บ่วง ตอนที่ 3





เหตุการณ์ในอดีต...หลวงภักดีบทมาลย์ เดินไปเดินมาอยู่หน้าเรือนใหญ่ ท่าทางตื่นเต้น กำลังรอฟังข่าวสำคัญ เขามองเข้าไปในเรือน เห็นคุณหญิงเนื่อง กำลังนั่งพูดคุยกับคุณหญิงอบเชย ชื่นกลิ่นเดินมาพบเข้า

“คุณหลวง”
คุณหลวงเห็นหน้าชื่นกลิ่นก็ยิ้มจนหน้าแดง ชื่นกลิ่นยกมือไหว้
“ทำอะไรตรงนี้คะ ไม่ขึ้นไปบนเรือนหรือคะ”
คุณหลวงก้มหน้าเล็กน้อยเขินๆ เมื่อนึกว่าตนมายืนทำอะไร
“ขึ้นไปตอนนี้คงไม่เหมาะ”
“ทำไมคะ”
ชื่นกลิ่นมองตามเห็นคุณหญิงอบเชย คุยกับคุณหญิงเนื่องหน้านิ่งๆ เลยชักห่วง
“อืม บ้านเมืองมีเรื่องอะไรร้ายแรงหรือเปล่าคะ”
“เหตุร้ายแรงหรือไม่ อืม...คุณแม่พี่กำลังทาบทามขอลูกสาวชาวบ้าน...แบบนี้สมควรเรียกเหตุร้ายแรงหรือเปล่า”
“ขอลูกสาว...ลูกสาวนี่...”
ตอนแรกเธอนึกไม่ถึง แล้วตกใจเมื่อนึกออกเอามือจับปากแล้วหันหนี คุณหลวงเดินเข้าไปจนใกล้บอกเสียงเบา
“ต้องเรียกเหตุมงคลสินะ”
ชื่นกลิ่นเดินหนีทันทีด้วยความอาย คุณหลวงเดินตามมาดักหน้า
“จะเดินหนีไปไหน เมื่อครู่ยังคุยอยู่ดีๆ”
“ปรุงแกงค้างไว้ค่ะ”
คุณหลวงเดินไปจับมือ
“พี่ตื่นเต้นจนไม่กล้าขึ้นไปฟังด้วยตัวเอง ต้องยืนใจเต้นไม่เป็นส่ำอยู่ตรงนั้น หากคุณหญิงแม่ของน้องตอบปฏิเสธ พี่คงด่าวดิ้นตายตรงหน้าน้องนี่เอง”
“ปล่อยค่ะ”
ชื่นกลิ่นพยายามดึงมือออก แต่ไม่สำเร็จ
“แต่หากท่านตอบตกลง พี่คงเหมือนได้ขึ้นสวรรค์...แม่ชื่นของพี่ชีวิตของพี่จะเป็นจะตาย จะสุขหรือทุกข์ ขึ้นอยู่กับแม่ชื่นเพียงคนเดียว”
คุณหลวง ดึงชื่นกลิ่นเข้ามากอดไว้ในอก เธอดิ้นเล็กน้อย เบาๆพองามเขินอาย แพงแอบมองทั้งสองยืนกอดกันด้วยสายตาริษยา มือกำแน่น ก่อนจะวิ่งออกไปอีกด้าน

แพงรีบวิ่งมาแอบฟังข่าว พยายามเข้ามาหามุมที่ได้ยินเสียงพูดคุยของคุณหญิงอบเชยกับคุณหญิงเนื่อง
“พ่อศังกรทำงานหนัก เป็นคุณหลวงตั้งแต่อายุยังน้อย อายุปูนนี้ ไม่เคยชายตามองหญิงคนใด มาครั้งนี้เขามาสารภาพกับแม่ว่าถึงกับนอนไม่หลับ”
“นอนไม่หลับหรือคะ”
“ทุกครั้งที่ได้พบพูดคุยกับแม่ชื่น กลับไปเป็นต้องนอนไม่หลับ เขามาบอกดิฉันอย่างนี้ น่าขันไหมเจ้าคะ”
คุณหญิงเนื่องขำอย่างเอ็นดูลูกชาย คุณหญิงอบเชยชักสงสัย
“ที่คุณหญิงมาวันนี้”
“หากคุณหญิงอบเชยไม่รังเกียจ ดิฉันจะส่งผู้ใหญ่มาสู่ขอถึงเรือน”
คุณหญิงอบเชยตกใจ คาดไม่ถึง
“มาสู่ขอ”
“หรือว่า แม่ชื่นกลิ่นมีคู่หมายเสียแล้ว”
“โอ๊ะๆ ไม่ ไม่...เพียงแต่ดิฉันไม่เคยคาดฝันมาก่อนว่าเด็กกะโปโลอย่างแม่ชื่น จะมีวาสนาดีถึงเพียงนี้ ดิฉันต่างหากต้องกราบขอบพระคุณคุณหญิงและคุณหลวง ที่กรุณาต่อครอบครัวของเรา”
คุณหญิงอบเชยยกมือไหว้คุณหญิงเนื่อง
“หมายความว่าคุณหญิงอบเชยไม่รังเกียจใช่ไหมคะ”
“จะรังเกียจได้อย่างไรคะ ดิฉันปลื้มใจ จนบอกไม่ถูกแล้ว”
คุณหญิงอบเชยน้ำตาจะคลอ คุณหญิงเนื่องพยักหน้ายิ้มๆ แพงได้ยินทั้งหมดก็เครียดแค้นเป็นที่สุด
“นังชื่นกลิ่น ในที่สุด แกก็แย่งของของฉัน คุณหลวงเป็นของฉัน ฉันจะเอาคุณหลวงคืนมาให้ได้”

ดึกคืนนั้น...กล้าทหารคนสนิทของหลวงภักดีบทมาลย์ นั่งที่เก้าอี้หินคุยกับทหารอีกหลายคนที่ป้อมยามหน้ากระทรวงกลาโหม แพงแต่งตัวสวยงามเดินมาไหว้
“ท่านคือนายกล้า ทหารคนสนิทของคุณหลวงใช่หรือไม่”
กล้ายืนตะลึงมองแพง จนเพื่อนต้องสะกิด
“เอ้อ...ใช่ เจ้าเป็นใคร”
“ข้าชื่อแพง เป็นบ่าวของคุณหญิงอบเชย ข้ามีข่าวสารจากคุณหญิงมาบอกคุณหลวง”
“ดึกดื่นป่านนี้เนี่ยนะ”
“ท่านอยู่ที่ใดในเวลานี้”
“มีสิ่งใดจะบอก ข้าจะไปบอกให้”
“ไม่ได้ เป็นเรื่องส่วนตัว ต้องบอกด้วยตัวเอง”
“อยู่ที่ห้องกลาง ข้าจะพาไป”
กล้าเดินนำแล้วตรงไปที่ห้องทำงานที่ประตูปิดอยู่ กล้าหันมามองแพง
“ขอข้าเข้าไปเอง”
“ท่านอยู่ข้างใน กำลังทำงาน รีบเข้าไปแล้วรีบออกมา”
“ขอบคุณจ้ะ พี่กล้า”
แพงยกมือไหว้ ก่อนจะหันไปเคาะประตูสองสามครั้งแล้วเปิดเข้าไป

