊ะ”
“ผมสงสารคุณเดือน”
“โถ ตัวแค่นี้รู้จักสงสารแล้ว”
บุญทิ้งหันมายิ้มเศร้าๆให้ ภาคินขับรถเข้ามาพอดี เฟื่องแก้วยิ้มทันที
“ไปหาคุณภาคินกันเถอะ...”
เฟื่องแก้วจูงมือบุญทิ้งมา ในขณะที่ภาคินออกมาพอดี
“คุณแก้วคงต้องอยู่ที่มูลนิธิคนเดียวแล้วละวันนี้”
“อ้าว ทำไมล่ะคะ”
“คุณฟ้าขอให้ผมพาบุญทิ้ง ไปหาที่โรงพยาบาลตอนนี้เลย...เห็นว่าคุณเดือนเศร้าซึมมาก...”
บุญทิ้งกระตือรือล้นทันที...
“พาผมไปนะครับ ผมอยากไปหาคุณเดือน...ผมสงสารคุณเดือน”
ภาคินรีบเปิดประตูหน้าให้บุญทิ้งเข้าไปในรถ แล้วตนก็อ้อมไปฝั่งคนขับ เฟื่องแก้วยืนอึ้ง มองผ่านกระจกลงไป เห็นภาคินกำลังใส่เข็มขัดนิรภัยให้บุญทิ้ง ด้วยท่าทีอ่อนโยน แล้วขับรถออกไป เธอมองตามอย่างซึมๆ

ในห้องอาหารในมูลนิธิ...เฟื่องแก้วดูแลเด็กๆรับประทานอาหาร ตุลย์เดินเข้ามาทักทาย
“คุณแก้ว...”
เฟื่องแก้วหันไปมองอย่างไม่ใส่ใจนัก ตุลย์เดินตาม
“หิวจัง มีอะไรเหลือถึงผมบ้างมั้ยเนี่ย...”
“ก็มีอย่างที่เด็กๆทาน ที่นี่เด็กทานอะไร เราก็ทานยังงั้น”
“น่าอร่อยออก...หิวไส้จะขาดอยู่แล้วนะคุณแก้ว...แล้วคุณแก้วล่ะทานอะไรหรือยัง...”
เฟื่องแก้วส่ายหน้า ไม่ตอบ ตุลย์มองหน้าเฟื่องแก้ว ดูออกว่าเธออารมณ์ไม่ดี
“ถ้าคุณแก้ว ไม่อยากเห็นหน้าผม ผมก็จะไม่มาที่นี่อีกเลยจะย้ายไปประจำที่อื่น แล้วให้ตำรวจนายอื่นมาประสานกับมูลนิธิแทนผม”
เฟื่องแก้วหันขวับมาทางตุลย์
“ขู่เหรอ...”
ตุลย์ยิ้มทั้งปากทั้งตาอย่างทะเล้น เฟื่องแก้วมองค้อน แต่ก็เดินนำไป ตุลย์เดินผ่าน เห็นเด็กคนหนึ่งยักคิ้วให้ตุลย์แบบแก่แดด ตุลย์ยักคิ้วตอบ อมยิ้มกระหยิ่มอย่างคนเจ้าชู้

ปานดาวยืนหน้าเครียด มองปานฟ้าที่ขับรถออกไป
“แห่กันไปเยี่ยมนังเดือน ทำเหมือนกับฉันไม่ได้เป็นลูกสาวของบ้านนี้...เจ็บใจนัก...”
ภูวดลเดินมาหา
“จะเจ็บใจ น้อยใจไปทำไมล่ะ ไปโรงพยาบาลสิดี…”
ปานดาวหันมา
“หมายความว่ายังไงคะภู...”
พิมนั่งฟังทั้งสองคนคุยกัน อย่างช่วยคิดหาวิธีแกล้งปานเดือนด้วย ภูวดลนึกๆแล้วบอก
“ก็ทำให้นังเดือนมันอาละวาด โชว์พ่อแม่มันเป็นขวัญตาเลยสิ...”
“ทำไงดีล่ะ แหม ดาวชักนึกสนุกแล้วล่ะค่ะ ภูนี่หัวสมองใสจริงๆเลย...”
“ไม่ยากหรอกค่ะ...พิมจัดการเอง...”
พิมบอกแล้วตรงไปที่โทรศัพท์ หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา

ในห้องคนไข้...ปานเดือนนั่งที่เตียง มีอนิรุทธิ์ป้อนข้าวให้
“ทานเยอะๆ นะคุณเดือน จะได้หายไวๆ”
“สัญญานะรุทธิ์ สัญญาว่าจะไม่ทำร้ายเดือน...”
อนิรุทธิ์ยิ้มอ่อนโยนให้
“สัญญาสิ ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่มีวันทรยศต่อคุณเดือนเด็ดขาด ให้พูดกี่ร้อยกี่พันครั้ง ผมก็จะพูดเหมือนเดิม”
ปานเดือนยิ้ม อนิรุทธิ์ใช้กระดาษทิชชู่เช็ดปากให้ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น อนิรุทธิ์กดรับ
“อนิรุทธิ์พูดครับผม...”
พิมพูดด้วยน้ำเสียงยั่วยวน
“พิมเองค่ะคุณรุทธิ์ พิมคิดถึงคุณเหลือเกิน...พิมก็เลยเสียมารยาทโทรมาหา...ทั้งที่รู้ว่า...คุณคงไม่สบายใจ”
อนิรุทธิ์อึ้งไปทำอะไรไม่ถูก หันไปที่ปานเดือนก็เห็นเคี้ยวข้าวตาลอยๆ อนิรุทธิ์เบี่ยงตัวหลบ พูดเสียงแข็งแต่เบาพอให้ปลายสายได้ยิน
“เลิกราวีกับครอบครัวผมได้แล้ว...ผมขอร้อง”
“ฟังพิมก่อนสิคะ พิมโทรมาก็เพราะอยากขอโทษคุณรุทธิ์...ที่คุณปานเดือนเป็นยังงี้ ต้นเหตุก็มาจากเราสองคนที่รักกันมาก แต่ไม่สมหวังในความรัก เรื่องเลวร้ายทั้งหมดก็เลยเกิดขึ้น อย่าเพิ่งโกรธพิมนะคะ”
อนิรุทธิ์ตกใจที่พิมพูดอย่างนั้น เรียกเสียงดังขึ้น
“พิม”
ปานเดือนหันมาทางอนิรุทธิ์ หน้าซีด ปากสั่น ตกใจ ขณะที่พิมฉอเลาะยั่วเหมือนเดิม
“พิมสัญญาว่าพิมจะไปจากที่นี่ ขออย่างเดียวนะคะรุทธิ์ ขออย่างเดียวว่าคุณรุทธิ์อย่าหมดรักพิม คุณต้องรักพิมเหมือนที่คุณพูดกับพิมเมื่อคืนก่อน”
อนิรุทธิ์เสียงดังขึ้นด้วยความโมโห
“หยุดพล่ามได้แล้วพิม...”
“คุณรุทธิ์”
“ผมบอกให้คุณหยุดพูดยังไงล่ะพิม...”
ปานเดือนตวัดหน้ามาหาอนิรุทธิ์ ควบคุมตัวเองไม่ได้
“พิม...นังพิม...นังพิมมันโทรมาใช่มั้ย”
อนิรุทธิ์ตกใจ แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร ปานเดือนปัดจานข้าว และข้าวของตรงหน้าตกเกลื่อนกระจายแล้วก็กรีดร้องสุดเสียง
อนิรุทธิ์ไม่สนใจโทรศัพท์ทิ้งลงที่เตียง แล้วตรงเข้ากอดปานเดือน เรียกเสียงดังให้สติของเธอกลับคืนมา
“คุณเดือน...คุณเดือน...”
ปานเดือนยังคงร้องไห้ แล้วส่งเสียงร้องกรี๊ดๆอยู่ พยาบาลเข้ามารีบเข้าไปช่วยจับตัวเธอไว้
“ดิฉันบอกแล้วไงคะ ว่าอย่าทำให้คนไข้กระทบกระเทือนจิตใจ...”
อนิรุทธิ์ยืนซึม มองดูพยาบาลที่กอดปานเดือน ซึ่งร้องไห้อยู่

พิม ภูวดลและปานดาวหัวเราะสะใจ
ขณะเดียวกันนั้น ป้าแก้วยืนอึ้งไป แอบมองทุกคนที่เดินขึ้นบันไดไป ด้วยสีหน้าแช่มชื่น หัวเราะกัน
“ฉันไม่คิดเลยว่าแกจะฉลาดยังงี้ นังพิม...” ภูวดลชื่นชม
ปานดาวหันมาทางพิม ถามกลั้วหัวเราะ
“แกคิดได้ยังไงนะ...แบบนี้ฉันต้องพาแกไปเลี้ยงข้าวสักมื้อแล้วละ ให้ตาธัญวิทย์กลับมาก่อน...ป่านนี้นังเดือนคงอาละวาดจนขาดใจตาย ต่อหน้าคุณพ่อ คุณแม่แล้วละ”
“ก็ดีสิ ถ้าเป็นงั้นจริงสมบัติเราก็มีตัวหารน้อยลง...”
ปานดาวกับภูวดล หัวเราะกันขึ้นบันไดไป พิมยืนอยู่ที่ด้านล่าง ไม่ได้ขึ้นบันไดไปด้วย ยิ้มอย่างสะใจ พลางพึมพำ
“สมบัติทุกอย่าง จะต้องตกเป็นของธัญวิทย์ลูกฉันคนเดียว”
“นังพิม...”
พิมหันไปก็เห็นป้าแก้วยืนหน้าถมึงทึงอยู่
“มีอะไรป้า”
“ก่อเรื่องอะไรขึ้นอีกล่ะ...คราวก่อนน่ะรอดตัวไป อย่าให้นังแก้วมีหลักฐานมากกว่านี้นะ นังแก้วนี่แหละจะฟ้องคุณผู้หญิงให้เฉดหัวแกออกไปจากบ้านหลังนี้”
พิมเชิดหน้า หัวเราะ
“กลับไป เขียนแปะไว้ที่หัวนอนเลยนะ จะได้เตือนใจแกด้วยว่าจะทำต้องทำให้สำเร็จ...เพราะถ้าแกไม่ทำ ฉันนี่แหละที่จะเป็นคนเฉดหัวแกออกไปจากบ้านนี้แทน...”
พิมเดินไป ป้าแก้วด่าตาม
“อี...โอ๊ย ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาด่ามันดี ถึงจะสาแก่ใจ”

ปานฟ้าพาเติมบุญกับสายอุษา เข้ามาในโรงพยาบาล พบบุญทิ้งกับภาคินยืนอยู่หน้าลิฟต์
บุญทิ้งยิ้มดีใจ
“คุณตา...”
บุญทิ้งยกมือไหว้ทุกคน ภาคินไหว้เติมบุญกับสายอุษา
“บุญทิ้งมายังงี้ ยัยเดือนคงดีขึ้นแน่...”
“โชคดีจังนะคะ...นี่ถ้ายัยเดือนหายนะ ไม่รู้จะตอบแทนคุณภาคินกับหนูบุญทิ้งยังไงดีเลย...”
ภาคินยิ้ม
“ไม่ต้องหรอกครับ บุญทิ้งก็อยากมาหาคุณเดือน...น่าแปลกนะครับ สองคนนี่ผูกพันกันเหมือนกับ...”
ภาคินยังไม่ทันพูด เติมบุญก็พูดต่อ
“เป็นแม่เป็นลูกกันจริงๆ”
ลิฟต์มาพอดี
“ลิฟต์มาแล้วค่ะ...”
ทั้งหมดเข้าไปในลิฟต์...

อนิรุทธิ์นั่งซึมอยู่หน้าลิฟต์ เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก ปานฟ้าเดินนำออกมา มองอย่างแปลกใจ
“พี่รุทธิ์ ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้ล่ะคะ”
“คุณเดือนอาละวาดเมื่อเช้า...หมอบอกว่าจะต้องส่งไปรักษากับทางโรงพยาบาลเฉพาะทาง...”
“ตายจริง อย่าบอกนะว่า...”
อนิรุทธิ์พูด ก้มหน้า
“ใช่ครับ ศรีธัญญา...”
สายอุษาทรุดตัวลงนั่งกับโซฟาข้างๆ ปานฟ้าจับมือแม่ เติมบุญนั่งข้างๆ ภรรยา
“ถ้าคิดในแง่ดี ก็จะทำให้คุณเดือนรักษาได้ถูกทางนะครับ ทางนี้อาจมีแต่แผนกจิตเวช รักษาอาการป่วยของคุณปานเดือนไม่ได้ผลพอ...”
บุญทิ้งเดินไปมุมหนึ่ง น้ำตาคลอ ภาคินมเดินเข้ามาหา...
“บุญทิ้งเป็นอะไร...”
บุญทิ้ง น้ำตาไหล
“ผมสงสารคุณปานเดือนครับ...”
ภาคินกอดบุญทิ้งปลอบใจ
“คุณเดือนไม่เป็นอะไรหรอก...”
“แล้วหมอเขาจะพาพี่เดือนไปเมื่อไหร่ล่ะคะ”ปานฟ้าถามอนิรุทธิ์
“วันนี้แหละครับ ประสานงานระหว่างโรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว กำลังทำใบส่งตัวอยู่...”
ปานฟ้านั่งลงข้างสายอุษา จับมือแม่บีบปลอบใจ
“กรรมเวรอะไรของยัยเดือน นะคะคุณ...”
เติมบุญถอนใจ...
“ไม่ใช่กรรม ไม่ใช่เวรของยัยเดือนหรอก...กรรมของเราต่างหาก”
สายอุษาหน้าเศร้าสบตากับเติมบุญ น้ำตาไหลอาบแก้ม
ปานฟ้ารีบบอก
“ฟ้าว่าคุณพ่อ คุณแม่กลับไปพักผ่อนดีกว่าค่ะ...”
“ผมเห็นด้วยครับ แล้วเราค่อยไปเยี่ยมคุณเดือน...” ภาคินออกความเห็น
บุญทิ้งรีบบอก
“พี่ภาคินต้องให้ผมไปด้วยนะครับ...”
“ไปสิ...”
ภาคินพยักหน้ารับ

รถของปานฟ้าแล่นเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน ป้าแก้ววิ่งมาเปิดประตูให้เติมบุญ สายอุษาเปิดประตูเองลงอีกด้านหนึ่ง
“ฟ้าต้องรีบไปประชุมนะคะ ป้าแก้วฝากดูแลท่านด้วย” ปานฟ้าหันมาบอก
“อย่าห่วงเลยค่ะคุณฟ้า...” ป้าแก้วยิ้มให้
สายอุษากับเติมบุญเข้าไปในบ้าน ป้าแก้วมองหน้าปานฟ้าที่พูดด้วยเบาๆ
“พี่เดือนถูกส่งไปศรีธัญญา...”
“หา....”
“ดูแลท่านด้วยนะป้าแก้ว...”
“ค่ะๆ คุณฟ้าไม่ต้องห่วงทางนี้นะคะ”
ป้าแก้วรีบกลับเข้าบ้านทันที

ปานดาวเข้ามาในห้องโถง เห็นเติมบุญกับสายอุษานั่งเศร้าๆ ป้าแก้วกำลังเสิร์ฟน้ำอยู่
“ยัยเดือนเป็นยังไงบ้างคะ”
“หมอเขาจะส่งไปศรีธัญญา” สายอุษาตอบ
ปานดาวแทบกลั้นหัวเราะด้วยความดีใจไว้ไม่ได้ แต่ก็ต้องสะกดกลั้นไว้
“ตายจริง...ร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอคะคุณแม่”
“ฉันอยากรู้ว่าใครกัน ที่ทำให้ปานเดือนเป็นยังงี้...”
“อุ๊ย คุณพ่อพูดเหมือนกับจะหาว่าดาว เป็นต้นเหตุให้ยัยเดือนต้องเป็น...บ้า” ปานดาวเน้นคำว่าบ้าด้วยความสะใจ
พิมแอบฟังอยู่ข้างประตู ปิดปากกลั้นหัวเราะ
“ถ้าแกไม่ได้ทำอะไรก็ไม่ต้องกินปูนร้อนท้อง” สายอุษามองลูกสาวคนโตอย่างไม่พอใจ
“โอ๊ย พูดนิดพูดหน่อยไม่ได้เลย เห็นดาวเป็นลูกบ้างหรือเปล่าเนี่ย”
สายอุษายืนขึ้น โกรธจัด
“หยุดนะยัยดาว เมื่อไหร่แกจะเลิกก้าวร้าวกับพ่อกับแม่ซะที เชื่อผัวจนหัวสมองแกนี่มีแต่คำว่าเนรคุณเต็มหัวแล้ว...”
ปานดาวกำหมัดแนบตัว อยากจะกรีดร้องออกมา
“ใช่สิ ดาวไม่ใช่ลูกที่พ่อแม่รักนี่ พูดอะไรก็ผิดหมด...ทำไมไม่ ยกนังเดือนกับนังฟ้าใส่พานแล้วก็ทูนไว้บนหัวซะเลยล่ะคะ”
ขาดคำ สายอุษาก็ก้าวออกมาแล้วตบหน้าปานดาวอย่างแรง
“จำไว้ยัยดาว นรกมันจะกินหัวแก...”
ปานดาวกุมแก้ม น้ำตาร่วงพรู
“คุณแม่...”
ปานดาวผละวิ่งขึ้นบันไดไป ร้องไห้โฮๆ เติมบุญหายใจรวยริน หอบ เหมือนหิวอากาศ
“แย่แล้วค่ะ คุณผู้หญิง...”
สายอุษาหันกลับมาที่เติมบุญก็ตกใจ
“คุณพี่...”
สายอุษาปราดมาหาเติมบุญ บอกป้าแก้วเสียงสั่น
“โทรตามหมอทีแก้ว”
“ค่ะๆๆ”
แก้วปราดไปที่โทรศัพท์ พิมค่อยๆโผล่หน้ามามอง เบ้ปาก
“อีกหน่อยก็คงตายกันหมดบ้าน สะใจ” พิมเดินกลับไป โดยไม่สนใจ

ในห้องนอน...ปานดาวซบหน้าสะอื้นกับอกของภูวดล
“อย่าร้องคุณดาว...นึกถึงชัยชนะเราสิ ตอนนี้มันใกล้เข้ามาแล้วนะ...” ภูวดลพยายามปลอบใจ
ปานดาวเงยหน้าทั้งน้ำตา
“ชัยชนะ”
“อย่างน้อย นังเดือนก็ได้ไปอยู่โรงพยาบาลบ้าแล้ว ต่อให้มันหาย คนก็ยังเรียกมันว่าเป็นบ้าอยู่ พ่อแม่คุณดาวก็แก่มากแล้ว จะอยู่ได้อีกกี่ปี ทรัพย์สมบัติมหาศาลจะไป ไหนเสีย คอยเล่นงานให้ประสาทกันทั้งบ้านแบบนี้แหละดี ไม่ต้องทำงานให้เหนื่อยเหมือนน้องสาวคุณด้วย...”
ปานดาวยิ้มทั้งน้ำตา
“จริงสิ...ตาธัญวิทย์ก็จะเป็นมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของเมืองไทยเลยนะคะ...”
“ใช่...”
ทั้งสองคนยิ้มให้กัน อย่างพอใจกับอนาคตที่มั่นใจว่าสดใส

ในห้องประชุม...ปานฟ้าทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมอยู่ โยมีสิริโสภา กับอนุสรณ์มาประชุมด้วย เมื่อฟังความเห็นจากทุกคนแล้ว เธอจึงสรุป...
“เป็นอันว่ารูปแบบงานประกวดวาดภาพ หัวข้อครอบครัวอุ่นรัก เป็นไปตามที่ประชุมกันนะคะ ดิฉันว่าจะเรียนเชิญคุณสิริโสภาเป็นประธานในการมอบรางวัลครั้งนี้ค่ะ ไม่ทราบเห็นด้วยหรือเปล่าคะ”
“เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ” อนุสรณ์พูดขึ้น
“ดิฉันเห็นว่าคุณอนุสรณ์นั่นแหละ ในฐานะสปอนเซอร์รายใหญ่ของงานนี้ น่าจะได้รับเกียรตินี้ค่ะ” สิริโสภาออกความเห็น
“แต่คุณสิริโสภามีภาพลักษณ์ ว่าทำงานเพื่อเด็กมาเป็นเวลานาน จะยิ่งทำให้งานการกุศลของเรามีความชัดเจนขึ้นนะครับ กรรมการท่านอื่นเห็นด้วยกับผมมั้ยครับ” อนุสรณ์ถาม
กรรมการท่านอื่นๆ พยักหน้าว่าเห็นด้วย
“ดิฉันก็เห็นว่าคุณสิริโสภาเหมาะสมที่สุด...ถ้ายังงั้น ดิฉันขออนุญาตปิดประชุมเลยนะคะ แล้วก็จะขอเชิญทุกท่านไปดูบริเวณที่ใช้จัดงาน เผื่อว่าบางท่านจะมีข้อเสนอแนะให้กับทางฝ่ายออกแบบฉากแล้วก็ดูแลสถานที่บ้างค่ะ เชิญค่ะ”
ปานฟ้าสรุป ท่ามกลางเสียงตอบรับที่พอใจของทุกคน จากนั้นเธอได้พาทุกคนมาดู บริเวณลานกว้างสำหรับใช้จัดงานอีเวนต์ต่างๆ ภายในห้าง
“ตรงบริเวณนี้แหละค่ะ ทางนี้จะเป็นเวที ส่วนเด็กๆ ก็จะนั่งวาดรูปกันตรงนี้นะคะ บริเวณนี้น่าจะเป็นบอร์ดนิทรรศการแล้วก็จัดแสดงผลงานของเด็กๆค่ะ”
“ก็เหมาะสมดีแล้วนี่คะคุณฟ้า...” สิริโสภาบอก
“สมบูรณ์มากที่สุดเลยครับ คุณปานฟ้า...” อนุสรณ์เสริม
ปานฟ้ายืนอธิบายกับกรรมการอื่นๆ ซึ่งทุกคนล้วนแล้วแต่พอใจกับการทำงานของเธอ

ในมูลนิธิ...ภาคินยืนมองบุญทิ้งวาดรูปอยู่
“พี่ภาคิน...สวยมั้ยครับ...”
บุญทิ้งส่งรูปให้ดู ภาคินนั่งลงข้างๆ
“สวยนี่ แต่อย่าหวังเรื่องรางวัลนะบุญทิ้ง อาจจะมีเด็กอื่นที่เก่งกว่าเราอีกมาก”
“ผมไม่หวังหรอกครับ แต่ผมจะทำให้ดีที่สุด”
“นั่นแหละยิ่งกว่าชัยชนะอีกนะ...”
“ผมจะวาดให้คุณปานเดือน เป็นของขวัญ บางทีอาจจะทำให้คุณปานเดือนหาย...”
ภาคินยิ้ม เอามือลูบหัวบุญทิ้งด้วยความเอ็นดู
“งั้นพี่ไม่กวนบุญทิ้งแล้ว วาดต่อไปเถอะ”
บุญทิ้งยิ้ม แล้วตั้งหน้าตั้งตาวาดรูปต่อไป

ในห้องนอน...ธัญวิทย์เหวี่ยงดินสอสีราคาแพงกระจายไปทั่วห้อง
“อ้าว ทำไมทำยังงั้นล่ะคะ คุณธัญวิทย์” พิมถาม
“จะทำ มีอะไรมั้ย...”
“อุ๊ย ไม่มีหรอกค่ะ แต่ระวังคุณพ่อคุณแม่มาเห็น คุณธัญวิทย์จะถูกดุนะคะ...”
“แกต่างหากล่ะที่จะถูกดุ...”
ปานดาวเดินเข้ามาพอดี
“ใช่ แกมีสิทธิ์อะไรมาสอนตาวิทย์ลูกฉัน...เก็บเข้าสิ...แล้วก็ไสหัวไป จำไว้นะอย่าทำให้ตาวิทย์ไม่พอใจ”
“ค่ะ คุณดาว...”
พิมเก็บดินสอสี ธัญวิทย์ลุกขึ้น แล้วเตะดินสอสีให้กระจายไปทั่วห้อง ภูวดลเข้ามาเห็นก็ หัวเราะ ปานดาวก็หัวเราะด้วย ยิ่งพิมก้มลงเก็บ ธัญวิทย์ก็ยิ่งเตะไม่ให้พิมเก็บได้
“เดี๋ยวนังพิมก็เป็นลมไปหรอกลูก” ภูวดลแกล้งว่า
“ดีสิครับ คุณแม่”
ภูวดลชอบใจ
“นี่ไงคุณดาว ที่เขาบอกว่าเด็กซนเป็นเด็กฉลาด ลูกเราฉลาดก็เลยต้องซน...”
“ใช่ค่ะ”
ปานดาวมองธัญวิทย์อย่างชื่นชม ขณะที่ธัญวิทย์ยังสนุกกับการเตะ พิมก้มหน้าเก็บดินสอด้วยความน้อยใจ

ค่ำคืนนั้น ขณะที่ภูวดลยืนรับลมอยู่ที่สนาม พิมย่องมาหา
“พี่ภู...”
ภูวดลหันมา กวาดตาไปทั่ว
“ระวังคนได้ยิน เขาจะจับได้ว่าเราเป็นอะไรกัน...”
“เงินที่มันกำลังจะทับพี่ตาย ทำให้ความเป็นพี่น้องของเรา ต้องขาดสะบั้นเลยเหรอพี่...”
“ไม่เอาน่า รอให้สมบัติในบ้านนี้เป็นของเราก่อนสิ แกก็เลี้ยงตาวิทย์ ในฐานะลูกได้เต็มที่ ส่วนคนในบ้านนี้ก็ให้มันตายลงทีละคนสองคน...ว่าแต่แกเถอะ มีอะไรกับฉัน”
“พิมอยากไปเยี่ยมบ้าน ไม่รู้ว่าป่านนี้พี่ก้านออกจากคุกหรือยัง...”
ภูวดลปรามพิมด้วยสายตา พูดเบาๆ
“เบาๆนังพิม ระวังคนเขาจะรู้ว่าผัวแกน่ะติดคุกอยู่ ถ้าเรื่องแตกละก็ บรรลัยกันหมดเลยนะ...”
“บอกไว้ก่อน เผื่อพี่จะหาเงินให้ฉันสักก้อน อยากเอาไปให้พี่ก้าน วันหน้าวันหลังจะได้ขอความช่วยเหลือจากผัวฉันได้บ้าง”
“แล้วจะจัดการให้ ไปได้แล้ว...”
ขณะเดียวกัน ปานฟ้าแอบมองอยู่ห่าง ๆอย่างสงสัยว่าทั้งคู่คุยอะไรกัน ทำไมถึงมีท่าทางสนิทสนมกันนัก

พิมวิ่งกลับมาทางห้องพัก แต่เห็นปานฟ้ายืนอยู่ พิมหน้าเสียไป
“คุณฟ้า...”
“ไปไหนมา...”
“ก็เดินเล่น...รับลม...อากาศดียังงี้ คุณฟ้าก็คงมาเดินเล่นเหมือนกันเหรอคะ”
“ตอบให้ตรงคำถาม”
“ก็ตอบแล้วนี่คะ”
“ตะกี้นี้คุยอยู่กับใคร ถ้าตาฉันไม่ฝาด คุณภูวดลใช่มั้ย...”
“เห็นแล้วทำไมต้องถาม...”
ปานฟ้ามองพิม ดวงตากร้าว
“อย่าทำอะไรให้บ้านฉันวุ่นวายไปมากกว่านี้นะพิม...อย่าคิดว่าไม่มีใครรู้ทันเธอ”
พิมจ้องมองตอบ
“ขอตัวค่ะ ฉันต้องไปดูคุณธัญวิทย์”
พิมเดินไป ปานฟ้ามองตามไปอย่างกังวลว่าพิมจะสร้างปัญหาให้ครอบครัวเธอ

เฟื่องแก้วเอากาแฟมาให้ภาคินในห้องทำงาน ขณะที่ภาคินพูดโทรศัพท์อยู่
“ได้เลยครับคุณฟ้า...ผมจะไปเดี๋ยวนี้เลย...”
ปานฟ้าตอบกลับด้วยรอยยิ้ม...
“งั้นเดี๋ยวพบกันค่ะ ฟ้าจะขอเคลียร์งานแป๊บนึงนะคะ”
ภาคินมองหน้าเฟื่องแก้ว ซึ่งสีหน้ามีแววน้อยใจอยู่ แต่ภาคินไม่ได้สนใจอะไร
“บุญทิ้งทำอะไรอยู่”
“ฝึกวาดรูปอยู่ค่ะ...”
“บอกให้มาพบผมด่วน ผมจะรอที่รถ...”
“คุณภาคินจะไปไหนเหรอคะ...”

