บ่วง ตอนที่ 3 ต่อ





หลังจากที่ยอมเลิกรากันแล้ว เดือนแรมกับสาวๆ ที่ตบตีกัน พากันมาล้างหน้าล้างตา เช็ดหัวที่ร้านกาแฟ รัมภานั่งอยู่กับพัชนี เดือนแรมล้างหน้าเรียบร้อย เดินมานั่งข้างๆ รัมภา หน้าจ๋อยๆ อายๆ

“เดือนเอ้อ หยอกล้อกับพวกนังแอนนังเจี๊ยบมันนิดหน่อย”
ดีดี้บ่าวทรยศ เดินมาปากสว่างเล่าให้รัมภาฟังทั้งที่ไม่มีใครถาม
“มันกินกันไม่ลง ปีก่อนก็มีที ตอนนั้น พระเอกละครเขามาถ่ายละครที่หลังตลาด แย่งกันไปดู คุณนายเขาว่าเขาเป็นเจ้าของตลาด เขาต้องได้ถ่ายรูปกับพระเอกคนเดียว โหย...นังแอนนังเจี๊ยบมันโมโหใหญ่ ตบกันกระจายมาทีแล้ว”
เดือนแรมหยิกทันที
“พูดน้อยๆหน่อยได้ไหม”
น้อยส่งเสียงมาจากมุมหนึ่ง
“อีทองดีเล่าไม่จบ ฉันเล่าต่อก็ได้ งานนั้นไม่ได้พระเอก แต่ได้ตัวประกอบคนหนึ่งมาแทน ชื่อไอ้สมเดช” น้อยหันไปถามแอน “แกจำได้ไหม ตอนหลังพอรู้ว่าคุณนายเป็นเจ้าของตลาด มันย้ายข้าวของมาอยู่บ้านคุณนาย กลายเป็นผัวคนที่สามของคุณนายไปเฉย”
เดือนแรมชี้หน้าโวยลั่น
“นี่...จะหยุดพูดได้หรือยัง” เดือนแรมหันมามองรัมภาอย่างเกรงใจ “เอ้อเดือนขอโทษ วันนี้ไม่ค่อยสบาย ไว้พรุ่งนี้ เดือนจะไปหาคุณพี่รัมภาที่บ้านนะคะ”
เดือนแรมหมดความอดทน ชิ่งหนีดีกว่า น้อยกับเจี๊ยบแอบขำ แอนหัวเราะเยาะ
“แจ้นหนีกลับบ้านไปเลยโว้ย ฮะฮะฮ่า”

คำ หล้า และบุญสืบ หั่นผัก เตรียมของสด เพื่อทำกับข้าว รัมภายืนดื่มน้ำ ฟังคำเล่าเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวเดือนแรม
“ยายเพ็ญทวดคุณนายเดือนแรมนี่ เขาเป็นข้าเก่าเต่าเลี้ยงคุณหญิง เมื่อก่อนคุณหญิงท่าน เลยขายที่ดินข้างๆให้ถูกๆ แต่โชคดี ถนนใหญ่ตัดผ่ากลางที่ดินยายเพ็ญ”
“ใช่ๆ นังเนียนหลานสาวว่าสบายแล้ว มารุ่นนังเดือนเอ๊ยคุณนายเดือนแรมนี่ยิ่งรวยขึ้นไปอีก นี่นะ ผมจะบอกให้...”
หล้าหยุดพูดคิดๆ ทุกคนมองกำลังฟังอยู่ หล้ายืนนิ่งอยู่พัก แล้วหันมาถามลูกชาย
“เอ๊ะ...ข้าจะบอกอะไรคุณเขาวะไอ้สืบ”
บุญสืบเซ็งเลย
“โฮ้ย จะไปรู้เรอะ...คืองี้ฮะ คุณนายเดือนน่ะ ขายห้องแถวที ได้ผัวใหม่ที...โฮ้ย ใช้เปลืองอย่างกับกระดาษทิชชู่ อายุยังไม่ถึงสามสิบ ล่อไปสามคนแล้ว ผมถึงไม่ไว้ใจให้มาสนิทกับคุณผู้ชายไงครับ”
รัมภาได้ยินไม่ถนัด
“หาอะไรนะ”
บุญสืบอึกอักไม่กล้าพูดตรงๆ
“เอ้อ ถือว่าผมไม่ได้พูดก็แล้วกันนะครับ”
“ฉันแค่แปลกใจ ตอนแรกเห็นเขาเรียบร้อยดี แต่พอมาวันนี้ เหมือนเป็นอีกคน”
บุญสืบกระซิบคำ
“เฮอะ นังคุณนายตัวดี ทำท่าไฮโซหลอกคนอื่นจนเนียน ดีแล้วที่คุณผู้หญิงไปเห็นเอง อีกหน่อยจะได้ระวังๆมันไว้”
คำกับหล้าพยักหน้าเห็นด้วย