แพงเข้าไปนั่งกับพื้นแล้วกราบ หลวงภักดีบทมาลย์แปลกใจมาก
“นี่เจ้า”
แพงดีใจ
“คุณหลวงจำอีแพงได้”
“มีธุระอะไร นี่มันกี่ทุ่มกี่ยามกันแล้วนี่”
แพงคลานไปที่พื้นแถวๆท่อนขา และเริ่มนวด
“เหนื่อยไหมเจ้าคะ อีแพงนวดให้”
“นี่เจ้าเข้ามาที่นี่ได้ยังไง เจ้าเป็นบ่าวของใคร”
“จะเป็นบ่าวของใครก็ช่าง แต่ท่านช่วยชีวิตอีแพง อีแพงจะเป็นทาสท่าน
ตลอดชีวิต”
แพงแทรกเข้าไปนั่งตักคุณหลวงท่าทางยั่วยวน เริ่มลูบไล้ไปที่เนื้อตัวของเขา
“คุณหลวงเจ้าขา ดึกดื่นป่านนี้ น้ำค้างลงหนาวยิ่งนัก หญิงชายล้วนแต่ปิดห้องหับ หาความสุข ท่านไม่เหนื่อยหรือเจ้าคะ”
“นี่เจ้าจะทำอะไร”
คุณหลวงดึงออก แพงยื้อกอดแน่นขึ้น
“ชีวิตอีแพงเป็นของท่าน ร่างกายของอีแพงก็เป็นของท่าน ท่านจะทำ
อย่างไรกับร่างกายนี้ก็ได้ อีแพงยอมทั้งนั้น”
แพงเริ่มกอดจูบคุณหลวง คลุกเคล้าเนื้อตัวไปกับอกเขา
“นี่หยุดนะ...หยุด...ปล่อย!”

กล้าเดินยามอยู่ข้างนอก หันมาเห็นเข้าเพราะหน้าต่างยังเปิดกว้างอยู่ กล้าเห็นจากข้างนอก รีบวิ่งออกไปทันที
“แย่แล้ว!”
กล้าวิ่งไปเคาะประตูก่อนจะส่งเสียงดังเข้าไปข้างใน ก้มหน้าไม่อยากมอง
“คุณหลวง ไอ้กล้ากราบขอโทษ ท่านเป็นนาย ท่านสั่งมาคำเดียว หาก
ท่านต้องการให้นางอยู่ กระผมจะปิดหน้าต่างทุกบานและปิดปากกระผมไปตลอดชีวิต”
แพงกอดคุณหลวงแน่นกระซิบข้างหู
“อีแพงเป็นของท่าน อีแพงเป็นของท่าน ไล่เขาไป ไล่เขาไป”
คุณหลวงหายช็อคแล้ว หลังจากอึ้งไปพักใหญ่ ดึงตัวแพงออกไปจากตักของตนเอง
“เอาผู้หญิงคนนี้ออกไป ข้าไม่ได้สั่งให้นางมา”
แพงอึ้งตะลึงงัน
“คุณหลวง !”
กล้าลุกขึ้น เปิดประตูเปรี้ยง เข้าไปลากแพงออกมาทันที
“มานี่...มานี่...มากับข้า !”
แพงแทบกรี๊ด
“อ๊าย...ไม่...ไม่คุณหลวง คุณหลวง ปล่อย...ปล่อยข้า”
กล้าเหวี่ยงแพงลงไปกองที่พื้น แพงร้องด้วยความเจ็บ
“โอ๊ย...ข้าเจ็บนะ”
“โรงโสเภณีส่งเอ็งมารึหรือว่าใคร ใครส่งเอ็งมากำนัลคุณหลวง ใครสั่งให้เอ็งทำเช่นนี้”
“ไม่มีใครสั่ง คุณหลวงช่วยชีวิตข้า ข้าจึงมามอบตัวมอบใจให้คุณหลวง”
กล้าตกใจ แปลกใจมาก เพราะบ่าวสมัยนั้นแทบไม่มีสมองไม่มีปากมีเสียง
“บ่าวอย่างเอ็ง คิดเอง ทำเองงั้นหรือ”
“ข้าไม่ใช่บ่าวอย่างที่ท่านรู้จัก ชีวิตของอีแพง จะไม่เป็นแค่บ่าว ข้าต้องได้
เป็นเมียคุณหลวง ได้ทุกอย่างที่เป็นของข้า”
กล้าชี้หน้าดุด่า
“แพศยา...แม้แต่โสเภณี นางโคมเขียว ยังไม่กล้าพูดว่าอยากได้ผู้ชายเหมือนเจ้า”
“ในเมื่อชีวิตไม่มีทางเลือก ผิดอะไรที่เราจะเลือกทางสายมืด อีแพงยินดีเป็นหญิงชั่วให้คนประนามทั้งเมือง ดีกว่าพ่ายแพ้ต่อชะตาชีวิต”
“เจ้าเป็นใคร ที่บอกว่าเป็นบ่าวของคุณหญิงอบเชยนั้นจริงหรือไม่”
“เมื่อครู่ หากท่านไม่เข้ามา คุณหลวงต้องโอนอ่อนต่อข้า แต่ไม่เป็นไร คราวหน้า ข้าจะไม่พลาดอีก” แพงบอกอย่างเจ็บใจ

