บ่วง ตอนที่ 6





รัมภาดึงลูกทั้งสองขึ้นมานั่งด้วยกันบนเตียง ทั้งหมดมองไปรอบๆที่ไฟดับ

“ไม่เป็นไรนะลูก แค่ไฟดับ มาๆ นั่งบนนี้ อย่าซนนะ เดี๋ยวหกล้มไป”
รัมภาสะดุ้ง หันขวับเพราะได้ยินเสียงสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของแพงคือเสียง โซ่ตรวนลากเข้ามา และเสียงกริ๊กๆ ไปตามลูกกรง ตามด้วยเสียงสวดภาษาเขมร รัมภาหน้าซีดเผือด กอดลูกกระชับ
“รัสตี้ ไลล่า ฟังแม่นะลูก หนูทั้งสองต้องอยู่กับแม่ เราจะจับมือกันอย่างนี้ห้ามปล่อย แม่พาไปทางไหนก็ต้องไป เข้าใจไหม”
“ทำไมหรือครับหม่ามี้ มีอะไรหรือครับ”
ไลล่ามองไปรอบๆ เริ่มกลัว
“หม่ามี้ มีอะไรหรือคะหม่ามี้”
เด็กแฝดมองไป ประตูห้องเปิดแอ๊ดออกช้าๆ ทั้งที่ไม่มีคนมา ควันดำลอยเข้ามา รัมภามองตาม ไลล่าตกใจ
“ใครเปิดประตู แด๊ดดี้หรือคะ ไม่มีใครนี่นา”
จู่ๆพรมที่พื้นก็ก่อร่างขึ้นเป็นเงาคน กำลังมุดมาตามพรม เสียงโซ่ตรวนมาตามทางกระทบพื้นไม้ รัมภาได้ยินคนเดียว รัสตี้เห็นพรมที่พื้นคนแรก
“แม่ ดูนั่น”
ของสิ่งนั้น ตรงเข้ามาบนเตียง มุดมาตามผ้าห่ม รัมภา ดึงลูก กระโดดลงจากเตียง
“วิ่ง...ไปเร็วลูก”
ทั้งหมดเผ่นออกไปจากห้องทันที

นอกเรือนเล็กบ้านยามกลางคืน…พระจันทร์มีหมอกบัง ลมพัดแรง ต้นไม้ไหวเอน ฝนใกล้ตก
รัมภากับลูกๆวิ่งมาที่ห้องโถงที่มืด และเงียบ มีเพียงแสงจันทร์สาดส่อง รัมภามองไปรอบๆมองดูว่ามีอะไรผิดปกติบ้าง เธอหาอุปกรณ์ต่างๆ ที่มีทีท่าว่าจะเป็นอาวุธได้ โคมไฟระย้า ไม้เบสบอลที่วางพาดอยู่ ไม้กอล์ฟด้ามเหล็ก รัมภาเห็นของเหล่านั้น มือกระชับลูกไว้ กลัวมันพุ่งมาหาลูก รัมภามองอยู่ครู่หนึ่ง ทั้งหมดดูเป็นปกติ
“หม่ามี้ เราจะไปไหนกันครับ” รัสตี้ถามอย่างตื่นกลัว
ไลล่ากลัวมาก
“หม่ามี้ ไลล่ากลัว”
เด็กแฝดเบียดชิดแม่ รัมภาหันขวับไปที่ มีดปอกผลไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะ ข้างจานผลไม้ ตอนนี้มีดเกิดสั่นกิ๊กๆ ขยับหมุนอยู่บนโต๊ะ ปลายมีดหันมาที่สามแม่ลูก รัมภาร้องทันที
“มีดนั่น !...หนีเร็วหนี ออกไปนอกบ้านออกไป”
รัมภาลากเด็กทั้งสองวิ่งออกไปนอกบ้าน

รัมภาพาลูกทั้งสองมาที่ขึ้นรถ รัสตี้สงสัย
“หม่ามี้ เราจะไปไหนครับ เราจะไปไหน”
“เราอยู่บ้านนี้ไม่ได้แล้วลูก แม่จะพาลูกไปนอนโรงแรม ไปเร็วลูกขึ้นรถ”
รัมภาสตาร์ทรถแต่ไม่ติด
“รถสตาร์ทไม่ติด บ้าจริง”
รัมภาสตาร์ทรถเท่าไหร่ก็ไม่ติด มองกระจกมองหลัง เห็นเงาของแพงนั่งในรถเบาะหลัง ข้างเด็กแฝด แพงยิ้มให้ หึๆ...รัมภาตกใจมาก ส่งเสียงแทบกรี๊ด รีบลงจากรถมาดึงลูกทั้งสอง
“ไม่...ลูก...ลงมาจากรถ ลงมาเร็ว”
รัมภาพาลูกออกวิ่งไป...ทั้งหมดวิ่งออกมาที่สวนจะวิ่งไปที่สะพาน ลมกรูเกรียว ฝนตกลงมาพอดี ไลล่าตะโกนบอก
“หม่ามี้ ฝนตกแล้ว”
“ไปลูก ไปที่ถนนใหญ่ ไปทางเรือนใหญ่”
ทั้งหมดวิ่งออกไปท่ามกลางสายฝนจะมุ่งไปเรือนใหญ่ เพื่อออกถนนใหญ่ฝั่งเรือนใหญ่ ทางออกด้านเรือนเล็กเป็นถนนที่เล็กกว่า รัมภากลัวไม่มีแท็กซี่ คำกับหล้าวิ่งมาจากเรือนคนใช้ เห็นพวกของรัมภาวิ่งไป ก็งง
“คุณผู้หญิง จะไปไหนครับ คุณผู้หญิง”
หล้าตัดสินใจวิ่งเข้าบ้าน เพราะจะไปหลบฝน และจะไปช่วยจัดการเรื่องไฟฟ้า

ศามนกำลังส่องไฟฉายให้บุญสืบ ที่วุ่นวายอยู่กับการใส่ฟิวส์ที่ตู้ไฟ เสียงครืนๆ ฝนตก ฟ้าแลบดังเข้ามา
“ฝนตกลงมาแล้ว เสร็จหรือยัง”
“เสร็จแล้วครับ แต่ไฟยังไม่ติดเลยครับ”
“หรือจะเป็นที่หม้อแปลง”
ทั้งสองออกไปจุดอื่น เพราะไฟยังไม่ติดเลย...ศามนกับบุญสืบเดินเข้ามาเจอหล้าที่เข้ามาพร้อมสมุดจดเบอร์โทรศัพท์ เล็กๆ
“นี่เบอร์โทรไฟฟ้าใช่ไหม ไอ้สืบดูหน่อย โทรแจ้งเขาสิ”
บุญสืบส่องไฟดูสมุดของหล้า
“โฮ้ย นี่มันเบอร์พวกที่เล่นแชร์ จะมาเก็บแชร์อะไรตอนนี้ โฮ้ย...เดี๋ยวๆผมเก็บไว้ในลิ้นชัก เดี๋ยวๆ หาก่อน”
บุญสืบเดินไปค้นลิ้นชักแถวนั้น
“คุณผู้หญิงกับคุณหนู...” หล้าจะบอกแต่ลืม“เอ๊ะ เราจะพูดอะไรวะ”
“ตาหล้า...คุณผู้หญิงกับคุณหนูทำไม”
หล้า ลืมไปแล้วว่าจะบอกอะไร
“คุณผู้หญิงกับคุณหนู เอ้อ...”
บุญสืบมองหน้าพ่อ
“ว่าไงพ่อ คุณผู้หญิงไปไหนหา”
หล้าคิดไม่ออกสักที บุญสืบเซ็ง ยกมือไหว้ขอโทษที แล้วตบหลังพ่อ ดังป้าบ เหมือนจะให้อะไรบางอย่างระเบิดพรวดออกมาจากคอ และแล้วก็สำเร็จ หล้าพรวดออกมาจริงๆ
“อ๋อ คุณผู้หญิงพาคุณหนูทั้งสองคนวิ่งออกไปจากบ้าน ไปทางถนนใหญ่ครับ”
ศามนตกใจ งุนงง เพราะนึกมาตลอดว่ารัมภาและเด็กอยู่ข้างบนบ้าน
“รัมภา”
ศามนวิ่งออกไป บุญสืบยัดกระดาษ ที่ค้นเจอให้
“พ่อ...นี่เบอร์การไฟฟ้า โทรแจ้งเขานะ ฉันจะไปช่วยคุณผู้ชาย”
บุญสืบตามไปอีกคน