พัชนีกับวรรณศิกา ทำบาร์บีคิวอยู่ที่เตาในสวน อนุกูลเดินมาหาจากเรือนหลังเล็ก
“โฮ้ยร้อนจัง ยายชี นิมนต์รินน้ำให้ดื่มหน่อย”
พัชนีค้อนแต่ทำตาม รินน้ำให้อนุกูล
“แล้วคุณศามนล่ะ” วรรณศิกาหันมาถาม
“เขาให้ช่างเริ่มงานวันนี้เลย นี่ก็เย็นแล้วบอกให้เริ่มพรุ่งนี้ ก็ไม่เชื่อไม่รู้จะรีบไปไหน...เป็นพระคุณครับคุณโยม ขอให้เป็นสุขเป็นสุขเถิด”
อนุกูลยกมือไหว้ล้อเป็นจริงเป็นจัง จนพัชนีโมโห
“คุณนุคะ เลิกล้อฉันเสียทีได้ไหมคะ ศัพท์พระอะไรนั่นก็ใช้มั่วไปหมด”
“เอ๊า คราวนี้รู้ด้วยแฮะว่าล้อ ฉลาดขึ้นนี่ เฮ้ยเสร็จแล้วหรือ ขอกินคำดิ”
อนุกูลเดินมาจนชิด เอามือไปจับมือพัชนีที่ถือไม้บาร์บีคิว แล้วไม่ยอมเอาออก
“เอ๊ะคุณนี่...ปล่อย”
พัชนีพยายามดึงมือออก
“เอ๊า โทษๆ ลืมไป เป็นแม่ชี ถูกมือแล้วร้อน อืม...เขาเรียกอะไรนะ กลับบ้านไป ต้องปลงอาบัติ อะไรแบบนั้นปะ”
พัชนีอายเดินหนีไปยืนอีกทาง อนุกูลมองตามอย่างเอ็นดู
“ดูดิ...งอนหน้าแดงไปเลย”
“เอาๆ งูออกหัวแระ แหม้...มันน่าเอามีดฟันคองูนัก โช๊ะเด๊ะ เชะๆๆ”
วรรณศิกาถือมีดไป ฟาดๆฟันๆบนหัวอนุกูล จนอนุกูลเซ็ง
“ถามจริงๆ ผมเป็นเจ้านายคุณนะ เคยมีความเคารพบ้างไหมเนี่ย”
“ไม่มี เก่งจริงไล่ออกสิ ที่ทำงานให้เนี่ย ทำเล่นๆ...” วรรศิกายักไหล่ “ผัวรวย กลับไปเกาะผัวกินก็ได้ คนมันสวย ผัวรักผัวหลง มีอะไรไหม”
อนุกูลเซ็ง โดนวรรณศิกาแกล้งอีกแล้ว