เช้าวันใหม่...กล้ากำลังยืนรายงานความคืบหน้าเรื่องที่เกิดขึ้นกับหลวงภักดีบทมาลย์
“คนของคุณหญิงอบเชยงั้นหรือ”
“ผมไปดูแล้ว นางเป็นบ่าวเรือนนั้นจริงๆ แต่นางยืนยันว่านางมอบ
ตัวให้ท่านด้วยความสมัครใจ ไม่มีผู้ใดเกี่ยวข้อง”
“หลังจากที่ข้าช่วยนางวันนั้น ข้าพบนางทุกที่ที่ข้าไป”
คุณหลวงเล่าเรื่องให้กล้าฟังว่า เมื่อเดินไปตามตลาด พร้อมทหารเพื่อตรวจงาน ก็เห็นแพงแอบมองอยู่มุมหนึ่ง เมื่อขี่ม้าไปกับทหารหลายคนมาตามชายป่าไปราชการนอกเมือง แพงแอบมองอยู่ข้างทาง ในมือมีใบตองห่ออาหารมาด้วย เธอพยายามวิ่งตามเรียกคุณหลวงและชี้ห่ออาหารของตน คุณหลวงควบม้าวิ่งจากไปไม่สนใจ ก่อนจะหันมามองเห็นแพงวิ่งตาม ปากก็เรียกเขามือชูอาหาร แต่คุณหลวงก็ไม่สนใจ แพงมองอาหารในมือของตนอย่างเศร้าหมอง
เมื่อคุณหลวงขับรถไปตามถนนในเมือง แพงแอบมองอยู่แล้วคอยโบกรถ เรียกในมือของเธอมีเครื่องดื่มใส่อยู่ในกระบอกไม้ไผ่ สองสามกระบอก รถแล่นผ่านไป แพงหน้าเศร้า แต่ทันใดนั้นรถหยุด แพงเงยหน้าดีใจ วิ่งตามเอาไปให้ คุณหลวงพยักหน้าให้ว่าขอบใจ แพงยิ้มให้ไม่รู้จะพูดอะไร ทรุดลงนั่งกับพื้นข้างทางแล้วก้มกราบ คุณหลวงขับรถจากไป แพงมีความสุขมาก
หลวงภักดีบทมาลย์ ครุ่นคิดอย่างไม่เข้าใจ
“นางแอบดูข้า เดินตามข้า มอบของกำนัลเท่าที่บ่าวจะหาได้แก่ข้า...สายตาคู่นั้นของนาง เหมือน ไม่ใช่แค่เสน่หา ไม่ใช่แค่ทาส แต่สายตานั้นเหมือน...อืม...”
คุณหลวงนิ่งคิดหาคำพูด กล้าเลยตอบให้
“เหมือนสัตว์เลี้ยงที่รอคอยเจ้านายของมัน”
คุณหลวงพยักหน้า
“แล้วท่านรู้สึกอย่างไรกับนาง”
“ข้าควรรู้สึกอย่างไรเล่า” คุณหลวงถามอย่างแปลกใจ
“หมายถึงเมื่อเทียบกับคุณชื่นกลิ่น ยอดดวงใจของท่าน”
คุณหลวงส่ายหน้า
“ไม่เหมือนกันดอก ทุกครั้งที่เห็นแม่ชื่น ข้าเหมือนเห็นความร่มเย็นเห็นบ้าน เห็นลูกหลาน เห็นอนาคตอันมั่นคงของข้า”
กล้าครุ่นคิดอย่างกังวล จนคุณหลวงต้องถาม
“ไอ้กล้า เอ็งโตมากับข้า ข้าเห็นว่าเอ็งเป็นน้อง มิใช่บ่าว เพราะเอ็งมีปัญญาเกินบ่าวทุกคน เอ็งคิดสิ่งใด บอกมาเถิด”
“สำหรับสตรี บ่วงรักและบ่วงเสน่หา มิอาจแยกจากกัน แต่สำหรับชายบ่วงรัก เป็นคนละสิ่งกับบ่วงเสน่หา เราอาจตกลงไปในบ่วงเสน่หา โดยมิจำเป็นต้องมีความรัก”
“เจ้าคิดว่าข้ามิได้เสน่หานางแพง”
“ไม่ดอก...หัวใจของท่านเวลานี้เต็มไปด้วยแม่ชื่นกลิ่น แต่สำหรับบ่วงเสน่หา ชายที่มีเนื้อหนังอย่างเรา อาจพลั้งเผลอตกลงไปได้ทุกเวลา”
“ข้าคิดว่าข้าสงสารนางมากกว่า แววตานางเศร้า ชีวิตนางคงไม่มีความสุขนัก”
กล้าก้มหน้าลงไปอีก กังวลยิ่งกว่าเดิม ได้แต่ส่งเสียงในใจไม่กล้าพูดออกมา
‘แย่แล้ว คุณหลวงของไอ้กล้า ความสงสาร น่ากลัวกว่าความเสน่หาและความรักเสียอีก เพราะมันเป็นจุดเริ่มต้นของทั้งรักและเสน่หา’

คุณหญิงอบเชยนั่งคุยกับชื่นกลิ่น โดยมีเพ็ญนั่งกับพื้น พลอยเสนอหน้าตื่นเต้นไปด้วย
“คุณหญิงเนื่องทาบทามขอคุณชื่นกลิ่นให้คุณหลวงหรือเจ้าคะ”
ชื่นกลิ่นเขินอาย
“ว่าไงลูก เอ้า...นั่งหน้าแดงเป็นลูกตำลึงอยู่นั่นแล้ว คิดสิ่งใดก็ว่ามาเถิด”
“ชีวิตลูกเป็นของคุณแม่ แล้วแต่คุณแม่เถอะค่ะ”
“แม่ตอบตกลงไปแล้ว ลูกชื่นกลิ่น หลวงภักดี มีทั้งรูป ทั้งเกียรติต่อไปนี้เจ้าต้องทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่ ช่วยเหลือการงานท่าน และจงกระทำตนให้มีคุณค่า ให้สมฐานะของคุณหลวงเถิด”
อบเชยลูบหัวลูก ดึงเข้ากอดด้วยความรัก

เมื่อถึงวันมาสู่ขอชื่นกลิ่นให้หลวงภักดีบทมาลย์ คุณหญิงเนื่องได้เชิญ ท่านหญิงพระองค์หนึ่งมาเป็นเถ้าแก่สู่ขอ ท่านหญิงนั่งเป็นประธานคนเดียว คุณหญิงเนื่องและคุณหญิงอบเชยนั่งกับพื้น คุณหญิงอบเชยก้มกราบที่เท้าของท่านหญิง
“เป็นบุญกุศลแก่ชีวิตของอิฉันและครอบครัวยิ่งนัก ที่ท่านหญิงเสด็จมาด้วยองค์เอง”
“แม่เนื่องเขาวานให้มาเป็นธุระ ฉันไม่ชำนิชำนาญพิธีรีตอง พูดตรงๆก็คือมาเป็นเถ้าแก่ สู่ขอลูกสาวหล่อน ให้คุณหลวงท่านน่ะ”
ทั้งหมดหัวเราะกัน ในความน่ารักตรงไปตรงมาของท่านหญิง คุณหลวงอาศัยช่วงที่ผู้ใหญ่คุยกันเดินออกไปโดยไม่มีใครสนใจ
ชื่นกลิ่นถือตะกร้าใบหนึ่งอยู่ในสวนกำลังเก็บดอกไม้สารพัดชนิดที่กินได้ คุณหลวงตรงเข้าไปจับมือ ชื่นกลิ่นพยายามดึงออก
“เจ้าเก็บดอกไม้ มีความสุข ปล่อยให้พี่ทุกข์ใจ แทบจับไข้”
“คุณหลวงปล่อยค่ะ”
“พี่กระวนกระวายใจ กลางวันคิดถึง กลางคืนก็ยังฝันถึง พี่รีบเร่งวันเร่งคืนเพื่อได้ร่วมเรียงเคียงหมอน แต่น้องกลับสนใจแต่ดอกไม้พวกนี้”
“ดอกไม้พวกนี้ จะเอาไปทอด เป็นผักแนมให้ท่านมื้อกลางวันนี้ค่ะ”
“เข้าใจแล้ว ดอกไม้เหล่านี้ ดอกใดเล่า รสชาติหอมหวานที่สุด”
“ลางเนื้อชอบลางยา แล้วแต่คนเจ้าค่ะ สำหรับที่เรือนนี้ เรานิยมดอกโสนว่า ปรุงอาหารได้มาก รสชาติอร่อย”
“พี่เคยกินหมดแล้ว ไม่เห็นจะหวานหอมอย่างที่น้องบอก พี่อยากชิมดอกไม้ทิพย์มากกว่า”
ชื่นกลิ่นชะงักไป
“ดอกไม้ทิพย์”
คุณหลวงหอมแก้มเธอหนึ่งฟอดใหญ่ ชื่นกลิ่นตกใจมาก คุณหลวงยิ้มเอ็นดูแล้วดึงเข้ามากอด ชื่นกลิ่นได้แต่เขินอาย
“นี่ไงเล่า ดอกไม้ทิพย์ของพี่ มีเจ้าอยู่เคียงข้าง พี่ไม่จำเป็นต้องกินอาหารใดๆอีกแล้ว แม่ชื่นกลิ่นของพี่ เจ้าเป็นเช่นพี่หรือไม่ นับเวลาทุกโมงยาม เพื่อให้ได้เป็นคู่ชู้ชื่น”
แพงแอบอยู่มุมหนึ่งมองภาพนั้นด้วยความเจ็บปวด ดวงตาแดงกล่ำด้วยความริษยา กำมือแน่น
“อีชื่นกลิ่น เอ็งแย่งดวงใจของข้า ข้าจะตามรังควานเอ็ง ไม่ให้มีความสุขคอยดูไปเถิด”

