All Blog
ปางเสน่หา ตอนที่ 9 (ต่อ)


ทางด้านศรีตรังขณะนั้นเธอเข้านอนแล้ว แต่จู่ๆ มีเสียงกุกกักเหมือนคนกำลังเดินขึ้นบันไดมาศรีตรังลืมตาทันที ศรีตรังค่อยๆ ล้วงไปใต้หมอนหยิบปืนออกมาแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นก้าวลงจากเตียง ย่องไปยืนข้างประตูด้วยสีหน้าท่าทางคล่องแคล่ว

ที่หน้าบ้าน เสียงหวานปรากฏตัวขึ้นข้างรถธง เสียงหวานเหลียวซ้ายชะโงกขวาแล้วเดินมาชะโงกหน้าต่างมองเข้าไปในรถแต่ภายในรถว่างเปล่า
“ไม่เห็นมีใครเลย”
เสียงหวานเดินสำรวจบริเวณนั้นแล้วชะงักเมื่อได้ยินเสียงคล้ายคนดิ้นอยู่หลังพุ่มไม้ใกล้ ๆ เสียงหวานรีบเดินไปยังทิศที่มาของเสียง
“ตายแล้ว”
เสียงหวานอุทานด้วยความตกใจ ยกมืออุดปากเมื่อเห็นธงถูกใส่กุญแจมือ คล้องไว้กับต้นไม้ ปากถูกปิดด้วยเทปกาวแน่นหนา เสียงหวานรีบเข้าไปจะดึงเทปออกเพื่อช่วยตามสัญชาติญาณ
“ขอโทษนะคะ ฉันจะเอาเทปออกให้”
เสียงหวานเอื้อมมือไปจะแกะเทปแต่ก็วืด เสียงหวานถอนใจ ลุกยืนมองไปที่ตัวบ้านแล้วเบิกตากว้าง เพราะขณะนั้นภายในบ้านศรีตรังค่อยๆ ก้าวลงบันไดมาถึงชั้นล่างสุด ศรีตรังหน้าเครียดเขม็งขณะส่องปืนไปตามมุมต่างๆ
แต่จู่ๆ มีปืนอีกกระบอกค่อยๆ จ่อมาติดตัวศรีตรังพร้อมเสียงขยับไกปืนพร้อมยิง ศรีตรังชะงักยืนนิ่ง
“ส่งปืนมา” ศรีตรังขยับ “ช้าๆ” ศรีตรังค่อยๆ ยกมือขึ้นเจียงดึงปืนมา “แกเป็นใคร”
เจียงถามพร้อมกับใช้ปืนดันศรีษะศรีตรังจนหน้าคะมำ
“เฮ้ย! พูดดีๆ ก็ได้ นี่สุภาพสตรีนะเว้ย” ศรีตรังโวยวาย
“พูดมากนักนังนี่ เดี๋ยวได้เจ็บตัว” เจียงบอกพร้อมกับเสียงหมาหอนดังเข้ามา เจียงและศรีตรังถึงกับชะงัก “หมาที่ไหนดันมาหอนตอนนี้”
“คุณหนูเผือก” ศรีตรังพึมพำออกมาเบาๆ เจียงดันหลังศรีตรัง
“เดินออกไปเร็วๆ เข้า”
“หมาหอนเพราะมันเห็นผี”
“บอกให้เดินออกไป”
ศรีตรังขยับเดิน ทันใดนั้นมีลมพัดวูบเข้ามาอย่างแรงจนประตูเปิดแล้วกระแทกปิดปังอย่างแรง เจียงและศรีตรังถึงกับสะดุ้ง
“ท่าจะไม่ดีแล้วละ หัวโกร๋นได้ง่ายๆ นะแก” ศรีตรังบอก
“ฉันมีพระ” เจียงบอก
“พระย่อมไม่เข้าข้างคนผิด”
“เอ๊ะ นังนี่”
เจียงพูดและยกปืนจะฟาดหัวศรีด้วยความหงุดหงิด แต่แล้วก็สะดุ้ง เพราะเสียงหมาหอนมาดังอยู่หน้าบ้าน
“เอาไงดี” ศรีตรังแกล้งถาม
“ออกไป ผีบ้าผีบอที่ไหน ฉันไม่กลัวทั้งนั้น” เจียงผลักศรีตรังไปที่ประตู “เปิด”

ศรีตรังยังไม่ทันจะเอื้อมมือไป แต่จู่ๆ ประตูเปิดออกเอง เจียงถึงกับชะงัก
“เฮ้ย ประตูเปิดเอง”
ศรีตรังบอก เจียงไม่สนใจผลักศรีตรังออกไปแล้วเดินตาม พอทั้งสองก้าวออกมาจากบ้านประตูก็ปิดเองดังปัง
เจียงหันขวับไปมอง ศรีตรังจึงฉวยจังหวะนี้แย่งปืนคืนจากเจียงแต่เจียงไม่ยอมง่ายๆ ทั้งคู่จึงต่อสู้กัน...เสียงหวานปรากฎตัวขึ้นและเชียร์ศรีตรังเต็มที่ แต่พอศรีตรังเพลี่ยงพล้ำก็ปิดตาแล้วร้องเตือนให้ระวัง จนกระทั่งมีเสียงขึ้นไกปืนและเสียงธงดังขึ้น
“เฮ้ย หยุด!”
เจียงหันมามองจึงโดนศรีตรังถีบจนหน้าคว่ำ
“นี่แน่ะ ขอแถมหน่อย”
ธงเข้ามาล็อกตัวเจียงแล้วจัดการใส่กุญแจมือ
“ทีแรกนึกว่าใคร ที่แท้ก็แกนี่เองไอ้เจียงเจ้าเก่า ผมขออนุญาตพาไอ้เจียงกลับบ้านเก่าเลยนะครับ”
“เฮ้ย! อย่านะเว้ย”
“เอาไปให้พ้นเร็วๆ ฉันเหม็นขี้หน้ามันเต็มทีแล้ว”
“ไป” ธงผลักเจียงหน้าคะมำออกไป
“เดี๋ยวฉันก็ออกมาได้ใหม่ เส้นใหญ่เสียอย่าง...ลาทีแต่มิใช่ลาก่อน แล้วพบกันอีกนะคนสวย” เจียงหันไปบอกศรีตรัง ธงต่อยปากเจียงโครม “โอ๊ย”
ธงแกล้งทำเป็นตกใจ
“อ้าวเฮ้ย! ขอโทษที มือมันกระตุกว่ะ”
“ไอ้จ่าธง อย่าให้ถึงทีกูบ้างก็แล้วไป”
“ถึงยากว่ะ”
ธงลากเจียงไปขึ้นรถแล้วขับออกไป ศรีตรังถอนใจยาวแล้วเดินกลับเข้าบ้าน

เมื่อล็อคประตูเรียบร้อยแล้วศรีตรังเดินมาทรุดตัวลงนั่งครู่หนึ่ง แล้วนึกขึ้นได้
“ขอบคุณมากนะคะ คุณหนูเผือกเสียงหวาน” ลมเย็นๆ โชยมาวูบหนึ่ง ศรีตรังห่อตัวกอดอกด้วยรู้สึกหนาวเยือกขึ้นมา ขณะที่ไฟซึ่งดับอยู่กลับปิดๆ เปิดๆ “คุณหนูเผือกรับรู้เฉยๆ ก็ได้ค่ะ ไม่ต้องมีสัญญาณตอบรับ” ทุกอย่างเข้าสู่สภาวะปกติ ศรีตรังถอนใจยาว แล้วต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อเสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้น “โธ่เอ๊ย!” ศรีตรังลุกเดินมารับโทรศัพท์ “ฮัลโหล”
“ไอ้ศรี! จ่าธงโทรมาเล่าให้ฉันฟัง”
“เออ! ฉันเกือบตายแน่ะ ดีที่คุณหนูเผือกเสียงหวานของแกมาช่วยไว้”
เสียงหวานปรากฏตัวขึ้นฟัง เมื่อรู้ว่าเตชิตโทรมา
“แล้วเขายังอยู่ที่นั่นหรือเปล่า”
“เมื่อกี้อยู่ แต่ตอนนี้คิดว่าน่าจะไปรายงานแกแล้ว”
“เขาไม่มาบอก ฉันบอกให้อยู่เป็นเพื่อนแก”
“ขอบใจ แต่ฉันไม่รบกวนดีกว่า ไอ้เจียงมันถูกจับไปแล้ว ตอนนี้คงไม่มีอะไร”
“ไว้ใจได้เรอะ ให้เขาอยู่ที่นั่นแหละดีแล้ว แค่นี้นะ”
“เออ” ศรีตรังวางโทรศัพท์ลง
“ไม่ต้องกลัวหรอกค่ะ ฉันหลอกไม่เป็น” เสียงหวานบอกแต่ศรีตรังไม่ได้ยิน ศรีตรังลุกขึ้นแล้วเดินไปตรวจดูประตูหน้าต่างอีกทีก่อนจะเดินขึ้นข้างบน เสียงหวานมองตามเศร้าๆ “คุณโชคดี”
ศรีตรังเดินกลับเข้ามาในห้อง วางปืนไว้บนโต๊ะข้างเตียงตามเดิมแล้วทรุดตัวลงนั่งสูดลมหายใจยาวรวบรวมความกล้า
“คุณหนูเผือกเสียงหวานคะ” เสียงหวานปรากฏตัวขึ้นข้างหลังศรีตรัง “ฉันขอโทษที่กลัวคุณ แต่ความกลัวมันห้ามไม่ได้จริงๆ ค่ะ”
เสียงหวานยิ้มให้ศรีตรัง
“ฉันเข้าใจค่ะ”
“เอาเป็นว่า ฉันจะพยายามไม่กลัวคุณแล้วก็จะพยายามช่วยไอ้เตสืบให้ได้ว่าคุณเป็นใคร”
“ขอบคุณมากค่ะ คุณเป็นคนดีแล้วก็เหมาะสมกับคุณเตชิตมาก...ฉันก็จะเอาใจช่วยคุณทั้ง 2 คน” ศรีตรังสวดมนต์แล้วล้มตัวลงนอน “ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”
เสียงหวานบอกแล้วเดินผ่านประตูออกไป
เช้าวันรุ่งขึ้นเตชิตกับธงเดินออกจากร้านอาหารกลับมาที่รถ
“ขอบคุณมากครับสำหรับอาหารเช้า” ธงบอก
“ก็จ่าอุตส่าห์มาขับรถให้ฉันนี่”
“ผมนอนเต็มอิ่มแล้วครับ” ธงชะงัก แล้วพยักเพยิดไปข้างหลังเตชิต “ผู้กองดูนั่น”
เตชิตหันไปมองจึงเห็นเจียงเดินมากับทนายความที่มาประกันตัว

“ไอ้เจียง” เตชิตขบกราม เจียงโบกมือให้เตชิตอย่างแจ่มใสแถมส่งจูบ
“ม้อ’นิ่ง อะไรเอ่ย จับแล้วปล่อย”
เจียงแกล้งถามเตชิตกำมือแน่น
“ใจเย็นครับผู้กอง” ธงกระซิบบอกแล้วจับแขนเตชิตไว้
“ไปก่อนนะ บอกแล้วว่าเส้นเบ้อเริ่มเทิ่ม”
เจียงและทนายความเดินมาที่รถและเมื่อเปิดประตูรถจึงเห็นพอลนั่งอยู่ในรถ
“ไอ้พอลก็มาด้วย”
ทนายความขับรถพาเจียงซึ่งนั่งคู่กันออกไป โดยเจียงโบกมือบ๊าย บายเตชิตกับธง ทั้งคู่มองตามอย่างแค้นๆ
เตชิตมาหาเสนาที่ห้อง ขณะนั้นเสนากำลังนั่งทำงานอ่านสำนวนการสืบสวน เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น
“เข้ามา”
เสนาบอกประตูเปิดออกแล้วเตชิตเดินเข้ามา เสนาเหลือบมองเหมือนรำคาญแว่บหนึ่ง
“ผู้กำกับปล่อยไอ้เจียงไปหรือครับ”
“เออ”
“ผมอยากทราบว่าทำไม”
เสนาเอนตัวพิงพนักด้วยท่าทางสีหน้าฉุนๆ
“หมวด หมวดมานั่งที่ผมแล้วผมไปยืนที่หมวดเอามั้ยแลกกัน”
“ผม...”
“ก็ทนายเขามาประกันตัว”
“มันบุกรุกบ้านผมเมื่อคืน”
“เมื่อไหร่หมวดถึงจะเข้าใจซักทีว่า อย่ามายุ่งเรื่องนี้ มีงานอะไรก็ทำไป”
“แต่...”
“หรือว่าอยากถูกย้าย” เตชิตอึ้งไป “ไปได้”
เตชิตทำความเคารพ แล้วเดินไปที่ประตู แล้วหันกลับมาใหม่
“ผมสำนึกอยู่เสมอว่าเงินเดือนที่ผมใช้ซื้อข้าวกินทุกวันนี้มาจากภาษีของประชาชน เพราะฉะนั้นผมจะทำทุกอย่างเพื่อให้คุ้มกับเงินภาษีนั้น”
เตชิตเปิดประตูเดินออกไป เสนาถอนใจเฮือก
เตชิตกลับมาบ้าน ศรีตรังยกกาแฟมาวางตรงหน้าเตชิตแล้วทรุดตัวลงนั่งตรงข้าม
“ฉันหนักใจแทนแกว่ะ แกจับ เขาปล่อย แกจับ เขาปล่อย แล้วเมื่อไหร่ยาเสพติดมันจะหมดวะ”
“ผู้กำกับเสนาเคยเป็นคนมีอุดมการณ์ ฉันก็ไม่เข้าใจว่าอะไรทำให้แกเปลี่ยนไป”
“เงินไง เงินทำให้ผู้กำกับเสนาเปลี่ยนอุดมการณ์ แล้วยังทำให้คนอีกคนเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนตัวเองพร้อมกับอุดมการณ์ด้วย”
“หมายถึงผู้กองพอล”
ศรีตรังนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วเปลี่ยนเรื่อง
“คุณหนูเผือกเสียงหวานของแกอยู่ที่นี่ด้วยหรือเปล่า”
เตชิตขยับตัวเหมือนนึกได้
“เออ ไม่เห็นเลย อยู่ข้างบนหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“ขึ้นไปดูซิ”
เตชิตพยักหน้าแล้วเดินขึ้นข้างบน
เตชิตเข้ามาในห้องแล้วมองหาเสียงหวานแต่ไม่เห็นเธอ
“เสียงหวาน เสียงหวาน คุณอยู่ที่ไหนน่ะ”
ในห้องยังคงเงียบสนิท

ขณะนั้นเสียงหวานมาปรากฎตัวที่บ้านปรกเดือน เสียงหวานเหลียวมองโดยรอบเหมือนพยายามจะทบทวนความทรงจำ เสียงหวานเห็นแจ๋วกำลังทำความสะอาดบ้านจึงเดินเลยขึ้นบันไดไปที่ห้องปรกเดือน
เสียงหวานก้าวเข้ามาในห้องปรกเดือนแล้วมองไปที่เตียงจึงเห็นปรกเดือนนั่งเหม่อลอยมองออกไปนอกหน้าต่าง
เสียงหวานเดินมาที่ปรกเดือนนัยน์ตามองปรกเดือนอย่างพิศวง
“แปลกจัง ทำไมคนจะมีลูกถึงได้เศร้านัก หรือว่าคุณยังไม่อยากมี...”
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นพร้อมกับเสียงแจ๋ว
“คุณเดือนคะ คุณเดือน แจ๋วทำข้าวต้มให้แล้ว คุณจะลงไปทานข้างล่างหรือให้แจ๋วเอาขึ้นมาให้คะ”
“เดี๋ยวฉันลงไปทานเอง”
“ค่ะ”
ปรกเดือนลุกเดินมาทรุดลงนอนบนเตียงต่อ
“คุณ คุณคะ ลงไปทานข้าวก่อนดีมั้ย” เสียงหวานบอกแต่ปรกเดือนไม่ได้ยิน ปรกเดือนพลิกตัวนอนตะแคงหันหลังให้ “ลืมไปว่า คุณคงไม่ได้ยิน”
เสียงหวานยืนมองปรกเดือนนิ่งครู่หนึ่งแล้วเดินออกไป
เสียงหวานก้าวออกมาจากห้องปรกเดือนแล้วมองไปโดยรอบก่อนจะเดินไปที่บันได เสียงหวานเดินเรื่อยๆ จนถึงหน้าห้องปรายดาว เสียงหวานหยุดชะงักเหมือนมีบางอย่างดึงดูด เสียงหวานนิ่งมองครู่หนึ่งแล้วขยับจะก้าวเข้าไปในห้องปรายดาว จังหวะนั้นมีเสียงประตูเปิดแล้วปิดเสียงหวานหันไปมองจึงเหก็นปรกเดือนเดินออกมาแล้วเดินตรงไปที่บันได
ปรกเดือนเดินช้าๆ มาที่บันไดนัยน์ตาท่าทางเหมือนยังเบลอๆ ปรกเดือนเดินผ่านเสียงหวานมาที่บันไดแต่จังหวะนั้นร่างปรกเดือนโงนเงนเหมือนจะตกลงไปเสียงหวานร้องออกมาด้วยความตกใจ
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย คุณคะ ถอยมา ถอยมา”

เสียงหวานอ้อมมาด้านหน้าแล้วรวบรวมกำลังขวางเอาไว้ ร่างปรกเดือนเหมือนมีอะไรมาขวางเธอจึงทรุดลงนอน หวุดหวิดเกือบตก เสียงหวานทรุดตัวลงก้มหน้าลงมามองปรกเดือน นัยน์ปรกเดือนตาเลื่อนลอยแต่สำนึกสุดท้ายปรกเดือนเห็นใบหน้าเสียงหวานรางๆ เลือนๆ แล้วหมดสติไป
เสียงหวานหน้าตื่นขณะปรากฏตัวขึ้นกลางห้องเตชิต แล้วรีบเดินมาปลุกเตชิต
“คุณเตชิตคะ ...คุณเตชิต”
เตชิตลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย
“อย่าเพิ่งมากวน ผมง่วง” เตชิตพลิกตัวจะหันหลังให้
“ฉันคิดว่า เธอเห็นฉันคะ”
เตชิตพลิกกลับแล้วลุกขึ้นนั่งทันที
“ใคร! ไอ้ศรีเรอะ”
“ไม่ใช่ค่ะ เจ้าของบ้านนั้น คุณ...คุณเดือนน่ะค่ะ”
“คุณไปที่นั่นมา”
“ค่ะ อยู่ดีๆ ฉันก็ไปได้แปลกจัง”
“อีกหน่อยก็ไปได้ทั่วราชอาณาจักร” เตชิตประชด
“ฉันรู้สึกแปลกๆ”
“ขอแสดงความยินดี” เตชิตนอนต่อ “อย่าเพิ่งกวนผม ผมจะนอน”
เสียงหวานหน้าจ๋อย
แจ๋วโทรบอกเดนนิสเรื่องปรกเดือนขณะนั้นเดนนิสอยู่ที่คอนโดเจนจิรา เดนนิสนึกเป็นห่วงปรกเดือนจึงรีบเดินไปที่ประตู
“อ้าว!เสี่ยจะกลับละหรือคะ ยังไม่ได้ทานอะไรเลย” เจนจิราถาม
“ปรกเดือนเป็นลม”
เดนนิสบอกแล้วเปิดประตูออกไป เจนจิราชักสีหน้าอย่างไม่พอใจ
“มารยาน่ะซิ ฮึ! เพี้ยงขอให้มันตายไปให้พ้นๆ เลย”
เดนนิสรีบมาที่บ้านปรกเดือน ขณะนั้นปรกเดือนนอนดมยาดมอยู่ในห้องด้วยสีหน้าอ่อนระโหย
“รับยาหอมหน่อยเถอะค่ะ” แจ๋วบอก
“ไม่ ขอบใจ”
ประตูห้องเปิดออก เดนนิสรีบเดินเข้ามาแจ๋วจึงเลี่ยงออกไป
“เป็นยังไงบ้าง” เดนนิสถามเสียงเรียบแต่แฝงไว้ด้วยความเป็นห่วง
“ยังไม่ตายสมใจคุณหรอกค่ะ”
เดนนิสถอนใจเฮือก
“หมดอารมณ์เลย ไอ้เราอุตส่าห์รีบมาเพราะเป็นห่วง” ปรกเดือนหลับตาลง นอนพลิกตัวหันหลังให้ เดนนิส พยายามระงับความขุ่นมัว “ทีหลังจะขึ้นจะลงบันไดต้องระวังหน่อย หรือระยะนี้ลงไปอยู่ข้างล่างก่อนดีไหม จะให้ช่างมาทำห้องให้”
“ไม่ต้องค่ะ ขอบคุณ”
“เห็นแจ๋วบอกว่ากินข้าวไม่ค่อยได้”
ปรกเดือนทำเหมือนง่วงมากจนไม่อยากพูด เดนนิสมองนิ่งๆ สีหน้าเหมือนน้อยใจแกมหงุดหงิดขึ้นมาครู่หนึ่ง แล้วเดินออกไปเงียบๆ ปรกเดือนลืมตาขึ้นน้ำตาไหลเป็นทาง

เดนนิสออกจากห้องปรกเดือนลงไปคุยกับแจ๋วข้างล่าง ระหว่างนั้นเสียงหวานปรากฎตัวขึ้นมองเดนนิสอย่างเพ่งพิศ
“พวกนั้นมาอีกหรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ”
“ฉันจะส่งคนมาเฝ้าที่นี่”
เดนนิสบอกแล้วเดินออกไป แจ๋วรีบเรียกไว้
“เสี่ยค่ะ” เดนนิสหันกลับมา แจ๋วมองซ้ายมองขวาแล้วลดเสียงลง “คุณดาวค่ะ!”
เดนนิสชะงัก
“ปรายดาวทำไม!”
“หมู่นี้เธอกระตุกบ่อย”
“แล้วบอกคุณผู้หญิงเขาหรือเปล่า”
“บอกค่ะ”
“ทีหลังไม่ต้องบอก! ถ้าปรายดาวมีอะไรผิดปกติให้บอกฉันคนเดียว!”
“แต่คุณปรกเดือนเธอก็เข้าไปดูน้องเธอทุกวันนะคะ”
“เขาเห็นเองก็แล้วไป!”
เดนนิสเดินกลับขึ้นไปข้างบน เสียงหวานรีบตามไปทันที
เดนิสเดินขึ้นมาชั้นบนแล้วเดินตรงไปห้องปรายดาว เสียงหวานตามไปอย่างกระชั้นชิด เดนนิสเปิดประตูห้องปรายดาวแล้วก้าวเข้าไปเสียงหวานขยับจะก้าวตามแต่แล้วก็ชะงัก เมื่อได้ยินเสียงเกษรินดังแว่วมาจากที่ไกลๆ
“ไฟไหม้ ไฟไหม้ ไฟไหม้!”
เสียงหวานหายไปจากที่นั้นทันที
ขณะนั้นเตชิตยังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง เสียงหวานปรากฎตัวขึ้น แล้วรีบเดินมาก้มลงกระซิบเรียกเตชิต
“คุณเตชิต คุณเตชิต” เตชิตนิ่วหน้าเริ่มรู้สึกตัว “คุณเตชิต” เตชิตลืมตาขึ้นอย่างหงุดหงิด แล้วอ้าปากจะต่อว่าแต่เสียงหวานรีบพูดก่อน “ไฟไหม้ค่ะ”
“อะไรนะ”
เตชิตและเสียงหวานรีบลงมาข้างล่าง จึงเห็นศรีตรังกำลังคุยโทรศัพท์ด้วยสีหน้าและน้ำเสียงตกใจสุดๆ
“ลุงสมช่วยจัดการแทนศรีไปพลางๆ ก่อนนะค่ะ ศรีจะกลับเดี๋ยวนี้!” ศรีตรังปิดโทรศัพท์ แล้วหันมาทางเตชิต “ไอ้เต! ฉันต้องรีบกลับ ลุงสมโทรมาบอกว่าไฟไหม้ที่ไร่”
เตชิตหันมาสบตาเสียงหวานแว่บหนึ่ง
“ฉันจะขับรถให้ รอเดี๋ยว จะขึ้นไปเอากุญแจรถก่อน”
เตชิตรีบเดินกลับขึ้นไป ศรีตรังเดินไปปิดหน้าต่าง
เตชิตขับรถพาศรีตรังกลับไร่ ระหว่างทางศรีตรังพยายามจะโทรถึงคนในไร่ แต่ติดต่อใครไม่ได้สักคนเดียว
“ติดต่อใครไม่ได้หรือ” เตชิตหันมาถาม ศรีตรังพยักหน้า
“แกขับให้มันเร็วกว่านี่หน่อยได้ไหม”
“ถ้าเร็วกว่านี้ มีหวังได้ไปอยู่กับเสียงหวานแน่!” เสียงหวานซึ่งนั่งอยู่เบาะหลังถึงกับหน้าจ๋อย “เสียงหวาน คุณติดต่อกับเพื่อนไม่ได้หรือ!”
“ผีไม่มีโทรศัพท์ค่ะ” เสียงหวานประชด
“แล้วทำไมเมื่อกี้ คุณถึงได้ยินเสียงเพื่อนคุณล่ะ!”
“น่าจะเป็นกระแสจิตชั่วแวบเดียวค่ะ”
“กลุ้ม! กลุ้ม! กลุ้ม! กลุ้ม”
ศรีตรังบอกออกมา เตชิตเบือนหน้ามามองศรีตรังอย่างเห็นใจแว่บหนึ่ง แล้วตบไหล่เบาๆ
“เฮ่ย! ทำไจดีๆ ถึงกลุ้มก็ทำอะไรไม่ได้!”
ศรีตรังหลับตาเอนศีรษะพิงพนักครู่หนึ่งแล้วลืมตาขึ้น นัยน์ตาเป็นประกายวาว
“ต้องเป็นไอ้เดนนิสกับพวกของมันแน่!”
“จริงด้วยค่ะ” เสียงหวานเห็นด้วย
“เงียบ” เตชิตต่อว่าเสียงหวาน เสียงหวานเม้มปากแล้วเลือนหายไป “เสียงหวาน... เดี๋ยวนี้พูดอะไรนิดหน่อยก็ไม่ได้” เตชิตบ่น
“แกลองสำรวจตัวเองบ้างหรือเปล่า” ศรีตรังถาม
“ทำไม”
ศรีตรังนิ่งไม่ตอบ เตชิตถอนใจเฮือก

