กระบือบาล ตอนที่ 7




อรอนงค์ที่เกริกไกรเป็นห่วง เดินมากับชาญณรงค์ในตลาด โดยมีสมคิดคอยประกบ อรอนงค์มีท่าทีอึดอัด รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองถูกลักพาตัวชอบกล

“เป็นอะไรจ๊ะหนูอร...ไม่อยากออกมาเดินเที่ยวเหรอจ๊ะ” ชาญณรงค์สังเกตเห็น
“เอ่อ...ที่ผู้พันบอกว่าจะมีเรื่องคุยกับอร...เรื่องอะไรเหรอคะ” อรอนงค์ตัดสินใจถาม
“อย่าเรียกว่าคุยกันเลยครับ...เรียกว่าทำความรู้จักกันมากกว่า” สมคิดเสนอหน้า
“ไอ้คิด” ชาญณรงค์ปราม
“ครับนาย” สมคิดยังไม่รู้ตัว
“ฉันพูดเองได้เว้ย” ชาญณรงค์บอกสมคิดหน้าเจื่อน ชาญณรงค์หัรไปพูดกับอรอนงค์ “ก็อย่างที่ไอ้คิดมันว่าละจ้ะ..เอางี้ดีมั้ย...เรื่องแรกเลยนะ...ต่อไปไม่ต้องเรียกว่าผู้พันแล้ว...เรียกพี่ได้เลย”
อรอนงค์อึ้ง “พี่เหรอคะ..?”
“ใช่...แต่ถ้ารู้สึกไม่สนิทพอ...หนูอรเรียกน้องก็ได้...พี่ไม่ถือ”
อรอนงค์ยิ้มเจื่อน
“ส่วนเรื่องที่สอง...พี่อยากจะมอบของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ให้กับหนูอรเพื่อเป็นรับขวัญในการเดินทางมาที่บ้านหนองระบือนี่”
ว่าแล้วชาญณรงค์ก็หยิบกล่องแหวนออกมา ก่อนจะเปิดให้อรอนงค์เห็น แล้วจับมืออรอนงค์ใส่แหวนลงไปในมือ
“เอ่อ...ไม่ต้องก็ได้ค่ะ”
“โอ๊ย...ไม่เป็นไร...เล็กๆน้อยๆน่า...แต่ที่สำคัญนะ...แหวนนี่เป็นแหวนของภรรยาพี่ที่ตายไปแล้ว”
“ห๊า”
อรอนงค์ตกใจถึงกับทำแหวนหล่น ทุกคนมองตามแหวนที่กลิ้งไปเรื่อยจนไปหล่นจ๋อมตกลงท่อระบายน้ำไป ชาญณรงค์ถึงกับหน้าเจื่อนลง
อรอนงค์ตกใจ รีบพุ่งไปที่ท่อ “ขอโทษนะคะที่หนูซุ่มซ่ามไปหน่อย”
อรอนงค์ทำท่าดึงฝาท่อระบายน้ำขึ้น ชาญณรงค์รีบเข้ามาพูด
“ไม่...ไม่เป็นไรจ้ะ...เมียพี่ป่านนี้คงไปเกิดใหม่แล้ว”
“ไม่ได้หรอกค่ะ...ของสำคัญอย่างนั้น”
อรอนงค์รีบดึงตะแกรงเหล็กสุดแรง โดยมีชาญณรงค์เข้ามาห้าม
“ไม่เป็นไรจ้ะหนูอร”
จังหวะที่อรอนงค์ดึงตะแกรงเหล็กสุดแรงจนหลุดขึ้นมานั้น อรอนงค์ก็เผลอทำตะแกรงเหล็กฟาดหน้าชาญณรงค์เข้าให้อีก...โครม !!
“โอ๊ย”
“อุ้ย...ขอโทษค่ะ”
ชาญณรงค์ถึงกับเซถลาถอยหลังด้วยความมึน ซึ่งด้านหลังเป็นร้านขายมีด และทันใดนั้นสมคิดก็มาดึงชาญณรงค์เอาไว้ได้ทัน
ชาญณรงค์กับสมคิดเป่าปากด้วยความโล่งอก เพราะเกือบไปโดนมีดบนที่วางขายอยู่แทงเอา
“เป็นไรมั้ยคะคุณอา”
ชาญณรงค์กับสมคิดหันไปมองอรอนงค์ เป็นจังหวะเดียวกับที่อรอนงค์พุ่งเข้ามาดูชาญณรงค์ด้วยความเป็นห่วง แต่อรอนงค์ดันไปสะดุดกับตะแกรงเหล็กที่หล่นอยู่ ทำให้อรอนงค์เสียหลักพุ่งไปหาชาญณรงค์
“ว้าย”
ชาญณรงค์โดนอรอนงค์เซล้มเข้ามาจนทำให้ชาญณรงค์ล้มไปที่ร้านขายมีดจนได้ ทุกอย่างนิ่งสนิท
สมคิดรีบเข้ามาดูชาญณรงค์ “นายเป็นอะไรมั้ยครับ”
“แล้วแกว่าเป็นไรมั้ยละ”
ชาญณรงค์หันหลังให้ดู แล้วอรอนงค์กับสมคิดก็ตกใจเมื่อเห็นหลังของชาญณรงค์เต็มไปด้วยมีดอันเล็กปักอยู่เต็มหลัง
“รีบดึงออกซิวะ”
สมคิดรีบเข้าไปช่วยดึงมีดที่หลังของชาญณรงค์ อรอนงค์อาศัยจังหวะนั้นค่อยๆ ถดตัวเดินหนีออกมา
1.

เวลาเดียวกัน เกริกไกรกำลังเดินตามหาอรอนงค์ด้วยความร้อนใจ พลางถามชาวบ้านระหว่างทาง
“เห็นผู้พันมาแถวนี้มั้ย”
ชาวบ้านส่ายหน้า เกริกไกรสีหน้าเครียดมากกว่าเดิม “ผู้พันพาคุณอรไปไหนนะ”
ระหว่างนั้นเสียงของอรอนงค์ดังขึ้น “หมอ...”
เพียงแค่เกริกไกรได้ยินเสียงนั้นก็เหมือนทุกอย่างโล่งขึ้นมาทันที เกริกไกรหันไปก็เห็นอรอนงค์กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามา เกริกไกรรีบเข้าไปหาอรอนงค์
“คุณอร ! คุณอรเป็นไรมั้ยครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ...ทำไมเหรอคะ”
“ก็เมียตาชุกบอกว่าผู้พันพาคุณอรออกไป...ผู้พันเขาพาคุณอรไปไหนมาครับ”
“ก็...เดินเล่นแถวนี้แหละค่ะ
เกริกไกรโล่งอกสุดๆ “คุณอรรู้มั้ยครับว่าผมเป็นห่วงคุณอรมากแค่ไหน”
อรอนงค์ชะงักไปเมื่อเห็นเกริกไกรที่ปกติขี้เล่นแต่คราวนี้เขากลับพูดอย่างจริงจัง
“ต่อไป...คุณอรอย่าไปไหนโดยไม่มีผมนะครับ”
อรอนงค์ เขินจัด “คะ...”