ปัจจุบัน...ศามนฟื้นขึ้นมาก่อน
“ฝันบ้าๆอีกแล้ว”
ศามนส่ายหน้าไม่สนใจ หันมาปลุกเดือนแรม
“คุณเดือน คุณเดือน”
เดือนแรมฟื้นขึ้น งงงวย
“คุณศามน เดือนเป็นอะไรไปคะเนี่ย”

รัสตี้กับไลล่า นั่งเล่นอยู่กับ บุญสืบ ดีดี้และรัมภา ดีดี้มองไปในสวน
“พี่เดือนเอ๊ย...คุณผู้หญิงไปไหนไม่รู้ ทองดีเอ๊ย...ดีดี้ไปตามก่อนนะเจ้าคะ เอ้ามาพอดี”
ศามนประคองเดือนแรมเข้ามา เธอยังมีอาการวิงเวียนอ้อนเขา แต่ศามนไม่เป็นไรแล้ว รัมภาแปลกใจหันไปถามสามี
“คุณเดือนเป็นอะไรไปคะ”
“ไปเป็นลมอยู่สวนด้านหลังน่ะ”
“ตายจริง ไปหาหมอไหมคะ”
“คงนอนน้อยน่ะค่ะ เดือนกลับบ้านดีกว่า เอ...แต่รถของเดือนไปส่งของที่ตลาดแล้ว คุณพี่ศามนไปส่งเดือนที่บ้านหน่อยได้ไหมคะ”
“ได้สิครับ”
บุญสืบมองค้อน เพราะรู้กิติศัพท์ความเจ้าชู้ของเดือนแรม เขารีบบอกนายหญิง
“คุณผู้หญิงไปด้วยสิครับ จะได้รู้จักบ้านคุณนายเดือนแรมเอาไว้ อาหารเย็นคุณหนู เรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวผมดูให้แกกินเอง”
รัมภาไม่ได้เอะใจอะไร
“แค่นี้เองไม่ใช่หรือ ให้คุณมนไปส่งก็ได้ ฉันอยู่ติวหนังสือให้เด็กแฝดดีกว่า อีกวันสองวันต้องไปโรงเรียนแล้ว”
ดีดี้มองหน้าบุญสืบอย่างเหยียดหยาม
“นั่นสิ เรียนโรงเรียนวัด ยังไม่จบ ป.6 อย่างแก ติวหนังสือเป็นเหรอ ไอ้บุญสืบ ให้คุณมนไปส่งคุณเดือนน่ะดีแล้ว”
บุญสืบฉุนกึก
“ไม่ต้องจบป. 6 ก็รู้โว้ย...เอ แอนท์แปลว่าอะไรคะคุณหนู”
“มด” รัสตี้ตอบ
บุญสืบมองหน้าเดือนแรม เธอหน้าตึงขึ้นมา
“ไม่ใช่มดเฉยๆ แต่เป็นมดแดงแฝงพวงมะม่วง เจ้าของมองไม่เห็น มันเลย
มาแอบชอนไชของที่ไม่ใช่ของตัว นังมดหน้าด้านพวกนี้ มันน่าเหยียบๆ”
บุญสืบแดกดันก่อนจะทำท่า ใช้เท้าขยี้ๆๆที่พื้น ตามองเดือนแรม ขณะที่เดือนแรมกับดีดี้มองหน้ากันแค้นๆ เกลียดบุญสืบยิ่งนัก ไลล่าหน้าเหวอชักงง
“แค่เอแอนท์ตัวเดียว โรงเรียนไทยสอนยาวอย่างนี้เลยหรือ เราจะรอดไหมเนี่ย เฮ้อ”
“ไปสิคะคุณผู้หญิง บุญสืบจะดูเด็กๆให้เอง”
รัมภาพยักหน้าเออออ

บ้านเดือนแรม เป็นบ้านไม้ขนาดใหญ่แบบในต่างจังหวัดตั้งอยู่ท่ามกลางสวนผลไม้ เดือนแรมเดินนำสองสามีภรรยาเข้ามานั่ง
“บ้านของเดือน สร้างมาตั้งแต่สมัยคุณยาย ไม่สวยเหมือนของคุณพี่ ไว้วันไหน จะรื้อมันทิ้ง สร้างใหม่ให้ใหญ่กว่านี้อีก”
“บ้านแบบนี้ก็ดีแล้วนี่ครับ เหมาะกับอากาศเมืองร้อน”
“นั่งเล่นก่อนค่ะ”
“ขอเดินเล่นดูสวนหน่อยได้ไหมครับ”
เดือนแรมพยักหน้าอนุญาต
“ไปกันเถอะภา”
รัมภาพยักหน้าแล้วนึกขึ้นได้
“คุณสองคนลงไปก่อนนะคะ เดี๋ยวภาตามไป ภาจะไปเข้าห้องน้ำหน่อย”
รัมภาเดินไปตามทาง ของบ้านเพื่อไปหาห้องน้ำ เธอมองไม่เห็นว่ามีไฟตรงไหน
“ทำไมมืดจริง”
ต้นไม้ในสวนไหวเอน ดูน่ากลัวเสียงครางฮือๆๆ ดังเข้ามาเบาๆ เย็นๆ รัมภาสะดุ้งหันไปมอง
“ใครคะ”

เสียงเงียบไป รัมภานึกแปลกใจ แล้วส่ายหน้ารีบเข้าห้องน้ำเธอไป ด้วยความรู้หวาดหวั่น
พอรัมภาออกจากห้องน้ำ กำลังล้างมือที่อ่าง มีเสียงก๊อกๆ ดังขึ้นเป็นจังหวะ ฟังดูน่ากลัว ซึ่งเธอไม่รู้ว่ามันคือเสียงไม้เท้าของเพ็ญ