หล้า บุญสืบและช่างสองสามคน เริ่มทำงานที่เรือนเล็ก ด้วยการเก็บอะไรที่มันรกๆ
ศามนยืนห่างมาคุยกับลูกที่มายืนดู
“นี่ไงลูก บ้านใหม่ของเรา เดี๋ยวพ่อจะทำสะพานใหม่ ปรับบ่อใหม่ที่ไม่อันตราย หนูจะวิ่งไปวิ่งมาวันละกี่เที่ยวก็ได้ ส่วนบนบ้านก็จะมีห้องของหนูอยู่ตรงนั้น”
“แล้วบ้านหลังใหญ่ล่ะคะ” ไลล่าถามอย่างสงสัย
“บ้านหลังใหญ่ก็อยู่ที่เดิม หนูจะไปเล่นเมื่อไหร่ก็ได้นี่ลูก เพียงแต่เราย้าย
ห้องนอน ห้องกินข้าวมาอยู่ที่นี่เท่านั้นเอง”
รัสตี้หันไปคุยกับไลล่า
“เหมือนที่คุณทวดบอกเลยเนอะ”
ศามนตกใจ
“คุณทวดบอกอะไร”
ไลล่าคุยกับรัสตี้
“ไลล่าชอบคุณทวด เสียดายแย่ถ้าไม่ได้เจอคุณทวดอีก”
ศามนเสียงเริ่มเข้ม
“นี่คุยเรื่องอะไรกัน คุณทวดอะไร”
“คุณทวดมาหาเราเมื่อคืนไงแด๊ดดี้” รัสตี้บอก
“ใช่ๆ” ไลล่ายืนยัน
ศามนตกใจ

ในฝันของรัสตี้ และไลล่านั้น...ทั้งสองนอนหนุนตักคุณหญิงอบเชยอย่างสนิทสนม มีความสุข ท่ามกลางแสงเดือนยามดึก คุณหญิงร้องเพลงกล่อมเด็กไปสักพักก็ร้องไห้
“คุณทวดร้องไห้ ร้องทำไมคะ” ไลล่าถามอย่างสงสัย
“บอกพ่อหนูนะ อย่าย้ายไปที่เรือนหลังเล็ก ที่เรือนนั้นเคยเป็นบ้านของมันระหว่างที่มันมีชีวิตอยู่ มันเสกเวทย์มนต์ครอบคลุมไว้”
แพงนั่งบริกรรมคาถาจนกลายเป็นหลวงปู่ฤาษี กินหมาก นัยน์ตาดุ ตัวสั่น …สักพักก็ลืมตาโพลง เสียงสวดเขมรดังไปทั่ว ควันดำแผ่จากตัวของแพง ลอยออกมาจากในห้องลอยออกมาครอบเรือนเล็กนั้นไว้ทั้งหลัง
คุณหญิงอบเชยร้องไห้มากขึ้น เมื่อเห็นสิ่งที่แพงทำ
“ทวดเข้าไปในบ้านนั้นไม่ได้ ทวดตามไปดูแลหนูไม่ได้”
“เราจะไม่ได้นอนเล่นกับคุณทวดอีก แบบนั้นหรือครับ” รัสตี้ถามเสียงเศร้า
ไลล่าโผเข้ากอดคุณหญิง
“ทำไมล่ะคะ ไลล่ารักคุณทวด อยากฟังคุณทวดร้องเพลงกล่อมทุกคืน”
คุณหญิงทั้งกอด ทั้งหอม หลานรัก ยิ่งร้องไห้หนักขึ้น
“โธ่หลานรักของทวด ทวดไม่น่าเลี้ยงงูเห่าอย่างมันไว้ตั้งแต่แรกทวดจะรับผิดชอบการกระทำของทวด ทวดรักหนู ทวดจะดูแลหนูไม่ยอมไปไหน”
ทั้งสามคนกอดกันแน่น แววตาคุณหญิงอบเชยมุ่งมั่นมองไปทางเรือนหลังเล็ก

