กระบือบาล ตอนที่ 6 (ต่อ)




สุบินเห็นสรนุชอึ้งจึงรีบเข้ามาตะล่อมให้สรนุชเห็นด้วยกับความคิดของเขา

“ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเหรอ...?” สรนุชคิดหนัก
“ถูกต้อง...เป็นไงแผนฉันเข้าท่ามั้ย” สุบินดี๊ด๊าคิดว่าสรนุชเห็นงามตามด้วยแน่ๆ
“อืม...งั้นฉันว่าแกต้องเตรียมลูกปืนเอาไว้อีกนัดแล้วละ” สรนุชบอก
อรอนงค์ สงสัย “อีกนัด..? แกจะเอาไปยิงอะไรเหรอนุช”
สรนุชพูดพร้อมกับลุกขึ้นเอาเรื่องสุบิน “ก็ยิงมันไง”
สรนุชปรี่เข้าไปหาสุบินจะเอาเรื่อง สุบินรีบวิ่งไปหลบหลังอรอนงค์
“เว้ย ! ยัยนุช...นี่ฉันช่วยแกนะ”
“ช่วยให้วุ่นมากกว่าเดิมน่ะซิ”
“ใช่...จัดการเลย...”อรอนงค์เบี่ยงตัวหลบ “ออกไปเลย”
อรอนงค์ช่วยจับตัวสุบินออกมาให้สรนุช แต่สุบินกลับวิ่งหนีออกไป สรนุชกับอรอนงค์พยายามวิ่งไล่จับกันจนวุ่นวาย

เวลาผ่านไป พระจันทร์ส่องแสงกระจ่างฟ้ายามดึก เวลานั้นสรนุชนั่งพิมพ์บันทึกอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องนอน อรอนงค์นอนหลับอุตุอยู่บนเตียง
“การถ่ายทำวันแรกเต็มไปด้วยความวุ่นวาย...ทั้งหมดนี่เป็นเพราะยัยช่อผกาคนเดียว”
สรนุชนิ่งไปใช้ความคิดก่อนจะพิมพ์ต่อ
“ไม่ใช่ซิ...ทั้งหมดเป็นเพราะนายใจเด็ดนั่นต่างหาก” สรนุชกัดฟันอย่างคั่งแค้น จนเจ็บแก้ม “อูย ! ฮึ่ยย์...ที่ฉันเป็นอย่างนี้ก็เพราะนาย...ทำไมทุกคนต้องคิดว่าฉันเป็นแฟนกับคนอย่างนั้นด้วย”
ระหว่างนั้นเสียงอรอนงค์ดังขึ้น “ก็เพราะว่าเธอสองคนเหมาะสมกันไง”
สรนุชสะดุ้งสุดตัวตกใจเพราะคิดว่าอรอนงค์หลับไปแล้ว
สรนุชระล่ำระลัก “อะไรของเธอ...เหมาะสมอะไร”
“ชิซูกะจังเธอน่ะเหมาะกับโนบิตะที่สุดแล้ว” ที่แท้อรอนงค์ละเมอ
สรนุชถึงกับอึ้งอ้าปากค้าง ทั้งโล่งอกทั้งขำ
“เฮ้อ...เพื่อนฉัน...ละเมอเป็นการ์ตูนพีเรียดซะงั้น” สรนุชฉุกคิดขึ้นมา “แล้วทำไมเราต้องตกใจด้วย...ในเมื่อเราไม่ได้คิดอะไรกับหมอนั่นซะหน่อย..” พร้อมกับปิดคอมพ์ “ไอ้สุบินบ้า...เอาคิดบ้าๆ อะไรมาใส่หัวฉันเนี่ย”
สรนุชสูดลมหายใจลึกตั้งสติ
“เราไม่เคยได้ยินว่าเราเป็นแฟนกับหมอนั่น...เราต้องไม่คิด...เราต้องไม่คิด”
รุ่งเช้าสรนุชเปิดประตูผัวะออกมาจากห้องนอนด้วยสภาพขอบตาดำคล้ำหัวกระเซิง
“ทำไมฉันเลิกคิดไม่ได้เนี่ย”
ระหว่างนั้นมีเสียงบางอย่างดังขึ้นมาจากมุมหนึ่งที่บริเวณด้านนอกเรือนรับรอง สรนุชชะงักหันขวับทันที

เป็นใจเด็ดนั่นเองซึ่งกำลังจับกาละมังผ้าที่หล่นหมุนอยู่ให้หยุดนิ่ง ก่อนจะมองไปทางเรือนรับรองให้แน่ใจว่าไม่มีใครตื่นเพราะความซุ่มซ่ามของเขา
ใจเด็ดเบาใจเมื่อไม่เห็นการเคลื่อนไหวจากภายในบ้านก่อนที่เขาจะหันมาเก็บเสื้อผ้าที่แขวนตากอยู่ที่ราว
“ตากผ้าตอนกลางคืนอย่างนี้แล้วเมื่อไหร่มันจะแห้ง”
จังหวะนั้นอีกมุม สรนุชเดินย่องออกมาจากภายในบ้าน แต่แล้วก็ตกใจเมื่อเห็นช่วงตัวของชายคนหนึ่งอยู่เสื้อผ้า เหมือนว่าใจเด็ดเก็บผ้ากันคนละฝั่งกับที่สรนุชเดินออกมาเลยทำให้สรนุชไม่เห็นว่าเป็นใจเด็ด
“ต้องเป็นพวกโรคจิตชอบขโมยกางเกงในแน่ๆ”
สรนุชหันซ้ายหันขวาหาอาวุธ แล้วจึงหยิบไม้กวาดที่วางอยู่ขึ้นมาแล้วค่อยๆย่องไปที่ราวตากผ้า
“โรคจิตใช่มั้ย...ต้องเจออย่างนี้...ย้ากก”
จังหวะที่สรนุชยกไม้ขึ้นจะตี เป็นจังหวะเดียวกับที่ใจเด็ดดึงผ้าออกพอดี ทั้งคู่เห็นกันก็ตกใจตะโกนออกมาพร้อมกัน
“ห๊า” / “เฮ้ย”
ทว่าสรนุชยั้งมือไม่ทันจึงฟาดไม้กวาดลงหัวใจเด็ดเต็มๆ โป๊ก !
“โอ๊ย ! นี่คุณเป็นบ้าอะไรเนี่ย” ใจเด็ดโวย
สรนุชรีบทิ้งไม้กวาดทันที “เอ้า...ก็ใครจะไปรู้ว่าเป็นนาย...แล้วอีกอย่างนายทำอย่างนี้แล้วฉันเข้าใจผิดก็ไม่ใช่ความผิดฉัน...เพราะนายต่างหาก”
ใจเด็ดรีบเบรกทันที “พอๆ ละ...ผมไม่อยากฟังคุณบ่นมากไปกว่านี้”
สรนุชแอบยิ้มสะใจ “ถือว่าหายกันกับที่ฉันโดนตบก็เพราะนายแล้วกัน”
ใจเด็ดได้ยินไม่ชัด “อะไรนะ”
“เปล๊า ! แล้วนายมาหาฉันแต่เช้ามีอะไร”
ใจเด็ดระบายลมหายใจสีหน้าเซ็งก่อนจะเดินไปหยิบห่อยามาส่งให้สรนุช
“เผื่อมันจะทำให้แก้มคุณดีขึ้น”
สรนุชอึ้งไปเพราะไม่คิดว่าใจเด็ดจะเป็นห่วงเธอ แต่แล้วใจเด็ดกลับพูดต่อ
“เมื่อคืนนายกโชคชัยเขาเอามาฝากไว้ให้คุณ...แต่ผมเห็นว่ามันดึกแล้ว”
สรนุชชะงักไป รู้สึกผิดหวังขึ้นมายังไงบอกไม่ถูก
สรนุชกระชากห่อยามา “ขอบใจ...” แล้วพูดประชดออกมา “คุณโชคชัยทำไมถึงได้เป็นคนดีขนาดนี้ ได้ผล...ใจเด็ดมีแอบเคือง “...ขนาดเขาไม่ได้เป็นสาเหตุยังเอายามาให้...ไม่เหมือนใครบางคน”
“ใคร...?”
“เปล่า...ฉันก็พูดไปอย่างนั้นแหละ...หมดธุระแล้วใช่มั้ย”
“ยังมีอีกเรื่อง...วันนี้ถ้าคุณจะออกไปถ่ายละครก็ให้เจนเขาพาไปแล้วกัน”
“แล้วนายละ”
“ผมมีประชุมเรื่องงานขวัญควาย...งานนี้ผู้นำชุมชนทุกคนต้องไปเพราะเป็นงานใหญ่ประจำตำบล”
“จะไปไหนก็ไปเถอะ...พวกฉันดูแลตัวเองได้”
ใจเด็ดมองหน้าสรนุชก่อนจะเดินหน้านิ่งไร้ความรู้สึกออกไป สรนุชมองตามยี้ปากหมั่นไส้
“ชิ...จะเบ่งว่าตัวเองเป็นผู้นำชุมชนก็บอกมาเถอะ” แต่แล้วสรนุชดันนึกขึ้นได้ “ผู้นำชุมชน”
สรนุชนิ่งไปเพราะความคิดบางอย่างแวบขึ้นมาในหัว