“เสียงอะไรของเขานะ”
รัมภาเดินหาต้นทางของเสียงเดินไปมองแถวๆนั้นไม่เห็นอะไร
“หยุดไปแล้ว”
รัมภาหันมา เพ็ญผมขาวฟูยุ่ง ดวงหน้าแก่ อิดโรย เหี่ยวย่น ใช้ไม้เท้าเดินออกมาจากมุมมืด รัมภากรี๊ดแล้วเป็นลมไปทันที
ศามนกับรัมภายืนคุยกันอยู่รอรัมภาออกจากห้องน้ำ ได้ยินเสียงก็ตกใจ
“เสียงรัมภา”
ทั้งสองรีบออกวิ่งไปหารัมภา ตามทิศของเสียง

รัมภานอนอยู่บนเตียงมีดีดี้ให้ยาดม ศามนนั่งอยู่ข้างๆ เดือนแรมนั่งห่างไป รัมภาฟื้นขึ้น ผวากอดศามนทันทีด้วยความกลัว
“คุณมน ผีค่ะ ผี ภาเห็นผี”
เดือนแรมจ๋อยๆ
“ที่คุณเห็นไม่ใช่ผีอะไรหรอกค่ะ ยายทวดของเดือนเอง”
รัมภาชะงัก
“ยายหรือคะ!”
เดือนแรมเดินนำทุกคนเข้ามาดูเพ็ญที่นอนหลับแล้วอยู่บนเตียง
“ยายทวดของเดือนอายุ เก้าสิบกว่าเกือบจะร้อยแล้ว เดินไปไหนมาไหนต้องใช้ไม้เท้า แต่ปกติแกก็ไม่ค่อยเดินหรอกนะคะ”
ดีดี้พึมพำ
“นั่นสิ หมู่นี้มีแต่เรื่องแปลกๆ ผลัดกันเป็นลม บรื๋อ...น่ากลัวว่ะ”
“แล้วสุขภาพยังแข็งแรงอยู่ไหมครับ” ศามนถาม
“โอ้ย...จำอะไรไม่ค่อยได้แล้ว ส่วนใหญ่ก็นอนอยู่อย่างเนี้ยค่ะ หลับๆตื่นๆเหม่อๆทั้งวัน ไม่ค่อยมีแรงอะไรหรอก”
เพ็ญนอนเหมือนละเมอ ครวญคราง
“ฮือ...ฮือ...อีเนียน ทำไมไม่เอาข้าวมาให้ยายกิน ยายหิวข้าว ฮือ”
“คุณทวดทานข้าวไปแล้วจ้า แล้วอีเนียนเนี่ยก็แม่พี่เดือนเขา อีเนียนที่ว่า
ตายไปเกิดใหม่นานแล้วค่ะ” ดีดี้บอก
เดือนแรมยิ้มแห้งๆ อายเรื่องทวดตัวเองนิดหน่อย

รัตตี้และไลล่านั่งทานข้าวเย็นไป ดูการ์ตูนที่ทีวีไป บุญสืบคอยดูแลมองไปที่หน้าต่างเห็นลมพัดโบก ใบไม้ไหวๆท่ามกลางความมืด ก็ชักกลัวๆพึมพำเบาๆ
“ทำไมอากาศมันหนาวๆพิกลวะ”
หลังจากทานอาหารเสร็จ ไลล่ากับรัสตี้นั่งเล่นด้วยกัน มีควันสีขาว ล่องลอยมาหยุดที่ประตู บุญสืบมองงงๆ
“ควันอะไรวะ”
ควันประกอบร่างเป็นคุณหญิงอบเชยที่มองสำรวจว่าหลานยังอยู่ดี ก่อนจะกลายร่างเป็นควันลอยผ่านห้องอาหารไป บุญสืบมองตามควันที่ลอยหายไปด้วยความสงสัย
กลุ่มควันสีดำลอยเข้ามาหยุดที่หน้าบ้าน กลุ่มควันสีขาวลอยออกมาจากในบ้านมาเจอกัน
“อีแพง มึงขึ้นมาถึงเรือนกู...นี่แน่ะ...นี่...กูไม่ยอมให้มึงมาทำอะไรหลานกูหรอก”
กลุ่มควันสีขาวเข้าเล่นงานกลุ่มควันสีดำ กลุ่มควันกลายร่างเป็นวิญญาณคุณหญิงอบเชยกำลังบีบคอวิญญาณแพงอยู่ แพงโมโห ดึงมือของคุณหญิงออกแล้วผลักร่างของคุณหญิงพุ่งไปไกลด้วยกำลังอันมหาศาล วิญญาณคุณหญิงปะทะเข้ากับผนังเปรี้ยง
“โอ๊ย !”
ร่างคุณหญิงร่วงลงไปกับพื้น
“ฮึ...สั่งลูกสั่งหลานให้ตั้งศพไว้ ไม่ยอมไปผุดไปเกิด แล้วเป็นไง สุดท้ายก็ปกป้องหลานไม่ได้”
“ที่เรือนใหญ่แห่งนี้ วิญญาณกูจะสิงสถิต ปกป้องลูกหลานกู กูจะไม่ยอมให้ใครมาทำลูกหลานกู”
“ฮึ...ไม่เห็นจะกลัว อีกหน่อยคุณหลวงก็จะไปอยู่เรือนเล็ก เรือนแห่งนั้นเป็นบ้านของข้ามาแต่เดิม ที่นั่น ข้ากับคุณหลวง เคยร่วมรัก ร่วมเสน่หากันมาแต่กาลก่อน ไหนจะคาถาอาคมที่ข้าเสกครอบคลุมไว้ ทุกครั้งที่คุณหลวงไปที่นั่น เขาจะต้องอยู่ภายใต้มนต์ดำของอีแพง”
“ไม่...ข้าไม่ยอมให้ลูกหลานของข้าย้ายเข้าไปอยู่ในเรือนของเอ็ง เขาต้องอยู่ที่นี่ อยู่ที่เรือนใหญ่ ที่ที่ข้าจะคุ้มครองเขา”
“ถุย เมื่อคราวที่แล้ว พังงานศพของเอ็ง ข้ายังทำมาแล้ว แรงรักหรือจะเท่าแรงแค้น บ่วงรักหรือจะสู้บ่วงแค้น ยังไงเสียข้าก็มีอำนาจมากกว่าเอ็ง”
“ไม่...ไม่...ข้าไม่ยอม ข้าจะช่วยลูกหลานข้าให้ถึงที่สุด”
อบเชยกลายร่างเป็นควันขาว แล้วหายวับไป แพงยืนมองตามอย่างไม่กลัว