ด้านเจนจิราเดินกลับมาที่บ้านพักของเธอ ระหว่างที่กำลังจะเปิดประตูเข้าไปในบ้าน เจนจิราก็ต้องชะงักเมื่อเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งสอดอยู่ใต้ประตู
เจนจิราหยิบมันขึ้นมาอ่าน “พี่ใจเด็ด..!”
เจนจิรายิ้มออกมาด้วยความดีใจ

เจนจิราเดินมาที่มุมหนึ่งของสถานี ก่อนจะมองหาใจเด็ด “หัวหน้า...หัวหน้าอยู่ไหนคะ”
แล้วเจนจิราก็เห็นกระดาษแผ่นหนึ่งติดที่ต้นไม้ เจนจิราเดินเข้าไปอ่าน
“เลี้ยวขวา” เจนจิรายิ้มกรุ่มกริ่มคิดอะไรไปไกลแล้ว
เจนจิราเดินต่อมาตามทาง ก่อนจะเห็นว่าที่พื้นมีหินเรียงกันเป็นลูกศรไปตามทาง เจนจิราอมยิ้มแล้วเดินตามลูกศรไป แล้วพบว่าที่ลานโล่งมีกระดาษแผ่นหนึ่งวางอยู่ เจนจิราเดินเข้าไปหยิบกระดาษขึ้นมาอ่านด้วยใจระทึก
“ที่พี่ต้องทำอย่างนี้เพราะพี่ไม่อยากให้คนอื่นรู้...แต่ถ้าจะพูดกันจริงๆ...คงเป็นเพราะพี่ไม่มั่นใจที่จะพูดกับเราต่อหน้ามากกว่า” เจนจิราเขิน “พี่ใจเด็ดอ่ะ” แล้วอ่านต่อ “พี่อยากจะถามเราว่า...เรารู้สึกยังไงกับพี่”
เจนจิราถึงกับหน้าร้อนวูบขึ้นมาทันที และทันใดนั้นเองก็มีกระดาษห่อหินโยนเข้ามา เจนจิราหยิบขึ้นมาอ่าน
เจนจิราอ่าน “พูดดังๆให้พี่ได้ยินนะ” เจนจิราอมยิ้ม พร้อมกับรวบรวมความกล้า แล้วพูดเสียงดังลั่นแทบเป็นตะโกน “เจนก็ชอบพี่คะ...ได้ยินมั้ยคะ...เจนชอบพี่”
ทันใดนั้นเสียงของสุบินก็ดังขึ้น “เยส...เยส”
เจนจิราสีหน้าเปลี่ยนเมื่อได้ยินเสียงนั้น ก่อนที่เธอจะหันมาเห็นสุบินเดินเข้ามาด้วยสีหน้าแห่งชัยชนะ
“เห็นมั้ย...ในที่สุดฉันก็ทำให้เธอยอมรับได้ซะที”
เจนจิราโกรธจนตัวสั่น นัยน์ตาเริ่มแดง เจนจิราหันหลังจะเดินออกไป สุบินรีบวิ่งมาดักหน้า
“นี่...”
แต่แล้วสุบินก็ต้องอึ้งไปเมื่อเห็นน้ำตาของเจนจิราค่อยๆไหลออกมา
“เอ่อ...คุณ”
เจนจิราหลบสุบินก่อนจะเดินออกไป สุบินมองตามรู้สึกใจหายวูบที่เห็นน้ำตาของเจนจิราครั้งแรก

คืนนั้นทั้งภิรมย์ กับสมหญิงต่างหัวเราะงอหายกับเรื่องผู้พันชาญณรงค์ที่อรอนงค์เล่าให้ฟัง
“ผมว่าคงเป็นเดือนเลยมั้งครับกว่าผู้พันเขาจะหาย” ภิรมย์ว่า
สมหญิงบ่นอุบ “แหม...เสียดายจริงๆ”
“ทำไม...เสียดายที่ผู้พันมางานทำขวัญควายไม่ได้หรือไง”
“เสียดายว่าทำไมไม่หันหน้าเข้า”
แล้วภิรมย์กับสมหญิงก็หัวเราะกันต่อ ขณะที่ทุกคนอมยิ้ม มีเพียงเกริกไกรเท่านั้นที่ดูหน้าตาซีเรียส
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นละหมอ...เป็นห่วงผู้พันเขาหรือไง” ใจเด็ดถามอย่างสงสัย
“สงสัยเว้ย ! ทำไมพักนี้ตาผู้พันถึงได้คอยตามฉันกับคุณอรจังวะ”
สรนุชหันไปพูดกับอรอนงค์ “หรือว่า...ผู้พันเขาจะชอบเธอ”
อรอนงค์ ตกใจ “บ้านะนุช...ผู้พันน่ะเป็นพ่อฉันได้เลยนะ”
เกริกไกรเกิดวิตกขึ้นมา “ก็ไม่แน่นะครับ...เดี๋ยวนี้คนมันวิปริต...อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น...คุณอรไม่ต้องกลัวนะครับ...ตราบใดที่เกริกไกรคนนี้อยู่...ผมจะไม่ให้ใครมาทำอะไรคุณอรได้เป็นอันขาด”
ภิรมย์กับสมหญิงส่งเสียงแซว “ฮิ้ว”
“แต่สมหญิงว่าหมอน่ะน่ากลัวกว่าผู้พันอีกนะคะ”
เกริกไกรทำปากขมุบขมิบว่าสมหญิง ระหว่างนั้นใจเด็ดหันไปรอบๆ ก็สงสัย
“แล้วนี่เจนไปไหน”
คำถามของใจเด็ดทำให้สุบินที่นั่งรู้สึกผิดอยู่ถึงกับสะดุ้ง
“เมื่อกี้สมหญิงไปตามแล้ว...แต่คุณเจนแกบอกว่าวันนี้ไม่หิวค่ะ”
ใจเด็ดแปลกใจ “เป็นไรหรือเปล่า”
สรนุชได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกจี๊ดๆ ในใจ จึงพูดประชดออกไปโดยไม่รู้ตัว “ห่วงมากทำไมไม่เดินไปดูละ”
ทุกคนหันขวับมองสรนุชเป็นตาเดียว สรนุชเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอพูดออกไปอย่างที่ใจคิดเลยรีบแก้ตัว
“เอ่อ...ก็คุณเจนแกเป็นกำลังสำคัญของที่นี่ไง...ถ้าเกิดเธอไม่สบายขึ้นมาเดี๋ยวคนที่นี่จะลำบาก”
“นั่นซิคะ...ถ้าคุณเจนแกเกิดไม่สบายขึ้นมาแล้วใครจะลงประกวดเทพีควายล่ะคะ”
สรนุชได้ยินสมหญิงบอก ก็ฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้
ขณะที่ใจเด็ดกำลังจะลุกออกไป “เดี๋ยวฉันมา”
ระหว่างนั้นสรนุชก็พูดสวนขึ้น “พวกเราไง”
ทุกคนหันไปมองสรนุช อรอนงค์กับสุบินเองก็สงสัยว่าสรนุชต้องการอะไรกันแน่
“งานทำขวัญควายครั้งนี้...พวกเราสามคนอยากลงแข่งด้วย”
สุบินกับอรอนงค์ถึงกับอึ้งไปเมื่อได้ยินสรนุชพูดอย่างนั้น ขณะที่ใจเด็ดเองก็มองสรนุชด้วยความแปลกใจ