ภาคินไม่ตอบ เดินออกไป เฟื่องแก้วมองตามด้วยความน้อยใจ ที่ภาคินแสดงท่าทีห่างเหินกับเธอมากขึ้นทุกวัน









Create Date : 02 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2555 15:28:03 น.
Counter : 264 Pageviews.

0 comment
ดุจดาวดิน ตอนที่ 4




ดุจดาวดิน ตอนที่ 4

ปานฟ้าขับรถมาโดยมี ภาคินนั่งอยู่ข้างๆ

“ถ้าเราหาแกไม่พบ ไม่ใช่แค่พี่เดือนที่ต้องมีอาการแย่ลงนะคะ ตอนนี้ คุณพ่อของฟ้าก็หลงบุญทิ้งจนถึงกับล้มป่วยด้วยโรคหัวใจกำเริบเลยล่ะค่ะ”
ภาคินแปลกใจ
“ทั้งๆ ที่ท่านเพิ่งเจอกับบุญทิ้งเมื่อวานน่ะเหรอครับ”
“ค่ะ...หลานท่านหายไปทั้งคน ท่านคงรอคอยวันที่ตาทินภัทรหลานของท่านกลับมา ไม่ต่างจากพี่เดือนที่รอคอยลูกกลับมาค่ะ”
ปานฟ้าหน้าเศร้าไปน้ำตาคลอ ภาคินดึงทิชชู่ส่งให้ซับน้ำตา ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นภาคินรับสาย
“ว่าไงหมวด...ดีเลย ถ้างั้นเจอกันที่ตลาดนะ...”
ภาคินกดตัดสาย
“พบบุญทิ้งแล้วเหรอคะ”

ปานฟ้ากับภาคินตรงรี่เข้ามาในตลาดอย่างเร็ว เห็นตุลย์กำลังสอบปากคำลูกจ้างร้านอาหารอยู่
“มันขโมยอาหารในร้านของผมครับ หมวด ผมก็เลย กะจะจับตัวมันส่งตำรวจ ให้มันเข้าโรงเรียนดัดสันดาน”
“แล้วตอนนี้เด็กอยู่ไหน”
“โอ๊ย หนีไปแล้วละ” แม่ค้าบอก
ภาคินกับปานฟ้าตกใจถามพร้อมๆกัน
“ไปไหน...”
ช้อยเข้ามา
“เห็นนังกัญญามันพาขึ้นตุ๊กๆ ไป”
ภาคินงงๆ
“ใครครับ กัญญา...”
ช้อยทำท่าจะพูด แต่ไม่ทัน แม่ค้าคนหนึ่งก็เห็นตุ๊กตุ๊ก คันที่รับกัญญาไป แล่นเข้ามาจอดเทียบหน้าตลาด
“คันนี้แหละ มันวิ่งรับส่งคนที่หน้าตลาด ฉันจำได้”
ภาคินกับปานฟ้าหันไปทันที ทั้งสองก้าวขึ้นรถตุ๊กตุ๊กไป
“ไปไหนครับ” คนขับถาม
“ตะกี้ไปส่งคนที่ไหน พาผมไปที่นั่น” ภาคินบอกอย่างร้อนใจ
คนขับหันมามองหน้างงๆ ปานฟ้า รีบส่งเสียงเร่ง
“เร็วสิ...”
คนขับตุ๊กตุ๊กขับออกไป ช้อยรีบฟ้องตำรวจและใส่ร้าย ป้านุ่มยืนปะปนกับกลุ่มคนบริเวณนั้นนิ่งฟังอย่างแปลกใจ
“ฉันรู้จักนังผู้หญิงคนที่พาเด็กไปค่ะ คุณตำรวจ มันเป็นนักแสดงลิเกเหมือนฉันนี่แหละ สงสัยมันมานานแล้ว เพิ่งรู้วันนี้เองว่ามันเป็นแก๊งเดียวกับไอ้เด็กหัวขโมยนั่น หนอย...แกล้งทำตัวดีให้คนเขากราบไหว้ ที่แท้ก็...”
ป้านุ่ม ตกใจอุทานเบาๆ
“แม่กัญญา...”
ป้านุ่มรีบเดินไป ช้อยรายงานตุลย์อย่างออกรส

กัญญาป้อนก๊วยเตี๋ยวให้บุญทิ้งที่ร้านอาหารภายในวัด
“กินให้อิ่มๆ นะลูก...”
บุญทิ้งมองกัญญาน้ำตาคลอ กัญญาแปลกใจ
“อ้าว...ทำไมล่ะ ไม่อร่อยเหรอ”
“เปล่าครับ...แต่ผมคิดถึงใครบางคน”
“ใครเหรอ ตัวแค่นี้ รู้จักคิดถึงด้วย”
“เขาบอกว่าเขาเป็นแม่ผมครับ”
บุญทิ้งนึกถึงตอนที่ปานเดือนกอดเขา...ขณะเดียวกันนั้นรถตุ๊กตุ๊กเข้ามาในบริเวณนั้น ภาคินเห็นรีบบอก
“นั่นไงครับบุญทิ้ง”
กัญญาหันไปเห็นภาคินก็ตกใจ รีบลุกขึ้นแล้วหันหลัง เดินไปอย่างเร็ว แม่ค้าตกใจรับเรียกไว้
“อ้าว...คุณ ไม่จ่ายเงินเหรอ”
กัญญารีบวิ่งไปเลย ปานฟ้ามองตาม แต่ไม่อยากสนใจต่อ ตรงมาหาบุญทิ้ง
“บุญทิ้ง พี่ขอโทษ...พี่ขอโทษนะ ที่ไม่ได้ดูแลบุญทิ้ง ทำให้บุญทิ้งต้องลำบาก”
“ไม่เป็นไรครับพี่ฟ้า...”
ภาคินมองตามกัญญาไปแล้วหันไปถามแม่ค้า
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร”
แม่ค้าส่ายหน้า
“ไม่รู้ รู้แต่ว่ายังไม่จ่ายค่าอาหารฉันเลย...”
ภาคินส่งแบงค์ร้อยให้ แล้วสาวเท้าตามไป ปานฟ้าหันมาถามบุญทิ้ง
“ใครเหรอบุญทิ้ง”
“ผมก็ไม่รู้ครับ แต่คุณป้าคนนั้นใจดีมากเลยนะครับ เขาช่วยผมไว้”
กัญญาซ่อนตัวอยู่มุมหนึ่งในวัดไม่ให้ภาคินเห็น เธอตัวสั่นดีใจน้ำตาไหลพราก เม้มปากมิให้เสียงสะอื้นลอดออกมา ภาคินมองหาแต่ไม่เห็น จึงกลับไป กัญญาค่อยๆ โผล่หน้าออกมาดู เห็นด้านหลังของภาคินที่เดินจากไป ก็พูดเสียงเครือเบาๆ
“ลูกแม่...”

ภาคืนกับปานฟ้าพาบุญทิ้งกลับมายังมูลนิธิ ภาคินกำลังสอบถามบุญทิ้ง ที่ยืนก้มหน้าอยู่ตรงหน้าเขา
“ว่าไงบุญทิ้ง บอกพี่ได้มั้ยว่าทำไมถึงวิ่งหนีออกมาจากบ้านพี่ฟ้า รู้หรือเปล่าว่าทุกคนเป็นห่วง”
บุญทิ้งก้มหน้าน้ำตาคลอ พยักหน้า ปานฟ้าถามบ้าง
“เล่าให้พี่ฟ้าฟังได้มั้ย หรือว่ามีใครรังแกบุญทิ้ง”
บุญทิ้งส่ายหน้า น้ำตาร่วงพรูนึกถึงที่ภูวดลขู่จะฆ่าเขา บุญทิ้งหวาดกลัวจึงไม่กล้าบอกความจริง
“ผมผิดเองครับ พี่ภาคิน ผมสัญญาว่าจะไม่ทำให้ทุกคนต้องเป็นห่วงผมอีกแล้วครับ”
ปานฟ้านั่งลงแล้วกอดบุญทิ้งไว้ มองข้ามไหล่เด็กน้อยไปยังภาคิน
“ช่างแกเถอะค่ะ อย่าไปคาดคั้นแกเลย...แค่นี้แกก็ขวัญเสียจะแย่แล้ว”
“ไปหาพี่แก้วไป อาบน้ำแล้วก็อ่านหนังสือนะ”
“ครับพี่ภาคิน”

ภาคินกับปานฟ้าเดินคุยกันมาอ้านนอก
“ผมต้องขอขอบคุณคุณฟ้ามากเลยนะครับ ที่ช่วยผมตามหาบุญทิ้งจนเจอ”
“มันเป็นความรับผิดชอบของฉันด้วยค่ะ...แกหายไปจากบ้านฉันแล้วยังเกี่ยวกับความเป็นความตายของคนในบ้านฉันอีก...ยังไงฉันก็ต้องตามแกให้เจอ”
ภาคินส่งเธอที่ข้างรถ ปานฟ้าเปิดประตูฝั่งคนขับทั้งสองสบตากัน
“หวังว่ามูลนิธิของคุณ จะส่งเด็กเข้าประกวดวาดรูปนะคะ เผื่อบางทีเด็กที่มูลนิธิจะได้รับทุนการศึกษา”
“ผมให้เด็กซ้อมมือไว้แล้วละครับ...แล้วก็มั่นใจด้วยว่าเด็กของผมจะต้องชนะเลิศ”
ปานฟ้ายิ้ม
“อีกสองวันเองนะคะ”
“ครับ...ขับรถดีๆนะ”
ปานฟ้าเข้าไปในรถภาคินยืนส่งอยู่ยิ้ม มองตามจนเธอถอยรถออกไปพ้นรั้วของมูลนิธิ...เฟื่องแก้วแอบมองอย่างน้อยใจอยู่มุมหนึ่ง

บุญทิ้งนั่งทานข้าว มีเฟื่องแก้วนั่งอยู่ใกล้ๆ
“ค่อยๆ ทานก็ได้ เดี๋ยวก็ติดคอไปหรอก”
บุญทิ้งยิ้ม
“ครับ พี่แก้ว...”
บุญทิ้งทานช้าลง เฟื่องแก้วมองบุญทิ้งแล้วก็ตัดสินใจถาม
“บ้านผู้หญิงคนนั้นเป็นยังไงบ้างน่ะ บุญทิ้ง”
บุญทิ้งมองหน้าเฟื่องแก้วงงๆ
“บ้านใครเหรอครับ พี่แก้ว”
“ก็บ้าน...เอ้อ คุณปานฟ้าไง”
บุญทิ้งหน้าเสียไป เมื่อนึกถึงตอนที่ภูวดลขู่เขา แล้วก็นึกถึงเติมบุญที่ใจดีกับตน มาก
“บ้านใหญ่ครับพี่แก้ว ท่าทางบ้านพี่ฟ้าจะรวยมาก”
เฟื่องแก้วหน้าเสียไป
“คุณตาชวนผมไปอยู่บ้านพี่ฟ้าด้วยนะครับ”
เฟื่องแก้วอึ้งไปครู่หนึ่งถามต่อ
“แล้วบุญทิ้งอยากไปอยู่มั้ยล่ะจ๊ะ”
“ไม่หรอกครับ คนที่นั่นใจร้าย”
เฟื่องแก้วยิ้มออก มองบุญทิ้งอย่างเอ็นดู
“งั้นก็อยู่กับพี่แก้ว แล้วก็พี่ภาคินที่นี่แหละบุญทิ้ง”
บุญทิ้งยิ้มออก แล้วก็หน้าเสียไป
“แต่ผมก็ยังอยากเจอหน้าพ่อแม่ผมนะพี่แก้ว...”

วันต่อมา...ทุกคนกำลังจัดข้าวของเตรียมอพยพโยกย้าย ช้อยบ่นดังๆ
“เป็นเพราะนังแม่ครูกัญญา ผู้ประเสริฐเลิศเลอของพวกแกแท้ๆ เลยที่ดันไปยุ่งวุ่นวายกับเรื่องตำรวจเข้า เจ้าของที่เขาก็เลยไม่ให้ปิดวิกที่นี่...ฮึ ทีนี้ละเป็นไง จะเอาอะไรยาไส้เข้าไปล่ะ”
ถมส่ายหน้า
“ถ้าไม่พอใจ ก็ลาออกไปอยู่คณะอื่นได้นะช้อย”
ช้อยตวัดสายตามองถมอย่างไม่พอใจ
“แต่ก่อนไม่มีนังกัญญา พี่ถมก็เอาใจฉันสารพัดพอตอนนี้มีมันมาร่วมคณะ ฉันเหมือนหมาหัวเน่า กรรมอะไรของพี่ถมนะ ถึงได้ตาต่ำไปรักไปหลงคนอย่างนังกัญญาเข้าให้”
กัญญาอึดอัดเดินออกไป ถมตามไปติดๆ ช้อยหงุดหงิด
“โอ๊ย...แม่ไปเต้นโคโยตี้ดีกว่ามั้ง ไม่ต้องทนเล่นลิเก ย้ายวิกบ่อยๆ แบบนี้”

ตุลย์กับภาคินนั่งดื่มกาแฟปรึกษากันอยู่ ในห้องทำงาน
“แม่ค้าที่ตลาดยืนยันว่าคนที่ช่วยบุญทิ้งเป็นลิเกเปิดวิกอยู่ที่ท้ายตลาดใกล้วัดโน่น”
ภาคินครุ่นคิด
“ลิเก...อ๋อ รู้สึกว่าผมจะเคยเดินไปแถวนั้น”
ตุลย์แปลกใจ
“คุณภาคินซอกแซกเหมือนกันนะครับ ไปทำไมแถวนั้นครับ”
ภาคินเขินนิดๆ
“ก็พาคุณฟ้าไปกินก๊วยเตี๋ยวน่ะ มีเจ้าอร่อยอยู่เจ้าหนึ่ง”
“โห...แบบนี้ผมจะต้องพาคุณแก้วไปกินบ้างแล้วละ”
“เมื่อไหร่จะลงเอยกันซะทีล่ะหมวด”
ตุลย์ส่ายหน้าๆหมองไป
“ผมว่าคุณแก้วเขายังไม่ค่อยโอเคกับผมเท่าไหร่ ผมเองก็พยายามเอาชนะใจเขาอยู่...ไม่รู้ว่าสวรรค์จะเป็นใจให้หรือเปล่า”
“ผมเอาใจช่วยนะหมวด”
“ว่าแต่คุณภาคินเถอะครับ”
ภาคินทำหน้าไม่รู้เรื่อง
“อะไรครับ”
ตุลย์ยิ้มล้อๆ
“ก็เรื่องคุณฟ้าน่ะสิ แหม...ทำเป็นหน้าตาย ที่แท้ก็ใจเต้นแทบจะออกมานอกเสื้อแล้วละ”
ตุลย์หัวเราะ ภาคินลุกขึ้นยืน
“ผมจะไปที่วิกลิเก หมวดจะไปกับผมมั้ย”
ตุลย์ลุกขึ้นบ้าง ถามขึ้น
“จะไปที่นั่นทำไมครับ”
“บางที ผมอาจได้เบาะแสพ่อแม่ของบุญทิ้งบ้าง...บอกตรงๆ นะว่าผมสงสารแก”
ภาคินถอนใจบางๆ

ถมกับกัญญายืนคุยกันอยู่ด้านนอกของวิกลิเก
“ฉันไม่น่าเป็นภาระของพี่ถมเลย”
“ใครบอกล่ะ ถ้าไม่มีเธอ ใครจะสอนพวกเด็กใหม่ให้ เล่นลิเกได้เก่งๆ ใครจะเขียนบทให้พวกเราแสดงความสามารถของเธอทั้งนั้นนะแม่กัญญา”
“ที่เราต้องย้ายวิกครั้งนี้เป็นเพราะฉัน”
“เจ้าของที่มันหาเรื่องมากกว่า...เธอไม่ได้ทำผิดอะไรนี่แค่ช่วยเด็กไม่ให้ถูกรุมทำร้าย ตำรวจน่าจะขอบใจเธอซะอีกนะ”
ช้อยออกมาเท้าเอวลอยหน้าบอกทั้งสองคน
“ตกลงจะเสด็จกันหรือเปล่าเจ้าคะ...นังช้อยจะได้ทำตัวถูก...ถ้าไม่เสด็จ นังช้อยจะได้บรรทมให้สุขารมณ์ไม่ต้องเสด็จหนีไปยังบ้านอื่นเมืองอื่น ให้ชาวพาราทั่วทั้งพระนครเขาค่อนขอดเสียดสี”
ถมเกาหัวแกรก โบกมือไล่
“ไปๆๆ เอ็งนี่นะ ตอนอยู่หน้าคนดู ไม่เห็นเล่นบทบาทให้ออกรสยังงี้ ทีเวลานี้ละก็ตีบทแตก”
กัญญาเดินผ่านหน้าช้อยไปช้อยสะบัดหน้าใส่ ถมเดินตามช้อยฉวยมือถมไว้
“ตกลงพี่ถมชอบนังแม่ครูกัญญาจริงๆ เหรอ...ลืมแล้วเหรอว่ามันเคยมีผัวมาแล้ว...มันไม่ใช่สาวๆ แส้ๆ อย่างฉันซะหน่อย”
“ไม่ใช่…แล้วไง...หา...แล้วไง...นังช้อย”
ถมท่าทางเอาจริง ช้อยหน้าจ๋อยไป พูดเสียงอ่อย
“เอ้อ...เปล่าจ้ะพี่ถม”

ตุลย์กับภาคินเดินมาถึง เห็นโรงลิเกว่างเปล่า
“สงสัยเรามาช้าไปแล้วละครับ”
ภาคินถอนใจ
“นั่นสิ เหมือนเพิ่งย้ายไปใหม่ๆ ไม่น่าเลย...”
“ผมเพิ่งรู้ว่าคุณภาคินสนใจลิเกด้วย”
ภาคินอึ้งไป มองไปรอบๆหน้าเศร้า

ค่ำนั้น...วิมลวรรณแต่งตัวสวยจะไปงานกลางคืน เธอลงบันไดมากับก้องภพมองไปเห็นอานนท์ที่ยังไม่แต่งตัวก็อารมณ์เสีย
“ตายแล้ว...ทำไมคุณยังไม่แต่งตัวอีก นี่น่ะมันงานกาลาดินเนอร์เชียวนะคะ ไม่ใช่งานแซยิดที่จะได้ใส่เสื้อยืดไปงานได้ มันต้องพิถีพิถันกันหน่อย”
“นั่นสิครับ คุณพ่อ ดูอย่างผมสิ...หล่อมั้ย”
ภาคินเข้ามาพอดี วิมลวรรณกับก้องภพรู้สึกว่าบรรยากาศแช่มชื่นหายไปทันที อานนท์หันไปถาม
“ไปงานกับพ่อมั้ยล่ะ”
“ผมไม่ชอบออกงานสังคม” ภาคินตอบนิ่งๆ
ก้องภพหัวเราะในลำคอ
“นายภาคินเขาไม่ชอบหรอกครับ คุณพ่อ งานสังคมหรูๆมันไม่เหมาะกับเขาหรอก อย่างเขาน่ะมันต้องลิเกเท่านั้น”
วิมลวรรณมองเหยียด
“สายเลือดมันเป็นยังงั้น มันจะหนีกำพืดไปได้ยังไง”
ภาคินตรงมาหา ก้องภพหน้าเสียไปหลบหลังแม่ทันที อานนท์ยืนขึ้น มองมา ขณะที่วิมลวรรณแหวใส่ภาคิน
“อย่ามาทำตัวนักเลงในบ้านฉันนะ ถ้าอยากเป็นนักเลงไปเป็นที่อื่น ไป๊...”
“คุณหญิง” อานนท์ปราม
“ไม่เห็นหรือไงว่ามันจะรังแกก้องภพ”
ภาคินมองหน้า
“ผมไม่ทำอะไรคุณก้องภพหรอกครับ คุณหญิง...แต่ผมอยากเตือนคุณหญิงและลูกชายไว้เท่านั้นว่าจะเป็นลิเกหรืออาชีพไหน ก็เป็นคนเหมือนกัน...ศักดิ์ศรีของคนไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้นหรอกครับ แต่อยู่ที่ไหนผมไม่ขออธิบาย เพราะคุณหญิงกับคุณก้องภพคงไม่อยากฟัง”
ภาคินเดินไป วิมลวรรณพูดตามหลังไป
“ตักน้ำใส่กะโหลก ชะโงกดูเงาตัวเองก่อนดีกว่าเจ้าภาคิน...ถึงคิดจะมาเตือนคนอื่น ทุเรศ”
พอภาคินไปแล้ว ก้องภพทำขึงขังทันที
“นี่ถ้าผมไม่เกรงใจคุณพ่อคุณแม่นะ ผมต่อยมันแล้ว”

ปานดาวกับภูวดล แต่งตัวชุดไปงานกลางคืนเข้ามาบอกกับพิมที่ยืนอยู่บริเวณนั้น
“ดูตาธัญวิทย์ด้วยนะ ตื่นมาไม่เจอพ่อแม่จะงอแงเอา”
“ค่ะ คุณดาว”
สายอุษากับเติมบุญเข้ามา ปานดาวรีบบอก
“รีบไปเถอะค่ะคุณแม่ ป่านนี้นักข่าวกลับหมดแล้วเดี๋ยวดาวไม่มีรูปลงหน้าสังคมเหมือนไฮโซคนอื่นๆ”
สายอุษามองสามี
“คุณพ่อสิ...ท่าทางไม่ค่อยอยากไป แม่น่ะอยากให้พ่อเขาไปเปิดหูเปิดตาบ้าง พบปะนักธุรกิจรุ่นเดียวกัน เผื่อว่าจะได้สบายใจขึ้น”
“แล้วปานฟ้าล่ะ ปานฟ้าไปด้วยหรือเปล่า”
ภูวดลกับปานดาวทำหน้าเซ็งทันที
“ปานฟ้าเขาไม่ชอบออกงานสังคม คุณพ่อก็ทราบนี่คะเรารีบไปกันเถอะค่ะ” ปานดาวตัดบท
เติมบุญหน้าตาไม่เต็มใจนัก สายอุษาเห็นก็ถาม
“หรือคุณจะไม่ไปคะ”
“ไปสิ...แต่ไปรับปานฟ้าก่อน ถ้าดาวอยากไปก่อนก็ไปแล้วไปเจอกันในงาน”
ภูวดลเบื่อหน่าย
“เราไปกันก่อนก็ดีนะจ๊ะคุณดาว”
ปานดาวเชิดหน้า น้อยใจ
“ใช่สิ...ดาวมันไม่ใช่ลูกรักนี่คะ แค่จะเดินด้วยในงานสังคม คุณพ่อก็ยังรังเกียจ ระวังเถอะ ถ้านังฟ้ามันทำงามหน้าขึ้นมาวันไหน ดาวจะหัวเราะให้ลั่นบ้านเลย”
สายอุษาไม่พอใจ
“ยัยดาว พูดอะไรน่ะ ไม่ดีเลยนะ”
“ไปกันเถอะคุณดาว”
ภูวดลแตะแขนปานดาวเป็นการเตือนสติ ปานดาวยอมเดินออกไปกับสามี สายอุษาหันมาหาเติมบุญ
“ถ้างั้น ฉันโทรบอกให้ยัยฟ้าแต่งตัวรอที่บริษัทเลยนะคะ”
“ดีสิ...โทรเลย”
เติมบุญหน้าตาแช่มชื่นขึ้น สายอุษากดโทรศัพท์
“ฟ้าเหรอลูก”
ขณะเดียวกัน ปานฟ้าพูดโทรศัพท์อยู่ในห้องทำงาน
“ถ้าคุณพ่อต้องการยังงั้น ก็ได้ค่ะ ฟ้าพอมีเสื้อผ้าอยู่ที่ทำงานบ้าง แต่คงไม่งามเท่าพี่ดาวหรือคนอื่นๆ ในงานหรอกนะคะคุณแม่”
ปานฟ้าวางโทรศัพท์แล้วปิดแฟ้มตรงหน้า