ใจเด็ดเดินมาตามทาง ระหว่างนั้นเสียงสรนุชดังขึ้น
“รอด้วย”
ใจเด็ดชะงักก่อนจะหันมาแล้วเห็นสรนุชวิ่งเข้ามา
“ฉันขอไปด้วยได้มั้ย”
ใจเด็ดมองสรนุชด้วยความสงสัย “คุณจะไปทำไม”
“เอ่อ...คือ” สรนุชรีบหาข้อแก้ตัว ก่อนจะมองเห็นถุงยาในมือตัวเองที่ใจเด็ดให้เอาไว้ “อ๋อ...งานนี้คุณโชคชัยไปด้วยใช่มั้ย”
ใจเด็ดชะงักไปนิดหนึ่ง “ใช่...มีอะไร”
“เอ้า...ก็ฉันอยากไปขอบคุณคุณโชคชัยที่เอายามาให้ฉันน่ะ”
ใจเด็ดได้ยินอย่างนั้นก็เหมือนอารมณ์ขึ้นโดยไม่รู้ตัว “ไม่ได้”
สรนุชมองด้วยความสงสัย
ใจเด็ดเริ่มรู้ตัวเอง แปลกใจตัวเองนิดนึง รีบเสพูดเรื่องอื่น “วันนี้เป็นการประชุมที่สำคัญ...ถ้าคุณจะไปพบนายกแค่นั้นก็ไม่เป็นไร...เดี๋ยวผมจะบอกนายกเขาให้เอง”
ใจเด็ดพูดจบแล้วก็เดินออกไปเลยเพื่อตัดบท แต่สรนุชยิ่งได้ยินคำว่าสำคัญก็ยิ่งอยากไป
“นี่...”
ใจเด็ดหยุดกึกหันกลับมาพูดเสียงแข็ง “ผมบอกว่าไปไม่ได้”
ใจเด็ดหันหลังเดินออกไป สรนุชเดินตาม ใจเด็ดหันมาแล้วชี้หน้า สรนุชหน้าง้ำลง
“อะไรของเขา...” สรนุชครุ่นคิด “ท่าทางลับๆล่อๆอย่างนี้...แสดงว่างานนี้ต้องสำคัญมากแน่ๆ”
สรนุชมองตามใจเด็ดที่เดินออกไปอยู่ครู่ ก่อนจะตัดสินใจค่อยๆย่องตามใจเด็ดไปติดๆทันที

ใจเด็ดเดินตรงมาที่รถกะบะ สรนุชแอบเดินตามมาติดๆ สรนุชมองไปที่ท้ายกะบะของใจเด็ดที่บรรทุกฟางอยู่เต็มก็เกิดความคิดทันที
สรนุชค่อยๆ ย่องตามใจเด็ดหวังว่าจะกระโดดขึ้นไปที่ท้ายกระบะ แต่แล้วใจเด็ดกลับหยุดก่อนจะหันมองมาทางด้านหลัง คอยมองว่าสรนุชตามมามั้ย สรนุชเบรกตัวโก่งก่อนจะรีบหลบหลังต้นไม้ได้ทันเวลา
ใจเด็ดไม่เห็นสรนุชเลยเดินไปที่รถต่อ สรนุชชะโงกหน้าออกจากต้นไม้ พอเห็นใจเด็ดเดินไปที่รถก็รีบย่องออกจากต้นไม้ทันที แต่แล้วสมหญิงวิ่งเข้ามา
“หัวหน้าคะหัวหน้า”
สรนุชถึงกับเบรกเอี้ยด...แล้วรีบหลบเข้าไปหลังต้นไม้ต่อ
“วันนี้หัวหน้าจะให้ฉีดยาเด็กๆ คอกไหนคะ” สมหญิงถาม
“ถ้ายาของหมอเขาพอก็ฉีดทุกคอก...แต่ถ้าไม่พอก็เลือกฉีดตัวที่จะเอาไปในวันงานก่อน”
“ได้ค่ะ” สมหญิงจะเดินออกไป ใจเด็ดก็จะเดินขึ้นรถ สมหญิงนึกขึ้นมาได้ “เออ...แล้วหัวหน้าจะให้ฉีดเจ้าใหญ่ก่อนหรือว่าตัวเล็กก่อนดีคะ...เพราะถ้าฉีดตัวใหญ่ก่อน...เจ้าตัวเล็กก็อาจจะไม่พอ...แต่ถ้าฉีดเจ้าตัวเล็กก่อน...ตัวใหญ่ๆ ก็ไม่พอเหมือนกัน”
ใจเด็ดพูดรีบๆ “เรื่องนี้หมอเขารู้ว่าต้องทำยังไง...เธอไม่ต้องกลัวหรอก”
ใจเด็ดเตรียมจะเดินขึ้นรถ สมหญิงนึกขึ้นได้เลยถามต่ออีก
“เออ...หัวหน้าคะ” ใจเด็ดหยุดอีก “แล้วงานปีนี้จัดเหมือนเดิมใช่มั้ยคะ”
“ใช่...”
ระหว่างนั้นสรนุชค่อยๆ ย่องออกจากต้นไม้เพราะเห็นว่าใจเด็ดถูกเบี่ยงเบนความสนใจโดยสมหญิงอยู่
“มันต้องอย่างนี้ซิ...ชุดปีที่แล้วซื้อมายังใส่ไม่ได้ถึงวันเลย...รับรองว่าปีนี้สมหญิงต้องสวยที่สุดแน่นอน”
สรนุชย่องขึ้นมาที่ท้ายกะบะ ระหว่างนั้นสมหญิงหันมาเห็นพอดี เลยจะเรียกเอาไว้
“เอ่อ...”
ใจเด็ดตัดบทเพราะรีบ “สมหญิง...ฉันรีบไปประชุม...มีเรื่องอะไรก็เก็บเอาไว้คุยตอนฉันกลับมาแล้วกัน”
สมหญิงงง เพราะกำลังจะบอกเรื่องสรนุชแอบขึ้นรถระบะแต่โดนใจเด็ดตัดบทเสียก่อน “อ้าว”
สรนุชรีบนอนหลบหลังกองฟางที่อยู่บนรถ ใจเด็ดรีบไปเลยไม่ทัน

เวลาเดียวกันนั้น เกริกไกร เจนจิราและภิรมย์กำลังช่วยกันจับลูกควายที่อยู่ภายในคอก
ระหว่างนั้นสุบินกับอรอนงค์เดินเข้ามา
“สวัสดีครับทุกคน”
ทุกคนหันมาก็เห็นสุบินกับอรอนงค์เดินเข้ามา
“อ้าว...คุณอร...คุณสุบิน...” เกริกไกรมองหาสรนุช “อ้าว...แล้วคุณนุชละครับ”
อรอนงค์ งง “ไม่ได้อยู่แถวนี้เหรอคะ”
“ไม่นี่คะ..” เจนจิราบอก
สุบินแปลกใจ “ไปไหนอีกเนี่ย”
จังหวะนั้นสมหญิงเดินเข้ามาพอดี
“หมอคะ...หัวหน้าบอกว่าให้หมอจัดการเรื่องฉีดยาให้เด็กๆ ได้เลยค่ะ”
เกริกไกรพยักหน้ารับทราบ
สมหญิงเห็นอรอนงค์กับสุบินก็นึกออกรีบปรี่เข้าไปถามให้หายข้องใจ
“อุ้ย...คุณคะ...คุณนุชแกไปไหนเหรอคะ”
“ไม่รู้เหมือนกัน...พวกฉันตื่นมาก็ไม่เห็นแล้ว” อรอนงค์บอก
“แต่ฉันเห็นค่ะ” สมหญิงว่า
“อ้ะ...นังนี่ชักจะกวนๆนะ...ในเมื่อเห็นแล้วจะถามทำไมว่าคุณนุชแกไปไหน” ภิรมย์เอ็ด
“เอ้า...ก็ฉันเห็นว่าคุณนุชแกกระโดดขึ้นรถกะบะไปกับหัวหน้า...แต่ฉันไม่รู้ว่าเขาไปไหนนี่”
ทุกคนได้ยินที่สมหญิงพูดก็ทำหน้าสงสัยขึ้นมาทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...เจนจิรา