เวลาต่อมาสรนุชเดินเอาสองมืออุดหูขึ้นมาบนเรือนรับรอง โดยมีอรอนงค์กับสุบินเดินบ่นตามขึ้นมาติดๆ สุบินจับสรนุชนั่ง ก่อนที่ทั้งคู่จะยืนประกบซ้ายขวาแล้วบ่นใส่หูสรนุชกันคนละข้าง
“ยัยนุช...แกใช้อะไรคิดถึงได้ส่งฉันลงแข่งไถนา...ห๊า” สุบินว่า
“ใช่...แล้วทำไมฉันต้องลงประกวดเทพีควายด้วย” อรอนงค์ผสมโรง
“ใช่...ถ้าเป็นนางทัพพีก็ว่าไปอย่าง” สุบินบอก
อรอนงค์เคลิ้มตามโดยไม่ทันคิด “ใช่” แต่พอนึกได้ก็หันมาเม้งสุบิน “นี่...”
สรนุชทนไม่ไหวเลยลุกขึ้น พูดผ่ากลางวง “พวกแกฟังฉันก่อนได้มั้ย”
“พูดมา...ถ้าเหตุผลแกฟังไม่ขึ้นละก็...ฉันจับแกไถนาแทนควายแน่” สุบินฉุนนิดๆ
“ก็ไอ้งานทำขวัญควายนี่มันเป็นงานสำคัญประจำที่นี่ใช่มั้ย” เห็นสุบินกับอรอนงค์พยักหน้ารับสรนุชพูดต่อ “ทุกคนในหมู่บ้านจะต้องมาร่วมกันในพิธีนี้...ถ้าเราลงแข่งก็เท่ากับเราได้ผูกสัมพันธ์กับชาวบ้านไง...ทีนี้พวกแกเข้าใจหรือยัง”
สุบินกับอรอนงค์มองหน้ากันก่อนจะตอบออกมาพร้อมกัน กระแทกเสียงใส่หน้าสรนุช
“ไม่!!!”
สรนุชถึงกับผงะ
“ฉันไม่เห็นว่าไอ้การลงแข่งนั่นมันจะทำให้ความสัมพันธ์ของเรากับชาวบ้านดีขึ้นตรงไหน...แล้วถ้าเกิดเราชนะขึ้นมา...ชาวบ้านเขายิ่งหมั่นไส้เราเข้าไปใหญ่” สุบินว่า
“นั่นซิ...ฉันว่าเราอยู่เฉยๆ น่ะดีแล้ว...อย่าหาเรื่องใส่ตัวเลย” อรนองค์ก็ไม่เห็นงามด้วย
เห็นว่าไม่ได้ผลสรนุชครุ่นคิด...ว่าจะเอาไงดี เพราะท่าทางสุบินกับอรอนงค์จะไม่ยอมจริงๆ
“ที่แกสองคนไม่อยากแข่งเพราะไม่มั่นใจว่าจะชนะต่างหาก...” สรนุชพูดใส่หน้าสุบิน “สุบินที่แกพูดว่าแกกลัวว่าถ้าชนะแล้วชาวบ้านจะหมั่นไส้...ฉันว่ามันเป็นคำแก้ตัวของคนที่กลัวแพ้มากกว่า...ส่วนเธอ...อร...” หันมาทางอรอนงค์ “เธอกลัวว่าสาวเมืองกรุงอย่างเธอจะสู้กับสาวชาวบ้านพวกนี้ไม่ได้ใช่มั้ย”
สุบินกับอรอนงค์ถึงกับชะงัก สรนุชเห็นว่าทั้งสองคนเสียจังหวะเลยรีบกระทุ้งดอกสอง ด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
“ถ้าพวกเธอไม่ได้เป็นอย่างที่ฉันว่า...พวกเธอก็ต้องลงแข่ง”
สรนุชพูดจบก็เดินไปที่ห้องเลยโดยไม่รอคำตอบ สุบินกับอรอนงค์มองหน้ากันงงๆ
“นุช...ฉันว่ามันไม่ใช่อย่างที่แกว่านะ...นุช”
อรอนงค์เดินตามสรนุชเข้าไปในบ้าน สุบินงงก่อนจะที่จะหันกลับมาเรื่องที่ตัวเองกำลังกลุ้มใจ...นั่นคือเรื่องของเจนจิรานั่นเอง
สุบินสีหน้าเครียดลง มองไปข้างในบ้าน เมื่อเห็นสรนุชกับอรอนงค์เข้าห้องไปแล้ว จึงค่อยๆ เดินย่องลงจากเรือนรับรองไป

เหตุการณ์ที่กรุงเทพฯ เวลาเดียวกันนั้นณวัตเดินออกจากลิฟต์ก่อนจะตรงมาที่ห้อง ระหว่างนั้นณวัตเห็นป้าจอมจุ้นขาเม้าท์ประจำคอนโดเดินสวนมา ณวัตทำหน้าเซ็งก่อนจะทำเป็นเดินก้มหน้าก้มตาหลบ แต่ไม่ได้ผลเมื่อป้าคนนั้นเรียกณวัตเอาไว้
“นังหนูคนนั้นเป็นไงมั่ง”
“คนไหน” ณวัตถามส่งๆ
“ก็คนที่หามส่งโรงบาลวันนั้นไง”
ณวัตชะงักไป ตอบเสียงอ่อยๆ “ก็ไม่เป็นไร”
ณวัตตอบแกนๆ ไปอย่างนั้น แล้วพยายามจะเดินหนี แต่ป้าก็เดินตามไม่ลดละ
“ไม่เป็นไรได้ไง...ก็วันนั้นป้าเห็นว่าแย่เอาการอยู่น้า”
“รู้แล้วจะถามทำไมละป้า”
ณวัตเริ่มหงุดหงิดกับการสอดรู้สอดเห็นของป้า
“เดี๋ยวก่อนซิ” ป้าคนนั้นเรียกไว้
ณวัตชักฉุนหันกลับมาอย่างหงุดหงิด “ป้า!!!”
แต่แล้วณวัตก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นป้ายื่นมือถือของเขาให้
“วันก่อนเราทำหล่นเอาไว้...ป้าจะเรียกแต่ก็ไม่ทัน”
ณวัตงงๆ คาดไม่ถึงว่ามือถือตนจะอยู่ที่คอนโดนี่เอง “เอ่อ...ขอบคุณครับ”
“ไม่เป็นไร...ทีหลังน่ะมีอะไรก็บอกป้าได้” ก่อนจะเดินไปแล้วป้านึกได้ “เออ...วันนั้นเห็นว่ามีคนโทร.เข้ามาตอนที่แม่หนูนั่นช็อกพอดี”
ว่าแล้วป้าก็เดินออกไป ณวัตมองมือถือเอามากดไล่ดูวันเวลาที่มีคนโทร.เข้ามา แล้วณวัตก็เห็นว่าเป็นเบอร์ต่างจังหวัด
“เบอร์ต่างจังหวัด...ใครวะ”

ณวัตเดินกดดูมือถือต่อเนื่องเข้ามาในห้อง แล้วณวัตก็เห็นข้อความเสียงที่ค้างอยู่ในโทรศัพท์ ณวัตรีบกดฟัง
เป็นข้อความเสียงของสรนุช “วัตอยู่กับใคร..!”
ณวัตได้ยินเสียงของสรนุชก็ถึงกับตกตะลึง
ณวัตฟังต่อ “วัตนอกใจนุชใช่มั้ย...นุชจะกลับกรุงเทพฯ เดี๋ยวนี้...เตรียมคำแก้ตัวของวัตไว้ให้ดีก็แล้วกัน...” มีเสียงดังตื๊ด...สิ้นสุดข้อความเสียง
ณวัตวางโทรศัพท์ลงหน้าซีดเผือด

ทางด้านสุบินกำลังเดินหงุดหงิดงุ่นง่านอยู่บริเวณหน้าบ้านพักของเจนจิรา
“จะบอกยังไงวะเรา...เฮ้อ...ไม่น่าเลยกู”
ระหว่างที่สุบินเดินไปเดินมาเพราะไม่รู้จะหาคำแก้ตัวยังไง อยู่ๆ เจนจิราก็เปิดประตูบ้านออกมา ผัวะ !!! ทั้งเจนจิรากับสุบินต่างก็อึ้งกันไป เจนจิราหันหลังกลับเข้าบ้านทันที
สุบินเห็นก็รีบตะโกนเรียก พร้อมกับวิ่งเพื่อให้ทันก่อนที่เจนจิราจะปิดประตู
“คุณเจน...เดี๋ยวก่อนคุณ”
เจนจิราปิดประตูกระแทกใส่หน้าสุบินเต็มแรงเสียงดังปัง! สุบินเคาะประตูเรียก
“คุณเจน...ฟังผมก่อน...” สุบินเสียงเศร้าลง “ผม...ผมขอโทษ”
เจนจิราที่ยืนพิงประตูอยู่ด้านในพูดลอดออกมา
“คุณไม่ต้องขอโทษหรอก...ฉันมันโง่เอง”
สุบินอึ้งไปเมื่อได้ยินเจนจิราพูดอย่างนั้น
“คุณเจน...” สุบินเจ็บใจตัวเอง “...ฮึ่ยย์”