ขณะนั้นที่ไร่ข้าวโพดของศรีตรัง คนงานพยายามจะช่วยกันดับไฟที่ลุกโหมอย่างน่ากลัว กว่าเตชิตกับศรีตรังจะเดินทางมาถึงเปลวเพลิงก็สงบลงแล้ว เหลือไว้เพียงร่องรอยแห่งความสูญเสีย ทุกคนยืนคอตกอย่างสลดหดหู่พวกผู้หญิงถึงกับน้ำตาไหล...ศรีตรังยืนมองไร่ข้าวโพดตัวเองด้วยแววตาที่เจ็บปวดอ้อยลอบมองศรีตรังด้วยความสะใจ
ศรีตรังน้ำตาคลอขึ้นมา เตชิตเบือนหน้ามามองแล้วโอบไหล่ศรีตรังเข้ามาอย่างปลอบโยน ศรีตรังสะอื้นฮักๆ เตชิตโอบกอดอย่างปลอบประโลม อ้อยจ้องมองอย่างไม่พอใจ เสียงหวานยืนอยู่ข้างเตชิตมองเตชิตกับศรีตรังด้วยสีหน้าสลดลงแล้วร่างของเธอก็เลือนหายไป
“ขอตัวก่อนนะคะ ศรีอยากอยู่คนเดียว”
ศรีตรังบอกเมื่อกลับมาบ้าน จากนั้นเธอก็เดินขึ้นข้างบนทุกคนมองตามอย่างเห็นใจ ในขณะที่อ้อยมองตามเยาะๆ
“แม่คุณ คงจะเสียใจมาก” จุรีบอกขณะมองตามศรีตรัง
“ด้วยความเคารพ เป็นใครใครก็เสียใจทั้งนั้นแหละครับ” สมบอก
“ยังดีที่ไหม้เฉพาะไร่ข้าวโพดแล้วก็รีสอร์ท ไม่ลามมาถึงที่อยู่อาศัย” อ้อยบอก
“เอ๊ะ! นังอ้อย” จุรีดุอ้อย
“ผมจะออกไปดูแถวนี้หน่อย” เตชิตบอก
“อ้อยไปเป็นเพื่อนค่ะ” อ้อยรีบบอก จุรีดึงแขนอ้อยไว้
“ไม่ต้อง อยู่ที่นี่แหละ”
อ้อยหน้างอ ขณะมองเตชิตเดินออกไป
เมื่อเข้ามาในห้องศรีตรังตัดสินใจโทรศัพท์หาพอล พอลเดินมารับโทรศัพท์สีหน้าเหมือนยินดีแว่บหนึ่งที่เห็นชื่อคนที่โทรเข้ามา
“ศรีตรัง”
“เป็นไง สะใจคุณแล้วใช่ไหม” ศรีตรังต่อว่าอย่างคับแค้นเต็มที่
“เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน”
“ฉันหมดเนื้อหมดตัวแล้ว ไร่ข้าวโพดถูกเผาหมด ยังเหลือแต่ชีวิตฉันมาเลย มาเอาไปให้หมด”
ศรีตรังปิดโทรศัพท์หลังจากพูดจบ
“ศรีตรัง”
พอลพยายามโทรกลับไปหาศรีตรัง แต่ไม่มีสัญญาณตอบรับ พอลจึงตัดสินใจหยิบกุญแจรถเดินออกไป
ส่วนเตชิตหลังจากเดินออกมาด้านนอก เตชิตก็มองหาเสียงหวานแต่ไม่เห็นจึงร้องเรียก
“เสียงหวาน เสียงหวาน คุณอยู่ที่ไหน” เงียบไม่มีเสียงตอบรับ “เสียงหวาน คุณอยู่แถวนี้หรือเปล่า”
ทุกอย่างยังเงียบ เตชิตถอนใจแล้วเดินหาต่อ เสียงหวานปรากฏตัวขึ้นแล้วมองตามเตชิตอย่างเศร้าๆ
ขณะนั้นพอลกำลังเดินมาที่รถ เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นพอลรีบกดรับ
“ครับ...เดือน”
“พอล เดือนเห็นแกค่ะ เดือนเห็นปรายดาว”
“ใครนะครับ”
“เดือนว่าต้องใช่แน่ๆ ก่อนที่เดือนจะหมดสติ ยัยดาวมาช่วยไว้ให้เดือนตกบันได”
“ผมกำลังจะไปธุระ เดี๋ยวกลับมาค่อยคุยกันนะ”
“ค่ะ”
พอลปิดโทรศัพท์ ปรกเดือนวางโทรศัพท์ลงแล้วถอนใจยาว
“ดาว...ใช่เธอจริงๆ ใช่ไหม พี่อยากเห็นเธออีก มาให้พี่เห็นอีกนะปรายดาว”
ปรกเดือนหลับตาลงอย่างอ่อนเพลีย
ค่ำวันนั้นเตชิตนอนก่ายหน้าผากอยู่บนโซฟาในห้องรับแขกบ้านศรีตรัง เตชิตกระสับกระส่ายนอนไม่หลับ จนกระทั่งมี
เสียงหมาหอนดังมาไกลๆ จนในที่สุดมาอยู่หน้าประตูบ้าน เตชิตค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งดึงผ้ามาถึงหน้าอก แล้วกอดหมอนแน่น
“สะ...สะ...เสียง...เสียงหวาน”
“ฉันอยู่นี่ค่ะ”
เตชิตหันขวับไปมองจึงเห็นเสียงหวานยืนอยู่ในเงามืด เตชิตถอยใจอย่างโล่งอก
“ค่อยยังชั่ว”
“คุณนึกว่าฉันเป็นเกษรินหรือคะ”
“คุณหายไปไหนมา”
“ฉันพยายามหาทางไปผุดไปเกิด”
“ทำไม”
“เพราะมันเป็นวิถีของดวงวิญญาณอย่างพวกเรา”
เตชิตนิ่งไปครู่หนึ่ง
“แล้วพบหรือเปล่า”
“ยังค่ะ...ทั้งฉันทั้งเกษรินยังติดกับอะไรบางอย่างในโลกนี้ทำให้ไปไม่ได้ เกษรินต้องการให้คนที่ฆ่าเธอได้ชดใช้กรรมของ
เขา ส่วนฉันก็อยากรู้ว่าตัวเองเป็นใคร”
“คุณคือปรายดาว”
“แล้วทำไมฉันถึงต้องตายกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อน ... ฉันต้องไปบ้านนั้นอีก เวลาอยู่ที่นั่นฉันรู้สึกแปลกๆ”
มีเสียงรถแล่นมาจอดที่หน้าบ้าน เตชิตกับเสียงหวานหันไปมองที่ประตู
“ใครมา”
เตชิตหยิบปืน เดินไปที่ประตูค่อยๆ เปิดออก พอลกำลังจะกดโทรศัพท์ถึงกับชะงักเมื่อเห็นเตชิต
“ผู้กองเตชิต”
“ไอ้ผู้กองพอล”
“นายอยู่ที่นี่เรอะ” พอลมองเตชิตตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ใช่ แล้วนายล่ะมาทำไม”
“ฉันมาหาศรีตรัง”
“มีธุระอะไร”
“นายไม่เกี่ยว”
“เสียใจ ฉันเกี่ยวเต็มๆ”
เสียงหวานซึ่งฟังอยู่ตัดสินใจหายไปจากที่นั้นทันที
ขณะนั้นศรีตรังยืนอยู่ที่หน้าต่างห้องมองลงมาเห็นพอลและเตชิตดูเหมือนจะปะทะคารมกัน ศรีตรังมองครู่หนึ่งแล้วตัดสินใจเดินออกไปจากห้อง
พอลผลักอกเตชิตเพื่อจะเข้าไปหาศรีตรัง
“หลีกไป”
“ไอ้พอล” เตชิตจะเข้ามาเอาเรื่องพอลแต่ต้องชะงักเพราะเสียงศรีตรังดังขึ้นซะก่อน
“ไอ้เต” สองหนุ่มหันไปมอง ศรีตรังจ้องพอลเขม็ง “ฉันขอจัดการกับนายคนนี้เอง”
“ศรี”
“ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันดูแลตัวเองได้”
“ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็เรียกแล้วกัน”
ศรีตรังพยักหน้า เตชิตมองพอลแล้วเดินกลับเข้าข้างใน

เตชิตกลับเข้าบ้านแล้วทรุดตัวลงนั่งพร้อมกับถอนใจเฮือกแล้วเหลียวมองหาเสียงหวาน
“เสียงหวาน เสียงหวาน” ทุกอย่างเงียบสนิท “เดี๋ยวนี้ไปไหนมาไหนคนเดียวโดยไม่ต้องพึ่งใครแล้วนี่”
ด้านนอกศรีตรังตบหน้าพอลอย่างแรงจนน้าหัน พอลขบกรามยืนนิ่ง ศรีตรังน้ำตาคลอด้วยความแค้นใจ ตบอีกข้างพอลยังคงนิ่ง ศรีตรังตบอีกด้านละข้างแต่พอลยังยืนนิ่ง ในที่สุดศรีตรังอัดอั้นตันใจร้องไห้โฮออกมา
“พอแล้วหรือ”
พอลถามเสียงเรียบ
“นายมันเลว เลวที่สุด นายปล่อยให้ไอ้เดนนิสมันเผาไร่ เผารีสอร์ทของฉันจนพินาศหมด” ศรีตรังหันไปชี้บ้าน “อ้อ! ยัง ยังเหลือบ้านอยู่อีกหลังนึง ทำไมไม่เผาให้หมดล่ะ เอาซิ เผาเลย เผาให้เกลี้ยง อย่าให้ฉันเหลืออะไรแม้แต่นิดเดียว”
“ศรีตรัง”
พอลเรียกอีกฝ่ายเสียงอ่อย ศรีตรังชี้หน้า
“อย่าปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่อง นายเป็นคนสนิทของไอ้เดนนิส” ศรีตรังล้วงกระเป๋าหยิบไฟแช็คส่งให้ “ เอ้า! นี่ไฟแช็ค ฉันเตรียมมาให้นายเผาบ้านฉันให้สะใจ เอาไปซิ เผาอย่าให้เหลือ”
พอลยืนนิ่งตามองไฟแช็ค ศรีตรังจับมือพอลแบออก กระแทกไฟแช็คลงไป มือพอลจับมือศรีตรังเอาไว้ขณะที่ศรีตรังจะดึงออกไป ศรีตรังพยายามดึงมือออกแต่พอลจับไว้แน่น
“ทำไมไม่ฟังกันบ้าง”
“ปล่อย”
“ผมเตือนแล้วใช่มั้ยว่าอย่าเข้ามายุ่งมันอันตราย แต่คุณก็ยังดื้ออยากจะเอาชนะ...เวียนเข้าเวียนออกบ้านเขาอยู่นั่นแหละ โกหกไม่เนียน ทำให้เขาจับได้” ศรีตรังชะงัก “คุณไปบอกคนที่นั่นว่าชื่ออ้อยใช่ไหมล่ะ” ศรีตรังเม้มปาก “เสี่ยน่ะเขาไม่โง่หรอก! เขาให้คนมาสืบจนรู้ว่า คุณชื่อศรีตรังส่วนอ้อยน่ะเป็นลูกแม่บ้าน แล้วเขาจะปล่อยคุณเอาไว้ทำซาก
อะไรล่ะ”
“อ้อ! แล้วไอ้ที่ฉันทำฉันคิดน่ะ มันเลวร้าย ถึงขนาดต้องทำลายกันขนาดนี้เชียวเรอะ เอาซี้! เผามันให้เกลี้ยง ไฟแช็คอยู่ในมือแล้วนี่ ถ้าหากมันยังไม่สมกับความผิดของฉัน ก็โยนฉันเข้าไปในกองไฟเสียด้วยเลย แล้วก็ไปเอาความดีความชอบเลียแข้งเลียขาไอ้เสี่ยชั่วมันต่อ”
“อยากจะตายพร้อมกันใช่มั้ยล่ะ ไอ้เตมันอยู่ในบ้านด้วยนี่”
พอลอดพูดแดกดันไม่ได้
“เออ! ตายด้วยกันแล้วจะได้ไปเกิดด้วยกันทุกชาติเลย แล้วสำหรับนายฉันจะขอตั้งจิตอธิษฐานอย่าให้ได้พบได้เจอกันอีกเลย”
พอลมีสีหน้าเหมือนจะสะเทือนใจ ขว้างไฟแช็คทิ้งแล้วหันหลังเดินไป ศรีตรังตะโกนไล่หลัง น้ำตานองหน้า
“ไอ้คนใจร้าย ไอ้คนใจดำอำมหิตฉันขอแช่งนายให้พอออกไปพ้นไร่ฉัน ก็ถูกรถชนตาย! ถ้าอยู่บนรถก็ให้รถคว่ำ ไอ้คนชั่ว!”
พอลขบกรามแน่นแล้วเดินไปขึ้นรถขับออกไป
ศรีตรังเดินร้องไห้กลับเข้าบ้าน เตชิตนั่งมองอยู่ถึงกับส่ายหน้า
“อ้าว! เมื่อกี้เห็นกล้าหาญชาญชัยด่าเขาปาวๆๆ พอเขาไปก็มาร้องไห้ขี้มูกโป่ง”
“หยุดนะไอ้เต”
“แกรักมัน ทำไมไม่พูดกันดีๆ วะ”
“ฉันเกลียดมัน เกลียดที่สุดในโลก”
ศรีตรังตะโกนพลาง ร้องไห้พลาง เตชิตเดินมาหาแล้วกอดหัวศรีตรังไว้
“ไม่เอาน่า ยิ่งอ้วนอยู่แล้ว พอร้องไห้หน้ายิ่งบวมเข้าไปใหญ่”
เสียงหวานปรากฏตัวขึ้นข้างหลังคนทั้งสอง ตกใจกับภาพตรงหน้ายกมืออุดปากไม่ให้ร้องออกมา
“ไอ้เตบ้า”
“อ้าว! ว่าบ้าเดี๋ยวก็ปล้ำเสียเลย”
ศรีตรังหัวเราะทั้งน้ำตา แล้วผลักเตชิตวิ่งหนีเตชิตวิ่งไล่ เสียงหวานน้ำตาคลอแล้วหายแว๊บไป ศรีตรังทรุดตัวลงนั่ง เตชิตเดินมานั่งข้างๆ
“หัวเราะออกแล้วนี่”
“ฉันอยากร้องไห้อีกแล้ว”
“เฮ้ย ร้องอะไรมากมาย ไป๊ ขึ้นไปนอนได้แล้ว”
ศรีตรังสูดลมหายใจยาว แล้วลุกขึ้น
“ขอบใจนะเว้ย ไอ้เต”
“เอากองไว้นั่นแหละ”
ศรีตรังหัวเราะ แล้วเดินขึ้นข้างบน เตชิตมองตามสีหน้ายิ้มแย้มค่อยๆ หุบลง
“ขอโทษว่ะ ไอ้ศรี ฉันบอกแกไม่ได้ว่าพอลมันไม่ใช่คนของไอ้เดนิส แต่เป็นตำรวจที่ต้องเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยง เพื่อขุดรากถอนโคนเจ้าพ่อยาเสพติด”
เตชิตนั่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วเดินออกไปข้างนอก
เตชิตเดินออกมาช้าๆ ลมเย็นๆ พัดมาเบาๆ เตชิตเดินมาหยุดอยู่มุมหนึ่งแล้วสูดลมหายใจยาว สีหน้าเตชิตดูสงบขึ้นจากบรรยากาศโดยรอบ แต่แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงหมาหอนดังขึ้น เตชิตสะดุ้งเฮือกหน้าตาเริ่มล่อกแล่ก
“เสียงหวาน นั่นคุณหรือเปล่า เสียงหวาน”
“เธอกำลังเสียใจมาก” เสียงเกษรินบอก
“สะ ...สะ...เสียง ...เสียงเย็น” หมาหอนกระชั้นชิดใกล้มาก เตชิตลูบต้นคอ “ทำ ...ทำไมมันเย็นต้นคอจัง” เตชิตค่อยๆ เบือนหน้ามามองด้านหลังจึงเห็นเกษรินยืนอยู่ค่อนข้างใกล้มาก เตชิตถึงกับสะดุ้งโหยง “เฮ้ย!”
“เสียงหวานเสียใจ”
เตชิตพูดไม่ออก หน้าตาเหมือนจะร้องไห้เสียให้ได้
“ผะ ...ผะ ...ผม ...ผม ...ขอ ...ขอตัว”
เตชิตหันหลังกลับจะเข้าบ้าน แต่เกษรินมายืนอยู่ตรงหน้า
“ไม่ต้องกลัว...”
“คุณก็พูดได้น่ะซิ”
“เสียงหวานเสียใจ”
“รับ... รับทราบครับ ...”
เกษรินค่อยๆ เลือนหายไป เตชิตเดินแกมวิ่งเข้าบ้าน
ที่บ้านปรกเดือน เสียงหวานปรากฏตัวขึ้นมุมหนึ่งของบ้านในลักษณะนั่งกอดเข่าร้องไห้ เสียงหวานนั่งอยู่ในอิริยาบถนั้นครู่หนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้น
“ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
เสียงหวานมีสีหน้าประหลาดใจ ลุกขึ้นมองไปโดยรอบแต่ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ เสียงหวานมองไปหยุดอยู่ที่ประตูตัวบ้านซึ่งปิดสนิท เธอค่อยๆ เดินตรงไปที่นั่นราวกับถูกดึงดูด เสียงหวานเดินผ่านประตูเข้าไปภายใน
ภายในบ้านมืดสลัว เนื่องจากทุกคนเข้านอนหมดแล้ว เสียงหวานเดินขึ้นบันไดช้าๆ ไปยังชึ้นบน เสียงหวานเดินขึ้นมาเรื่อยๆ จนผ่านห้องปรายดาวแต่แล้วเธอก็ต้องชะงักหยุดเดินหันมามองประตูห้องนั้น เสียงหวานค่อยๆ เดินมาที่ห้องปรายเดาวเหมือนต้องมนต์สะกด เสียงหวานเดินมาหยุดหน้าห้องลังเลครู่หนึ่งแล้วก้าวเข้าไป
เสียงหวานก้าวเข้ามาในห้องแล้วต้องประหลาดใจกับภาพตรงหน้าเมื่อเห็นร่างๆ หนึ่งนอนอยู่บนเตียงพยาบาล ... ท่ามกลางอุปกรณ์ช่วยชีวิตต่างๆ
“ใครน่ะ”
เสียงหวานเดินช้าๆ ไปหยุดที่ข้างเตียงแล้วมองไปที่หน้าคนๆ นั้น เสียงหวานเบิกตากว้างยกมืออุดปากสีหน้าบอกความตกใจและประหลาดใจสุดแสนจะบรรยายเพราะร่างที่นอนอยู่บนเตียงมีใบหน้าเหมือนเธอราวกับคนเดียวกัน แถมแต่งตัวเหมือนกันอีก เสียงหวานตกตะลึงมองภาพนั้นครู่หนึ่ง แล้ววิ่งปิดหน้าออกจากห้องนั้นไป
เสียงหวานปรากฏตัวที่บ้านศรีตรังข้างโซฟาที่เตชิตนอนอยู่
“คุณเตชิต คุณเตชิต คุณเตห่าง”
เตชิตค่อยๆ ลืมตาขึ้น ผุดลุกนั่ง
“เสียงหวาน”
“คุณเตชิต ฉัน ... ฉันเห็น ...เห็นตัวฉันค่ะ” เสียงหวานละล่ำละลักบอก
“ผมก็เห็น”
“ไม่ใช่ค่ะ... ฉันเห็นตัวฉันจริงๆ ไม่ใช่วิญญาณ”
เตชิตกำลังหาวถึงกับชะงัก
“คุณหมายถึงโครง เออ...โครงกระดูกของคุณน่ะเรอะ”
“ไม่ใช่ค่ะ ไม่มีโครงกระดูกเลย”
“คุณไปเห็นที่ไหน”
“ในบ้านนั้น บ้านคุณปรกเดือน ...บ้านพี่เดือน”
เตชิตมองเสียงหวานเหมือนไม่เชื่อหู
เช้าวันรุ่งขึ้นศรีตรังยกกาแฟมาเสิร์ฟให้เตชิตและที่ตัวเองเป็นน้ำส้ม
“มีแค่นี้นะ ถ้าไม่อิ่มแกเข้าครัวไปทอดไข่ดาวไส้กรอกเอง ป้าจุแกลาวันนึง”
“ไม่เป็นไร...” เตชิตเหลือบมองเสียงหวานแว่บหนึ่งแล้วบอกศรีตรัง “เสียงหวานไปเจอร่างตัวเองแล้ว”
ศรีตรังชะงัก
“แก...แกหมายถึง ...ศ...ศพน่ะเรอะ”
“ไม่ใช่ค่ะ คุณเตเล่าให้เธอฟังซิคะ”
“คืองี้...”
เตชิตกระแอมแล้วเล่าเหตุการณ์ตามที่เสียงหวานบอก พอเตชิตเล่าจบศรีตรังตบโต๊ะปังจนเตชิตกับเสียงหวานถึงกับสะดุ้ง
“ปรายดาวต้องเป็นน้องปรกเดือน ปรกเดือน ... ปรายดาว แล้วปรายดาวก็คือน้องเมียไอ้เดนนิส เฮ้ย! งั้นคุณหนูเผือกของแกก็...”
เตชิตกระแอมขัด
“ไอ้ศรี...” เตชิตทำมือทำไม้ชี้ไปเป็นทำนองว่าเสียงหวานอยู่ที่นี่ ศรีตรังพยักหน้าแล้วเงียบไป
“ฉันรู้ค่ะว่า แฟนคุณจะพูดอะไร” เสียงหวานบอก เตชิตทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“ศรีตรังจะพูดอะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับตอนนี้ คุณรู้เรื่องของตัวเองแล้ว ตกลงคุณเป็นอะไรตาย”
“ฉันยังไม่ตายค่ะ ฉันนอนอยู่บนเตียงมีอุปกรณ์ช่วยชีวิต ...ฉันยังหายใจอยู่เลยนะคะ”
“ไอ้เต บอกฉันบ้างซิว่าคุณหนูเผือกพูดอะไร” ศรีตรังสะกิดถามเตชิต
“เขาว่าร่างเขายังไม่ตาย ยังหายใจได้”
“แล้วทำไมถึงไม่เข้าไปในร่างล่ะ”
“จริงซิ ฉันมัวแต่ตื่นเต้นเลยลืมไป งั้นฉันไปลองทำดูก่อนนะคะ”
“เดี๋ยว”
เสียงหวานหายไปแล้ว
“เขาว่าไง” ศรีตรังถาม
“ไปแล้ว”
“ใครไปแล้ว”
“ก็คุณหนูเผือกของแกน่ะซิ รีบไปเข้าร่างของเขาแล้ว ศรีเราต้องเข้ากรุงเทพฯ เหมือนกัน”
“ขอถามอะไรหน่อยได้มั้ย”
“ซีเรียสเรอะ”
“เออ” เตชิตพยักหน้า “แกจะว่ายังไงถ้าหากพบว่า คุณหนูเผือกอยู่ในขบวนการค้ายาเสพติด” คำถามนี้ทำให้เตชิตอึ้งไป “แกต้องเตรียมใจไว้ให้พร้อม จะได้ไม่เสียใจภายหลัง เพราะมันมีเค้าว่าอาจเป็นไปได้ ดีไม่ดี เขาอาจตายเพราะเรื่องยาเสพติดก็ได้”
“ไปขึ้นรถ”
เตชิตพูดพลางเดินนำไป
“ฉันว่าแปลกๆ ว่ะ”
“ทำไม...ไอ้ศรี แกจะช่วยกรุณาหุบปากตลอดทางหน่อยได้มั้ย ฉันต้องใช้ความคิด”
“เออ เห็นแกคนที่กำลังจะอกหักว่ะ”
เตชิตทำตาขวางใส่ศรีตรังแว่บหนึ่ง
เสียงหวานกลับมาบ้านปรกเดือนแล้วปรากฎตัวที่ห้องปรายดาว ดวงตาเสียงหวานจับจ้องไปที่ร่างตัวเองที่นอนสงบนิ่งอยู่บนเตียง ทรวงอกสะท้อนขึ้นลงเบาๆ เสียงหวานเอียงคอมองร่างตัวเองอย่างเพ่งพิศ แล้วน้ำตาก็คลอออกมาด้วยความตื้นตันใจ
“อะไรนะที่ทำให้ ต้องมานอนร่างไปทาง วิญญาณไปทางอย่างนี้”
เสียงหวานขยับจะขึ้นบนเตียง แต่ต้องชะงักเมื่อมีเสียงเปิดประตูเข้ามา เสียงหวานหันไปดูจึงเห็นปรกเดือน
เดินเข้ามาติดตามด้วยแจ๋ว ปรกเดือนเดินมาที่เตียงเสียงหวานรีบหลีกทางให้ ปรกเดือนลูบแขนปรายดาวเบาๆ แล้วพูดอย่างอ่อนโยน
“เมื่อไหร่เธอถึงจะฟื้นขึ้นมาเสียที”
“แปลกนะคะ หมู่นี้คุณดาวเธอ ...”
แจ๋วพูดยังไม่ทันจบ ร่างปรายดาวก็กระตุก เสียงหวานสะดุ้ง มองภาพนั้นอย่างตกใจ
“อุ๊ย! อย่าเพิ่งเป็นอะไรนะ อย่าเพิ่ง”
ปรกเดือนจับแขนปรายดาวไว้ จนอาการกลับเป็นปกติ
“หรือว่า เธอจะฟื้นคะ”
แจ๋วบอกเสียงหวานทำตาโต พยักเพยิดอย่างดีใจ
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ภาวนาให้เป็นอย่างนั้น เดี๋ยวช่วยกันเช็ดตัวให้แกก่อน”
“ค่ะ”
แจ๋วเดินเข้าห้องน้ำเพื่อเตรียมน้ำสำหรับเช็ดตัว ปรกเดือนเริ่มแกะกระดุมเสื้อปรายดาว เสียงหวานยกมือปิดหน้าด้วยความอายและตกใจ แล้วร่างเธอก็หายไปทันที
เสียงหวานปรากฏตัวนอกห้อง สีหน้าท่าทางยังตกใจ จังหวะนั้นมีเสียงแตรรถดังขึ้นมา เสียงหวานหันขวับไปมอง
เดนนิสเดินเข้ามาในบ้าน เสียงหวานปรากฎตัวขึ้น
“เดือน ปรกเดือน ปรกเดือน”
ขณะที่เดนนิสตะโกนเรียกปรกเดือน เสียงหวานจ้องมองเดนนิสอย่างเพ่งพิศราวกับพยายามทบทวนความทรงจำ
เดนนิสหันมาเผชิญหน้ากับเสียงหวาน เสียงหวานสะดุ้งเฮือกดวงตาและสีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เสียงหวานค่อยๆ กลืนน้ำลายเหมือนกลัว
เดนนิสเดินตรงไปที่เสียงหวาน เสียงหวานงตัวสั่นเทาหลับตา เดนนิสเดินผ่านเสียงหวานขึ้นไปชั้นบนเสียงหวานลืมตาขึ้นแล้วหันกลับไปมองตาม
ขณะที่เตชิตกำลังขับรถเข้ากรุงเทพจู่ๆ เสียงหวานก็ปรากฏตัวขึ้นในรถเตชิต
“คุณเตชิต”
“เฮ้ย”
เตชิตสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ รถเสียหลักเป๋ไปเป๋มาจนศรีตรังตกใจ
“ไอ้เต ไอ้เต ระวัง ระวัง” เตชิตบังคับรถจอดข้างทาง แล้วถอนใจเฮือก “ผีหลอกแกเรอะ ไอ้เต”
ศรีตรังถามฉุนๆ เตชิตหน้าหงกปรายตามองข้างหลังแว่บหนึ่ง
“ใช่ นั่งอยู่ข้างหลังนั่น” ศรีตรังหันไปมอง แต่ไม่เห็นอะไร เสียงหวานยกมือไหว้เตชิตหน้าจ๋อย
“ขอโทษค่ะ พอดีฉันไปที่บ้านมา แล้ว...แล้วฉันก็เห็น ...”
เตชิตหันขวับไปหาเสียงหวานทันที
“เห็นใคร”
“เขา...เขา...น่ากลัวมาก”
“คุณหมายถึงใคร”
“ไอ้เต เล่าให้ฉันฟังบ้างอย่าฟังคนเดียว” ศรีตรังบอก
“แกอย่าเพิ่งสอด” เตชิตต่อว่าศรีตรังแล้วหันมาถามเสียงหวานต่อ “ใครที่น่ากลัว”
“สามี...”
“ฮ้า” เตชิตร้องเสียงหลงด้วยความตกใจจนเสียงหวานและศรีสะดุ้งเฮือกกับท่าทางตกใจ เสียงดังลั่นของเตชิต
“เสียงหวาน…คุณมีสามีแล้วเรอะ”
“ใช่ ไอ้เดนนิสหรือเปล่า” ศรีตรังรีบถาม
“บอกว่าอย่าเพิ่งสอด...” เตชิตต่อว่าศรีตรังแล้วหันมาตวาดเสียงหวาน “ว่าไง”
“สามีพี่สาวฉันค่ะ สามีพี่เดือน”
คำตอบนี้ทำให้เตชิตโล่งใจสุดๆ
“ค่อยยังชั่ว”
“ว่าไงได้เต”
“ไอ้สอด” เตชิตต่อว่าศรีตรังอย่างฉุนๆ จนศรีตรังสะดุ้ง “ถ้าแกขืนทะลุกลางปล้องบ่อยๆ ฉันจะเปลี่ยนชื่อแกจาก ศรีตรังเป็นสอดจัง”
“ก็แกเล่นฟังคนเดียว”
“ฉันก็ไม่ได้ห้ามไม่ให้แกฟัง แต่แกดันไม่ได้ยินเอง”
“เออ! เดี๋ยวแกฟังจบ แล้วค่อยเล่าก็ได้”
“แล้วอย่าสอดอีกล่ะ”
“ฉันเล่าต่อได้แล้วใช่ไหมคะ” เสียงหวานถาม
“ก็เล่าไปซิ”
“ฉันจำได้ว่า เค้าน่ากลัวมาก แต่ฉันจำรายละเอียดไม่ได้ มันเหมือน ...เหมือน ภาพที่ยังกระจัดกระจาย ฉันยังต่อไม่ติด” เตชิตสตาร์ทรถ “คุณโกรธฉันหรือคะ” !
เตชิตขับรถออกไปโดยไม่ตอบ ศรีตรังมองงงๆ
เมื่อถึงกรุงเทพเตชิตขับรถเข้ามาจอดในบริเวณบ้านตัวเอง เตชิตและศรีตรังลงจากรถ ซึ่งเสียงหวานยืนรออยู่ก่อนแล้ว
“ศรี แกอยู่นี่ก่อน”
“อ้าว แล้วแกจะไปไหน”
“ไปธุระ”
“ฉันไปด้วย”
“แกไม่อยากไปหรอก เชื่อเถอะ นี่ ...กุญแจบ้าน” เตชิตส่งกุญแจบ้านให้ศรีตรัง
“แกจะมารู้ได้ยังไงว่าฉันอยากหรือไม่อยากไปที่ไหน”
“ฉันรู้ก็แล้วกัน”
“แล้วแกจะทิ้งฉันไว้ที่นี่คนเดียวเรอะไง”
“ฉันให้เสียงหวานอยู่เป็นเพื่อน”
“โฮ้ย ให้ฉันอยู่กับผีเนี่ยนะ” เสียงหวานหน้าจ๋อย ศรีตรังรู้สึกตัว “อุ๊ย ขอโทษค่ะ”
“ห้ามไปไหน อยู่เป็นเพื่อนศรีตรังเข้าใจมั้ย” เตชิตสั่งเสียงหวาน
“เข้าใจค่ะ”
เตชิตเดินกลับไปขึ้นรถ แล้วขับออกไป ศรีตรังมองตามสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด แล้วตัดสินใจพูด
“คุณเสียงหวาน ฉันคิดว่าคุณคงอยู่แถวๆ นี้”
“ค่ะ”
“ฉันจะไปบ้านคุณ”
เสียงหวานสะดุ้งรีบบอก
“ ไม่ได้ค่ะ”
“ฉันจะเรียกแท็กซี่ คุณจะไปด้วยก็ไป แต่ห้ามบอกไอ้เตเด็ดขาดเข้าใจมั้ยคะ”
“คุณ คุณ ฉันไปกับคุณไม่ได้”
เสียงหวานตะโกนบอกแล้วชะเง้อมองตาม อย่างกระวนกระวาย
เตชิตขับรถมาจอดที่สถานีตำรวจแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาธง เพียงไม่นานธงก็เดินมาหาเตชิตที่รถเตชิตเปิดประตูรถให้ธง
“ได้มั้ย” เตชิตรีบถาม
“นี่ครับ” ธงส่งกระดาษที่จดเบอร์โทรศัพท์พอล
“ขอบใจ”
“ผู้กองจะนัดปรับความเข้าใจกับผู้กองพอลหรือครับ”
“ไปได้แล้ว”
“ผู้กอง”
“ไปทำงาน”
“ครับ”
ธงเปิดประตูรถลงไป เตชิตจึงกดโทรศัพท์หาพอลทันที
“ฉันเองเตชิต ฉันมีบางอย่างให้แกดู”
เตชิตนัดเจอกับพอลที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง...พอลเปิดประตูเข้ามาแล้วกวาดตามองหาจนเห็นเตชิตนั่งจิบกาแฟมุมหนึ่ง พอลเดินตรงเข้าไปแล้วทรุดตัวลงนั่ง
“จะให้ดูอะไร”
เตชิตหยิบซองข้างตัวมาเปิดแล้วหยิบรูปวาดเสียงหวานส่งให้พอล พอลรับมาดูชะงักนิดหนึ่งแล้วเป็นปกติ
“สวยดีนี่”
พอลบอกด้วยหน้าตาปกติ เตชิตแปลกใจแต่ไม่เชื่อนัก
“เขาชื่อปรายดาว”
“ชื่อก็เพราะ”
“เป็นน้องสาวของปรกเดือน เมียหลวงของไอ้เดนนิส”
“แล้วไง”
“อย่าบอกนะว่า แกไม่รู้จัก”
“ฉันไม่รู้จัก”
คำตอบนี้ทำให้เตชิตนึกฉุน
“ไอ้พอล”
“แกจะต่อยฉันในร้านกาแฟนี่เรอะ ไอ้เต”
“ถ้าจำเป็น”
สองหนุ่มมองหน้ากันราวกับจะหยั่งให้ถึงจิตใจแต่ละฝ่าย จังหวะนั้นเสียงหวานปรากฎตัวขึ้น
“คุณเตชิต”
“ผมบอกให้คุณอยู่เป็นเพื่อนศรีตรังไง้”
เตชิตบอกอย่างอ่อนอกอ่อนใจสุดๆ พอลมองหน้าเตชิตแล้วเหลียวซ้ายเหลียวขวาแต่ไม่เห็นเสียงหวาน
“เธอไปแล้วค่ะ” เสียงหวานบอก เตชิตผุดลุกขึ้นทันที
“ไปไหน”
“ไปบ้านนั้น”
“โว้ย เอาอีกแล้ว”
ตลอดเวลาพอลมองเตชิต พลางส่ายหน้าแล้วพูดเสียงต่ำๆ
“ไอ้เต นั่งลง คนเขามองแกกันหมดร้านแล้ว”
เตชิตเหลือบตาไปโดยรอบจึงเห็นผู้คนบริเวณนั้นมองเขาอย่างสนใจ
“คุณไปที่รถก่อน” เตชิตบอกเสียงหวาน เสียงหวานหายไปตามคำสั่ง
“แกจะถามฉันแค่นี้เรอะ” พอลถามเพราะเข้าใจว่าเตชิตพูดกับเขา
“ฉันไม่ได้พูด กับแก”
พอลชักจะมีอารมณ์บ้าง
“แล้วพูดกับผีเรอะไง”
เตชิตลืมตัว ตอบเสียงดังลั่น เรียกสายตาทุกคนในร้านอีก
“เออ! ผีมาบอกว่า ศรีตรังกำลังไปบ้านไอ้เสี่ยของแก”
“ผีที่ไหนมันจะรู้ขนาดนั้น”
“ก็ผีปรายดาวนี่ไง”
พอลชะงักจ้องหน้าเตชิตเขม็ง
เตชิตรีบเดินกลับมาที่รถโดยมีพอลเดินตามมาห่างๆ เตชิตเปิดประตูรถแล้วเรียกเสียงหวานทันที
“เสียงหวาน เสียงหวาน”
“ผีของแกบอกว่ายังไงอีก” พอลเดินเข้ามาถามเตชิต
“เขาไม่อยู่แล้ว สงสัยจะล่วงหน้าไปก่อน”
“ไอ้เต แกเครียดกับงานมากเกินไปแล้ว แกควรจะไปคุยกับจิตแพทย์บ้างนะ”
เตชิตหันขวับมามองพอล
“อ้อ แกหาว่าฉันบ้า”
“ยังไม่ถึงขั้นบ้า แค่เพี้ยน”
“งั้นก็ไปกับฉัน ไปพิสูจน์ให้มันชัดๆ ไปเลย”
พอลมองหน้าเตชิตซึ่งมั่นอกมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง
ระหว่างนั้นศรีตรังนั่งแท็กซี่มาลงหน้าปากซอยบ้านปรกเดือนแล้วเดินลัดเลาะเข้ามาบริเวณใกล้รั้วบ้าน ศรีตรังเหลียวซ้ายแลขวาขยับจะปีนแต่โทรศัพท์ดังขึ้นซะก่อน ศรีตรังสะดุ้งแล้วหยิบขึ้นมาดู
“จะโทร มาห้ามฉันล่ะซิ ไอ้เต... เสียใจ”
ศรีตรังจัดการปิดโทรศัพท์แล้วขยับจะปีนอีก เสียงหวานปรากฏตัวขึ้น
“ตายละ ทำยังไงดี”
ศรีตรังเริ่มปีนจับกิ่งไม้ใหญ่ไว้ เสียงหวานห่อปากแล้วเป่าลมออกมา ลมแรงพัดมาทันใดกิ่งไม้ที่ศรีตรังเกาะไว้หักลงมา
“โอ๊ย! ลมบ้าอะไรฮึ” ศรีตรังล้มกลิ้งกับพื้น เสียงหวานเป่าลมอีกลมแรงจนเสียงดังอู้ ฝุ่นผงบริเวณนั้นปลิวกระจาย
ศรีตรังปัดฝุ่นผงซึ่งลอยตลบไปหมด “เฮ้ย...ดินฟ้าอากาศแปรปรวนขนาดนี้แล้วเรอะเนี่ย”
ศรีตรังหลบไปนั่งมุมหนึ่งแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาปรกเดือนโดยไม่รู้ว่าขณะนั้นเดนนิสอยู่กับปรกเดือน
“ยังไม่ไปเอาออกอีกหรือ” เดนนิสถามปรกเดือนเรื่องเด็ก ปรกเดือนนั่งนิ่ง “ยิ่งช้ายิ่งอันตราย”
“เดือนตั้งใจแน่วแน่แล้วค่ะว่าจะเก็บไว้”
“จะเก็บไว้ทำซากอะไร ฉันไม่ได้อยากมี”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณ เดือนรับผิดชอบเอง ลูกของเดือนไม่จำเป็นต้องมีพ่อ...”
ปรกเดือนยังพูดไม่ทันจบเสียงโทรศัพท์เธอก็ดังขึ้น ปรกเดือนเหลือบมองเดนนิสมองตาม ปรกเดือนเดินมาจะหยิบโทรศัพท์แต่เดนนิสซึ่งอยู่ใกล้กว่าคว้าไว้ก่อน
“ขอโทรศัพท์”
“ทำไม รู้หรือว่าใครโทร.มา”
“ไม่ทราบค่ะ แต่ที่แน่ๆ เขาต้องเป็นเพื่อนเดือน”
ปรกเดือนแบมือขอโทรศัพท์คืน แต่เดนนิสกับกดรับเอง
“ฮัลโหล” ปรกเดือนมองด้วยความไม่พอใจอย่างยิ่ง ขณะที่ศรีตรังสะดุ้งเฮือกเสียงหวานมองอย่างกระตือรือร้น
“นั่นใคร”
เดนนิสถามเมื่ออีกฝ่ายเงียบไป ศรีตรังจึงดัดเสียงตอบ
“ต่อ...ต่อผิดค่ะ” ศรีตรังรีบปิดโทรศัพท์ “เกือบไป”
“ทำไมหรือคะ” เสียงหวานถาม แต่ศรีตรังไม่ได้ยินถอนใจเฮือก
“ซวยจริงๆ” เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีก ศรีตรังมองเบอร์ที่โทรเข้ามาแล้วหงุดหงิด “อีตาพอล โทรมาทำไม”
ศรีตรังปิดโทรศัพท์แล้วตัดสินใจเดินออกไป เสียงหวานถอนใจเฮือกอย่างโล่งอก
“ค่อยยังชั่ว” เสียงหวานจะตามศรีตรังไปแต่ตามไปไม่ได้ “ลืมไปว่าไปกับคนอื่นไม่ได้”
เสียงหวานหายไปจากที่นั้น แล้วมาปรากฎตัวที่เบาะรถข้างเตชิต
“เฮ้ย” เตชิตสะดุ้ง
“ขอโทษค่ะ”
“ศรีตรังเป็นยังไง ยังอยู่ดีหรือว่าถูกจับไปแล้ว”
“กลับบ้านคุณแล้วค่ะ”
“อ้าว ทำไม”
“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ คุณต้องไปถามเธอดูเอง”
เสียงหวานบอกแล้วหายไป
“เดี๋ยว เสียงหวาน เสียงหวาน” เสียงหวานไม่ปรากฏตัว “งอนอะไรอีกล่ะ”
เสียงหวานปรากฏตัวขึ้นที่รีสอร์ทของศรีตรังบริเวณซากรีสอร์ทที่ถูกไฟไหม้ เสียงหวานมองไปรอบๆ แล้วทรุดตัวลงนั่งทอดสายตามองไปข้างหน้าพร้อมกับน้ำตาที่คลอขึ้นมา
“แม้แต่สังขารของคนเรายังสูญสลายได้ นับประสาอะไรกับสถานที่”