รถของใจเด็ดขับแล่นมาตามทาง ที่ท้ายรถกระบะ...สรนุชค่อยๆชะโงกหน้าขึ้นมาจากกองฟาง ขณะที่มือก็เกาหยิกๆ
“ไม่ถึงอีกเหรอเนี่ย...ฉันคันจะแย่อยู่แล้ว...อูย”
รถของใจเด็ดวิ่งมาถึงหน้าประตูวัดพอดี ทันใดนั้นใจเด็ดหักเลี้ยว เข้าประตูวัด สรนุชที่เอาแต่เกาไม่ทันระวังก็เลยเซล้มไปตามแรงเหวี่ยง และยิ่งตกใจเมื่อเห็นกองฟางที่ถูกแรงเหวี่ยงล้มใส่ตัว
“เว้ย”

ใจเด็ดไม่ได้ยิน เลี้ยวเข้ามาจอดใต้ร่มไม้ แล้วก้าวลงจากรถ ระหว่างนั้นสรนุชทนความคันจากฟางไม่ไหวก็โผล่พรวดขึ้นจากกองฟางที่สุมอยู่ท่วมตัว
“เฮ้ย”
ใจเด็ดตกใจแล้วก็ต้องอึ้งไปเมื่อเห็นสรนุชอยู่ในกองฟาง “คุณ”
สรนุชมัวแต่เกาอยู่ เมื่อเห็นใจเด็ดก็ตกใจไม่แพ้กัน “อุ้ย..!”
“นี่คุณแอบขึ้นมาอยู่บนรถผมตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เอ่อ...ทำไม...ทีนายยังเคยแอบขึ้นรถฉันเลย...ทำไมฉันจะแอบขึ้นรถนายบ้างไม่ได้”
ใจเด็ดทำหน้าเซ็ง ก่อนจะเดินเข้าไปจับแขนสรนุชแล้วดึงมาที่รถ
“ทำอะไร...จะพาฉันไปไหน”
“กลับสถานี” ใจเด็ดบอก
“ห๊า ! ไม่...ฉันไม่กลับ”
สรนุชโวยวาย พร้อมกับยื้อสุดเกิด แล้วเสียงของโชคชัยก็ดังขึ้นพอดี
“คุณนุช”
ใจเด็ดกับสรนุชหันไปก็เห็นโชคชัยกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามา
“คุณโชคชัย”
สรนุชอาศัยจังหวะที่ใจเด็ดเผลอ เหยียบเท้าของใจเด็ดเต็มแรง จนใจเด็ดต้องปล่อยสรนุชอัตโนมัติ
สรนุชรีบวิ่งเข้าไปหาโชคชัย
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
สรนุชมองใจเด็ดที่มองมาทั้งเจ็บทั้งโกรธ “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ...คือฉันแค่อยากจะมาขอบคุณคุณโชคชัยเรื่องยาน่ะค่ะ”
โชคชัยได้ยินอย่างนั้นก็ออกอาการเขิน ใจเด็ดทำหน้าเซ็ง
“ไม่เป็นไรหรอกครับ” โชคชัยมองสรนุชที่ยังอยู่ในชุดนอน “แล้วทำไมคุณนุชถึงได้เอ่อ...”
สรนุชมองตามสายตาโชคชัยที่มองมาที่ตัวเอง แล้วตกใจเมื่อเห็นว่าตัวเองอยู่ในชุดนอน
“อุ้ย...คือเมื่อเช้าไม่คิดว่าจะมาวัดเลยไม่ได้แต่งตัวมาน่ะค่ะ”
โชคชัยรีบถอดเสื้อนอกของตัวเองให้สรนุชทันที ใจเด็ดหมั่นไส้คอแข็งขึ้นมาทันควัน รู้สึกแปลกๆ
“ขอบคุณกันเสร็จแล้วใช่มั้ย...จะได้กลับสถานี
ใจเด็ดพูดพร้อมกับเดินเข้ามาหาสรนุช สรนุชรีบเข้าไปหลบหลังโชคชัย
“ได้ข่าวว่าวันนี้จะประชุมเรื่องงานทำขวัญควายเหรอคะ” สรนุชถาม
“ครับ”
“ถ้างั้นขอฉันอยู่ประชุมด้วยได้มั้ยคะ...คืออยากได้ข้อมูลไปเขียนบทน่ะค่ะ” สรนุชเอาละครมาอ้าง
โชคชัยได้ยินก็ออกอาการกระตือรือร้นขึ้นมาทันที “ได้เลยครับ...ตอนนี้ผมว่าทุกคนน่าจะมาพร้อมกันแล้ว”
สรนุชประเหลาะโชคชัยรีบชิ่งใจเด็ด “เหรอคะ...ถ้างั้นก็สายแล้วซิคะ...รีบไปกันเถอะค่ะ”
สรนุชรีบดึงแขนโชคชัยเพื่อให้เดินหนีใจเด็ด โชคชัยถึงกับชะงักเมื่อได้สัมผัสต้องมือสาว
ใจเด็ดมองตามสรนุชที่เดินไปกับโชคชัย สรนุชหันมาแลบลิ้นปลิ้นตาเยาะ ใจเด็ดกัดกรามด้วยความโกรธ ทั้งหึง โดยไม่รู้ตัวเอง

ครู่ต่อมาใจเด็ดกำลังกราบหลวงพ่อเป็นครั้งที่สามก่อนจะเงยหน้าขึ้น
“ต้องขอโทษด้วยครับที่มาช้า...พอดีเมื่อเช้ามีเรื่องวุ่นวายนิดหน่อยน่ะครับ”
ใจเด็ดปรายตามองไปที่สรนุช ให้รู้ตัวว่าเขากำลังพูดถึงเธออยู่ แต่สรนุชกลับลอยหน้าลอยตาไม่สนใจ
ชาญณรงค์สบโอกาสรีบแขวะขึ้นมาทันที “อ้าวเหรอ...ไอ้เราก็คิดว่าขี่ควายมาก็เลยช้า”
หลวงพ่อกระแอมขึ้นเพื่อตัดบท
หลวงพ่อเปลี่ยนเรื่องไปคุยกับสรนุช “แล้วโยมละ...ทำไมมากับเขาด้วย”
“คือ...ดิฉันอยากมานั่งฟังด้วยเพื่อเก็บข้อมูลไปเขียนบทน่ะค่ะ”
“โอ๊ย...อย่าเลย...ไอ้ประเพณีล้าหลังอย่างนี้...ฉันไม่ค่อยอยากให้มันออกไปให้คนข้างนอกเขาเห็นเท่าไหร่...แค่นี้ฉันเองก็ไม่อยากบอกแล้วว่าเป็นคนที่นี่” ชาญณรงค์ว่า
ทุกคนหันมองชาญณรงค์ด้วยสายตาไม่พอใจ ระหว่างนั้นครูสีดาพูดขึ้น
“แต่ฉันละอยากเป็นคนที่นี่...”
ชาญณรงค์แย้งอย่างงงๆ “เป็นทำไม...ฉันไม่เห็นว่ามันจะดีตรงไหน”
“ดีซิ...อย่างน้อยฉันก็จะได้ลงแข่งอะไรหลายๆ อย่างได้” ครูสีดาบอก
“อ๋อ...เหรอ...เป็นควายดีมั้ย” มหาเหม็นถาม
ครูสีดาเม้ง “แกซิควาย”
“อ้าว...”
เหตุการณ์ทำท่าจะวุ่นวาย หลวงพ่อลุกขึ้นทำท่าจะเดินออกไป โชคชัยรีบร้องถาม
“จะไปไหนเหรอครับหลวงพ่อ”
“ก็พวกโยมทะเลาะกันเสร็จแล้วค่อยไปเรียกอาตมานะ”
คำพูดของหลวงพ่อทำทุกคนถึงกับสงบลง ใจเด็ดกับชาญณรงค์มองหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใคร

ส่วนที่สถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ สุบินนั่งอยู่ใต้ร่มไม้ในมือมีกระดาษปากกา กำลังคิดพล็อตละครใหม่
“นางเอกเป็นเศรษฐีพันล้านแต่ต้องหนีมาหลบซ่อนตัวอยู่ในคอกควาย...ไม่ๆ” สุบินฉีกกระดาษออก บ่นงึมงำ “เก่าๆ”
สุบินนั่งคิดพล็อตใหม่ ระหว่างที่คิดเพลินๆนั่นอยู่เจนจิราก็เดินเข้ามากรอบสายตา สุบินมองเจนจิราด้วยความสงสัย
เจนจิราชะเง้อมองไปทางประตูสถานี ท่าทางร้อนใจ สุบินลุกขึ้นก่อนจะเดินเข้ามายืนอยู่ข้างๆเจนจิราแล้วชะโงกตามเจนจิราโดยที่เจนจิราไม่รู้ตัว
เจนจิราหันมาแล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นสุบินเอาหน้ามาซะชิดใกล้
“เฮ้ย ! นายมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ผมต้องถามคุณต่างหาก...ผมน่ะนั่งตรงนี้ตั้งนานแล้ว...แล้วอยู่ๆ คุณก็เดินเข้ามาบังความคิดผม...รออะไรอยู่เหรอคุณ”
เจนจิรารีบปฏิเสธ “เอ่อ...เปล่า”
เจนจิราตอบพร้อมจะเดินหนี สุบินยิ้มรู้ทันก่อนจะแซว
“กลัวว่าหัวหน้าใจเด็ดจะไปกุ๊กกิ๊กกับยัยนุชละซิ”
ถูกพูดแทงใจดำเจนจิราฉุนหันขวับกลับมา “พูดอะไรของนาย”
“เอ้า...พูดอย่างที่คุณได้ยินนั่นแหละ”
“แล้วทำไมฉันต้องกลัวหัวหน้ากับคุณนุชด้วย”
“อยากรู้จริงอ่ะ...ที่คุณกลัวก็เพราะว่าคุณแอบชอบหัวหน้าคุณไง”
สุบินบอกชัดๆ เจนจิราถึงกับสะอึก
เจนจิรา พูดเสียงแข็งใส่ “ฉันไม่ได้ชอบพี่ใจเด็ด”
เจนจิราพูดจบก็เดินปึงปังออกไป สุบินมองตามยิ้มเจ้าเล่ห์

ส่วนที่วัด ทุกคนกำลังถกกันต่ออยู่บนกุฏิ
“สำหรับพิธีกรรมช่วงเช้าก็คงจะเหมือนปีที่แล้ว...มีใครอยากจะเสนออะไรเพิ่มเติมมั้ย” หลวงพ่อสรุป
สรนุชแอบกระซิบถามโชคชัยที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ทำไมทำขวัญควายด้วยคะ”
“คนที่นี่เชื่อว่าควายเองก็เหมือนคนที่จะมีเทวดาประจำตัวมาตั้งแต่เกิด การทำขวัญควายก็เหมือนการเชิญเทวดาเหล่านั้นให้มาปกปักษ์รักษาควาย จะได้ไม่เจ็บไม่ป่วย...เลี้ยงง่ายอยู่ง่าย”
“อืม...เชื่ออะไรแปลกๆนะคะ”
สรนุชเผลอปากบ่นออกมาดังไปหน่อย “เอ่อ...แปลกดีค่ะ...แล้วถ้าไม่ทำล่ะคะจะเป็นยังไง”
“ก็คุ้มดีคุ้มร้ายเหมือนใครบางคนไง”
ใจเด็ดพูดขึ้นลอยๆ แต่สรนุชรู้ว่าเจาะจงตน จึงหันมามองตาขวางใส่ทันที
ระหว่างนั้นชาญณรงค์เสนอขึ้น
“ผมว่าคนที่เอาควายมาน่าจะรับผิดชอบพวกขี้ควายด้วยนะหลวงพ่อ...ปีที่แล้วกว่าเสื้อผมจะหายเหม็นขี้ควายเป็นเดือนเลยนะหลวงพ่อ”
“อืม...เรื่องนี้ฉันก็เห็นด้วยกับผู้พันนะ...ว่าไงใจเด็ด” หลวงพ่อหันมาทางใจเด็ด
“ครับ...ปีนี้ผมให้ภิรมย์กับสมหญิงจัดตั้งพวกยุวกระบือบาลเพิ่ม...เพื่อจัดการเรื่องพวกนี้แล้วครับ”
“เฮ้อ...จะไปตั้งฝ่ายโน่นฝ่ายนี้ให้ยุ่งยากทำไม” ชาญณรงค์ท้วง
“อะไร...พอเขาจะทำก็ว่า...พอไม่ทำก็บ่น...ผู้พันจะเอาไงกันแน่คะ” ครูสีดาย้อนถาม
“ก็ไม่เอาไง...แค่อยากเสนอว่าจากทำขวัญควาย...เปลี่ยนเป็นทำขวัญให้รถไถดีมั้ย”
ทุกคนได้ยินถึงกับอึ้งไปตามๆ กัน

เวลาเดียวกันที่บริษัทสยามคาบาตี้สมพลคุยโทรศัพท์สีหน้าเครียด
“ห้าล้าน !” สมพลตะโกนใส่โทรศัพท์ “ค่าทำขวัญบ้าอะไรของมันถึงได้มากขนาดนี้...ไปบอกนังนั่นนะ...ว่าฉันให้ได้อย่างมากก็แค่ล้านเดียว”
สมพลกดวางสายอย่างหงุดหงิด “ดูซิว่าแกทำงามหน้าไว้แค่ไหน...ห๊า”
ณวัตก้มหน้าเจื่อนอยู่ที่โซฟา
“โธ่พ่อ...จะไปคิดมากทำไม...พ่อก็คิดว่าเราเสียเงินเพื่อรักษาภาพลักษณ์เราซิ”
สมพลปาของใกล้มือใส่ณวัตทันที “รักษาภาพลักษณ์เหรอ..!!!” สมพลระดมของปาไม่หยุด “นี่...นี่...รักษาไอ้โรคบ้าผู้หญิงของแกจะดีกว่า”
“พ่อ...พ่อ..!” ณวัตรีบหาที่ซ่อน
“แกรู้มั้ยว่าคราวนี้ฉันต้องเสียเงินเท่าไหร่เพื่อช่วยแก...ห๊า”
“พ่อก็...ผู้หญิงอย่างนั้นมันจะค่าเท่าไหร่กันเชียว”
“ใช่...แล้วทำไมแกไม่คิดที่จะจริงจังกับผู้หญิงที่มีค่า”
ณวัตสงสัย ไม่เข้าที่พ่อพูด
“หนูนุชไง ! แกได้คุยกับหนูนุชเขาบ้างหรือเปล่า”
ณวัตตาหลุกหลิก “เอ่อ...คุยซิพ่อ...คุยทุกวันเลย”
“ที่ฉันปิดปากพวกสื่อต่างๆ...ไม่ใช่เพราะฉันอยากช่วยแก...แต่เพราะฉันกลัวว่าหนูนุชเขาจะได้ยินเรื่องอัปยศพวกนี้ของแกต่างหาก (ณวัตหน้าเจื่อน) คราวนี้มันจะเป็นครั้งสุดท้าย...ถ้าหนูนุชกลับมากรุงเทพฯเมื่อไหร่...แกต้องแต่งกับหนูนุชทันที”
ณวัตถึงกับอ้าปากค้างเมื่อได้ยินประกาศิตจากสมพล

ณวัตกลับห้องตัวเอง แล้วทิ้งตัวลงที่เก้าอี้สีหน้าเซ็งโคตร “แต่งงาน...! ใครอยากแต่งวะ”
ระหว่างนั้นเสียงโทรศัพท์ในห้องทำงานดังขึ้น
ณวัตยกหูรับสาย “ไง...เจอหรือยัง” พอฟังแล้วยิ่งหงุดหงิด “ไม่เจอ ! อะไร...โรงงานก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรทำไมถึงหามือถือเครื่องแค่นี้ไม่เจอ...ไปบอกทุกคนเลยนะว่าถ้าฉันจับได้ว่าใครเอามือถือฉันไป...รับรองว่ามันได้นอนคุกยาวแน่”
ณวัตวางสายไปอย่างหงุดหงิด

เวลาเดียวกันครูสีดาทำหน้าสงสัยหนัก “ทำขวัญให้รถไถ...บ้าหรือเปล่าคะผู้พันขา”
“บ้าอะไร...ขนาดรถใหม่ยังต้องให้หลวงพ่อท่านเจิม...แล้วทำไมรถไถใหม่จะทำขวัญให้มันไม่ได้”
ทุกคนถึงกับนิ่งงันในเหตุผลของผู้พันชาญณรงค์ ใจเด็ดทนไม่ได้จึงค้านขึ้น
“ถ้าผู้พันจะทำอย่างที่ผู้พันว่าจริงๆก็ทำได้”
ทุกคนถึงกับหันมองใจเด็ดที่เห็นด้วยกับชาญณรงค์ โดยเฉพาะสรนุชที่รู้สึกผิดคาดอย่างแรง
ใจเด็ดรีบพูดต่อ “แต่ต้องไม่ใช่ในงานทำขวัญควาย”
ชาญณรงค์ฉุน “อย่าใจแคบนักซิ...ใจเด็ด...ไหนๆก็จัดงานแล้วทั้งที...จะให้มันเปลืองจัดงานสองสามครั้งทำไม...หรือไม่นะ...ฉันว่าเปลี่ยนจากงานทำขวัญควายเป็นงานทำหมันควายดีมั้ย”
“ผู้พัน”
ใจเด็ดลุกขึ้นอย่างไม่พอใจ ชาญณรงค์เองก็ลุกขึ้นเช่นกัน คนอื่นๆ เลยต้องลุกตามเพราะกลัวเรื่องราวบานปลายใหญ่โต
“ถ้าผู้พันไม่พอใจในการจัดงานครั้งนี้...ผู้พันจะถอนตัวไปก็ได้”
“ได้...ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะเอาที่นาที่ใช้แข่งไถนาทุกปีคืน”
โชคชัยรีบเข้ามาพูดเพื่อให้ใจเด็ดใจเย็น
“ใจเด็ดตอนนี้ที่ดินที่พอจะใช้แข่งได้ก็มีที่ของผู้พันคนเดียว...ฉันว่านายใจเย็นๆ เถอะ”
“ถูกต้องนายก...เรามาคุยกันแบบคนมีการศึกษาคุยกันดีกว่า...ถึงผมจะเป็นทหารมาก่อน...แต่ผมก็รักประชาธิปไตย...เอาอย่างนี้...ผมว่าเรามาลงคะแนนเสียงดีกว่า...ว่าใครจะเห็นด้วยที่จะให้ทำขวัญรถไถ”
ใจเด็ดมองชาญณรงค์นิ่งไป บรรยากาศมาคุเต็มไปด้วยความเครียด