เช้าวันต่อมาสมหญิงกำลังขนหญ้ามาให้ควายที่คอก ในขณะที่เจนจิรานั่งเหม่ออยู่
“อ้าว...คุณเจนเป็นอะไรคะ”
เจนจิราชะงัก เริ่มรู้สึกตัว “อ๋อ...เปล่าหรอกจ้ะ...เมื่อคืนฉันนอนไม่ค่อยหลับน่ะ”
สมหญิงพยักหน้ารับรู้แล้วหันไปสาละวนขนหญ้าลงต่อ เจนจิราเหล่มองสมหญิงก่อนจะตัดสินใจเลียบๆ เคียงๆ ถาม
“สมหญิง...ฉันถามอะไรหน่อยซิ”
“อูย...ถามเยอะๆ ก็ได้ค่ะ...สมหญิงน่ะอยากคุยอยู่แล้ว...วันๆ อยู่กับควายไม่ค่อยได้คุยกับใคร...คุณเจนอยากถามอะไรเหรอคะ”
“คือ...เมื่อคืนฉันดูละคร...แล้ว...พอดี...นางเอกน่ะ...แอบชอบพระเอก...แต่นางเอกไม่รู้ว่าจะบอกยังไง...เพราะกลัวว่าพระเอกจะไม่ชอบ” เจนจิราว่า
สมหญิงพูดพาซื่อ “โง่นะคะเนี่ย”
เจนจิราฟังแล้วถึงกับสะอึก “โง่ยังไงเหรอสมหญิง”
“เอ้า...ไม่รู้ค่ะ...แต่สมหญิงรู้ว่านางเอกละครเนี่ยโง่ทุกคน...คุณเจนไม่สังเกตุเหรอคะว่าพระเอกน่ะเกือบเสร็จนางอิจฉามาเกือบทั้งเรื่อง...แต่พอสุดท้ายนางเอกบรรลุโสดาบันก็เลยลุกมาทวงสิทธิของตัวเองคืน...อูย...ยิ่งพูดยิ่งมันขอระบายหน่อยนะคะ”
“แล้วถ้าเป็นสมหญิง...สมหญิงจะมีวิธีอะไรที่ทำให้พระเอกรู้ว่าชอบเขาอยู่หรือเปล่า” เจนจิราหยั่งเชิง
“จะไปยากอะไรคะ...ตอนแรกก็ต้องเรียกร้องความสนใจก่อน...แล้วเราก็ดูว่าถ้าพระเอกสนใจ...นั่นก็แสดงว่าเขาน่ะมีใจให้เรา” สมหญิงบอกราวกับเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความรัก
เจนจิราครุ่นคิดตามคำพูดของสมหญิง “เรียกร้องความสนใจเหรอ...?”

เจนจิราเดินครุ่นคิดไม่ตกมาตามทางในสถานี “เรียกร้องความสนใจ...แล้วจะทำยังไง”
ระหว่างนั้นเจนจิราก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นใจเด็ดยืนรออยู่
“หัวหน้า...”
“พี่บอกแล้วไง...ถ้าเราอยู่กันสองคน...เรียกพี่เหมือนเดิมก็ได้...เมื่อคืน...พี่ไม่เห็นเรามาทานข้าว...เป็นอะไรหรือเปล่า”
“พี่...เป็นห่วงเจนเหรอคะ”
“ก็ใช่ซิ...แหม...ถ้าเกิดตัวเต็งเทพีกระบือปีนี้เป็นอะไรไปก็แย่น่ะซิ”
เจนจิราชะงักกึก แล้วนึกบางอย่างออก ก่อนที่จะพลั้งปากพูดออกไปไวเท่าความคิด
“แต่ปีนี้เจนว่าเจนจะไม่ลงค่ะ”
ใจเด็ดมีสีหน้าแปลกใจขึ้นมา
“คือ...เจนรู้สึกเบื่อๆ น่ะคะ” เจนจิราบอก
“แต่ว่า...” ใจเด็ดอึ้งๆ
“เจนตัดสินใจแล้วค่ะ...ถ้าพี่ไม่มีอะไรแล้ว...เจนขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ”
ว่าแล้วเจนจิราเดินผ่านหน้าใจเด็ดออกไปเลย ใจเด็ดงงว่าเจนจิราเป็นอะไร

ครู่ต่อมาเจนจิราเดินหน้านิ่งมาตามทาง ก่อนจะหันกลับไปมองข้างหลังแล้วเห็นว่าใจเด็ดอยู่ไกลจนมองไม่เห็นแล้ว จึงรีบหลบแว้บเข้าหลังต้นไม้ก่อนจะเป่าปากโล่งอก
“ฟู่..!” เจนจิรา มองไปข้างหลังอีกที “ตอนนี้ก็รอให้พี่ใจเด็ดมาง้อ”
เจนจิราแอบอมยิ้มอย่างมีความหวัง

เกริกไกรตกใจมาก เมื่อรู้ว่าเจนจิราจะไม่ยอมเป็นตัวแทนสถานีลงประกวด
“ยัยเจนไม่ลงประกวด”
ใจเด็ดพยักหน้ารับสีหน้าเครียด
“แล้วแกไม่ถามเหรอว่าทำไมน่ะ” เกริกไกรย้อนถาม
“เห็นบอกว่าเบื่อๆ...ฉันเลยไม่อยากถามอะไรมาก”
“แล้วคราวนี้จะให้ใครลงประกวดแทนละ”
ใจเด็ดครุ่นคิดก่อนจะมองหน้าเกริกไกร
“หมอ...”
เกริกไกรเข้าใจว่าใจเด็ดจะให้ตัวเองลงประกวด “เฮ้ย ! ไอ้บ้า...ทะลึ่งละ...ฉันเป็นผู้ชายทั้งแท่งเว้ย”
“ฉันไม่ได้จะให้หมอลงประกวดซะหน่อย...ฉันแค่จะบอกว่าปีนี้เราก็ไม่ต้องประกวดก็ได้”
“โน...ไม่ได้เลย..เทพีกระบือถือเป็นไม้ตายให้ชาวบ้านเห็นความสำคัญของควายเพื่อนตายของเราแต่โบราณ”
“ฉันรู้...แต่ถ้าเจนเขาไม่ลงแล้วจะให้ทำไง”
ระหว่างนั้นมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ก่อนที่สรนุชจะเปิดผัวะเข้ามา โดยที่ใจเด็ดยังไม่ได้บอกว่าเชิญ
สรนุชเห็นใจเด็ดกับเกริกไกรหน้าเครียดก็ชะงัก
“อุ้ย...ท่าทางคงคุยเรื่องเครียดกันอยู่...เดี๋ยวฉันมาใหม่ก็ได้ค่ะ”
สรนุชทำท่าจะเดินออกไป ใจเด็ดกับเกริกไกรหันมองหน้ากัน ก่อนที่ทั้งคู่จะตัดสินใจเรียกสรนุชพร้อมกัน
“คุณนุช” ใจเด็ดกับเกริกไกรประสานเสียง
สรนุชหันมามองสองหนุ่มอย่างงงๆ ว่าเรียกเธอทำไม