Create Date : 23 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 23 กุมภาพันธ์ 2555 13:41:53 น.
Counter : 376 Pageviews.

0 comment
ปางเสน่หา ตอนที่ 9 (ต่อ)


พอลรีบมาบ้านปรกเดือน ระหว่างขับรถเข้ามาในซอยพอลมองซ้ายมองขวาหาศรีตรังแต่ไม่เห็นแม้แต่เงาของศรีตรัง

ในที่สุดพอลก็ขับมาถึงบริเวณหน้าบ้านปรกเดือน
“ไม่เห็นมีเลย หรือว่าจะเข้าไปหลบอยู่ข้างใน”
พอลกดแตร ครู่หนึ่งประตูเปิดออกแล้วพอลก็ขับเข้าไป
พอลขับรถเข้ามาจอดแล้วก้าวลงมา พอลเดินสำรวจบริเวณที่คิดว่าศรีตรังน่าจะแอบได้แจ๋วมองอย่างประหลาดใจ จนกระทั่งพอลเดินกลับมา
“คุณพอลหาอะไรหรือคะ”
“หาเรื่อง” แจ๋วยิ้มแห้ง ๆ “เมื่อกี้มีใครมาหาคุณเดือนหรือเปล่า”
“มีแต่เสี่ยค่ะ เพิ่งกลับไปเมื่อสักครู่นี้เอง”
พอลพยักหน้าแล้วเดินเข้าไป แจ๋วเดินตาม
พอลเดินเข้ามาในบ้านโดยมีแจ๋วเดินตาม ขณะนั้นปรกเดือนนอนอ่านหนังสือเกี่ยวกับแม่และเด็กอยู่บนโซฟา ปรกเดือนขยับลุกขึ้นนั่งเมื่อเห็นพอล
“พอล” ปรกเดือนลดเสียงลง ขณะเหลือบมองตามแจ๋วซึ่งเดินเลยไปอีกด้าน “ฉันกำลังอยากพบคุณอยู่พอดี”
“ศรีตรังมาที่นี่หรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ แต่ฉันคิดว่าเธอโทรศัพท์หาฉัน พอดีเสี่ยรับ”
“แล้วเสี่ยรู้หรือเปล่า”
“คงจะสงสัยค่ะ”
แจ๋วเดินยกถาดน้ำเข้ามา พอลจึงเปลี่ยนเรื่องคุย
“คุณบอกว่าดาวมีความเปลี่ยนแปลง”
“ค่ะ...หมู่นี้ปรายดาวเกร็งบ่อย ใช่ไหมแจ๋ว”
“บางทีแจ๋วยังคิดว่าเธอจะฟื้น”
“ผมขอขึ้นไปดูหน่อย”
“ไปซิคะ”
พอลลุกเดิน ปรกเดือนสบตาแว่บหนึ่งแล้วเดินตามไปโดยที่แจ๋วไม่ทันสงสัย
พอลเปิดประตูห้องปรายดาวแล้วเบี่ยงตัวให้ปรกเดือนเข้ามาก่อนแล้วตัวเองตามเข้ามาปิดประตูตามหลัง
“ไฟไหม้ไร่ข้าวโพดแล้วก็รีสอร์ทของศรีตรัง”
พอลบอก ปรกเดือนสะดุ้งเฮือกหันขวับมามอง
“อะไรนะคะ”
“ไร่ข้าวโพดกับรีสอร์ทของศรีตรังถูกไฟไหม้”
ปรกเดือนมองหน้าพอลริมฝีปากสั่นน้อยๆ
“เสี่ย...ใช่มั้ยคะ” พอลพยักหน้า ปรกเดือนเดินมาทรุดตัวลงนั่งบนเตียงปรายดาว “ทำไมเขาช่างไม่กลัวบาปกลัวกรรมเสียบ้างเลย เมื่อเช้าเขาก็พยายามจะพูดให้เดือนทำแท้งให้ได้”
พอลนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วเบือนหน้าไปมองปรายดาว
“คุณว่าหมู่นี้ดาวเกร็งบ่อยหรือ ...”
“ค่ะ เดือนเลยคิดว่าจะย้ายไปไว้ที่โรงพยาบาล เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นคุณหมอจะได้ช่วยทัน”
“ผมเห็นด้วย คุณจะย้ายไปวันไหน”
“โดยเร็วที่สุดค่ะ”
“งั้นผมจะไปติดต่อทางโรงพยาบาลให้”
“ขอบคุณค่ะ ต้องฝากคุณช่วยเป็นธุระให้หน่อยนะคะ”
“พูดอะไรอย่างนั้น ดาวเป็นน้องคุณก็จริง แต่ก็เป็นคู่หมั้นของผมด้วย”
ปรกเดือนมองพอลอย่างเพ่งพิศ
“ดาวอยู่ในสภาพอย่างนี้มา 2 ปีกว่าแล้ว โอกาสที่จะกลับมาเป็นปกติมีน้อยมาก ถ้าคุณจะมีคนใหม่ก็ไม่มีใครตำหนิหรอกค่ะ” พอลนิ่งไปแล้วถอนใจเบาๆ “คุณเป็นคนดี เดือนอยากให้คุณมีความสุข”
“ผมไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องนั้น”
พอลเบือนหน้าไปมองปรายดาว
ส่วนที่คอนโดเจนจิรา เจนจิราเหวี่ยงหนังสือที่กำลังอ่านอยู่ทิ้งอย่างหงุดหงิดแล้วหยิบอีกเล่มขึ้นมาแทน
เจนจิราเปิดไปได้ 3-4 หน้าแล้วเหวี่ยงทิ้งอีก
“โฮ้ย เบื่อ” เจนจิราหยิบโทรศัพท์มากดหาเดนนิส “เสี่ยขา”
“ยังไม่ต้องโทร.มา ว่างเมื่อไหร่ฉันจะโทร.ไปเอง”
เจนจิราน้ำตาคลอ นัยน์ตาเป็นประกายอย่างเคียดแค้นขณะวางโทรศัพท์ลง
“ไม่ว่าง ไม่ว่างมาตั้งหลายวันแล้ว คงจะไปกกอีนังเมียหลวงจืดชืดอยู่ละซิ” เจนจิราลุกเดินกลับไปกลับมาอย่างหงุดหงิด แล้วค่อยๆ ยิ้มเหมือนเพิ่งนึกออก “สวยเซ็กซี่ตัวแม่อย่างฉัน มีผู้ชายต้องการอีกเยอะแยะไป”
เจนจิราหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหาเตชิต เตชิตหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูแล้วทำหน้าแปลกใจเมื่อเห็นเบอร์แปลกๆ ก่อนจะกดรับ
“สวัสดีครับ”
“สวัสดีคะ คุณเต”
“ใครนะครับ”
“มีใครล่ะคะที่เรียกคุณว่าคุณเต” เจนจิราหัวเราะ เตชิตยิ่งแปลกใจผสมตื่นเต้น
“คุณเจนจิรา คุณทราบเบอร์โทรศัพท์ผมได้ยังไง”
“เจนโทร.ไปถามที่ศรีตรังรีสอร์ทตั้งแต่วันรุ่งขึ้น หลังจากที่เราไปสนุกด้วยกันนั่นแหละค่ะ”
“เอ๊ะ ทำไมผมไม่รู้”
“เขาคงกลัวว่า คุณจะโกรธน่ะซิคะก็เลยไม่บอก... คืนนี้คุณว่างหรือเปล่าคะ เจนจะชวนไป Hang out ซักหน่อย”
“ผมว่างเสมอสำหรับคุณเจนครับ”
สีหน้าเตชิตดูกระตือรือร้นอย่างยิ่ง
ศรีตรังนั่งแท็กซี่กลับมาบ้านเตชิตโดยซื้อข้าวของมาหลายถุง พอเข้ามาในบ้านเตชิตรีบเดินมารับ
“แกหายหัวไปไหนมา โทรศัพท์ก็ไม่เปิดไอ้เราเรอะเป็นห่วงแทบแย่”
ศรีตรังวางของแล้วนั่งลง
“เหนื่อย ไปเอาน้ำเอาท่ามาให้ดื่มหน่อย”
เตชิตมองศรีตรังแล้วส่ายหน้า
“มิน่า...แกถึงได้ไม่มีแฟนเสียที” เตชิตบ่นพลางเดินไปรินน้ำ “ไอ้เราเคยคิดจะช่วยสงเคราะห์ก็ยังเอาไม่ลง”
ศรีตรังหยิบของใกล้มือขว้างเตชิต
“ไอ้บ้า ฉันก็เอาแกไม่ลงเหมือนกันละวะ”
เตชิตเดินกลับมาส่งน้ำให้ศรีตรังแล้วนั่งลง
“นี่จะขนของหนีตามใคร” ศรีตรังดื่มน้ำจนหมดแก้ว “อีกซักแก้วมั้ย”
“ไม่ต้อง...มือถือฉันแบ็ตหมด”
“แล้วไปที่บ้านเดนนิสหรือเปล่า”
“ไป แต่เข้าไม่ได้ อยู่ดีๆ ก็เกิดพายุบ้าบออะไรก็ไม่รู้ พัดเสียลืมหูลืมตาไม่ขึ้นฉันก็เลยต้องกลับ ก่อนกลับก็แวะซื้อของฝากพวกที่ไร่ เฮ้ย! เดี๋ยวขับรถไปส่งหน่อยซิ”
“ไม่ได้ว่ะ เย็นนี้ฉันมีนัด” เตชินบอกยิ้มๆ แล้วยักคิ้ว
“ผู้หญิงเรอะ”
“ก็เออซิวะ บอกให้ก็ได้ว่าเจนจิรา”
ศรีเบิกตากว้าง เตชิตอมยิ้ม
ค่ำวันนั้นขณะที่เจนจิรากำลังบรรจงแต่งหน้า เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เจนจิราเหลือบมองแล้วยิ้มนิดๆ เมื่อเห็นชื่อ “เดนนิส”
“อยากโทรก็โทรไป แต่ฉันไม่รับให้มันรู้เสียบ้างว่า เจนจิราไม่ได้สิ้นไร้ไม้ตอก”
เจนจิราหยิบกระเป๋าเดินออกจากห้อง โดยไม่หยิบโทรศัพท์ไปด้วย
เดนนิสทุบโต๊ะอย่างขัดใจ เมื่อเจนจิราไม่ยอมรับโทรศัพท์
“ไอ้เจียง ไอ้เจียง”
เดนนิสตะโกนเรียก เจียงรีบเข้ามา
“มาแล้วครับเสี่ย”
“ไปดูนังเจนที่คอนโดซิ”
“ครับ”

เจียงเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เดนนิสนั่งนิ่งสีหน้าดูน่ากลัว
เตชิตแต่งตัวเรียบร้อย เดินลงบันไดมาอย่างร่าเริงศรีตรังซึ่งนั่งดูทีวีอยู่หันมามอง
“แม้...แม้ ...แม้...แม้ ไอ้เต วันนี้ควงนางเอกแต่งตัวซะเริ่ดเชียว ระวังนะเว้ย ชะตาแกจะขาดเอา”
“บอกแล้วว่าไม่กลัว เพราะถ้ากลัวก็ไม่ไป ขอบใจมากที่อยู่เฝ้าบ้านให้”
เตชิตเดินไปที่ประตู ศรีตรังพูดขึ้นลอยๆ
“แล้วคุณหนูเผือกเสียงหวานล่ะ”
เตชิตชะงักนิดหนึ่ง
“ไปผุดไปเกิดแล้วมั้ง”

เตชิตเดินออกไป ศรีตรังเดินมาล็อคประตู แล้วเดินกลับมานั่งดูทีวีต่อ
เจียงรีบมาที่คอนโดเจนจิราพอมาถึงเจียงทำเป็นกำลังคุยโทรศัพท์ แล้วคอยเหลือบมองเข้าไปด้านในจึงเห็น
เจนจิรานั่งรอเตชิตอยู่ โดยคุยอยู่กับผู้จัดการคอนโด จนกระทั่งเตชิตเดินเข้ามา เจียงเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ
เจนจิราลุกขึ้นเดินมาหาเตชิต แล้วคล้องแขนเดินกันออกไป เจียงรีบกดโทรศัพท์หาเดนนิสทันที
“เสี่ยครับ คุณเจนไปกับไอ้เตชิต”
“ตามมันไป ได้โอกาสเมื่อไหร่ จัดการเลย”
“ครับ ผมจะโทรเรียกไอ้กวงมาสมทบด้วย”
“จะเอากี่คนก็เอาไป”
“ครับเสี่ย”
เจียงแอบเดินตามเจนจิราไปขณะพูดโทรศัพท์
เจนจิราให้เตชิตพาไปที่ร้านอาหารหรูแห่งหนึ่ง เตชิตมองไปรอบๆ แล้วหันมาพูดกับเจนจิรา
“บอกตรงๆ นะครับ ผมไม่นึกว่าคุณจะให้มาหาที่นี่”
“เจนเป็นคนหลายอารมณ์ค่ะ อีกอย่างบุคลิคอย่างคุณเตน่าจะชอบสถานที่แบบนี้มากกว่า”
“เอาจริงๆ นะครับ ผมเหมาะกับร้านก๋วยเตี๋ยว ร้านข้าวแกงมากกว่า”
เจนจิราหัวเราะคิกคักอย่างอารมณ์ดี
“แหม...ถ่อมตัวจังเลยคุณเต”
“มันเป็นไปตามสภาพเศรษฐกิจน่ะครับ แค่เงินเดือนข้าราชการตำรวจจะมากมายซักเท่าไหร่”
“แต่เจนเคยได้ยินเขาพูดกันว่า “เมียตำรวจนับแบงก์” เจนเลยชักอยากจะนับแบงก์แล้ว” เตชิตแทบตกเก้าอี้ เจนจิราหัวเราะขบขัน “ตายแล้ว เจนไม่เคยเห็นผู้ชายน่ารักอย่างคุณเตเลย”
บริกรยกน้ำส้มมาเสิร์ฟเตชิตรีบยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม
















Create Date : 16 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 16 กุมภาพันธ์ 2555 13:56:32 น.
Counter : 662 Pageviews.

0 comment
ปางเสน่หา ตอนที่ 9


เนื่องจากบทโทรทัศน์ละครเรื่อง "ปางเสน่หา" ตอนที่ 9 ที่ลงใน “ละครออนไลน์” อยู่นี้ คือตอนล่าสุดที่ทีมงานดาราวิดีโอ เพิ่งถ่ายทำเสร็จ สำหรับบทตอนถัดจากนี้ ยังอยู่ในระหว่างการปรับแก้ตามการถ่ายทำที่เกิดขึ้นจริงในกองถ่าย ซึ่งถ้าบทตอนใหม่มาถึง ทีมงานละครออนไลน์ที่ยึดถือความถูกต้องตรงตามบทโทรทัศน์ จะรีบอัพขึ้นให้อ่านทันที และหากเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ ทำให้ท่านผู้อ่านไม่พอใจ ทีมงานละครออนไลน์ ขออภัยมา ณ ที่นี้


ปางเสน่หา ตอนที่ 9

ทางด้านศรีตรังขณะนั้นเธอเข้านอนแล้ว แต่จู่ๆ มีเสียงกุกกักเหมือนคนกำลังเดินขึ้นบันไดมาศรีตรังลืมตาทันที ศรีตรังค่อยๆ ล้วงไปใต้หมอนหยิบปืนออกมาแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นก้าวลงจากเตียง ย่องไปยืนข้างประตูด้วยสีหน้าท่าทางคล่องแคล่ว

ที่หน้าบ้าน เสียงหวานปรากฏตัวขึ้นข้างรถธง เสียงหวานเหลียวซ้ายชะโงกขวาแล้วเดินมาชะโงกหน้าต่างมองเข้าไปในรถแต่ภายในรถว่างเปล่า
“ไม่เห็นมีใครเลย”
เสียงหวานเดินสำรวจบริเวณนั้นแล้วชะงักเมื่อได้ยินเสียงคล้ายคนดิ้นอยู่หลังพุ่มไม้ใกล้ ๆ เสียงหวานรีบเดินไปยังทิศที่มาของเสียง
“ตายแล้ว”
เสียงหวานอุทานด้วยความตกใจ ยกมืออุดปากเมื่อเห็นธงถูกใส่กุญแจมือ คล้องไว้กับต้นไม้ ปากถูกปิดด้วยเทปกาวแน่นหนา เสียงหวานรีบเข้าไปจะดึงเทปออกเพื่อช่วยตามสัญชาติญาณ
“ขอโทษนะคะ ฉันจะเอาเทปออกให้”
เสียงหวานเอื้อมมือไปจะแกะเทปแต่ก็วืด เสียงหวานถอนใจ ลุกยืนมองไปที่ตัวบ้านแล้วเบิกตากว้าง เพราะขณะนั้นภายในบ้านศรีตรังค่อยๆ ก้าวลงบันไดมาถึงชั้นล่างสุด ศรีตรังหน้าเครียดเขม็งขณะส่องปืนไปตามมุมต่างๆ
แต่จู่ๆ มีปืนอีกกระบอกค่อยๆ จ่อมาติดตัวศรีตรังพร้อมเสียงขยับไกปืนพร้อมยิง ศรีตรังชะงักยืนนิ่ง
“ส่งปืนมา” ศรีตรังขยับ “ช้าๆ” ศรีตรังค่อยๆ ยกมือขึ้นเจียงดึงปืนมา “แกเป็นใคร”
เจียงถามพร้อมกับใช้ปืนดันศรีษะศรีตรังจนหน้าคะมำ
“เฮ้ย! พูดดีๆ ก็ได้ นี่สุภาพสตรีนะเว้ย” ศรีตรังโวยวาย
“พูดมากนักนังนี่ เดี๋ยวได้เจ็บตัว” เจียงบอกพร้อมกับเสียงหมาหอนดังเข้ามา เจียงและศรีตรังถึงกับชะงัก “หมาที่ไหนดันมาหอนตอนนี้”
“คุณหนูเผือก” ศรีตรังพึมพำออกมาเบาๆ เจียงดันหลังศรีตรัง
“เดินออกไปเร็วๆ เข้า”
“หมาหอนเพราะมันเห็นผี”
“บอกให้เดินออกไป”
ศรีตรังขยับเดิน ทันใดนั้นมีลมพัดวูบเข้ามาอย่างแรงจนประตูเปิดแล้วกระแทกปิดปังอย่างแรง เจียงและศรีตรังถึงกับสะดุ้ง
“ท่าจะไม่ดีแล้วละ หัวโกร๋นได้ง่ายๆ นะแก” ศรีตรังบอก
“ฉันมีพระ” เจียงบอก
“พระย่อมไม่เข้าข้างคนผิด”
“เอ๊ะ นังนี่”
เจียงพูดและยกปืนจะฟาดหัวศรีด้วยความหงุดหงิด แต่แล้วก็สะดุ้ง เพราะเสียงหมาหอนมาดังอยู่หน้าบ้าน
“เอาไงดี” ศรีตรังแกล้งถาม
“ออกไป ผีบ้าผีบอที่ไหน ฉันไม่กลัวทั้งนั้น” เจียงผลักศรีตรังไปที่ประตู “เปิด”