ศามนฟังเรื่องจากลูกๆแล้วยิ่งเครียด
“ฝันเหมือนกันทั้งสองคน อีกแล้วหรือ”
ทั้งสองพยักหน้า รัมภาเดินยิ้มแย้มมาหา
“เด็กๆบาร์บีคิวเสร็จแล้วลูก”
ศามนเดินหน้าบึ้งมาหารัมภา กระซิบเสียงเครียด
“ผมจะย้ายเข้ามาอยู่เรือนเล็กให้เร็วที่สุด”
“เกิดอะไรขึ้นคะ”
“ผมจะสั่งช่างให้ทำงานล่วงเวลา หมดเท่าไหร่ หมดไป แต่เราปล่อยลูกให้เป็นอย่างนี้ไม่ได้แล้วนะภา”
รัมภามองหน้าศามน ยังงงอยู่ว่ามันเรื่องอะไรกัน

ศามนควบคุมการทำงานทุกขั้นตอนอย่างใกล้ชิด ทำให้ ช่างทำงานในการซ่อมบ้านซ่อมสะพาน คืบหน้าไปมาก เสร็จลงตามกำหนด เรือนเล็กสวยงามสมบูรณ์สำหรับการอยู่อาศัย ศามนพาลูกทั้งสองมาที่หน้าบ้านให้จับเชือกที่ห้อยลงมาจากบริเวณประตู
“พร้อมหรือยัง 1 2 3”
ไลล่ากับรัสตี้ดึงเชือกพร้อมกัน ป้ายผ้าคลี่ยาวลงมาที่บริเวณข้างประตูเห็นตัวหนังสือที่เขียนว่า welcome new home...เด็กทั้งสองคนปรบมือ ยิ้มแย้มกับผู้เป็นพ่อ ศามนเดินมาหารัมภา ที่ยืนยิ้มมองบ้าน มองลูกอยู่
“ชอบไหมจ๊ะ...ผมอยากได้ยินว่าภาชอบมันเหมือนผม”
รัมภายิ้มพลอยดีใจไปด้วย
“คุณทำเพื่อลูก แล้วคุณก็ตั้งใจกับมันมาก ภาจะไม่ชอบมันได้ยังไงคะ”
แพงพุ่งออกมาจากประตูบ้านที่เปิดอยู่ จนลมพัดเข้าหน้าทั้งศามนและรัมภา แพงตะโกนก้อง หัวเราะร่าสะใจ มีอำนาจถึงขีดสุด
“ฮะฮะฮ่า เข้ามาเลย เข้ามาในอาณาจักรของข้า เข้ามาสิ”
“ไป...เราเข้าไปดูข้างในกัน”
ขณะที่ทุกคนจะเดินเข้าบ้าน วิญญาณคุณหญิงอบเชยลอยมาจากเรือนใหญ่ จะเข้ามาห้ามพวกของศามน แต่พอมาถึง ไฟก็ติดพรึ่บขึ้นทั้งตัว
“ไม่ลูก อย่าเข้าไป อย่าเข้าไป...โอ๊ย ร้อน ๆๆ”
แพงออกมายืนประจันหน้าคุณหญิง
“ฮะฮะฮ่า ข้าร่ำเรียนวิชา จนได้เป็นร่างทรงหลวงปู่ฤาษี ที่บ้านหลังนี้ ข้าพร่ำสวดภาวนาเช้าจรดเย็น จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี ต่อไปนี้มนต์ดำของข้า จะแผ่อิทธิพลเหนือนังชื่นกลิ่นและลูกของมันทั้งสอง ฮะฮะฮ่า ”
ควันดำเกิดขึ้นรอบบ้าน ศามน รัมภาและลูกเดินเข้าไปในบ้านที่มีควันดำนั้น คุณหญิงอบเชยร้องไห้ ร้องเรียกอยู่ท่ามกลางไฟที่กำลังเผาตัวด้วยเวทย์มนต์ของแพง
“ไม่...ไม่...ลูกชื่นของแม่ หลานทวด อย่าเข้าไป...อย่าเข้าไป…ฮือ อีแพง อีขี้โกง บ้านนี้ก็ไม่ใช่บ้านมึง มึงไม่มีสิทธิ์ยึด มึงไม่มีสิทธิ์มาทำกับลูกหลานกูอย่างนี้ ฮือ...”