รัมภาพาลูกทั้งสองวิ่งมาท่ามกลางสายฝนมาหยุดที่สะพาน เด็กทั้งสองไม่ค่อยอยากไปต่อ
“ฮือ ไลล่า เปียกหมดแล้ว หม่ามี้”
“อดทนหน่อย ออกไปที่ถนนไปลูก ไปหาแท็กซี่กัน เดินหน่อยนะลูก”
รัมภารุนหลังลูกให้เดินต่อ ฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาทีหนึ่ง ไลล่ากรี๊ด
“อ๊าย ไลล่ากลัว”
ไลล่านั่งลงกลางสะพาน ไม่ยอมขยับ รัมภาดึง
“ไลล่า ลุกขึ้น เราต้องไปจากบ้านนี้นะ ลุกเร็ว”
“ไม่...ฮือ ไลล่ากลัว ไม่ไม่”
ไลล่านั่งลงปิดหู ร้องไห้ รัมภามองไปที่พื้นน้ำ ใต้สะพาน เงาของแพงปรากฏขึ้นที่สายน้ำจากลึกๆ ลอยสูงขึ้นมาจรดผิวน้ำ หน้าซีดๆของแพงใต้สายน้ำดูน่ากลัว
“อย่ามาทำลูกฉันนะ ไป๊... ไป๊ มาเร็วลูก ไปกับแม่ ไปเร็วเข้า”
รัมภาตกใจรีบอุ้มไลล่า ลากรัสตี้ไปจากสะพาน

รัมภาพารัสตี้และไลล่า เดินผ่านสวนไป ฝนยังตก ฟ้าแลบแปลบปลาบ คุณหญิงอบเชยยืนอยู่ กวักมือเรียก แต่ไม่มีใครได้ยิน
“อย่าไป แม่ชื่น อย่าไป !”
ศามนวิ่งมาตามทาง บุญสืบตามมาห่าง กำลังข้ามสะพานมา ศามนตะโกนเรียก
“รัมภา รัสตี้ ไลล่า”
รัมภา พารัสตี้กับไลล่าเดินผ่านสวนมาถึงถนนใหญ่ ยามค่ำคืนที่เงียบสงบไม่มีรถ รัมภามองซ้ายมองขวา ฝั่งนี้ไม่มีรถมาเลย เธอคิดว่าหากข้ามถนนไป จะหาแท็กซี่ ที่วิ่งเข้าเมืองง่ายกว่า
“ข้ามไปฝั่งโน้น ไปเรียกแท็กซี่ฝั่งโน้น”
รัมภาจูงลูกทั้งสองข้ามถนน แต่พอมาถึงกลางถนน ฟ้าเกิดผ่าเปรี้ยงใหญ่ลงมาที่ต้นไม้แถวนั้น ไลล่าร้องกรี๊ด
“ฮือ...ไม่ไป...ไม่ไป”
ไลล่าสะบัดจากรัมภา วิ่งกลับไป รัมภาตกใจวิ่งตาม
“ไลล่า จะไปไหนลูก”
เหลือเพียงรัสตี้คนเดียวที่ยืนงงอยู่กลางถนน...รัมภาไล่ตามไลล่าที่ร้องกรี๊ดวิ่งกลับไปทางเดิมเพราะจะหนีกลับบ้าน ลืมรัสตี้ไปสนิท ไฟจากรถบรรทุกคันหนึ่งวิ่งตรงเข้ามา รัสตี้งง ทำอะไรไม่ถูก ยืนตะโกนเรียก
“หม่ามี้ หม่ามี้”
รัมภายังไล่กวดไลล่าอยู่ ไม่รู้เรื่อง ศามนกับบุญส่งวิ่งเข้ามาใกล้เห็นรัสตี้ยืนคนเดียวกลางถนน มีรถบรรทุกพุ่งตรงมา บุญสืบร้องกรี๊ด เสียวไส้ รัสตี้ยืนร้องไห้ทำอะไรไม่ถูก
“หม่ามี้”
รัสตี้ก้มหน้าลงนั่ง ไม่ลุกไปจากถนน รัมภาเพิ่งรู้ตัวหันไปมองรัสตี้ ร้องกรี๊ดอีกคน
“รัสตี้”
ศามนวิ่งตรงไปหารัสตี้ แต่ทุกคนอยู่ห่างจากรัสตี้มาก วิ่งยังไงก็ไปไม่ทัน
“รัสตี้ หลบไป หลบไป”
คนขับรถบรรทุก เพิ่งเห็นเด็ก เพราะถนนมืด รีบหักหลบ
“เฮ้ยๆ”
รถบรรทุก แถลงจากถนนเข้าไปชนต้นไม้ข้างทางเปรี้ยง...แล้วหยุดลง มีควันขึ้นจากหน้ารถ รัสตี้เงยหน้าขึ้นมองทุกอย่างงุนงง ศามนพุ่งเข้ามาอุ้มลูกชายไว้
“รัสตี้...รัสตี้ลูกพ่อ”
รัมภาวิ่งมาถึงกับบุญสืบยืนงงๆ รัมภามองรถบรรทุกช็อกเอามือจับปาก เพิ่งรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป ศามนมองรัมภา โกรธจัด