ศรีตรังยังไม่ทันจะเอื้อมมือไป แต่จู่ๆ ประตูเปิดออกเอง เจียงถึงกับชะงัก
“เฮ้ย ประตูเปิดเอง”
ศรีตรังบอก เจียงไม่สนใจผลักศรีตรังออกไปแล้วเดินตาม พอทั้งสองก้าวออกมาจากบ้านประตูก็ปิดเองดังปัง
เจียงหันขวับไปมอง ศรีตรังจึงฉวยจังหวะนี้แย่งปืนคืนจากเจียงแต่เจียงไม่ยอมง่ายๆ ทั้งคู่จึงต่อสู้กัน...เสียงหวานปรากฎตัวขึ้นและเชียร์ศรีตรังเต็มที่ แต่พอศรีตรังเพลี่ยงพล้ำก็ปิดตาแล้วร้องเตือนให้ระวัง จนกระทั่งมีเสียงขึ้นไกปืนและเสียงธงดังขึ้น
“เฮ้ย หยุด!”
เจียงหันมามองจึงโดนศรีตรังถีบจนหน้าคว่ำ
“นี่แน่ะ ขอแถมหน่อย”
ธงเข้ามาล็อกตัวเจียงแล้วจัดการใส่กุญแจมือ
“ทีแรกนึกว่าใคร ที่แท้ก็แกนี่เองไอ้เจียงเจ้าเก่า ผมขออนุญาตพาไอ้เจียงกลับบ้านเก่าเลยนะครับ”
“เฮ้ย! อย่านะเว้ย”
“เอาไปให้พ้นเร็วๆ ฉันเหม็นขี้หน้ามันเต็มทีแล้ว”
“ไป” ธงผลักเจียงหน้าคะมำออกไป
“เดี๋ยวฉันก็ออกมาได้ใหม่ เส้นใหญ่เสียอย่าง...ลาทีแต่มิใช่ลาก่อน แล้วพบกันอีกนะคนสวย” เจียงหันไปบอกศรีตรัง ธงต่อยปากเจียงโครม “โอ๊ย”
ธงแกล้งทำเป็นตกใจ
“อ้าวเฮ้ย! ขอโทษที มือมันกระตุกว่ะ”
“ไอ้จ่าธง อย่าให้ถึงทีกูบ้างก็แล้วไป”
“ถึงยากว่ะ”
ธงลากเจียงไปขึ้นรถแล้วขับออกไป ศรีตรังถอนใจยาวแล้วเดินกลับเข้าบ้าน

เมื่อล็อคประตูเรียบร้อยแล้วศรีตรังเดินมาทรุดตัวลงนั่งครู่หนึ่ง แล้วนึกขึ้นได้
“ขอบคุณมากนะคะ คุณหนูเผือกเสียงหวาน” ลมเย็นๆ โชยมาวูบหนึ่ง ศรีตรังห่อตัวกอดอกด้วยรู้สึกหนาวเยือกขึ้นมา ขณะที่ไฟซึ่งดับอยู่กลับปิดๆ เปิดๆ “คุณหนูเผือกรับรู้เฉยๆ ก็ได้ค่ะ ไม่ต้องมีสัญญาณตอบรับ” ทุกอย่างเข้าสู่สภาวะปกติ ศรีตรังถอนใจยาว แล้วต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อเสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้น “โธ่เอ๊ย!” ศรีตรังลุกเดินมารับโทรศัพท์ “ฮัลโหล”
“ไอ้ศรี! จ่าธงโทรมาเล่าให้ฉันฟัง”
“เออ! ฉันเกือบตายแน่ะ ดีที่คุณหนูเผือกเสียงหวานของแกมาช่วยไว้”
เสียงหวานปรากฏตัวขึ้นฟัง เมื่อรู้ว่าเตชิตโทรมา
“แล้วเขายังอยู่ที่นั่นหรือเปล่า”
“เมื่อกี้อยู่ แต่ตอนนี้คิดว่าน่าจะไปรายงานแกแล้ว”
“เขาไม่มาบอก ฉันบอกให้อยู่เป็นเพื่อนแก”
“ขอบใจ แต่ฉันไม่รบกวนดีกว่า ไอ้เจียงมันถูกจับไปแล้ว ตอนนี้คงไม่มีอะไร”
“ไว้ใจได้เรอะ ให้เขาอยู่ที่นั่นแหละดีแล้ว แค่นี้นะ”
“เออ” ศรีตรังวางโทรศัพท์ลง
“ไม่ต้องกลัวหรอกค่ะ ฉันหลอกไม่เป็น” เสียงหวานบอกแต่ศรีตรังไม่ได้ยิน ศรีตรังลุกขึ้นแล้วเดินไปตรวจดูประตูหน้าต่างอีกทีก่อนจะเดินขึ้นข้างบน เสียงหวานมองตามเศร้าๆ “คุณโชคดี”
ศรีตรังเดินกลับเข้ามาในห้อง วางปืนไว้บนโต๊ะข้างเตียงตามเดิมแล้วทรุดตัวลงนั่งสูดลมหายใจยาวรวบรวมความกล้า
“คุณหนูเผือกเสียงหวานคะ” เสียงหวานปรากฏตัวขึ้นข้างหลังศรีตรัง “ฉันขอโทษที่กลัวคุณ แต่ความกลัวมันห้ามไม่ได้จริงๆ ค่ะ”
เสียงหวานยิ้มให้ศรีตรัง
“ฉันเข้าใจค่ะ”
“เอาเป็นว่า ฉันจะพยายามไม่กลัวคุณแล้วก็จะพยายามช่วยไอ้เตสืบให้ได้ว่าคุณเป็นใคร”
“ขอบคุณมากค่ะ คุณเป็นคนดีแล้วก็เหมาะสมกับคุณเตชิตมาก...ฉันก็จะเอาใจช่วยคุณทั้ง 2 คน” ศรีตรังสวดมนต์แล้วล้มตัวลงนอน “ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”
เสียงหวานบอกแล้วเดินผ่านประตูออกไป
เช้าวันรุ่งขึ้นเตชิตกับธงเดินออกจากร้านอาหารกลับมาที่รถ
“ขอบคุณมากครับสำหรับอาหารเช้า” ธงบอก
“ก็จ่าอุตส่าห์มาขับรถให้ฉันนี่”
“ผมนอนเต็มอิ่มแล้วครับ” ธงชะงัก แล้วพยักเพยิดไปข้างหลังเตชิต “ผู้กองดูนั่น”
เตชิตหันไปมองจึงเห็นเจียงเดินมากับทนายความที่มาประกันตัว

“ไอ้เจียง” เตชิตขบกราม เจียงโบกมือให้เตชิตอย่างแจ่มใสแถมส่งจูบ
“ม้อ’นิ่ง อะไรเอ่ย จับแล้วปล่อย”
เจียงแกล้งถามเตชิตกำมือแน่น
“ใจเย็นครับผู้กอง” ธงกระซิบบอกแล้วจับแขนเตชิตไว้
“ไปก่อนนะ บอกแล้วว่าเส้นเบ้อเริ่มเทิ่ม”
เจียงและทนายความเดินมาที่รถและเมื่อเปิดประตูรถจึงเห็นพอลนั่งอยู่ในรถ
“ไอ้พอลก็มาด้วย”
ทนายความขับรถพาเจียงซึ่งนั่งคู่กันออกไป โดยเจียงโบกมือบ๊าย บายเตชิตกับธง ทั้งคู่มองตามอย่างแค้นๆ
เตชิตมาหาเสนาที่ห้อง ขณะนั้นเสนากำลังนั่งทำงานอ่านสำนวนการสืบสวน เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น
“เข้ามา”
เสนาบอกประตูเปิดออกแล้วเตชิตเดินเข้ามา เสนาเหลือบมองเหมือนรำคาญแว่บหนึ่ง
“ผู้กำกับปล่อยไอ้เจียงไปหรือครับ”
“เออ”
“ผมอยากทราบว่าทำไม”
เสนาเอนตัวพิงพนักด้วยท่าทางสีหน้าฉุนๆ
“หมวด หมวดมานั่งที่ผมแล้วผมไปยืนที่หมวดเอามั้ยแลกกัน”
“ผม...”
“ก็ทนายเขามาประกันตัว”
“มันบุกรุกบ้านผมเมื่อคืน”
“เมื่อไหร่หมวดถึงจะเข้าใจซักทีว่า อย่ามายุ่งเรื่องนี้ มีงานอะไรก็ทำไป”
“แต่...”
“หรือว่าอยากถูกย้าย” เตชิตอึ้งไป “ไปได้”
เตชิตทำความเคารพ แล้วเดินไปที่ประตู แล้วหันกลับมาใหม่
“ผมสำนึกอยู่เสมอว่าเงินเดือนที่ผมใช้ซื้อข้าวกินทุกวันนี้มาจากภาษีของประชาชน เพราะฉะนั้นผมจะทำทุกอย่างเพื่อให้คุ้มกับเงินภาษีนั้น”
เตชิตเปิดประตูเดินออกไป เสนาถอนใจเฮือก
เตชิตกลับมาบ้าน ศรีตรังยกกาแฟมาวางตรงหน้าเตชิตแล้วทรุดตัวลงนั่งตรงข้าม
“ฉันหนักใจแทนแกว่ะ แกจับ เขาปล่อย แกจับ เขาปล่อย แล้วเมื่อไหร่ยาเสพติดมันจะหมดวะ”
“ผู้กำกับเสนาเคยเป็นคนมีอุดมการณ์ ฉันก็ไม่เข้าใจว่าอะไรทำให้แกเปลี่ยนไป”
“เงินไง เงินทำให้ผู้กำกับเสนาเปลี่ยนอุดมการณ์ แล้วยังทำให้คนอีกคนเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนตัวเองพร้อมกับอุดมการณ์ด้วย”
“หมายถึงผู้กองพอล”
ศรีตรังนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วเปลี่ยนเรื่อง
“คุณหนูเผือกเสียงหวานของแกอยู่ที่นี่ด้วยหรือเปล่า”
เตชิตขยับตัวเหมือนนึกได้
“เออ ไม่เห็นเลย อยู่ข้างบนหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“ขึ้นไปดูซิ”
เตชิตพยักหน้าแล้วเดินขึ้นข้างบน
เตชิตเข้ามาในห้องแล้วมองหาเสียงหวานแต่ไม่เห็นเธอ
“เสียงหวาน เสียงหวาน คุณอยู่ที่ไหนน่ะ”
ในห้องยังคงเงียบสนิท

ขณะนั้นเสียงหวานมาปรากฎตัวที่บ้านปรกเดือน เสียงหวานเหลียวมองโดยรอบเหมือนพยายามจะทบทวนความทรงจำ เสียงหวานเห็นแจ๋วกำลังทำความสะอาดบ้านจึงเดินเลยขึ้นบันไดไปที่ห้องปรกเดือน
เสียงหวานก้าวเข้ามาในห้องปรกเดือนแล้วมองไปที่เตียงจึงเห็นปรกเดือนนั่งเหม่อลอยมองออกไปนอกหน้าต่าง
เสียงหวานเดินมาที่ปรกเดือนนัยน์ตามองปรกเดือนอย่างพิศวง
“แปลกจัง ทำไมคนจะมีลูกถึงได้เศร้านัก หรือว่าคุณยังไม่อยากมี...”
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นพร้อมกับเสียงแจ๋ว
“คุณเดือนคะ คุณเดือน แจ๋วทำข้าวต้มให้แล้ว คุณจะลงไปทานข้างล่างหรือให้แจ๋วเอาขึ้นมาให้คะ”
“เดี๋ยวฉันลงไปทานเอง”
“ค่ะ”
ปรกเดือนลุกเดินมาทรุดลงนอนบนเตียงต่อ
“คุณ คุณคะ ลงไปทานข้าวก่อนดีมั้ย” เสียงหวานบอกแต่ปรกเดือนไม่ได้ยิน ปรกเดือนพลิกตัวนอนตะแคงหันหลังให้ “ลืมไปว่า คุณคงไม่ได้ยิน”
เสียงหวานยืนมองปรกเดือนนิ่งครู่หนึ่งแล้วเดินออกไป
เสียงหวานก้าวออกมาจากห้องปรกเดือนแล้วมองไปโดยรอบก่อนจะเดินไปที่บันได เสียงหวานเดินเรื่อยๆ จนถึงหน้าห้องปรายดาว เสียงหวานหยุดชะงักเหมือนมีบางอย่างดึงดูด เสียงหวานนิ่งมองครู่หนึ่งแล้วขยับจะก้าวเข้าไปในห้องปรายดาว จังหวะนั้นมีเสียงประตูเปิดแล้วปิดเสียงหวานหันไปมองจึงเหก็นปรกเดือนเดินออกมาแล้วเดินตรงไปที่บันได
ปรกเดือนเดินช้าๆ มาที่บันไดนัยน์ตาท่าทางเหมือนยังเบลอๆ ปรกเดือนเดินผ่านเสียงหวานมาที่บันไดแต่จังหวะนั้นร่างปรกเดือนโงนเงนเหมือนจะตกลงไปเสียงหวานร้องออกมาด้วยความตกใจ
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย คุณคะ ถอยมา ถอยมา”

เสียงหวานอ้อมมาด้านหน้าแล้วรวบรวมกำลังขวางเอาไว้ ร่างปรกเดือนเหมือนมีอะไรมาขวางเธอจึงทรุดลงนอน หวุดหวิดเกือบตก เสียงหวานทรุดตัวลงก้มหน้าลงมามองปรกเดือน นัยน์ปรกเดือนตาเลื่อนลอยแต่สำนึกสุดท้ายปรกเดือนเห็นใบหน้าเสียงหวานรางๆ เลือนๆ แล้วหมดสติไป
เสียงหวานหน้าตื่นขณะปรากฏตัวขึ้นกลางห้องเตชิต แล้วรีบเดินมาปลุกเตชิต
“คุณเตชิตคะ ...คุณเตชิต”
เตชิตลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย
“อย่าเพิ่งมากวน ผมง่วง” เตชิตพลิกตัวจะหันหลังให้
“ฉันคิดว่า เธอเห็นฉันคะ”
เตชิตพลิกกลับแล้วลุกขึ้นนั่งทันที
“ใคร! ไอ้ศรีเรอะ”
“ไม่ใช่ค่ะ เจ้าของบ้านนั้น คุณ...คุณเดือนน่ะค่ะ”
“คุณไปที่นั่นมา”
“ค่ะ อยู่ดีๆ ฉันก็ไปได้แปลกจัง”
“อีกหน่อยก็ไปได้ทั่วราชอาณาจักร” เตชิตประชด
“ฉันรู้สึกแปลกๆ”
“ขอแสดงความยินดี” เตชิตนอนต่อ “อย่าเพิ่งกวนผม ผมจะนอน”
เสียงหวานหน้าจ๋อย
แจ๋วโทรบอกเดนนิสเรื่องปรกเดือนขณะนั้นเดนนิสอยู่ที่คอนโดเจนจิรา เดนนิสนึกเป็นห่วงปรกเดือนจึงรีบเดินไปที่ประตู
“อ้าว!เสี่ยจะกลับละหรือคะ ยังไม่ได้ทานอะไรเลย” เจนจิราถาม
“ปรกเดือนเป็นลม”
เดนนิสบอกแล้วเปิดประตูออกไป เจนจิราชักสีหน้าอย่างไม่พอใจ
“มารยาน่ะซิ ฮึ! เพี้ยงขอให้มันตายไปให้พ้นๆ เลย”
เดนนิสรีบมาที่บ้านปรกเดือน ขณะนั้นปรกเดือนนอนดมยาดมอยู่ในห้องด้วยสีหน้าอ่อนระโหย
“รับยาหอมหน่อยเถอะค่ะ” แจ๋วบอก
“ไม่ ขอบใจ”
ประตูห้องเปิดออก เดนนิสรีบเดินเข้ามาแจ๋วจึงเลี่ยงออกไป
“เป็นยังไงบ้าง” เดนนิสถามเสียงเรียบแต่แฝงไว้ด้วยความเป็นห่วง
“ยังไม่ตายสมใจคุณหรอกค่ะ”
เดนนิสถอนใจเฮือก
“หมดอารมณ์เลย ไอ้เราอุตส่าห์รีบมาเพราะเป็นห่วง” ปรกเดือนหลับตาลง นอนพลิกตัวหันหลังให้ เดนนิส พยายามระงับความขุ่นมัว “ทีหลังจะขึ้นจะลงบันไดต้องระวังหน่อย หรือระยะนี้ลงไปอยู่ข้างล่างก่อนดีไหม จะให้ช่างมาทำห้องให้”
“ไม่ต้องค่ะ ขอบคุณ”
“เห็นแจ๋วบอกว่ากินข้าวไม่ค่อยได้”
ปรกเดือนทำเหมือนง่วงมากจนไม่อยากพูด เดนนิสมองนิ่งๆ สีหน้าเหมือนน้อยใจแกมหงุดหงิดขึ้นมาครู่หนึ่ง แล้วเดินออกไปเงียบๆ ปรกเดือนลืมตาขึ้นน้ำตาไหลเป็นทาง

เดนนิสออกจากห้องปรกเดือนลงไปคุยกับแจ๋วข้างล่าง ระหว่างนั้นเสียงหวานปรากฎตัวขึ้นมองเดนนิสอย่างเพ่งพิศ
“พวกนั้นมาอีกหรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ”
“ฉันจะส่งคนมาเฝ้าที่นี่”
เดนนิสบอกแล้วเดินออกไป แจ๋วรีบเรียกไว้
“เสี่ยค่ะ” เดนนิสหันกลับมา แจ๋วมองซ้ายมองขวาแล้วลดเสียงลง “คุณดาวค่ะ!”
เดนนิสชะงัก
“ปรายดาวทำไม!”
“หมู่นี้เธอกระตุกบ่อย”
“แล้วบอกคุณผู้หญิงเขาหรือเปล่า”
“บอกค่ะ”
“ทีหลังไม่ต้องบอก! ถ้าปรายดาวมีอะไรผิดปกติให้บอกฉันคนเดียว!”
“แต่คุณปรกเดือนเธอก็เข้าไปดูน้องเธอทุกวันนะคะ”
“เขาเห็นเองก็แล้วไป!”
เดนนิสเดินกลับขึ้นไปข้างบน เสียงหวานรีบตามไปทันที
เดนิสเดินขึ้นมาชั้นบนแล้วเดินตรงไปห้องปรายดาว เสียงหวานตามไปอย่างกระชั้นชิด เดนนิสเปิดประตูห้องปรายดาวแล้วก้าวเข้าไปเสียงหวานขยับจะก้าวตามแต่แล้วก็ชะงัก เมื่อได้ยินเสียงเกษรินดังแว่วมาจากที่ไกลๆ
“ไฟไหม้ ไฟไหม้ ไฟไหม้!”
เสียงหวานหายไปจากที่นั้นทันที
ขณะนั้นเตชิตยังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง เสียงหวานปรากฎตัวขึ้น แล้วรีบเดินมาก้มลงกระซิบเรียกเตชิต
“คุณเตชิต คุณเตชิต” เตชิตนิ่วหน้าเริ่มรู้สึกตัว “คุณเตชิต” เตชิตลืมตาขึ้นอย่างหงุดหงิด แล้วอ้าปากจะต่อว่าแต่เสียงหวานรีบพูดก่อน “ไฟไหม้ค่ะ”
“อะไรนะ”
เตชิตและเสียงหวานรีบลงมาข้างล่าง จึงเห็นศรีตรังกำลังคุยโทรศัพท์ด้วยสีหน้าและน้ำเสียงตกใจสุดๆ
“ลุงสมช่วยจัดการแทนศรีไปพลางๆ ก่อนนะค่ะ ศรีจะกลับเดี๋ยวนี้!” ศรีตรังปิดโทรศัพท์ แล้วหันมาทางเตชิต “ไอ้เต! ฉันต้องรีบกลับ ลุงสมโทรมาบอกว่าไฟไหม้ที่ไร่”
เตชิตหันมาสบตาเสียงหวานแว่บหนึ่ง
“ฉันจะขับรถให้ รอเดี๋ยว จะขึ้นไปเอากุญแจรถก่อน”
เตชิตรีบเดินกลับขึ้นไป ศรีตรังเดินไปปิดหน้าต่าง
เตชิตขับรถพาศรีตรังกลับไร่ ระหว่างทางศรีตรังพยายามจะโทรถึงคนในไร่ แต่ติดต่อใครไม่ได้สักคนเดียว
“ติดต่อใครไม่ได้หรือ” เตชิตหันมาถาม ศรีตรังพยักหน้า
“แกขับให้มันเร็วกว่านี่หน่อยได้ไหม”
“ถ้าเร็วกว่านี้ มีหวังได้ไปอยู่กับเสียงหวานแน่!” เสียงหวานซึ่งนั่งอยู่เบาะหลังถึงกับหน้าจ๋อย “เสียงหวาน คุณติดต่อกับเพื่อนไม่ได้หรือ!”
“ผีไม่มีโทรศัพท์ค่ะ” เสียงหวานประชด
“แล้วทำไมเมื่อกี้ คุณถึงได้ยินเสียงเพื่อนคุณล่ะ!”
“น่าจะเป็นกระแสจิตชั่วแวบเดียวค่ะ”
“กลุ้ม! กลุ้ม! กลุ้ม! กลุ้ม”
ศรีตรังบอกออกมา เตชิตเบือนหน้ามามองศรีตรังอย่างเห็นใจแว่บหนึ่ง แล้วตบไหล่เบาๆ
“เฮ่ย! ทำไจดีๆ ถึงกลุ้มก็ทำอะไรไม่ได้!”
ศรีตรังหลับตาเอนศีรษะพิงพนักครู่หนึ่งแล้วลืมตาขึ้น นัยน์ตาเป็นประกายวาว
“ต้องเป็นไอ้เดนนิสกับพวกของมันแน่!”
“จริงด้วยค่ะ” เสียงหวานเห็นด้วย
“เงียบ” เตชิตต่อว่าเสียงหวาน เสียงหวานเม้มปากแล้วเลือนหายไป “เสียงหวาน... เดี๋ยวนี้พูดอะไรนิดหน่อยก็ไม่ได้” เตชิตบ่น
“แกลองสำรวจตัวเองบ้างหรือเปล่า” ศรีตรังถาม
“ทำไม”
ศรีตรังนิ่งไม่ตอบ เตชิตถอนใจเฮือก

ขณะนั้นที่ไร่ข้าวโพดของศรีตรัง คนงานพยายามจะช่วยกันดับไฟที่ลุกโหมอย่างน่ากลัว กว่าเตชิตกับศรีตรังจะเดินทางมาถึงเปลวเพลิงก็สงบลงแล้ว เหลือไว้เพียงร่องรอยแห่งความสูญเสีย ทุกคนยืนคอตกอย่างสลดหดหู่พวกผู้หญิงถึงกับน้ำตาไหล...ศรีตรังยืนมองไร่ข้าวโพดตัวเองด้วยแววตาที่เจ็บปวดอ้อยลอบมองศรีตรังด้วยความสะใจ
ศรีตรังน้ำตาคลอขึ้นมา เตชิตเบือนหน้ามามองแล้วโอบไหล่ศรีตรังเข้ามาอย่างปลอบโยน ศรีตรังสะอื้นฮักๆ เตชิตโอบกอดอย่างปลอบประโลม อ้อยจ้องมองอย่างไม่พอใจ เสียงหวานยืนอยู่ข้างเตชิตมองเตชิตกับศรีตรังด้วยสีหน้าสลดลงแล้วร่างของเธอก็เลือนหายไป
“ขอตัวก่อนนะคะ ศรีอยากอยู่คนเดียว”
ศรีตรังบอกเมื่อกลับมาบ้าน จากนั้นเธอก็เดินขึ้นข้างบนทุกคนมองตามอย่างเห็นใจ ในขณะที่อ้อยมองตามเยาะๆ
“แม่คุณ คงจะเสียใจมาก” จุรีบอกขณะมองตามศรีตรัง
“ด้วยความเคารพ เป็นใครใครก็เสียใจทั้งนั้นแหละครับ” สมบอก
“ยังดีที่ไหม้เฉพาะไร่ข้าวโพดแล้วก็รีสอร์ท ไม่ลามมาถึงที่อยู่อาศัย” อ้อยบอก
“เอ๊ะ! นังอ้อย” จุรีดุอ้อย
“ผมจะออกไปดูแถวนี้หน่อย” เตชิตบอก
“อ้อยไปเป็นเพื่อนค่ะ” อ้อยรีบบอก จุรีดึงแขนอ้อยไว้
“ไม่ต้อง อยู่ที่นี่แหละ”
อ้อยหน้างอ ขณะมองเตชิตเดินออกไป
เมื่อเข้ามาในห้องศรีตรังตัดสินใจโทรศัพท์หาพอล พอลเดินมารับโทรศัพท์สีหน้าเหมือนยินดีแว่บหนึ่งที่เห็นชื่อคนที่โทรเข้ามา
“ศรีตรัง”
“เป็นไง สะใจคุณแล้วใช่ไหม” ศรีตรังต่อว่าอย่างคับแค้นเต็มที่
“เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน”
“ฉันหมดเนื้อหมดตัวแล้ว ไร่ข้าวโพดถูกเผาหมด ยังเหลือแต่ชีวิตฉันมาเลย มาเอาไปให้หมด”
ศรีตรังปิดโทรศัพท์หลังจากพูดจบ
“ศรีตรัง”
พอลพยายามโทรกลับไปหาศรีตรัง แต่ไม่มีสัญญาณตอบรับ พอลจึงตัดสินใจหยิบกุญแจรถเดินออกไป
ส่วนเตชิตหลังจากเดินออกมาด้านนอก เตชิตก็มองหาเสียงหวานแต่ไม่เห็นจึงร้องเรียก
“เสียงหวาน เสียงหวาน คุณอยู่ที่ไหน” เงียบไม่มีเสียงตอบรับ “เสียงหวาน คุณอยู่แถวนี้หรือเปล่า”
ทุกอย่างยังเงียบ เตชิตถอนใจแล้วเดินหาต่อ เสียงหวานปรากฏตัวขึ้นแล้วมองตามเตชิตอย่างเศร้าๆ
ขณะนั้นพอลกำลังเดินมาที่รถ เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นพอลรีบกดรับ
“ครับ...เดือน”
“พอล เดือนเห็นแกค่ะ เดือนเห็นปรายดาว”
“ใครนะครับ”
“เดือนว่าต้องใช่แน่ๆ ก่อนที่เดือนจะหมดสติ ยัยดาวมาช่วยไว้ให้เดือนตกบันได”
“ผมกำลังจะไปธุระ เดี๋ยวกลับมาค่อยคุยกันนะ”
“ค่ะ”
พอลปิดโทรศัพท์ ปรกเดือนวางโทรศัพท์ลงแล้วถอนใจยาว
“ดาว...ใช่เธอจริงๆ ใช่ไหม พี่อยากเห็นเธออีก มาให้พี่เห็นอีกนะปรายดาว”
ปรกเดือนหลับตาลงอย่างอ่อนเพลีย
ค่ำวันนั้นเตชิตนอนก่ายหน้าผากอยู่บนโซฟาในห้องรับแขกบ้านศรีตรัง เตชิตกระสับกระส่ายนอนไม่หลับ จนกระทั่งมี
เสียงหมาหอนดังมาไกลๆ จนในที่สุดมาอยู่หน้าประตูบ้าน เตชิตค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งดึงผ้ามาถึงหน้าอก แล้วกอดหมอนแน่น
“สะ...สะ...เสียง...เสียงหวาน”
“ฉันอยู่นี่ค่ะ”
เตชิตหันขวับไปมองจึงเห็นเสียงหวานยืนอยู่ในเงามืด เตชิตถอยใจอย่างโล่งอก
“ค่อยยังชั่ว”
“คุณนึกว่าฉันเป็นเกษรินหรือคะ”
“คุณหายไปไหนมา”
“ฉันพยายามหาทางไปผุดไปเกิด”
“ทำไม”
“เพราะมันเป็นวิถีของดวงวิญญาณอย่างพวกเรา”
เตชิตนิ่งไปครู่หนึ่ง
“แล้วพบหรือเปล่า”
“ยังค่ะ...ทั้งฉันทั้งเกษรินยังติดกับอะไรบางอย่างในโลกนี้ทำให้ไปไม่ได้ เกษรินต้องการให้คนที่ฆ่าเธอได้ชดใช้กรรมของ
เขา ส่วนฉันก็อยากรู้ว่าตัวเองเป็นใคร”
“คุณคือปรายดาว”
“แล้วทำไมฉันถึงต้องตายกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อน ... ฉันต้องไปบ้านนั้นอีก เวลาอยู่ที่นั่นฉันรู้สึกแปลกๆ”
มีเสียงรถแล่นมาจอดที่หน้าบ้าน เตชิตกับเสียงหวานหันไปมองที่ประตู
“ใครมา”
เตชิตหยิบปืน เดินไปที่ประตูค่อยๆ เปิดออก พอลกำลังจะกดโทรศัพท์ถึงกับชะงักเมื่อเห็นเตชิต
“ผู้กองเตชิต”
“ไอ้ผู้กองพอล”
“นายอยู่ที่นี่เรอะ” พอลมองเตชิตตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ใช่ แล้วนายล่ะมาทำไม”
“ฉันมาหาศรีตรัง”
“มีธุระอะไร”
“นายไม่เกี่ยว”
“เสียใจ ฉันเกี่ยวเต็มๆ”
เสียงหวานซึ่งฟังอยู่ตัดสินใจหายไปจากที่นั้นทันที
ขณะนั้นศรีตรังยืนอยู่ที่หน้าต่างห้องมองลงมาเห็นพอลและเตชิตดูเหมือนจะปะทะคารมกัน ศรีตรังมองครู่หนึ่งแล้วตัดสินใจเดินออกไปจากห้อง
พอลผลักอกเตชิตเพื่อจะเข้าไปหาศรีตรัง
“หลีกไป”
“ไอ้พอล” เตชิตจะเข้ามาเอาเรื่องพอลแต่ต้องชะงักเพราะเสียงศรีตรังดังขึ้นซะก่อน
“ไอ้เต” สองหนุ่มหันไปมอง ศรีตรังจ้องพอลเขม็ง “ฉันขอจัดการกับนายคนนี้เอง”
“ศรี”
“ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันดูแลตัวเองได้”
“ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็เรียกแล้วกัน”
ศรีตรังพยักหน้า เตชิตมองพอลแล้วเดินกลับเข้าข้างใน