ในอดีต...คุณหญิงอบเชยและชื่นกลิ่นยืนมองบ้านหลังเล็กที่สร้างใหม่เพิ่งเสร็จ แพงยืนอยู่ห่างไป
“สวยดีเนอะ” คุณหญิงอบเชยบอกอย่างพอใจ
ชื่นกลิ่นยิ้มดีใจ
“น้องบัวสวรรค์ต้องชอบบ้านหลังนี้แน่เลย”
บัวสวรรค์นั้นเป็นหญิงสาววัย 20 ปี ลูกสาวของพี่ชายคุณหญิงอบเชย จึงเป็นลูกพี่ลูกน้องของชื่นกลิ่น สนิทสนมกันมาแต่เล็ก แม้ว่าเธอจะอยู่ที่บ้านในพระนครกับแม่ แต่ก็ติดต่อกันอยู่เสมอ
ขณะเดียวกันนั้น รถที่ไปรับบัวสวรรค์ก็ขับเข้ามาจอด คุณหญิงอบเชยหันไปมอง
“มากันแล้ว”
บัวสวรรค์วิ่งลงมาอย่างสดใสแล้วยกมือไหว้ ทั้งคุณหญิงอบเชยและชื่นกลิ่นก่อนจะเข้าไปกอดกับชื่นกลิ่น
“คุณอา พี่ชื่น...นี่หรือคะบ้านของบัว”
“อามีพี่ชายคนเดียวคือพ่อของเรา ตอนพี่เอื้อจะเสีย พ่อเขาฝากเราไว้กับอา อาไม่มีอะไรจะให้ นอกจากบ้านหลังนี้ เวลาอาไม่อยู่ จะได้ดูแลกันสองคนพี่น้องกับแม่ชื่น”
“บัวรีบลงเรือมาจากพระนครเพื่อมาช่วยงานพี่ชื่นโดยเฉพาะ บัวดีใจด้วยนะคะ งานแต่งงานของพี่ชื่น คุณอาต้องมีความสุขมากแน่ๆ”
“ไปเดินดูข้างในกัน” ชื่นกลิ่นหันไปสั่งแพงที่ยืนอยู่ไม่ห่าง “แพง...ขนของคุณบัวสวรรค์เข้าไปข้างในนะ”
“เจ้าค่ะ”
ชื่นกลิ่นพาบัวสวรรค์เข้าข้างใน แพงขนกระเป๋าใบใหญ่ อยู่คนเดียวค่อนข้างลำบาก

แพงหิ้วกระเป๋าเดินทางของบัวสวรรค์เข้ามาในห้อง หนักและเหนื่อย เธอเปิดมันออกเตรียมจัดข้าวของให้ ทำไปบ่นไป
“มีคุณชื่นกลิ่นคนเดียว ก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว ยังไปเอาหลานมาอีกคนให้งานเยอะเข้าไปอีก คนงานในบ้านก็มีกันอยู่แค่นี้ จะอะไรนักหนาวะ”
แพงยกเสื้อแต่ละตัวขึ้นมาดูอย่างสนใจ
“เฮอะ เสื้อผ้าพื้นๆ ไม่เห็นจะสวย”
สักพักแพงมองซ้ายขวาไม่มีใครเห็น ก็เทกองเสื้อลงกับพื้นทั้งหมด
“ก่อนจะจัดขึ้นตู้มันต้องเจิมเสียหน่อย”
แพงเอาเท้าไปเหยียบๆ กองเสื้อ เดินไปเดินมาบนกองเสื้อเหยียบๆ อย่างสะใจ
“นี่แน่ะ นี่ๆ คุณชื่นกลิ่น คุณบัวสวรรค์ ข้าวของทุกชิ้นของคุณทั้งสอง ต่อไปนี้จะได้รับการดูแลอย่างดีจากอีแพง”
แพงเหยียบเสร็จก็เอาเสื้อผ้าใส่ไม้แขวนขึ้นตู้ จัดไปยิ้มไป
“ใส่เสื้อที่มีรอยตีนอีแพง เจริญแน่คราวนี้”