พิมเดินฮัมเพลงสบายใจ
“บ้านหลังนี้มันน่าจะเป็นของเรานะ นังพิมจะวางท่าเป็นคุณนายมันทั้งวันเลย”
ป้าแก้วยืนขวางอยู่ พิมชะงัก แต่ก็เชิดหน้า จะเดินไป
“คางคก...” ป้าแก้วพูดขึ้นลอยๆ
พิมชะงักหันขวับมา
“แกว่าใครหา...ว่าฉันเป็นคางคกเหรอ”
“เปล่า...ไม่ได้ออกชื่อใคร...ใครอยากรับก็รับไปสิ”
ป้าแก้วเดินไป พิมมองตามด้วยสายตาชิงชัง แล้วก็มองไปยังประตูห้องปานเดือน เปิดประตูเข้าไปข้างในทันที
พิมเข้ามาในห้องปานเดือน หยุดยืนมองไปรอบๆเห็นรูปถ่ายของปานเดือนกับอนิรุทธิ์ตั้งอยู่มุมหนึ่ง
พิมแกล้งปัดตกลงมากระจกแตก แล้วก็ทิ้งตัวลงนอนกับที่นอน อนิรุทธิ์เปิดประตูเข้ามาตกใจที่เห็นพิม
“เข้ามาทำไม...
พิมรีบลุกขึ้นนั่ง
“เอ้อ...ก็...ก็เข้ามาทำความสะอาด...”
อนิรุทธิ์มองอย่างไม่เชื่อ ตวาดเสียงดัง
“ออกไป...ผมบอกให้ออกไป”
อนิรุทธิ์เดินเข้าหา ดวงตาดุดัน พิมได้ทีก็ผวากอดอนิรุทธิ์ไว้แน่นแกล้งร้องไห้ดังๆ
“ปล่อย...ปล่อยนะ...ปล่อยสิ”
ป้าแก้วมองเข้ามา ตกใจ พิมมองเห็นสายตาป้าแก้ว ก็ทำเป็นร้องไห้
“ทำไม ไหนคุณรุทธิ์บอกว่ารักพิมไงคะ ได้พิมเป็นเมียแล้วจะมาทิ้งขว้างอย่างนี้ไม่ได้นะคะ...คุณรุทธิ์ต้องรักพิมให้มากๆ ฮือๆ”
ป้าแก้วยืนนิ่งอึ้ง ตกใจ มือทาบอก
“บัดสี...”
อนิรุทธิ์หันไปตกใจ
“ป้าแก้ว...ไม่...ไม่ใช่ยังงั้นนะครับ”
อนิรุทธิ์ผลักพิมหงายหลังลงไปที่เตียง สบถเสียงดัง ฉุนเฉียว
“อีบ้า...”
อนิรุทธิ์วิ่งออกไปข้างนอก พิมลุกขึ้นนั่ง หัวเราะสะใจ

อนิรุทธิ์พยายามอธิบายให้ป้าแก้วเข้าใจ
“มันไม่ใช่อย่างที่ป้าแก้วเห็นนะครับ ป้าแก้วก็ทราบว่าผมไม่มีวันทรยศ ต่อคุณปานเดือนเด็ดขาด”
“ไว้คุณท่านกลับมา คุณรุทธิ์ก็คอยตอบคำถามคุณท่านเองเถอะค่ะ”
พิมเดินมาหยุดยืนมองมาที่คนทั้งสอง อนิรุทธิ์หันขวับไปมองอย่างโมโห
“พิม...เธอจะทำลายชีวิตแต่งงานของผม กับปานเดือนไม่ได้นะ”
พิมส่ายหน้าแสร้งสะอื้น
“ป้าแก้วขา เป็นพยานให้พิมด้วยนะคะ พิมถูกคุณรุทธิ์ข่มเหงน้ำใจมานานแล้วค่ะ”
อนิรุทธิ์ตะลึงตวาดลั่น
“บ้า...บ้าที่สุด เธอก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร มันไม่จริงเลย”
พิมแสร้งปล่อยโฮเสียงดัง
“คุณรุทธิ์ใจร้าย ฮือๆๆ”
อนิรุทธิ์หัวเสียเดินออกไป ป้าแก้ว หน้าซีด ไม่รู้ว่าใครถูกใครผิด

ภาคินแต่งตัวง่าย ๆ ป้านุ่มเข้ามา
“คุณหนูขา...ไปทานข้าวเถอะค่ะ ป้าตั้งโต๊ะไว้ตั้งนานแล้ว...เขาไปงานกันหมดบ้านเลย”
“ตกลงคุณพ่อ ยอมไปงานกับคุณหญิงเหรอครับ”
“คุณผู้ชายน่ะ ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้บ้านนี้สงบที่สุด...น่าเห็นใจท่านนะคะ”
“ป้า...วันนี้ผมไม่ทานข้าวที่โต๊ะอาหารนะ แต่จะทานกับป้าในครัว”
ป้านุ่มมองภาคิน น้ำตาคลอ
“ก็ได้ค่ะคุณหนู”

อนิรุทธิ์เข้ามาในห้องเห็นกรอบรูปตกแตกอยู่ที่พื้น อนิรุทธิ์เก็บขึ้นมาหน้าเสียไป
“คุณเดือน...”
อนิรุทธิ์ตัดสินใจเดินออกไปตรงไปที่รถซึ่งจอดอยู่หน้าบ้าน ป้าแก้วยืนอยู่
“จะไปไหนคะคุณรุทธิ์”
“ผมจะไปเฝ้าคุณเดือนที่โรงพยาบาลครับ ป้าแก้ว”
“ป้าบอกตรงๆ นะคะว่าไม่สบายใจเลย คนอย่างนังพิมน่ะมันงูพิษดีๆ นี่แหละ จะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้”
“ผมไม่กลัวหรอกครับ ความจริงก็คือความจริง ผมบริสุทธิ์ใจ ผมไม่ได้เป็นอย่างที่เขากล่าวหา”
“ป้าเชื่อค่ะ...รีบไปเถอะค่ะ คุณเดือนเธอน่าสงสาร”
อนิรุทธิ์เข้าไปในรถ พิมออกมาจากมุมหนึ่ง ยิ้มมุมปาก
“เดี๋ยวแกจะยิ่งสงสารนังปานเดือนยิ่งกว่านี้อีก ฮึๆ”

ภูวดลขับรถอยู่ ปานดาวหงุดหงิดที่รถติดเป็นแพ
“มันจะไปไหนกันนักกันหนานะ รถถึงได้ติดยังงี้...”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ปานดาวกดรับ
“ว่าไงนังพิม...ตาธัญวิทย์งอแงเหรอ”
“เปล่าค่ะ คือว่า...”
ปานดาวนิ่งฟังแล้วระเบิดหัวเราะออกมา
“ต๊าย...นี่แกเอาสมองส่วนไหนคิดนะนังพิม มันถึงชั่วได้ใจฉันจริงๆ เลย ฉันชักสนุกกับแกแล้วสิ”
“อะไรเหรอดาว...” ภูวดลถามอย่างสงสัย
“ก็นังพิมสิคะ มันช่วยทำให้บ้านมีสีสันขึ้นอีกแล้ว...เดี๋ยวก่อนนะคะภู ให้ฉันทำธุระแป๊บนึง แป๊บเดียวเท่านั้น...”
พิม วางโทรศัพท์ลงอย่างสะใจ ปานดาว กดโทรศัพท์ สนุกกับเกมที่พิมสร้างขึ้น
“ต่อห้องหมายเลข 1124 ด้วยค่ะ”

ปานเดือนนอนอยู่บนเตียง พยาบาลจัดผ้าห่มให้พลางพูด
“พรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้แล้วล่ะค่ะ คุณหมออนุญาตแล้วแต่ว่าต้องทานยาอย่าให้ขาดนะคะ”
ปานเดือนยิ้มตาเป็นประกาย ดีใจที่จะได้กลับบ้าน เสียงโทรศัพท์ของห้องดังขึ้น พยาบาลรับสาย
“ค่ะ...สักครู่นะคะ...ของคุณค่ะ”
พยาบาลส่งโทรศัพท์ให้ ปานเดือนรับไป
“ปานเดือนค่ะ...พี่ดาวเหรอคะ”
ปานดาวพูดโทรศัพท์อยู่สะใจ ภูวดลฟังอยู่ ขณะขับรถไปด้วย
“เดือนน้องรัก พี่ไม่รู้จะเล่าดีหรือเปล่า แต่พี่ก็ไม่อยาก เห็นน้องสาวของพี่เป็นคนโง่เง่าเต่าตุ่น ให้ใครต่อใครนินทาได้”
ปานเดือนหน้าซีด เริ่มควบคุมสติไม่ได้ พยาบาลจัดสายน้ำเกลืออยู่ไม่ห่าง
“รู้มั้ยเจ้าอนิรุทธิ์ผัวเธอน่ะมันได้นังพิมเป็นเมีย ผัวเธอทรยศเธอ ผัวเธอมีเมียน้อย ผัวเธอไม่ได้ซื่อสัตย์ต่อ เธอเลยนะปานเดือน เพราะอะไรล่ะก็เพราะเธอมันบ้าไม่มีใครเขาทนมีเมียเป็นคนบ้าได้หรอก”
ปานดาวปิดโทรศัพท์ แล้วก็ระเบิดเสียงหัวเราะประสานกับภูวดล ปานเดือน นั่งอึ้ง โทรศัพท์ร่วงจากมือ พยาบาลหันมา
“คุณคะ...คุณปานเดือน”
ปานเดือนกรีดร้อง แล้วก็ร้องไห้โฮๆ อนิรุทธิ์เข้ามาพอดี ตกใจ
“เดือน...คุณเดือนครับ...คุณเดือน”
อนิรุทธิ์กอดปานเดือนไว้จะปลอบใจ แต่ปานเดือนผลักไสอนิรุทธิ์ร้องไห้
“ออกไป๊...ออกไป ฉันเกลียดแก ปล่อย ฉันจะกลับบ้านฮือๆ”

พยาบาลกับอนิรุทธิ์ช่วยกันจับตัวปานเดือนไว้

ขณะที่นั่งอยู่บนรถ ปานดาวหัวเราะสะใจ หันมาบอกภูวดลซึ่งขับรถอยู่

“ฉันชักไม่อยากไปงานแล้วละ...”
“ทำไมล่ะคุณดาว”
ปานดาวหัวเราะในลำคอหยัน
“อยากไปสมน้ำหน้านังเดือนมากกว่า ฉันอยากเห็นครอบครัวนังเดือนมันพินาศ”
ภูวดลหัวเราะ
“งั้นเราย้อนกลับไปหามันที่โรงพยาบาลมั้ย”
ปานดาวนิ่งคิด แต่แล้วก็ยิ้มเยาะ
“ไปงานก่อนดีกว่าแล้วค่อยแวะไป ถ้ามันอาละวาดยังงี้ หมอคงไม่ยอมให้มันกลับบ้านหรอก ให้มันอยู่ที่โรงพยาบาลตลอดไปน่ะยังงี้แหละ...สะใจดี”
ดุจดาวยิ้มอย่างมั่นใจ

ที่โรงพยาบาล...พยาบาลจับตัวปานเดือนที่นั่งร้องไห้อยู่เอาไว้ อนิรุทธิ์ยืนอยู่ข้างๆ พยายามปรับความเข้าใจ
“มันไม่ได้เป็นอย่างที่คุณเดือนเข้าใจ คุณเดือนก็ทราบว่าผม ไม่มีวันทรยศต่อคุณเดือน ผมรักคุณเดือนยิ่งกว่าชีวิตของผม”
ปานเดือนผินหน้าหนี น้ำตาไหลพราก อนิรุทธิ์จับมือปานเดือน พยายามทำให้เธอสบายใจ
“คุณเดือนต้องมั่นใจผม แล้วก็มั่นใจในความรักของเรานะครับ”
ปานเดือนหันมาสะบัดมือ กรีดร้อง พยายามดันตัวอนิรุทธิ์ออกไป
“ฮือๆออกไป ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณ คนทรยศฉันเกลียดคุณ ฉันเกลียดคุณ”
อนิรุทธิ์ตะลึง
“คุณเดือน...”
“ออกไปข้างนอกก่อนนะคะ ดิฉันขอร้องค่ะ”
ปานเดือนกรีดร้องดังขึ้น อนิรุทธิ์จำต้องเดินออกไปข้างนอก เขาทรุดตัวลงนั่งที่โซฟา น้ำตาคลอด้วยความเครียด
“คุณเดือน...คุณต้องเข้าใจผม...”

ในห้องจัดเลี้ยง....วิมลวรรณยืนข้างอานนท์ กับก้องภพ ที่มองหาปานฟ้าท่ามกลางผู้คน
“มองหาใครเหรอตาก้องภพ”
“ปานฟ้าครับแม่...”
“เดี๋ยวก็คงมาแหละ...อุ๊ย นั่นพี่สาวยัยฟ้านี่นา”
ปานดาวเดินมากับภูวดล ยิ้มแย้มแจ่มใสให้นักข่าวสังคมถ่ายรูป วิมลวรรณเดินมาหา ก้องภพตามมาติดๆ อานนท์มองตามภรรยากับลูกอย่างไม่ค่อยพอใจ แล้วหันไปพูดคุยกับแขกอื่นๆ ในงาน
ปานดาวกับภูวดลไหว้วิมลวรรณ
“สวัสดีค่ะคุณหญิง”
“สวัสดีจ้ะหลานดาว...” วิมลวรรณมองหาเติมบุญ “คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้มาด้วยเหรอจ๊ะ”
“เดี๋ยวก็มาค่ะ”
“แล้วคุณปานฟ้าล่ะครับ” ก้องภพถามทันที
“ใจเย็นๆ สิคะคุณก้องภพ...ยังไงดิฉันก็เชียร์คุณก้องภพเต็มที่ ยัยฟ้าน่ะคงไม่หนีไปไหนหรอกค่ะ”
ปานดาวบอกขำๆ ภูวดลรีบเสริม
“นั่นสิครับ ผมเองก็ไม่เห็นว่าใคร จะเหมาะสมเท่ากับคุณก้องภพอีกแล้ว”
วิมลวรรณหัวเราะ หันมาทางก้องภพ
“เห็นมั้ยล่ะตาก้อง ใครๆ เขาก็เห็นเหมือนแม่ว่า ลูกกับยัยฟ้าน่ะเหมาะสมกัน”
ก้องภพเขิน
“โธ่...คุณแม่ ผมเขินจะแย่แล้ว”
ปานดาว ภูวดล วิมลวรรณ หัวเราะกันร่าเริง อานนท์เดินมาหา
“ผมจะออกไปเดินเล่นข้างนอกนะ”
บอกแล้วก็เดินออกไปเลย วิมลวรรณหันไปบอกก้องภพ
“ฝากตาก้องภพด้วยนะคะหนูดาว เผื่อว่ายัยฟ้ามาจะได้เจอตาก้อง”
“คุณแม่จะไปไหนเหรอครับ”
วิมลวรรณไม่ตอบ เดินตามอานนท์ไป ปานดาวหันไปหยิบเครื่องดื่มจากบริกรในงาน หันไปมองทางภูวดลก็เห็นเขายิ้มให้หญิงคนหนึ่งในงาน ปานดาวหึงหยิกหมับเข้าที่แขน ภูวดลยิ้มทำเป็นไม่รู้เรื่อง ก้องภพมองไปรอบๆขณะที่คนเริ่มจับคู่เต้นรำกันที่กลางฟลอร์

อานนท์ยืนหน้าเครียดอยู่ด้านนอกห้องจัดเลี้ยง วิมลวรรณเดินมาหา
“ฉันไม่เข้าใจเลย มางานสังคมทีไร คุณต้องทำหน้าตาเบื่อหน่าย ทำไม...กลัวคราบผู้ดีมันจะติดตัวรึไง”
“เปล่า ผมรำคาญคุณมากกว่า...”
“รำคาญฉัน...ทำไมไม่คิดบ้างว่าที่ธุรกิจเราอยู่รอดได้ โดยที่เจ้าหนี้ไม่มายึดบ้าน ยึดบริษัทก็เพราะใคร ไม่ใช่ฉันรึ...ฉันต้องปั้นหน้าคะๆ ขาๆ กับนังพวกหญิง คุณนาย ก็เพื่อรักษาหน้าคุณไว้...ฉันไม่มีความดีติดตัวเลยหรือไง”
อานนท์ส่ายหน้า
“แต่ไม่ได้หมายความว่า...จะเอาตาก้องภพ ไปยัดเยียดให้เป็นลูกเขยบ้านอื่น ผมรู้นะว่าคุณคิดยังไง คุณคงอยากได้สมบัติของเขา มาเป็นของเราใช่มั้ยล่ะ”
“นั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่เป็นเพราะก้องภพรักยัยปานฟ้าต่างหาก ฮึ...ยิ่งรู้ว่าไอ้ภาคินหมายปองยัยปานฟ้าด้วยแล้ว ฉันยิ่งอยากเอาชนะมัน...”
อานนท์ถอนใจ
“เมื่อไหร่คุณหญิงจะยอมรับภาคินซะทีนะ”
วิมลวรรณหัวเราะหยันในลำคอ
“เมื่อนังบุษบาตายไป หรือมาก้มกราบแทบเท้าฉัน”
อานนท์จ้องหน้าวิมลวรรณ เมื่อเห็นแขกคนอื่นๆเดินผ่านมาเขาก็รีบผละไป วิมลวรรณมองตามไปด้วยสายตาแค้นเคือง
“ฮึ แตะไม่ได้เลยนะ...นังบุษบามันวิเศษมาจากสวรรค์ชั้นไหนกัน”

ปานดาวยิ้มทักทายแขกอื่นๆ ภูวดลจิบเครื่องดื่มอยู่ไม่ห่าง มองไปรอบๆ ก้องภพมายืนข้างๆ
“ทำไมคุณฟ้ามาช้าจังล่ะครับ”
“รถคงติดน่ะ...ใจเย็นๆ สิคุณก้องภพ ปานดาวเขาก็อยู่ข้างคุณเต็มที่ ปานฟ้าน่ะไม่หนีคุณไปไหนหรอก” ภูวดลออกความเห็น
ปานดาวหันมาเห็นก้องภพก็กลั้วหัวเราะ
“ทำเหมือนอกจะแตกตายยังงั้นแหละ”
“ครับ...ถ้าคุณฟ้าไม่มาภายในห้านาทีนี้ ผมคงขาดใจตายแน่ ดูสิครับ เขาเต้นรำกันมีความสุข ผมน่ะอยากจะเต้นรำกับคุณฟ้าจะแย่แล้ว”
ก้องภพมองไปที่กลางฟลอร์เห็นหญิงชายหลายคู่ลีลาศกันอยู่ เสียงดนตรีแว่วหวานดังคลอ...

ปานฟ้าในชุดราตรีสวย เดินตามเติมบุญกับสายอุษามา คนอื่นๆเข้าไปทักทาย ขณะเดียวกัน เสียงโทรศัพท์ของปานฟ้าดังขึ้นเธอกดรับ
“ฟ้าเองค่ะพี่รุทธิ์...อะไรนะคะ”
สายอุษากับเติมบุญหันมา
“ฟ้า เกิดอะไรขึ้นเหรอ”
ปานฟ้าลดโทรศัพท์ในมือลง ใบหน้าซีดเผือด เติมบุญรีบถามอย่างสงสัย
“ใครเป็นอะไร ฟ้า...”
“พี่เดือนค่ะ พี่เดือนอาละวาดอีกแล้ว”
สายอุษาแปลกใจ
“เอ๊ะ ก็ไหนบอกว่า หมอจะให้กลับบ้านพรุ่งนี้แล้วไง”
“นั่นน่ะสิคะ...คุณแม่คะ คุณแม่กับคุณพ่อเข้าไปในงานก่อนได้มั้ยคะ ฟ้าจะลองโทรศัพท์ติดต่อกลับไปหาพี่รุทธิ์อีกที”
สายอุษาเตือน
“จ้ะ แต่แม่ว่าไม่ต้องเป็นห่วงอะไรหรอก ยัยเดือนอยู่กับหมอ...หมอต้องช่วยยัยเดือนได้”
เติมบุญเห็นด้วย
“นั่นสิ...อย่าลืมว่างานนี้เรามาพบลูกค้าหลายคน พ่อไม่อยากให้เราพลาดโอกาสสำคัญ นานๆ จะได้พบปะกันที”
“ค่ะ คุณพ่อ ขอเวลาฟ้าแป๊บเดียวนะคะ”
สายอุษาสบตาเติมบุญ พยักหน้าให้กัน แล้วก็เดินเข้าไปในห้องจัดเลี้ยง ปานฟ้าเดินผ่านไปยังห้องน้ำที่อยู่ใกล้ห้องจัดเลี้ยงนั้น
ปานฟ้าเข้ามาในห้องน้ำของโรงแรมอย่างกังวลใจ เธอกดโทรศัพท์หาอนิรุทธิ์อีกครั้ง
“พี่รุทธิ์ ทำไมพี่เดือนถึงได้อาละวาดขึ้นมาอีกล่ะคะ”
“ผมไม่รู้จะอธิบายยังไงเหมือนกันครับ คุณฟ้า...เอาเป็นว่าเรามาช่วยกันหาทางแก้ไขให้คุณเดือนกลับมามีอาการดีขึ้นดีกว่า”
“ฟ้านึกออกแล้วค่ะว่าจะทำยังไง...พี่รุทธิ์รอฟ้าอยู่ที่ โรงพยาบาลนะคะ”
ปานฟ้าวางสายจากอนิรุทธิ์ แล้วโทรหาภาคินทันที ไม่นานเขารับสาย...
“ครับ คุณฟ้า...”
“คุณภาคินคะ ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน ฟ้าต้องการความช่วยเหลือจากคุณ ด่วนที่สุดค่ะ...”
“คุณฟ้า...เกิดอะไรขึ้นหรือครับ”
“ไม่ใช่ฟ้าค่ะ แต่เป็นพี่เดือน คุณรีบไปที่มูลนิธิได้มั้ยคะแล้วพบกันที่นั่น”
“ได้สิครับ คุณเดือน”
ปานฟ้ารีบออกไป ประตูห้องน้ำห้องหนึ่งเปิดออก วิมลวรรณออกมามองตามปานฟ้าไป
“ไอ้ภาคิน...แกเกิดมาเป็นมารหัวใจลูกชายฉันจริงๆ เลยอย่าหวังเลยว่าแกจะเอาชนะก้องภพได้...ฮึ...”

ภาคินแต่งตัวง่ายๆ ลงบันไดมา เป็นจังหวะที่โทรศัพท์ดังขึ้น ป้านุ่มปราดไปรับ
“ค่ะ คุณหญิง...เอ้อ” ป้านุ่นหันมองทางภาคิน “กำลังจะออกไปข้างนอกพอดีเลยค่ะ”
วิมลวรรณเดินพูดโทรศัพท์มา เสียงฉุนเฉียว
“แกทำยังไงก็ได้ อย่าให้มันออกไปข้างนอกได้”
“แต่ว่า...”
วิมลวรรณโมโห
“อย่าเรื่องมากนังนุ่ม หรือว่าแกอยากโดนเฉดหัวออกจากบ้าน...หา...”
ป้านุ่มหน้าซีดเผือด
“เอ้อ....ค่ะๆๆ”
ป้านุ่มรีบวางโทรศัพท์แล้วตามภาคินออกไป วิมลวรรณเดินเข้าไปในห้องจัดเลี้ยง

ภาคินกำลังจะออกจากบ้าน ป้านุ่มรีบพูดตามหลังไป
“คุณหญิงห้ามไม่ให้คุณหนู ออกไปข้างนอกค่ะ”
ภาคินมองหน้าป้านุ่ม
“แต่ก่อนป้านุ่มไม่เคยขัดใจผม...แล้วทำไม...”
ป้านุ่มหน้าเสียไป
“แต่คุณหญิงท่านสั่งห้ามเด็ดขาด...”
“คุณหญิงมีเหตุผลอะไร”
ป้านุ่มอึ้งไป เพราะไม่รู้เหตุผล
“เอ้อ...”
ภาคินไม่ใส่ใจ เดินออกไปทันที ป้านุ่มตกใจ เห็นภาคินเข้าไปในรถ แล้วขับออกไป
“เรื่องใหญ่แน่...” ป้านุ่มมองตามอย่างไม่รู้จะทำยังไง

ทางด้านก้องภพ ยืนขวางทางปานฟ้าที่กำลังจะออกไปจากงานไว้
“เต้นรำกับผมเพลงเดียว คุณฟ้าก็ยังไม่ยอม นี่ถ้าเป็นไอ้ภาคิน คุณฟ้าคง...”
ปานฟ้าพูดสวนมาทันที
“ไม่มีใครบังคับฉันได้”
ปานฟ้าผินตัวจะเดินออก ก้องภพฉวยมือปานฟ้าไว้ กระชากให้หันกลับมา ปานดาว ภูวดล เติมบุญ สายอุษาหันไปมอง ท่ามกลางแขกคนอื่นๆ
“ฟ้า...นี่คุณเห็นไอ้ภาคิน มันสำคัญกว่าผมเหรอ”
“ไม่ใช่เรื่องใครสำคัญกว่าใครหรอกค่ะ แต่เวลานี้ฉันไม่ว่าง...ขอโทษค่ะ”
ปานฟ้าสะบัดมือออก ก้องภพตกใจ
“ปานฟ้า...”
ปานฟ้าเดินแทรกแขกคนอื่นๆ ออกไปข้างนอก ก้องภพตามไปติดๆ สายอุษากับเติมบุญหน้าเสียไป
“คุณ...ไปดูยัยฟ้าหน่อย เร็ว...”
ปานดาวหันมา
“คู่รักเขางอนกัน เดี๋ยวก็ดีกันค่ะคุณแม่ อย่าไปยุ่งดีกว่า”
สายอุษามองหน้าลูกสาวด้วยสายตาตำหนิ
“ใครบอกแก ยัยดาว ว่าเขาเป็นคู่รักกัน”
วิมลวรรณกำลังยืนคุยกับแขกอื่น หันไปเห็นก้องภพเดินตามปานฟ้าไป วิมลวรรณรีบผละไป
“ขอตัวนะคะ”
วิมลวรรณเดินไป เติมบุญเดินแทรกแขกออกไปข้างนอก อานนท์รีบวางแก้วเครื่องดื่มที่มุมหนึ่งแล้วตามออกไปเช่นกัน ปานดาวหันมาพูดกับแม่
“คุณแม่นี่ก็แปลก อยากเห็นยัยฟ้าขึ้นคานรึไง”
สายอุษาพูดเบาๆ พอได้ยินกับปานดาวเพียงสองคน
“ถ้าความวุ่นวายเกิดจากคนนอกบ้าน แม่ไม่ใส่ใจหรอก กลัวว่าเกิดจากคนในบ้านซะมากกว่า รู้มั้ยว่ายัยเดือนอาการหนักอีกแล้ว”
ปานดาวเบ้หน้า
“นังเดือนมันบ้า...คนบ้าจะให้เป็นคนดีได้ยังไง ทำใจซะเถอะค่ะ คุณแม่ ยังไงก็ทำให้มันหายเป็นปกติเหมือนเราไม่ได้หรอก”
สายอุษามองลูกสาวอย่างผิดหวัง
“ฉันไม่คิดเลยว่าแกจะใจร้ายยังงี้...ปานเดือนมันเป็นน้องสาวแกนะยัยดาว”
สายอุษาเมินหน้าจากลูกสาวไปทางหนึ่ง แล้วเดินไป ภูวดลพูดใส่ไฟทันที
“ดูซิคุณดาว...เราสองคนอุตส่าห์มางาน เพื่อรักษาเกียรติของครอบครัว แต่กลับไม่มีใครใส่ใจเลย...ทั้งพ่อคุณ แม่คุณ แล้วก็น้องสาวคุณด้วย”
ปานดาวเจ็บปวดตามคำของภูวดล เม้มปากแค้นเคือง