รัมภา ศามน เดือนแรม และดีดี้ นั่งคุยกันอยู่
“ที่จริงยายทวดของเดือนก็ไม่ใช่คนอื่นไกลนะคะ ท่านเป็นต้นห้องของคุณหญิงอบเชย คุณยายคุณศามนนี่เอง” เดือนแรมเล่า
“เอ้า จริงหรือครับ” ศามนแปลกใจ
“จริงค่ะ ท่านผูกพันกับคุณหญิงอบเชย ยายคุณศามนมาก”
“บางทียายเพ็ญก็เพ้อ ว่าคุณหญิงมาเยี่ยม ลุกขึ้นนั่งยกมือไหว้ข้างฝาประ
หลกๆ ดีดี้งี้กลัวจนขนหัวลุกเลยค่ะ” ดีดี้ พูดอย่างหวาดๆ
ทันใดนั้นควันขาวๆลอยเข้ามาในห้อง วิญญาณอบเชยปรากฎขึ้น
“อีเพ็ญ ข้าขอใช้ร่างของเอ็งหน่อยเถอะวะ”
คุณหญิงเข้าไปนอนทับร่างเพ็ญสิงเข้าร่าง
“เราออกไปข้างนอกกันเถอะค่ะ ป่านนี้เขาคงเตรียมข้าวเย็นให้แล้ว” เดือนแรมหันไปชวน
ทุกคนลุกขึ้น กำลังจะออกไป แต่แล้วจู่ๆ เพ็ญก็ลืมตาเฮือก หันมาจับมือเดือนแรมไว้
“เอ้าตื่นแล้วหรือยาย”
เพ็ญลุกขึ้นนั่งพรวด แล้วออกคำสั่งด้วยเสียงซ้อนๆกันของเพ็ญและอบเชย กลายเป็นเสียงใหญ่ดุน่ากลัว
“ย้ายไปที่นั่นไม่ได้”
เดือนแรมงงๆ
“อะไรนะ ยายพูดอะไร”
เพ็ญพุ่งเข้าบีบคอศามน ราวกับแข้งขาไม่เป็นอะไร ทั้งหมดตกใจมาก ร้องกรี๊ด รัมภาพุ่งเข้าไปดึงศามน เดือนแรมตกใจ
“กรี๊ด...ยาย”
“ข้าบอกว่าเอ็งย้ายเข้าเรือนเล็กไม่ได้ ได้ยินไหม ย้ายไม่ได้” เพ็ญเสียงดุดันน่ากลัว
รัมภาตกใจเป็นห่วงสามี
“คุณศามน...คุณศามน”
ศามนถูกบีบคอ หายใจไม่ออก ตาเหลือก ไม่รู้เพ็ญเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน ทั้งรัมภาและศามนช่วยกันดึงมือออกก็ดึงไม่ออก
“อยู่บ้านนั้น เอ็งจะตกอยู่ในอำนาจราคะของมัน เอ็งจะตกอยู่ใต้คาถาดลจิตดลใจของมัน มันจะใช้กามรสล่อหลอกเอ็ง ทำให้ชีวิตเอ็งฉิบหาย ได้ยินไหม ได้ยินไหม”
เดือนแรมพยายามดึงมือเพ็ญก็ไม่ออกเช่นกัน จึงหันไปเรียกดีดี้
“นังทองดีมาช่วยกันหน่อยสิ แกะมือยายออกไป แกะออกไป ยายเอามือออกนะ เอาออกเดี๋ยวนี้”
ดีดี้เข้ามาช่วย ยื้อกันครู่หนึ่ง ในที่สุด ศามนก็ดึงมือเพ็ญออก แล้วผลักออกไป จนเพ็ญเซลงไปที่เตียง ขณะเดียวกันนั้นหมอแวะมาตรวจอาการประจำสัปดาห์เดินเข้ามาพอดี เดือนแรมรีบวิ่งไปบอก
“คุณหมอมาพอดี ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย ยายเพ็ญคลั่ง”
หมอรีบเตรียมยาฉีด เพ็ญยังคลั่งอยู่บนเตียง สะบัดตัวไปมา จะลุกมาทำร้ายศามนอีก ดีดี้กับรัมภารีบไปกดเพ็ญไว้ที่เตียง ก่อนที่เดือนแรมจะวิ่งกลับมาช่วยอีกแรง หมอรีบบอก
“จับไว้ครับ จับคนไข้เอาไว้ก่อน”
เพ็ญโวยวาย
“ปล่อย...ปล่อยกู กูจะพูดกับลูกหลานกู ปล่อยกู...อย่ามายุ่งกับกู”
หมอเข้ามาฉีดยาเข้าที่เส้นเลือดที่แขนเพ็ญ
“ปล่อย...ปล่อย”
เพ็ญสลบเหมือดทุกคนโล่งใจ ศามนยังตกใจและแปลกใจ

เมื่อหมอกลับไปแล้ว ทั้งสี่คนย้ายมานั่งคุยกันที่ห้องรับแขก รัมภาดูคอศามนให้
“ยังเจ็บอยู่ไหมคะ ที่เห็นน่ะไม่มีรอยอะไรนอกจากรอยแดงๆ”
ศามนขยับคอตัวเองดู
“ไม่แล้วครับ พรุ่งนี้คงเขียวเป็นจ้ำนิดหน่อย แต่สองสามวันคงหาย”
“เดือนต้องกราบขอโทษ คุณพี่ทั้งสองจริงๆนะคะ ยายของเดือนเป็นบ้า
อะไรขึ้นมาก็ไม่รู้” เดือนแรมบอกอย่างไม่สบายใจ
ดีดี้ถอนใจโล่งอก
“โฮ้ย...โชคดีจริง วันนี้เป็นวันตรวจประจำ คุณหมอมาพอดี”
“คนแก่ มีปัญหาเรื่องสมองด้วยไม่ใช่หรือครับ ไม่เป็นไรหรอก”
ดีดี้นิ่งคิดอย่างแปลกใจ
“ทุกทีแค่หลงๆ วันนี้พูดอะไรไม่รู้ เรี่ยวแรงก็เยอะผิดผู้ผิดคน เราสามคนแทบจับไม่อยู่ มันแปลกๆนะคะ”
เดือนแรมไม่เข้าใจ
“แปลกยังไงวะ”
“เสียงไง ฟังดูยังไงก็ไม่ใช่เสียงยายเพ็ญ แล้วเห็นตอนที่พุ่งเข้ามาหาคุณศามนไหมคะ แข้งขาเหมือนคนดีๆเลยนะคะ” ดีดี้อธิบาย
“ก็คนมันบ้า” เดือนแรมนึกได้รีบปรับให้สุภาพเพราะเกรงใจ “เอ้อ...ฟั่นเฟือน แกจะเอาอะไรวะ”
“บ้าน่ะรักษาได้ แต่ผีเข้านะ รักษาไม่ได้นะพี่เดือน”
เดือนแรมเผลอลุกขึ้นชี้หน้าด่า เวลาโมโห กริยาชาวบ้านโวยวายขึ้นมึงกูออกมาทันที
“อีทองดี มึงเอาอะไรมาพูด เดี๋ยวเขาก็ไม่กล้ามาบ้านกูพอดี”
ศามนกับรัมภา พลอยตกใจทำไมเดือนแรม โวยวายเสียงดังขนาดนั้น เดือนแรมมองสองสามีภรรยา รีบเปลี่ยนท่าที ยิ้มแหยๆลดเสียงลง
“เอ่อ...ขอโทษ เดือนโมโหน่ะค่ะ”
ศามนกับรัมภาอึ้งไป ยิ้มรับแห้งๆ