นวลมีหน้าที่ทำครัวเป็นหลัก เธอวุ่นวายอยู่กับการทำขนม แพงเดินมาหา นวลตักขนมใส่ถ้วยสองถ้วยวางบนถาด
“มาพอดี ขนมหวานคุณชื่นกลิ่นกับคุณบัวสวรรค์ เอาไปให้เขาที ข้าจะไปตลาด”
นวลเดินออกไป แพงมองๆ เมื่อไม่มีใครเห็นก็ถุยน้ำลายใส่ขนมทั้งสองถ้วย แบบเต็มๆ
“ถุยๆ...เพิ่มรสชาติหน่อยนะ คุณหนูชื่นกลิ่น คุณหนูบัวสวรรค์”

ชื่นกลิ่นกับบัวสวรรค์ นั่งคุยกันอยู่ แพงยกถ้วยขนมเข้ามาให้
“ขอบใจจ้ะแพง”
“ขนมปลากริม คุณหญิงสั่งเอาไว้ เพราะจำได้ว่าคุณบัวสวรรค์ชอบ”
“ขอบใจจ้ะ”
บัวสวรรค์ตักใส่ปากเคี้ยวอร่อย แพงยิ้มสะใจ
“อืม อร่อยดีนะจ๊ะ”
ชื่นกลิ่นตักใส่ปากบ้าง แพงสะใจ
“ฝากบอกนวลด้วยนะว่าฝีมือดีเหมือนเดิม” ชื่นกลิ่นชม
แพงทำเป็นยิ้มรับ
“ค่ะคุณชื่น นังนวลมันคงดีใจแย่”
บัวสวรรค์หันมาหา ซื่นกลิ่น
“แล้วพี่ชื่นดีใจไหมจ๊ะที่จะได้แต่งงาน”
ชื่นกลิ่นอายตีบัวสวรรค์เบาๆ แพงเศร้าไปทันที
“เซี้ยวจริงนะเรา ถามอะไรก็ไม่รู้”
“เขาว่า คุณหลวงภักดีน่ะ งามมาก อยากเห็นจังเลย แต่ไม่เป็นไรแต่งงานแล้ว คุณหลวงก็จะย้ายมาอยู่บ้านนี้ น้องคงได้เห็นจนเบื่อ”
“เปิ๊ดสก๊าดนักนะ ทำฝรั่งจ๋า พูดเรื่องผู้ชาย เดี๋ยวเถอะ จะฟ้องคุณป้า”
สองสาวหัวเราะกัน แพงหน้าเศร้า เมื่อนึกได้ว่า ใกล้ถึงวันแต่งงานเข้ามาทุกที...แพงเดินออกมาอย่างแค้นๆหน้าตามุ่งมาด
“คุณชื่นกำลังจะแต่งงานกับคุณหลวง ไม่เป็นไรดอก คุณหลวงก็เหมือนเสื้อผ้าข้าวของของคุณชื่นนั่นแหล่ะ ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านนี้เมื่อไหร่ อีแพงจะดูแลให้อย่างดี”