ไม่นานต่อมา ผู้พันชาญณรงค์ยืนอยู่ท่ามกลางทุกคน คล้ายกับรอการลงคะแนนเสียง
“วิธีลงคะแนนเสียงก็ง่ายๆ...ถ้าใครเห็นด้วยว่างานนี้ควรที่จะทำขวัญให้รถไถด้วยก็มายืนหลังผม...แต่ถ้าใครไม่เห็นด้วย...ก็ไปยืนหลังมัน”
ทุกคนมองหน้ากันก่อนจะเห็นว่าทุกคนเริ่มแยกย้ายกันไปตามความคิดเห็นของแต่ละคน สีดาและหลวงพ่อเดินเข้ามายืนหลังใจเด็ด ส่วนมหาเหม็นเดินไปยืนกับชาญณรงค์
“ถ้างานนี้ผู้พันให้ฉันเจิม...ฉันคิดแค่คันละห้าร้อย...โอมั้ย” มหาเหม็นบอก
ชาญณรงค์ยักคิ้วตกลงกับมหาเหม็น โชคชัยยืนครุ่นคิดกับสรนุช ก่อนจะเห็นโชคชัยเดินไปยืนหลังชาญณรงค์ ใจเด็ดถึงกับอึ้งไป
“อย่าโกรธฉันเลยนะใจเด็ด...ฉันแค่เห็นว่าถ้าเราทำขวัญให้รถไถด้วย...มันอาจจะสร้างความแปลกใหม่ให้กับชุมชนของเรา”
“เอาละ...ตอนนี้ทุกคนเลือกแล้วใช่มั้ย...ถ้างั้นฉันจะนับละนะ”
ว่าแล้วชาญณรงค์ก็หันไปนับฝั่งตัวเองที่มีมหาเหม็นกับโชคชัย ส่วนใจเด็ดก็มีหลวงพ่อกับสีดา
“สาม...สาม เท่ากันอย่างนี้แล้วจะเลือกยังไง”
“ถ้างั้นอาตมาว่าเรากลับไปใช้ระบบเดิมก็ได้...ดีมั้ย” หลวงพ่อเอ่ยขึ้น
“เดี๋ยวก่อนซิหลวงพ่อ...ใครว่าเท่ากัน...ยังมีอีกคนที่ยังไม่ได้เลือก” ชาญณรงค์ท้วง
ทุกคนหันมองไปที่สรนุชที่ยืนอยู่ตรงกลาง สรนุชถึงกับอึ้งไป
“ห๊า ! ฉันเหรอคะ”
“ใช่...หนูเลือกเลย...มีหนูเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะตัดสินได้”
สรนุชชะงักไปเพราะไม่รู้ว่าจะเลือกใคร จะเลือกควายก็เหมือนเป็นการทรยศต่ออาชีพตัวเอง จะเลือกรถไถก็เดี๋ยวจะทำให้ใจเด็ดสงสัย
สรนุชแทบร้องไห้เพราะไม่รู้ว่าจะเลือกใคร...เอาไงดี...เอาไงดี...เอาไงดี แต่แล้วก็เหมือนเสียงสวรรค์ประทานมาจากฟากฟ้าเมื่อเสียงนึงดังขึ้นหน้ากุฏิ
“หลวงพ่อ...หลวงพ่ออยู่มั้ยครับ”
ทุกคนหันมองไปตามเสียงด้วยความแปลกใจ
หลวงพ่อตะโกนตอบ “อยู่ๆ...ใครละนั่น” แล้วหลวงพ่อก็เดินออกไป
ทุกคนเดินตามหลวงพ่อไปด้วย ใจเด็ดแอบมองสรนุชก่อนจะเดินตามไปเช่นกัน
สรนุชถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก ที่รอดพ้นจากสถานการณ์ฉุกเฉินไปได้อีก

ผู้จัดการสาขาสุรินทร์ของบาคาตี้นั่นเองกำลังตะโกนเรียกอยู่หน้ากุฏิ “หลวงพ่อ...หลวงพ่อ”
หลวงพ่อเดินออกมาจากกุฏิ “ได้ยินแล้ว...ได้ยินแล้ว”
ผจก.รีบยกมือไหว้ “สวัสดีครับหลวงพ่อ”
แต่แล้วผู้จัดการก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นใจเด็ดและทุกคนเดินตามหลวงพ่อออกมา
“ไอ้พวกบาคาตี้”
สรนุชเดินตามออกมา แล้วก็ต้องชะงักกึกเมื่อเห็นว่าเป็นผู้จัดการของบาคาตี้ จึงรีบฉากหลบเข้าไปยืนอยู่ด้านหลังประตูทันที
“โห...อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอย่างนี้...สงสัยกำลังจะประชุมเรื่องวันงานทำขวัญควายแน่ๆ” ผู้จัดการว่า
ใจเด็ดถามทันที “มาทำไม”
“แหม...งานใหญ่ที่นี่...บริษัทบาคาตี้ของผมก็อยากจะช่วยเหลือชาวบ้านบ้างไม่ได้หรือไง”
“ไม่ได้เพราะงานนี้เป็นเรื่องของควายไม่ใช่รถไถ”
“อ้าว...พูดอย่างนี้มันก็ไม่ถูก...บริษัทบาคาตี้เขาอุตส่าห์มีจิตศรัทธา...การไปห้ามเขาทำกุศลอย่างนี้มันบาปใช่ครับหลวงพ่อ” ชาญณรงค์แย้งขึ้น
“เอ่อ...โยมผู้พันจะถามให้อาตมางานเข้าทำไม” หลวงพ่อเหล่มองใจเด็ด “มันก็ถูกอย่างที่ผู้พันเขาว่านะใจเด็ด”
ชาญณรงค์ยิ้มแป้น “นั่นไง...เห็นมั้ย...ถ้าอย่างนั้นผมว่ามันก็เข้าล๊อคพอดี...” หันมาพูดกับผู้จัดการ “พวกเรากำลังคุยกันว่าปีนี้เราจะจัดให้มีการทำขวัญให้รถไถ...ถ้ายังไง...ผมว่าเราขอให้บาคาตี้เขาเป็นสปอนเซอร์เอารถไถมาเข้าพิธีก็ได้นะครับ...หรือทุกคนว่าไง”
ชาญณรงค์อาศัยจังหวะที่ทุกคนเสียกระบวนรีบตะล่อมทันที ระหว่างนั้นเสียงของสรนุชดังขึ้น
“ฉันไม่เห็นด้วยค่ะ”
ทุกคนหันมองไปทางด้านหลัง ก่อนจะเห็นสรนุชเดินลงมาจากกุฏิ ผู้จัดการเหล่มองไปที่สรนุชทันที สรนุชเห็นอย่างนั้นก็ก้มหน้าก้มตาแล้วรีบหาที่ยืนที่ผู้จัดการจะเห็นเธอไม่ถนัด
“เมื่อกี้หนูว่าไงนะ” ชาญณรงค์ถามคาดคั้น
“คือหนูไม่เห็นด้วยที่เราจะทำขวัญให้รถไถในวันนั้นด้วย”
ใจเด็ดอึ้งไปมองสรนุชอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
“เฮ้ย...ไม่ได้นะ” ชาญณรงค์โวยวาย
“ทำไมจะไม่ได้...ก็เมื่อกี้ผู้พันให้สิทธิคุณสรนุชเขาเป็นคนตัดสินไม่ใช่เหรอ” ครูสีดาแย้ง
“เดี๋ยวๆ...ผมว่าอย่างนี้มันไม่ยุติธรรม...อยู่ๆทำไมถึงได้ให้ผู้หญิงคนนี้มาเป็นคนตัดสินใจ” ผู้จัดการมองจ้องหน้าสรนุชแล้วยิ่งคุ้นหน้า “เอ...ผมว่า...หน้าคุณนี่คุ้นหน้ามากนะ”
“เอ่อ...คือ...แหม...ใครๆ ก็ชอบบอกว่าฉันหน้าเหมือนยุ้ย...จิรนันท์น่ะคะ” สรนุชกัดฟันกรอดๆ แอบด่า “คอยดูเหอะ...กลับกรุงเทพฯเมื่อไร...โดนย้ายฟ้าผ่าแน่”
ผู้จัดการเดินรุกเข้าไปจ้องหน้า “ไม่นะ...ผมต้องเคยเจอคุณแน่ๆ”
สรนุชถอยกรูดขณะที่ผู้จัดการก็เดินรุกไล่ ระหว่างนั้นใจเด็ดเข้ามาดึงผู้จัดการออกอย่างแรง ก่อนจะเอาตัวเข้ามาปกป้องสรนุช
“กลับไปซะ”
สรนุชรีบมาแอบที่หลังใจเด็ดทันที ผู้จัดการถึงกับเซก่อนจะหันไปขอความช่วยเหลือจากชาญณรงค์
“ผู้พัน...!”
ชาญณรงค์อึกอัก “เอ่อ...”
ใจเด็ดชิงพูดขึ้น “ผู้พันเองก็เหมือนกัน...ตอนนี้คุณนุชเลือกแล้ว...หวังผู้พันคงไม่กลืนน้ำลายตัวเองให้เสียเกียรติของทหารที่ผู้พันภาคภูมิใจหรอกนะครับ”
ชาญณรงค์แค้นหนัก “แก...ไอ้...ไอ้ใจเด็ด...ฮึ่ย”
ชาญณรงค์ชี้หน้าใจเด็ด ก่อนจะเดินอย่างหงุดหงิดออกไปด้วยความอับอาย
“อ้าว...ผู้พัน...จะไปไหนครับ...รอผมด้วย”
พอผู้จัดการเห็นว่าชาญณรงค์เดินออกไปก็กลัวว่าจะไม่ปลอดภัย เลยรีบวิ่งตามชาญณรงค์ออกไป สีหน้าใจเด็ดดูออกว่าเครียดหนัก