ศามนกับรัมภากลับมาจากบ้านเดือนแรมก็ดึกมากแล้ว รัมภาที่อาบน้ำเสร็จนั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ศามนเพิ่งอาบน้ำเสร็จออกมาจากห้องน้ำเดินมาขึ้นเตียง รัมภาตามไปนอนบนเตียง
“คุณสงสัยที่ยายเพ็ญพูดไหมคะ”
“พูดอะไรครับ”
รัมภานึกถึงคำพูดของเพ็ญ
‘ข้าบอกว่าเอ็งย้ายเข้าเรือนเล็กไม่ได้ ได้ยินไหม ย้ายไม่ได้ อยู่บ้านนั้น เอ็งจะตกอยู่ในอำนาจราคะของมัน เอ็งจะตกอยู่ใต้คาถาดลจิตดลใจของมัน มันจะใช้กามรสล่อหลอกเอ็ง ทำให้ชีวิตเอ็งฉิบหาย ได้ยินไหม’
รัมภาครุ่นคิดสงสัย
“ยายเพ็ญพูดถึงเรือนเล็ก เขารู้เรื่องเรือนเล็กได้ยังไง คุณเดือนรู้เรื่องนี้ก็จริงแต่อยู่กับพวกเราตลอดเวลา”
ศามนไม่ใส่ใจนำคำพูดของเพ็ญ
“โฮ้ย...คนแก่น่ะ จำชื่อลูกหลานยังไม่ได้ ท่านคงพูดเรื่องของท่าน ท่านก็อาจมีเรือนเล็กของท่าน ไม่เกี่ยวกับเราซะหน่อย อากาศวันนี้ดีจัง ภาจ๋า”
ศามนมองหน้ายิ้ม แล้วก้มลงจูบรัมภาอยู่พักหนึ่งต้องการจะขอนอนด้วย รัมภาเมินหน้าหนี
“อย่าเลยนะคะ...วันนี้ภาเหนื่อย”
ศามนเซ็งทิ้งตัวนอนลง หน้าบูด
“คุณโกรธหรือคะ”
“ผมกำลังคิดถึงตอนที่เราแต่งงานกันใหม่ๆ เวลานั้นเหมือนเราไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย”
“ตอนนี้เรามีเรื่องต้องรับผิดชอบ ชีวิตการงาน บ้านเรือน ไหนจะลูกๆ”
“ภาระหน้าที่ เฮ้อ...ตกลงการแต่งงาน ทำให้เรารักกันมากขึ้น หรือมันทำลายความรักของเรากันแน่…”
ศามนหันหลังให้น้อยใจจริงจัง รัมภาอึ้งไป

วันใหม่...รัมภานั่งสอนการบ้านลูกๆอยู่ ศามนพา อนุกูล พัชนีและวรรณศิกาเดินเข้ามา
“คุณนุเขาช่วยหาช่างรับเหมามาซ่อมเรือนเล็ก เดี๋ยวผมพาช่างเขาไปเรือนเล็กก่อนนะ”
ศามนออกไปกับช่างรับเหมาที่ตามรั้งท้ายมาและยืนรออยู่ห่างๆ คำเดินเอาน้ำมาให้ได้ยินพอดี
“ซ่อมเรือนเล็ก นี่ตกลงจะย้ายไปอยู่จริงหรือคะ”
รัมภาอึกอัก เพราะจริงๆ ไม่เคยตกลงอะไรกัน ศามนคิดเองเออเอง ยืนยันว่าจะซ่อม อนุกูลหันมาบอกรัมภา
“ฝากสองสาวนี่ด้วยนะครับ ผมชวนเขามาทำบาร์บีคิวกินกันช่วงนี้โสด กิ๊กไม่ว่าง ต้องหันมาควงป้า”
วรรณศิกาหันไปมองพัชนี ส่ายหน้าว่าใช้ไม่ได้
“เห็นไหม บอกแล้ว อย่าแต่งตัวอย่างนี้ คุณนุด่าเอาเลยเห็นไหมล่ะ”
อนุกูลสะกิดวรรณศิกา
“ป้าๆ ผมว่าป้าแหละ”
วรรณศิกาทำหน้าหงิกใส่ จนคำแอบขำ อนุกูลเหล่พัชนี
“ยายนั่นน่ะ ไม่ใช่ป้า แต่เป็นแม่ชี”
รัมภาแปลกใจ
“ทำไมต้องแม่ชีคะ”
“เวลาถวายสังฆทานท่องไง”
พัชนีหน้าใสซื่อตอบไป ไม่ได้คิดอะไร
“อิมานิ มะยัง ภันเต ภัตตานิ สะปะริวารานิ”
อนุกูลพูดต่อ
“ถวายเสร็จพระให้พร”
“ยถา วาริวหา ปูรา ปริปูเรนติ”
อนุกูล ตบเข่าฉาด
“เห็นปะ คนธรรมดาใครท่องได้มั่ง โคตรเพี้ยนเลย”
พัชนีเริ่มรู้สึกตัว
“เอ๊ะ...เขาหลอกด่าหนูหรือคะพี่วรรณ”
วรรณศิกาทำหน้าเหนื่อยกับสาวโก๊ะอย่างพัชนี
“ก็เออน่ะสิ นี่ก็ไปท่องให้เขาฟังอยู่ได้ เคยตามอะไรใครเขาทันไหมเนี่ย ไปไป๊...ไปช่วยกันเตรียมของทำบาร์บีคิวดีกว่า”
พัชนีจ๋อยมองอนุกูลที่ยืนขำอย่างโกรธๆ