เมื่อไฟฟ้าติดแล้ว ศามนนั่งเคลียร์กับรถบรรทุกกับเจ้าหน้าที่ประกัน คุยกันเรื่องรถที่ชนต้นไม้ ได้รับความเสียหายเล็กน้อย รัสตี้กับไลล่า อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมาแล้ว หัวเปียกอยู่ บุญสืบกับคำ ดูแลเช็ดผมให้
“ไม่มีอะไรแล้วนะคุณหนู ไม่มีอะไรแล้ว”
รัมภาเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ยืนมองลูกท่าทางยังเครียด เลยเดินออกมาจากห้อง...รัมภาเดินมาเจอศามนที่ยืนเครียดอยู่
“รถบรรทุกเขามีประกัน ผมเคลียร์กับเขาแล้ว กลับไปหมดแล้ว”
รัมภารู้สึกผิด พยายามอธิบาย
“ผี...มีผีในบ้านนี้ ผีจะทำร้ายลูกเรา ฉันเลยจะพาเขาไปอยู่ที่อื่น แต่ทีนี้รถสตาร์ทไม่ติด”
ศามนยิ่งโกรธ ฟังดูเป็นคำอธิบายที่ไม่ได้เรื่องเลย
“ผีเนี่ยนะ”
“ผี...ผู้หญิง ฉันเห็นผีตัวนั้นแล้ว เขาจะฆ่าลูกเรา ผีตัวนั้นจะฆ่าลูกเรา”
รัมภาสติแตกเข้าไปเขย่าตัวศามนตะโกนใส่หน้า
“คุณต้องเชื่อฉันนะคุณมน มีผีที่เรือนเล็กจริงๆ ฉันรู้ เขาโกรธเกลียดฉันและลูก เขาจะฆ่าลูกเราเชื่อฉันนะ เชื่อฉัน”
ศามนขาดสติ ตบหน้ารัมภาเปรี้ยง เดือนแรมเข้ามาเห็นพอดี ตกใจชะงักกึกแล้วยิ้มสะใจ ทุกอย่างอยู่ในความเงียบสงัด ศามนกับรัมภามองหน้ากันนิ่ง ช็อก เป็นการลงมือลงไม้ครั้งแรกของเขา
“คุณมน !”
ศามนกราดเกรี้ยว โวยรัมภาดังลั่น
“คราวที่แล้ว คุณตีหัวผม คราวนี้ ลูกของเรา...คุณทำครั้งนี้เกินไปแล้ว ลูกเราเกือบจะตายเพราะคุณ คุณรู้ตัวไหม รัมภา”
“ตายแล้ว นี่มันอะไรกันคะ ค่อยพูดค่อยจากันก็ได้”
เดือนแรมเข้าไปจับตัวรัมภา แกล้งทำเป็นเห็นใจ ศามนยังโกรธเกรี้ยว
“ไอ้ยานอนหลับบ้าๆนั่น ทำคุณประสาทหลอน รู้ตัวไหม ผีที่ไหนไม่มีทั้งนั้นมีแต่คุณนี่ล่ะที่ทำร้ายลูก รัมภา คุณทำแบบนั้นได้ยังไง ฝนตกอย่างนั้น พาลูกออกไปยืนกลางถนนได้ยังไงหา”
รัมภาอึ้งไป นั่งลง น้ำตาริน นั่งร้องไห้
“พอแล้วค่ะคุณมน พอแล้ว มานั่งตรงนี้ก่อนค่ะ ไม่มีอะไรแล้วนะคะ เด็กแฝดไม่เป็นไรแล้ว นั่งก่อนค่ะ นั่งก่อน”
เดือนแรมเข้าไปดึงศามน ออกไปนั่งห่างๆ ศามน ยอมหยุด กุมหัวเครียด เดือนแรมแอบยิ้มสะใจ

เช้าวันใหม่...บรรยากาศชายทะเลยามเช้าสวยงาม นักท่องเที่ยวหญิงคนหนึ่งนั่งเล่นอยู่ริมทะเลในชุดว่ายน้ำ ห่างออกมา อนุกูลนั่งที่เก้าอี้ผ้าใบ ใส่แว่นตาดำ แกล้งทำหลับ แต่จริงๆ มองสาวสวยคนนี้เพลินอยู่ พัชนีอยู่ในชุดคล้ายสาวออฟฟิศ มิดชิดเดินมายืนบัง อนุกุลโวยวาย
“โฮ้ย จะมายืนขวางทำไม วิวสวยๆเสียหมด...” อนุกูลมองหัวจรดเท้า “แล้วดู
มาทะเลนะไม่ได้ขึ้นดอย ฮึ่ย...แต่งตัวไม่เข้าพวก”
“โทรศัพท์ค่ะ”
พัชนีทำท่าเบื่อๆ ค้อนๆ ยื่นให้
“ใครอ่ะ”
“มีเรื่องที่บ้านคุณศามน คุณรัมภาอยากคุยกับคุณ”
อนุกูลรีบลุกขึ้นนั่ง รับโทร ทันที ซีเรียส
“ฮัลโหล...ว่าไงครับคุณภา”

รัมภาเดินมาหาศามนทั้งสองดูใจเย็นลงแล้ว
“ฉันโทรบอกคุณนุแล้ว ฉันอยากไปสงบสติอารมณ์ที่หัวหิน คุณนุ คุณวรรณ กับคุณพัช อยู่ที่นั่นกันหมด ฉันอยากไปจอยกับเขา
“ผมไปด้วยไม่ได้ นายใหญ่มาประชุมที่กรุงเทพ”
“ไม่เป็นไรค่ะ เราห่างกันสองสามวัน ก็ดีเหมือนกัน”
รัมภาจะเดินออกไป ศามนเข้าไปดัก มีทีท่างอนง้ออยู่
“นี่คุณโกรธผมหรือ ผมขอโทษ”
“ปกติ เวลามีเรื่อง ฉันเป็นคนตีลูก คุณไม่เคยตีลูกด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่ฉันเลย...หมู่นี้คุณเป็นอะไรไป”
ศามนจับมือรัมภา รู้สึกผิดมาก
“ขอโทษ ผมเครียดมาก นอนไม่หลับทั้งคืน ภาพที่รถพุ่งเข้ามาหารัสตี้ยังติดตาผมอยู่เลย”
“ฉันก็นอนไม่หลับเหมือนกัน ตั้งแต่แต่งงานกันมา เราเชื่อใจกันมาตลอด เราผ่านปัญหาต่างๆมาด้วยกันเพราะเราเชื่อกัน แต่ตอนนี้คุณไม่เชื่อคำพูดของภาอีกแล้ว”
ศามนโมโหขึ้นมาอีก
“ไม่มีใครในโลกเชื่อคุณหรอก เพราะผีในโลกนี้ไม่มีจริง”
รัมภาเป็นฝ่ายง้องอนบ้าง
“ภาไม่อยากอยู่ที่เรือนเล็ก กลับไปอยู่เรือนใหญ่นะคะ ภาเชื่อว่า จะไม่มีปัญหาอะไรอีก เพราะที่เรือนใหญ่ วิญญาณคุณทวดจะคุ้มครองเรา”
“มีวิญญาณที่เรือนเล็ก ตอนนี้มีวิญญาณคุณทวดที่เรือนใหญ่ด้วยเนี่ยนะ คุณต่างหากที่เปลี่ยนไป...รัมภา”
“คุณมน !”
“คุณไปพักที่หัวหินเถอะ เราสองคนจะได้มีเวลาคิดเรื่องนี้อีกหน่อย กลับมาค่อยคุยกัน”
ทั้งสองมองหน้ากัน อย่างไม่มีใครยอมใคร