ในขณะที่สรนุชแอบมองใจเด็ดอยู่ข้างหลัง รู้สึกได้ถึงความปลอดภัยและอบอุ่นขึ้นอย่างบอกไม่ถูก
ใจเด็ดเดินสีหน้าเครียดมาที่รถ โดยมีสรนุชเดินตามมาติดๆ รู้สึกหมั่นไส้ใจเด็ดที่เอาแต่เก็กหน้าเครียด สรนุชบ่นเบาๆกับตัวเอง

สรนุชยี้ปากใส่อย่างหมั่นไส้ “หึ...ขอบคุณซักคำก็ไม่มี”
ใจเด็ดเดินทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ระหว่างนั้นจู่ๆ ใจเด็ดก็เอ่ยขึ้น
“ขอบคุณ”
สรนุชชะงักไป “เมื่อกี้นายว่าอะไรนะ”
ใจเด็ดหยุดเดิน แล้วหันกลับมา “ผมขอบคุณที่คุณเลือกควายแทนที่จะเลือกรถไถ”
สรนุชอึ้งๆ ทำตัวไม่ถูก “เอ่อ...แหม...ไม่เป็นไรหรอก...เรื่องแค่นี้เอง”
ทั้งใจเด็ดกับสรนุชต่างก็เงียบกันไปท่าทางเขินๆแปลกๆด้วยกันทั้งคู่
“งั้นเดี๋ยวผมไปส่งคุณก่อนก็แล้วกัน”
สรนุชสงสัย “ส่งฉันก่อน...แล้วนายจะไปไหน”
“ผมจะไปบอกชาวบ้านที่เลี้ยงควายให้เอาควายมาทำพิธี”
ใจเด็ดพูดพร้อมกับเดินไปที่รถ สรนุชคิดตามพูดกับตัวเองเบาๆ
“ชาวบ้านที่เลี้ยงควาย...? ก็ดี...เราจะได้รู้คร่าวๆ ว่าที่นี่เขาเลี้ยงควายกันแค่ไหน”
สรนุชคิดได้ก่อนจะรีบบอกใจเด็ด “ฉันไปด้วยซิ”
ใจเด็ดมองมา อย่างสงสัย
สรนุชรีบแก้ตัว “เอ่อ...ก็ฉันไม่อยากให้นายไปๆ มาๆ...ไหนจะเสียเวลาไหนจะเปลืองน้ำมันอีก”
ยังไม่ทันที่ใจเด็ดจะพูดอะไรต่อ จังหวะนั้นเสียงโชคชัยก็ดังขึ้น
“ใจเด็ด”
ใจเด็ดกับสรนุชหันไปก็เห็นโชคชัยเดินเข้ามา
“ฉันอยากมาคุยกับนาย เรื่องที่ฉันเลือกที่จะมีการทำขวัญให้รถไถ”
ใจเด็ดตัดบท “ไม่ต้องหรอกครับ...ผมเข้าใจ”
โชคชัยนิ่งไปเมื่อใจเด็ดพูดอย่างนั้น
โชคชัยเปลี่ยนเรื่องเผื่อบรรยากาศจะดีขึ้น “แล้วนี่จะไปไหนกันเหรอครับ”
“นายนี่...เอ่อ...คุณใจเด็ดเขาจะไปบอกชาวบ้านเรื่องงานทำขวัญควายน่ะค่ะ...ฉันก็เลยว่าจะขอไปด้วย...ไปกันยัง”
ใจเด็ดพยักหน้าแล้วทำท่าจะเดินไปกับสรนุช โชคชัยรีบพูดขึ้น
“ฉันเองก็กำลังจะไปบอกชาวบ้านเรื่องนี้เหมือนกัน” ใจเด็ดกับสรนุชหันมา โชคชัยรีบพูดต่อ “ขอบใจมากที่เป็นธุระให้...แต่นายคงไม่อยากให้ฉันต้องตกงานใช่มั้ย” ใจเด็ดนิ่งไป สรนุชมองไปที่ทั้งสองหนุ่มไม่รู้ว่าจะเอาไง ในที่สุดโชคชัยก็รีบสรุป “ฉันรู้ว่าแค่งานที่สถานีนายก็ยุ่งอยู่แล้ว...เรื่องนี้ให้ฉันจัดการเองเถอะ”
ใจเด็ดนิ่งไปรู้ว่าโชคชัยต้องการอะไร
“ ก็ได้ครับ...” ใจเด็ดหันมาพูดกับสรนุช “คุณไปกับนายกเขาแล้วกัน”
ใจเด็ดพูดจบก็เดินขึ้นรถไป สรนุชอึ้งที่อยู่ๆ ใจเด็ดก็ทิ้งไปซะงั้น
“เชิญครับคุณนุช...รถผมอยู่ด้านโน่น”
โชคชัยผายมือเชื้อเชิญ สรนุชงงที่อยู่ๆ ก็ต้องไปกับโชคชัย

ครู่ต่อมาสรนุชเดินมากับโชคชัยที่มุมหนึ่งภายในวัด สรนุชยังโกรธใจเด็ดไม่หาย
“ตาบ้า...คิดอยากจะไปก็ไป...ไม่สำนึกบุญคุณกันบ้างเลยหรือไง...หึ”
โชคชัยสงสัย “คุณนุชว่าอะไรนะครับ”
“อ๋อ...เปล่าค่ะ”
สรนุชยิ้มแห้งๆ ให้ ขณะที่โชคชัยจะเดินต่อ สรนุชครุ่นคิด
“ถ้าหมอนั่นไม่ไป เราก็ไม่รู้ว่าชาวบ้านนับถือนายนั่นแค่ไหน...เอาไงดีเรา”
สรนุชเดินไปคิดไป จนทั้งสองเดินมาถึงรถโชคชัยพอดี โชคชัยรีบเปิดประตูรถให้ สรนุชตัดสินใจพูดขึ้น
“เอ่อ...คุณโชคชัยจะโกรธมั้ยคะ”
“เรื่องอะไรเหรอครับ”
“ก็...ก็ถ้าฉันจะขอกลับสถานีน่ะค่ะ” โชคชัยมองสงสัย สรนุชรีบหาข้ออ้าง “เอ่อ...ไม่ใช่ฉันไม่อยากไปกับคุณโชคชัยน่ะคะ...แต่ว่า...คุณโชคชัยก็เห็น” สรนุชมองสภาพตัวเอง “คือ...ตั้งแต่เช้าฉันยังไม่ได้อาบน้ำเลย...ฉันว่าถ้าฉันไปหาชาวบ้านด้วยสภาพนี้ต้องไม่ดีแน่ๆ”
“อืม...แต่ผมว่าคุณนุชก็ดูดีไปอีกแบบนะครับ”
“ชุดนอนเนี่ยนะคะ..! แต่ไม่เป็นไรค่ะ...ฉันรู้ว่าคุณโชคชัยคงต้องไปพบชาวบ้านอีก...เดี๋ยวฉันเรียกรถกลับเองก็ได้ค่ะ”
โชคชัยหน้าเศร้าลง “ไม่เป็นไรครับ...เดี๋ยวผมไปส่งแล้วกัน”
สรนุชยิ้มออกมาได้ “ขอบคุณค่ะ”
สรนุชรีบกระโดดขึ้นไปนั่งบนรถ โชคชัยปิดประตูให้ โชคชัยสีหน้าเศร้าลงด้วยความผิดหวังที่หมดโอกาสจะได้อยู่กับสรนุชสองต่อสอง