ปานฟ้าเดินอย่างเร็วไปที่ล็อบบี้ ก้องภพตามมาทัน
“คุณฟ้า...รีบร้อนไปไหน โกรธผมเหรอ เราไม่ต้องเต้นรำกันก็ได้ แต่ขอให้ผมได้ยืนข้างคุณในงานได้มั้ย”
“เป็นเด็กขาดความอบอุ่นตั้งแต่เมื่อไหร่...ฉันมีธุระด่วนต้องรีบทำ”
“หวังว่าคงไม่ใช่ธุระกับไอ้ภาคินหรอกนะ”
ปานฟ้าจ้องหน้าก้องภพ
“ใช่หรือไม่ คุณก็ไม่เกี่ยว”
ปานฟ้าเดินไป ก้องภพยืนนิ่ง วิมลวรรณมาพอดี แกล้งพูดดังๆ
“ตายจริง ก้องภพไม่เป็นสุภาพบุรุษเลย ทำไมไม่ไปส่งคุณฟ้าล่ะจ๊ะ”
ปานฟ้าหันมา พูดเสียงหนักแน่น
“ขอบคุณค่ะ แต่ดิฉันไปเองได้”
วิมลวรรณอึ้งไป แต่รีบปรับท่าที
“หนูฟ้าอย่าปฏิเสธน้ำใจของเราสองคนแม่ลูกเลย...ดิฉันขอร้อง...ดูสิ คนมองมากันใหญ่แล้ว”
คนอื่นๆในล็อบบี้ มองมาที่ปานฟ้ากับก้องภพ แต่ปานฟ้าไม่แคร์เดินไป ก้องภพหันมามองแม่ว่าจะให้ทำยังไงต่อ วิมลวรรณพยักหน้าให้เดินตามไป ก้องภพรีบตามออกไป
อานนท์มองอยู่มุมหนึ่ง เห็นวิมลวรรณเดินออกไป ก็เดินออกไปบ้าง สายอุษามาพอดีรีบถามเติมบุญที่ยืนอยู่ที่ล็อบบี้
“ยัยฟ้าล่ะคุณ”
“ไม่ต้องห่วงหรอก ลูกสาวเราเอาตัวรอดได้...รีบกลับเข้าไปในงานเถอะ ทักทายแขกแล้วก็รีบกลับไปดูยัยเดือนกันดีกว่า”
“ค่ะ...”
ทั้งสองเดินเข้างานไปอย่างเครียดๆ

ปานฟ้าเดินมาที่ลานจอดรถของโรงแรม เธอเปิดประตูรถเข้าไปนั่ง แต่ก้องภพตามมาจับประตูไว้ไม่ยอมให้เธอปิด วิมลวรรณยืนมองอยู่มุมหนึ่ง อานนท์ยืนอยู่ด้านหลังของวิมลวรรณ ทั้งสองมองไปที่ปานฟ้ากับก้องภพ
“เอามือออกค่ะ ฉันรีบ”
“ก็บอกมาสิว่าจะไปไหน”
ปานฟ้ามองหน้าก้องภพนิ่ง ไม่พอใจ
“ฉันไม่คิดเลยว่าคุณก้องภพจะเป็นคนไร้มารยาท ชอบวุ่นวายกับเรื่องของคนอื่น”
วิมลวรรณสีหน้าไม่พอใจ ปานฟ้าไม่สนใจ สตาร์ทรถแล้วกระชากรถออกไป ประตูเด้งใส่ก้องภพจนล้มลงไป ปานฟ้ากระชากประตูปิด ขับรถออกไป วิมลวรรณตกใจ
“ก้องภพ...”
วิมลวรรณวิ่งไปที่ก้องภพ ประคองขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง
“เป็นไงบ้าง เจ็บมากมั้ยลูก”
“ไม่ครับ แต่เจ็บใจมากกว่า”
ก้องภพเจ็บแค้นใจรีบยืนขึ้น มองตามรถของปานฟ้าไป อานนท์เดินล้วงกระเป๋าเข้ามาหาสองแม่ลูก
“คุณฟ้ารีบ แกก็เห็น...ทำไมถึงต้อง...”
อานนท์ยังพูดไม่จบ วิมลวรรณแหวใส่ทันที
“เงียบเถอะ ถ้าไม่เห็นว่าก้องภพเป็นลูกชายสุดที่รัก ก็กรุณาอย่าสำรอกอะไรออกมา จนฉันทนไม่ได้”
อานนท์ส่ายหน้า
“หยาบคายทั้งกิริยาแล้วก็วาจา...รู้จักระวังกิริยาบ้างสิ”
“คุณพ่อรู้มั้ยว่าคุณฟ้าไปไหน ไปหาไอ้ภาคิน เขานัดกัน” ก้องภพโวยวาย
วิมลวรรณหันมาทางอานนท์
“ได้ยินแล้วใช่มั้ย...คอยดูนะ ฉันจะไม่มีวันให้ไอ้ภาคินมันชนะตาก้องได้หรอก ไม่ว่าเรื่องอะไร...ไป ตาก้อง”
วิมลวรรณเดินนำก้องภพกลับเข้าไปในโรงแรม อานนท์ระบายลมหายใจเหนื่อยหน่าย

ปานฟ้าขับรถ กดโทรศัพท์หาภาคิน ครู่หนึ่งเขารับสาย
“อยู่ที่ไหนแล้วคะ”
“ใกล้ถึงมูลนิธิแล้วละครับ”
“คุณช่วยรับบุญทิ้งมาที่โรงพยาบาลทีได้มั้ยคะ นะคะนึกว่าช่วยพี่เดือน...อาการพี่เดือนกำลังแย่”
“ได้สิครับ...”
ปานฟ้าขับรถไปที่โรงพยาบาลทันที

วิมลวรรณกับก้องภพ เดินกลับเข้ามาในงาน อานนท์เดินตามมา สายอุษากับเติมบุญหันไปมอง สายอุษากับวิมลวรรณประสานสายตากัน
“ไปทางโน้นเถอะคุณ” เติมบุญแตะเอวภรรยา
“ค่ะ...”
สายอุษาถือแก้วเครื่องดื่มหันไปทักทายกับคนอื่น แล้วเดินตามเติมบุญไป วิมลวรรณหันมาพูดกับก้องภพ เบาๆพอได้ยินกันสองคน โดยไม่เห็นว่าอานนท์ยืนอยู่ด้านหลัง
“นี่ถ้าไม่เห็นว่าก้องภพหลงรักนังปานฟ้าล่ะก็ แม่ตบมันคว่ำกลางงานแล้ว หมั่นไส้ ทำเป็นผู้ดีแปดสาแหรกเก้าไม้คาน โธ่เอ๊ย...ก็แค่วาสนาได้ผัวรวย ชูคอเป็นคางคก...เฮอะ ระวังจะตกมาจากวอสักวัน”
ก้องภพแปลกใจ
“คุณแม่หมายถึงใครเหรอครับ”
“ก็นังสายอุษาน่ะสิ...ถ้าก้องภพได้นังฟ้ามาเป็นเมียแล้วเบื่อก็ทิ้งมันเลยนะ ให้มันเป็นข่าวฉาวโฉ่ในสื่อทุกฉบับ อยากรู้นักว่านังสายอุษาจะชูคออยู่ได้หรือเปล่า”
ก้องภพส่ายหน้า
“แต่ผมรักคุณฟ้า ผมไม่มีวันทิ้งเธอหรอกครับ คุณแม่”
วิมลวรรณหันมาเห็นอานนท์
“มายืนตั้งแต่เมื่อไหร่ ฉันไม่ใช่นักโทษของคุณนะ”
“ก็ต้องยืนคุมสิ ไม่รู้ว่าคุณจะแสดงความเถื่อน หยาบช้าออกมาเมื่อไหร่”
วิมลวรรณโกรธจี๊ด
“คุณ...”
“กลับกันดีกว่า...ไปสิ...”
มืออานนท์กุมมือวิมลวรรณแน่น บีบมือแล้วจ้องหน้าเมียดึงออกไปจากงาน วิมลวรรณแทบจะกรีดร้องออกมา แต่มีแขกคนหนึ่งหันมายิ้มให้ เธอรีบหันไปยิ้มตอบหน้าเครียดๆ แล้วเดินตามอานนท์ออกไป ก้องภพมองตามไป ปานดาวกับภูวดลเดินเข้ามา
“เป็นไงคะ ตามยัยฟ้าไม่ทันเหรอ” ปานดาวรีบยุ “รวบหัวรวบหางเลยสิ ขืนชักช้าเงื้อง่าราคาแพงอยู่ โดนคนอื่นคาบไปแน่”
ปานดาวยิ้มเหมือนไม่เห็นว่าสิ่งที่ตัวเองพูด เป็นเรื่องร้ายแรงอะไร ก้องภพมองหน้าปานดาวเครียดๆ

อานนท์ยืนอยู่ข้างรถ วิมลวรรณเดินตามหลังมา พูดด้วยเสียงไม่พอใจ
“คอยดูนะ ถึงบ้านเมื่อไหร่ฉันจะเล่นงานไอ้ภาคินให้แสบเลย”
อานนท์มองหน้าเมียแล้วส่ายหน้า วิมลวรรณแหวใส่
“ทำไม...แตะต้องไม่ได้เลยเหรอไง”
อานนท์ไม่อยากต่อล้อต่อเถียง เปิดประตูเข้าไป ปิดดังปัง วิมลวรรณยืนเข็ดเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วเปิดประตูเข้าไปนั่งปิดประตูเสียงดังพอกัน

เฟื่องแก้วเดินออกมาเมื่อ เห็นรถของภาคินเข้ามาจอดที่หน้ามูลนิธิ
“คุณภาคิน...”
ภาคินรีบบอกอย่างร้อนใจ
“คุณแก้ว...รีบไปพาบุญทิ้งมาหาผมหน่อยสิครับ”
เฟื่องแก้วแปลกใจ
“มีอะไรเหรอคะ”
“เถอะน่า” ภาคินเสียงขุ่น
“แต่นี่มันดึกแล้วนะ คะ แกก็หลับแล้วด้วย”
ภาคินมองหน้าเฟื่องแก้ว แล้วรีบเดินไป เฟื่องแก้วได้สติ
“คุณภาคิน...คุณภาคินคะ...ไม่เป็นไรค่ะ แก้วแค่อยากทราบเหตุผลเท่านั้น”
“แล้วผมจะเล่าให้ฟัง...เอางี้ ผมไปด้วยดีกว่า”
เฟื่องแก้วเดินไปกับภาคิน

ภาคินอุ้มบุญทิ้งมาเดินตรงมาที่รถ เฟื่องแก้วรีบเปิดประตูที่เบาะหลังให้ ภาคินอุ้มบุญทิ้งนอนที่เบาะหลัง เฟื่องแก้วมองบุญทิ้ง แล้วพูดขึ้น
“ถ้าตื่นมาแล้วงอแง คุณภาคินจะลำบาก ให้แก้วไปด้วยนะคะ บางทีแก้วจะพอช่วยอะไรได้บ้าง”
“งั้นเชิญเลยครับ...จะเปลี่ยนเสื้อก่อนมั้ย”
เฟื่องแก้วยิ้มออกมา
“งั้น รอแก้วหน่อยนะคะ”
เฟื่องแก้วเดินไป
“เร็วๆนะครับ คุณแก้ว”
ภาคินมองตามเฟื่องแก้วไป

อนิรุทธิ์ยืนมองปานเดือน ซึ่งนอนหลับสนิทอยู่ที่เตียง เขามองเมียรักอย่างรู้สึกผิด
“ผมจะไม่ยอมให้ใครมารังแกคุณเดือนของผมอีก...ผมสัญญา”
ไม่นานนัก ปานฟ้ามาถึง เธอหันไปถามพี่เขย
“พี่เดือนอาการดีขึ้นมาก จู่ๆ ก็ทรุดลงอีก เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ เล่าให้ฟ้าฟังได้มั้ยพี่รุทธิ์”
อนิรุทธิ์ถอนใจ ส่ายหน้า
“ผมไม่รู้จะอธิบายกับคุณฟ้ายังไง...ผมเองก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น”
“ต้องมีเหตุสิคะ...เราต้องช่วยกันนะคะพี่รุทธิ์”
ปานเดือนตื่นขึ้นมา อนิรุทธิ์ดีใจ
“คุณเดือน”
ปานเดือนร้องไห้
“ออกไป...ออกไป...ฉันไม่อยากเห็นหน้าคนทรยศ”
“พี่เดือน ใคร...ใครทรยศ”
ปานฟ้ามองอนิรุทธิ์
“ผมจะไปตามพยาบาลมาให้ครับ”
อนิรุทธิ์ออกไป ปานฟ้ากอดปานเดือนไว้
“เชื่อฟ้านะคะพี่เดือน ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องดีขึ้นค่ะ ไม่มีใครทำร้ายพี่เดือนได้อีกแล้ว ฟ้าสัญญา ฟ้าจะดูแลพี่เดือนเอง”
ปานเดือนพูดเสียงสั่น
“จริงๆนะ ฟ้าสัญญากับพี่นะ”
“จริงสิคะพี่เดือน”

ปานฟ้ากอดพี่สาวอย่างปลอบใจ










Create Date : 02 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2555 15:26:44 น.
Counter : 220 Pageviews.

0 comment
ดุจดาวดิน ตอนที่ 3 (ต่อ)



ดุจดาวดิน ตอนที่ 3 (ต่อ)

พิมเปิดประตูห้องปานดาวเข้ามา ปานดาวตะคอกใส่หน้าทันที

“ไหนว่าไอ้พ่วง มันพาเจ้าทินภัทรไปขายที่ชายแดนแล้วไง ทำไมมันถึงกลับมาที่นี่อีก”
ภูวดลยืนอยู่ที่มุมหนึ่ง มองไปที่ปานดาว พิมจ๋อยไป
“ไอ้พ่วงมันบอกยังงั้นนี่คะคุณดาว...”
“ทำไมแกไม่บีบคอมันให้ตายคามือเลยนะนังพิม ฉันจะได้สบายใจไม่ต้องห่วงว่าลูกนังเดือนมันยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า”
“แต่เด็กบุญทิ้ง คงไม่ใช่คุณทินภัทรหรอกค่ะ”
ภูวดลเห็นด้วย
“ใช่...มันจะเป็นทินภัทรไปได้ยังไง มันก็แค่เด็กข้างถนนพ่อแม่เอามาทิ้งไว้เท่านั้นแหละ อย่าคิดมากเลยน่าคุณดาว”
ปานดาวตวัดสายตาไปยังสามี พูดเสียงเครียด
“ฉันอดคิดไม่ได้นี่ อย่าลืมว่าเราทำทุกอย่างเพื่อให้ ธัญวิทย์ลูกของเราได้สมบัติทั้งหมดของคุณพ่อ ไม่ใช่สิของตระกูลเลยละ ฉันจะไม่ยอมให้ไอ้เด็กนั่นมาเป็นมารขวางทางร่ำรวยของตาธัญวิทย์ได้หรอก”
พิมเผลอยิ้มขึ้นมา
“ใช่ค่ะ คุณดาว”
ปานดาวหันไปเห็นก็แหวใส่
“ใครใช้ให้แกออกความเห็น หา นังพิม”
“ก็พิมดีใจแทนลูก เอ๊ย...คุณธัญวิทย์นี่คะ”
ปานดาวยื่นหน้าไปใกล้ ตาดุวาว
“อย่าปากสว่างไปล่ะ นอกจากธัญวิทย์จะไม่ได้อะไรแล้วอะไรแล้ว แกก็จะไม่มีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ด้วย จำใส่สมองกลวงๆ ของแกไว้ นังพิม”
พิมก้มหน้าซ่อนความเคียดแค้นไว้ในใจ ธัญวิทย์เปิดประตูเข้ามา ปานดาวรีบปรับอารมณ์ทันที
“ลูกธัญวิทย์ ทำไมไม่ไปเล่นห้องคุณตาล่ะคะ”
“คุณตาอยู่กับไอ้เด็กข้างถนนที่ในสวน...”
ปานดาวอึ้งไป
“อะไรนะ...พิม พาคุณธัญวิทย์ไปเล่นข้างนอกก่อน”
“ไปเล่นกับพิมนะคะ...”
“ไม่...”
“อย่าดื้อสิคะคุณธัญวิทย์”
ธัญวิทย์หันไปต่อรองกับแม่
“พรุ่งนี้คุณแม่ต้องพาผมไปเที่ยวนะครับ คุณแม่สัญญาก่อน”
“จ้ะ แม่สัญญา...”
“งั้นก็ไปเล่นกับพิมนะคะ”
พิมพาธัญวิทย์ออกไปปิดประตู ปานดาวก็โผมาที่หน้าต่างทันทีเห็นเติมบุญนั่งอยู่กับบุญทิ้ง มีป้าแก้วนั่งอยู่ด้วย
“คุณ หาทางทำอะไรสักอย่างสิ...ฉันไม่สบายใจเลย...เราจะปล่อยให้นังเดือนเอาเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้า มาอุปโลกน์ว่าเป็นลูกที่หายสาบสูญไปไม่ได้”
“ทำไมถึงคิดว่าปานเดือนจะทำยังงั้น”
ปานดาวพูดด้วยความน้อยใจ
“นังเดือนมันไม่คิดหรอก แต่คุณพ่อคุณแม่รักนังเดือนมาก ยิ่งมันมาเสียสติยังงี้ ท่านก็ยิ่งสงสารมัน คิดดูสิ หากรับไอ้เด็กบ้านั่นเข้ามาแล้วทำให้ยัยเดือนมีอาการดีขึ้น มีหรือที่คุณพ่อคุณแม่จะไม่ทำ”
ภูวดลเริ่มเห็นด้วยกับภรรยา
“จริงสิ ผมลืมไป...ถ้างั้นเราต้องหาทางกำจัดไอ้เด็กนั่นให้พ้นทางของเรา ไม่ต้องห่วงหรอก ตัวแค่นั้น มันไม่รอดมือผมไปได้หรอก...”
ปานดาวมองลงไป ก็เห็นเติมบุญเอ็นดูบุญทิ้งอยู่ มีป้าแก้วอยู่ข้างๆ
“ดูสิ...คุณพ่อโอ๋มันยังกะเป็นทินภัทรตัวจริง โอ๊ย...แค่เห็นฉันก็จะประสาทตายอยู่แล้ว ทำไงดีคะภู”

เติมบุญคุยกับบุญทิ้ง ป้าแก้วนั่งอยู่ใกล้ๆ
“บุญทิ้ง...ถ้าอยากมาบ้านตาก็บอกนะ ตาจะให้รถไปรับ”
บุญทิ้งชะงักไป
“ตา...”
เติมบุญยิ้มเอ็นดู ลูบผมบุญทิ้ง
“ก็เรียกตาว่าตาไง...หรือว่าบุญทิ้งไม่อยากเป็นหลานตา”
บุญทิ้งยิ้มดีใจ
“อยากสิครับ...”
ป้าแก้วยิ้ม บอกบุญทิ้ง
“งั้นก็ไหว้คุณตาซะสิ ขอบคุณท่านด้วยที่ท่านเมตตาเราบุญทิ้งไหว้เติมบุญ”
บุญทิ้งยกมือไหว้
“ขอบคุณครับคุณตา...”
ธัญวิทย์กับพิมยืนอยู่ พิมหน้าเครียด
“เห็นมั้ย คุณธัญวิทย์ ไอ้เด็กขอทานนั่นมันกำลังจะแย่งความรักจากคุณตา ไปจากคุณธัญวิทย์”
ธัญวิทย์หน้าบึ้งตึง เดินมาแล้วตบหัวบุญทิ้งอย่างแรง
“โอ๊ย...”
ป้าแก้วตกใจ
“ว้าย...”
เติมบุญไม่พอใจ
“ธัญวิทย์ทำไมทำยังงี้ ไปเอานิสัยก้าวร้าวมาจากใคร...ลูกหลานตาจะต้องไม่เป็นคนยังงี้...ใครสั่งใครสอนให้เราทำยังงี้...หา”
เติมบุญโกรธจนตัวสั่น พิมกอดธัญวิทย์หน้าเสียไป
“คุณธัญวิทย์ ไม่ได้ตั้งใจค่ะคุณท่าน”
“ไม่ใช่เรื่องของแก...นังพิม” เติมบุญหันไปดุธัญวิทย์ “นิสัยเสียยังงี้ ระวังตาจะไม่รักเรานะ ธัญวิทย์”
พิมหน้าเสีย ธัญวิทย์สะบัด
“คุณตาไม่รักผม ผมก็ไม่รักคุณตา...”
ธัญวิทย์จะตบหัวบุญทิ้งอีก แต่ป้าแก้วตีมือ ธัญวิทย์สะบัดมือเร่าๆ
“นังแก้ว ผมจะฟ้องแม่”
เติมบุญโมโหมาก
“พูดไม่เพราะอีก...ยัยพิม จับตัวเจ้าธัญวิทย์ไว้ ฉันจะตีสั่งสอนมัน”
พิมไม่ยอม กอดธัญวิทย์ไว้แน่น
“อย่าทำอะไรคุณธัญวิทย์เลยค่ะ...แกยังเด็ก”
“ปล่อยนังพิม...” เติมบุญตวาด
สายอุษาวิ่งมา
“อะไรกันคะคุณ...”
“คุณยายช่วยด้วย...ช่วยผมด้วย ฮือๆๆ คุณตาจะตีผม”
ธัญวิทย์สะบัดออกจากพิมไปกอดสายอุษาหลบหลัง เติมบุญโมโหมาก
“ตัวแค่นี้นิสัยเกเรแล้ว ต่อไปจะเป็นคนดีกับเขาได้ยังไง...”
ปานดาวมองมาที่หน้าต่าง เห็นธัญวิทย์ร้องไห้ก็หน้าเสียไป
“เร็วเข้าคุณ ไอ้เด็กนั่นก่อเรื่องแล้ว โธ่ ธัญวิทย์ลูกแม่”
ปานดาวออกไป ภูวดลรีบตามไป

เติมบุญจะตีแต่ธัญวิทย์หลบรอบกายสายอุษา ร้องไห้ พลางตะโกน
“คุณตาใจร้าย คุณยายช่วยวิทย์ด้วย...ช่วยด้วย...”
“คุณคะ ค่อยๆ พูดกันนะคะ”
“ขืนปล่อยไป โตขึ้นมันจะนิสัยเสีย”
เติมบุญตีถูกธัญวิทย์หนึ่งที ธัญวิทย์สะบัดวิ่งหนีไปหาภูวดลกับปานดาวที่วิ่งมา ปานดาวโกรธมาก
“คุณพ่อ ตีลูกของดาวทำไมคะ”
“ก็ตีให้มันเป็นเด็กดีน่ะสิ...”
“คุณแม่ คุณตาตีผม...ฮือๆๆ”
พิมหน้าเครียด มองเติมบุญ สายตาไม่พอใจ ภูวดลหันไปสั่งพิม
“พาตาธัญวิทย์ไปที่ห้องก่อน ไปสิ”
“ค่ะ คุณภู...ไปสิคะคุณธัญวิทย์ เดี๋ยวคุณแม่ก็จัดการให้เองแหละค่ะ”
ธัญวิทย์มองไปที่บุญทิ้ง ซึ่งอยู่กับป้าแก้ว บุญทิ้งหน้าเสียไป
“คุณพ่อเห็นไอ้เด็กกำพร้าสกปรกดีกว่าหลานแท้ๆเหรอคะ ดาวจะได้รู้ว่าดาวกับลูกไม่มีความหมายในสายตาคุณพ่อ...”
“ยัยดาว...อย่าพูดกับคุณพ่อยังงั้น” สายอุษาปราม
“ดาวจะพูด ตาวิทย์เป็นลูกดาวนะคะ ดาวก็ต้องปกป้อง ลูกดาวไม่ผิด”
“ผิดสิ ผิดที่แกรักลูกในทางผิดๆ ไง เพาะเชื้อให้มันเป็นคนชั่วช้าสารเลว...” เติมบุญปรายตาไปทางภูวดล “เลือดข้างฉันไม่มีแบบนี้หรอก”
ภูวดลไม่พอใจ รู้ว่าเติมบุญกระแทกใส่ตัวเอง ปานดาวไม่ฟังเสียง ตรงเข้าไปกระชากตัวบุญทิ้งออกมา ป้าแก้วร้องออกมาสุดเสียง
“ว้าย...อะไรกันคะคุณ”
ปานดาวไม่ฟัง ตีบุญทิ้งไม่นับ บุญทิ้งร้องไห้จ้าเสียงดังลั่น เติมบุญตวาด
“หยุด...ฉันบอกให้หยุด...ยัยดาว แกหยุดเดี๋ยวนี้นะ”
ปานดาวไม่ฟัง ป้าแก้ววิ่งเข้ากระชากมือของปานดาวออกมา แต่ภูวดลกระชากป้าแก้วเซออกไป
“อย่ายุ่ง...อีแก่”
“หยุด...หยุด” เติมบุญหน้านิ่ว เสียงขาดหาย “ฉัน บอก...ให้ ห...หยุด...”
เติมบุญจะเป็นลมหมดสติ สายอุษาเห็นท่าสามีไม่ดีก็ร้องขึ้น
“คุณคะ คุณ...โอ๊ย ช่วยด้วย...”
ปานดาวหันมา เห็นพ่อจะเป็นลม ก็ปล่อยบุญทิ้งจนล้มลง ร้องไห้จ้า...ป้าแก้วรีบเข้ามาประคองเติมบุญออกไป สายอุษาช่วยอยู่ข้างๆ ภูวดลรีบยุเมีย
“ไปดูคุณพ่อ...ไปสิ”
ปานดาวรีบตามไป
“คุณพ่อขา...คุณพ่อเป็นยังไงคะ...”
ปานดาวพยายามจะเข้าไป ช่วยแต่สายอุษาหันมาจ้องหน้า
“หลีกไปยัยดาว...”
ปานดาวยืนนิ่งมองตามกลุ่มของสายอุษาไป ดวงตาเคียดแค้น ภูวดลจับตัวบุญทิ้งขึ้นมา เขย่า ตวาดใส่
“ไสหัวแกออกไปจากบ้านนี้ ก่อนที่ฉันจะบีบคอแกตายคามือ...ไป๊...”
ภูวดลผลักบุญทิ้งออกห่าง บุญทิ้งเซไปแล้วยืนสะอึกสะอื้น ภูวดลเงื้อมือจะฟาดบุญทิ้งรีบวิ่งไป พลางเช็ดน้ำตาสะอึกสะอื้น ภูวดลยืนมองสะใจ

อนิรุทธิ์เข้าไปที่โรงพยาบาล ตรงไปที่แผนกจิตเวช เขาเดินด้วยความเร่งรีบผลักประตูเข้าไป ปานเดือนนอนหมดสติอยู่ ปานฟ้ากับภาคินยืนคุยกับหมอปรัชญาอยู่
“พี่รุทธิ์มาพอดีเลย ฟ้ากับคุณภาคินจะต้องรีบกลับไปรับบุญทิ้ง”
“ไม่เป็นไร พี่อยู่กับเดือนได้...” อนิรุทธิ์หันไปถามปรัชญา “หมอครับ คุณเดือนเป็นยังไงบ้างครับ”
“คนไข้กระทบกระเทือนจิตใจอย่างแรง ระยะนี้ต้องระวัง หมอเกรงว่าหลังจากหายจากอาการคลุ้มคลั่งแล้วคนไข้ อาจเข้าสู่ระยะที่เรียกว่าซึมเศร้า ถึงตอนนั้นอาจมีอาการหลงผิด”
ปานฟ้าชะงักอึ้ง
“หลงผิด...เป็นยังไงคะ”
“ก็อาจจะเห็นภาพหลอน หรือหูแว่วได้ยินเสียงอะไรบางอย่างบางทีก็อาจจะคิดวนเวียนอยู่กับเรื่องในอดีต...ตอนนี้ฉีดยาให้แล้วตื่นขึ้นมาก็คงดีขึ้น พรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้”
อนิรุทธิ์มองปานเดือน สงสารจับใจ จับมือบีบเบาๆ
“โธ่ คุณเดือน...”
ปานฟ้ากับภาคินสบตากัน
“ผมว่าเราไปกันเถอะครับ ป่านนี้บุญทิ้งคงรอแย่แล้ว”
“ฝากพี่เดือนด้วยนะคะ พี่รุทธิ์”
“ผมต้องดูแลคุณเดือน เท่าชีวิตของผมอยู่แล้วละครับ...”
ปานฟ้ากับภาคินยิ้มแล้วออกไป อนิรุทธิ์จับมือปานเดือน
“คุณเดือน หายไวๆ นะครับ...”