รัมภาเดินมาซื้อของในตลาด มีพัชนีและคำมาด้วยกัน น้อยขายหมูอยู่ข้างๆแผงของเจี๊ยบที่ขายผัก และแอนนั่งเล่นคุยอยู่แถวนั้นเอ่ยทักขึ้น
“คุณรัมภา วันนี้มาถึงตลาดเชียวหรือคะ”
รัมภายิ้มแย้มด้วยอัธยาศัยดี ไม่ถือตัว
“ทุกที บุญสืบหรือไม่ยายคำมาซื้อให้ เห็นของสดดี ราคาก็ถูกมาก จน
ฉันนึกว่าพวกยายคำน่ะล้อเล่น ยังนึกสงสัยว่าพวกพ่อค้าแม่ค้าเอากำไรมาจากไหน”
“คุณคงไปอยู่เมืองนอกจนชิน บ้านเราในน้ำมีปลาในนามีข้าว ขายราคา
แค่นี้เขาก็อยู่กันได้ค่ะ” พัชนีบอก
“ตลาดเนี้ย คนรู้จักกันทั้งนั้น เมื่อก่อนให้ช่วยหิ้วของไปส่งบ้านก็ช่วยกันดี
หรอก พอมาเดี๋ยวนี้ จ้างยังไม่ยอมมาเลยค่ะ”
คำฟ้องรัมภา มองน้อยกับแอน งอนๆ รัมภาแปลกใจ
“ทำไมจ๊ะ”
“ก็กลัวผีโลงแตกน่ะสิคะ” เจี๊ยบบอก
“นังเจี๊ยบ!”
น้อยตกใจ ปรามเจี๊ยบที่พูดตรงเกินไปไหม เจี๊ยบเห็นรัมภาไม่ถือตัวเลยถามต่อ
“ไหนๆก็ไหนๆ ถามต่อเลย แล้วหลังจากคืนนั้น คุณก็อยู่กันดีหรือคะ มีเรื่องอะไรอีกหรือเปล่า”
“อยู่กันปกติ นอนหลับสบายดีจ้ะ” รัมภาบอกยิ้ม
“บอกแล้วว่าไม่มีอะไร ก็ไม่ยอมเชื่อ พวกแกไม่มาช่วยส่งของ เดือดร้อน คุณผู้หญิงต้องมาเองเลย” คำต่อว่า
รัมภายิ้มแย้มให้ทุกคนอย่างเป็นมิตร
“ซุปเปอร์มาร์เก็ตน่ะ ฉันเห็นมาจนชิน อยากมาเดินเล่นด้วยน่ะ ตลาดแบบไทยๆ เคยเดินเล่นแต่ตอนเด็กๆ สนุกจะตาย”
แอน เจี๊ยบน้อย ยิ้มชื่นชม รัมภา...

เดือนแรมเดินวางมาดคุณนายเข้ามาในตลาด ดีดี้เดินตามประกาศลั่น
“เอ๊า คุณนายเดือนแรมมาเก็บค่าเช่าเองนะจ๊ะวันนี้ ใครที่ติดค่าเช่าไว้เท่าไหร่ก็เคลียร์กับคุณนายเขาเองนะจ๊ะ”
เดือนแรมทำท่ารังเกียจ ราวกับไฮโซไม่คุ้นชินตลาดสด
“ตลาดฉัน ไม่ได้มาหน่อยเดียว สกปรกจริงๆ นี่ ทำไมกลิ่นแรงอย่างนี้นะ”
“นี่มันร้านปลาร้านะอีเดือนแรม” แม่ค้าบอก
น้อย แอนและเจี๊ยบเดินเล่นผ่านมาทางนี้พอดี เดือนแรมไม่พอใจหันไปต่อว่าแม่ค้า
“เอ๊ะเรียกฉันเพราะๆหน่อยไม่ได้หรือ คนอื่นเขาเรียกคุณนายกันทั้งนั้น”
“เรียกคุณนาย แล้วมึงให้กูขายฟรี ไม่เก็บค่าเช่าไหมล่ะ มึงให้ฟรีกูจะเรียก”
เดือนแรมโมโห
“เอ๊ะป้านี่”
“ฉันอยู่มาตั้งแต่รุ่นแม่แก ตอนแกเล็กๆ ยังเคยวิ่งเล่นชนไหปลาร้าแตกตัวเหม็นไปสามวันเจ็ดวัน ตอนนั้นไม่เห็นเดือดร้อน พอโตขึ้นมาเป็นผู้ดีเข้าหน่อย หนอยทำเป็นรังเกียจ”
น้อย แอน เจี๊ยบและพ่อค้าแม่ค้าหัวเราะกันสนุกสนาน
“อี๋...จริงหรือคะ”
ดีดี้ทำท่าเหม็น เดือนแรมโกรธจนหน้าเขียวหน้าเหลือง
“เอ๊ะ บ่นนิดหน่อย ทำไมป้าต้องมาด่าฉันด้วย”
เจี๊ยบหัวเราะลั่น
“ฮะฮะ เจอปากแม่ค้ารุ่นเดอะเข้าไปหน่อย คุณนายไปไม่ถูกเลยโว้ย”
“เมื่อกี๊เราเจอคุณนายตัวจริงเขาเดินตลาดอยู่ทางนั้น เขาไม่พูดไม่ว่าใครสักแอะ ยิ้มแย้มแจ่มใสบอกว่าตลาดคนไทยเนี่ยดีกว่าตลาดเมืองนอก” แอนพูดถึงรัมภา
น้อยมองเหยียดเดือนแรม
“นังแอนก็ ทองคำยังมีทองคำแท้ กับทองคำเปลว นับประสาอะไรกับคนเล่า”
เดือนแรมฉุนกึก
“มึงว่าใคร ไม่อยากอยู่แล้วใช่ไหมตลาดเนี้ย พรุ่งนี้เก็บข้าวของออกไปทั้งสองคนเลยนะ”
น้อยไม่กลัว
“ตลาดเถ้าแก่เส็งที่เปิดใหม่ ยังว่าง ค่าเช่าถูกกว่าอีก ย้ายก็ย้ายสิวะ”
“ดีงั้นก่อนย้าย ขอตบล้างน้ำหน่อยเถอะ”
เดือนแรมถลกกระโปรงพุ่งไปตบน้อย ไม่เหลือทีท่าไฮโซแม้แต่น้อยเวลาโกรธ โมโห หรือไม่มีใครเห็นจะออกลายชาวบ้านตามชาติกำเนิด
“โฮ้ยเรื่องแบบนี้ นายว่าขี้ข้าพลอยอยู่แล้ว...มา ดีดี้อะไรกูก็ไม่เป็นแล้วเป็นอีทองดีแบบเก่านี่แหล่ะ นี่แน่ะ นี่นี่”
ดีดี้ถีบแอน เจี๊ยบเลยเข้ามาช่วยกันตบดีดี้ น้อยตบกับเดือนแรม เอาข้าวของยีหัวกันเละเทะ พ่อค้าแม่ค้ามารุมเชียร์กันสนั่น สนุกสนานเหมือนเป็นเรื่องปกติ
“เอ้าเฮ้ยๆ สู้ๆ อย่ายอมแพ้ไฮโซกำมะลอโว้ย สู้ๆ” ชาวบ้านตะโกนเชียร์
รัมภา พัชนีและคำเดินมาถึง คำตะโกนอย่างตกใจ
“เฮ้ย...อะไรกันวะนั่น จะพังตลาดตัวเองหรือไงคุณนายเดือนเอ๊ย”
เดือนแรมเอะใจ หันมามองแล้วต้องสะดุ้ง
“คุณพี่รัมภา”
เดือนแรมปรับท่ากลับมาเป็นไฮโซทันที รีบเช็ดหัว เช็ดหน้าตัวเองออก

รัมภามองเดือนแรม หัวจรดเท้า นึกไม่ถึงว่า บางเวลาเธอจะเป็นชาวบ้านได้ขนาดนี้










Create Date : 13 เมษายน 2555
Last Update : 13 เมษายน 2555 0:42:40 น.
Counter : 351 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]