รัสตี้กับไลล่าเล่นกันอยู่ รัมภาและศามนเดินมาหา
“รัสตี้ ไลล่า ไปเก็บของลูก เราจะไปเที่ยวทะเลกัน”
รัสตี้ดีใจ
“ไปทะเลไปกันหมดเลยใช่ไหมครับ”
“แด๊ดดี้ต้องอยู่ทำงาน เราจะไปกันสามคน”
ไลล่าผิดหวัง
“ทำไมล่ะค้า”
“เด็กๆอยู่ที่นี่เถอะ อยู่กับพ่อ ไม่ต้องไป”
รัมภาหันไปโวยศามน
“ฉันไม่ยอมทิ้งลูกไว้ที่บ้านนี้เด็ดขาด”
“ผมไม่อยากให้คุณดูแลลูกในเวลาที่ไม่พร้อม”
รัมภาไม่พอใจ
“ผู้หญิงทุกคน พร้อมเป็นแม่มาตั้งแต่เกิด...คุณรักบ้านนี้นัก อยากอยู่ก็อยู่ไปคนเดียว แต่ฉันจะไม่มีทางทิ้งลูกไว้ในที่อันตรายแบบนี้อีก”
“คุณภา ตั้งแต่เด็กๆอยู่ที่นี่ เขาไม่เคยป่วยอีกเลย มีแต่คุณที่ป่วย ที่นี่คือบ้าน ไม่ใช่สถานที่อันตราย”
“วนกลับมาเรื่องนี้อีกแล้ว เราคุยกันไม่รู้เรื่องหรอก เด็กๆตามแม่มา เราจะไปเก็บของ”
“ไม่ลูก ไม่ต้องเก็บ มานี่ ไปเล่นที่สวนกับพ่อ”
ศามนดึงเด็กๆออกไปจากบ้าน รัมภายืนงง เดือนแรมแอบฟังอยู่มุมหนึ่ง สะใจที่เขาขัดแย้งกัน...คุณหญิงอบเชยมองมาทางเรือนเล็กอย่างกังวล
“เอาลูกไปด้วย เอาลูกไปด้วย อย่ายอมคุณหลวง เอาลูกไปด้วย”

ศามนจูงลูกๆทั้งสองมานั่งลงในสวน เด็กๆพากันเศร้าๆ
“อยู่กับพ่อนะลูก อยู่บ้านของเรา”
“โธ่น่าสงสาร น้าเดือนจะดูแลหนูเองนะคะ”
ศามนมองหน้าเดือนแรมที่จู่ๆโผล่มา เดือนแรมยิ้มให้อย่างปลอบประโลม เข้าไปกอดเด็กแฝดเอาหน้า ไลล่าหันไปถามพ่อ
“ให้หม่ามี้ไปคนเดียวหรือคะ”
“หม่ามี้กำลังเครียด พ่ออยากให้หม่ามี้ได้พักผ่อน ถ้าหนูสองคนอยู่กับหม่ามี้ หม่ามี้ก็ต้องคอยห่วงหนู ไม่ได้พัก พอเข้าใจไหมลูก”
เดือนแรมรีบเสริม
“จำเรื่องเมื่อคืนได้ไหม ฝนตกฟ้าร้องอย่างนั้นหม่ามี้พาหนูออกไปจนเกือบจะโดนรถชน น่ากลัวจะตายไป”
เด็กทั้งสองพยักหน้าว่าจริง รัสตี้ยังกลัวไม่หาย
“รถวิ่งมาหารัสตี้ รัสตี้กลัวจนขาสั่นวิ่งไม่ออกเลยครับ”
“นั่นไงล่ะ”
“เสียงฟ้าผ่า ไลล่ากลัว”
เดือนแรมยุต่อ
“ใช่ ใช่...เมื่อคืนแค่ไฟดับ หม่ามี้หนูคิดมากไปเองเราอยู่กับคนคิดไปเองไม่ได้นะลูก ให้หม่ามี้เขาไปเถอะ”
รัมภาเดินออกมา คำ หล้า และบุญสืบ หิ้วกระเป๋าเดินทางและสัมภาระตามมา
“แม่เก็บของมาให้หนูแล้ว ไปกับแม่เถอะนะ แม่อยู่ไม่ได้ ถ้าไม่มีหนูทั้งสองคน”
“ภา ผมขอร้องล่ะ แค่สามวันเท่านั้น ผมจะดูแลลูกให้เอง”
“ไม่...ชีวิตและจิตใจของฉัน ทุกๆนาที ทุกๆวินาที ฉันไม่ได้อยู่เพื่อตัวเอง ฉันอยู่เพื่อปกป้องลูกเท่านั้น ฉันจะไม่ทิ้งลูกไปเด็ดขาด”
“ที่บ้านนี้ มีทั้งคุณมน มีทั้งพวกบุญสืบ คุณพี่จะห่วงอะไรค้า...” เดือนแรมเสียงเบาลง เยาะๆ “น่าจะห่วงตัวเองมากกว่า”
รัมภาเดินไปดึงมือเด็กแฝดมาคุยกัน
“แม่รู้ หลายวันนี้ แม่ทำให้หนูกลัว หลายอย่าง แม่อธิบายไม่ได้ แต่ขอให้เชื่อแม่...ขอให้เชื่อใจแม่ เชื่อใจแม่ได้ไหมลูก”
ไลล่าลังเล
“เอาไงดีล่ะรัสตี้”
“ให้แม่ได้พัก อยู่กับพ่อเถอะ”
ศามนเดินไปดึงลูกทั้งสองกลับมา แล้วจับมือไว้ไม่ปล่อยทั้งสองคน รัมภาเริ่มน้ำตาคลอ ศามนหันไปบอกพวกบุญสืบ
“เอาของคุณภาไปเก็บที่รถ ของเด็ก เอาขึ้นไปไว้บนห้อง”
บุญสืบและคำละล้าละลัง รัมภาร้องไห้ออกมา
“ในโลกนี้ไม่มีใครเชื่อแม่ แม่ไม่ว่า แต่ต้องไม่ใช่ลูก ลูกจ๋า แม่ไม่ได้เป็นอะไร ถ้าดวงใจของแม่ ไม่ได้ไปด้วย แม่คงอยู่ไม่ได้”
ไลล่าคิดเล็กน้อย ในที่สุดก็ร้องเพลงกล่อมเด็ก ท่อนหนึ่งออกมา ทุกคนงุนงงตกใจกันหมด
“ไลล่า...ร้องเพลงอะไรลูก”
“หม่ามี้กล่อมไลล่าทุกคืน ไลล่าจำเนื้อเพลงได้แค่นี้ ไลล่าจะกล่อมตัวเองได้ยังไง ไลล่านอนไม่ได้ ถ้าไม่มีหม่ามี้”
ไลล่าสะบัดมือจากศามน วิ่งไปหาแม่ รัมภากอดลูก ดีใจจนน้ำตาไหลออกมา
“ไปกับแม่...ไลล่าจะไปกับแม่ใช่ไหม”
รัมภากอดจูบลูก บุญสืบกับคำน้ำตาคลอที่ได้เห็นภาพนั้น ไลล่าหันมาเรียก
“รัสตี้ ไปกับหม่ามี้นะ ไปด้วยกัน”
รัสตี้คิดหนักมองหน้าพ่อ ศามนขอร้อง
“รัสตี้ ไม่...อย่าไป”
“ผมจะไปดูแลน้อง ไปดูแลหม่ามี้ แทนแด๊ดดี้นะครับ ผมขอโทษ”
รัสตี้แกะมือศามนออกจากมือตน แล้วเดินไป รัมภากอดลูกดีใจ ร้องไห้
“ขอบคุณมากลูก ขอบคุณ”
ทั้งสามแม่ลูก มองศามน อำลา เดินไปขึ้นรถ คำกับบุญสืบ พูดกันเบาๆ ระหว่างเดินไป
“คุณหนู ทูนหัวของยายคำ น่ารักเหลือเกิน”
คำซับน้ำตา บุญสืบค้อนศามน
“งานเงินอะไรนักหนาวะ ทำไมไม่ตามไปนะ”
ศามนเศร้าเซ็ง เดือนแรมยิ้มสะใจมองศามน