ขณะที่พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน บุญทิ้งเดินร้องไห้ไปตามริมถนน รถราแล่นมาฉวัดเฉวียน บุญทิ้งเหลียวมองไปรอบๆ เป็นสถานที่ ตนไม่รู้จักบุญทิ้ง น้ำตาไหลพราก
ทางด้านเติมบุญนอนเหยียดยาวอยู่ที่โซฟา ป้าแก้วเอายาดมอังที่จมูกให้ สายอุษาบีบนวดให้
“คุณคะ คุณอย่าเป็นอะไรไปนะคะ”
ปานดาวกับภูวดลเข้ามา
“นี่ถ้าไม่เป็นเพราะคุณพ่อ หลงผิดไปโอ๋ไอ้เด็กบ้านั่นเข้า คุณพ่อก็คงไม่เป็นยังงี้หรอก...”
“หยุดพูดเถอะยัยดาว แม่ไม่อยากได้ยิน”
“แต่ดาวพูดความจริงนี่คะ...”
สายอุษาหันขวับมาเห็นปานดาวยืนอยู่ ภูวดลยืนอยู่ไม่ห่าง
“ฉันบอกให้แกหยุด แล้วก็ไปให้พ้นหน้าฉันด้วย ไปสิ”
ปานดาวทำท่าจะตอบโต้ แต่ภูวดลจับแขนปานดาวไว้ ห้ามไม่ให้พูด เติมบุญลืมตาขึ้น พูดแผ่วเบา
“บุญทิ้งล่ะ...บุญทิ้ง...”
“โอ๊ย...ป่านนี้เตลิดไปไหนแล้วก็ไม่รู้...”
สายอุษาหันมาทางปานดาว ภูวดลยักไหล่ แล้วเดินออกไป
“เด็กมันรู้ค่ะว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านมัน....มันก็ต้องไปตามทางของมันสิคะคุณแม่...”
ปานดาวออกไป เติมบุญหน้าเสียไป
“แก้ว...ไปดูบุญทิ้งซิ”
ป้าแก้วอึกอัก
“เอ้อ...เอ้อ...”
สายอุษา
“ไปสิ...”
ป้าแก้วรีบลุกไป เติมบุญบอกกับสายอุษา
“ผมรู้สึกว่าเด็กคนนี้คือทินภัทร...หลานของเรา”
สายอุษาส่ายหน้า
“มันจะเป็นไปได้ยังไงคะคุณ...”

ป้าแก้วออกมาดูที่หน้าบ้าน มองหาบุญทิ้งแต่ไปเห็นพิมยืนอยู่ พิมมองยิ้มเยาะ
“ตามหาไอ้เด็กไม่มีพ่อมีแม่เหรอป้า”
“แกไม่มีสิทธิ์ไปว่าคุณหนูบุญทิ้งยังงั้น นังพิม...”
“นี่เรียกมันว่าคุณหนูเลยเหรอ”
“เห็นหรือเปล่าล่ะ”
“มันคงไปตามหาพ่อหาแม่มันแล้วมั้ง มันไปแล้วจะอาลัยอาวรณ์อะไรกันนักกันหนา”
ป้าแก้วเดินเข้ามาหา ท่าทางเอาจริง พิมถอยกรูดไป
“หะ...อะไรกันป้า”
“ข้าน่ะไม่ได้เป็นคนอาลัยอาวรณ์หรอกโว้ย แต่คุณท่านต่างหาก ปากเสียยังงี้ จะให้ข้าฟ้องคุณท่านมั้ยนังพิม”
พิมเท้าเอวลอยหน้า ไม่กลัว
“เชิญขี่ม้าสามศอกไปบอกเถอะย่ะ”
พิมสะบัดหน้าเดินไป แก้วมองตามด้วยสายตาเคียดแค้น

ปานฟ้ารับโทรศัพท์ ภาคินขับรถอยู่ข้างๆ
“อะไรนะป้า...เป็นไปได้ยังไง...” ปานฟ้าตกใจ
ป้าแก้วพูดโทรศัพท์น้ำตาไหลพราก
“นี่ป้ายังไม่รู้จะบอกท่านยังไงเลยค่ะว่าเด็กบุญทิ้งหายไปแล้ว...”
ปานฟ้าหันมาทางภาคิน หน้าเสียไป ทั้งสองสบตากัน กังวลอย่างเห็นได้ชัด
“ใจเย็นๆ นะคะ บอกท่านว่าคุณภาคินมารับแกไปแล้วดีกว่า ท่านจะได้ไม่เป็นห่วง...”
ป้าแก้วยิ้มออกมาได้
“ค่ะๆๆ ดีเหมือนกัน...”
ปานฟ้าหันไปบอกภาคิน
“บุญทิ้งหายไปจากบ้านค่ะ”
ภาคินหันขวับมาที่ปานฟ้าทันที
“อะไรนะ”

ค่ำนั้น...ดวงจันทร์สุกสกาวบนฟ้า ปานดาวทิ้งตัวลงบนที่นอน หน้าเครียด
“คุณพ่อหลงคิดว่าไอ้เด็กนั่นเป็นทินภัทร มีหวังว่าจะต้องเอามันมาเชิดชูอยู่ในบ้านนี้แน่...ทำไงดีล่ะคะภู”
“ผมไม่น่าขู่มันเลย ป่านนี้ไม่รู้เตลิดไปไหนแล้ว...เราต้องหาทางทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้มันมาที่นี่ได้”
พิมเข้ามา ปานดาวถามทันที
“ธัญวิทย์นอนแล้วเหรอ”
“ค่ะ...คุณธัญวิทย์บอกว่าให้เรียนคุณดาวด้วยว่าพรุ่งนี้ อย่าลืมพาเธอไปเที่ยว...”
“ฉันมีสติหรอก รู้ว่ารับปากอะไรไว้กับลูก อย่าสะเออะมาเตือน...แล้วนี่เสนอหน้าเข้ามาทำไม”
พิมก้มหน้าคับแค้นใจ ภูวดลมองไปที่น้องสาวรู้สึกสงสาร
“มีอะไรเหรอพิม”
“คุณปานฟ้ายังไม่กลับมาเลยค่ะ พิมว่าคงไปตามหาเด็กบุญทิ้งนั่น”
ปานดาวนิ่งคิด แล้วยิ้มออกเมื่อนึกบางอย่างได้ คว้าโทรศัพท์มากด

ก้องภพแต่งตัวลงบันไดมา วิมลวรรณซึ่งกำลังเปิดกล่องเพชรดู ปราดไปหา
“ก้องภพจะไปไหนลูก ดึกแล้วนะ”
“ผมจะไปบ้านปานฟ้า”
วิมลวรรณยิ้มดีใจ
“ต๊าย...นี่แม่ดีใจจริง ๆเลย ความรักของลูกกับปานฟ้าคืบหน้าไปถึงขนาด นัดพบกันตอนกลางคืนแล้วเหรอแล้วนี่ บอกรักเขาหรือยังล่ะ”
ก้องภพได้ยินอย่างนั้นก็หงุดหงิดทันที
“ผมรีบ...”
“ก้องภพ...จะรีบอะไรนักหนา แหม คนหนุ่มก็ยังงี้แหละ เรื่องแบบนี้ปรึกษาแม่ได้นะ...แม่น่ะผ่านความรักมาก่อน รู้ดีว่าผู้หญิงอย่างปานฟ้าที่กำลังหลงรักลูกของแม่น่ะกำลังรู้สึกยังไง”
ก้องภพตวาดใส่แม่
“มันไม่ใช่อย่างที่คุณแม่เข้าใจ...แต่ตอนนี้ปานฟ้ากำลังไปไหนต่อไหนกับไอ้ภาคิน”
วิมลวรรณแหวขึ้นมาทันที
“ไอ้ภาคิน...”
อานนท์เดินออกมาจากด้านใน มองไปที่ก้องภพกับวิมลวรรณ
“แม่มันก็เป็นมารหัวใจของแม่คนหนึ่งแล้ว นี่มันยังจะมาเป็นมารหัวใจของลูกอีกเหรอ”
อานนท์เดินมาหา
“หนูปานฟ้าเขาบอกรักแกหรือยัง ก้องภพ”
“คุณพ่อถามทำไม”
“ถ้ายัง หนูปานฟ้าก็ยังมีสิทธิ์ที่จะเลือกคบใครก็ได้”
วิมลวรรณไม่พอใจรุนแรง
“แต่ใครคนนั้นต้องไม่ใช่ไอ้ภาคิน”
“แล้วถ้าเป็นภาคินล่ะ”
“ฉันไม่ยอม...ก้องภพจะแพ้มันไม่ได้ ไม่ว่าเรื่องอะไรทั้งนั้น อย่าลืมสิคะว่าก้องภพเป็นลูกของเรา”
“ภาคินมันก็ลูกผมเหมือนกัน...”
วิมลวรรณโมโห ผลักอานนท์ด้วยอารมณ์รุนแรง อาละวาด
“ก็แค่ไอ้ลูกแม่ทิ้ง ลูกติดจากผู้หญิงไร้สกุลรุนชาติ เป็นลิเกเร่ไปเร่มาไม่รู้นอนกับใครมาบ้าง คุณก็ยังคิดยกมาเชิดชูเป็นลูกออกหน้าออกตา รู้มั้ยว่าคนในสังคมเขาพูดถึงคุณว่ายังไง...บอกตรงๆว่าฉันไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว”
“ก็ไว้ที่บ่าคุณไง หรือถ้าที่ไว้ไม่ได้ ก็บอกจะหาให้”
วิมลวรรณกรี๊ด แล้วตรงเข้าทุบอานนท์ไม่นับ ก้องภพส่ายหน้าเดินออกไป วิมลวรรณกำลังจะด่าอานนท์หันไปมองแล้ววิ่งตามไป
“ก้องภพ...ถ้าเจอหน้ามันก็ไม่ต้องปรานีมันเลยนะลูก กระทืบมันให้ตายต่อหน้าหนูปานฟ้าเลยยิ่งดี”
“คุณแม่ได้เห็นมันยับเยินกลับมาแน่...ฮึ่ม...”
ก้องภพออกไป วิมลวรรณยิ้มเยาะ หันมามองอานนท์
“คุณหญิงควรจะยุติธรรมบ้าง เจ้าภาคินมันไม่เคยทำความเดือดร้อนให้เรา มีแต่ก้องภพแหละ เรียนก็ไม่จบงานการก็ไม่ทำ เอาแต่ผลาญเงินไปวันๆ”
อานนท์เดินไป วิมลวรรณระเบิดอารมณ์ตามไป
“ใช่ซี้ ไหนจะประเสริฐเลิศเลอเท่าลูกลิเกเร่ใจง่ายอย่างไอ้ภาคินล่ะ”
ทั้งสองคนจ้องหน้ากัน

ปานฟ้ากับภาคินขับรถมา พลางมองหา
“ถ้าหาบุญทิ้งไม่เจอ พี่เดือนคงอาการทรุดหนักลงกว่านี้อีก โธ่...”
ภาคินหันมามองหน้าปานฟ้า
“ใจเย็นๆครับ ผมเชื่อว่าเราต้องตามหาแกพบ...”
ทันใดนั้น ทั้งสองเห็นคนมุงอยู่กลางถนน ภาคินชะลอรถแล้วจอดริมทาง
“คงอุบัติเหตุน่ะ...”
ภาคินลงไปจากรถ ปานฟ้าตามไปติดๆ ทั้งสองแหวกกลุ่มคนเข้าไป เสียงชาวบ้านคุยกันอยู่
“ชนแล้วหนี...ตายหรือเปล่าวะ”
“นั่นสิ...”
ปานฟ้ากับภาคินเห็นเด็กตัวเท่าบุญทิ้งนอนคว่ำหน้าอยู่ เลือดเต็มตัว ปานฟ้า ตกใจมาก
“หา...บุญทิ้ง...”
ภาคินปราดไปอุ้มเด็กชายขึ้น แต่พอหงายหน้าขึ้น เป็นเด็กอื่น ไม่ใช่บุญทิ้ง ปานฟ้าระบายลมหายใจจะเป็นลม ภาคินอุ้มเด็กขึ้นมา
“หลีกหน่อยครับ...”
ภาคินอุ้มเด็กไปที่รถ ปานฟ้าวิ่งตามไป ปานฟ้าเปิดประตูรถเบาะหลังให้ ภาคินเอาเด็กใส่ไว้ที่เบาะหลัง

ปานฟ้านั่งซึมอยู่ที่เก้าอี้ในโรงพยาบาล ภาคินเดินมา ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ
“แกถึงมือหมอแล้ว...คงไม่เป็นอะไรแล้วละ...”
ปานฟ้าหันมา น้ำตาไหลพราก
“เราจะเจอบุญทิ้งมั้ยคะ...”
“ต้องเจอสิ” ภาคินจับมือปานฟ้า “กลับบ้านก่อนเถอะครับ คุณพ่อคุณแม่ของคุณจะเป็นห่วง ระหว่างที่คุณปานเดือนยังอยู่โรงพยาบาล เราอาจจะโชคดีได้พบแก”

ปานฟ้าพยักหน้า

ปานฟ้ากับภาคิน ขับรถผ่านป้ายรถเมล์แต่ไม่เห็นบุญทิ้งซึ่งนั่งร้องไห้เบาๆ อยู่ รถแล่นผ่านไป

“ผมคงต้องให้เจ้าตุลย์ช่วยตามหาบุญทิ้งด้วย”
“ดีค่ะ...เราให้รางวัลคนที่พบตัวแกดีมั้ยคะ เผื่อว่าจะมีคนช่วยตามหาแกอีกแรง”
“อย่าเพิ่งเลยครับ ตำรวจพอจะรู้ว่าเด็กเร่ร่อนอยู่ที่ไหน ผมเกรงว่ารางวัลที่จะให้จะกลายเป็นแรงจูงใจพวกมิจฉาชีพ...”
“จริงด้วย...ฉันลืมคิดไป” ปานฟ้ามองออกไปด้านนอก “ขอให้เจอบุญทิ้งทีเถอะ”
ปานฟ้ากังวล

ที่มูลนิธิ...เฟื่องแก้วผุดลุกผุดนั่ง หันมองที่หน้าต่างก็ไม่เห็นภาคินมา
“คุณภาคิน นี่คุณไม่รู้จักหัวใจของแก้วเลยเหรอคะว่าแก้วคิดยังไงกับคุณ”
เฟื่องแก้วถอนใจ ลุกไปที่หน้าต่าง แรงหึงบวกกับความเป็นห่วงทำให้เฟื่องแก้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ทำท่าจะกดแต่แล้วก็เปลี่ยนใจ โยนโทรศัพท์มือถือลงบนเตียงอย่างหงุดหงิด
ทางด้านภาคินขับรถมาจอดที่หน้ารั้วบ้านของปานฟ้า แสงไฟจากหน้ารถเห็นรถคันหนึ่งจอดขวางอยู่ ภาคินมองไปก็รู้ว่าเป็นรถของก้องภพ
“ก้องภพ”
ก้องภพเดินออกมายืนขวางไว้ ภาคินกับปานฟ้ามองหน้ากัน ปานฟ้าลงจากรถ ตรงไปหาก้องภพ ภาคินตามออกมา ก้องภพถลามาต่อย ภาคินไม่ทันระวังตัว เซไป ปานฟ้าตกใจ
“หยุดนะ อย่ามาทำตัวนักเลงแถวนี้...”
ก้องภพหันมาเสียงดังใส่ปานฟ้า
“นักเลงเหรอ ผมไม่ฆ่ามันก็ดีเท่าไหร่แล้ว...”
ก้องภพปราดไปต่อยภาคิน แต่คราวนี้ภาคินสู้ ก้องภพถูกต่อยล้มลงไป ปานฟ้ายืนตะลึง
“กลับไปเถอะค่ะ คุณก้องภพ ไม่งั้นฉันจะเรียกตำรวจมาจัดการ”
“ดีสิ จะได้จับไอ้แมวขโมยนี่เลย”
“ไม่ใช่ ข้อหาบุกรุกต่างหาก...”
ก้องภพอึ้งไป
“ปานฟ้า แล้วไอ้ภาคินล่ะ”
“เขาเป็นแขกของฉันค่ะ เชิญ...”
ก้องภพมองภาคินกับปานฟ้าอย่างแค้นๆ กุมแผลที่ปากเข้าไปในรถ ภาคินถอยรถห่างออกไป ก้องภพมองดูรถของภาคิน ที่หลีกให้รถของตนอย่างเครียดแค้น
“ไอ้ภาคิน”
ก้องภพถอยรถแล้วขับไปอย่างเร็ว ปานฟ้าถามภาคินด้วยความเป็นห่วง
“เจ็บหรือเปล่าคะ”
“นิดหน่อยครับ...”
“คุณเจ็บตัวเพราะฉัน หลายหนแล้วนะคะ...”
ปานฟ้ากับภาคินสบตากัน ระบายยิ้มสื่อถึงกันด้วยความเข้าใจ

ภาคินเข้ามาในบ้านเห็นวิมลวรรณยืนหน้าเครียดรออยู่ก็ชะงัก วิมลวรรณเข้ามาตบหน้าภาคินอย่างแรง
“เนรคุณ”
ภาคินกุมหน้าตกใจ
“คุณแม่...”
“ฉันไม่ใช่แม่แก...เมื่อไหร่จะจำใส่กะโหลกซะที...”
อานนท์เดินเข้ามา
“คุณหญิง...”
วิมลวรรณหันมา แหวใส่สามี
“ฉันพูดผิดตรงไหนเหรอคะคุณ...ก็ฉันไม่ได้เบ่งมันออกมานี่ ฉันจะเป็นแม่มันได้ยังไง คุณก็รู้ว่าฉันกับแม่มันต่างกันราวฟ้ากับดิน ผู้ดีอย่างฉัน ไม่มีวันเป็นผู้หญิงใจง่ายอย่างแม่มันหรอก”
ภาคินมองหน้าวิมลวรรณ ทนไม่ได้ เดินไปทันที วิมลวรรณหัวเราะ
“ทำไม...ยอมรับความจริงไม่ได้เหรอไง เจ้าภาคิน”
อานนท์จับตัววิมลวรรณเขย่า ตะคอกใส่หน้า
“ใช่...คุณหญิงพูดถูก แม่ของภาคินเทียบกับคุณหญิงไม่ได้หรอกต่างกันราวฟ้ากับดิน ตรงที่แม่ของภาคินแสนดี ส่วนคุณหญิงน่ะชั่วช้าจนหาใครมาเปรียบไม่ได้ต่างหากล่ะ”
วิมลวรรณสะบัดผลักไสอานนท์
“คุณ...นี่คุณด่าฉันเหรอ”
“ใช่”
อานนท์เดินไป วิมลวรรณกรี๊ดตามหลัง คับแค้นใจ
“บ้าเอ๊ย”
ภาคินยืนซึมอยู่ในห้อง ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“คุณภาคินคะ ป้านุ่มเองค่ะ”
“เข้ามาสิป้า...”
ป้านุ่มเปิดประตูเข้ามา
“คุณหนูอย่าคิดมากนะคะ คุณหญิงท่านก็อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆอย่างนี้แหละ...ว่าแต่ทำไมถึงได้ลงไม้ลงมือกันล่ะคะ”
“ป้าเลี้ยงผมมา ป้าก็ทราบว่าผมไม่เคยทำใครก่อน”
“ป้ารู้...แล้วคุณหนูเจ็บหรือเปล่าคะ”
ภาคินมองไปอย่างเศร้าๆ ส่ายหน้า
“ไม่เจ็บหรอกครับ แต่เจ็บใจมากกว่า ป้าครับ...ทำไมผมถึงไม่มีแม่เหมือนคนอื่น”
“มีสิคะ...ไม่มีใครหรอกค่ะที่ไม่มีแม่...ทุกคนก็ต้องมีแม่กันทั้งนั้น คุณหนูอย่าคิดมากสิคะ”
“ถ้างั้น แม่ผมก็คงเป็นผู้หญิงใจร้ายที่สุดในโลก ถึงได้ทิ้งลูกไปได้ลงคอ...”
ป้านุ่มตกใจ รีบยกมือห้าม
“อย่านะคะ...คุณหนู พูดยังงั้นจะบาปค่ะ...เชื่อป้านะคะสักวัน คุณหนูจะได้พบหน้าแม่ แล้วคุณหนูจะทราบว่า เธอเป็นคนดีที่สุดในโลก แล้วก็เป็นแม่ที่รักลูกไม่น้อยไปกว่าแม่คนอื่น...คุณหนูพักผ่อนนะคะ...”
“ครับ ป้า ผมยังโชคดีที่บ้านนี้ยังมีป้านุ่มเป็นคนคอยให้กำลังใจผม...”
ป้านุ่มเดินมาป้ายน้ำตาออกมาจากห้องภาคิน เธอสงสารเขาเหลือเกิน
“คุณหนูขา...คุณหนูจะรู้หรือเปล่าคะว่าคุณแม่ของคุณหนูก็รักและห่วงคุณหนูยิ่งกว่าใคร”
ป้านุ่มชะงัก เมื่อเห็นอานนท์ยืนขวางอยู่ ป้านุ่มก้มหน้า ค้อมตัวจะเดินผ่านไป
“นุ่ม...”
“ขา...”
“ไม่ได้ข่าวบุษบาบ้างเลยเหรอนุ่ม...”
ป้านุ่มอึกอักส่ายหน้า
“ไม่...ไม่ทราบเลยค่ะคุณท่าน...”
อานนท์พยักหน้า หน้าเศร้าๆ
“เธอจะรู้หรือเปล่านะว่าลูกชายของเธอน่ะเป็นหนุ่มแล้ว”
ป้านุ่มยิ้มเศร้าบางๆ มองอานนท์ด้วยความเห็นใจ ทันใดนั้นเสียงวิมลวรรณดังขึ้น
“อะไรกัน...”
อานนท์กับนุ่มหันไป ตกใจเมื่อเห็นวิมลวรรณยืนอยู่
“ถึงกับต้องปรับทุกข์กับคนใช้เลยหรือคะคุณพี่...หรือว่าหน้ามืด คิดพิศวาสนังนุ่มขึ้นมา”
ป้านุ่มหน้าเสีย อานนท์มองอย่างเกลียดชัง
“ผมนึกว่าปากคุณจะสกปรกอย่างเดียว ใจคุณก็สกปรกด้วย ทำตัวให้เป็นเทพธิดาเหมือนเวลาอยู่ในงานสังคมหน่อยสิ คุณหญิง”
อานนท์เดินไป วิมลวรรณเข็ดเขี้ยวเคี้ยวฟัน กำหมัดแน่น ไม่รู้จะตอบยังไง

ป้านุ่มเข้ามาในห้องพักรำพึงกับตัวเอง
“น่าสงสารคุณหนูจังเลย”
ป้านุ่มมองดูโทรศัพท์ หยิบขึ้นมามองแล้วตัดสินใจโทรหากัญญา