งานแต่งงานของหลวงภักดีบทมาลย์กับชื่นกลิ่นถูกจัดขึ้นอย่างหรูหรา ทั้งสองนั่งบนตั่ง ท่านหญิง คุณหญิงเนื่องและคุณหญิงอบเชย เข้ามารดน้ำ ตามด้วยแขกเหรื่อ โดยมีบัวสวรรค์เป็นคนถือหอยสังข์ส่งให้ นอกเรือนห่างไป แพงแอบยืนร้องไห้มองมา ที่คู่บ่าวสาว คุณหลวงหันมาเห็นแพงก็ตกใจ กล้ารีบเข้ามากระซิบ
“แสร้งทำเป็นไม่รู้จักบ่าวคนนั้น อย่าทัก อย่าพูดเรื่องในอดีต”
คุณหลวงพยักหน้าเห็นด้วย แล้วมองเมินจากแพง หันมาสนใจการรดน้ำตรงหน้าต่อไป
แพงเห็นสายตานั้น ยิ่งเสียใจ วิ่งออกไป
แพงวิ่งออกมาพร้อมน้ำตา เธอทรุดลงตรงพื้น ร้องไห้โฮแทบขาดใจ
“ร้องมันเข้าไป ให้น้ำตามันไหลออกมา แม้น้ำในกายหมด ก็ให้สายเลือดมันหยดออกมาแทน น้ำตาไพร่ น้ำตาบ่าว น้ำตาคนไร้วาสนา น้ำตาคนไม่ยอมแพ้ บ่าวต้อยต่ำอย่างกูนี่ล่ะ จะเอาคุณหลวงมาเป็นผัวให้ได้” แพงบอกอย่างแค้นใจ

หลังจากถูกส่งตัวเข้าห้องหอ คุณหลวงกับชื่นกลิ่นยืนกอดกันมองพระจันทร์ที่หน้าต่างอย่างมีความสุข เพราะสมหวังในรัก
“น้องเชื่อในบุพเพสันนิวาสหรือไม่”
ชื่นกลิ่นเขินอาย
“นับเป็นบุญวาสนา ที่พี่เมตตาน้อง จริงใจต่อน้อง”
“วันนี้พี่รู้สึกอบอุ่นใจจนบอกไม่ถูก บางทีเราคงเคยร่วมชีวิตมีวาสนาต่อกันมายาวนาน”
“ขอให้ความรักอันมั่นคงของเรา พาเราให้ผ่านพบอุปสรรค ได้ครองรักกันตลอดไป”
คุณหลวงก้มลงจูบชื่นกลิ่น มุมหนึ่งในสวน ห่างไป แพงนั่งเจ่าจุกกับพื้นมองเขาจูบกัน ร้องไห้ออกมาอย่างหนัก เธอเก็บความเจ็บปวดทั้งหลายเอาไว้ให้มันซึมลึกในหัวใจ ให้มันติดตัวข้ามภพข้ามชาติไป

คุณหญิงอบเชยที่ถูกไฟเผาอยู่หน้าบ้านแพงมองเข้าไปในบ้านอย่างเสียใจที่ช่วยอะไรไม่ได้ รัมภากับศามนนั่งคุยกันเรื่องบ้าน เรื่องอุปกรณ์ตกแต่งบ้านกำลังมีความสุขกับบ้านใหม่ ขณะที่แพงมองอย่างสมใจ
“ฮึ คำว่ารัก ที่แท้ก็แค่หน้าฉากอันสวยหรูของคำว่าตัณหา ชายหญิงแท้จริงล้วนถูกราคะชักนำไปทั้งสิ้น และแล้ววันหนึ่งคุณหลวงภักดีก็มิอาจต้านทานอำนาจราคะนั้น ข้าได้เป็นเจ้าของเรือนหลังเล็กและยังได้เป็นเมียของคุณหลวงในที่สุด ฮะฮะฮ่า”
คุณหญิงได้แต่ยืนร้องไห้ถูกไฟเผาจนไม่สามารถทำอะไรได้ ในที่สุดก็ล่าถอย หายตัววับไป แพงมองอย่างสะใจในฐานะผู้ชนะ
“ฮะฮะฮ่า ฮะฮะฮ่า”

เดือนแรมตื่นสายยังนอนอยู่บนเตียง วิญญาณแพงน้อมตัวลงมาพูดด้วย
“นังเดือนแรม ต่อไปนี้ ถึงเวลาของเอ็งแล้ว เอ็งอยากได้คุณศามนไม่ใช่รึ ข้าจะช่วยเอ็งเอง”
เดือนแรมลืมตาตื่นขึ้น แล้วลุกขึ้นนั่งพรึ่บเหมือนถูกสะกดจิต
“คุณศามน…คุณศามนต้องเป็นของฉัน”
แพงนั้นบังคับเดือนแรมด้วยการดลจิตดลใจ ไม่ใช่การสิงสู่ และการดลใจทั้งศามนและเดือนแรมนั้นจะมีอำนาจมากขึ้นเมื่ออยู่ในเรือนหลังเล็ก เช่นเดียวกับผีคุณหญิงอบเชยจะมีอำนาจมากขึ้น เมื่ออยู่ในเรือนใหญ่