ไม่นานหลังจากนั้น ใจเด็ดกับสรนุชก็พากันเดินทางมาที่วัด หลวงพ่อแปลกใจหลังจากรู้เรื่อง
“โยมจะลงประกวดรึ”
สรนุชนั่งฟังอยู่กับใจเด็ด
“เปล่าหรอกค่ะ...คือดิฉันมาเป็นตัวแทนของเพื่อนที่จะลงน่ะค่ะ” สรนุชบอก
“แล้วโยมเจนล่ะ” หลวงพ่อหมายถึงเจนจิรา
“เห็นว่าปีนี้เธอไม่อยากประกวดน่ะครับ...ผมก็เลยมาถามหลวงพ่อก่อนว่าเราสามารถให้คนนอกพื้นที่ประกวดได้หรือเปล่า” ใจเด็ดบอก
“เอ...เรื่องนี้อาตมาก็ไม่ค่อยแน่ใจนะ...แต่คิดว่าน่าจะได้...ขนาดนางสาวไทย...อาตมายังเห็นชาติอื่นมาประกวดได้เลยนี่”
สรนุชกับใจเด็ดมองหลวงพ่ออย่างแปลกใจ หลวงพ่อชะงักรีบเก็กหน้าขรึม
“อะแฮ่ม...อาตมาดูตอนที่ยังเป็นฆารวาสน่ะ”
สรนุชกับใจเด็ดถอนหายใจโล่งอก ระหว่างนั้นเสียงของโชคชัยดังขึ้น
“คุณนุช !
สรนุชกับใจเด็ดหันไปก็เห็นโชคชัยเดินขึ้นมาบนกุฏิ โชคชัยคลานเข่าเข้ามาก่อนจะก้มลงกราบหลวงพ่อ
“เออ...ไปไงมาไงละนายก”
“คือ...ผมไปหาคุณนุชที่สถานีเมื่อเช้า...เห็นหมอบอกว่าคุณนุชมาวัดกับใจเด็ด...ผมก็เลยตามมาน่ะครับ”
“อ๋อ...สรุปว่าไม่ได้มาหาอาตมา” หลวงพ่อแซวเอา
“มาหาหลวงพ่อซิครับ...แต่พอดีผมทราบเรื่องที่คุณนุชจะลงประกวดเทพีกระบือ...ผมก็เลยรีบมา...เผื่อคุณนุชอยากได้คำปรึกษาอะไร”
ใจเด็ดฟังแล้วทำหน้าเซ็งนิดๆ
“ไม่ใช่ค่ะ...ฉันไม่ได้ประกวด...ยัยอรค่ะ...ที่ฉันมานี่เพื่อมาถามหลวงพ่อว่าถ้าไม่ใช่คนที่นี่จะลงประกวดได้มั้ย” สรนุชว่า
“ทำไมจะไม่ได้ละครับ” โชคชัยบอก
สรนุชดีใจสุดขีด “จริงเหรอคะ”
“ครับ...ผมขอยืนยันด้วยเกรียติของนายกอบต.หนองระบือครับ”
สรนุชยิ้มให้โชคชัยด้วยความดีใจ ในขณะที่ใจเด็ดทำหน้าเซ็งเมื่อโดนขโมยซีนไปต่อหน้าต่อตา

เวลาเดียวกัน เจนจิราชะเง้อรอใจเด็ดอยู่ที่หน้าบ้าน
“ทำไมยังไม่มาง้ออีกเนี่ย” เจนจิราคิดไปคิดมา “หรือว่า...พี่ใจเด็ดจะโกรธ”
เจนจิราครุ่นคิดอย่างลังเล
ในขณะที่ใจเด็ดเดินหน้าเครียดมาตามทาง ระหว่างนั้นเสียงของเจนจิราดังขึ้น
“พี่...”
ใจเด็ดหยุดก่อนจะหันไปเห็นเจนจิราเดินเข้ามา
“ว่าไงเจน...”
“คือ...เจนมาคิดๆ ดูแล้วเรื่องที่พูดกับพี่ไปเมื่อเช้าน่ะค่ะ”
ใจเด็ดงง สีหน้าสงสัยว่าเรื่องอะไร
“ก็เรื่องนางเทพีกระบือไงคะ”
ใจเด็ดเพิ่งถึงบางอ้อ
“คือ...เจนว่า...”
“ไม่เป็นไร...ตอนนี้พี่หาคนประกวดแทนเราได้แล้ว” ใจเด็ดบอก
เจนจิราที่กำลังจะบอกว่าเธอยอมประกวดถึงกับอ้าปากค้าง
“เอ่อ...อ๋อ...ดีจังเลยค่ะ...แล้วใครเหรอคะ”
“คุณอรน่ะ...คุณนุชแกให้คุณอรเป็นตัวแทนของสถานีเรา” ใจเด็ดเดินเข้ามาตบไหล่ปลอบใจ “ถ้ารู้สึกว่างานมันหนักก็บอกพี่นะ”
ใจเด็ดผุดยิ้มที่มุมปากให้กับเจนจิราก่อนจะเดินออกไป เจนจิราถึงกับอึ้งที่ทุกอย่างออกมาผิดคาด

พอรู้เรื่องจากสมคิดที่มารายงาน ช่อผกาก็ออกอาการวีนแตกทันควัน
“ไม่จริง ! พี่เด็ดต้องไม่เอานังพวกนั้นลงประกวดแน่”
ชาญณรงค์นอนคว่ำอยู่บนโซฟา โดยมีสมคิดคอยทายาที่หลังบริเวณแผลที่โดนมีดทิ่ม อยู่ไม่ห่าง
“เอ็งได้ยินมาถูกหรือเปล่า...ไอ้คิด” ชาญณรงค์ถามย้ำ
“ยิ่งกว่าถูกอีกนาย...ถ้าผิดจากนี้นิดเดียว...ไอ้คิดให้นายกระทืบสามวันสามคืนเลยจริงๆ” สมคิดการันตี
ช่อผกาได้ยินอย่างนั้นก็ร้องกรี๊ดออกมา “อ๊าย...”
ชาญณรงค์โมโห “เว้ย ! นังผกา...แกจะแหกปากหาอะไร”
“หรือว่าคุณหนูกลัวแพ้ครับ” สมคิดออกความเห็นอีก
“ไอ้คิด...ไอ้เลว...แกคิดว่าความสวยฉันสู้คนอื่นหรือไง”
“ไม่ใช่อย่างนั้น...คือ...ผมกำลังจะบอกว่าคุณหนูไม่ต้องกลัวแพ้หรอกครับ...เพราะยังไงเดี๋ยวนายท่านก็จัดการเหมือนกับปีที่แล้วแน่ๆ” สมคิดว่า
ช่อผกาหูผึ่ง “จัดการ..? จัดการอะไรพ่อ”
“ก็ไม่ได้ทำอะไร...พ่อก็แค่ยืดอายุการผ่อนหนี้ของพวกกรรมการออกไปให้นิดหน่อยเท่านั้นเอง” ชาญณรงค์บอกหน้าตาเฉย
“นี่พ่อกำลังจะบอกว่าที่หนูชนะมาทุกปี เพราะติดสินบนกรรมการพวกนั้นใช่มั้ย”
“เอ่อ...พ่อไม่ได้ว่าอย่างนั้น”
“อ๊าย” ช่อผกาเจ็บใจร้องกรี๊ดออกมา
ชาญณรงค์กับสมคิดต่างพากันเอามือปิดหูแทบไม่ทัน
“ปีนี้พ่อไม่ต้องทำอะไรเลยนะ...หนูจะใช้ความสวยของหนูพิชิตตำแหน่งนางเทพีกระบือมาด้วยความสวยของหนูเอง”
พูดแค่นั้นช่อผกาก็เดินกระทืบเท้าเสียงปึงปังออกไปอย่างหงุดหงิด
“เอาไงดีครับนาย” สมคิดถาม
“จะเอาไง...ก็ทำเหมือนเดิมนั่นแหละ...เรื่องอย่างนี้มันไว้ใจกันได้ที่ไหน...แล้วแกรู้หรือเปล่าว่าไอ้ใจเด็ดมันส่งใครเข้าประกวด”
สีหน้าชาญณรงค์ดูจะเป็นกังวลเอามากๆ

สรนุชกลับมาที่สถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ แล้วแจ้งเรื่องที่ไปหารือกับใจเด็ดและหลวงพ่อให้เพื่อนซี้รับรู้ อรอนงค์ตกใจ