โรงลิเก เลิกจากการแสดงแล้ว เก้าอี้สำหรับผู้ชมยังตั้งเรียงรายอยู่ กัญญากดรับโทรศัพท์
“พี่นุ่ม...มีอะไรหรือจ๊ะ”
“แม่กัญญาเป็นยังไงบ้าง รู้มั้ยวันนี้คุณผู้ชายบ่นถึงเธอด้วยนะ...”
“ฉันไม่เคยนึกถึงเขาหรอกจ้ะ ห่วงก็แต่ตาหนูเท่านั้น...ภาคินเป็นยังไงบ้าง”
ป้านุ่มกลั้นน้ำตาไว้แทบไม่ได้ พูดเสียงเครือ ปิดบังความจริง
“คุณหนูสบายดี”
“ฉันอยากเจอพี่นุ่มจังเลย คิดถึง”
“ได้สิ...ที่เดิมก็แล้วกัน พรุ่งนี้นะจ๊ะ”
ช้อยยืนแอบฟังอยู่ กัญญาปิดโทรศัพท์หันมาเห็น
“คุยกับชู้รักหรือจ๊ะ แม่ครู...”
“ธุระของฉัน ไม่เกี่ยวกับเธอ”
“อ้าว ไหนว่าอยู่คณะเดียวกัน ควรจะรักกัน พอฉันถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใย กลับหาว่าฉันยุ่ง...โอ๊ย อย่าให้พี่ถมจับได้ก็แล้วกัน”
กัญญาไม่ใส่ใจเดิน ผ่านหน้าไป ช้อยกอดอกเบ้ปากให้อย่างไม่แคร์

เช้าวันใหม่...กัญญาแต่งตัวออกไปข้างนอก ถมออกมาเห็นจึงถามขึ้น
“จะไปไหนเหรอกัญญา”
“ไปตลาดน่ะพี่ถม พี่ถมจะฝากซื้ออะไรมั้ย”
“กับข้าวกับปลาก็เยอะแล้ว จะไปซื้ออะไรมาเพิ่มอีกรึ”
“เปล่าหรอกจ้ะ คือว่า...เอ้อ เมื่อคืนฉันฝันร้ายน่ะจ้ะ ก็เลยอยากจะไปถวายสังฆทานหน่อย...เดี๋ยวฉันก็กลับ”
ถมพยักหน้า ไม่ขัดข้อง กัญญาเดินไป ช้อยแอบมองอยู่

เฟื่องแก้วช่วยเด็กกวาดใบไม้อยู่ ภาคินขับรถเข้ามา เฟื่องแก้วเดินมาหา
“เมื่อคืนแก้วรอทั้งคืน ไม่เห็นคุณภาคินพาบุญทิ้งมาส่งที่นี่” เฟื่องแก้วมองไปที่รถ “แล้วบุญทิ้งล่ะคะ หรือว่าผู้หญิงคนนั้นเธอรับอุปการะบุญทิ้งเป็นลูกแล้ว...”
ภาคินส่ายหน้า
“บุญทิ้งหายไป เฟื่องแก้ว ช่วยโทรตามหมวดตุลย์มาพบผมหน่อยสิ ด่วนเลยนะ”
เฟื่องแก้วทำท่าจะถาม แต่แล้วตัดสินใจไม่ถาม
“ค่ะๆ”
ภาคินเดินเข้าไปในสำนักงาน เฟื่องแก้วหน้าเสียไป แล้วตรงรี่ไปที่โทรศัพท์
“ขอสายหมวดตุลย์หน่อยค่ะ”

ภาคินนั่งลงแล้วดูรูปถ่ายของบุญทิ้ง อย่างกังวล เฟื่องแก้วหยุดยืนอยู่ที่ประตู เขาเงยหน้าขึ้นมาถาม
“มีอะไรเหรอคุณแก้ว”
“คุณมีอะไรให้แก้วช่วยมั้ยคะ”
“ไม่ครับ ขอบคุณ...”
ภาคินก้มดูรื้อค้นแฟ้มอย่างเครียดๆ เฟื่องแก้วเข้ามายืนตรงหน้า
“หาอะไรเหรอคะ ให้แก้วช่วยมั้ยคะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
“แก้วเป็นคนทำหน้าที่จัดเอกสารทั้งหมดของที่นี่ บางทีแก้วอาจจะช่วยคุณภาคินได้นะคะ...”
ภาคินยิ้มบางๆ
“คุณแก้วไปดูเด็กๆ เถอะครับ...เดี๋ยวผมหาเอง...”
เฟื่องแก้วขยับจะถาม ภาคินยิ้มให้อีกครั้งเป็นเชิงเตือน ทำให้เธอต้องออกไปข้างนอก

เฟื่องแก้วเดินหน้าเครียดมา ผ่านเด็กๆที่วิ่งเล่นกันอยู่
“คุณภาคินนะคุณภาคิน ไม่เห็นความหวังดีของแก้วเลย”
เด็กคนหนึ่งวิ่งมาถามเฟื่องแก้ว
“พี่แก้วครับ บุญทิ้งหายไปไหนล่ะ หรือว่าบุญทิ้งเจอพ่อแม่แล้ว”
“คงเป็นยังงั้นมั้ง...”
“ดีจัง...บุญทิ้งได้เจอพ่อแม่แล้ว ผมสิ...เมื่อไหร่จะได้เจอพ่อกับแม่ก็ไม่รู้”
เด็กชายหน้าเศร้าไป เฟื่องแก้วขยี้ผมปลอบใจ
“คงอีกไม่นานหรอกจ้ะ ไปเล่นกับเพื่อนๆ ก่อนนะจ๊ะ”
“ครับพี่แก้ว...”
เด็กวิ่งไป เฟื่องแก้วมองออกไป พูดเบาๆ
“ถ้าได้เจอพ่อแม่แล้วก็คงดีนะ ผู้หญิงคนนั้นจะได้ไม่ต้องมาที่นี่อีก...”
ตุลย์เดินยิ้มเข้ามา
“หวัดดีครับ คุณแก้ว...”
เฟื่องแก้วหันไป ยิ้มเจื่อน
“เอ้อ สวัสดีค่ะ...”
“แหม...พอเห็นหน้าผมละก็หน้าซีดเชียว แสดงว่ากำลังแอบคิดถึงผมอยู่ละสิ...พอผมมาจริงๆ ก็เลยตกใจ...รู้มั้ยแบบนี้เขาเรียกว่าหัวใจของเราสองดวงมันถวิลหากัน...จริงมั้ยครับคุณแก้ว”
เฟื่องแก้วเชิดหน้าขึ้น
“วันไหนตกงาน ก็ไปเล่นลิเกนะคะคุณผู้หมวด”
“อ้าว...จ๋อยเลยเรา”
ตุลย์ยิ้มหน้าทะเล้น
“รึว่าไม่จริงล่ะ...”
“ผมพูดเป็นกับคนบางคนเท่านั้นแหละครับ...ผมไปก่อนดีกว่า ท่าทางเจ้าภาคินมันรีบร้อนมาก”
ตุลย์เดินไป เฟื่องแก้วระบายลมหายใจ
“นี่ถ้าเป็นคุณภาคินพูดหยอกล้อกับเรายังงี้บ้าง เราคงมีความสุขมากกว่านี้”

กัญญาเดินมาตามทาง ช้อยสะกดรอยตามมาไม่ห่าง กัญญาหันไป ช้อยรีบหลบ กัญญารีบเดินไปยังจุดนัดพบ
“นังนี่ ท่าทางมันแปลกๆ หรือว่ามันแอบคบชู้ ดีละนังช้อยจะได้รายงานให้พี่ถมรู้ พี่ถมจะได้ตาสว่างซะที ฮึ...”
ช้อยรีบเดินไปตามที่นัด

วิมลวรรณเดินมาที่โต๊ะอาหาร แต่ไม่เห็นใคร อาหารเช้าจัดวางไว้เรียบร้อย
“คนบ้านนี้เขาไม่รู้จักมารยาทหรือไง ถึงไม่ลงมาทานอาหารเช้า”
ป้านุ่มเดินออกมา
“คุณภาคินออกไปตั้งแต่เช้าตรู่แล้วล่ะค่ะ”
“ไปไหน...”
“อิฉันไม่ทราบค่ะ”
วิมลวรรณตวาดใส่ป้านุ่ม
“ทีหลังก็หัดถามซะบ้าง เอะอะก็ไม่ทราบ...ไม่ทราบน่ารำคาญ”
อานนท์เดินมา แต่งชุดทำงาน
“ทำไมไม่ถามถึงลูกชายสุดที่รัก ของคุณบ้างล่ะ”
“ก้องภพไม่สบาย โดนอันธพาลหัวไม้ทำร้ายเอา คุณก็รู้ยังจะให้ลูกรีบตื่นขึ้นมาทำไม ที่นี่บ้านก้องภพนะคะแกไม่ได้อาศัยใครอยู่ จะได้รีบตื่นมาเสนอหน้าเจ้าของบ้าน...”
“ภาคินก็ไม่ได้อาศัยใครอยู่เหมือนกัน”
อานนท์นั่งลง ป้านุ่มเปิดชามข้าวต้มร้อนๆ ซึ่งใส่ในชามกระเบื้องเนื้อดี มีฝาปิดไว้อย่างสวยงาม พร้อมช้อนกระเบื้องลายเดียวกันวางอยู่ข้างๆ อานนท์ไม่ใส่ใจ ตักข้าวต้มเข้าปาก วิมลวรรณนั่งลง ป้านุ่มเปิดฝาชามข้าวต้ม วิมลวรรณมองอานนท์ ไม่พอใจที่เห็นเขาไม่รู้สึกรู้สากับอารมณ์หงุดหงิดของตน
“ไม่กินแล้ว ไม่มีอารมณ์”
วิมลวรรณเดินไป อานนท์ส่ายหน้าถอนใจ
“คุณท่านคะ วันนี้อิฉันจะขอลาไปหาญาติที่ซอยตรงข้ามนี้แหละค่ะ เที่ยงๆ ก็คงกลับ”
“ไปเถอะนุ่ม...”
ป้านุ่มยิ้มแล้วยกมือไหว้
“ขอบคุณค่ะ”

ภาคินกับตุลย์ คุยกันอยู่ในห้องทำงาน...
“ผมว่าบางที แกอาจจะหาทางกลับมามูลนิธิไม่ถูก เอางี้ผมจะให้ตำรวจหาบุญทิ้งตามเส้นทางจากบ้านคุณปานฟ้า แต่ผมมั่นใจว่าแกต้องอยู่ตามตลาด”
ภาคินแปลกใจ
“ทำไมหมวดคิดยังงั้นล่ะครับ”
“อย่าลืมว่าแกเคยถูกบังคับให้หากินตามตลาด วิชามารที่ไอ้พ่วงมันเคยสอนไว้ น่าจะถูกนำมาใช้ในยามที่แกหิวโหย”
ภาคินคล้อยตาม
“ถ้างั้นก็รีบดีกว่า...จากบ้านคุณปานฟ้า ตลาดอะไรที่อยู่ใกล้ที่สุด”
ตุลย์นึกได้ยิ้มออกมา
“ผมพอนึกออกแล้ว...”
เฟื่องแก้วเข้ามาพอดี พร้อมกาแฟในถาดสองถ้วย แต่ภาคินกับตุลย์ลุกขึ้นด้วยความรีบร้อน
“ขอบใจนะเฟื่องแก้ว แต่เราต้องรีบไป”
เฟื่องแก้วยืนอึ้ง มองตุลย์กับภาคินที่ออกไปอย่างไม่พอใจแต่กดข่มไว้ วางถาดลงแล้วเดินออกมา

ภาคินกับตุลย์ออกมาจากด้านใน เห็นปานฟ้าลงมาจากรถพอดี ตุลย์หันไปยิ้มให้ภาคิน ปานฟ้าเดินมาหา
“ฉันเป็นห่วงบุญทิ้งน่ะค่ะ ก็เลย...”
“เรากำลังจะออกไปตามหาแกอยู่พอดี” ภาคินบอก
“งั้นให้ฉันไปด้วยนะคะ...”
“ยินดีครับ...”
ตุลย์หันไปบอกกับภาคิน
“ถ้างั้นผมจะรีบประสานงานไปทางสถานีตำรวจ ให้จัดส่งกำลังมาช่วยกันตามหาแกด้วยครับ”
ภาคินยิ้มรับ
“ขอบใจหมวด”
“ไปรถฟ้าก็ได้ค่ะ”
ภาคินยิ้ม พยักหน้า
“ขอบคุณครับ...”
เฟื่องแก้วน้อยใจรีบพูดขึ้น
“ให้แก้วไปด้วยได้มั้ยคะ”
“อยู่กับเด็กๆ ที่นี่ดีกว่าครับ คุณแก้ว เผื่อมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นทางนี้จะได้ช่วยเด็กๆ ด้วย...”
เฟื่องแก้วจ๋อยไป ภาคินขึ้นนั่งคู่กับปานฟ้า เธอถอยรถออกไปส่วนตุลย์ตรงไปยังรถของตนที่จอดไว้หน้ามูลนิธิ หันมาส่งยิ้มให้แต่เฟื่องแก้วเมินหน้าไปทางอื่น ตุลย์จ๋อยไปเล็กน้อย เฟื่องแก้วเดินไปทางหนึ่ง อย่างไม่พอใจ

ช้อยแอบมองกัญญาจากมุมหนึ่ง เห็นกัญญามองไปรอบๆ ด้วยท่าทีร้อนรน ไม่ไกลจากกันนัก บุญทิ้งจดๆ จ้องๆ มองที่ร้านอาหาร เห็นชายคนหนึ่งกำลังทานข้าวอยู่คุยโทรศัพท์ไปด้วยสักครู่ก็พยักหน้าท่าทางรีบร้อน วางเงินไว้ข้างจาน แล้วลุกออกมา บุญทิ้งตัดสินใจเข้าไปรีบกินอาหารที่เหลืออยู่อย่างหิวโหย ลูกค้าหญิงคนหนึ่งมองอย่างรังเกียจ
“ว้าย...สกปรก แม่ค้า ไล่ไปทีสิ...”
แม่ค้าในร้านเห็นก็ตวาดเสียงดัง
“เฮ้ย...จับที...”
บุญทิ้งตกใจวิ่งหนี ลูกจ้างในร้านวิ่งไปแต่บุญทิ้งวิ่งหนีเข้าไปในตลาดหลบหนีไปอย่างชุลมุน โดยมีลูกจ้างของร้านวิ่งตามไปติดๆ
ช้อยชะเง้อมองกัญญา แล้วก็ตกใจที่เห็นคนเอะอะชุลมุน บุญทิ้งชนเข้ากับช้อยอย่างแรง ช้อยไม่ทันระวัง เสียหลักล้มไป
“ว้าย...ไอ้เด็กบ้า”
กัญญาหันไปจึงเห็นช้อยกำลังลุกขึ้น กัญญาหน้านิ่วพูดขึ้นเบาๆ
“ช้อย...”
บุญทิ้งวิ่งมาที่กัญญา เด็กลูกจ้างเงื้อหมัดจะทุบใส่ บุญทิ้งสะดุดเสียหลัก กัญญารีบห้ามไว้
“อย่าทำแกเลย แกทำอะไรเสียหายเหรอ ฉันจะชดใช้ให้”
“ไอ้เด็กจรจัด หัวขโมย แบบนี้มันต้องจับส่งตำรวจ...คุณอย่าไปช่วยมันเลย”
“ตัวแกนิดเดียวเอง ฉันขอละนะ เอ้า...ฉันให้...”
กัญญาส่งเงินให้สองร้อยบาท ลูกจ้างรับไป คนเริ่มมามุงดูมีบางคนจำได้
“ลิเกนี่ ฉันจำได้...”
กัญญายิ้มแหยๆ พยักหน้ารับ แล้วรีบดึงตัวบุญทิ้งออกมาที่ริมถนน รถตุ๊กๆ ผ่านมาพอดี กัญญารีบโบกเรียกแล้วขึ้นไปบนรถ พร้อมกับบุญทิ้ง ช้อยมองตามอย่างงงๆ
“อะไรของมัน...”

กัญญากอดบุญทิ้งที่ร้องไห้สะอึกสะอื้น ขณะที่รถสามล้อแล่นไป
“ไม่ต้องร้องนะหนู...โอ๋...บ้านอยู่ที่ไหนกันจ๊ะ...”
บุญทิ้งไม่ตอบ แต่ซบหน้ากับร่างกัญญาสะอื้น
“โถ...”
กัญญากอดบุญทิ้งไว้ ภาพในอดีตผ่านเข้ามาในห้วงคำนึง...วันนั้น กัญญาเกาะราวบันไดบ้านของวิมลวรรณแน่น วิมลวรรณทุบตีพยายามแกะมือเธอให้หลุดออก
“ไป...ไปสิ...”
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วย...ฮือๆ”
“กลัวตายใช่มั้ย ทียังงี้ทำไมกลัว เวลาหน้าด้านแย่งผัวคนอื่น ทำไมไม่กลัวบ้าง...สวยนักเหรอ ดีละ วันนี้ฉันจะฆ่าแก ไม่งั้นก็จะทำให้แกเสียโฉม แกจะได้ไม่ต้องใช้ความสวยไปแย่งผัวชาวบ้านอีก”
วิมลวรรณถีบที่ท้องอย่างแรง จนมือกัญญาหลุดจากราวบันได จะร่วงลงไป แต่ก็คว้าไว้ได้ วิมลวรรณตามมาด้วยความอาฆาตแค้นรุนแรง จะถีบให้ตกบันได อานนท์วิ่งมาพอดี ตวาดเสียงดัง
“หยุดนะ วิมลวรรณ”
วิมลวรรณเชิดหน้า ก้าวลงมาที่บันไดขั้นที่กัญญานั่งร้องไห้อยู่ จิกผมของกัญญาจนหน้าหงาย
“ไม่หยุด จนกว่า คุณจะเป็นคนออกปากไล่นังนี่ให้ไปพ้นจากชีวิตของเรา ไม่งั้นฉันจะยอมเป็นฆาตกรถีบนังหน้าด้านนี่ ให้ตกบันไดตายต่อหน้าต่อตาคุณ”
“ผมไม่คิดเลยว่าคุณจะใจร้ายยังงี้”
วิมลวรรณกระชากผมอย่างแรง กัญญาร้องไห้ ป้านุ่มวิ่งมายืนอยู่ด้านหลังอานนท์ มองกัญญาด้วยความสงสาร
“ฉันหรือใจร้าย คุณกับนังนี่ต่างหากที่ใจร้ายกับฉันทรยศฉัน...หนอย เอามันมาเล่นลิเกฉลองครบรอบวันแต่งงานของเรา ฉันยังหลงคิดว่าคุณช่างแผลงๆ เอาลิเกมาเล่นในบ้าน คงอยากให้พวกนักข่าวมันตื่นเต้นที่ไหนได้ คุณกลับหลงเสน่ห์มัน...สวยมากใช่มั้ย”
วิมลวรรณดึงผมอย่างแรง กัญญาร้องไห้โฮ
“พอได้แล้ว วิมลวรรณ...”
“ไม่...”
อานนท์พยายามเดินเข้าหา เจรจาให้วิมลวรรณอ่อนลง
“บุษบาเขาไม่ผิด แต่ผมต่างหากที่ทำร้ายเขา ตอนนี้เขากำลังท้อง นึกว่าสงสารเด็กในท้องเถอะนะ”
วิมลวรรณมองดูกัญญาด้วยสายตาชิงชัง แล้วก็ปล่อยมือจากผมอย่างแรง จนกัญญาแทบหงายไป
“ก็ได้...เมื่อคุณต้องการให้ฉันสงสารมัน ฉันจะยอมให้มันอยู่ในบ้านนี้ นังนุ่ม”
ป้านุ่มน้ำตาไหล สงสารกัญญา
“ขา...”
“เอามันไปอยู่เรือนคนใช้ ส่งข้าวส่งน้ำมัน อย่าให้มันออกไปไหน จนกว่าไอ้มารหัวขนมันจะออกมาดูโลก”

กัญญาร้องไห้กอดบุญทิ้งไว้ บุญทิ้งเงยหน้าทั้งน้ำตา
“คุณป้าร้องไห้ทำไมครับ”
“ก็...ป้า...ป้า สงสารหนูไงลูก...”
กัญญากอดบุญทิ้งไว้ รถสามล้อแล่นไป ภาพในอดีตแว่บเข้ามาในความคิดอีกครั้ง กัญญาอุ้มลูกอยู่ในห้อง วิมลวรรณซึ่งท้องแก่เดินมา ป้านุ่มหน้าซีด ยืนขวางไว้
“คุณผู้หญิง”
“หมดเวลาของแกแล้ว...”
กัญญาเงยหน้ามองวิมลวรรณอย่างตกใจ
“เว...เวลาอะไร”
“ออกไปจากบ้านของฉัน...ไสหัวออกไป ถ้ายังไม่อยากตาย”
กัญญากอดลูกไว้แน่น ป้านุ่มพยายามแย้ง
“แต่แม่กัญญา เพิ่งคลอดลูกนะคะคุณผู้หญิง”
วิมลวรรณหันไปตวาดป้านุ่ม
“นังนุ่ม ไม่ต้องพูดมาก เอาลูกมันมา...เมื่อผัวฉันรัก ไอ้เด็กคนนี้มากนัก ฉันก็จะเลี้ยงมันไว้เอง”
ป้านุ่มกับกัญญาตกใจ
“หา...”
กัญญากอดลูกกระถดหนี วิมลวรรณตรงเข้าหา
“นังนุ่ม ฉันสั่งแกว่ายังไง เร็วสิ...”
กัญญากอดลูกร้องไห้แล้วพนมมือขึ้นก้มลงกราบ วิมลวรรณซึ่งยืนอยู่
“ถ้าให้ฉันไปจากที่นี่ ฉันก็จะไป แต่ฉันจะต้องเอาลูกไปด้วย...ฉันรักลูก...”
วิมลวรรณแสยะยิ้ม นั่งลง จ้องหน้ากัญญา พูดเสียงเครียด
“ฉันรู้...แล้วแกก็จงจำไว้ด้วยว่าอะไรที่แกรัก ฉันจะพรากมันไปจากแกให้หมด ไสหัวออกไปจากบ้านนี้ได้แล้ววันไหนที่แกกลับมาเป็นมารชีวิตฉัน ลูกแกต้องตาย...ด้วยมือของฉัน...เอามา...”
วิมลวรรณกระชากเบาะเด็กไป จากอ้อมกอดของกัญญาเด็กทารกร้องไห้จ้า ป้านุ่มปล่อยโฮสะอื้นเสียงดัง
รถตุ๊กตุ๊กวิ่งมาถึงหน้าวัดแห่งหนึ่ง คนขับรถตุ๊กๆ มองทางกระจกมองหลังเห็นกัญญากอดบุญทิ้งสะอื้น ก็ถามขึ้น
“จะลงไหนกันครับ...”
กัญญาได้สติ
“จอดแถวนี้ก็ได้”

คนขับจอดรถเข้าข้างทาง กัญญาส่งแบงก์ร้อยให้ แล้วอุ้มบุญทิ้งลงมาจากรถตุ๊กตุ๊กแล้วมองไปที่วัด










Create Date : 02 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2555 15:25:08 น.
Counter : 341 Pageviews.