คำกับหล้ากำลังทำครัว เดือนแรมและดีดี้หอบหิ้วตะกร้ากับข้าวเดินเข้ามาพร้อมส่งเสียงดัง จะยึดครัวเป็นของตัวคนเดียว ดีดี้ส่งเสียงไล่
“เอ๊า แม่ครัวเล็กๆถอยไป แม่ครัวใหญ่มาแล้วจ้า”
“ขนอะไรกันมาเยอะแยะคะนี่” คำถามอย่างแปลกใจ
หล้าชะโงกหน้าลงไปมองในตะกร้าแล้วรายงานเมีย
“ผักกระหล่ำ แครอท ผลไม้ก็มี แอ๊ปเปิ้ล มะละกอ เอ๊ะ ไอ้นี่เรียกว่าอะไร
วะ”
หล้ายกกระชายขึ้นมา จำชื่อไม่ได้หันไปถามดีดี้ พาลจำชื่อดีดี้ไม่ได้อีก
“ว่าไงวะไอ้...เอ๊ะ เอ็งชื่ออะไรวะ”
“ตาหล้าเอ๊ย อย่างแก อย่ากินอย่างอื่นเลย กินปลาเถอะ แก้อัลไซเมอร์”
เดือนแรมยัดปลาฉู่ฉี่ทั้งถุงพลาสติกใส่ปากหล้า ให้คาบเอาไว้ จนหล้างงไปพักหนึ่ง
“ฉันจะทำส้มตำผลไม้ให้คุณพี่รัมภาทาน เอาเป็นว่าอาหารกลางวันกับอาหารเย็นฉันจะทำเอง”
“ไปไป๊ พวกคนแก่ออกไป ออกไปได้แล้ว”
ดีดี้ไล่คำกับหล้าออกไป จนพ้นห้องครัวแถมปิดประตูใส่ คำกับหล้ามองหน้ากันงงๆ
“นี่มันอะไรของมัน จู่ๆยายคุณนายโผล่มาจุ้นจ้านที่บ้านเราทำไมวะ”
หล้ายักไหล่ไม่มีคำตอบ

รัมภากับเดือนแรมนั่งทานข้าวกลางวันด้วยกันคุยกันไปด้วย
“อร่อยไหมคะ” เดือนแรมถาม
“อร่อยค่ะ แหมแต่เกรงใจจัง”
“เกรงใจอะไรกันคะ บ้านเราสองคนอยู่แค่นี้ ไหนๆก็ต้องกินข้าวสามมื้อเหมือนกัน ก็ย้ายมากินด้วยกันเสียเลย”
รัมภาทำหน้าไม่ถูก งงๆว่าเดือนแรมจะมากินด้วยสามมื้อเลยหรือเนี่ย แต่ความเป็นคนขี้เกรงใจ เลยไม่กล้าพูด เดือนแรมโผเข้ากอดรัมภา
“ไม่รู้เป็นอะไรค่ะ เดือนรักคุณพี่รัมภา คุณพี่ศามนแล้วก็เด็กๆ ม้ากมากได้เจอครอบครัวคุณพี่ เหมือนได้เจอพี่น้อง ขอให้เดือนได้รับใช้คุณพี่ทั้งสองเถอะนะคะ”

รัมภารู้สึกอึดอัด คิดในใจ สนิทกันเร็วไปไหมเนี่ย ไม่กอดตอบ ในขณะที่เดือนแรมทำหน้าปลื้มอยู่อย่างนั้น











Create Date : 13 เมษายน 2555
Last Update : 13 เมษายน 2555 0:46:38 น.
Counter : 427 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]