แพงยิ้มยกมือราวกับร่ายรำตามประสาคนบ้า มองไปรอบๆบ้านของตนเองอยู่ในบ้านคนเดียว มีความสุข ครอบครองบ้าน
“ฮะฮะฮ่า ฮะฮะฮ่า ในที่สุด เรือนหลังเล็กก็จะมีแต่อีแพงกับคุณหลวง ฮะฮะฮ่า ฮะฮะฮ่า!”
บ้านพักริมทะเลเป็นบ้านโบราณ ซึ่งกล้าสร้างไว้ในอดีต ปัจจุบันถูกตกแต่งใหม่ รัมภาขับรถมาถึง อนุกูล พัชนี วรรณศิกาเดินมาต้อนรับ เด็กๆลงจากรถ
“ยินดีต้อนรับคร้าบ...”
รัมภามองบ้านอย่างชื่นชม
“บ้านน่ารักจังเลยค่ะ”
“คุณปู่ทวดสร้างไว้ให้น่ะครับ ท่านเป็นทหาร ต้องเข้าไปทำงานที่พระตำหนัก เลยสร้างบ้านไว้ คุณจะอยู่กี่วันก็ได้ ผมยินดี”
พัชนีเดินไปหาเด็กทั้งสอง พาเดินออกไปที่ทะเล
“เอาชุดว่ายน้ำมาไหมคะ ทะเลอยู่ตรงนั้น ไปเดินเล่นกับน้านะคะ”
พัชนีพาเด็กเดินไป วรรณศิกาหันมาคุยกับรัมภา
“เรื่องของคุณภา น่าตกใจจริงๆ คุณเชื่อจริงๆหรือคะว่ามีผี”
อนุกูลเหยียบเท้า วรรณศิกาสะดุ้งโหยง
“โอ๊ย...เท้าคุณใหญ่กว่าหน้าฉันอีก เหยียบเข้ามาได้”
“ผมช่วยขนของ เข้าไปพักเหนื่อยกันครับ เรื่องที่กรุงเทพก็ทิ้งเอาไว้ที่นั่น เราจะไม่พูดเรื่องนี้กันที่นี่” อนุกูลหันมาดุวรรณศิกา “เข้าใจไหม”
สามคนช่วยกันขนของเข้าบ้าน

ดีดี้หิ้วอาหารสด ผักผลไม้ หลายถุงเข้ามา พวกของบุญสืบออกมาดู
“ขนอะไรกันมาวะเยอะแยะ เอ๊า...คุณนาย”
เดือนแรมเดินตามมาด้วย
“ฉันออกไปซื้อของที่ตลาด คุณพี่รัมภาไม่อยู่ คุณพี่ศามนไม่มีใครดูแล ฉันจะมาดูแลเอง”
คำไม่พอใจ
“ใครบอกไม่มีคนดูแล พวกข้ายังอยู่เต็มบ้าน”
“ยายคำ ฉันเป็นเพื่อนเจ้านายนะ ไม่ใช่เด็กที่วิ่งเล่นอยู่แถวนี้เหมือนเมื่อก่อน ถ้าขืนขึ้นเสียง เรียกข้าเรียกแกอีก ฉันจะฟ้องคุณศามนให้เอาเรื่อง”
คำค้อน ศามนเดินมาในชุดทำงาน มีสูทพาดที่แขน มีกระเป๋าเอกสาร เดือนแรมดิ่งเข้าไปหา
“คุณพี่ขา เย็นนี้ทานแกงส้มกันไหมคะ เดือนจะทำให้เอง”
“ผมมีประชุมที่โรงแรมในเมือง คงต้องอยู่จนดึก คงไม่ได้ทานข้าวเย็น”
คำ หล้า บุญสืบยืนเรียงหน้ากระดาน แกล้งทำเสียง พร้อมกัน
“ป่อยย !”
สามคนหัวเราะสะใจ เดือนแรมค้อนก่อนจะหันมาอ้อนศามน
“งั้นเดือนขอติดรถเข้าเมืองด้วยได้ไหมคะ”
“ผมให้รถที่บริษัทเขามารับ จะไปรับเจ้านายที่สนามบินด้วย ไม่สะดวกน่ะครับ”
สามคนพูดพร้อมกันอีก
“ป่อยย สอง !”
ศามนยิ้มให้เดือนแรม
“ไปก่อนนะครับ”
สามคนหัวเราะสะใจ รุมกันเยาะเดือนแรม หล้าถอนหายใจเสียงดัง
“เฮ้อ...สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม !”

รัสตี้กับไลล่าเล่นสนุกอยู่ที่ชายหาด พัชนีเดินเข้ามาหา รัมภา อนุกูลและวรรณศิกา เดินมาสมทบ
“สนุกกันใหญ่เลย” พัชนีบอก
วรรณศิกาถอนใจเบาๆ
“เด็กหนอเด็ก แค่ได้เล่นสนุกก็ลืมทุกอย่างแล้ว”
อนุกูลหันไปถามรัมภา
“ตอนเย็น ทำอะไรดีครับ คุณภาอยากทำอะไร เราตามใจคุณภาหมดเลย ที่นี่มีห้าง มีผับ มีที่ฟังดนตรี...”
รัมภาตัดบท ก่อนที่อนุกูลจะสาธยายยืดยาวไปกว่านั้น
“ฉันอยากไปทำบุญที่วัดค่ะ”
รัมพามองไปที่พัชนี อนุกูลเซ็งเลย
“โอ...อมิตตาพุทธ !”
“พาพี่ไปหน่อยได้ไหมคะคุณพัช วัดแถวนี้ก็ได้ หลังจากวันนั้น พี่ยังไม่ได้
ไปทำบุญอีกเลย”
อนุกูลรีบขัด
“โฮ้ย...ยายพัชไม่ใช่คนแถวนี้ไม่รู้จักวัดหรอกครับ”
“เอ้อ ก็พอรู้จักค่ะ” พัชนีพูดเรียบนิ่ง
อนุกูลจ๋อย ไม่อยากไปวัด รัมภายิ้มพอใจ
“พี่ห่วงคุณมนที่ต้องอยู่บ้านนั้นคนเดียว อยากขอให้คุณยายทวด ช่วยดูแลคุณมนน่ะจ้ะ”
พัชมองอนุกูลเกรงใจ ยิ้มแห้งๆ

ทั้งหมดเดินเล่นเข้ามาในวัดอันร่มรื่น รัมภารู้สึกสดชื่นขึ้นมาบ้าง
“ร่มรื่น สะอาดสอ้าน คุณพัชนี่เก่งนะคะ หาวัดดีๆให้ทั้งนั้นเลย”
“พ่อแม่พัชตายเพราะอุบัติเหตุ พัชอยู่กับลุงช่วงตั้งแต่อายุสิบกว่าขวบ คุณลุงท่านเป็นคนธรรมมะธรรมโม พัชตามคุณลุง ขึ้นเหนือล่องใต้ ไปวัดนั้นวัดนี้ ก็เลยรู้เยอะค่ะ”
“แล้วทำไมไม่เป็นสัปปะเหร่อล่ะ เป็นเลขาทำไม”
พัชนีงอนๆอนุกูลที่พูดจาถากถางเธอ
“สังโวหาเรนะ โสจัยยัง เวทิตัพพัง”
อนุกูลมองหน้า
“หนอย สวดแช่งฉันอีกแล้วใช่ไหม”
“พุทธภาษิต แปลว่า ความเป็นผู้สะอาด พึงทราบได้ด้วยถ้อยคำสำนวน” พัชนีอธิบาย
อนุกูลทำปากโอ้โห วรรณศิกาขำคิกๆ
“สุดยอด” วรรณศิกาตบมือหัวเราะชอบใจ “ตอนนี้นอกเวลางาน...ลุยเลยหนู”
“เดี๋ยวเถอะ ยายแม่ชี สามวันนี้ อยู่ด้วยกัน บ้านเดียวกัน เดี๋ยวจะมอมเหล้าแล้วปล้ำ” อนุกูลขู่
พัชนีตกใจกลัว วรรณศิกาปรามเสียงดุ
“คุณนุ”
อนุกูลยอมแก้ให้ เปลี่ยนคำเล็กน้อย
“แล้วปั๊ด...จับกดน้ำให้เข็ด ไปเด็กๆ ตามอามา ไปให้อาหารปลาทางโน้นดีกว่า เขาว่าอาสกปรก เดี๋ยวไปเลอะในโบสถ์ ชิ !”
อนุกูลลากเด็กๆไปเที่ยวเล่นอีกทาง