0 comment
ดุจดาวดิน ตอนที่ 3



ดุจดาวดิน ตอนที่ 3

ภาคินคุยเรื่องของหลานชายปานฟ้าที่หายไป กับตุลย์อยู่ภายในห้องทำงาน

“ชื่อทินภัทร อัครดำรงกุลครับ”
“รายละเอียดอื่นๆละครับ”
“ผมก็ไม่รู้อะไรมาก เอาอย่างนี้สิหมวดถ้าคุณไม่รีบกลับ...”
ตุลย์รีบแทรก
“ผมไม่รีบหรอก อยู่ที่นี่อยู่ได้ทั้งวัน ว่าแต่คุณไปล้มใส่หมัดใครมานะ”
ภาคินหัวเราะ
“คนพาลนะอย่าไปสนใจเลย หมวดอยู่ก็ดีครับเพราะช่วงเย็นๆคุณปานฟ้าเธอจะพาพี่สาวที่เป็นแม่ของทินภัทรมาที่นี่ หมวดจะได้คุยรายละเอียดกับเธอ”
“ถ้างั้นก็เยี่ยมเลย...แหม...ว่าแต่ดูคุณภาคิน จะกระตือรือร้นช่วยเหลือคุณปานฟ้าเป็นพิเศษเชียวนะครับ”
ภาคินหน้าแดง
“ก็...เธอขอความช่วยเหลือมา ผมก็ช่วยไปเท่าที่จะช่วยได้ พิเศษตรงไหน”
ตุลย์ทำหน้าล้อเลียน
“ว่ากันทีจริงคุณปานฟ้าเนี่ยทั้งสวยทั้งน่ารัก แถมเก่งอีกต่างหาก...นี่ถ้าหัวใจผมไม่มีคนจับจองไว้ก่อนละก็เห็นที คุณจะมีคู่แข่งที่น่ากลัวนะจะบอกให้”
ภาคินหัวเราะแก้เก้อ
“พูดอะไรนะหมวด คุณปานฟ้าเธอจะเสียหาย...ผมไม่คุยกับหมวดแล้ว ขอตัวทำงานต่อก่อนนะครับ”
ภาคินแกล้งสนใจงานตรงหน้า ตุลย์ขำท่าทางเขินๆของภาคิน

ปานฟ้ากำลังทานอาหารกับอนุสรณ์อยู่ในร้านอาหาร อนุสรณ์ตักกับข้าวให้
“ขอบคุณค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ...ที่จริงคุณปานฟ้าไม่น่าลำบากต้องมาเลี้ยงผมเลย”
“ไม่ลำบากเลยค่ะ...น้อยไปด้วยซ้ำที่จะเป็นการขอบคุณ ที่คุณอนุสรณ์กรุณาเป็นสปอนเซอร์ให้”
“เล็กน้อยมากครับ...ผมกับคุณเติมบุญก็รู้จักสนิทสนมกันดี แหมผมอิจฉาคุณเติมบุญจริงๆที่มีลูกสาวทั้งสวยแล้วก็เก่งอย่างคุณ”
ปานฟ้ายิ้มๆ อนุสรณ์ตักอาหารให้อีก ขณะเดียวกันเจษซึ่งเป็นเพือนสนิทของก้องภพ นั่งอยู่อีกโต๊ะ มองปานฟ้า อย่างสนใจ
“ยัยปานฟ้าคนสวยของไอ้ภพนี่หว่า...สนุกละไอ้ภพ”
เจษยกโทรศัพท์ขึ้นโทรหาก้องภพทันที
“ไอ้เจษโทรมาทำไม”
ก้องภพที่ขับรถอยู่ หยิบหูฟังขึ้นมาใส่
“ไงไอ้เจษจะโทรมาบอกข่าวดีอะไร”
“ไม่ใช่ข่าวดีของฉันหรอก แต่เป็นข่าวดีของนายมากกว่า”
“ข่าวอะไรว่ะ”
ก้องภพนิ่งฟังหน้าเปลี่ยนไป ด้วยอารมณ์ที่โมโหสุดๆ ถามเสียงห้วน
“ร้านอะไร อยู่ตรงไหน บอกมาให้ละเอียดนะโว้ย”
ก้องภพฟังจบ กดตัดการติดต่อ ที่เท้าเหยียบคันเร่งลงไป หน้าบึ้งเอาเรื่องสุดๆ

หลังจากทานอาหารเสร็จ อนุสรณ์ไม่ยอมให้ปานฟ้าจ่ายค่าอาหารให้
“โธ่...ดิฉันตั้งใจมาเลี้ยงขอบคุณนะคะ” ปานฟ้าบอกอย่างเกรงใจสุดๆ
“เล็กน้อยนะครับ...คุณปานฟ้าให้เกียรติมาทานอาหารกับผม ผมก็ยินดีอย่างที่สุดแล้ว”
อนุสรณ์มองสายตาเจ้าชู้ ปานฟ้าฝืนยิ้มตามมารยาท พนักงานเดินเอาสลิปบัตรเครดิตมาให้ อนุสรณ์รับมาเซ็นชื่อลงบนสลิป แล้วเก็บบัตรใส่กระเป๋า
“ของที่ส่งไปพอมั้ยครับ...ถ้าไม่พอบอกมาเลยนะ ผมจะให้พนักงานเอาไปเพิ่มให้อีก”
“พอค่ะ...ขอบคุณมากนะคะสำหรับทุกอย่าง”
อนุสรณ์ยิ้มให้
“ด้วยความยินดีครับ”
ขณะเดียวกันที่หน้าร้าน ก้องภพขับรถเข้ามาเบรกเสียงดัง ลงมาอย่างฉุนเฉียว บ๋อยรีบวิ่งเข้ามาโค้งพูดสุภาพ
“ขอโทษครับตรงนี้จอดไม่ได้นะครับ เชิญที่ลานจอดรถเลยครับ”
บ๋อยผายมือไปด้านข้าง ก้องภพตวาดทันที
“ฉันรีบ”
“แต่มันขวางหน้าร้านครับผม”
ก้องภพหงุดหงิดรีบหยิบกระเป๋ากระชากแบงก์ร้อยออกมาใบหนึ่งโยนให้
“เอ้าเอาไป แล้วแกก็ขับไปจอดให้ฉันที”
ก้องภพรีบเข้าไปด้านในเปิดประตูอย่างแรง กวาดสายตามองหาปานฟ้าอย่างรวดเร็ว บ๋อยวิ่งเข้ามาโค้ง ถามนอบน้อม
“กี่ทีครับผม”
ก้องภพไม่ตอบ แต่ผลักไหล่บ๋อยจนเซ เดินเข้าไปหาแต่ไม่มี บ๋อยตามมาถามอีกอย่างสุภาพ
“ขอโทษครับมีอะไร ให้ผมรับใช้มั้ยครับ”
ก้องภพหันมาถามโมโห
“เห็นผู้หญิงสวยๆ แต่งตัวดีๆ มากับผู้ชายคนหนึ่งมั้ย”
บ๋อยคิดๆ
“อ๋อ...คุณผู้หญิงขาวๆแล้วผมยาวใช่มั้ยครับ”
“เออนั้นแหละ”
บ๋อยถามต่อ
“มากับคุณผู้ชายหล่อๆ ท่าทางดีๆ สุภาพๆใช่มั้ยครับ”
ก้องภพฉุนกระชากคอเสื้อบ๋อยอย่างแรง
“แกจะตอบได้หรือยังว่า แฟนฉันอยู่โต๊ะไหน”
บ๋อยตะลึง
“อะ...ออกไปก่อนหน้าคุณเข้ามาแป๊บเดียวเองครับ”
“ไอ้บ้าเอ๊ย...”
ก้องภพปล่อยบ๋อย อย่างแรงจนเกือบล้มก่อนผละไปอย่างโมโหสุดขีด เขากลับไปขึ้นรถอย่างโมโห
“ต้องเป็นไอ้ภาคินแน่ๆ...แกไอ้ภาคิน เป็นไงเป็นกันสิวะ”
ก้องภพออกรถอย่างฉุนเฉียว

ภาคินเดินออกมาจากห้องทำงาน มองหาตุลย์ บุญทิ้งวิ่งเข้ามาถาม
“พี่ภาคินมองหาใครครับ”
“หมวดตุลย์ไปไหนซะล่ะ”
“ช่วยพี่แก้วซ่อมโต๊ะอยู่ข้างหลังครับ พี่ภาคินต้องการพบหมวดเหรอครับ เดี๋ยวผมไปตามให้”
“ไม่ต้องๆ แค่ถามดูเฉยๆนะ แล้วนี่ยังไม่เสร็จกันอีกเหรอ”
“เสร็จแล้วครับ เหลือแค่ตัดกิ่งต้นไม้ที่มันยื่นเกะกะออกมา”
ภาคินมองตาม
“มันสูงนะใครจะตัด”
“พี่มอสครับเดี๋ยวจะใช้บันไดปีน”
ภาคินเดินไปที่ต้นไม้ บุญทิ้งเดินตาม
“ไปเอากรรไกรมาเดี๋ยวพี่ตัดให้เอง”
ทันใดนั้นเสียงรถมาจอดเบรกดังลั่น ภาคินชะงัก หันไปมองเห็นก้องภพเดินเข้ามา
“ไอ้ภาคิน...คุณฟ้าอยู่ไหน”
ภาคินมองก้องภพอย่างเอือมระอา

ตุลย์ช่วยเฟื่องแก้วซ่อมโต๊ะอยู่ด้านหลังมูลนิธิ ตุลย์ตอกตะปูที่โต๊ะจนมิด ยืดตัวขึ้นไล่ความเมื่อย
“โอ๊ย...เสร็จซะที”
ตุลย์ชะงัก เห็นเฟื่องแก้วนั่งเท้าคางเหม่อๆ ตุลย์ค่อยๆย่องเข้าไปใกล้ๆทำเสียงดัง
“ตุ๊กแก...”
เฟื่องแก้วตกใจกระโดดโผหาตุลย์
“ว้าย...ตุ๊กแกช่วยด้วย”
เฟื่องแก้วซบกับอกตุลย์หลับตากลัวมาก ตุลย์แอบขำถือโอกาสโอบปลอบ
“โอ๊ะโอ๋ๆๆไม่ต้องกลัวนะคุณแก้ว”
“ยี้...ขยะแขยง...มันไปหรือยังหมวดไล่มันสิ”
ตุลย์ส่งเสียงไล่
“ชิ้วๆๆไปสิไป”
“ไปหรือยังคะ”
ตุลย์กลั้นหัวเราะ
“มันไม่ยอมไปนะคุณแก้ว”
เฟื่องแก้วกลัวตัวสั่น
“ก็ไล่มันดังๆสิ...ฉันกลัว...ขนลุกไปหมดแล้ว”
ตุลย์ทำเป็นไล่
“ชิ้วๆๆๆ สงสัยมันจะหลับนะดูสินอนนิ่งเลย อู้ว์แต่มันจ้องมาทางนี้นะ เฮ้ย...หรือมันจะกระโดดมาหาคุณนะ”
เฟื่องแก้วกรี๊ดเต้นไปด้วย
“ยี้ไม่เอานะ...ว้าย...หมวดไล่มันไป”
ตุลย์กลั้นหัวเราะอยู่คนเดียว บุญทิ้งวิ่งหน้าตั้งเข้ามา
“เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ”
เฟื่องแก้วลืมกลัวรีบหันมาถาม
“อะไรกันบุญทิ้ง”
“มีใครก็ไม่รู้ มาโวยวายจะเล่นงานพี่ภาคินครับ”
เฟื่องแก้วรีบจับมือบุญทิ้ง
“ไปกันเร็ว”
สองคนกำลังจะไป เฟื่องแก้วนึกได้มองหาตุ๊กแกอย่างหวาดๆ บุญทิ้งถามงงๆ
“พี่แก้วหาอะไรครับ”
“ตุ๊กแก...มันไปไหนแล้วล่ะ”
บุญทิ้งมองๆ
“ไม่เห็นมีอะไรเลยนี่ครับ...ตุ๊กแกที่ไหน”
เฟื่องแก้วหันไปมองหน้า ตุลย์กำลังบุ้ยใบ้ ไม่ให้บุญทิ้งพูด แล้วชะงักหัวเราะเจื่อนๆ เฟื่องแก้วรู้ตัวว่าโดนแกล้ง ก็มองแค้นๆ
“ฝากไว้ก่อนเถอะหมวด ไปเร็วบุญทิ้ง”
เฟื่องแก้วจูงบุญทิ้งวิ่งไป ตุลย์โล่งอกรอดตัวแล้วรีบวิ่งตามไปอีกคน
“เอ้ารอผมด้วยสิ”

ภาคินเซเพราะโดนก้องภพผลักอก
“คิดจะแย่งฟ้าจากฉันเหรอไอ้ภาคิน”
ภาคินพยายามข่มใจ
“ผมว่าคุณกลับไปสงบสติอารมณ์เสียดีกว่า”
ภาคินจะเดินหนี ก้องภพตะโกนตาม
“หน้าตัวเมียนี่หว่า”
ภาคินหันมา กำมือแน่น ก้องภพไม่เลิก
“ดีแต่ทำลับหลัง ต่อหน้าไม่กล้า คงติดนิสัยมาจากแม่แกละสิ”
ภาคินพุ่งเข้าชกก้องภพเต็มๆจนเซถลา ชี้หน้า
“คุณจะว่าผมยังไงผมไม่ว่า แต่จำไว้ว่าอย่าก้าวร้าวถึงแม่ผม”
ก้องภพเช็ดเลือด
“ฉันจะไปแจ้งความตำรวจ ว่าแกทำร้ายร่างกายฉัน”
ทันใดนั้นเสียงตุลย์ ดังเข้ามาก่อนตัว
“แจ้งเลยสิครับ...ผมมารับแจ้งให้ถึงที่แล้ว”
ก้องภพหันไปมอง ตุลย์ เฟื่องแก้ว บุญทิ้งเข้ามายืนข้างภาคิน
“แต่ข้อหาบุกรุกนี่ โทษไม่เบาเหมือนกันนะครับ ถ้าคุณภาคินเข้าแจ้งความกลับนะ”
ก้องภพแค้นๆ
“พวกแกรุมฉันเหรอ แบบนี้มันหมาหมู่นี่”
ตุลย์มองเยาะ
“โอโห...พูดจาดูถูกเจ้าพนักงาน ขณะปฏิบัติหน้าที่นี่ก็ติดคุกเหมือนกันนะคุณ”
ก้องภพจ้องหน้าภาคินอย่างแค้นจัด
“ไอ้ภาคินฝากไว้ก่อนเถอะ...แล้วจำใส่กะลาหัวแกไว้ว่า คนอย่างปานฟ้าเขาไม่มีวันลดตัวลงมามองคนอย่างแกหรอก”
ก้องภพจำใจถอยออกไป เฟื่องแก้วมองตาม
“นี่เขามาหาเรื่องคุณภาคิน เพราะคุณปานฟ้าเหรอคะ”
ภาคินไม่ตอบหันไปพูดกับตุลย์
“ขอบคุณมากนะหมวด”
“เรื่องเล็กน่า”
ภาคินเดินหนีทุกคนไปเงียบๆ เฟื่องแก้วโมโหแทน
“นี่คุณปานฟ้า เขาจะรู้มั้ยว่าเขาเป็นต้นเหตุให้คุณภาคินต้องเจ็บตัวนะ”
ตุลย์หันมามองท่าทางเฟื่องแก้วอย่างแปลกใจ

ปานฟ้าขับรถกลับบ้าน อยู่ๆเครื่องสะดุด
“อย่าล้อเล่นนะ”
เครื่องยนต์ดับไปเฉย ปานฟ้าหน้าเสีย เสียงแตรรถคันหลังๆบีบเสียงดัง ปานฟ้าจ๋อยไป
“แย่แล้วเรา...”
ช่วงเวลาเดียวกันนั้น...ปานเดือนกำลังแต่งตัว มีป้าแก้วค่อยช่วยจนเสร็จ
“แหม...วันนี้คุณเดือนดูสวยสดใสจังเลยนะคะ”
ปานเดือนยิ้มมีความสุข
“ก็ฉันจะได้ไปหาทินภัทรนี่...ป้ารู้จักลูกชายฉันใช่มั้ยล่ะ”
ป้าแก้วหน้าสลดลง มองปานเดือนที่เดินไปสำรวจความเรียบร้อยหน้ากระจกเงา ป้าแก้วพึมพำ
“ป้าขอโทษนะคะคุณเดือน...เพราะป้าแท้ๆ”

ปานฟ้าจอดอยู่ริมถนนมองหาแท็กซี่ เห็นวิ่งมาคันหนึ่ง ปานฟ้ารีบโบกแท็กซี่เข้ามาจอดด้านหน้ารถ ปานฟ้ารีบวิ่งไปคุยกับคนขับ
“คุณคะ...ช่วยลากรถฉันไปที่อู่หน่อยสิคะ...เดี๋ยวฉันจะจ่ายค่าเสียเวลาให้”
“อู่ไหนละคุณ”
“อู่ไหนก็ได้ค่ะ ที่ใกล้ที่สุดคือฉันรีบนะค่ะ”
แท็กซี่พยักหน้าลงมาเปิดหลังรถหยิบเชือกออกมา ปานฟ้าโล่งอกมองนาฬิกาข้อมือ

สายอุษาเดินเข้ามาชะงักมองขึ้นไปเห็นป้าแก้วจูงปานเดือนลงมา สายอุษายิ้มให้
“ไงจ๊ะแม่เดือน...ได้ข่าวว่ายัยฟ้าจะมารับไปข้างนอกเหรอลูก”
ปานเดือนเดินมาหายิ้มอย่างมีความสุข
“ค่ะ...เดือนจะไปหาทินภัทร คุณแม่ไปด้วยกันมั้ยคะ”
สายอุษาชะงัก ป้าแก้วส่ายหน้าไม่ให้ขัด
“วันนี้แม่คงไม่ไปหรอกลูก แม่เดือนไปเถอะ” สายอุษาจูงปานเดือนไปที่เก้าอี้
ปานเดือนชะเง้อมองออกไปด้านนอก
“ทำไมฟ้ายังไม่มาหรือว่า...”
ปาเดือนหน้าตาไม่ดี ทำเหมือนจะร้องไห้
“หรือว่าฟ้าหลอกเดือน...ฟ้าหลอกเดือนใช่มั้ยคะ”
สายอุษากับป้าแก้วตกใจ สายอุษารีบปลอบ
“ไม่หรอกลูก...รถคงติดนะรออีกสักครู่นะลูกนะ...เดี๋ยวยัยฟ้าก็มา”
ปานเดือนชักไม่แน่ใจ
“จริงนะคะ...ฟ้าจะมารับจริงๆนะคะ”
สายอุษาหันไปมองป้าแก้วๆรีบช่วย
“มาจริงๆสิคะ...เอ้าอย่างนี้เดี๋ยวดิฉันไปเอาน้ำส้มเย็นๆมาให้ดื่มจะได้ชื่นใจ ใจเย็นๆนะคะ”
สายอุษาพยักหน้าเห็นด้วย ป้าแก้วรีบออกไป สายอุษามองท่าทางเป็นกังวลของปานเดือนอย่างไม่ค่อยสบายใจ

ปานฟ้ามองช่าง ที่กำลังเช็คอยู่กระโปรงหน้ารถก่อนจะหันมาบอก
“จะทิ้งรถไว้มั้ยครับ”
“นานมากเหรอคะ”
“ก็ประมาณชั่วโมงกว่าๆนะคุณ”
ปานฟ้าตัดสินใจ
“ฉันจะรอค่ะ”
ช่างเดินไป ปานฟ้าหยิบโทรศัพท์มากดโทรหาสายอุษา
เสียงโทรศัพท์ดัง สายอุษาบอกปานเดือนอ่อนโยน
“เดี๋ยวแม่ไปรับโทรศัพท์ก่อนนะจ๊ะ”
ปานเดือนเฉย สายอุษาเดินไปรับโทรศัพท์
“สวัสดีค่ะ...อ้าวยัยฟ้า...อยู่ไหนล่ะลูกพี่เดือนเขารอหนูอยู่”
ปานเดือนดีใจหันมามอง
“อ้าว...แล้วทำไงละจ๊ะ...อ๋อ...ได้จ๊ะลูก...”
สายอุษาวางโทรศัพท์เดินกลับมาที่ลูกสาวพูดอย่างนุ่มนวล
“แม่เดือน...รออีกหน่อยนะ”
ปานเดือนเสียงแข็ง
“ทำไม...”
“รถน้องเสียจ๊ะ...ตอนนี้กำลังซ่อมอยู่เสร็จปุ๊บยัยฟ้าจะรีบมารับลูกทันทีเลย”
ปานเดือนนิ่ง มือที่ประสานไว้บนตักบีบกันแน่น สายตาเริ่มกร้าวขึ้น

ภาคินมานั่งสงบใจอยู่ในห้องทำงาน เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ภาคินหยิบออกมามองชื่อพึมพำ
“ปานฟ้า...”
ภาคินลังเล แต่แล้วตัดสินใจรับ
“สวัสดีครับ...ตอนนี้คุณอยู่ไหนครับ”
“ฉันให้แท็กซี่ช่วยลากมาที่อู่แล้วล่ะคะ...แต่กว่าจะเสร็จคงนานฉันเป็นห่วงพี่เดือนจังคะ...ก็เลยอยากจะรบกวนคุณภาคินหน่อย พี่เดือนจะได้เจอกับบุญทิ้งเร็วขึ้น”
ภาคินลุกขึ้นกระตือรื้นร้น
“จะให้ผมทำยังไงก็บอกมาเลยครับ”

บุญทิ้งแต่งตัวเรียบร้อยกำลังอวดตุลย์
“หมวดว่าผมหล่อพอหรือยังครับ”
ตุลย์ขำ
“หนอยเจ้าบุญทิ้งทำอย่างกับนัดสาวดูตัวแหน่ะ นะคุณแก้ว”
ตุลย์หันไปทางเฟื่องแก้ว เห็นเธอหน้าง้ำก็แปลกใจ
“นี่คุณยังไม่หายโกรธ แทนคุณภาคินอีกเหรอคุณแก้ว”
เฟื่องแก้วยังไม่ทันตอบ ภาคินเดินรีบร้อนเข้ามา
“บุญทิ้งอยู่นี่เอง...ไปกับพี่เร็ว”
บุญทิ้งงงๆ
“ไปไหนครับ”
“ไปหาคุณเดือนไง”
บุญทิ้งดีใจ เฟื่องแก้วแปลกใจ
“อ้าวไหนว่าคุณเดือนจะมาหาบุญทิ้งที่นี่ไม่ใช่เหรอคะ”
“พอดีรถคุณปานฟ้าเสียอยู่ที่อู่ มัวแต่รอไปรอมา เธอกลัวคุณเดือนจะหงุดหงิด เลยให้ผมกับบุญทิ้งไปหาที่อู่ รถเสร็จจะได้ไปหาคุณเดือนเลย”
เฟื่องแก้วไม่พอใจ
“แหม...เอาตัวเองสบายคุณภาคินก็ลำบากแย่”
“ไม่เป็นไรหรอกช่วยกันได้ก็ช่วยกันไป ผมก็ไม่ได้ลำบากอะไรไปกันเถอะบุญทิ้ง” ภาคินนึกได้ “อ๋อ...หมวดเรื่องที่ขอให้ช่วย แล้วผมจะขอรายละเอียดมาให้แล้วกัน ขอโทษที่ทำให้เสียเวลา”
ตุลย์โบกมือให้
“สบายอยู่แล้ว...”
ตุลย์มองจนภาคินกับบุญทิ้งลับไป เฟื่องแก้วมองตามโกรธๆ พอหันมาเห็นตุลย์มองก็ตวาดใส่
“มองอะไร...ฉันยังไม่ได้เล่นงานหมวดเลยนะ”
ตุลย์หน้าเหวอ
“งานเข้าอีกแล้วไอ้ตุลย์เอ๊ย...”
เฟื่องแก้วลุกขึ้นไล่ทุบเขาระบายอารมณ์ ตุลย์วิ่งหนีไปร้องตะโกนไป
“เจ้าค้าเอ๊ย...ช่วยด้วยตำรวจโดนทำร้ายร่างกายคร้าบผม”

ภูวดล ปานดาวและธัญวิทย์ นั่งอยู่ในร้านอาหาร ภูวดลตักอาหารให้อย่างเอาใจ
“กุ้งทอดกระเทียมของโปรดคุณ...ผมจำได้”
ปานดาวยิ้มพอใจ
“เดี๋ยวฉันก็อ้วนแย่สิคะ”
ภูวดลหยอดคำหวานต่อ
“อ้วนแค่ไหนผมก็รัก”
ปานดาวเขินกระซิบ
“อายลูกน่าภูก็...”
ภูวดลมองไปที่ธัญวิทย์ ที่นั่งเล่นเกมไปเคี้ยวข้าวไปอย่างไม่สนใจใคร ภูวดลโยกหัวลูกชาย
“เห่อเกมใหม่จังนะตาวิทย์”
“พ่อน่า...เดี๋ยวก็ตายกันพอดี”
ปานดาวส่ายหน้าเอ็นดู แล้วชะงักเมื่อเห็นก้องภพเข้ามา เดินไปนั่งที่โต๊ะหนึ่ง
“นั่นมันก้องภพนี่”
ภูวดลเอี้ยวตัวไปมองแล้วหันกลับ
“ไอ้ขี้เก๊กนะเหรอ...บอกตรงๆผมไม่ค่อยถูกชะตากับมันเท่าไร ถือว่าพ่อแม่รวย วันๆไม่เห็นทำงานทำการอะไรลอยไปลอยมา ใครได้ไปเป็นผัวซวยตาย”
ปานดาวยิ้มมีเลศนัย
“เดี๋ยวฉันมานะคะ ขอเข้าไปทักว่าที่น้องเขยหน่อย”
ภูวดลมองตามอย่างไม่สบอารมณ์

ก้องภพกำลังสั่งบ๋อยอย่างหงุดหงิด
“เอาเบียร์มาขวด เร็วๆนะ”
บ๋อยรีบถอยไป ปานดาวเข้ามาแทนที่ทักเสียงหวาน
“อารมณ์เสียอะไรมาคะ...ถึงมาดื่มแต่วัน”
ก้องภพหันมาแล้วรีบเปลี่ยนท่าที ลุกขึ้นอย่างสุภาพ ปานดาวตกใจจะถาม ก้องภพรีบพูด
“สวัสดีครับพี่ปานดาว...อย่าถามเลยนะครับว่าผมโดนอะไรมา พี่ดาวมาคนเดียวเหรอครับ”
ปานดาวยิ้มมองไปที่โต๊ะภูวดล
“มากับสามีแล้วก็ลูกค่ะ...ถ้าพี่จะนั่งคุยด้วยสักนิดคงไม่รังเกียจ”
ก้องภพผายมือที่เก้าอี้ตรงข้าม
“เชิญครับ...”
ปานดาวนั่งลง ก้องภพนั่งตาม
“ทำไมทำหน้าเบื่อโลกอย่างนั้นคะ...หรือว่าทะเลาะกับยัยฟ้ามา”
ก้องภพมองหน้า เห็นปานดาวยิ้มแย้มหน้าจริงใจมาก

รถแท็กซี่มาจอดหน้าอู่ ภาคินกับบุญทิ้งลงมา ปานฟ้าวิ่งเข้ามาหา
“คุณภาคิน...บุญทิ้ง”
บุญทิ้งรีบไหว้
“สวัสดีครับพี่ฟ้า”
ปานฟ้าลูบหัวบุญทิ้งอย่างเอ็นดู
“สวัสดีจ๊ะ...ขอบใจมากนะที่มา คุณภาคินขอบคุณนะคะเลยทำให้คุณต้องลำบาก เอ๊ะ...หน้าคุณ”
“ไม่มีอะไรครับ...อุบัติเหตุนิดหน่อย...รถละครับ”
“อยู่ทางด้านโน้นค่ะ...เห็นช่างบอกว่าใกล้เสร็จแล้ว”
ปานฟ้ามองภาคินอย่างสงสัย แต่ก็ไม่กล้าถามต่อ พาภาคินกับบุญทิ้งเดินไปที่รถคุยกันไปด้วย
“มันเป็นอะไรครับ”
“ฉันก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเครื่องหรอกค่ะ...คุณคงต้องถามช่างเขาดูดีกว่า”
สามคนพากันเดินไป

ปานดาวหัวเราะขำ ก้องภพชักไม่พอใจ
“การที่ฟ้ามีคนอื่นนอกจากผม ผมไม่เห็นว่ามันจะน่าขำตรงไหน”
“โธ่...ก็จะไม่ให้พี่ขำได้ยังไง ผู้หญิงทั้งสวยทั้งรวยอย่างยัยฟ้า จะมีผู้ชายมารุมจีบเยอะแยะแบบนี้ มันก็เป็นเรื่องธรรมดาจะตาย”
ก้องภพหงุดหงิด ปานดาวยิ่งยุ
“แต่ของอย่างนี้ มันอยู่ที่ใครเร็วกว่า...คนนั้นก็ได้ต่างหากคะ”
“พี่ดาวหมายความว่ายังไง”
“แหมคนฉลาดอย่างคุณ ไม่น่าย้อนถามพี่เลย”
ก้องภพนิ่งคิด
“หมายความว่า...จะให้ผมรวบรัดปานฟ้าเหรอครับ”
“สมัยนี้เขาไม่ถือกันแล้วล่ะคะ อีกอย่างยัยฟ้าก็หัวสมัยใหม่จะตาย ถ้าคุณมัวแต่ต้วมเตี้ยมเป็นเต่าค่อยๆคลานแบบนี้ คุณไม่มีวันเอาชนะกระต่ายหรอก เพราะนี่มันชีวิตจริงไม่ใช่นิทาน ใครไวกว่าเร็วกว่าก็คว้าพุงมันๆไปกิน เหลือเศษเหลือเดนก็เอาไว้ให้คนที่ช้าไงล่ะ”
ก้องภพมองปานดาว อย่างคาดไม่ถึงว่าจะได้ยิน ปานดาวรีบยิ้มหวาน
“ที่พี่กล้าพูดอย่างนี้...ก็เพราะรู้ว่าผู้ใหญ่ของเราชอบๆกันอยู่ คุณกับยัยฟ้าก็คบหากันมาตั้งนาน แต่ถ้าเป็นคนอื่น ที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าพี่ก็ไม่เชียร์หรอกค่ะ”
ก้องภพครุ่นคิดตามคำพูดของปานดาว