“ฉันเนี่ยนะ”
“จะตกใจอะไรคะคุณอร...หรือเธอจะส่งสุบินลงประกวดแทนละ” สรนุชย้อนถาม
“พอเลย...แค่ฉันต้องแข่งไถนา...ชีวิตก็แย่พอแล้ว” สุบินบอก
เห็นสีหน้าอรอนงค์เครียดจัด สรนุชต้องเข้าตบไหล่ปลอบใจ
“เป็นไร...คิดซะว่ามันเป็นงานอย่างนึงซิ...กลับกรุงเทพฯเมื่อไหร่...ฉันจะเขียนรายงานให้เธอได้เป็นหัวหน้าแผนกบัญชีเลยเอ้า”
“ไม่อ่ะ...ฉันทำไม่ได้หรอกนุช” อรอนงค์ปฏิเสธ
“ได้ซิ...ไม่เห็นต้องทำอะไร...เธอก็แค่เดินๆ...แล้วพอกรรมการเขาถามก็แค่พูดว่าเธอเป็นคนรักเด็กกับรักสัตว์มาก....ค่ะ” สรนุชบอกราวกับเป็นกูรูนางงาม
“นี่...มัวแต่พูดเล่นอยู่นั่นแหละ...แกรู้หรือเปล่าว่านางเทพีกระบือต้องทำอะไรบ้าง”
“เอ่อ...ไม่รู้หรอก” สุบินกับอรอนงค์ทำหน้าเซ็ง สรนุชพูดต่อ “จะไปยากอะไร...เราไม่รู้ก็ถามคนรู้ก็สิ้นเรื่อง”
“แล้วแกจะถามใคร” สุบินถาม
ระหว่างนั้นเสียงของโชคชัยดังขึ้น
“คุณนุช...คุณนุชอยู่มั้ยครับ”
ทั้งสามตาโตเหมือนได้คำตอบแล้ว ไม่นานนักโชคชัยก็เดินเข้ามา เห็นสรนุช สุบิน และอรอนงค์นั่งคุยกันอยู่
“อ้าว...อยู่นี่กันเอง” ใชคชัยเห็นสายตาที่ทั้งสามมองมาก็สงสัย “มีอะไรหรือเปล่าครับ”

ด้านใจเด็ดกำลังดูชุดไทยที่เป็นชุดประจำของสถานี โดยมีภิรมย์ และสมหญิงยืนออกความเห็นอยู่ด้วย
“เป็นไง...พวกเราว่าคุณอรจะใส่ชุดนี้ได้มั้ย”
“สบายครับ...คุณอรนะหัวหน้าไม่ใช่นังนี่” ภิรมย์แขวะสมหญิง
“จ้ะ...พ่อหุ่นดี...พ่อสเลนเดอร์” สมหญิงประชดกลับแล้วตบหัวภิรมย์เข้าให้ “นี่...ก่อนว่าคนอื่นดูตัวเองซะก่อน” หันมาพูดกับใจเด็ด “ได้อยู่แล้วหัวหน้า...ถ้าคุณอรใส่ชุดนี้รับรองว่าตำแหน่งเทพีนางกระบือต้องเป็นของสถานีเราอย่างแน่นอน”
ใจเด็ดมองชุดไทยในมือยิ้มออกมาได้

ใจเด็ดเดินถือถุงเสื้อมุ่งหน้ามาที่เรือนรับรอง แต่แล้วใจเด็ดก็ต้องชะงักไปเมื่อได้ยินเสียงคนเดินคุยกันมาตามทาง ก่อนที่จะเห็นว่าเป็นโชคชัย สรนุช และอรอนงค์นั่นเอง
สรนุช โชคชัยและอรอนงค์เดินมาจนเห็นใจเด็ดยืนอยู่ก็หยุดเช่นกัน
“พวกคุณจะไปไหนกัน”
“ฉันกำลังจะพาคุณนุชกับคุณอรไปดูชุดประกวดที่ตลาดน่ะ”
ใจเด็ดได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกหน้าชาไปพร้อมพยายามหลบถุงเสื้อ
สรนุชสังเกตเห็นก็สงสัย “ถุงอะไรน่ะ”
ใจเด็ดพูดไม่ออก “เอ่อ...”
“ไง...เอามาให้พวกฉันหรือเปล่า”
สรนุชจะเข้ามาดูถุงในมือของใจเด็ด แต่ถูกใจเด็ดกระชากกลับอย่างแรง จนทำให้ทุกคนอึ้งไป
“ผมไม่ได้เอามาให้คุณ”
สรนุชไม่เชื่อยี้ปากใส่ด้วยความหมั่นไส้
“คุณใจเด็ดไปด้วยกันมั้ยคะ” อรอนงค์ถาม
“อย่าดีกว่าครับ...ผมมีงานต้องทำอีกมาก...เชิญพวกคุณตามสบายเถอะครับ”
“ชิ...ไปกันดีกว่าคะ” สรนุชหันมาทางโชคชัย
“ครับ” โชคชัยเดินนำสรนุชกับอรอนงค์ไปตามทาง

ขณะที่ใจเด็ดทำท่าว่าจะเดินไปอีกทาง แต่ก็หยุดชะงัก แล้วหันไปมองตามทั้งสามคน พลางมองถุงเสื้อในมือ ด้วยความปวดร้าวลึกๆ ภายในใจ
ไม่นานหลังจากนั้นโชคชัย กับสรนุชและอรอนงค์ เดินอยู่ในตลาดหนองระบือ

“รับรองครับว่าร้านนี้ต้องถูกใจคุณนุชกับคุณอรแน่นอน”
“แสดงว่าเป็นร้านดังใช่มั้ยคะ” สรนุชยิ้มระรื่น
“ครับ...ร้านนี้เป็นร้านดังที่สุดในหนองระบือเลยทีเดียว”
“ไงอร...คราวนี้เธอไม่ต้องไม่สวยแล้ว...โอเค๊” สรนุชยิ้มให้เพื่อนซี้
ระหว่างนั้นโชคชัยหยุดที่หน้าร้านแห่งหนึ่ง
“ถึงแล้วครับ”
สรนุชกับอรอนงค์ที่ยิ้มอยู่พอหันมองมาที่ร้านก็ถึงกับยิ้มค้าง
เมื่อเห็นว่าเป็นห้องเสื้อแบบโบราณประมาณยุค 60 เห็นจะได้
“เข้าไปดูกันครับ” โชคชัยชวน
สรนุชบอกกับอรอนงค์ “ข้างในอาจจะไม่ใช่อย่างที่เราคิดก็ได้...ไป”
สรนุชพยายามปลอบอรอนงค์ก่อนจะดึงอรอนงค์ตามโชคชัยเข้าไป

สรนุชกับอรอนงค์มองแบบเสื้อผ้าที่อยู่ภายในร้าน ทั้งสองต่างก็ทำหน้าไม่ถูก ระหว่างนั้นป้าเจ้าของร้านเดินออกมา
“สวัสดีจ้ะนายก...มาดูเสื้อหรือไง”
“ครับ...” โชคชัยไหว้ทักทาย
ป้ารีบเดินเข้าไปหาสรนุชทันที
“แหม...สวยจังเลยหนู...” หันมาพูดกับโชคชัย “ตาถึงจริงๆ เลยนะนายก...ไงคะ...จะมาซื้อชุดพาแฟนออกงานเหรอคะ”
คำพูดของป้าเจ้าของร้านทำเอาโชคชัยถึงกับเขิน แต่สรนุชรีบพูดขึ้น
“อุ้ย...ไม่ใช่ค่ะ”
“ไม่ใช่อะไรจ๊ะ...ไม่ใช่แฟนนายกหรอกเหรอ”
“ค่ะ...ไม่ใช่แฟนแล้วก็ไม่ได้ไปออกงาน...คือ...เราจะมาดูชุดที่จะใช้ประกวดเทพีนางกระบือน่ะค่ะ”
“อ้าว...อุ้ย...งั้นโทษนะจ้ะ..” ป้าไปมองอรอนงค์ “ได้...หนูใช่มั้ยที่จะประกวด”
“ค่ะ”
ป้ามองสำรวจสัดส่วน “ได้...เดี๋ยวป้าเอามาให้เลือกนะ”
ป้าเจ้าของร้านเดินออกไป สรนุชกับอรอนงค์มองหน้ากันเจื่อนๆทั้งคู่