เดือนแรมเดินไปเดินมาครุ่นคิด ดีดี้นั่งเล่นกินขนมอ่านหนังสือละคร
“คุณมนกลับดึก กลับกี่โมงก็ไม่รู้ จะทำไงดีนะ จะทำไงดี เอ็งมีความคิดอะไรมั่งไหม นังทองดี เอ๊ย...แม่ดีดี้”
“ถ้าเป็นนางอิจฉาในละคร เขาจะอ้างเรื่องงานอะไรสักอย่าง แล้วไปรอพระเอกที่บ้านคืนนี้”
เดือนแรมคิดๆ
“คิดบัญชีทั้งคืน นอนไม่หลับแบบนี้ดีไหม”
ดีดี้พยักหน้าว่าเยี่ยมๆ
“อยู่ด้วยกันทั้งคืนสองต่อสอง ผู้ชายแท้ๆ ไม่ใช่เก้งไม่ใช่กวาง ใคร้มันจะไปทนได้”
เดือนแรมกับดีดี้ หัวเราะกันสนุก

รัมภา วรรณศิกา และพัชนีถวายชุดสังฆทานให้พระสงฆ์
“ดิฉันจะมาทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้บรรพบุรุษค่ะ!”
รัมภาถวายสังฆทานและกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไปให้คุณหญิงอบเชย
คุณหญิงอบเชยนั่งอยู่ที่เฉลียง ลมพัดกรูเกรียวเข้ามา เธอได้รับบุญกุศลนั้นสีหน้าแช่มชื่นมีความสุข
“ลูกชื่นกลิ่นของแม่ หนูทำบุญให้แม่งั้นหรือ ดีล่ะ”
คุณหญิงลุกขึ้น มีกำลังวังชาขึ้นมาทันที

เดือนแรมกับดีดี้ช่วยกันหาเอกสารตามมุมนั้นมุมนี้
“เอ้า...หาเอกสารเข้า รายรับรายจ่ายของเดือนนี้เอาออกมา ข้าจะเอาไปให้คุณศามนช่วยกันคิดเลขคืนนี้”
“คิดซ้าย คิดขวา คิดหน้าคิดหลัง คิดแล้วคิดอีก คิดกันจนเหนื่อยหอบเฮือกๆ” ดีดี้ทำเสียงหายใจหอบ “ทั้งคืน”
สองสาวพูดสองแง่สองง่ามไม่อายปาก ออกท่าทางครึกครื้น
“ฮิฮิ อีบ้า...แต่ชอบว่ะ ถูกใจ...หอบเฮือกๆ...ว้ายชอบ...”
ทั้งสองหัวเราะกันใหญ่ ทันใดนั้นเสียงอ่อนแรงป่วยไข้ของเพ็ญ เรียกดังมาจากในห้อง
“อีเดือน อีเดือน อีเดือน...”
เดือนแรมชะงัก
“เสียงยายทวด ฮึ่ย...เสียอารมณ์จริง!”
เดือนแรมและดีดี้ออกไปดูเพ็ญที่นอนป่วยไม่มีแรงเกือบอัมพาต อยู่บนเตียง ละเมอ เพ้อๆ
“อะไรอ่ะยายทวด เรียกทำไม”
“ฉันเอาข้าวเย็นให้แล้วนะ คุณนายก็เห็น จะมาทำหลงลืม ฟ้องคุณนายไม่ได้นะยาย ฉันไม่ยอมจริงๆด้วย”
เพ็ญเพ้อขึ้น
“ทอง...ทองของกู เอาทองกูไปไหน”
เดือนแรมส่ายหน้าเบื่อๆ
“งกสมบัติขึ้นมาล่ะสิ นังทองดี ไปเอากล่องใส่ทองมาให้ยายทวดดูหน่อยซิ”
“เอ๊า...ก็พี่เอ๊ยคุณนายขายกินหมดแล้วไม่ใช่หรือ”
เดือนแรมทำปากจุ๊ๆให้เบาๆหน่อย
“ข้าเอาทองชุบมาใส่ไว้ คืนเขาแล้ว อยู่โน่นน่ะ”
“อ๋อ อ๋อ”
ดีดี้เดินไปเปิดลิ้นชัก เอากล่องใส่ทองมาวางบนโต๊ะ
“เอ้ายาย วางไว้ให้แล้ว มาหยิบเองแล้วกัน”
เพ็ญมองมา แล้วพยายามขยับตัวจะลุกเดินไปเอา แต่ไม่ไหว แค่จะลุกยังลุกไม่ขึ้น
“ทอง...ทองข้า โอ๊ย”
เดือนแรมกับดีดี้ขำกัน แกล้งคนแก่ แล้วขำ
“นังทองดี แกล้งยายทวดข้า...ไปเอามาเร็ว”
“โฮ้ยหนักๆ ทองแท้ ทองแท้ทั้งนั้นเลย ดูเด่ะ ทวด ดูดู”
ดีดี้ยกกล่องมาวางใหม่ ใกล้กว่าเดิม เปิดให้ดูมีสร้อยทอง กำไล แหวนมากมาย ของปลอมทั้งหมด เพ็ญเอาขึ้นมากอด มาดู ดีใจ ตามประสาอัลไซเมอร์ ไม่รู้เรื่องรู้ราว
“ทอง ทองข้า ทอง...”
“เอ้ากอดเข้าไป กอดเข้า จะกอดจะกิน จะทำอะไรก็ตามใจ อย่าขูดแล้วกันเดี๋ยวลอก”
ทั้งสองหัวเราะออกไปจากห้อง และแล้ว ควันสีขาวลอยเข้ามาในห้อง เข้ามาล้อมตัวเพ็ญ เพ็ญสะดุ้งเฮือก ลืมตาร้าย กลายเป็นคนละคนเพราะวิญญาณของคุณหญิงอบเชยเข้าสิง