เหตุการณ์ที่สถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ ระหว่างนั้นเจนจิราเดินมายังลานกว้างที่ใจเด็ดจอดรถประจำ เจนจิราหันมองซ้ายมองขวาเพื่อมองว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้น เจนจิราสีหน้าเครียดเมื่อเห็นใจเด็ดยังไม่กลับมาอีก
“ไปไหนกันนะ...ป่านนี้ทำไมยังไม่กลับอีก”
ขณะเดียวกันที่ข้างหลังสุบินแอบย่องตามเจนจิรามาอย่างจับสังเกต
“ท่าทางอย่างนี้แล้วยังปากแข็งอีก”
สุบินไม่ทันระวัง เผลอไปเหยียบเศษกิ่งไม้แห้ง เสียงของกิ่งไม้แห้งหักทำให้เจนจิราถึงกับหันขวับ ยังดีที่สุบินรีบหลบหลังต้นไม้ได้ทัน
เจนจิรามองด้วยความแปลกใจ แต่แล้วระหว่างนั้นรถของใจเด็ดก็ขับเข้ามาพอดี เจนจิราได้ยินเสียงรถก็หันขวับไปมอง และออกอาการดีใจเมื่อเห็นใจเด็ดขับรถเข้ามา
สุบินโล่งอกเพราะเกือบโดนจับได้อยู่แล้ว
เจนจิรามองไปที่รถของใจเด็ดสีหน้าเครียด พอเห็นใจเด็ดลงจากรถเพียงคนเดียว เจนจิราก็มีสีหน้าแปลกใจ
“แล้วคุณนุชล่ะคะ”
“ไปกับนายกน่ะ...แล้วเรามาทำอะไรแถวนี้” ใจเด็ดถาม
“เอ่อ...คือ...เจนทำบัญชีแล้วมันง่วงๆ...ก็เลยออกมาเดินยืดเส้นยืดสายน่ะค่ะ”
สุบินได้ยินก็ทำหน้าเยาะ “ทำบัญชี...หึ...ยังไม่เห็นเดินเข้าไปในสำนักงานเลย”
เจนจิราถามใจเด็ดด้วยความสงสัย “แล้วคุณนุชแกไปกับนายกทำไมเหรอคะ”
“ก็คงเป็นหาข้อมูลมาเขียนบทอะไรของเขานั่นแหละ”
เจนจิรายิ้ม รู้สึกโล่งอก “ค่อยยังชั่ว”
“ว่าไงนะ”
“อ๋อ...เปล่าค่ะ...เจนบอกว่าดีค่ะ...จะได้ไม่มั่ว”
“ที่นี่ไม่มีอะไรใช่มั้ย” ใจเด็ดถาม
“ทุกอย่างเรียบร้อยค่ะหัวหน้า”
ใจเด็ดพยักหน้ารับก่อนจะเดินเข้าไป เจนจิราอมยิ้มโล่งอกที่สรนุชไม่ได้ไปกับใจเด็ด เจนจิราเดินตามใจเด็ดออกไป สุบินจึงได้โผล่หน้าออกมาจากต้นไม้ แล้วมองตามเจนจิราด้วยสีหน้ามั่นใจในสิ่งที่ตัวเองคิด

ไม่นานหลังจากนั้น ภิรมย์กับสมหญิงกำลังตอบคำถามสุบินอยู่
“คุณเจนน่ะเหรอคะ...ก็มาอยู่ที่นี่หลังจากหัวหน้าประมาณปีนึงเห็นจะได้...ใช่มั้ยอ้วน”
“ก็ประมาณนั้นแหละครับ...ไอ้ผมก็จำเวลาแน่นอนไม่ได้”
สุบินพยักหน้าเก็บข้อมูล ระหว่างนั้นสมหญิงเหมือนนึกขึ้นมาได้
“อ๋อ...ใช่ๆ...ปีนึงน่ะถูกแล้ว...เพราะคุณเจนแกเป็นรุ่นน้องหัวหน้าปีนึงไงแก”
สุบินสนใจขึ้นมาทันที “เป็นรุ่นน้องของคุณใจเด็ดเหรอครับ”
“ค่ะ...สองคนนั่นเขาเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันที่มหาลัย...แล้วคุณสุบินอยากรู้เรื่องหัวหน้ากับคุณเจนไปทำไมเหรอคะ”
สุบินนิ่งไปก่อนจะตัดสินใจบอก
“เธอสองคนว่าคุณเจนกับหัวหน้าใจเด็ดจะชอบกันมั้ย”
สมหญิงกับภิรมย์ถึงกับอึ้งตาโตมองหน้ากัน แต่แล้วทั้งสองคนก็หัวเราะออกมา
“มีอะไรขำหรือไง” สุบินงง
“โอ๊ย...เป็นไปไม่ได้หรอกคุณครับ...ถ้าสองคนนั่นชอบกันจริง ป่านนี้มีลูกออกมาช่วยเลี้ยงควายให้สถานีแล้ว” ภิรมย์บอก
สุบินรู้สึกเสียหน้าและอยากเอาชนะ
“แล้วถ้าฉันพิสูจน์ได้ว่าคุณเจนจิราแอบชอบหัวหน้าใจเด็ดได้...เธอสองคนจะให้อะไร”
สุบินบอกด้วยสายตามุ่งมั่นจริงจัง ขณะที่ท้าภิรมย์กับสมหญิง ไม่ได้จะพนันเอาชนะอะไร แต่ต้องการพิสูจน์ความคิดของตัวเอง

กลับจากวัดชาญณรงค์ลงนั่งที่โซฟาในบ้านตัวเองด้วยความหงุดหงิด สมคิดรีบเข้ามาบีบนวด
“ไอ้ใจเด็ด...เมื่อไหร่แกจะโดนควายขวิดตาย...หายไปจากชีวิตฉันซะทีวะ”
“นั่นซินาย...ตราบใดที่มันยังอยู่...ผมว่านายไม่ได้เกิดที่ตำบลนี่แน่...นายลองคิดซิครับ...ไอ้ใจเด็ดมันทั้งหนุ่มกว่า...หล่อกว่า...” สมคิดว่า
แต่สมคิดยังพูดไม่ทันจบ ชาญณรงค์ก็ยกขาที่สมคิดกำลังนวดถีบสมคิดจนกระเด็นดังป้าบ!
ระหว่างนั้นเสียงของช่อผกาดังขึ้น “พ่อพูดถึงพี่ใจเด็ดทำไม”
ช่อผกาเดินลงมาจากบนบ้าน แล้วรีบเข้ามานั่งข้างชาญณรงค์
“หรือว่าพ่อยอมให้ผกาแต่งกับพี่เด็ด..!” ช่อผกาพูดเองเออเอง แล้วก็ดีใจไปเอง “เย้...เย้...ผกาจะได้แต่งกับพี่เด็ดแล้ว”
“นังผกา ! ไอ้ที่แกพูดเมื่อกี้น่ะ...จะไม่มีทางเกิดขึ้นเด็ดขาด”
“ทำไมอ่ะพ่อ”
ชาญณรงค์เหวี่ยงใส่ลูกสาว “ไม่ต้องถาม!” แล้วมองชุดช่อผกา “แล้วแกแต่งตัวอะไรของแก”
“ใช่ครับ...คุณหนูแต่งตัวง๊ามงามเน๊อะครับนาย” สมคิดรีบสอพลอทันทีหวังเอาใจ
“ทุเรศ”
ฟังที่ชาญณรงค์ว่า ช่อผกากับสมคิดต่างคนต่างผงะ
“นี่มันจะถึงวันงานแล้ว...แกยังไม่เตรียมตัวอีกหรือไง”
“พ่อ..! พ่อกำลังดูถูกผกาน่ะ...เอาผกาไปเทียบกับพวกชาวบ้านได้ยังไง...หนูน่ะ...ต่อให้ไม่ต้องทำอะไรก็ชนะไอ้พวกผู้หญิงชาวบ้านพวกนั้นอยู่แล้ว”
“ไม่ได้...แกต้องเริ่มเตรียมตัวตั้งแต่ตอนนี้...ปีนี้บ้านเราจะต้องชนะ...เข้าใจมั้ย”
ช่อผกาทำเชิดหน้าเชิดตาไม่สนใจชาญณรงค์
“ก็ได้ค่ะ...ผกาจะคว้าตำแหน่งนางงามบ้านหนองระบืออีกปี...แต่ที่ผกาทำ...ไม่ใช่เพราะพ่อน่ะคะ..” ดวงตาช่อผกาขณะพูดเป็นประกาย “ผกาจะคว้าตำแหน่งนี้เพื่อพี่เด็ด”
ว่าแล้วช่อผกาก็รีบวิ่งจู๊ดขึ้นข้างบนไป ชาญณรงค์ตะโกนว่าตามด้วยความโมโห
“นังผกา...นังทรพี !!! ฮึ่ยย์ ! ไอ้ใจเด็ด...นี่ฉันจะไม่ชนะมันจะเลยหรือไง”
ชาญณรงค์หัวเสียปาโน่นปานี่จนสมคิดต้องหลบกันจ้าละหวั่น ระหว่างนั้นสมคิดคิดบางอย่างขึ้นมาได้
“นายครับ...ผมมีวิธีที่นายจะชนะมันได้ครับ”
ชาญณรงค์สนใจ “วิธีอะไร”
“เอ้า...นายจำที่มหาเหม็นบอกไม่ได้เหรอครับ”
ชาญณรงค์คิดตามที่สมคิดบอก “หนูอรอนงค์น่ะเหรอ...หึๆ”
ชาญณรงค์หรี่ตาร้ายอย่างคนเจ้าเล่ห์