เวลาเดียวกันใจเด็ดมองชุดในมือ ก่อนจะเก็บมันลงกล่อง ระหว่างนั้นเกริกไกร ภิรมย์และสมหญิงเปิดประตูเข้ามาในสำนักงานพอดี
“อ้าว...นั่นมันชุดที่จะใช้ประกวดนี่คะหัวหน้า”
“ทำไมเก็บซะละครับ...พวกคุณแกไม่ใส่เหรอครับ” ภิรมย์สงสัย
ใจเด็ดปิดกล่องก่อนจะเก็บมันเข้าตู้ดังเดิม
“นายกเขาอาสาพาคุณอรไปเลือกชุดใหม่น่ะ”
เกริกไกรตกตะลึง “อะไรนะ...แกว่าใครพาคุณอรไปนะ”
ใจเด็ดย้ำ “นายกโชคชัยไง”
“นายกโชคชัย” เกริกไกรสีหน้าเครียด “แกไม่รู้แปลกๆ บ้างหรือไงวะไอ้เด็ด”
“แปลก..? เรื่องอะไร”
“เอ้า...ก็พักนี้นายกเขามาที่สถานีเราบ่อยๆ...ฉันว่านายกเขาต้องติดใจอะไรที่นี่แน่ๆ”
ใจเด็ดนิ่งไปไม่อยากจะบอกว่า ความรู้สึกของเขารู้ว่าโชคชัยชอบสรนุช
“ฉันว่าแกอย่าคิดมากเลย...นายกเขาอาจจะต้องการให้งานทำขวัญควายออกมาดีที่สุดก็ได้”
แม้ว่าปากใจเด็ดจะพูดอย่างนั้นแต่เกริกไกรก็ยังไม่หายกังวล ขณะที่ใจเด็ดเองก็รู้ว่ามันเป็นคำพูดปลอบใจตัวเองนั่นเอง

ด้านสรนุชกับอรอนงค์มองชุดในมือสีหน้าเจื่อนๆ ป้าเจ้าของร้านอธิบายฉอดๆ
“นี่เลย...ชุดนี้ เพชรา เชาวราษฏร์ ตอนที่ดังๆ ชอบใส่ชุดนี้มาก”
“เอ่อ...แต่หนูว่ามันไม่ค่อยเหมาะกับการประกวดเท่าไหร่...ป้ามีชุดใหม่มั้ยคะ” อรอนงค์ท้วง
“เหรอ...งั้นลองชุดนี้”
ป้าบอก ว่าแล้วก็หยิบอีกชุดมาให้สองสาวดู
“นี่...งั้นชุดนี้ต้องเหมาะแน่ๆ...เป็นชุดของสวลี ผกาพันธ์”
สรนุชอึ้งกิมกี่ “เอ่อ...”
“ไง...สวยนะป้าว่า...มันออกแนวปัดโธ่ไง”
อรอนงค์ท้วง “แนวเรทโทมั้งคะ”
“เออ...นั่นแหละ”
“คุณป้ามีแบบว่า...ที่ใหม่ที่สุดในร้านมั้ยคะ” สรนุชถามขึ้น
“ใหม่ที่สุดเหรอ...แน่ใจนะว่าใส่ได้...ชุดนี้มันเปรี้ยวนา”
ว่าแล้วป้าเจ้าของร้านก็หยิบชุดเสื้อเปิดไหล่นิดหน่อยกับกางเกงขายาวออกมา
“นี่เลย...ชุดนี้มนฤดี...ยมาภัย...ใส่ตอนเล่นเรื่องบ้านทรายทอง”
สรนุชกับอรอนงค์ถึงกับเซถลากันไป โชคชัยหน้าเจื่อนรู้ว่าทั้งสองไม่ค่อยชอบนั่นเอง

โชคชัยเดินออกมาจากร้านเสื้อพร้อมกับสรนุชและอรอนงค์
“ถ้าคุณอรไม่ถูกใจเดี๋ยวผมขับรถไปดูจังหวัดใกล้ๆให้ก็ได้นะครับ”
“อุ้ย...ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ...แค่นี้อรก็เกรงใจคุณโชคชัยจะแย่อยู่แล้ว” อรอนงค์เกรงใจ
“เกรงใจอะไรกันครับ...ถ้าถึงวันงานแล้วคุณอรไม่สวย...คุณนุชอาจจะโทษผมได้”
“อ้าว...เห็นนุชเป็นคนอย่างนั้นเหรอคะ”
โชคชัยหัวเราะร่าที่ได้แหย่แซวสรนุช ระหว่างนั้นเสียงของชาญณรงค์ก็ดังขึ้น
“น้องอร”
อรอนงค์สะดุ้งโหยง ก่อนที่จะหันไปเห็นชาญณรงค์ในสภาพไม่เต็มร้อย หัวเป็นแผล หลังเป็นรู เดินเข้ามา
“ผู้พัน”
“ช่างบังเอิญจังนะจ๊ะ...อย่างนี้เขาเรียกว่าบุพเพสันนิวาสแน่ๆ เลย”
สรนุชได้ยินที่ชาญณรงค์พูดก็รู้สึกแปลกใจ
“อ้าว...นายก...” ชาญณรงค์มองทั้งสามคนด้วยความประหลาดใจ “มาทำอะไรกันที่นี่”
“พอดีผมมาเป็นเพื่อนคุณนุชกับคุณอรเลือกชุดประกวดวันงานทำขวัญควายน่ะครับผู้พัน”
ชาญณรงค์ตื่นเต้นออกนอกหน้า “จริงซิ...พี่ลืมไปเลยว่าน้องลงประกวด...ถ้าอย่างนั้น เอ่อ...ไม่ทราบว่าจะว่าอะไรมั้ยครับถ้าผมจะขอโอกาสเลี้ยงฉลองให้กับตำแหน่งเทพีกระบือให้กับน้องอรเขาล่วงหน้า”
ทุกคนได้ยินอย่างนั้นก็ทำหน้าเหวอกันไป

ทางด้านสุบินเดินมาเลียบๆ มองเมียงไปที่คอกก็เห็นเจนจิรากำลังทำงานหน้าตาเคร่งเครียดอยู่
สุบินออกอาการกล้าๆกลัวๆ ไม่รู้ว่าจะพูดยังไง
สุบินตัดสินใจ “เอาวะ”
ว่าแล้วสุบินก็เดินเข้าไปหาเจนจิราที่กำลังทำงานอยู่
“เอ่อ...” สุบินไม่รู้จะพูดว่าไงเลยทักแบบแข็งๆ “หวัดดีครับ”
เจนจิราชะงักก่อนจะหันมาเห็นสุบิน เจนจิราทิ้งคราดในมือก่อนจะเดินหนีไป สุบินรู้อยู่แล้วว่าเจนจิราจะเดินหนีเลยวิ่งไปดักหน้า
“ผมบอกว่าผมขอโทษแล้วไง”
เจนจิราไม่สนใจ เมื่อสุบินมาดักหน้าเธอก็หมุนกลับอีกทาง แต่สุบินก็วิ่งมาดักอีก เจนจิราหันกลับจะเดินหนี สุบินจึงตัดสินใจคว้ามือของเจนจิราเอาไว้
เจนจิราชะงักไปแล้วมองที่มือของสุบินที่จับมือเธอ สุบินเองก็เกิดความรู้สึกแปลกๆ ชั่วแวบหนึ่งขึ้นมาในใจ
“คุณต้องการอะไร...คุณอยากให้ฉันทำในสิ่งที่ใจบอก...ฉันก็ทำแล้ว...แล้วมันเป็นยังไง”
“ผมอยากให้คุณสอนผมไถนา”
เจนจิราอึ้งปนงง “อะไรนะ”
สุบินพูดอย่างนั้นออกไปเพราะต้องการใช้เรื่องการแข่งไถนามาคุยกับเจนจิรา และเพื่อต้องการเปลี่ยนเรื่องเพราะไม่อย่างนั้นเจนจิราอาจจะจมอยู่กับเรื่องเก่าๆ
แต่เจนจิรากลับเข้าใจไปเรื่องอื่น
“ใช่...ฉันมันเป็นควาย...พอใจยัง”
เจนจิราสะบัดมือสุบินออกก่อนจะเดินออกไป สุบินเองก็งงไม่แพ้กัน
“อะไรวะ...บอกให้สอนไถนา...แล้วมันเป็นควายตรงไหน” สุบินเพิ่งนึกออก “เฮ้ย! หรือว่าเธอคิดว่าเราให้เธอเป็นควาย” ยิ่งคิดก็ยิ่งตกใจ “โอ๊ย...! ทำไมมันเป็นอย่างนี้วะ”