เตชิตกลับเข้าบ้านแล้วทรุดตัวลงนั่งพร้อมกับถอนใจเฮือกแล้วเหลียวมองหาเสียงหวาน
“เสียงหวาน เสียงหวาน” ทุกอย่างเงียบสนิท “เดี๋ยวนี้ไปไหนมาไหนคนเดียวโดยไม่ต้องพึ่งใครแล้วนี่”
ด้านนอกศรีตรังตบหน้าพอลอย่างแรงจนน้าหัน พอลขบกรามยืนนิ่ง ศรีตรังน้ำตาคลอด้วยความแค้นใจ ตบอีกข้างพอลยังคงนิ่ง ศรีตรังตบอีกด้านละข้างแต่พอลยังยืนนิ่ง ในที่สุดศรีตรังอัดอั้นตันใจร้องไห้โฮออกมา
“พอแล้วหรือ”
พอลถามเสียงเรียบ
“นายมันเลว เลวที่สุด นายปล่อยให้ไอ้เดนนิสมันเผาไร่ เผารีสอร์ทของฉันจนพินาศหมด” ศรีตรังหันไปชี้บ้าน “อ้อ! ยัง ยังเหลือบ้านอยู่อีกหลังนึง ทำไมไม่เผาให้หมดล่ะ เอาซิ เผาเลย เผาให้เกลี้ยง อย่าให้ฉันเหลืออะไรแม้แต่นิดเดียว”
“ศรีตรัง”
พอลเรียกอีกฝ่ายเสียงอ่อย ศรีตรังชี้หน้า
“อย่าปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่อง นายเป็นคนสนิทของไอ้เดนนิส” ศรีตรังล้วงกระเป๋าหยิบไฟแช็คส่งให้ “ เอ้า! นี่ไฟแช็ค ฉันเตรียมมาให้นายเผาบ้านฉันให้สะใจ เอาไปซิ เผาอย่าให้เหลือ”
พอลยืนนิ่งตามองไฟแช็ค ศรีตรังจับมือพอลแบออก กระแทกไฟแช็คลงไป มือพอลจับมือศรีตรังเอาไว้ขณะที่ศรีตรังจะดึงออกไป ศรีตรังพยายามดึงมือออกแต่พอลจับไว้แน่น
“ทำไมไม่ฟังกันบ้าง”
“ปล่อย”
“ผมเตือนแล้วใช่มั้ยว่าอย่าเข้ามายุ่งมันอันตราย แต่คุณก็ยังดื้ออยากจะเอาชนะ...เวียนเข้าเวียนออกบ้านเขาอยู่นั่นแหละ โกหกไม่เนียน ทำให้เขาจับได้” ศรีตรังชะงัก “คุณไปบอกคนที่นั่นว่าชื่ออ้อยใช่ไหมล่ะ” ศรีตรังเม้มปาก “เสี่ยน่ะเขาไม่โง่หรอก! เขาให้คนมาสืบจนรู้ว่า คุณชื่อศรีตรังส่วนอ้อยน่ะเป็นลูกแม่บ้าน แล้วเขาจะปล่อยคุณเอาไว้ทำซาก
อะไรล่ะ”
“อ้อ! แล้วไอ้ที่ฉันทำฉันคิดน่ะ มันเลวร้าย ถึงขนาดต้องทำลายกันขนาดนี้เชียวเรอะ เอาซี้! เผามันให้เกลี้ยง ไฟแช็คอยู่ในมือแล้วนี่ ถ้าหากมันยังไม่สมกับความผิดของฉัน ก็โยนฉันเข้าไปในกองไฟเสียด้วยเลย แล้วก็ไปเอาความดีความชอบเลียแข้งเลียขาไอ้เสี่ยชั่วมันต่อ”
“อยากจะตายพร้อมกันใช่มั้ยล่ะ ไอ้เตมันอยู่ในบ้านด้วยนี่”
พอลอดพูดแดกดันไม่ได้
“เออ! ตายด้วยกันแล้วจะได้ไปเกิดด้วยกันทุกชาติเลย แล้วสำหรับนายฉันจะขอตั้งจิตอธิษฐานอย่าให้ได้พบได้เจอกันอีกเลย”
พอลมีสีหน้าเหมือนจะสะเทือนใจ ขว้างไฟแช็คทิ้งแล้วหันหลังเดินไป ศรีตรังตะโกนไล่หลัง น้ำตานองหน้า
“ไอ้คนใจร้าย ไอ้คนใจดำอำมหิตฉันขอแช่งนายให้พอออกไปพ้นไร่ฉัน ก็ถูกรถชนตาย! ถ้าอยู่บนรถก็ให้รถคว่ำ ไอ้คนชั่ว!”
พอลขบกรามแน่นแล้วเดินไปขึ้นรถขับออกไป
ศรีตรังเดินร้องไห้กลับเข้าบ้าน เตชิตนั่งมองอยู่ถึงกับส่ายหน้า
“อ้าว! เมื่อกี้เห็นกล้าหาญชาญชัยด่าเขาปาวๆๆ พอเขาไปก็มาร้องไห้ขี้มูกโป่ง”
“หยุดนะไอ้เต”
“แกรักมัน ทำไมไม่พูดกันดีๆ วะ”
“ฉันเกลียดมัน เกลียดที่สุดในโลก”
ศรีตรังตะโกนพลาง ร้องไห้พลาง เตชิตเดินมาหาแล้วกอดหัวศรีตรังไว้
“ไม่เอาน่า ยิ่งอ้วนอยู่แล้ว พอร้องไห้หน้ายิ่งบวมเข้าไปใหญ่”
เสียงหวานปรากฏตัวขึ้นข้างหลังคนทั้งสอง ตกใจกับภาพตรงหน้ายกมืออุดปากไม่ให้ร้องออกมา
“ไอ้เตบ้า”
“อ้าว! ว่าบ้าเดี๋ยวก็ปล้ำเสียเลย”
ศรีตรังหัวเราะทั้งน้ำตา แล้วผลักเตชิตวิ่งหนีเตชิตวิ่งไล่ เสียงหวานน้ำตาคลอแล้วหายแว๊บไป ศรีตรังทรุดตัวลงนั่ง เตชิตเดินมานั่งข้างๆ
“หัวเราะออกแล้วนี่”
“ฉันอยากร้องไห้อีกแล้ว”
“เฮ้ย ร้องอะไรมากมาย ไป๊ ขึ้นไปนอนได้แล้ว”
ศรีตรังสูดลมหายใจยาว แล้วลุกขึ้น
“ขอบใจนะเว้ย ไอ้เต”
“เอากองไว้นั่นแหละ”
ศรีตรังหัวเราะ แล้วเดินขึ้นข้างบน เตชิตมองตามสีหน้ายิ้มแย้มค่อยๆ หุบลง
“ขอโทษว่ะ ไอ้ศรี ฉันบอกแกไม่ได้ว่าพอลมันไม่ใช่คนของไอ้เดนิส แต่เป็นตำรวจที่ต้องเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยง เพื่อขุดรากถอนโคนเจ้าพ่อยาเสพติด”
เตชิตนั่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วเดินออกไปข้างนอก
เตชิตเดินออกมาช้าๆ ลมเย็นๆ พัดมาเบาๆ เตชิตเดินมาหยุดอยู่มุมหนึ่งแล้วสูดลมหายใจยาว สีหน้าเตชิตดูสงบขึ้นจากบรรยากาศโดยรอบ แต่แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงหมาหอนดังขึ้น เตชิตสะดุ้งเฮือกหน้าตาเริ่มล่อกแล่ก
“เสียงหวาน นั่นคุณหรือเปล่า เสียงหวาน”
“เธอกำลังเสียใจมาก” เสียงเกษรินบอก
“สะ ...สะ...เสียง ...เสียงเย็น” หมาหอนกระชั้นชิดใกล้มาก เตชิตลูบต้นคอ “ทำ ...ทำไมมันเย็นต้นคอจัง” เตชิตค่อยๆ เบือนหน้ามามองด้านหลังจึงเห็นเกษรินยืนอยู่ค่อนข้างใกล้มาก เตชิตถึงกับสะดุ้งโหยง “เฮ้ย!”
“เสียงหวานเสียใจ”
เตชิตพูดไม่ออก หน้าตาเหมือนจะร้องไห้เสียให้ได้
“ผะ ...ผะ ...ผม ...ผม ...ขอ ...ขอตัว”
เตชิตหันหลังกลับจะเข้าบ้าน แต่เกษรินมายืนอยู่ตรงหน้า
“ไม่ต้องกลัว...”
“คุณก็พูดได้น่ะซิ”
“เสียงหวานเสียใจ”
“รับ... รับทราบครับ ...”
เกษรินค่อยๆ เลือนหายไป เตชิตเดินแกมวิ่งเข้าบ้าน
ที่บ้านปรกเดือน เสียงหวานปรากฏตัวขึ้นมุมหนึ่งของบ้านในลักษณะนั่งกอดเข่าร้องไห้ เสียงหวานนั่งอยู่ในอิริยาบถนั้นครู่หนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้น
“ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
เสียงหวานมีสีหน้าประหลาดใจ ลุกขึ้นมองไปโดยรอบแต่ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ เสียงหวานมองไปหยุดอยู่ที่ประตูตัวบ้านซึ่งปิดสนิท เธอค่อยๆ เดินตรงไปที่นั่นราวกับถูกดึงดูด เสียงหวานเดินผ่านประตูเข้าไปภายใน
ภายในบ้านมืดสลัว เนื่องจากทุกคนเข้านอนหมดแล้ว เสียงหวานเดินขึ้นบันไดช้าๆ ไปยังชึ้นบน เสียงหวานเดินขึ้นมาเรื่อยๆ จนผ่านห้องปรายดาวแต่แล้วเธอก็ต้องชะงักหยุดเดินหันมามองประตูห้องนั้น เสียงหวานค่อยๆ เดินมาที่ห้องปรายเดาวเหมือนต้องมนต์สะกด เสียงหวานเดินมาหยุดหน้าห้องลังเลครู่หนึ่งแล้วก้าวเข้าไป
เสียงหวานก้าวเข้ามาในห้องแล้วต้องประหลาดใจกับภาพตรงหน้าเมื่อเห็นร่างๆ หนึ่งนอนอยู่บนเตียงพยาบาล ... ท่ามกลางอุปกรณ์ช่วยชีวิตต่างๆ
“ใครน่ะ”
เสียงหวานเดินช้าๆ ไปหยุดที่ข้างเตียงแล้วมองไปที่หน้าคนๆ นั้น เสียงหวานเบิกตากว้างยกมืออุดปากสีหน้าบอกความตกใจและประหลาดใจสุดแสนจะบรรยายเพราะร่างที่นอนอยู่บนเตียงมีใบหน้าเหมือนเธอราวกับคนเดียวกัน แถมแต่งตัวเหมือนกันอีก เสียงหวานตกตะลึงมองภาพนั้นครู่หนึ่ง แล้ววิ่งปิดหน้าออกจากห้องนั้นไป
เสียงหวานปรากฏตัวที่บ้านศรีตรังข้างโซฟาที่เตชิตนอนอยู่
“คุณเตชิต คุณเตชิต คุณเตห่าง”
เตชิตค่อยๆ ลืมตาขึ้น ผุดลุกนั่ง
“เสียงหวาน”
“คุณเตชิต ฉัน ... ฉันเห็น ...เห็นตัวฉันค่ะ” เสียงหวานละล่ำละลักบอก
“ผมก็เห็น”
“ไม่ใช่ค่ะ... ฉันเห็นตัวฉันจริงๆ ไม่ใช่วิญญาณ”
เตชิตกำลังหาวถึงกับชะงัก
“คุณหมายถึงโครง เออ...โครงกระดูกของคุณน่ะเรอะ”
“ไม่ใช่ค่ะ ไม่มีโครงกระดูกเลย”
“คุณไปเห็นที่ไหน”
“ในบ้านนั้น บ้านคุณปรกเดือน ...บ้านพี่เดือน”
เตชิตมองเสียงหวานเหมือนไม่เชื่อหู
เช้าวันรุ่งขึ้นศรีตรังยกกาแฟมาเสิร์ฟให้เตชิตและที่ตัวเองเป็นน้ำส้ม
“มีแค่นี้นะ ถ้าไม่อิ่มแกเข้าครัวไปทอดไข่ดาวไส้กรอกเอง ป้าจุแกลาวันนึง”
“ไม่เป็นไร...” เตชิตเหลือบมองเสียงหวานแว่บหนึ่งแล้วบอกศรีตรัง “เสียงหวานไปเจอร่างตัวเองแล้ว”
ศรีตรังชะงัก
“แก...แกหมายถึง ...ศ...ศพน่ะเรอะ”
“ไม่ใช่ค่ะ คุณเตเล่าให้เธอฟังซิคะ”
“คืองี้...”
เตชิตกระแอมแล้วเล่าเหตุการณ์ตามที่เสียงหวานบอก พอเตชิตเล่าจบศรีตรังตบโต๊ะปังจนเตชิตกับเสียงหวานถึงกับสะดุ้ง
“ปรายดาวต้องเป็นน้องปรกเดือน ปรกเดือน ... ปรายดาว แล้วปรายดาวก็คือน้องเมียไอ้เดนนิส เฮ้ย! งั้นคุณหนูเผือกของแกก็...”
เตชิตกระแอมขัด
“ไอ้ศรี...” เตชิตทำมือทำไม้ชี้ไปเป็นทำนองว่าเสียงหวานอยู่ที่นี่ ศรีตรังพยักหน้าแล้วเงียบไป
“ฉันรู้ค่ะว่า แฟนคุณจะพูดอะไร” เสียงหวานบอก เตชิตทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“ศรีตรังจะพูดอะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับตอนนี้ คุณรู้เรื่องของตัวเองแล้ว ตกลงคุณเป็นอะไรตาย”
“ฉันยังไม่ตายค่ะ ฉันนอนอยู่บนเตียงมีอุปกรณ์ช่วยชีวิต ...ฉันยังหายใจอยู่เลยนะคะ”
“ไอ้เต บอกฉันบ้างซิว่าคุณหนูเผือกพูดอะไร” ศรีตรังสะกิดถามเตชิต
“เขาว่าร่างเขายังไม่ตาย ยังหายใจได้”
“แล้วทำไมถึงไม่เข้าไปในร่างล่ะ”
“จริงซิ ฉันมัวแต่ตื่นเต้นเลยลืมไป งั้นฉันไปลองทำดูก่อนนะคะ”
“เดี๋ยว”
เสียงหวานหายไปแล้ว
“เขาว่าไง” ศรีตรังถาม
“ไปแล้ว”
“ใครไปแล้ว”
“ก็คุณหนูเผือกของแกน่ะซิ รีบไปเข้าร่างของเขาแล้ว ศรีเราต้องเข้ากรุงเทพฯ เหมือนกัน”
“ขอถามอะไรหน่อยได้มั้ย”
“ซีเรียสเรอะ”
“เออ” เตชิตพยักหน้า “แกจะว่ายังไงถ้าหากพบว่า คุณหนูเผือกอยู่ในขบวนการค้ายาเสพติด” คำถามนี้ทำให้เตชิตอึ้งไป “แกต้องเตรียมใจไว้ให้พร้อม จะได้ไม่เสียใจภายหลัง เพราะมันมีเค้าว่าอาจเป็นไปได้ ดีไม่ดี เขาอาจตายเพราะเรื่องยาเสพติดก็ได้”
“ไปขึ้นรถ”
เตชิตพูดพลางเดินนำไป
“ฉันว่าแปลกๆ ว่ะ”
“ทำไม...ไอ้ศรี แกจะช่วยกรุณาหุบปากตลอดทางหน่อยได้มั้ย ฉันต้องใช้ความคิด”
“เออ เห็นแกคนที่กำลังจะอกหักว่ะ”
เตชิตทำตาขวางใส่ศรีตรังแว่บหนึ่ง
เสียงหวานกลับมาบ้านปรกเดือนแล้วปรากฎตัวที่ห้องปรายดาว ดวงตาเสียงหวานจับจ้องไปที่ร่างตัวเองที่นอนสงบนิ่งอยู่บนเตียง ทรวงอกสะท้อนขึ้นลงเบาๆ เสียงหวานเอียงคอมองร่างตัวเองอย่างเพ่งพิศ แล้วน้ำตาก็คลอออกมาด้วยความตื้นตันใจ
“อะไรนะที่ทำให้ ต้องมานอนร่างไปทาง วิญญาณไปทางอย่างนี้”
เสียงหวานขยับจะขึ้นบนเตียง แต่ต้องชะงักเมื่อมีเสียงเปิดประตูเข้ามา เสียงหวานหันไปดูจึงเห็นปรกเดือน
เดินเข้ามาติดตามด้วยแจ๋ว ปรกเดือนเดินมาที่เตียงเสียงหวานรีบหลีกทางให้ ปรกเดือนลูบแขนปรายดาวเบาๆ แล้วพูดอย่างอ่อนโยน
“เมื่อไหร่เธอถึงจะฟื้นขึ้นมาเสียที”
“แปลกนะคะ หมู่นี้คุณดาวเธอ ...”
แจ๋วพูดยังไม่ทันจบ ร่างปรายดาวก็กระตุก เสียงหวานสะดุ้ง มองภาพนั้นอย่างตกใจ
“อุ๊ย! อย่าเพิ่งเป็นอะไรนะ อย่าเพิ่ง”
ปรกเดือนจับแขนปรายดาวไว้ จนอาการกลับเป็นปกติ
“หรือว่า เธอจะฟื้นคะ”
แจ๋วบอกเสียงหวานทำตาโต พยักเพยิดอย่างดีใจ
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ภาวนาให้เป็นอย่างนั้น เดี๋ยวช่วยกันเช็ดตัวให้แกก่อน”
“ค่ะ”
แจ๋วเดินเข้าห้องน้ำเพื่อเตรียมน้ำสำหรับเช็ดตัว ปรกเดือนเริ่มแกะกระดุมเสื้อปรายดาว เสียงหวานยกมือปิดหน้าด้วยความอายและตกใจ แล้วร่างเธอก็หายไปทันที
เสียงหวานปรากฏตัวนอกห้อง สีหน้าท่าทางยังตกใจ จังหวะนั้นมีเสียงแตรรถดังขึ้นมา เสียงหวานหันขวับไปมอง
เดนนิสเดินเข้ามาในบ้าน เสียงหวานปรากฎตัวขึ้น
“เดือน ปรกเดือน ปรกเดือน”
ขณะที่เดนนิสตะโกนเรียกปรกเดือน เสียงหวานจ้องมองเดนนิสอย่างเพ่งพิศราวกับพยายามทบทวนความทรงจำ
เดนนิสหันมาเผชิญหน้ากับเสียงหวาน เสียงหวานสะดุ้งเฮือกดวงตาและสีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เสียงหวานค่อยๆ กลืนน้ำลายเหมือนกลัว
เดนนิสเดินตรงไปที่เสียงหวาน เสียงหวานงตัวสั่นเทาหลับตา เดนนิสเดินผ่านเสียงหวานขึ้นไปชั้นบนเสียงหวานลืมตาขึ้นแล้วหันกลับไปมองตาม
ขณะที่เตชิตกำลังขับรถเข้ากรุงเทพจู่ๆ เสียงหวานก็ปรากฏตัวขึ้นในรถเตชิต
“คุณเตชิต”
“เฮ้ย”
เตชิตสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ รถเสียหลักเป๋ไปเป๋มาจนศรีตรังตกใจ
“ไอ้เต ไอ้เต ระวัง ระวัง” เตชิตบังคับรถจอดข้างทาง แล้วถอนใจเฮือก “ผีหลอกแกเรอะ ไอ้เต”
ศรีตรังถามฉุนๆ เตชิตหน้าหงกปรายตามองข้างหลังแว่บหนึ่ง
“ใช่ นั่งอยู่ข้างหลังนั่น” ศรีตรังหันไปมอง แต่ไม่เห็นอะไร เสียงหวานยกมือไหว้เตชิตหน้าจ๋อย
“ขอโทษค่ะ พอดีฉันไปที่บ้านมา แล้ว...แล้วฉันก็เห็น ...”
เตชิตหันขวับไปหาเสียงหวานทันที
“เห็นใคร”
“เขา...เขา...น่ากลัวมาก”
“คุณหมายถึงใคร”
“ไอ้เต เล่าให้ฉันฟังบ้างอย่าฟังคนเดียว” ศรีตรังบอก
“แกอย่าเพิ่งสอด” เตชิตต่อว่าศรีตรังแล้วหันมาถามเสียงหวานต่อ “ใครที่น่ากลัว”
“สามี...”
“ฮ้า” เตชิตร้องเสียงหลงด้วยความตกใจจนเสียงหวานและศรีสะดุ้งเฮือกกับท่าทางตกใจ เสียงดังลั่นของเตชิต
“เสียงหวาน…คุณมีสามีแล้วเรอะ”
“ใช่ ไอ้เดนนิสหรือเปล่า” ศรีตรังรีบถาม
“บอกว่าอย่าเพิ่งสอด...” เตชิตต่อว่าศรีตรังแล้วหันมาตวาดเสียงหวาน “ว่าไง”
“สามีพี่สาวฉันค่ะ สามีพี่เดือน”
คำตอบนี้ทำให้เตชิตโล่งใจสุดๆ
“ค่อยยังชั่ว”
“ว่าไงได้เต”
“ไอ้สอด” เตชิตต่อว่าศรีตรังอย่างฉุนๆ จนศรีตรังสะดุ้ง “ถ้าแกขืนทะลุกลางปล้องบ่อยๆ ฉันจะเปลี่ยนชื่อแกจาก ศรีตรังเป็นสอดจัง”
“ก็แกเล่นฟังคนเดียว”
“ฉันก็ไม่ได้ห้ามไม่ให้แกฟัง แต่แกดันไม่ได้ยินเอง”
“เออ! เดี๋ยวแกฟังจบ แล้วค่อยเล่าก็ได้”
“แล้วอย่าสอดอีกล่ะ”
“ฉันเล่าต่อได้แล้วใช่ไหมคะ” เสียงหวานถาม
“ก็เล่าไปซิ”
“ฉันจำได้ว่า เค้าน่ากลัวมาก แต่ฉันจำรายละเอียดไม่ได้ มันเหมือน ...เหมือน ภาพที่ยังกระจัดกระจาย ฉันยังต่อไม่ติด” เตชิตสตาร์ทรถ “คุณโกรธฉันหรือคะ” !
เตชิตขับรถออกไปโดยไม่ตอบ ศรีตรังมองงงๆ
เมื่อถึงกรุงเทพเตชิตขับรถเข้ามาจอดในบริเวณบ้านตัวเอง เตชิตและศรีตรังลงจากรถ ซึ่งเสียงหวานยืนรออยู่ก่อนแล้ว
“ศรี แกอยู่นี่ก่อน”
“อ้าว แล้วแกจะไปไหน”
“ไปธุระ”
“ฉันไปด้วย”
“แกไม่อยากไปหรอก เชื่อเถอะ นี่ ...กุญแจบ้าน” เตชิตส่งกุญแจบ้านให้ศรีตรัง
“แกจะมารู้ได้ยังไงว่าฉันอยากหรือไม่อยากไปที่ไหน”
“ฉันรู้ก็แล้วกัน”
“แล้วแกจะทิ้งฉันไว้ที่นี่คนเดียวเรอะไง”
“ฉันให้เสียงหวานอยู่เป็นเพื่อน”
“โฮ้ย ให้ฉันอยู่กับผีเนี่ยนะ” เสียงหวานหน้าจ๋อย ศรีตรังรู้สึกตัว “อุ๊ย ขอโทษค่ะ”
“ห้ามไปไหน อยู่เป็นเพื่อนศรีตรังเข้าใจมั้ย” เตชิตสั่งเสียงหวาน
“เข้าใจค่ะ”
เตชิตเดินกลับไปขึ้นรถ แล้วขับออกไป ศรีตรังมองตามสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด แล้วตัดสินใจพูด
“คุณเสียงหวาน ฉันคิดว่าคุณคงอยู่แถวๆ นี้”
“ค่ะ”
“ฉันจะไปบ้านคุณ”
เสียงหวานสะดุ้งรีบบอก
“ ไม่ได้ค่ะ”
“ฉันจะเรียกแท็กซี่ คุณจะไปด้วยก็ไป แต่ห้ามบอกไอ้เตเด็ดขาดเข้าใจมั้ยคะ”
“คุณ คุณ ฉันไปกับคุณไม่ได้”
เสียงหวานตะโกนบอกแล้วชะเง้อมองตาม อย่างกระวนกระวาย
เตชิตขับรถมาจอดที่สถานีตำรวจแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาธง เพียงไม่นานธงก็เดินมาหาเตชิตที่รถเตชิตเปิดประตูรถให้ธง
“ได้มั้ย” เตชิตรีบถาม
“นี่ครับ” ธงส่งกระดาษที่จดเบอร์โทรศัพท์พอล
“ขอบใจ”
“ผู้กองจะนัดปรับความเข้าใจกับผู้กองพอลหรือครับ”
“ไปได้แล้ว”
“ผู้กอง”
“ไปทำงาน”
“ครับ”
ธงเปิดประตูรถลงไป เตชิตจึงกดโทรศัพท์หาพอลทันที
“ฉันเองเตชิต ฉันมีบางอย่างให้แกดู”
เตชิตนัดเจอกับพอลที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง...พอลเปิดประตูเข้ามาแล้วกวาดตามองหาจนเห็นเตชิตนั่งจิบกาแฟมุมหนึ่ง พอลเดินตรงเข้าไปแล้วทรุดตัวลงนั่ง
“จะให้ดูอะไร”
เตชิตหยิบซองข้างตัวมาเปิดแล้วหยิบรูปวาดเสียงหวานส่งให้พอล พอลรับมาดูชะงักนิดหนึ่งแล้วเป็นปกติ
“สวยดีนี่”
พอลบอกด้วยหน้าตาปกติ เตชิตแปลกใจแต่ไม่เชื่อนัก
“เขาชื่อปรายดาว”
“ชื่อก็เพราะ”
“เป็นน้องสาวของปรกเดือน เมียหลวงของไอ้เดนนิส”
“แล้วไง”
“อย่าบอกนะว่า แกไม่รู้จัก”
“ฉันไม่รู้จัก”
คำตอบนี้ทำให้เตชิตนึกฉุน
“ไอ้พอล”
“แกจะต่อยฉันในร้านกาแฟนี่เรอะ ไอ้เต”
“ถ้าจำเป็น”
สองหนุ่มมองหน้ากันราวกับจะหยั่งให้ถึงจิตใจแต่ละฝ่าย จังหวะนั้นเสียงหวานปรากฎตัวขึ้น
“คุณเตชิต”
“ผมบอกให้คุณอยู่เป็นเพื่อนศรีตรังไง้”
เตชิตบอกอย่างอ่อนอกอ่อนใจสุดๆ พอลมองหน้าเตชิตแล้วเหลียวซ้ายเหลียวขวาแต่ไม่เห็นเสียงหวาน
“เธอไปแล้วค่ะ” เสียงหวานบอก เตชิตผุดลุกขึ้นทันที
“ไปไหน”
“ไปบ้านนั้น”
“โว้ย เอาอีกแล้ว”
ตลอดเวลาพอลมองเตชิต พลางส่ายหน้าแล้วพูดเสียงต่ำๆ
“ไอ้เต นั่งลง คนเขามองแกกันหมดร้านแล้ว”
เตชิตเหลือบตาไปโดยรอบจึงเห็นผู้คนบริเวณนั้นมองเขาอย่างสนใจ
“คุณไปที่รถก่อน” เตชิตบอกเสียงหวาน เสียงหวานหายไปตามคำสั่ง
“แกจะถามฉันแค่นี้เรอะ” พอลถามเพราะเข้าใจว่าเตชิตพูดกับเขา
“ฉันไม่ได้พูด กับแก”
พอลชักจะมีอารมณ์บ้าง
“แล้วพูดกับผีเรอะไง”
เตชิตลืมตัว ตอบเสียงดังลั่น เรียกสายตาทุกคนในร้านอีก
“เออ! ผีมาบอกว่า ศรีตรังกำลังไปบ้านไอ้เสี่ยของแก”
“ผีที่ไหนมันจะรู้ขนาดนั้น”
“ก็ผีปรายดาวนี่ไง”
พอลชะงักจ้องหน้าเตชิตเขม็ง
เตชิตรีบเดินกลับมาที่รถโดยมีพอลเดินตามมาห่างๆ เตชิตเปิดประตูรถแล้วเรียกเสียงหวานทันที
“เสียงหวาน เสียงหวาน”
“ผีของแกบอกว่ายังไงอีก” พอลเดินเข้ามาถามเตชิต
“เขาไม่อยู่แล้ว สงสัยจะล่วงหน้าไปก่อน”
“ไอ้เต แกเครียดกับงานมากเกินไปแล้ว แกควรจะไปคุยกับจิตแพทย์บ้างนะ”
เตชิตหันขวับมามองพอล
“อ้อ แกหาว่าฉันบ้า”
“ยังไม่ถึงขั้นบ้า แค่เพี้ยน”
“งั้นก็ไปกับฉัน ไปพิสูจน์ให้มันชัดๆ ไปเลย”
พอลมองหน้าเตชิตซึ่งมั่นอกมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง
ระหว่างนั้นศรีตรังนั่งแท็กซี่มาลงหน้าปากซอยบ้านปรกเดือนแล้วเดินลัดเลาะเข้ามาบริเวณใกล้รั้วบ้าน ศรีตรังเหลียวซ้ายแลขวาขยับจะปีนแต่โทรศัพท์ดังขึ้นซะก่อน ศรีตรังสะดุ้งแล้วหยิบขึ้นมาดู
“จะโทร มาห้ามฉันล่ะซิ ไอ้เต... เสียใจ”
ศรีตรังจัดการปิดโทรศัพท์แล้วขยับจะปีนอีก เสียงหวานปรากฏตัวขึ้น
“ตายละ ทำยังไงดี”
ศรีตรังเริ่มปีนจับกิ่งไม้ใหญ่ไว้ เสียงหวานห่อปากแล้วเป่าลมออกมา ลมแรงพัดมาทันใดกิ่งไม้ที่ศรีตรังเกาะไว้หักลงมา
“โอ๊ย! ลมบ้าอะไรฮึ” ศรีตรังล้มกลิ้งกับพื้น เสียงหวานเป่าลมอีกลมแรงจนเสียงดังอู้ ฝุ่นผงบริเวณนั้นปลิวกระจาย
ศรีตรังปัดฝุ่นผงซึ่งลอยตลบไปหมด “เฮ้ย...ดินฟ้าอากาศแปรปรวนขนาดนี้แล้วเรอะเนี่ย”
ศรีตรังหลบไปนั่งมุมหนึ่งแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาปรกเดือนโดยไม่รู้ว่าขณะนั้นเดนนิสอยู่กับปรกเดือน
“ยังไม่ไปเอาออกอีกหรือ” เดนนิสถามปรกเดือนเรื่องเด็ก ปรกเดือนนั่งนิ่ง “ยิ่งช้ายิ่งอันตราย”
“เดือนตั้งใจแน่วแน่แล้วค่ะว่าจะเก็บไว้”
“จะเก็บไว้ทำซากอะไร ฉันไม่ได้อยากมี”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณ เดือนรับผิดชอบเอง ลูกของเดือนไม่จำเป็นต้องมีพ่อ...”
ปรกเดือนยังพูดไม่ทันจบเสียงโทรศัพท์เธอก็ดังขึ้น ปรกเดือนเหลือบมองเดนนิสมองตาม ปรกเดือนเดินมาจะหยิบโทรศัพท์แต่เดนนิสซึ่งอยู่ใกล้กว่าคว้าไว้ก่อน
“ขอโทรศัพท์”
“ทำไม รู้หรือว่าใครโทร.มา”
“ไม่ทราบค่ะ แต่ที่แน่ๆ เขาต้องเป็นเพื่อนเดือน”
ปรกเดือนแบมือขอโทรศัพท์คืน แต่เดนนิสกับกดรับเอง
“ฮัลโหล” ปรกเดือนมองด้วยความไม่พอใจอย่างยิ่ง ขณะที่ศรีตรังสะดุ้งเฮือกเสียงหวานมองอย่างกระตือรือร้น
“นั่นใคร”
เดนนิสถามเมื่ออีกฝ่ายเงียบไป ศรีตรังจึงดัดเสียงตอบ
“ต่อ...ต่อผิดค่ะ” ศรีตรังรีบปิดโทรศัพท์ “เกือบไป”
“ทำไมหรือคะ” เสียงหวานถาม แต่ศรีตรังไม่ได้ยินถอนใจเฮือก
“ซวยจริงๆ” เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีก ศรีตรังมองเบอร์ที่โทรเข้ามาแล้วหงุดหงิด “อีตาพอล โทรมาทำไม”
ศรีตรังปิดโทรศัพท์แล้วตัดสินใจเดินออกไป เสียงหวานถอนใจเฮือกอย่างโล่งอก
“ค่อยยังชั่ว” เสียงหวานจะตามศรีตรังไปแต่ตามไปไม่ได้ “ลืมไปว่าไปกับคนอื่นไม่ได้”
เสียงหวานหายไปจากที่นั้น แล้วมาปรากฎตัวที่เบาะรถข้างเตชิต
“เฮ้ย” เตชิตสะดุ้ง
“ขอโทษค่ะ”
“ศรีตรังเป็นยังไง ยังอยู่ดีหรือว่าถูกจับไปแล้ว”
“กลับบ้านคุณแล้วค่ะ”
“อ้าว ทำไม”
“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ คุณต้องไปถามเธอดูเอง”
เสียงหวานบอกแล้วหายไป
“เดี๋ยว เสียงหวาน เสียงหวาน” เสียงหวานไม่ปรากฏตัว “งอนอะไรอีกล่ะ”
เสียงหวานปรากฏตัวขึ้นที่รีสอร์ทของศรีตรังบริเวณซากรีสอร์ทที่ถูกไฟไหม้ เสียงหวานมองไปรอบๆ แล้วทรุดตัวลงนั่งทอดสายตามองไปข้างหน้าพร้อมกับน้ำตาที่คลอขึ้นมา
“แม้แต่สังขารของคนเรายังสูญสลายได้ นับประสาอะไรกับสถานที่”
