เดือนแรมกับดีดี้เดินไปจัดการเอกสารต่อ
“เอ้าหาต่อ ค่าน้ำ ค่าไฟ ข้าเก็บไว้ลิ้นชักไหนวะ”
นอกห้องเพ็ญเดินลากเท้ามาอย่างค่อนข้างลำบาก ดีดี้ได้ยินเสียงก็ถามอย่างสงสัย
“เสียงใครเดินน่ะ”
“ยายเพ็ญ จะลุกยังแทบไม่ไหว จะเดินได้ไง”
เพ็ญปรากฏตัวขึ้นที่ทางเข้า หน้าตาเหมือนคนบ้า แววตาดุร้าย น่ากลัวมาก ดีดี้หันมาเห็น มองขาเพ็ญที่ดูเป็นปกติก็ตกใจ
“ยายเพ็ญ !”
“อีเดือนแรม อีนังคนชั่ว กูจะฆ่ามึง”
เพ็ญยกมือตรงเข้ามาหาเดือนแรม ดีดี้รีบหลบ
“อ๊าย ๆ”
เดือนแรมหันมา มือทั้งสองของเพ็ญ บีบคอแน่น เดือนแรมจะร้องยังร้องไม่ออก ดีดี้มองเพ็ญส่ายหน้ากลัว แล้ววิ่งหนีออกไป เดือนแรมสู้แรงไม่ไหว ดึงมือยายเพ็ญไม่ออก ได้แต่พยายามพูดออกมา พูดไป ไอไป
“ยาย ยายทวด นี่ฉันเอง เดือนแรมหลานแท้ๆ ของยายทวดนะ ฉันเอง ฉันเอง แค่กๆๆ”
ดีดี้วิ่งมาตั้งสติ
“จู่ๆ ลุกมาเดิน เสียงก็ไม่ใช่เสียงของยาย อ๊าย ผี ผีหลอก!”
ดีดี้ไม่คิดช่วยเหลือ มุดเข้าไปใต้โต๊ะ หนีผีไม่สนใจใคร เพ็ญยังบีบคอเดือนแรมแน่น
“อีนังคนบาป คิดจะแย่งผัวเขา คิดจะทำลายครอบครัวเขา เอ็งไม่กลัวตกนรกหรือไง”
“ยายพูดอะไร ฉันแย่งใครที่ไหน ปล่อย ปล่อย แค่กๆ”
“ยังมีหน้ามาโกหก เลิกยุ่งกับนายศามนซะ จะเลิกหรือไม่เลิก”
“นี่ ฉันน่ะหลานยายนะ ไม่ใช่อีนังรัมภา ฉันได้ผัวดีๆ ยายก็สบาย ไม่ชอบหรือไง”
“ไม่ชอบ...อีเพ็ญมันเป็นข้าเก่าเต่าเลี้ยงของข้า ยังไงมันก็ไม่ชอบ”
เดือนแรมงง
“แปลว่าอะไรวะ พูดไม่รู้เรื่อง ปล่อย...บอกให้ปล่อย”
เดือนแรมรวบรวมแรงทั้งหมด ผลักเพ็ญ กระเด็นไปมุมหนึ่งแล้ววิ่งหนี
“หนอยอีนี่!”
เพ็ญตั้งตัวได้ ตามออกไป

เดือนแรมวิ่งหนีออกมาที่ห้องครัว หอบ ไอ เจ็บคอ เพ็ญเดินตามมา เดือนแรมแปลกใจ
“ทุกทีลุกแทบไม่ได้ วันนี้เอาแรงมาจากไหนวะ”
เพ็ญเดินมาลากเดือนแรมกลับ แล้วตบหน้าหันไปอีกด้านหนึ่ง
“นี่แน่ะ”
“โอ๊ย ยาย ฉันเจ็บนะ”
“เลิกยุ่งกับคุณศามนซะ จะเลิกหรือไม่เลิก”
“ไม่เลิก ยายทวดไม่มีสิทธิ์มายุ่งเรื่องฉัน”
เพ็ญจะตบอีก ทันใดนั้น ควันดำลอยเข้ามายั้งไว้ มือของเพ็ญค้างอยู่กลางอากาศ เพ็ญยื้อพยายามจะกดลงแต่มีแรงต้าน ทำให้ฝืนค้างอยู่กลางอากาศ เดือนแรมมองภาพนั้นด้วยความงุนงง
“นี่มันอะไรอีกวะเนี่ย”
ควันดำกลายร่างเป็นแพง
“อีอบเชย มึงมาสิงยายเพ็ญอีกแล้ว”
แพงตบเพ็ญคว่ำไป เดือนแรม เห็นแต่เพ็ญล้มคว่ำ ไม่เห็นแพงที่ยืนอยู่ แพงหันมาบอก เดือนแรมรับรู้ข้อมูลผุดขึ้นในใจเฉยๆ และเชื่อตามนั้น
“อีเพ็ญมันเป็นข้าเก่านังอบเชย อีอบเชยจึงเข้าสิงนังเพ็ญได้บ่อยๆ นังเดือนแรม หยิบมีดนั่นขึ้นมา หยิบมีด !”
เดือนแรมสะดุ้งถูกดลใจ เธอทำตามสั่ง เดินไปหยิบมีดมาจากที่เก็บ แล้วเดินไปหาเพ็ญ แพงสั่งเสียงเย็นเยือก
“ฆ่ายายเพ็ญซะ จะได้สิ้นเรื่องสิ้นราวกันไป”
เดือนแรม เถียงออกไป โดยไม่รู้ตัวว่า เถียงใคร
“ฆ่าหรือ เขาเป็นทวดฉันนะ”
“อีเดือนแรม ฆ่ายายเพ็ญซะ ฆ่าซะ !”
“คนใจชั่ว ย่อมถูกชักนำด้วยวิญญาณชั่ว”
เพ็ญด่า เดือนแรมลังเล มองมีด มองเพ็ญ ละล้าละลัง ไม่กล้า แพงชักหงุดหงิด
“รออะไรอยู่ ใช้มีดแทงมัน แทงมันซะ”
“เสียใจ วันนี้ไม่ใช่วันของเอ็ง แต่เป็นวันของข้า”
เพ็ญเดินมาจับมือเดือนแรม บิดที่ข้อมือ
“โอ๊ยเจ็บ”
เดือนแรมเจ็บร้องลั่นจำต้องปล่อยมีดให้ตกลงพื้น เดือนแรมมองหน้าเพ็ญหน้าของเพ็ญ เริ่มเปลี่ยนเป็นหน้าของคุณหญิงอบเชย แล้วเน่าเฟะ กลายเป็นผีน่ากลัว เพราะคุณหญิงตั้งใจหลอก เดือนแรม
“กรี๊ด!”
เดือนแรมเป็นลมล้มลงไปกองกับพื้น นอนไม่ได้สติ แพงตกใจพยายามเรียกให้ตื่น
“นังเดือนแรม นังเดือนแรม...โธ่อีโง่”
วิญญาณคุณหญิงอบเชยออกจากร่างไป เพ็ญล้มไปกองกับพื้นสลบเหมือด แพงยืนเซ็ง จะให้เดือนแรมไปปล้ำศามนคืนนี้ ในที่สุดก็ไม่สำเร็จ เพราะเดือนแรมสลบไปแล้ว