เวลาเดียวกันใจเด็ดกับภิรมย์กำลังช่วยกันต้อนลูกควาย ใจเด็ดกระโดดคว้าลูกวัวตัวหนึ่งเอาไว้ได้ ก่อนจะตะโกนเรียกเกริกไกร
“ได้แล้วหมอ”
เกริกไกรยืนเหม่อมองไปทางหน้าสถานี จนใจเด็ดต้องตะโกนเรียกอีกครั้ง
“หมอ”
เกริกไกรเริ่มรู้สึกตัว “มาแล้วๆ”
เกริกไกรรีบพุ่งเข้ามาหาลูกควายที่อยู่วงแขนของใจเด็ดกับภิรมย์พร้อมกับเข็มฉีดยาในมือ
แต่ทันใดนั้นเสียงของภิรมย์ก็ร้องขึ้น
“โอ๊ย”
“เป็นไร” ใจเด็ดสงสัย
ภิรมย์นิ่งไปก่อนจะหงายหลังล้มตึง เห็นเข็มฉีดยาปักอยู่คาคอ
“เฮ้ย ! ภิรมย์...ภิรมย์”
ใจเด็ดหันไปมองเกริกไกร เกริกไกรอึ้งไปได้แต่ยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก

ที่ร้านคาราโอเกะแห่งนั้น เสียงร้องเพลงดังแทรกเข้ามา
“ท่าฉลอม...กับมหาชัย”
เป็นผลงานของชาญณรงค์กำลังยืนร้องเพลงอยู่ภายในห้องคาราโอเกะส่วนตัว โดยมีสรนุช อรอนงค์ และโชคชัยนั่งฟังอยู่อย่างเบื่อๆ
“จะคิดทำไมว่าไกล...เชื่อมความรักไว้ดีกว่า”
ชาญณรงค์ร้องไปก็พยายามส่งสายตามาที่อรอนงค์ อรอนงค์พยายามหลบตา สรนุชมองอาการของผู้พันชาญณรงค์ก็รู้เลาๆ ว่าชาญณรงค์กำลังจีบอรอนงค์
ชาญณรงค์ยังร้องเพลงต่อเนื่อง ก่อนจะเห็นว่าท่าทางคนฟังเบื่อๆ เลยพูดขึ้นกลางเพลง
“ไม่สนุกกันเหรอครับ”
“ผมว่าผู้พันลองเปลี่ยนเป็นเพลงเร็วๆ ดีมั้ยครับ” โชคชัยเชียร์ต่อ
“เพลงเร็ว...อ๋อ...ได้เลย” ว่าแล้วก็ร้องเพลงท่าฉลอมกลายเป็นแร๊พซะงั้น “บอกเพียงซักคำว่าไม่รักจะหักใจลา...ซ่อนตัวตามประสา...จะหนีซ่อนหน้า...ห่างไกล”
ทุกคนอึ้งไป ชาญณรงค์หัวเราะขำอยู่คนเดียว
“ล้อเล่นนิดๆ หน่อยๆ น่ะครับ...เพลงเร็วใช่มั้ย”
ชาญณรงค์หันไปเลือกเพลง สรนุชได้ทีหันไปแหย่อรอนงค์
“ฮัลโหล”
อรอนงค์สะดุ้ง “อะไร”
“เปล่า...ฉันแค่ลองดูว่าเธอได้ยินมั้ย...หรือว่ากำลังอินไปกับเพลง”
“อินอะไรเล่า”
“แหม...ก็ผู้พันเขาอุตส่าห์ร้องเพลงสารภาพรักซะขนาดนี้”
“พูดอะไรนะนุช...” อรอนงค์บอกฉุนๆ
“เอ้า...ก็เล่นส่งสัญญาณความถี่สูงมาให้ซะขนาดนี้...ถ้าไม่ใช่ฉันยอมให้เตะเลย”
ระหว่างนั้นเสียงเพลง “เล่นของสูง” ดังขึ้น ทุกคนหันไปเห็นชาญณรงค์โยกหัวในมาดหนุ่มร็อก
“รู้ว่าเสี่ยง...แต่คงต้องขอลอง”
ทุกคนหน้าเจื่อนลงอีกเพราะเสียงของชาญณรงค์ไม่ได้เข้ากับเพลงเลยแม้แต่น้อย
“รู้ว่าเหนื่อย...ถ้าอยากได้ของที่อยู่สูง...”
ชาญณรงค์ตั้งใจส่งประโยคนั้นให้กับอรอนงค์ ส่วนโชคชัยก็แอบมองสรนุช อินไปกับเพลงท่อนที่ชาญณรงค์ร้องเช่นกัน สรนุชไม่รู้ตัวว่าถูกโชคชัยแอบมองเพราะเอาแต่ขำอรอนงค์ สรนุชนึกสนุก ลุกขึ้น
“อ้าว...จะไปไหนน่ะนุช”
“ห้องน้ำ” สรนุชรีบหันไปชวนโชคชัย “ไปห้องน้ำกันมั้ยคะ...เราจะได้ปล่อยให้ผู้พันเขาเล่นของสูงไป”
“ได้ครับ”
“ฉันไปด้วย” อรอนงค์จะลุกตาม
สรนุชกดไหล่อรอนงค์ให้ลงนั่งเหมือนเดิม “รออยู่นี่แหละ...เดี๋ยวผู้พันเขาปีนขึ้นมาแล้วไม่เจอหรอก สรนุชหันมาพูดกับชาญณรงค์ “ฝากอรด้วยนะคะผู้พัน”
ชาญณรงค์ยิ้มกริ่มที่สรนุชเปิดโอกาส “ได้เลยครับ”
สรนุชแอบอมยิ้มก่อนจะรีบเดินออกไปกับโชคชัย ชาญณรงค์ส่งยิ้มให้อรอนงค์ก่อนจะร้องเพลงเข้าที่ท่อนฮุกดังสุดเสียง
“ได้เกิดมาเจอเธอทั้งที...ไม่ว่ายังไงจะลองดีซักวัน...อยากรักก็ต้องเสี่ยง...ไม่อยากให้เธอเป็นเพียงภาพในความฝัน”
อรอนงค์ทำหน้าเบ๊อยากจะร้องไห้ให้ได้

สรนุชเดินอมยิ้มมาตามทาง ระหว่างนั้นโชคชัยพูดขึ้น
“ขำอะไรเหรอครับ”
“ก็ถ้าผู้พันแกชอบยัยอรจริงๆ คงขำดีพิลึก”
โชคชัยได้ยินอย่างนั้นก็มีสีหน้าเศร้าลง
“เพราะคุณอรแกอยู่สูงเกินกว่าที่คนอย่างผู้พันจะเอื้อมถึงเหรอครับ”
โชคชัยจงใจพูดเปรียบเปรยกับตัวเองเพื่อไม่ให้สรนุชรู้
“ใครบอกละคะ...คนที่สูงน่ะผู้พันต่างหาก”
โชคชัยงง “อะไรสูงเหรอครับ”
“อายุค่ะ”
โชคชัยอมยิ้มตามสรนุช ก่อนจะลองเลียบๆเคียงๆพูดขึ้น
“ถ้ามีคนมาแอบชอบคุณนุช...แล้วเขาต่ำต้อยเหมือนในเพลง...คุณนุชคิดยังไงครับ”
สรนุชฟังแล้วแปลกใจ
โชคชัยรีบทำเป็นไก๋ “เอ่อ...คือผมอยากรู้มุมมองของผู้หญิงน่ะครับ...ถ้าผู้ชายต่ำต้อยกว่า...ผู้หญิงจะรู้สึกยังไง”
“ถ้าเป็นนุช...ความรักก็คือความรักค่ะ...ไม่ได้ขึ้นว่าสูงหรือต่ำ...สำหรับนุช...ขึ้นอยู่ที่ว่าเขาจะทำให้นุชรักเขาได้หรือเปล่า”

พูดจบสรนุชก็เดินต่อ ขณะที่โชคชัยนิ่งและคิดตามคำพูดของสรนุชเหมือนกำลังตัดสินใจบางอย่าง







Create Date : 04 เมษายน 2555
Last Update : 4 เมษายน 2555 13:11:14 น.
Counter : 507 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]