Create Date : 08 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 16 กุมภาพันธ์ 2555 13:55:29 น.
Counter : 367 Pageviews.

0 comment
ปางเสน่หา ตอนที่ 8 (ต่อ)



เนื่องจากบทโทรทัศน์ละครเรื่อง "ปางเสน่หา" ตอนที่ 8 ที่ลงใน “ละครออนไลน์” อยู่นี้ คือตอนล่าสุดที่ทีมงานดาราวิดีโอ เพิ่งถ่ายทำเสร็จ สำหรับบทตอนถัดจากนี้ ยังอยู่ในระหว่างการปรับแก้ตามการถ่ายทำที่เกิดขึ้นจริงในกองถ่าย ซึ่งถ้าบทตอนใหม่มาถึง ทีมงานละครออนไลน์ที่ยึดถือความถูกต้องตรงตามบทโทรทัศน์ จะรีบอัพขึ้นให้อ่านทันที และหากเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ ทำให้ท่านผู้อ่านไม่พอใจ ทีมงานละครออนไลน์ ขออภัยมา ณ ที่นี้
.......................................

ปางเสน่หา ตอนที่ 8 (ต่อ)

แจ๋วกลับเข้าบ้านแล้วโทร.บอกเดนนิสเรื่องศรีตรัง ระหว่างนั้นเตชิตกำลังขับรถตามพอลโดยมีเสียงหวานนั่งลุ้นอยู่ข้างๆ พอลชำเลืองดูกระจกจึงเห็นว่าเตชิตตามมา ศรีตรังหันไปมอง แววตาเป็นประกายทันทีด้วยความดีใจเมื่อเห็นเป็นรถเตชิต

พอลชำเลืองมองศรีตรังแว่บหนึ่งแล้วพูดประชด

“เห็นไอ้เตตามมาหน้าบาน เชียวนะ”
“แน่นอน รู้แล้วก็จอดรถซิ”
พอลไม่ตอบแล้วขับไปเรื่อยๆ ส่วนที่รถเตชิตเสียงหวานลอบชำเลืองมองสีหน้าเคร่งเครียดเป็นกังวลของเตชิตเงียบๆ เป็นระยะๆ
“มันจะไปไหนของมัน”
“คุณเป็นห่วงเธอมากนะคะ”
“ไม่ห่วงได้ไง ไอ้พอลมันจะพาไปไหนก็ไม่รู้...คุณไปยืนขวางกลางถนนได้ไหม เอาแบบในหนังผีน่ะ”
“แล้วถ้ารถชนฉันล่ะคะ” เสียงหวานถามอย่างน้อยใจ
“โอ้ย ไม่ชนหรอก คุณเป็นผี” เสียงหวานน้ำตาคลอแล้วเงียบไป เตชิตหันมามอง แล้วนึกได้ “ผมขอโทษ...คุณไม่ชอบให้เรียกว่าผี”
เสียงหวานยังคงนิ่ง ขณะนั้นพอลขับรถมาถึงโรงพยาบาลแห่งหนึ่งแล้วเลี้ยวเข้าไป
“เข้ามาทำไม” ศรีตรังถามอย่างแปลกใจ
“มาฝังลูกนิมิตมั้ง”
ศรีตรังเม้มปาก เตชิตขับตามเข้ามา
พอลขับรถเข้ามาจอด แล้วก้าวลงมา เตชิตตามเข้ามาจอดข้างๆ แล้วก้าวลงเช่นกัน พอลอ้อมมาเปิดประตูให้ศรีตรัง
“เอ้า! ลงมาได้แล้ว”
ศรีตรังขยับตัวจะก้าวลงมาและนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด เตชิตเดินเข้ามา
“ไหวหรือเปล่า” เตชิตถามอย่างเป็นห่วง
“ช่วยฉันหน่อยซิ”
เตชิตยื่นมือมาช่วยประคองศรีตรังลงจอดรถ
“ช่วยสั่งสอนคุณสุภาพสตรีผู้นี้ด้วยว่า ถ้ายังซุ่มซ่ามเฟอะฟะแบบนี้ กรุณาอย่าทำตัวเป็นพวกนางฟ้าชาร์ลีหน่อยเลย” พอลบอกเตชิต
“ฉันไม่ได้ซุ่มซ่ามเฟอะฟะ” ศรีตรังเถียงแต่พอลไม่สนใจขึ้นรถแล้วขีบออกไป ศรีตรังมองตามอย่างแค้นๆ “คอยดูนะ ฉันจะ...”
“แกจะไปทำอะไรเขา”
พนักงานเข็นรถมารับ ศรีตรังนั่งลงเตชิตเดินตามไป ขณะที่เสียงหวานยังคงนั่งมองอยู่ในรถด้วยสีหน้าเศร้าๆ
ทางด้านพอลหลังจากขับรถออกมาจากโรงพยาบาล เดนนิสก็โทรเข้ามา
“ครับ เสี่ย”
“มาพบฉันหน่อย ห้ามแวะที่อื่นเลยนะ”
“ครับ”
พอลขับรถเลี้ยวลับไป
พอลมาหาเดนนิสที่บ้าน เดนนิสหันกลับมาทางพอลซึ่งยืนอยู่เงียบๆ
“มีอะไรจะเล่าให้ฉันฟังไหม”
“วันนี้ เป็นวันครบรอบ 3 ปีที่ผมพบกับปรายดาวครั้งแรกก็เลยแวะซื้อดอกไม้ไปให้...” พอลทำเป็นสะเทือนใจจนพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง เดนนิสเดินมาทรุดตัวลงนั่ง “เผอิญพบเพื่อนของปรายดาว”
“ใครบอกนาย”
“เขาบอกเองครับ ตกต้นไม้ ผมก็เลยช่วยเอาตัวไปส่งโรงพยาบาลตอนเสี่ยโทร.ไปผมกำลังออกมาพอดี ผมว่าผมเคยเห็นผู้หญิงคนนี้ที่ไหนสักแห่งแต่ก็นึกไม่ออก”
“เจ้าของไร่สุขศรีตรังไง”
พอลทำเป็นชะงัก
“ใช่แล้วครับ ผมไม่ยักรู้ว่าเขาเป็นเพื่อนกับดาว”
“ฉันกำลังสงสัยอะไรบางอย่าง นั่งซิ” พอลมองอย่างตั้งใจฟัง แล้วทรุดตัวลงนั่ง “ทำไมไม่กลับออกทางประตูดีๆ ทำไมต้องปีนกำแพง”
พอลหัวเราะ
“ปีนต้นมะม่วงครับ ตอนผมขับรถเข้ามา เขาคงตกใจเลยตกลงมาผมคิดว่าเขาน่าจะอยากได้มะม่วง เพราะกำลังออกเต็มต้นเลย”
“มะม่วงมีขายเยอะแยะ ไม่เห็นจะต้องขโมย”
“ผมเคยเห็นคนที่มีนิสัยชอบหยิบฉวยของคนอื่นหรือ บางทีก็ขโมยของในห้างทั้งๆ ที่ตัวเองก็ฐานะดี อาจจะเป็นโรคจิตชนิดหนึ่งมั้งครับ”
“อาจจะเป็นได้ นี่ฉันก็ให้คนอื่นไปสืบที่ไร่สุขศรีตรังแล้ว”
พอลพยักหน้า
“ก็ดีครับ เสี่ยให้ใครไป”
“ไอ้เจียง”
นัยน์ตาพอลไหวไปแว่บหนึ่ง

พอออกจากบ้านเดนนิส พอลจึงโทรหาศรีตรังเพื่อเตือนให้เธอระวังตัว
“อ๋อ ไม่ต้องมาเตือนหรอก ฉันระวังตัวอยู่แล้ว”
ขณะศรีตรังคุยโทรศัพท์กับพอล เตชิตลอบสังเกตเงียบๆ
“ดี”
พอลกระแทกเสียงแล้วปิดโทรศัพท์อย่างหงุดหงิด ศรีตรังปิดโทรศัพท์นั่งมองตรงไปข้างหน้า
“น่าจะขอบอกขอบใจเขาหน่อยน้า” เตชิตพูดขึ้นลอยๆ
“เรื่อง เพราะเขานั่นแหละที่ทำให้ฉันตกต้นไม้เดี้ยงแบบนี้ ยังดีนะที่แขนขาไม่หัก ไม่งั้นละก็ฉันจะฟ้องแน่”
“ชิชะ! ชิชะ แกบุกรุกเข้าบ้านเค้าแล้วยังจะมีหน้าไปฟ้อง”
“เออ! เฮ้ย เท่าที่ฉันเล่ามาทั้งหมด แกว่ามันน่าสงสัยมั้ย”
“ศรี ฉันว่าแกอย่าเข้ามายุ่งเรื่องนี้ดีกว่า” น้ำเสียงเตชิตจริงจังขึ้น
“ก็มันยุ่งไปแล้ว”
“อันตรายนะเว้ย”
“ตื่นเต้นดี ชอบ”
“ฉันขอสั่งห้าม”
“แกไม่ใช่บิดาฉันนี่”
“ไม่ใช่แกคนเดียวที่มีอันตราย พวกของแกที่ไร่จะพลอยฟ้าพลอยฝนไปด้วย”
“เออ! จริง ต้องโทร.บอกลุงสมให้เตรียมรับสถานการณ์ไว้ก่อน” ศรีตรังกดโทรศัพท์หาสม “ลุงสม ศรีมีเรื่องต้องรบกวนหน่อยค่ะ”
เจียงมาสืบเรื่องศรีตรังที่ไร้สุขศรีตรัง เจียงโชคดีที่ได้เจอกับอ้อย อ้อยเดินนำเจียงชมความสวยงามของไร่สุขศรีตรัง
“โชคดีที่ผมมาเจอคุณ”
เจียงบอก อ้อยทำขวยเขิน
“คนกรุงเทพฯ ปากหวานอ่ะ”
“ผมไม่ใช่คนกรุงเทพฯ ครับ ปากเลยไม่หวานแต่ใจหวานนะครับ” เจียงหันไปคลื่นไส้ตัวเอง อ้อยหัวเราะคิกคักปลาบปลื้ม “ได้ข่าวว่าเจ้าของรีสอร์ทใจดีมาก สวยด้วย”
อ้อยเบ้ปาก
“ก็งั้นๆ แหละค่ะ”
“ดูเหมือนชื่อเดียวกับคุณใช่ไหมครับ”
“ต๊าย! ใครบอกคะเค้าชื่อศรีตรังค่ะ”
เจียงนิ่วหน้า
“ศรีตรัง”
“แกพูดจาท่าทางคล้ายทอมๆ หน่อยน่ะค่ะ”
เจียงมีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด

เจียงกลับเข้ากรุงเทพมาหาเดนนิสที่บ้านพร้อมกับภาพอ้อยที่เจียงถ่ายกลับมาให้เดนนิสดู
“นี่ครับ คนที่ชื่ออ้อย ที่รีสอร์ทมีคนชื่ออ้อยคนเดียว ส่วนเจ้าของรีสอร์ทชื่อศรีตรัง”
เดนนิสเอนตัวพิงพนัก สีหน้าแววตาแฝงความเลือดเย็น
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นศรีตรังนั่งดูทีวีอยู่ที่บ้านเตชิต ขณะที่เตชิตเดินลงมาจากชั้นบน
“เสียงหวานไม่อยู่”
“ดีแล้วล่ะ ฉันไม่อยากอยู่บ้าน 2 คนกับผี”
“แต่ฉันเป็นห่วงแก ผีไม่ทำอะไรแกหรอกแต่คนนี่ซิ”
“ไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอกน่าแกไปอยู่เวรเถอะ”
“ปิดประตูหน้าต่างให้หมดนะ เดี๋ยวจ่าธงจะมาเฝ้าหน้าบ้าน”
“ไม่ต้อง”
เตชิตยกนาฬิกาขึ้นดู
“อีกครึ่งชั่วโมงคงมาถึง ไปละ หรือแกจะให้ฉันอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าจ่าธงจะมา”
“เว่อร์ ฉันมีมือมีตี...เอ๊ย ไปได้แล้วเดี๋ยวก็โดนเจ้านายด่าหรอก”
“อย่าลืมปิดประตูหน้าต่าง ใครเรียกก็ไม่ต้องปิด”
“เออ”
เตเดินออกไปศรีตรังเดินตามมาปิดประตู
“ดีมาก”
ศรีตรังส่ายหน้าพลางปิดประตูเข้ามาแล้วล๊อค
เตชิตเดินมาขึ้นรถพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาธง
“ถึงไหนแล้วจ่าธง”
“ใกล้ปากซอยแล้วครับ ถ้าผู้กองเพิ่งออกมาอาจจะสวนกัน”
“ดี”
เตชิตปิดโทรศัพท์ แล้วขับรถออกไปด้วยสีหน้าคลายกังวลลง

ศรีตรังกลับเข้าห้องแล้วเดินไปที่หน้าต่างเพื่อดึงม่านปิด ศรีตรังมองออกไปเห็นรถธงแล่นมาจอดหน้าบ้าน
ศรีตรังมองครู่หนึ่งแล้วตัดสินใจเดินลงไป ขณะนั้นธงกำลังกดให้เบาะที่นั่งเอนลงแล้วเอื้อมมือไปเปิดเพลงเสียงเคาะกระจกรถดังขึ้น ธงสะดุ้งเฮือกแล้วหันขวับไปมองพร้อมกับถอนใจเฮือก
“คุณศรีตรัง มีอะไรหรือเปล่าครับ”
ธงถามพลางเปิดประตูรถ ศรีตรังส่งถ้วยกาแฟและขนมให้
“นี่ค่ะ”
“ขอบคุณมากครับ” ศรีตรังพยักหน้ายิ้มๆ แล้วหันหลังจะกลับเข้าบ้าน ธงรีบเรียก “คุณศรีตรังครับ” ศรีตรังหันกลับมามอง ธงรีบวางถ้วยกาแฟและขนมลงบนเบาะที่นั่ง “ไม่ต้องกลัวนะครับ ผมจะไม่ยอมให้แม้แต่แมลงซักตัวเข้าไปในบ้าน”
“ฟังแล้วอุ่นใจจังเลยค่ะ ขอบคุณ”
“เป็นหน้าที่ของผู้พิทักษ์สันติราษฏร์อยู่แล้วครับ”
ศรีตรังยิ้มพยักหน้า แล้วเดินกลับเข้าบ้าน ธงหยิบถ้วยกาแฟขึ้นมาจิบ
ศรีตรังกลับเข้าห้องเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ศรีตรังเดินมาหยิบขึ้นดูแล้วรับด้วยสีหน้าออกจะหงุดหงิด
“จะโทร. มาทำไมอีกล่ะ”
“คุณอยู่ที่ไหน”
“ถามทำไม”
“คุณกำลังตกอยู่ในอันตรายน่ะซิ”
“ให้ตายเถอะ ไม่ต้องมาทำแอ๊บดีหรอก คนอย่างคุณมีไส้กี่ขด กี่ขดฉันรู้หมดแล้ว”
“แล้วคุณมานับไส้ผมตอนไหน...ว่าไง...คุณยังไม่ตอบคำถามผมเลย”
“ฉันจะอยู่ที่ไหนก็ไม่เกี่ยวกับคุณ”
ศรีตรังปิดโทรศัพท์ พอลโทรหาอีกแต่มีเพียงเสียงให้ฝากข้อความ พอลหงุดหงิด
“เป็นน้องเป็นนุ่งละก็จะตีให้ตายเลย”
ขณะนั้นธงเดินสำรวจอยู่บริเวณหน้าบ้านเตชิตขณะที่โทรศัพท์ดังขึ้น ธงหยิบขึ้นมารับ
“สวัสดีครับ... ผู้กอง”
“เป็นไงบ้าง”
“เหตุการณ์ปกติครับ เมื่อกี้คุณศรีตรังกรุณาเอากาแฟกับขนมมาให้ผม”
“เฝ้าให้ดีก็แล้วกัน”
“แน่นอนครับ”
พอธงพูดจบมีมือๆ หนึ่งถือด้ามปืนฟาดหัวทางด้านหลัง ธงตาเหลือกแล้วทรุดลงไปหมดสติโทรศัพท์ตกจากมือ
“จ่าธง จ่าธง”
ธงยังนอนหมดสติ

เตชิตนึกเป็นห่วงธงจึงรีบเดินเข้ามาในห้องแล้วเรียกเสียงหวาน
“เสียงหวาน เสียงหวาน” ทุกอย่างเงียบสนิท “เสียงหวาน ออกมาได้แล้ว ผมรู้ว่าคุณอยู่ที่นี่” ทุกอย่าง
ยังเงียบเหมือนเดิม เตชิตจึงพูดเสียงอ่อนลง “เอาละ...ถ้าผมทำอะไรให้คุณไม่พอใจหรือเสียใจก็ขอโทษด้วย ออกมาได้แล้วครับ” แสงอ่อนปรากฏขึ้น โดยมีเสียงหวานอยู่ตรงกลางสีหน้าเธอเรียบเฉย เตชิตทั้งดีใจและโล่งอก “ขอบคุณมาก”
เสียงหวานเมินมองไปอีกทาง
“มีเรื่องอะไรจะให้ฉันรับใช้หรือคะ”
เตชิตชะงัก
“ทำไมถึงพูดอย่างนั้น”
“เพราะคุณเรียกทีไร มักจะมีเรื่องให้ฉันทุกที”
“คุณพูดเกินไป”
“คุณจะให้ฉันไปอยู่กับนายศรีตรัง”
“จะไปไหนก็เชิญ ขอโทษด้วยที่รบกวน”
เตชิตเปิดประตูเดินออกไป เสียงหวานชะงัก
เตชิตชะงักเมื่อเสียงหวานปรากฏตัวขวางไว้
“บอกแล้วไงว่าจะไปไหนก็เชิญ”
คนบริเวณนั้นมองเตชิตอย่างแปลกใจ ขณะที่เสียงหวานน้อยใจสุดๆ
“แล้วคิดหรือคะว่าฉันไม่อยากไป ถ้าไปได้ฉันไปนานแล้วไม่ได้อยากติดอยู่กับคุณนักหรอก”
“ศรีตรังไปทำอะไรให้คุณไม่พอใจหรือ” คนอื่นๆ เริ่มมองหน้ากันอย่างหวาดๆ “ศรีเป็นเพื่อนผม”
“เพื่อนรักด้วย”
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้”
เสียงหวานน้ำตาคลอ
“ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”
เสียงหวานบอกแล้วเลือนหายไป
“เสียงหวาน” เตชิตชะงักเมื่อหันมาเจอคนอื่นๆ มองอยู่ เตชิตแกล้งทำหน้าตายถามออกมา “เสียงผมหวานมั้ย”

เตชิตทำเป็นฮัมเพลงแล้วเดินไปนั่งที่ร้อยเวร คนอื่นๆ มองตามงงๆ

















Create Date : 02 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2555 10:00:41 น.
Counter : 633 Pageviews.

0 comment
ปางเสน่หา ตอนที่ 8



เนื่องจากบทโทรทัศน์ละครเรื่อง "ปางเสน่หา" ตอนที่ 8 ที่ลงใน “ละครออนไลน์” อยู่นี้ คือตอนล่าสุดที่ทีมงานดาราวิดีโอ เพิ่งถ่ายทำเสร็จ สำหรับบทตอนถัดจากนี้ ยังอยู่ในระหว่างการปรับแก้ตามการถ่ายทำที่เกิดขึ้นจริงในกองถ่าย ซึ่งถ้าบทตอนใหม่มาถึง ทีมงานละครออนไลน์ที่ยึดถือความถูกต้องตรงตามบทโทรทัศน์ จะรีบอัพขึ้นให้อ่านทันที และหากเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ ทำให้ท่านผู้อ่านไม่พอใจ ทีมงานละครออนไลน์ ขออภัยมา ณ ที่นี้
................................

ปางเสน่หา ตอนที่ 8

ศรีตรังพาจุรีมาบ้านพักเตชิต ศรีตรังค่อยๆ ย่องเข้ามาในบ้าน ขณะที่จุรีเกาะหลังศรีแน่น ทั้งสองค่อยๆ กวาดตามองซ้ายมองขวาหวาดๆ

“อยู่หรือเปล่าคะ”
ศรีตรังกระซิบถามจุรี
“ไม่เห็นค่ะ ป้าว่าเธออาจจะไปผุดไปเกิดแล้วก็ได้กลับกันเถอะค่ะ”
จุรีหันหลังกลับทันทีศรีตรังรีบดึงตัวไว้
“เดี๋ยวค่ะป้าจุยังไม่ได้เรียกเธอเลยลองเรียกก่อนซิคะ”
“เรียก เรียกคุณ คุณหนูเผือกน่ะหรือคะ”
“งั้นซิคะ” จุรีทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ “เถอะน่า ศรีอยู่เป็นเพื่อนทั้งคน”
“คุณหนูไม่ ไม่ ไม่กลัวหรือคะ”
“กลัวซิคะ”
“อ้าว”
“มีใครไม่กลัวผีบ้าง แต่ไอ้เตมันบอกว่า”
จุรีทำหน้าเหยเกเมื่อเห็นเสียงหวานยค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าโดยที่ศรีตรังยังพูดไม่ทันจบ ศรีตรังค่อยๆ เบือนหน้าตามแล้วถอนใจอย่างโล่งอกที่ไม่เห็นอะไร
“มะ...มะ...มา...มาแล้วหรือคะ” ศรีตรังกระซิบงถาม
“ค่ะ... ยะ...ยะ...ยืนหน้าซีดอยู่ตรงใกล้ๆ หน้าต่างค่ะ” จุรีกระซิบบอก
“รีบบอกซิคะจะได้รีบไป”
“คะ...คะ...คุณ...คุณเตชิตถูกยิงค่ะ”
จุรีบอกเสียงหวานชะงักตกใจสุดๆ
ขณะนั้นเตชิตกำลังนอนหลับเมื่อเสียงหวานปรากฎตัวขึ้น
“คุณ คุณเตชิต” เสียงหวานลอยเข้ามาใกล้ก้มหน้าลงมาจนใกล้ๆ ใบหูเตชิต “คุณเตชิตคะ”
เสียงหวานกระซิบเรียก เตชิตลืมตาขึ้นงงๆ ตาสบตากับเสียงหวาน แววตาเสียงหวานเต็มไปด้วยความ
ห่วงใย ทั้งคู่สบตากันนิ่งแล้วแววตาเตชิตก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนซาบซึ้งใจใบหน้าเสียงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีชมพูเข้มเช่นเดียวกับแสงสว่างนวลรอบตัว
“ศรีตรังไปบอกคุณหรือ”
“คุณศรีตรังมากับป้าอะลัดตั๊ดต๊าค่ะ”
“อ๋อ ป้าจุ”
“คุณไม่เป็นอะไรมากใช่ไหมคะ”
“มันขึ้นอยู่กับว่า คุณหายงอนหรือยัง” เสียงหวานขยับจะถอยไป เตชิตรีบจับแขนแต่วืดตามเคย “เฮ้อถ้าคุณมีเลือดมีเนื้อเหมือนผู้หญิงจริงๆ”
เสียงหวานทรุดตัวลงนั่ง ก้มหน้าลงเศร้าๆ
“คงต้องรอชาติหน้านั่นแหละค่ะ แต่ชาติหน้าจะมีจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ แล้วถ้าหากมีจริง เราก็คงต้องแยกจากกันไปคนละทิศละทาง ไม่มีวันได้พบกันอีกถึงหากได้พบก็ไม่รู้จักกัน”
“เสียงหวาน”