รัมภา พัชนีและวรรณศิกา เดินเล่นมาที่มุมหนึ่งของวัด ผู้ปฏิบัติธรรมชายหญิงกลุ่มหนึ่งกำลังแยกย้ายกันเดินจงกรม วรรณศิกาหันไปถามรัมภา
“สบายใจขึ้นไหมคะ”
รัมภาพยักหน้า แล้วเห็นอะไรบางอย่าง
“เอ๊ะนั่น เขาทำอะไรกันคะ”
พัชนีมองตาม
“อ๋อ...วัดนี้เป็นสถานที่ปฎิบัติธรรมน่ะค่ะ พวกเขากำลังทำกรรมฐาน”
“เดินจงกรมใช่ไหมจ๊ะ” วรรณศิกาถามบ้าง
พัชนีพยักหน้า ทันใดนั้น เสียงหนึ่งเรียกจากข้างหลัง สาวสวยคนหนึ่งในชุดขาวทันสมัย คล่องแคล่วยิ้มให้
“เข้ามานั่งคุยกันก่อนสิคะ”
ทั้งสามคนงงๆ
“ดิฉันชื่อศศิ เป็นวิทยากรดูแลผู้ปฎิบัติค่ะ”
ทั้งหมดพยักหน้ายิ้มมีไมตรี แล้วพากันไปนั่งคุยในมุมร่มรื่นมุมหนึ่ง
“ดิฉันมาถวายสังฆทานค่ะ พอดีมีเรื่องไม่สบายใจ” รัมภาบอก
ศศิพยักหน้าเข้าใจ
“คนไทยชอบทำทาน ทำแล้วก็มีความสุข แต่ก็ประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้น”
วรรณศิกาแปลกใจ
“หมายความว่าไงคะ เราไม่ควรทำทานหรือคะ”
“ทำทานแก่สัตว์ร้อยครั้ง ยังได้บุญน้อยกว่าทำทานแก่มนุษย์แม้เพียงครั้งเดียว ทำทานแก่มนุษย์ร้อยครั้ง ยังได้บุญน้อยกว่าทำทานแก่ผู้มีศีลหรือพระสงฆ์แม้เพียงครั้งเดียว ทำทานแก่พระสงฆ์ร้อยครั้ง ยังได้บุญน้อยกว่าทำทานกับพระพุทธเจ้าแม้เพียงครั้งเดียว ทำทานแก่พระพุทธเจ้าร้อยครั้ง ยังได้บุญน้อยกว่าทำสังฆทานแม้เพียงครั้งเดียว”
“แบบที่เราทำไป ก็เรียกสังฆทานใช่ไหมคะ” รัมภาถามงงๆ
“ค่ะ สังฆทานหมายถึง การทำทานโดยไม่เจาะจงผู้รับ เราไม่ยึดติดในตัวตนของผู้รับ ย่อมทำให้เราได้บุญมากกว่า” พัชนีอธิบาย
รัมภาอึ้งๆ
“ลึกซึ้งจริงๆ”
“ยังมีอีกค่ะ ทำสังฆทาน ร้อยครั้ง ยังได้บุญน้อยกว่าสร้างวิหารทาน” ศศิบอก
“วิหารทาน ก็พวก โบสถ์ วิหาร ศาลา แม้แต่ที่พักคนเดินทาง อะไรที่เป็นสาธารณะประโยชน์น่ะค่ะ” พัชนีเสริม
ศศิ มองรัมภาพูดอย่างจริงจัง
“การทำทานด้วยวิหารทานร้อยครั้ง ยังได้บุญน้อยกว่า การให้ธรรมทาน”
พัชนีอธิบายเสริม
“ธรรมทาน คือการให้ธรรมะ การให้คำแนะนำ ชี้แนะให้คนเป็นคนดี”
วรรณศิกาแปลกใจ
“ชี้แนะ แนะนำ แค่นี้ได้บุญเยอะกว่าสร้างโบสถ์สร้างวิหาร เยอะกว่าทำบุญกับพระพุทธเจ้าอีกหรือคะ”
รัมภาเริ่มเข้าใจ คิดตาม
“ถ้าเราชี้นำคนไปสู่ความดี เขาทำดี เป็นคนดี ก็จะสร้างความดีต่อไปได้อีก”
ศศิพยักหน้าว่าถูก
“ยังมีอีก ให้ธรรมทานร้อยครั้ง ได้บุญน้อยกว่า ให้อภัยทานแม้เพียงครั้งเดียว”
วรรณศิกาหน้าตื่น
“หา...หมายถึงให้อภัยหรือคะ ก็จริงแหล่ะ ให้อภัยคนที่เราโกรธเราเกลียดนี่ยากกว่าสร้างโบสถ์สร้างวิหารเยอะ”
“หมายความว่า ถ้าเราอยากทำบุญ ไม่ต้องเสียเงิน ไม่ต้องมาวัด เราทำ
ทานได้ทุกที่ และมีอานิสงส์มากกว่าหรือคะ” รัมภาถาม
ศศิและพัชนีพยักหน้า
“จำได้ไหมคะ ดิฉันบอกว่า ถ้าเรามีเรื่องไม่สบายใจ เราทำทานแล้วมีความสุขก็จริง แต่สุขได้ประเดี๋ยวประด๋าว ที่ดิฉันจะบอกก็คือ เราสามารถทำบุญได้สูงกว่าการให้ทาน และยังเป็นการดับทุกข์ได้อย่างถาวรด้วย”
รัมภาอึ้งไป

ห่างออกไป กลุ่มเดินจงกรมตอนนี้กำลังนั่งสมาธิกันอยู่ ศศิพามาดู ยืนคุยกันห่างออกมา เพื่อไม่ให้รบกวนพวกเขา
“บุญที่สูงกว่าการให้ทาน คือศีล ผู้ที่รักษาศีลโดยเฉพาะศีลห้าจะมีชีวิตที่ปรกติสุข ชีวิตไม่ค่อยมีปัญหา นี่คือการดับทุกข์ที่ต้นเหตุ เพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนาของเหตุผล ถ้าไม่มีเหตุก็ไม่มีผลจริงไหมคะ”
รัมภามองผู้คนที่นั่งสมาธิอยู่
“ถือศีลเหมือนคนพวกนี้ใช่ไหมคะ”
“ใช่ค่ะ พวกเขากำลังถือศีล แต่กำลังทำบุญสูงสุดที่สูงกว่าศีลด้วยนั่นคือ การภาวนา” ศศิอธิบาย
วรรณศิกาทำหน้าแหยงๆ
“นั่งหลับตานี่หรือคะ อื๋อ...ไม่ไหวมั้งคะ”
ศศิยิ้มบางๆ
“ไม่จำเป็นต้องหลับตาหรอกค่ะ แม้ดิฉันที่พูดอยู่นี่ ก็ภาวนาอยู่”
วรรณศิกาแปลกใจ
“พูดอยู่ จะภาวนาได้ยังไงคะ”
“อาจยังไม่เข้าใจในเวลานี้ เก็บนามบัตรของดิฉันไว้นะคะ ถ้าสนใจ เราจะได้คุยกันมากขึ้น”
ศศิ ยื่นนามบัตรให้ รัมภารับมา
“คุณศศิคะ ถ้าหากเราถูกจองเวรจองกรรมด้วยวิญญาณร้าย เราต้องทำยังไงคะ”
“เจ้ากรรมนายเวรของเรา เกิดขึ้นเพราะมีเหตุที่เราเคยไปทำเขาก่อน เราต้องยอมรับผลหรือวิบากกรรมนั้นๆ และแน่นอน วิบากกรรมเหมือนทุกอย่างในโลกนี้ มันต้องมีวันจบลง อดทนไว้นะคะ”
อนุกูลและเด็กแฝดเดินมาเรียก ห่างไปที่มุมหนึ่ง
“เฮ้ เด็กๆ หิวแล้ว ไปกินข้าวกันเถอะ”
“แล้วพบกันนะคะ”
ศศิยกมือไหว้ ทุกคนรับไหว้ ศศิเดินจากไป รัมภามองนามบัตร ครุ่นคิดตาม












Create Date : 13 เมษายน 2555
Last Update : 13 เมษายน 2555 1:13:44 น.
Counter : 448 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]