นาฬิกาห้องโถงบอกเวลาจะห้าโมงเย็น ปานเดือนผุดลุกพรวดขึ้น สายอุษากับป้าแก้วตกใจ
“เป็นอะไรไปลูก”
“ทำไมฟ้าไม่มา...ทำไม”
สายอุษาเข้ามาปลอบ
“ใจเย็นๆนั่งลงก่อนนะลูก เดี๋ยวก็มาแล้วล่ะจ๊ะนะลูกน่ะ”
ป้าแก้วเข้ามาช่วยปลอบ
“ตอนนี้คงกำลังเดินทางมานะคะ...นั่งก่อนนะคะคุณเดือนใจเย็นๆ”
ปานเดือนค่อยๆทรุดนั่งลง ป้าแก้วกับสายอุษาสบตากันอย่างโล่งใจ พิมเดินผ่านมาชะงักพูดเสียงดัง “อ้าวคุณเดือนยังไม่ไปอีกเหรอคะ...โอ๊ยป่านนี้คุณปานฟ้าเธอลืมแล้วมั้ง แต่งตัวรออยู่ตั้งหลายชั่วโมงแล้วนี่”
ปานเดือนหันขวับจ้องพิมตาขวาง
“อะไรนะ...ฟ้าไม่มาเหรอ...ฟ้าลืมเหรอ”
ปานเดือนร้องโหยหวนขึ้นมาเหมือนเจ็บปวดมาก ท่ามกลางความตกตะลึงของสายอุษากับป้าแก้ว

ภาคินกับบุญทิ้งยืนรออยู่ที่รถ ปานฟ้าถือใบเสร็จเดินเร็วๆมา
“เสร็จเสียที...เรารีบไปกันเถอะค่ะ”
ปานฟ้ากำลังจะเปิดประตูรถเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ปานฟ้าดูเบอร์หันมาบอกภาคิน
“ที่บ้านค่ะ...สงสัยโทรมาตาม”
ปานฟ้ารับโทรศัพท์
“ค่ะป้าแก้ว...” ปานฟ้าฟังแล้วตกใจ “อะไรนะ...ค่ะๆๆ ฟ้าจะรีบไปเดี๋ยวนี้”
ปานฟ้ากดตัดสายหันมาบอกอย่างร้อนรน
“แย่แล้วค่ะพี่เดือนอาละวาดใหญ่แล้ว”
ภาคินรีบอาสา
“ผมขับให้ดีกว่าครับ”
ปานฟ้าพยักหน้าแล้วรีบส่งกุญแจให้ ภาคินเปิดรถขึ้นไปนั่งด้านคนขับ ปานฟ้ากับบุญทิ้งวิ่งไปขึ้นอีกด้าน

ภาคินออกรถไปอย่างรวดเร็ว
ปานเดือนโผเข้าหาแจกันใบใหญ่แล้วจับทุ่มลงกับพื้น ปัดกวาดข้าวของที่อยู่ใกล้ตัว สะอึกสะอื้นกรีดร้อง ป้าแก้วรีบเข้าห้ามแต่ถูกปานเดือนผลักออกอย่างแรง สายอุษาตกใจ

“ตายจริง ยัยเดือนลูกแม่ ใครก็ได้ช่วยที”
พิมแสยะยิ้ม เดินออกห่างไป ป้าแก้วเห็นจึงเรียกไว้
“นังพิม มาช่วยจับคุณเดือนที”
“อุ๊ย...แบบนี้ต้องส่งโรงพยาบาลบ้าเท่านั้นแหละป้า”
พิมเดินไปไม่สนใจ ป้าแก้วโกรธ
“นังพิม...”
สายอุษาร้องไห้
“ลูกแม่”
สายอุษาโผเข้ากอดปานเดือน แม้ว่าปานเดือนจะดิ้นรน ร้องไห้ แต่สายอุษาก็กอดไว้แน่น ปลอบใจ เสียงเครือ
“เดือน นี่แม่นะ...แม่อยู่ใกล้ๆเดือน ไม่มีใครมาทำร้ายลูกเดือนของแม่ได้ เดือนต้องการอะไร เดือนบอกแม่สิ”
ปานเดือนมองแม่ สายตาอ่อนลง ป้าแก้วเช็ดน้ำตาด้วยความสะเทือนใจ
“โธ่เอ๊ยคุณเดือน...”
ป้าแก้วตวัดสายตาไปทางที่พิมเดินไป แล้วก็ผละตามไปทันที

ปานดาวอยู่ในร้านอาหารพูดโทรศัพท์อยู่ ภูวดลนิ่งฟังปานดาวอย่างสนใจ ส่วนธัญวิทย์เพลิดเพลินกับอาหารตรงหน้า
“ดี...ให้มันอาละวาดไปเลย สะใจนัก...ว่าแต่แกทำอะไรมันเข้าล่ะ พิม”
พิมพูดโทรศัพท์อยู่มุมหนึ่งของบ้าน
“อุ๊ย...ก็แค่แหย่ว่าคุณปานฟ้า คงไม่มารับคุณเดือนอย่างที่รับปากไว้เท่านั้นแหละค่ะ”
“นังฟ้าคงจะพามันตระเวนหาลูกอีกละสิ”
“ก็คงงั้นแหละค่ะ แต่ตามยังไงก็ไม่มีวันพบหรอกค่ะ เว้นแต่จะไปตู่เอาลูกชาวบ้านมาเป็นลูกตัวเองเท่านั้นแหละค่ะคุณดาว”
ปานดาวหน้าเสียไปเหลือบมองธัญวิทย์ พูดเสียงเครียด ร้อนตัวขึ้นมาทันที
“แกว่าใครหรือเปล่า...คงไม่ได้หมายถึงฉันด้วยนะ”
พิมได้สติ รีบปฏิเสธ
“อุ๊ย...ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่”
พิมหันไปทางหนึ่งเห็นป้าแก้วยืนอยู่
“แค่นี้ก่อนนะคะ”
พิมวางสายลงแล้วเดินไป ทำทีไม่แยแสป้าแก้ว
“นังพิม...แกวางสายทำไม...” ปานดาวเสียงดัง
“ไม่เอาน่า...เสียงดัง” ภูวดลปราม
ก้องภพหันมองมาพอดี

ป้าแก้วเดินเข้าหาพิม
“มีอะไรเหรอป้า”
“สาระแนนักนะ แกใช่มั้ยที่ทำให้คุณเดือนอาละวาด”
“อุ๊ย ฉันคงไม่มีความสามารถขนาดนั้นหรอกป้า...ทำคนดีให้เป็นคนบ้าได้เนี่ย มันต้องเป็นผู้วิเศษ เว้นแต่ว่าคุณปานเดือนจะเป็นบ้าอยู่ก่อนแล้ว”
“นังพิม...ข้าวบ้านนี้มันไม่มียางเลยหรือไง แกถึงได้คิดเนรคุณคุณปานเดือน ทั้งที่เธอเป็นลูกสาวของเจ้าของบ้านนี้”
“อ้าว...ป้า...ลามปามใหญ่แล้ว นี่ฉันยังไม่รู้เรื่องอะไรด้วยนะ มาถึงก็ด่ากันฉอดๆ ๆ ยังงี้ ระวังจะไม่แก่ตาย บอกไว้ก่อนนะ ถ้าคนอย่างฉันต้องติดคุก ก็ไม่ขอเป็นฆาตกรฆ่าคนแก่อย่างป้าตายหรอก มันเสียเกียรติ”
พิมเดินลอยหน้าไป ป้าแก้วฉวยมือไว้ พิมหันมา
“อะไรอีกล่ะป้า”
“ทำไมแกต้องโทรรายงานคุณปานดาวด้วย”
“อันนี้ก็เป็นเรื่องของฉันเหมือนกัน ป้าไม่เกี่ยว...หรือว่าไปติดนิสัยสอดรู้สอดเห็นมาจากใครเหรอป้า...”
พิมสะบัดมือ แล้วเดินไป ป้าแก้วมองตามสายตาแค้นๆ
“ถือว่ามีคุณปานดาวคอยถือหาง ฮึ...ฝากไว้ก่อนเถอะ”

ปานดาว ภูวดล ธัญวิทย์เดินผ่านโต๊ะ ก้องภพยิ้มแย้มให้
“กลับแล้วหรือครับ คุณดาว”
“ใช่...ต้องรีบกลับไปบ้าน จู่ๆ ยัยเดือนก็อาละวาดขึ้นมา”
ก้องภพแปลกใจ
“ตกลงคุณเดือนเธอป่วยเป็นอะไรแน่ครับ บางทีก็เห็นดีๆ แล้วทำไมบางทีก็อาละวาด ผมว่าอาการแบบนี้มันแปลกๆ นะครับ”
“แม่บอกผมว่าน้าเดือนเป็นบ้า” ธัญวิทย์พูดโพล่งขึ้นตามประสาเด็ก
ภูวดลส่งสายตาดุปรามลูก
“ไม่เอาน่าธัญวิทย์...ไปกันเถอะ...”
ปานดาวยิ้มให้ก้องภพ
“ฉันไปก่อนนะ แล้วอย่าลืมเรื่องที่เราคุยกันไว้ล่ะ ฉันน่ะอยู่ข้างเธอเสมอ ทำให้เต็มที่เลยนะก้องภพ...”
“ขอบคุณครับ”
ปานดาว ภูวดล ธัญวิทย์ออกไปจากร้าน ก้องภพยิ้มอย่างย่ามใจที่มีปานดาวเป็นพวก

ภาคินขับรถมาจอดที่หน้าตึก ทั้งหมดลงจากรถมา ปานฟ้ารีบวิ่งเข้าไปในบ้าน ภาคินกับบุญทิ้งมองไปรอบๆ บุญทิ้งตะลึงในความใหญ่โตของบ้านปานฟ้า
“ทำไมบ้านใหญ่จัง พี่ปานฟ้าคงรวยมากเลยนะครับ”
ภาคินนั่งลง พูดกับบุญทิ้ง ต้องการให้บุญทิ้งเข้าใจเรื่องความแตกต่างของคน
“ความรวยหรือความจน ไม่ได้วัดว่าใครเป็นคนดีหรือคนไม่ดีหรอกนะบุญทิ้ง...พี่ว่าอย่าไปสนใจเลย”
“ครับ พี่ภาคิน”
พิมเดินออกมาแล้วชะงัก เมื่อเห็นบุญทิ้งกับภาคิน
“หรือว่าไอ้เด็กคนนี้ คือคนเดียวกับที่คุณเดือนไปหา...” พิมหน้าซีดไป
ปานฟ้าเข้าไปข้างใน ชะงักเมื่อเห็นข้าวของแตกกระจายอยู่ สายอุษาประคองปานเดือนนั่งลงที่โซฟาพอดี
“พี่เดือน...”
ปานเดือนเห็นปานฟ้าก็ร้องไห้
“ยัยฟ้า...พี่นึกว่าเธอทิ้งพี่ไปแล้ว นึกว่าเธอจะไม่มารับพี่ไปหาลูกบุญทิ้งแล้ว”
ป้าแก้วกับสายอุษา สบตากันด้วยความสะเทือนใจ
“ใครบอกพี่เดือนล่ะคะว่าฟ้าไม่มารับ แต่ฟ้าไปรับใครบางคนมาหาพี่เดือนต่างหาก...”
ปานเดือนตาเป็นประกายดีใจพูดเสียงสั่น
“ใคร...พาใครมาหาพี่...”
ภาคินกับบุญทิ้งเข้ามาในห้องโถง ปานเดือนยิ้มทั้งน้ำตา ดีใจจนปากคอสั่นระริก
“บุญทิ้งลูกแม่...”
ปานเดือนโผมากอดบุญทิ้งไว้แนบอก
“แม่นึกว่าแม่จะไม่ได้เจอบุญทิ้งแล้ว...มาหาแม่แล้วก็มาอยู่กับแม่ซะที่นี่เลยนะลูก...แม่จะไม่ยอมให้ใครพรากลูกของแม่ไปไหนอีกแล้ว...”
บุญทิ้งมองหน้าภาคิน
“คงไม่ได้หรอกครับ คุณเดือน”
ปานเดือนถามเสียงแข็ง
“ทำไม...ก็ในเมื่อเด็กคนนี้เป็นลูกของฉัน...”
ปานฟ้ารีบแก้สถานการณ์
“ฟังคุณภาคินก่อนสิคะพี่เดือน”
ปานเดือนหันมาทางปานฟ้า
“ไม่ฟัง...เธอก็เหมือนกัน เห็นคนอื่นดีกว่าพี่หรือไง ถึงจงใจให้เขามาพรากลูกไปจากอกพี่”
“โธ่...ไปกันใหญ่แล้วพี่เดือน...”
ปานฟ้าสบตาภาคินกับบุญทิ้ง
“เอ้อ...ผมว่าถ้าคุณเดือนคิดถึงบุญทิ้ง ก็ไปหาที่มูลนิธิได้ หรือว่าจะให้ผมพาบุญทิ้งมาที่นี่ก็ได้”
สายอุษาเห็นด้วย
“นั่นสิ แม่ว่า...”
ปานเดือนส่ายหน้า สะอื้น กอดบุญทิ้งแน่น ร้องไห้โฮๆ
“ใจร้าย...ลูกจ๋า มีแต่คนใจร้ายกับเรา ไม่ยอมให้เราอยู่ด้วยกัน บุญทิ้งเห็นมั้ยลูก แม่ใจจะขาดแล้ว ฮือๆๆ”
“พี่เดือน...มานั่งที่นี่ดีกว่านะคะ” ปานฟ้าหันมาทางป้าแก้ว “ป้าแก้วขาช่วยหาน้ำ หาขนมให้บุญทิ้งกับคุณภาคินด้วยจ้ะ...”
“ค่ะ...”
ป้าแก้วเดินออกไป ปานเดือนพาบุญทิ้งไปที่โซฟา ปานเดือนใช้มือลูบผมและกอดบุญทิ้งไว้อย่างแสนรัก...สายอุษากับปานฟ้าคุยกันเบาๆ ส่วนภาคินนั่งเงียบๆ อยู่มุมหนึ่ง
“ดีนะที่ฟ้ามาทันเวลา ไม่งั้นแม่ไม่รู้จะจัดการยังไง”
“ฟ้าผิดเองค่ะแม่ แต่มันก็สุดวิสัย รถดันมาเสีย...”
สายอุษามองไปที่ปานเดือน
“โธ่เอ๊ย จะตู่เอาลูกคนอื่นมาเป็นลูกตัวเองหรือเปล่า ก็ไม่รู้ เวรกรรมอะไรของยัยเดือนนะ”

ภูวดลขับรถไปตามถนน ปานดาวนั่งข้างๆคุยโทรศัพท์อยู่
“ดี...ฉันจะรีบกลับไปเดี๋ยวนี้แหละ...” ปานดาวปิดโทรศัพท์ “แส่ไม่เข้าเรื่องนะนังฟ้า...”
พิมยิ้ม ขณะที่มือยังถือโทรศัพท์อยู่
“สนุกละทีนี้...”
พิมหัวเราะเบาๆ เดินออกไป ขณะเดียวกัน ภูวดลถามขึ้นอย่างสงสัย
“อะไรหรือคุณ”
“รีบกลับบ้านเถอะค่ะ”
ธัญวิทย์โวยวายขึ้นมาทันที
“ไหนคุณแม่จะพาผมไปเที่ยวไงครับ”
“ไว้พรุ่งนี้ก็แล้วกัน แม่จะพาไปเที่ยวเอง”
“แต่พรุ่งนี้ลูกต้องไปโรงเรียนนะ” ภูวดลแย้ง
“หยุดสักวัน คงไม่ทำให้ลูกโง่หรอกน่า”
ธัญวิทย์ ยิ้มพอใจ
“จริงครับ คุณแม่”
ภูวดลมองหน้า ปานดาวรีบเร่ง
“ขับเร็วๆ หน่อยสิ”

ปานดาว ภูวดล ธัญวิทย์เข้ามาในบ้านเห็นสายอุษานั่งอยู่ข้างๆปานฟ้า มีภาคินนั่งอยู่ด้วย
พิมออกมาแล้วส่งสัญญาณบอก ว่าบุญทิ้งอยู่ด้านใน ภูวดลเดินเลี่ยงไป ปานดาวนั่งลงข้างๆ ภาคินยกมือไหว้ ปานดาวไม่รับไหว้ แต่ถามขึ้น
“ทำยังไงให้ยัยเดือนอาละวาดได้ นี่เสียงดังไปถึงหน้าบ้านหรือเปล่า ระวังข้างบ้านจะแจ้งตำรวจจับข้อหาเสียงดังเอะอะ จะเดือดร้อนกันไปทั่ว”
สายอุษามองหน้าลูกสาว
“ไม่มีใครเขาคิดร้ายกับบ้านเรายังงั้นหรอก...หวั่นก็แต่คนในบ้านน่ะแหละ...”
ปานดาวแหวใส่แม่ทันที
“หมายความว่ายังไงล่ะคะคุณแม่”
“น้องสาวไม่สบาย แทนที่เธอจะเป็นห่วง กลับพูดจาให้ร้ายน้อง”
ปานดาวสะบัดหน้า น้อยใจ
“ใช่สิ...คนอย่างดาว พูดอะไรไม่เคยถูก ทำอะไรก็ไม่เคยถูก ไม่เคยมีความดีสักนิดในสายตาคุณแม่ ดาวก็แค่อยากจะบอกคุณแม่ว่า คนบ้าก็ต้องอยู่โรงพยาบาลบ้า จะให้มาปะปนกับคนดีๆ อย่างพวกเราไม่ได้”
สายอุษาลุกขึ้นยืนอย่างโกรธจัด
“ยัยดาว...อย่าลืมสิว่ายัยเดือนน่ะน้องสาวของแกนะ”
“อุ๊ย...คนบ้ายังงั้น ยังจะนับมันเป็นญาติอีกเหรอคะ รู้ถึงไหนอายเขาถึงนั่น” ปานดาวปรายตามองปานฟ้า “ใครอยากนับก็เชิญตามสบายเถอะย่ะ”
ปานดาวก้าวฉับๆ ออกไปจากห้องโถง สายอุษาระบายลมหายใจ ปานฟ้าหน้าเสียหันมาหาภาคิน
“ฟ้าขอโทษแทนพี่ดาวด้วยนะคะ คุณภาคิน”
ภาคินยิ้มปลอบใจ
“ไม่เป็นไรครับ”
สายอุษาถอนหายใจ
“ชาติก่อนฉันทำกรรมอะไรไว้นะ มีลูกถึงไม่ได้ดั่งใจเลย”
เสียงกรีดร้องของปานเดือนดังมาทันที ทุกคนพรวดพราดวิ่งไป

ธัญวิทย์ปัดจานขนมของบุญทิ้งออกห่าง บุญทิ้งตกใจ ปานเดือนตกใจหวีดร้องขึ้นมา ภูวดลมองอย่างสะใจ
“มันเป็นใครครับพ่อ...” ธัญวิทย์ถามอย่างไม่พอใจ
“พ่อก็ไม่รู้”
ปานเดือนร้องไห้ กอดบุญทิ้งไว้
“ลูกแม่...เป็นอะไรหรือเปล่า” ปานเดือนหันไปด่าธัญวิทย์ “ไอ้เด็กบ้าไอ้เด็กใจร้าย”
ปานดาวเข้ามาพอดี
“นังเดือน แกมีสิทธิ์อะไรมาว่าลูกธัญวิทย์ของฉัน...หา”
บุญทิ้งมองไปที่ธัญวิทย์
“มองทำไม ออกไปจากบ้านฉัน”
ปานฟ้าวิ่งนำทุกคนเข้ามา
“หยุดนะตาวิทย์ เธอไม่มีสิทธิ์พูดยังงั้น...” ปานฟ้าตวาด
ปานดาวหันขวับมาทันที ธัญวิทย์วิ่งไปกอดแม่
“ทำไมธัญวิทย์จะพูดไม่ได้ ไม่จริงหรือไง ไอ้เด็กข้างถนนคนนี้ต่างหากที่มันควรรู้ไว้ว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ของมัน”
ภูวดลมองหน้าปานฟ้า
“หรือว่าคุณฟ้า เห็นเด็กอื่นดีกว่าหลานแท้ๆ ของตัวเอง”
สายอุษารีบห้าม
“พอทีเถอะ ไม่เห็นเหรอว่ายัยเดือนเป็นอะไร”
ปานเดือนท่าทางเหมือนช็อก ตาเหม่อลอย แข็งๆ หอบหายใจแรงๆ แล้วกรีดร้องออกมาสุดเสียง
“กรี๊ด...”
ปานฟ้ารีบกอดปานเดือนไว้ บุญทิ้งผละออกไปหาภาคิน
“พี่ภาคิน...”
ภาคินกอดบุญทิ้งไว้ เป็นจังหวะเดียวกับที่ปานเดือนค่อยๆ เป็นลมหมดสติ สายอุษาตกใจ
“ยัยเดือน...เร็ว ช่วยกัน...โธ่ เดือนลูกแม่...”
ปานดาวกับ ภูวดลยิ้มเยาะ เดินออกไป ธัญวิทย์เดินตามไปผ่านหน้าบุญทิ้งก็จ้องหน้าเหยียดหยัน
“พาไปส่งโรงพยาบาลดีกว่าครับ...” ภาคินบอก
“ช่วยหน่อยเถอะค่ะคุณ...” สายอุษาขอร้อง
ภาคินอุ้มปานเดือนออกไป สายอุษาร้องไห้ตามไปติดๆ มีป้าแก้ววิ่งตามไปด้วยอย่างเป็นห่วง ปานฟ้าตามออกไป
ภาคินอุ้มปานเดือน มาที่รถของปานฟ้าเปิดประตูเบาะหลังให้ ภาคินประคองปานเดือนนอนที่เบาะหลัง แล้วปิดประตู อ้อมไปที่นั่งฝั่งคนขับ
“คุณแม่...ฝากบุญทิ้งด้วยนะคะ...”
“จ้ะ ขับรถดีๆ นะ”
“ไม่ต้องห่วงค่ะคุณฟ้า ป้าจะดูแลเด็กบุญทิ้งเอง” ป้าแก้วบอก
ปานดาว ภูวดล ธัญวิทย์ และพิมออกมาจากข้างใน ปานฟ้ามองหน้าปานดาว
“จำไว้นะพี่ดาว ถ้าพี่เดือนเป็นอะไรไป ฟ้าจะไม่ให้อภัยพี่ดาวเลย...”
“แกจะว่าพี่ก็ไม่ถูก นังเดือนมันเป็นบ้า พูดนิดพูดหน่อยก็อาละวาด ยังงี้ต่อไป พูดอะไรก็ต้องระวังสิ...โอ๊ย ประสาทตายเลย”
“ถูกต้องค่ะ ตราบใดที่พี่ดาวยังเห็นพี่เดือนเป็นน้องสาว พี่ดาวก็ต้องระวังตัว...”
ปานฟ้าเข้าไปในรถ ปิดประตู รถของปานฟ้าห่างออกไป บุญทิ้งจะตามออกไป แต่ภูวดลกระชากตัวเข้ามาหาตะคอกใส่
“จำไว้นะไอ้หนู อย่ามาที่นี่อีก ไม่งั้นแกตายแน่...”
บุญทิ้งเม้มปาก น้ำตาไหล กลัวภูวดล ทันใดนั้นเสียงเติมบุญดังขึ้น
“ปล่อยเด็กนั่นเดี๋ยวนี้”
ทุกคนหันมาเห็น เติมบุญเดินเข้ามา ปานดาวอึ้งไป
“คุณพ่อ...”

ใกล้ค่ำ...เฟื่องแก้วปิดหน้าต่าง ดูแลความเรียบร้อย มองไปรอบๆอย่างไม่สบายใจ เฟื่องแก้วเดินไปทางหนึ่งจนถึงห้องทำงานของภาคิน เธอเปิดประตูเข้าไป เห็นโต๊ะทำงานว่างเปล่า
“ป่านนี้ยังไม่กลับ สงสัยว่าจะไปด้วยกัน...ฮึ...”
เฟื่องแก้วน้อยใจระคนคับแค้นใจ ตุลย์เดินมาพอดี เฟื่องแก้วหันมาเห็น อารมณ์ขุ่นมัว
“นึกว่ากลับไปแล้วซะอีก”
“ทำไมต้องรีบ นี่ก็ไม่ใช่เวลาทำงาน ให้ผมนั่งเล่น นอนเล่นเป็นเพื่อนคุณก่อนไม่ได้รึไง”
“ก็ฉันอยากอยู่คนเดียวนี่...”
“อยู่คนเดียวเหงาตาย จะไปสนุกอะไร อยู่สองคนสิ มันถึงจะดี...”
ตุลย์ยิ้มหวาน ส่งสายตาเจ้าชู้ให้ เฟื่องแก้วไม่ใส่ใจ
“เฮ้ย...ไม่ขำโว้ย...”

บุญทิ้งนั่งทานขนมอยู่ มีป้าแก้วคอยดูแลอยู่ เติมบุญนั่งอยู่ด้วย
“อร่อยมั้ยลูก”
“ขนมเค้กนี่ คุณปานฟ้าทำเองเลยนะ” ป้าแก้วบอก
“พี่ปานฟ้าเก่งจังครับ...อร่อยด้วย” บุณทิ้งชื่นชม
เติมบุญหัวเราะเบาๆหน้าตามีความสุข
“พ่อแม่หนูเป็นใครเหรอ เล่าให้ตาฟังบ้างได้มั้ย”
บุญทิ้งหน้าเสียไป
“ผมไม่ทราบครับ...คนที่เลี้ยงผมเล่าว่าพ่อแม่ผมเอาผมมาทิ้งไว้ที่กองขยะ” บุญทิ้งก้มหน้า น้ำตาคลอ
ป้าแก้วสะเทือนใจ เติมบุญโอบศีรษะบุญทิ้งมาแนบกับอกตัวเอง ปลอบใจ
ขณะเดียวกัน...สายอุษาโทรศัพท์บอกอนิรุทธิ์ เรื่องปานเดือนอยู่ในบ้าน
“พ่อรุทธิ์เหรอ รีบไปที่โรงพยาบาลนะ ยัยเดือนกำลังแย่”

สายอุษาหน้าเศร้า ค่อยๆ วางโทรศัพท์ลง










Create Date : 02 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2555 15:23:52 น.
Counter : 267 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]