เสียงหวานเงยหน้าน้ำตาคลอ
“ไม่ว่าจะอย่างไร คุณต้องรอผม ผมจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ได้อยู่ด้วยกันอีก” เสียงหวานน้ำตาหยด
“สัญญากับผมซิ”
เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ แล้วพยาบาลเข้ามาพร้อมถาดวางเครื่องวัดความดัน เสียงหวานเลือนหายไป
“ขอวัดความดันหน่อยนะคะ”
เตชิตพยักหน้า แล้วยื่นแขนให้สีหน้าแววตาเคร่งขรึม
เสียงหวานมานั่งรอจุรีอยู่ที่บ้าน พอจุรีเปิดประตูเข้ามาแล้วเห็นเสียงหวาน จุรีถึงกับสะดุ้ง
“อะลัดตั๊ดต๊า” จุรีค่อยๆ ก้าวถอยหลังออกไ แล้วปิดประตู “เจ้าประคุณรุนช่อง” จุรีหันหลังกลับ แล้วสะดุ้งเฮือกอีกครั้งเมื่อเห็นเสียงหวานยืนอยู่ “อะลัดตั๊ดต๊า” จุรีพนมมือเสียงสั่น “อย่ามาหลอกหลอนป้าเลยเจ้าค่ะ แล้วป้าจะทำบุญ
อุทิศส่วนกุศลไปให้นะคะ”
“หนูไม่ทำอะไรป้าหรอกค่ะ”
“แค่หนูมาปรากฏตัวนี่ก็ทำป้าขวัญหนีดีฝ่อแล้ว”
“ป้าขา หนู หนูไม่ใช่ผี”
“ถ้าหนูไม่ใช่ผี ป้าก็คงไม่ใช่คนเหมือนกัน”
“หนูต้องการความช่วยเหลือจากป้า”
จุรีอึ้งไป เสียงหวานเดินไปยืนที่หน้าต่างมองออกไปข้างนอก จุรีลอบถอนหายใจโล่งแล้วขยับตัวนั่งปกติตามเดิม
“หนูติดอยู่ในบ้านหลังนั้นนานแล้ว และคงจะติดอยู่ชั่วกัปชั่วกัลป์ถ้าคุณเตชิตไม่ไปพักที่นั่น”
“แล้ว แล้วหนูไม่คิดจะไปผุดไปเกิดบ้างหรือคะ”
เสียงหวานหันมาใบหน้าและแสงรอบตัวหม่นเศร้า
“หนูบอกแล้วว่า หนูติดอยู่ในบ้านหลังนั้น แม้แต่จะออกมานอกประตูยังทำไม่ได้เลย หนูเคยพยายาม
ติดต่อกับป้า”
“ป้าขอบายดีกว่าค่ะ”
“บายไม่ได้แล้วค่ะ หนูต้องการที่ปรึกษา หนูไม่มีญาติผู้ใหญ่”
“ก็คุณเตไงคะ”
เสียงหวานหลบตาจุรี
“เขาทำให้หนูหวั่นไหว ที่จริง เรื่องที่หนูจะปรึกษาป้าก็เกี่ยวกับเขาด้วยค่ะ”
“ป้า”
“หนู ไม่มีใครเลย หนูว้าเหว่ ไม่รู้ด้วยซ้ำตัวเองเป็นใคร หนูเคยอยากรู้เรื่องของตัวเองมากแต่พอคุณเตชิตสืบจนรู้เรื่องของหนู หนูกลับกลัว กลัวที่จะรู้ความจริง”
“ป้าไม่ตำหนิหนูหรอก ความจริงเป็นสิ่งไม่ตายแต่ความจริงก็อาจฆ่าคนได้”
“แล้วหนูจะทำยังไงดีคะ”
“นั่นสุดแล้วแต่หนู”
“แล้วถ้าเป็นป้าล่ะคะ”
ขณะนั้นอ้อยเดินผ่านมาหน้าห้องจุรี แล้วต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงจุรี

“ป้าก็จะรู้ความจริงให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยน่ะซิคะ” อ้อยนิ่วหน้าอย่างแปลกใจ “ไอ้ความไม่รู้นี่มันเครียดนะคะ ซีเรียสด้วย”
อ้อยตัดสินใจเคาะประตู จุรีหันขวับมาทางประตูทันทีด้วยความตกใจ เสียงหวานเลือนหายไป อ้อยเปิดประตูเข้ามาแล้วมองกวาดตาไปรอบห้องแว่บหนึ่ง
“แม่คุยกับใครคะ”
“เปล่านี่”
“แต่อ้อยได้ยิน”
“แม่ก็บ่นของแม่ไปเรื่อยเปื่อย ทุกวันนี้มันมีแต่เรื่องเครียดๆ”
“ไม่อยากจะเชื่อเลย”
“อะลัดตั๊ดต๊า ถ้าไม่เชื่อก็หาดูซิว่า มีใครซ่อนอยู่” จุรีลุกเดินไปที่ประตู แล้วหันกลับมา “บางที แม่อาจจะพูดกับผีก็ได้นะ”
จุเปิดประตูแล้วเดินออกไป
“แม่” อ้อยสะดุ้งเฮือกรีบตาม “แม่อย่าพูดเรื่องผีเรื่องสางได้มั้ย”
อ้อยต่อว่าเมื่อออกมาอยู่หน้าห้อง
“อ๊าว ก็แกอยากหาว่าฉันพูดคนเดียวทำไมล่ะ”
“ไม่อยากพูดกับแม่แล้ว”
อ้อยเปิดประตูเข้าห้องไป จุรีมองตามแล้วเดินลงไปข้างล่าง

พอลไม่สบายใจเมื่อรู้เรื่องเตชิตจึงนัดเจอกับเสนาที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง
“ผมอยากให้พี่เรียกตัวไอ้เตกลับมา เพื่อความปลอดภัยของตัวมันเองและคนที่นั่น”
“ได้ ... พรุ่งนี้พี่จะให้จ่าธงไปรับว่าแต่นายเถอะ ต้องระวังตัวเหมือนกัน ถ้าเห็นท่าไม่ดี ก็รีบถอนตัวออกมา”
“ไม่หรอกครับ ผมมีเรื่องที่ต้องคิดบัญชีกับมัน”
สีหน้าพอลแน่วแน่เด็ดเดี่ยว
ส่วนที่บ้านปรกเดือนขณะนั้นแจ๋วเดินขึ้นเคาะประตูเรียกปรกเดือนที่ห้อง
“คุณเดือนคะ คุณเดือน เป็นอะไรหรือเปล่าคะ” ไม่มีเสียงตอบนอกจากเสียงเหมือนคนอาเจียน “คุณเดือน”
แจ๋วตกใจลองขยับลูกบิด ประตูเปิดออก แจ๋วรีบเดินไปที่ห้องน้ำ
“คุณเดือน ตายจริง”
แจ๋วรีบลูบหลังให้ ปรกเดือนอาเจียนครู่หนึ่งแล้วบ้วนปากเดินออกมาโดยมีแจ๋วช่วยประคอง
“ฉันไม่เป็นไรแล้ว ขอบใจ” ปรกเดือนเอนตัวลงนอนแล้วหลับตาลง
“แจ๋วว่าไปหาหมอดีกว่านะคะ”
“บอกว่าไม่เป็นไร จะไปทำอะไรก็ไปเถอะ”
“แต่คุณเดือนยังไม่ได้ทานอะไรเลย”
“ฉันไม่หิว”
ปรกเดือนพลิกตัวหันหลังให้ แจ๋วมองอย่างเป็นห่วงครู่หนึ่งแล้วเดินออกไป
พอลงมาข้างล่างเจ๋วรีบโทรหาเดนนิส ขณะนั้นเดนนิสอยู่กับเจนจิราและเจนจิรากำลังบีบนวดให้เดนนิสอย่างเอาอกเอาใจ
“สบายจัง ไปหัดนวดมาจากไหน”
เดนนิสมีสีหน้าผ่อนคลาย
“ก็จากหมอนวดที่มานวดให้เจนประจำไงคะ” เสียงโทรศัพท์เดนนิสดังขึ้น “ฮื้อ ใครโทร.มากวนอีกแล้ว ปิดโทรศัพท์ดีไหมคะ”
“ไม่ต้อง ส่งมานี่ซิ” เจนจิราหยิบโทรศัพท์ส่งให้ “ว่าไง”
“คุณเดือนไม่สบายค่ะ ไม่ยอมทานอะไรตั้งแต่เช้า แจ๋วบอกให้ไปหาหมอก็หงุดหงิด ”
“ฉันจะไปดูเอง”
เดนนิสขยับตัวลุกขึ้น ขยับเสื้อผ้าให้เรียบร้อย
“จะไปไหนหรือคะ”
“แจ๋วโทร.มาบอกว่าเดือนไม่สบาย”
เดนนิสเดินออกไปจากห้องนอน เจนจิราเม้มปากด้วยความไม่พอใจแว่บหนึ่งแล้วรีบปรับสีหน้าขณะเดินตามออกไป
เจนจิราเดินมาเปิดประตูให้เดนนิสด้วยสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย
“คุณเดือนจะเป็นอะไรมากหรือเปล่าก็ไม่รู้ เสี่ยต้องเอาใจใส่เธอมากๆ นะคะ ช่วงนี้อย่ามาหาเจนเลย”
“ฉันไม่ชอบให้ใครมาสั่ง”
เจนจิราทำหน้าสลด
“เจนขอประทานโทษค่ะ เจนแค่ไม่อยากให้คุณเดือนต้องคิดมากเพราะเจนเท่านั้น นี่พูดด้วยความจริงใจนะคะ”
เดนนิสมองเจนจิราแว่บหนึ่งแล้วออกไป
“ขอให้มันตายเร็วๆ เถอะ เพี้ยง”
เจนจิราบ่นพึมพำตามหลัง
เดนนิสรีบมาบ้านปรกเดือน เขาเปิดประตูห้องปรกเดือนเดินเข้ามาแล้วทรุดนั่งลงบนเตียงที่ปรกเดือนนอนหลับอยู่ด้วยความอ่อนเพลีย
“เดือน” ปรกเดือนขยับตัวเล็กน้อย แต่ตายังไม่ลืม “เดือน”
ปรกเดือนลืมตาขึ้นอย่างงงๆ
“เสี่ย”
“ฉันพามาไปหาหมอ”
“เดือนไม่ได้เป็นอะไรนี่คะ”
“ไม่ได้เป็นยังไง หน้าคุณซีดมาก รู้ตัวหรือเปล่า”
“เดี๋ยวก็หายค่ะ”
“อย่าดื้อซิ ลุกขึ้น”
เดนนิสช่วยประคองปรกเดือนให้ลุกขึ้น
เดนนิสพาปรกเดือนมาหาหมอที่โรงพยาบาล เมื่อได้รับการตรวจหมอหันมายิ้มกับปรกเดือน
“ขอแสดงความยินดีด้วยครับ คุณกำลังจะได้เป็นคุณแม่แล้ว”
ปรกเดือนชะงักนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วค่อยๆ ยิ้มออกมาด้วยความตื้นตันใจ
“เดือนจะมีลูกหรือคะ”
“ครับ เสี่ยคงดีใจมากเลย”
ปรกเดือนอึ้ง รอยยิ้มค่อยๆ เลือนหายไปเหมือนเพิ่งนึกถึงอะไรบางอย่างได้

เมื่อออกจากโรงพยาบาลเดนนิสนั่งหน้าเคร่งขรึม ไม่พูดไม่จา ความกังวลห่วงใยหายไปโดยสิ้นเชิงหลังจากรู้ว่าปรกเดือนป่วยเป็นอะไร ปรกเดือนเหลือบมองเดนนิสแล้วเบือนหน้าหันไปมองภายนอกรถ เม้มปากแน่นพยายามกลั้นน้ำตาเต็มที่ ด้วยไม่อยากให้คนขับรับรู้ด้วย

พอกลับถึงบ้านเดนนิสเดินนำปรกเดือนเข้ามาในห้อง ทันทีที่ประตูห้องปิดลงเดนนิสก็บอกขึ้นมาทันที
“เอาเด็กออกซะ” เดนนิสบอกด้วยสีหน้าแววตาเยือกเย็นอย่างยิ่ง
“อะไรนะคะ” ปรกเดือนมองหน้าเดนนิสอย่างตกใจ
“ไปเอาเด็กออก เราไม่ควรมีลูกด้วยกัน”
“บ้า คุณบ้าไปแล้ว ทำไมถึงได้ใจร้ายอย่างนี้”
“ฉันกลับมาอีกครั้ง หวังว่าเธอคงไม่มีเด็กแล้ว”
เดนนิสเดินออกจากห้องทันทีหลังจากพูดจบ ปรกเดือนมองตามเหมือนกำลังมึนงงกับฝันร้ายครู่หนึ่ง แล้วสติค่อยๆกลับคืนมา ปรกเดือนค่อยๆ ทรุดตัวลงกับพื้นอย่างหมดแรง แล้วร้องไห้ออกมาเงียบๆ จนกระทั่งสะอึกสะอื้นเหมือนใจจะขาด
ปรกเดือนโทรหาพอล พอลนึกเป็นห่วงปรกเดือนเมื่อรู้ว่าเธอกำลังร้องไห้
“ทำใจดีๆ ไว้ เดี๋ยวผมจะไปหาคุณ”
“ไม่ต้องค่ะ เดือนไปหาคุณดีกว่า ตั้งแต่รู้ว่าแจ๋วคอยรายงานเสี่ย เดือนไม่ไว้ใจ”
“ก็ได้ ขับรถดีๆ นะครับ”
“ค่ะ”
ปรกเดือนวางโทรศัพท์ลง แล้วเดินเข้าไปล้างหน้าในห้องน้ำ
เวลาผ่านไป ปรกเดือนแต่งตัวใหม่เดินลงมาพร้อมกระเป๋า
“แจ๋ว แจ๋ว”
“ขา”
แจ๋วรีบเข้ามา
“ฉันจะออกไปซื้อของหน่อย แจ๋วอยากได้อะไรหรือเปล่า”
“ไม่ค่ะ แจ๋วไปเป็นเพื่อนไหมคะ”
“ไม่ต้องหรอกจ้ะ ขอบใจนะ”
ปรกเดือนเดินออกไป แจ๋วมองตามด้วยสีหน้าครุ่นคิด แล้วจึงเดินไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหาเดนนิส
“เขากลับเมื่อไหร่ โทร.บอกฉันด้วยก็แล้วกัน”
เดนนิสวางโทรศัพท์ลง เอนศรีษะพิงพนักสีหน้าแววตายังคงเฉยชาจับความรู้สึกไม่ได้
ปรกเดือนมาหาพอลที่คอนโด พอลมองปรกเดือนอย่างเพ่งพิศ
“มีอะไรหรือเปล่า”
ปรกเดือนเงยหน้ามองพอล น้ำตารื้นขึ้นมาอีก
“เดือนท้อง เพิ่งไปหาหมอมา”
“บอกเสี่ยหรือยัง”
ปรกเดือนพยักหน้า
“เขาบอกให้เอาเด็กออก” ปรกเดือนพูดพลางสะอื้น พอลถอนใจยาว “ทำไมเขาใจร้ายอย่างนี้”
“เขาอาจจะไม่ทันได้คาดคิดว่าจะมีลูก เพราะชีวิตเขาค่อนข้างเสี่ยง คงต้องใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่ง”
“เขาเคยบอกก่อนแต่งงานเหมือนกันว่าไม่อยากมี แล้วให้เดือนคุมมาตลอดจนระยะหลังที่เขาจะมีเจนจิรา แล้วค่อยได้มาหาเดือน เดือนก็เลยปล่อย” พอลพยักหน้าช้าๆ ขณะฟัง “เขา เขาโกรธเดือนมาก”
“มันอยู่ที่เดือนว่าจะเอายังไง”
ปรกเดือนสบตาพอลด้วยสีหน้าแน่วแน่
“เดือนจะเอาลูกไว้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น”
พอลขยับตัว เอื้อมมือมาจับมือปรกเดือนอย่างอ่อนโยน
“ผมมั่นใจว่าไม่มีอะไรหรอกก็อย่างที่บอก เดือนต้องให้เวลาเขาหน่อยนี่ทานอะไรมาหรือยัง”
“เดือนทานไม่ลง คลื่นไส้ไปหมด”
“ถ้าอย่างนั้นก็นอนพัก ผมจะออกไปข้างนอก”
“ไม่เป็นไร เดือนบอกแจ๋วว่าจะออกมาซื้อของ คงต้องไปซื้อสัก 2-3 อย่างจะได้ไม่สงสัย”
“นอนพักเถอะ ผมจะไปซื้อให้เอง”
“ขอบคุณค่ะ”

พอลเดินออกไป แล้วปิดประตูเบาๆ ปรกเดือนเอนตัวนอนบนโซฟาแล้วหลับตาลง
จุรีเล่าเรื่องเสียงหวานให้ศรีตรังฟัง ศรีตรังพยักหน้าช้าๆ ด้วยสีหน้าเห็นอกเห็นใจ
“น่าสงสารนะคะ คุณหนูเผือกคงว้าเหว่ ไอ้เตมันเป็นผู้ชาย จะปรึกษาทุกเรื่องคงเป็นไปไม่ได้ เพราะรายละเอียดของผู้หญิงมีเยอะ”
“ความจริงเธอก็อยากจะปรึกษาคุณหนูนะคะ”
ศรีตรังสะดุ้ง
“อุ๊ย อย่าดีกว่าค่ะ ศรีไม่ชำนาญเท่าป้าจุ”
“ป้าบังเอิญโชคร้าย เอ๊ย โชคดีที่มีซิกส์เซนส์ให้เธอติดต่อได้น่ะค่ะ แต่เรื่องอื่นต้องอาศัยคุณหนูช่วย”
“ถึงคุณหนูเผือกไม่ขอร้อง ศรีก็ต้องลุยอยู่แล้วละค่ะ เรื่องซับซ้อน ซ่อนเงื่อนแบบนี้ศรีชอบ” มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ แล้วสมเดินเข้ามา “มีอะไรหรือครับลุงสม”
“ด้วยความเคารพ มีคนมาขอพบนายศรีตรังครับ”
“ใครคะ”
“เขาบอกว่าเป็นลูกน้องคุณเต ด้วยความเคารพ”
“อะลัดตั๊ดต๊า ก็ตำรวจน่ะซีคะ”
“เชิญเขาเข้ามาเลยค่ะ”
“เขาอยู่ที่บ้านคุณหนูครับ” ศรีตรังเดินไปก่อนที่สมจะพูดจบประโยค สมรีบตามไป “ด้วยความเคารพครับ”
ธงรีบลุกขึ้นขณะที่ศรีตรังเดินนำจุรีและสมเข้ามา
“ผม จ่าธง ทิวประดับครับผม”
“เชิญนั่งค่ะ”
“ผมได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้มารับผู้กองเตชิตกลับครับผม”
“อะลัดตั๊ดต๊า” ธงสะดุ้ง หันมามองจุรี “คุณเตยังอยู่โรงพยาบาลเลยค่ะ”
“ด้วยความเคารพ จำเป็นมากไหมครับที่ต้องกลับเดี๋ยวนี้”
“ผมทำตามคำสั่ง ครับผม”
“ศรีจะไปด้วย”
ทั้ง 3 หันมามองศรีตรังเป็นตาเดียว
ธงรับเตชิตกลับกรุงเทพโดยมีศรีตรังและเสียงหวานตามมาด้วย
“ความจริงพักให้หายดีแล้วค่อยกลับก็ได้” ศรีตรังพูดกับเตชิต
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรมาก อีกอย่างถ้าฉันยังอยู่ที่นั่น แกกับทุกคนที่ไร่อาจมีอันตราย”
“ฉันไม่กลัว”
“ประมาทไม่ได้นะคะ” เสียงหวานพูดกับศรีตรัง
“เขาไม่ได้ยินคุณหรอกน่า” เตชิตบอก
“ผมได้ยินครับ” ธงตอบเพราะเข้าใจว่าเตชิตพูดกับเขา
“ฉันไม่ได้พูดกับจ่า”
“ผู้กองเขาพูดกับคุณหนูเผือก”
“คุณหนูเผือกที่ไหนครับ”
“จ่าไม่เห็นหรอก เขาเป็นผี” เตชิตบอก เสียงหวานเม้มปากอย่างไม่พอใจ “เอ๊ย ไม่ใช่ เป็นวิญญาณ”
“ผู้กองนี่มีอารมณ์ขันเหมือนกันนะครับ” ธงขำ แต่เตชิตกับศรีตรังไม่ขำด้วย ธงชักหน้าเสีย “ไม่...ไม่ขันหรือครับ”
เตชิตส่ายหน้า ธงเหลือบมองกระจกหลัง ศรีตรังส่ายหน้าเช่นกัน ธงกลืนน้ำลายแล้วขับรถไปเงียบๆ
เมื่อมาถึงบ้านเตชิต ศรีตรังเดินนำเข้ามาก่อนแล้วเปิดไฟ เตชิตเดินตามเข้ามาพร้อมด้วยธงที่หอบหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าเตชิตและศรีตรังเข้ามา
“ขอบใจมากนะจ่าธง จะกลับเลยก็ได้ ไม่มีอะไรแล้ว”
“ท่านผู้กำกับสั่งให้ผมเฝ้าผู้กอง กับคุณนายด้วยครับ”
เตชิตและศรีตรังสะดุ้ง ขณะที่เสียงหวานลอยขึ้นไปข้างบน
“เฮ้ย” เตชิตและศรีตรังร้องออกมาพร้อมกัน
“ฉันไม่ใช่คุณนาย ฉันเป็นเพื่อน” ศรีตรังบอก
“เข้าใจมั้ยคำว่าเพื่อนน่ะ”
“แล้วมีโอกาสจะพัฒนาหรือเปล่าครับ” ธงถามต่อซื่อๆ เตชิตขยับเท้า
“นี่แน่ะ พัฒนา”
ธงกระโดดหนีออกไป พร้อมตะโกนเข้ามา
“ผมจะไปเอาเสื้อผ้าเครื่องใช้ก่อนนะครับ”
“ไอ้นี่ทะลึ่งขึ้นทุกวัน แกขึ้นไปนอนในห้องฉัน” เตชิตบอกศรีตรัง
“เสียงหวานล่ะ”
“คงขึ้นไปแล้วมั้ง”
“แกจะให้ฉันอยู่กับผีเรอะ” ศรีตรังโวยลั่น
“เขาเรียกวิญญาณ”
“ก็เหมือนกันนั่นแหละ”
“แกอยากตามมาเองนี่ ช่วยไม่ได้”
ศรีตรังหน้างอ หิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าขึ้นข้างบน
ขณะนั้นพอลจอดรถซุ่มอยู่กหน้าบ้านเตชิต พอลมองตรงไปที่ตัวบ้านด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเมื่อเห็นหน้าต่างห้องชั้นบนเปิดออกทีละบาน จนกระทั่งบานสุดท้ายศรีตรังยื่นหน้าออกม แล้วมองสำรวจไปโดยรอบด้วยความระมัดระวัง ศรีตรังมองเลยเรื่อยจนถึงรถพอล พอลรีบเลื่อนตัวลงหลบ ศรีตรังเขม้นมองแล้วผละจากหน้าต่างไป พอลรีบสตาร์ทรถออกไปทันที

ศรีตรังรีบลงบันไดอย่างรวดเร็วแล้ววิ่งออกไปข้างนอกโดยไม่พูดพล่ามทำเพลง เตชิตและธง มองอย่างแปลกใจ
“จะไปไหน”
เตชิตรีบตามออกไปพร้อมธง ขณะนั้นศรีตรังกำลังจะปีนออกไปข้างนอก
“ไอ้ศรี แกจะทำอะไร” เตชิตถามอย่างแปลกใจ
“จะจับไอ้พวกหน้าสุภาพสตรีนะซิ” ศรีตรังบอกแล้วปีนกลับเข้ามา “เสียดาย มันหนีไปได้”
“ใคร”
“จะไปรู้เรอะ แต่จะให้เดาต้องเป็นพวกเสี่ยของแกแน่”
“ขออนุญาตครับผู้กอง” ธงผลักเตเข้าบ้านทันที เข้าไปข้างในครับ”
“เฮ้ย”
เตชิตเสียหลักเข้าไปตามแรงผลัก ศรีตรังชะเง้อมองสำรวจอีกรอบแล้วเดินถอยหลังกลับเข้าไปด้วยความระมัดระวังเพื่อความแน่ใจว่าไม่มีใครอีก
ขณะนั้นเสียงหวานและลูกเตชิตกำลังนั่งคุยกันขณะที่ศรีตรังเปิดประตูเข้ามา
“เขาเป็นแฟนคุณพ่อเหรอคะ”
เด็กหญิงถามเมื่อเห็นศรีตรัง
“ไม่ใช่ค่ะ เป็นเพื่อน”
เสียงหวานบอก ศรีตรังเดินไปเปิดกระเป๋าหยิบปืนออกมา เด็กหญิงและเสียงหวานเบิกตากว้าง
“ปืน”
ศรีตรังตรวจดูกระสุนให้เรียบร้อยแล้ววางใต้หมอน เสียงหวานและเด็กหญิงมองด้วยความสนใจ ศรีตรังเปิดกระเป๋าหยิบ ผ้าเช็ดตัว และเสื้อผ้าชุดนอน เดินไปเข้าห้องน้ำ
“เก่งจัง หนูอยากให้เป็นแฟนคุณพ่อ เขาจะได้คุ้มครองคุณพ่อได้”
เด็กหญิงเอ่ยชม เสียงหวานฝืนยิ้ม
“ท่าทางเหมาะสมกันดีด้วยค่ะ”
เด็กหญิงเบือนหน้ามามองเสียง
“คุณน้าเหมาะสมกว่า” เสียงหวานสะดุ้ง “แต่คุณน้าตายไปแล้ว เลยอยู่กับคุณพ่อไม่ได้” เสียงหวานหน้าเศร้า เดินไปที่หน้าต่างมองออกไป เด็กหญิงเดินไปกอดเสียงหวาน
“โอ๋... โอ๋ อย่าเสียใจนะคะ หนูก็อยู่ไม่ได้เหมือนกัน อีกหน่อยหนูต้องไปแล้ว”
เสียงหวานหันขวับมาแล้วทรุดตัวลงจับไหล่เด็กหญิงไว้
“หนูจะไปไหน”
“ไม่ทราบค่ะ แต่รู้ว่าต้องไป”
เสียงหวานดึงเด็กเข้ามากอดด้วยความรู้สึกเหมือนใจหาย

เตชิตและธงกำลังนั่งคุยกันอยู่ที่ห้องรับแขก เสียงหวานเดินเข้ามา เตชิตเงยหน้ามองพร้อมกับถามออกมา
“มีอะไรหรือ”
ธงสะดุ้งมองตามสายตาเตชิตเห็นแต่ความว่างเปล่า
“อีกไม่นาน ยายหนูต้องไปแล้วค่ะ”
เตชิตผุดลุกขึ้นทันที ธงสะดุ้งลุกตามพยายามจะพูดแต่ไม่มีเสียงออกมา
“ไปไหน”
“แกบอกว่าไม่ทราบค่ะ ทราบแต่ว่าจะต้องไป”
“ผู้กอง พูด พูดกับใครครับ” ธงถามแต่เตชิตไม่สนใจทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรง ธงนั่งตาม
“ผมอยากเห็นเขาสักครั้งก่อนเขาจะไป” เตชิตบอกเสียงหวาน เสียงหวานทรุดตัวลงนั่งข้างหน้าเตชิต
“ลองอธิษฐานซิคะ” เตชิตมองหน้าเสียงหวาน เสียงหวานพยักหน้าราวกับจะย้ำกับเตชิตให้ทำ
“ผู้กองอยากเห็นใครครับ” ธงถาม เตชิตเบือนหน้ามาทางธง
“ที่ถามพี่ อยากเห็นด้วยหรือเปล่า”
ธงส่ายหน้าทันที
“ไม่อยากครับ”
เตชิตหันมาถามเสียงหวาน
“ผมจะต้องทำยังไง”
เตชิตจุดธูป 1 ดอก ออกมาหน้าบ้านแล้วคุกเข่าพนมมือ หลับตาลง
“เจ้าบ้านเจ้าเรือนและเจ้าที่เจ้าทาง ที่ปกป้องดูแลบริเวณนี้อยู่ ขอจงโปรดเมตตาให้ลูกมองเห็นบุตรสาวก่อนที่เธอจะต้องจากไปสู่สุคติด้วยเถิด”
เสียงหวานคุกเข่าอยู่ข้างๆ ธงยืนหลบๆ อยู่ที่ประตูด้วยความกึ่งกลัวกึ่งอยากรู้อยากเห็น ขณะที่ศรีตรังยืนมองอยู่ที่หน้าต่างชั้นบนจึงเห็นเพียงเตชิตจุดธูป เตชิตปักธูปลงแล้วก้มกราบจ้องมองไปตรงหน้าด้วยสีหน้าแววตาแน่วแน่มั่นคง
ตรงหน้าปรากฏแสงสว่างสีสันสดใส เตชิตเบิกตากว้างอย่างตื่นเต้นเช่นเดียวกับเสียงหวาน ศรีจรังกอดอกมองอย่างสงสัยแปลกใจ ร่างเด็กค่อยๆ ปรากฏตรงกลางแสงนั้น เด็กหญิงยิ้มแจ่มใสให้เตชิต
“คุณพ่อ”
“ลูกรัก”
เตชิตอ้าแขนออก เด็กวิ่งเข้ามาสู่อ้อมแขนเตชิต ศรีตรังนิ่วหน้ามองอย่างแปลกใจ
“ที่แท้ก็อธิฐานขอกอดคุณหนูเผือก”
ศรีตรังเดินกลับเข้าไป ธงค่อยๆ เดินกลับเข้าข้างในแล้วหยิบโทรศัพท์มากดหาเสนา
“ว่าไง”
“ท่านครับ ผู้กองมีอะไรแปลกๆ”
“แปลกยังไง”
“อย่างแรกเลย ก็พูดคนเดียว นี่ก็เพิ่งออกไปจุดธูปคงจะไว้เจ้าที่น่ะครับ แล้วก็กอดอากาศด้วยความตื้นตันใจ”
“ฉันก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน ฝากจ่าคอยดูให้ด้วย พรุ่งนี้พามาหาฉันแต่เช้าเลย”
“ครับผม”
ธงเก็บโทรศัพท์ แล้วถอนใจเฮือก
“ไม่นึกเลยว่า การตกงานแม้จะชั่วคราวจะมีผลกับผู้กองขนาดนี้”
ด้านนอกขณะนั้นเนตชิตยังกอดลูกสาวด้วยความตื้นตัน
“ต่อไปนี้ พ่อจะอยู่กับลูกที่นี่ ไม่มีวันไปไหนอีกแล้ว”
“แต่หนูต้องไป”
“ไปไหน”
“ไม่รู้ค่ะ ถ้าพ่อเห็นหนูเมื่อไหร่ หนูก็ไปได้แล้ว”
“ต้องไปเดี๋ยวนี้หรือ”
“ค่ะ”
ทันใดนั้นมีแสงสว่างค่อยๆ โรยเป็นละอองมาจากท้องฟ้า ทุกคนมองด้วยความพิศวง ลดาปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางแสงสว่างเรืองรองนั้น เตชิตผุดลุกยืนทันที
“ลดา”
ลดายิ้มให้เตชิตอย่างอ่อนโยนแล้วยื่นมือออกมา เด็กหญิงยิ้มอย่างแจ่มใสแล้วเดินแกมวิ่งไปหา ลดาจับข้อมือลูกไว้ สองแม่ลูกยิ้มกับเตชิต
“ลาก่อนค่ะ”
ลดาบอกเตชิตเสียงแผ่วหวาน
“หนูไปแล้ว”
แสงเรืองรองพาสองแม่ลูกลอยขึ้นไปช้าๆ เตชิตผวาวิ่งตาม
“ลดา ยายหนู อย่าเพิ่งไป”
แสงนั้นพาลดาและเด็กหญิงลอยลับไป เหลือแค่ละอองจางๆ แล้วหายไปในที่สุด