ด้านอรอนงค์เดินมากับเกริกไกรที่ถนนในหมู่บ้าน ชาวบ้านที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างยกมือไหว้เกริกไกรด้วยความนับถือ
“นี่หมอต้องฉีดวัคซีนให้ควายทุกตัวก่อนถึงวันงานทำขวัญควายเหรอคะ”
“ใช่ครับ...วันนั้นชาวบ้านจะเอาควายมาเข้าพิธี...ควายชาวบ้านกับควายที่สถานีมันไม่เหมือนกัน...ชาวบ้านเขาเลี้ยงควายแบบปล่อย...ใจเด็ดเขากลัวว่าควายของชาวบ้านจะเอาโรคมาติดกับควายที่สถานีน่ะครับ”
อรอนงค์พยักหน้ารับทราบข้อมูลอีกอย่าง
“หมองานยุ่งอย่างนี้ไม่น่าพาฉันมาเลยนะคะ...เดี๋ยวจะทำให้หมอช้าเปล่าๆ”
“ไม่หรอกครับ...ที่ผมพาคุณอรมาด้วยเพราะผมกลัวว่าคุณอรอยู่ที่สถานีมันจะไม่ปลอดภัย”
อรอนงค์แปลกใจ “ไม่ปลอดภัย...?”
“ครับ...คุณอรไม่สังเกตเหรอครับว่าพักนี้ตาผู้พันชอบมาเจอคุณอรอยู่เรื่อย...ถ้าผมไม่อยู่แล้วใครจะดูแลคุณอรละครับ”
อรอนงค์ได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกหน้าร้อนผ่าวๆขึ้นมา
“คุณอรเป็นอะไรหรือเปล่าครับ...หน้าคุณอรแดงๆ น่ะครับ”
“เอ่อ...เปล่าค่ะ...สงสัยแดดจะร้อนน่ะค่ะ”
“อืม...ใกล้ถึงบ้านตาชุกแล้ว...เดี๋ยวเราไปพักที่โน่นก็ได้...ไปครับ”
เกริกไกรเดินนำอรอนงค์ออกไป อรอนงค์รีบจับหน้าตัวเองสังเกตอาการ
“เป็นไรไปเนี่ยเรา...”
อรอนงค์จับเนื้อจับตัวดูก่อนจะรีบเดินตามเกริกไกรออกไป

อีกมุมหนึ่งไม่ไกลนัก ชาวบ้านกำลังเดินตลาดจับจ่ายกัน ระหว่างนั้นได้ยินเสียงแตรรถดังลั่นเป็นจังหวะให้หลีกทาง
ชาวบ้านค่อยๆ หลีกทางก่อนจะเห็นรถของชาญณรงค์แล่นมา มีสมคิดทำหน้าที่พลขับ
“เอ้า...หลบหน่อยๆ...เจ้าบ่าวกำลังไปหาเจ้าสาวไม่รู้หรือไง”
ชาญณรงค์ในชุดสูทสีเจ็บนั่งอยู่ข้างๆ ยิ้มแก้มปริ
“แหม...ไอ้นี่พูดถูกใจ...อย่างนี้ต้องจัดงบประมาณกลางปีให้ซะหน่อย”
สมคิดตาโตด้วยความดีใจ “ขอบคุณครับนาย”
สมคิดหันไปขับรถต่อ ทันใดนั้นสมคิดเห็นบางอย่างก็เบรกเอี๊ยด
ผู้พันชาญณรงค์ไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัยทำให้หัวพุ่งไปชนกับกระจกดัง โป๊ก !!1
“เฮ้ย ! ...จะเบรกหาญาติแกทำไมเนี่ย”
“นายดูนั่นซิครับ”
ชาญณรงค์มองไปตามที่สมคิดบอกก็ต้องอึ้งไปเมื่อเห็นเกริกไกรกับอรอนงค์เดินมาด้วยกัน
“หนูอร” ชาญณรงค์แปลกใจ “แล้วทำไมมากับไอ้หมอควายนั่น”
“นั่นซินาย...คราวที่แล้วก็เจอไอ้หมอควายอยู่ด้วย...หรือว่า...มันตั้งใจจะจีบคุณอรแข่งกับนายครับ”
ชาญณรงค์กัดกรามด้วยความโกรธปนฉุนขึ้นมาทันที

ส่วนเกริกไกรกับอรอนงค์เดินมาบ้านตาชุกที่มีเมียออกมาต้อนรับ
“หวัดดีตาชุก...ไง...ไอ้ตัวเล็กอยู่ไหน”
“ที่คอกน่ะครับ...หมอจะไม่ดื่มน้ำดื่มท่าก่อนเหรอครับ” ตาชุกบอก
“ไม่เป็นไร...ผมต้องไปอีกหลายที่” เกริกไกรหันมาพูดกับอรอนงค์ “เดี๋ยวคุณอรนั่งพักตรงนี้ก่อนก็ได้ครับ...ผมขอเวลาแป๊ปเดียว” หันไปทางตาชุก “ไป”
ตาชุกเดินนำเกริกไกรออกไป อรอนงค์ลงนั่งที่แคร่ เมียตาชุกรีบมาดูแล
“ทานน้ำกระเจี๊ยบมั้ยคุณ...อิฉันเพิ่งต้มเมื่อเช้าเอง”
“คะ...”
เมียตาชุกยิ้มให้ก่อนจะรีบเดินออกไป อรอนงค์ลุกขึ้นเดินสำรวจดูไปรอบๆ บ้าน
เห็นบรรยากาศรอบๆ บ้านที่ร่มรื่นย์ไปด้วยต้นไม้ ระหว่างนั้นได้ยินเสียงคนเดินมา อรอนงค์หันกลับมายิ้มให้
“บ้านน่าอยู่จั...” แต่แล้วก็สีหน้าเปลี่ยนเป็นตกใจ “ผู้พัน”
ชาญณรงค์กับสมคิดยืนยิ้มส่งมาให้
“เจอกันอีกแล้วนะจ้ะหนูอร”
อรอนงค์สีหน้าวิตกเพราะเพิ่งได้ยินที่เกริกไกรพูดเรื่องที่พักนี้เจอชาญณรงค์บ่อยๆ นั่นเอง
เวลาผ่านไป...เกริกไกรเดินเก็บกระเป๋าเครื่องแพทย์ออกมา
“ขอบคุณนะครับหมอ” ตาชุกบอก
“ไม่เป็นไร...หน้าที่ผมอยู่แล้ว...แต่ฉีดยาแล้วต้องพาไอ้ตัวเล็กไปงานด้วยนะ” ตาชุกยิ้มรับ เกริกไกรมองหาอรอนงค์ “อ้าว...แล้วคุณอรละครับ”
เมียตาชุกรีบบอก “ไปกับผู้พันน่ะค่ะหมอ”
เกริกไกรแปลกใจ “ผู้พัน..? ผู้พันชาญณรงค์น่ะเหรอครับ”
“จ้ะ...ฉันเอาน้ำกระเจี๊ยบมาให้ก็เห็นคุณแกเดินออกไปกับผู้พันแล้ว”

เกริกไกรมีสีหน้าวิตกขึ้นมาทันที






Create Date : 04 เมษายน 2555
Last Update : 4 เมษายน 2555 12:55:50 น.
Counter : 190 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]