เตชิตแหงนหน้ามองด้วยความอาลัยอาวรณ์สุดแสน
เสียงหวานเดินเข้ามาทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ เตชิต

“ทั้งลูกและภรรยาคุณไปสบายแล้วค่ะ”
“แล้วผมล่ะ ทำไมไม่เอาผมไปด้วย”
“คงเพราะคุณยังมีกรรมอยู่กระมังคะ ส่วนลูกและภรรยาคุณนั่นหมดเวรหมดกรรมไปแล้ว”
“ถ้าความตายหมายถึงการหมดเวรหมดกรรม แล้วทำไมคุณถึงไม่มีความสุขเลยล่ะ”
เสียงหวานหน้าเศร้าสลดลง แสงโดยรอบหม่นมัว
“คงเป็นเพราะฉันยังไม่รู้จักแม้แต่ชื่อตัวเองกระมังคะ ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน เป็นอะไรตาย ดวงวิญญาณถึงยังต้องวนเวียนอยู่ระหว่าง 2 โลก”
“คุณชื่อปรายดาว” เสียงหวานก้มหน้าลง “คุณต้องยอมรับความจริง ต้องยอมรับทุกเรื่องที่ทำให้คุณมาตกอยู่ในสภาพนี้คุณต้องผ่านมันไปให้ได้ ลดาเองเขาก็มีความทรงจำก่อนตายที่ทุกข์ทรมานเหมือนกัน” เสียงหวานค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองเตชิต เตชิตเหม่อมองไปข้างหน้า นัยน์ตาเจ็บปวดเมื่อทบทวนถึงความหลัง “ตอนนั้นเขากำลังท้องลูกคนแรกของเรา”
จากนั้นเตชิตก็เล่าเหตุการณ์ตอนที่ลดาถูกแทงตาย เสียงหวานค่อย ๆ วางมือลงบนมือเตชิตด้วยสีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความเห็นใจอย่างยิ่ง
“ผมโทษตัวเองตลอดมา”
“ฉันเชื่อว่าคุณลดากับยายหนูต้องเข้าใจค่ะว่า มันเป็นชะตากรรมของทุกคนรวมทั้งคุณด้วย ฉันเห็นสายตาที่เธอมองคุณ ไม่มีแววโกรธแค้นเลยนะคะ ตรงกันข้ามกลับเต็มไปด้วยความรักและความปราถนาดี”
เตชิตมองเสียงหวานอย่างซึ้งใจแล้ววางมือลงบนกรอบมือของเสียงหวาน

“ผมรู้สึกถึงสัมผัสของคุณ ขอบคุณมาก”
“ฉันก็ต้องขอบคุณคุณเหมือนกันค่ะ ที่ทำให้ฉันมีกำลังใจเข้มแข็งพอที่จะรับรู้เรื่องราวของตัวเอง ไม่ว่ามันจะเจ็บปวดทรมานสักแค่ไหน”
ทั้งสองประสานสายตาด้วยความเข้าใจ แสงโดยรอบเสียงหวานเป็นประกายสดใสเช่นเดียวกับสีหน้า

ที่บ้านจุรี คืนนั้นขณะที่อ้อยกำลังหลับสนิท ใครคนหนึ่ง กำลังเดินตรงมาที่เตียงอ้อยช้าๆ เตียงยวบลงใครคนนั้นทรุดตัวลงนั่ง อ้อยขยับตัวเล็กน้อย ประมาณว่ารู้สึกถึงความเคลื่อนไหวนั้นบ้างแต่ก็เพียงแค่นั้น แล้วหันตามองไปอีก
ข้างหลับต่อ มือยาวๆ มือหนึ่งยื่นมาสะกิดต้นแขนอ้อย อ้อยยกมือขึ้นปัดแบบรำคาญ มือนั้นเลื่อนมาจับแก้ม อ้อยปัดอีก คราวนี้คิ้วขมวดด้วยแต่ตายังคงไม่ลืม คราวนี้มือนั้นเอื้อมยาวไปจั๊กจี้เท้า อ้อยฉุนจัดยกเท้าขึ้นจะถีบ มือนั้นขยับมาจับข้อเท้าไว้แน่น อ้อยลืมตาด้วยความหงุดหงิด
“ไอ้...”
อ้อยชะงักเมื่อเห็นมือจับข้อเท้าตน อ้อยค่อยๆ มองเลื่อนขึ้นมาจนสังเกตเห็นแขนนั้นยาวผิดปกติ จนมาหยุดที่ต้นแขนและใบหน้าของเกษริน เกษรินแสยะยิ้ม อ้อยกรีดร้องลั่นด้วยความตกใจและหวาดกลัว อ้อยตกใจตื่นผุดลุกขึ้นนั่ง และค่อยๆ มองไปโดยรอบ ภายในห้องว่างเปล่า อ้อยค่อยๆ ผ่อนลมหายใจโล่ง
เช้าวันรุ่งขึ้นอ้อยรีบไปหาหมอผี หมอผียกมือลูบคาง ทำท่าครุ่นคิดไปมา อ้อยมองเขม็งอย่างรอคำตอบแล้วพูดขึ้นอย่างอดรนทนไม่ได้
“ทำไมคิดยาวนานนักล่ะคะ ลุงหมอ”
“อูวะ ถ้าคิดสั้นก็ตายเร็วน่ะซิ” หมอผีบอกอย่างฉุนๆ
“ขอโทษค่ะ”
“เอ็งบอกว่าฝัน”
“ค่ะ”
“งั้นมันก็ไม่ใช่ความจริง” อ้อยอ้าปากจะพูด แต่หมอผีชิงพูดก่อน “แล้วเอ็งจะมาวิตกกังวลหาอะไรวะ”
“แต่มันเหมือนความจริง แล้วอ้อยก็รู้สึกว่าจริงด้วย เข้าใจมั้ยคะ”
“ไม่เข้าใจ”
“เฮ้อ”
“เอางี้ ถ้าคืนนี้ฝันอีกพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ แต่ถ้าไม่ฝันก็แสดงว่าหมกมุ่นไปเอง” หมอผีมองอ้อยอย่างเพ่งพิศ “ถามหน่อย ถ้าเกิดเป็นวิญญาณพยาบาทจริงๆ อย่างที่เอ็งคิด ก็แสดงว่าเอ็งต้องไปทำอะไรให้เขาเจ็บช้ำน้ำใจ”
อ้อยสะดุ้งเหมือนถูกจี้ใจดำ
“เปล๊า หนูจะไปทำอะไรผีได้ ผีนั่นแหละมารังควานหนู”
“ผีจะมาปรากฎให้เห็นก็ต่อเมื่อเขาต้องการสื่อสารอะไรบางอย่างหรือไม่ก็มีความอาฆาตพยาบาท ของเอ็งอยู่ในกรณีไหนล่ะ”
“ก็...” นัยน์ตากอ้อยกลอกกลิ้งไปมาอย่างรวดเร็ว “น่าจะเป็นกรณีหลังค่ะ ศักดิ์เขามาชอบอ้อยหลังจากเกษตายแล้ว”
หมอผีพยักหน้าหงึกหงัก
“เรียกว่าหึงข้ามภพ ถ้าเป็นอย่างนั้นเขาอาจจะมาเพื่อเตือนเอ็งไม่ให้คบกับไอ้ศักดิ์ก็ได้ ทำตามที่ข้าบอก ถ้ายัง
ฝันอีกค่อยมาใหม่พรุ่งนี้”
“เจ้าค่ะ หวังว่ามันคงไม่มาบีบคออ้อยตายก่อนนะคะ” อ้อยประชด แล้วลุกออกไป
“มันเรื่องของเอ็ง ไม่ใช่เรื่องของข้า”
หมอผีบอกตามหลัง
อ้อยขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดหน้าบ้านแล้วเดินเข้าไป จุรีกำลังจะเดินออกมาพอดี
“อะลัดตั๊ดต๊า หายไปไหนมาแต่เช้าหรือว่าไปเยี่ยมนายศักดิ์ อย่าเชียวนา”
“ถามเองตอบเองก็ได้ แม่ขา คืนนี้อ้อยขอนอนในห้องด้วยนะคะ”
“ทำไม กลัวผีเหรอ เขาไม่มาแล้วล่ะ เพราะศักดิ์ก็ติดคุกชดใช้กรรมไปแล้ว แต่ถ้าเป็น...” จุรีนึกได้จุงหยุดชะงัก
“เป็นอะไรคะ ทำไมแม่ถึงทำท่าทางมีลับลมคมใน”
จุรีรีบกลบเกลื่อน
“เปล่า ไม่มีอะไร จะนอนกับแม่ก็ไปขนที่นอนหมอนมุ้งไปไว้ในห้อง”
“ค่ะ” อ้อยหันหลังกลับ แล้วนึกได้หันมาใหม่ “แม่...” จุรีหันมามอง “เห็นเขาบอกว่าพี่เตชิตกลับไปแล้วจริงหรือเปล่าคะ”
“เขาไปตั้งแต่เมื่อเย็นวานแน่ะ นายศรีตรังไปส่งถึงกรุงเทพฯ เลย”
จุรีตอบพลางเดินออกไป อ้อยตาลุกด้วยความโกรธจัด
“หนอยแน่ ทำเนียน เอาความเป็นเพื่อนมาบังหน้า ของอย่างนี้ใครดีใครได้ ไม่ว่าเจ้าของไร่หรือลูกจ้างก็มีสิทธิ์เท่ากัน”
เช้าวันรุ่งขึ้นเตชิตมาพบกับเสนาที่ห้องทำงาน
“เป็นไงบ้าง เพื่อนคงดูแลดีละซิ ถึงได้ดูสดชื่นขึ้นตั้งเยอะ”
เสนาทักด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเป็นนัยๆ ทำให้เตชิตสะดุ้งแต่ก็ตอบอย่างปกติ
“ก็ตามประสาเพื่อนน่ะครับ เราคบกันมานานมาก”
“อย่าปล่อยให้นานเกินไปล่ะ” เตชิตทำท่าจะพูดแต่ก็เปลี่ยนใจ “บาดแผลเป็นไงบ้าง”
“โชคดีกระสุนแค่ถากไปน่ะครับ”
“คิดว่าใครยิงนาย”
“คนของเดนนิสแน่นอนครับ”
“แสดงว่านายไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งฉัน บอกแล้วไงว่า เรื่องเดนนิสให้พอลจัดการ”
“ผมก็ไม่ได้แย่งหน้าที่เขานี่ครับ”
“แล้วมันจะถ่อไปยิงนายถึงปากช่องทำไม”
“อาจจะเป็นเรื่องเดิมก็ได้นี่ครับ”
“ชั้นขอสั่งนาย อย่าได้เข้าไปยุ่งกับคดีเดนนิสเด็ดขาด เพราะมันจะเสียเรื่อง”
“ครับผม”
“ฉันมีคดีใหม่ให้นาย” เสนาหยิบแฟ้มบนโต๊ะโยนให้ตรงหน้า “ไปได้แล้ว”
“ครับผม”

เตชิตทำความเคารพเสนาแล้วเดินออกไป เสนามองตามด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
เตชิตมานั่งรอธงที่ร้านอาหารข้างโรงพัก ธงเดินเข้ามาชะเง้อมองและรีบเดินตรงไปหาเตชิตที่นั่งรออยู่
“พอผู้กองโทรไปตามผมก็รีบมาเลยครับ”
“นั่งซิ”
“ขอบคุณครับ”
“ไปบอกผู้กำกับหรือว่าเพื่อนฉันตามมาด้วย”
“เปล่านี่ครับ”
“แล้วทำไม” เตชิตชะงักและพยักหน้าช้าๆ อย่างนึกขึ้นได้
“ทำไมอะไรหรือครับ”
“ต้องเป็นมันแน่ๆ”
เตชิตบอกเมทื่อนึกถึงพอล
เตชิตกลับมาบ้านแล้วต้องหงุดหงิดเมื่อรู้จากเสียงหวานว่าศรีตรังออกไปข้างนอก
“นายศรีตรังออกไปข้างนอกค่ะ”
“แล้วทำไมคุณไม่ห้ามไว้”
“ก็เธอมองไม่เห็นฉันนี่คะ”
“จะไปไหนของเขานะ” เตชิตนั่งลง แล้วสะดุ้งเมื่อนึกขึ้นได้ “หาเรื่องอีกแล้ว”
เตชิตลุกขึ้นออกไปทันที
“ฉันไปด้วยค่ะ”
เสียงหวานรีบตามไป
ขณะนั้นศรีตรังอยู่ที่บ้านปรกเดือน แจ๋วยกน้ำมาเสิร์ฟ และชำเลืองมองศรีตรังแว่บหนึ่งก่อนจะออกไป ปรกเดือนชำเลืองมองตามแจ๋วไป
“คุณไม่ควรมาที่นี่อีก”
ปรกเดือนหันมาบอกศรีตรัง
“ศรี เอ๊ย อ้อยแวะมาดูน่ะค่ะ เผื่อว่าปรายดาวอาจจะกลับมา”
“เขาเพิ่งโทรมาเมื่อวานว่าระยะนี้ยังไม่กลับ คุณนั่นแหละกลับได้แล้ว”
“ถ้าอย่างนั้น ขอเบอร์โทรไว้ได้ไหมคะ อ้อยจะได้คุยกับเขา”
“ยังไม่ได้ขออนุญาตเขา”
“เขาคงไม่ว่าอะไรหรอกค่ะ อ้อยจะอธิบายกับเขาเอง”
“พี่ไม่สะดวกค่ะ” ศรีตรังอึ้งไป ปรกเดือนจึงบอกเสียงอ่อนลง “เอาอย่างนี้ ทิ้งเบอร์โทรของคุณอ้อยไว้ ถ้าติดต่อเขาได้ พี่จะโทรบอกคุณอ้อยเอง”
“ก็ได้ค่ะ” ศรีตรังเปิดกระเป๋าหยิบสมุดโน้ตเล่มเล็ก ๆ ออกมาจากกระเป๋า เขียนเบอร์โทรศัพท์ตัวเองแล้วฉีกออกส่งให้ปรกเดือน “นี่ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ อ้อยลาละค่ะ”
ปรกเดือนรับไหว้ ศรีตรังเดินออกไป ปรกเดือนฉีกกระดาษแผ่นนั้นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและทิ้งขยะด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม

พอพ้นออกมาจากห้องรับแขก ศรีตรังมองซ้ายมองขวาบริเวณโดยรอบเงียบสนิท ปราศจากผู้คน ศรีตรังวรีบอ้อมไปทางด้านข้างแล้วเลยไปด้านหลังของบ้าน ศรีตรังค่อยๆ เดินมาด้านหลังและขยับลูกบิดประตู ประตูค่อยๆ เปิดออก ศรีตรังค่อยๆ ย่องเข้าไป
ศรีตรังค่อยๆ ปิดประตูและมองซ้ายมองขวา ก่อนจะย่องไปที่บันได ศรีตรังรีบก้าวขึ้นไปอย่างรวดเร็ว
ปรกเดือนโทรบอกพอลเรื่องศรีตรัง พอลถึงกับตกใจ
“อะไรนะ”
“คนที่ชื่ออ้อยมาอีกแล้วค่ะ”
“แล้วตอนนี้ยังอยู่หรือเปล่า”
“ไปแล้วค่ะ”
“ผมจะจัดการเอง”

พอลวางสายตากปรกเดือนแล้วโทรหาศรีตรังทันที เสียงโทรศัพท์ทำให้ศรีตรังสะดุ้งเฮือกแล้วรีบปิดโทรศัพท์ทันที พอลพยายามกดอีกแต่มีเพียงเสียงให้ฝากข้อความ
“ผู้หญิงอะไร ทั้งดื้อทั้งอวดดี”
พอลบ่นด้วยสีหน้าเป็นกังวล
แจ๋วแอบถ่ายรูปศรีตรังส่งไปให้เดนนิสดู เดนนิสมองภาพบนโทรศัพท์มือถือด้วยสีหน้าเยือกเย็น เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ
“เข้ามา”
เจียงเปิดประตูเข้ามา
“เสี่ยมีอะไรจะใช้ผมหรือครับ”
“ดูรูปนี้ซิ”
เดนนิสส่งมือถือให้เจียง เจียงรับมาดูแล้วนิ่วหน้ากับภาพศรีตรังขณะคุยกับปรกเดือนในห้องรับแขก
“นี่มันเจ้าของรีสอร์ทที่เราไปพักนี่ครับ”
“แจ๋วมันแอบถ่ายและส่งมาให้”
“เก็บเลยไหมครับ”
“อย่าเพิ่ง ฉันอยากให้แกไปสืบเรื่องของแม่คนนี้ที่ไร่สุขศรีตรัง”
“ครับ”
เจียงเดินออกไป เดนนิสมองภาพในโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเยือกเย็นน่ากลัว
พอลขับรถมาบ้านเตชิต พอลลงจากรถเดินมาหยุดที่บริเวณหน้ารั้วบ้านและมองเข้าไปในบ้านแต่บ้านปิดเงียบ
“ไปวุ่นวายที่ไหนอีกล่ะ”
พอลมองไปโดยรอบอย่างหงุดหงิด
ขณะนั้นเตชิตจอดรถอยู่หน้าบ้านปรกเดือนแล้วมองเข้าไปในบ้านอย่างขัดใจ
“ไม่เห็นมีรถจอดสักคัน เธออาจจะกลับไปแล้วก็ได้นะคะ” เสียงหวานบอก
“จะจอดได้ยังไงในเมื่อเขามาแท็กซี่ ตำรวจไปเอารถผมที่ไร่สุขศรีตรังมาให้ แต่ไม่ได้เอารถของไอ้ศรีมา”
“ฉันลืมไป ขอโทษค่ะ”
“คุณลองมองบ้านให้ดีซิ” เสียงหวานเบือนสายตากลับไปมองบ้านปรกเดือน สีหน้าแววตาพยายามทบทวนความทรงจำ “เป็นไง พอจะนึกออกบ้างไหม”
เสียงหวานยังคงมองภาพบ้านด้วยสายตาเดิม แล้วหลับตาลงช้าๆ จากนั้นร่างของเสียงหวานก็ค่อยๆ เลือนหายไป
“เสียงหวาน คุณหายไปไหน เสียงหวาน”
เตชิตเรียกหาเสียงหวานอย่างตกใจ

ขณะนั้นศรีตรังยังอยู่ในบ้านปรกเดือน ศรีตรังแอบสำรวสจห้องต่างๆ ในบ้านจนมาถึงห้องปรายดาว
ศรีตรังหมุนลูกบิดประตูห้องปรายดาวแต่เปิดไม่ออกเพราะห้องถูกล็อก ขณะนั้นเสียงหวานปรากฎตัวขึ้นในห้องรับแขก แล้วมองไปโดยรอบอย่างงุนงัน
ปรกเดือนเดินเข้ามาในห้องรับแขกและหยิบหนังสือที่ลืมวางไว้จะเอาไปอ่าน เสียงหวานหันมาพอดีและชะงัก
ปรกเดือนหยิบหนังสือและเดินออกไป เสียงหวานรีบตามไป เสียงหวานเดินตามปรกเดือนมาถึงบันได ขณะนั้นแจ๋วเดินถือถาดอาหารที่จะให้ปรายดาวเข้ามาพอดี
“วันนี้มีแกงมัสมั่นไก่กับหมี่กรอบของโปรดของคุณดาวเธอค่ะ” แจ๋วรายงานปรกเดือน เสียงหวานรีบเดินมามอง
“ของคุณเดือนเป็นหมี่กรอบราดหน้า จะรับหรือยังคะเดี๋ยวแจ๋วจะได้เอาขึ้นไปให้”
ศรีตรังเดินเข้ามาได้ยินเสียงแจ๋วจึงรีบหามุมหลบแล้วซ่อนตัวอยู่บริเวณนั้น
“ไม่ ฉันกินอะไรไม่ลง”
ปรกเดือนบอกแล้วเดินจับราวบันไดขึ้นไปอย่างระมัดระวัง แจ๋วกับเสียงหวานเดินตามไป
“สองสามวันมานี่คุณดาวเริ่มมีกระตุกนะคะ”
แจ๋วบอก ปรกเดือนหยุดเดิน หันมามองในขณะที่เสียงหวานเองก็ชะงักและฟังด้วยความสนใจเช่นเดียวกัน
“แล้วเป็นอะไรมากหรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ คุณเดือนลองเข้าไปดูซิคะ”
ปรกเดือนรีบเดินขึ้นไปแล้วต้องหยุดเดิน เพราะเกิดอาการเวียนหัวคลื่นไส้ขึ้นมาจนต้องจับราวบันไดไว้แน่น แจ๋ว
รีบวางถาดอาหารลงแล้วเข้ามาประคองปรกเดือน
“คุณเดือนตายจริง ตัวเย็นเฉียบเลย ไปที่ห้องก่อนนะคะ”
แจ๋วประคองปรกเดือนไปที่ห้อง เสียงหวานรีบตามไปด้วยเกิดเป็นห่วงขึ้นมา ศรีตรังแทบไม่หายใจขณะที่ทั้งหมดเดินผ่าน เสียงหวานเห็นศรีตรังจึงเดินมาชะโงกดู
“ตายแล้ว นายศรีตรัง มาทำอะไรที่นี่”
เสียงหวานถามแต่ศรีตรังไม่ได้ยิน แจ๋วเปิดประตูพาปรกเดือนเข้าไปในห้อง เสียงหวานหันไปดูลังเลครู่หนึ่ง แล้วรีบตามปรกเดือนเข้าไปในห้องโดยเดินผ่านประตูเข้าไป
พอเข้ามาในห้องปรกเดือนรีบตรงเข้าห้องน้ำเพื่ออาเจียนโดยมีแจ๋วคอยลูบหลังให้ด้วยความเป็นห่วง เสียงหวานรีบตรงเข้ามาดู
“แจ๋วจะไปรินน้ำมาให้บ้วนปากนะคะ”
ปรกเดือนพยักหน้าอย่างอ่อนระโหย แจ๋วรีบเดินไปที่โต๊ะข้างเตียงหยิบเหยือกน้ำรินใส่แก้วแล้วรีบเดินกลับมาหาปรกเดือน
“นี่ค่ะ”
ปรกเดือนรับน้ำมาบ้วนปากแล้วส่งแก้วคืนให้แจ๋วแล้วเดินออกมาเอนตัวลงนอนบนเตียง
“แจ๋วจะทำอะไรก็ไปทำเถอะ ฉันค่อยยังชั่วแล้ว”
แจ๋วมองปรกเดือนอย่างเพ่งพิศขณะทรุดตัวลงหน้าเตียง
“คุณเดือนท้องหรือเปล่าคะ”
ปรกเดือนหลับตาน้ำตาปริ่มออกมา เสียงหวานเบิกตากว้างอย่างตกใจ
“ท้อง”
“ใช่ไหมคะ” ปรกเดือนพยักหน้าและพลิกตัวนอนตะแคงหันหลังให้ “เสี่ยต้องดีใจแน่ๆ เลย” แจ๋วยิ้มอย่างดีใจในขณะที่ปรกเดือนกำมือแน่น น้ำตาไหลและพยายามข่มความรู้สึก “ถ้าอย่างนั้น แจ๋วจะไปทำซุปร้อนๆ มาให้นะคะ”
“ฉันอยากอยู่คนเดียว”
“แต่ว่า...”
“ฉันอยากอยู่คนเดียว”
ปรกเดือนย้ำ แจ๋วค่อยๆ ลุกขึ้น แล้วเดินออกไปจากห้อง เสียงหวานทรุดตัวลงนั่งและมองปรกเดือนอย่างแปลกใจ
“ทำไมคุณถึงเศร้านักล่ะคะ” ปรกเดือนสะอื้นออกมาเบาๆ “คนท้องน่าจะมีความสุข แต่คุณกลับร้องไห้แปลกจังเลย”
เสียงหวานมองปรกเดือนครู่หนึ่ง แล้วลุกเดินผ่านประตูออกไป ขณะที่ปรกเดือนยังนอนร้องไห้สะอึกสะอื้น
ขณะนั้นศรีตรังกำลังหันซ้ายหันขวาเพื่อตรวจตราความปลอดภัย เสียงหวานปรากฎร่างข้างศรีตรังแล้วช่วยมอง
“ปลอดภัยแล้วค่ะ”
ศรีตรังไม่ได้ยินเสียงหวาน แต่เมื่อเห็นว่าปลอดภัยจึงค่อย ๆ ออกมาจากที่ซ่อน แล้วรีบลงบันไดไป เสียงหวานหายไปจากที่นั้นทันที
ขณะนั้นเตชิตกำลังชะเง้อมองบ้านปรกเดือน แต่แล้วจู่ๆ เสียงหวานก็ปรากฎตัวข้างหลัง
“คุณเตชิต” เตชิตสะดุ้งและหันกลับมาตั้งท่าจะดุทันทีแต่เสียงหวานรีบพูดก่อน “ขอโทษค่ะ ฉันเห็นนายศรีตรังทำลับๆ ล่อๆ อยู่ในบ้าน”
“ หา! ไอ้ศรีหาเรื่องอีกแล้ว”
“ยังมีอีกค่ะ”
“ข่าวดีหรือว่าข่าวร้ายกว่าเก่า”
“น่าจะเป็นข่าวดีนะคะ เจ้าของบ้านท้องค่ะ”
เสียงหวานบอก ขณะนั้นพอลขับรถแล่นมาจอดหน้าบ้านปรกเดือนและกดแตร ประตูเปิดออกรถแล่นเข้าไป
“ไอ้พอล”
เตชิตพึมพำออกมา
พอลเปิดประตูรถออกมา นิ่วหน้าเล็กน้อย เมื่อมองไปที่กำแพงด้านข้างเห็นศรีตรังซึ่งหันมามองพอดี ศรีตรังรีบปีนกำแพงหนีด้วยความตกใจ พอลเดินตรงไปที่กำแพงนั้น ศรีตรังตกใจยิ่งขึ้นอารามรีบร้อนทำให้ก้าวพลาดตกลงมา
“โอ๊ย”
“เอาเข้าไป” ศรีตรังเจ็บจนน้ำตาไหล พอลทรุดตัวลง “เจ็บมากมั้ย”
“ก็ลองตกดูเองซิ” ศรีตรังประชดเสียงเครือ
“แบบนี้เขาเรียกว่า กรรมตามสนอง”
ศรีพยายามจะลุก แต่ก็ทรุดลงไปอีกด้วยความเจ็บปวด ขณะที่พอลเก็บข้าวของใส่กระเป๋าให้ แจ๋วเดินออกมาดู
“อ้าว! นั่นคุณยังไม่กลับอีกหรือคะ เห็นลาคุณผู้หญิงตั้งนานแล้ว”
พอลช้อนตัวศรีตรังขึ้น
“ผมจะพาไปหาหมอ”
“ไม่ต้อง ปล่อยฉันนะ”
“อย่าดื้อ แล้วก็อย่าดิ้น แจ๋วไปเถอะ ฉันจัดการแม่คนนี้เอง”
“ค่ะ” แจ๋วเดินกลับเข้าบ้าน
“ฉันไม่ได้ชื่อ แม่คนนี้” พอลไม่พูดไม่จา เดินอุ้มศรีตรังมาที่รถ “จะพาฉันไปไหน”
“ไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด” พอลเปิดประตูรถ วางแกมโยนศรีตรังเข้าไปและบ่น “ยุ่งชะมัด” ศรีตรังกัดฟันเปิดประตูจะลงจากรถ “อย่านะ นอกจากจะทำให้ตัวเองเดือดร้อนแล้ว ...คุณยังจะทำให้เจ้าของบ้านเขาเดือดร้อนด้วย”

พอลดุ ศรีตรังจึงนั่งคอแข็ง แล้วคาดเข็มขัด อย่างหงุดหงิด พอลขึ้นรถแล้วขับออกไป













Create Date : 02 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2555 9:57:42 น.
Counter : 312 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]