All Blog
ดุจดาวดิน ตอนที่ 5




ดุจดาวดิน ตอนที่ 5

ปานฟ้าเดินไปตามทางในห้างสรรพสินค้าอย่างรีบร้อน จะไปตามที่นัดไว้กับภาคิน พบก้องภพยืนยิ้มขวางหน้าอยู่ ปานฟ้าหยุดชะงัก

“ไปไหนเหรอครับคุณฟ้า”
“ธุระค่ะ ต้องออกไปพบลูกค้า...”
“ผมขับรถให้”
“ก้องภพ ฟ้ากำลังจะไปทำงานนะคะ นี่ไม่ใช่เวลาที่เราจะมาพูดเล่นกัน”
ก้องภพหงุดหงิดเห็นได้ชัด
“ให้มันจริงเถอะ เรื่องงานน่ะ”
“คนไม่เคยทำงานอย่างคุณน่ะ ไม่มีวันเข้าใจหรอกว่าคนทำงานเขายุ่งแล้วก็วุ่นวายกันยังไง ขอตัวค่ะ”
ปานฟ้าเดินไป ก้องภพมองตามอย่างหงุดหงิด
“ฮึ...ทำงาน ให้มันจริงเถอะ...”
ก้องภพรีบตามออกไปทันที เมื่อปานฟ้าขับรถออกไปจากห้าง เขาก็ขับรถตามไปทันที เพราะอยากรู้ว่าเธอไปไหนกันแน่

ที่โรงพยาบาลศรีธัญญา...ปานเดือนนั่งรถเข็นอย่างเหม่อลอย อุ้มตุ๊กตาที่นอนอยู่บนเบาะ เห่กล่อม อนิรุทธิ์ยืนอยู่ข้างๆ มองดูด้วยสายตาสงสาร
“เอ่..เอ๋ อย่าร้องนะทินภัทรลูกแม่...เดี๋ยวคุณพ่อก็กลับมาจากที่ทำงานแล้วนะลูก...”
ปานเดือนเห่กล่อมลูกน้อย สีหน้ามีความสุข ขณะเดียวกัน ปานฟ้า บุญทิ้ง ภาคินเดินมา
“อยู่นั่นไงครับ”
ทั้งสามคนเห็นปานเดือนเห่กล่อมตุ๊กตาอยู่ ปานฟ้ายืนนิ่ง สงสารพี่สาวจับใจ ภาคินมองดูหน้าปานฟ้าก็เดาได้
“เข้มแข็งนะครับ คุณฟ้า...”
“ค่ะ...”
บุญทิ้งมองดูปานเดือน สงสารจับใจเช่นกัน
“ผมกอดคุณปานเดือนได้มั้ยครับ...”
ปานฟ้าหันมาแล้วนั่งลงพูดกับบุญทิ้ง
“ได้สิ...เข้าไปหาคุณปานเดือนเลยนะบุญทิ้ง...”
บุญทิ้งยิ้ม พยักหน้า แววตาดีใจ วิ่งไปยืนตรงหน้า ปานเดือนเงยหน้าขึ้น แล้วก็ค่อยๆเผยยิ้มออกมา สีหน้าสว่างสดใสผิดกับทีแรก
“ทินภัทรลูกแม่...”
บุญทิ้งโผเข้าหา ปานเดือนกอดไว้แน่น...ร้องไห้
“ลูกแม่ อย่าหนีแม่ไปไหนอีกนะ...หนูอยู่กับแม่นะจ๊ะ...อยู่กับแม่ตลอดไปนะจ๊ะ...สัญญาสิ...”
บุญทิ้งนิ่งไป ไม่รู้จะตอบยังไง ปานฟ้าที่เดินเข้ามาพร้อมภาคินยิ้มให้
“พี่เดือน บุญทิ้งมาเยี่ยม...เดี๋ยวบุญทิ้งก็ต้องกลับ พี่เดือนต้องหาย จะได้อยู่กับบุญทิ้งไงล่ะจ๊ะ”
“หมาย...หมายความว่ายังไง อย่าขัดใจฉันนะ...ไม่งั้นละก็ ฉันจะฆ่าให้หมดทุกคนเลย ใครก็พรากลูกไปจากฉันไม่ได้”
อนิรุทธิ์นั่งลงข้างรถเข็นของปานเดือน พูดปลอบใจ
“คุณเดือน...ใจเย็นๆ สิ ถ้าคุณเดือนไม่ทานยา ไม่นอน ไม่ยอมทำตามที่หมอสั่ง บุญทิ้งก็จะไม่อยู่กับคุณเดือนนะ...ใช่มั้ยบุญทิ้ง...”
“ครับ...”
ปานเดือนยิ้ม กอดบุญทิ้งแน่น น้ำตาไหลพราก
“สัญญากับแม่นะว่า จะไม่หนีแม่ไปไหน...”
“ครับ คุณปานเดือน...”
ปานเดือนชะงัก จับบุญทิ้งห่างตัว พูดเสียงเครือ
“ทำไมไม่เรียกแม่ว่าแม่ละลูก...แล้วใครกันตั้งชื่อลูกของแม่ว่าบุญทิ้ง...ลูกแม่ชื่อทินภัทร...ทินภัทรจำไว้นะลูก...”
ปานฟ้าเมินหน้าหนีด้วยความสะเทือนใจ น้ำตาคลอ ภาคินส่งผ้าเช็ดหน้าให้ ปานฟ้ารับไป
“ขอบคุณค่ะ”
ปานฟ้าซับน้ำตา อีกด้านหนึ่ง ก้องภพยืนมองอยู่ หน้าเครียด
“มาเยี่ยมคนบ้าด้วยกัน...พี่สาวคุณฟ้านี่นา...ฮึ นี่มันใกล้ชิดกันขนาดนี้เลยเหรอ...”
ก้องภพเดินไปด้วยความหัวเสีย ขณะเดียวกัน ปานฟ้านั่งลงข้างๆปานเดือน
“พี่เดือนต้องอย่าดื้อกับหมอนะคะ จะได้กลับบ้านไวๆคุณพ่อคุณแม่จะได้หมดห่วง...”
“พี่สัญญา พี่ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ พี่ได้ทินภัทรลูกพี่กลับคืนมาแล้วนี่ยัยฟ้า...”
ปานฟ้าหันไปสบตากับภาคิน อนิรุทธิ์นั่งลงข้างๆปานเดือน มองเธออย่างมีความหวังว่าจะหายจากอาการนี้

ปานฟ้ากับภาคินเดินมาด้วยกัน บุญทิ้งก้าวนำไปก่อน เดินห่างออกไป
“บุญทิ้งคงคิดหนัก...” ภาคินพูดขึ้นอย่างกังวล
“เรื่องอะไรคะ”
“ก็เรื่องคุณปานเดือน...ผมเกรงว่าบุญทิ้งจะหลงดีใจไปว่า คุณปานเดือนเป็นแม่ ทั้งที่ไม่เป็นความจริง...”
ปานฟ้าหยุดเดินมองหน้าภาคิน
“ไม่มีอะไรสำคัญเท่าชีวิตของพี่เดือน...ซึ่งนั่นหมายถึงชีวิตของคุณพ่อกับคุณแม่ด้วย คุณพ่อท่านก็เคยบอกว่าถ้าบุญทิ้งยอมที่จะเป็นลูกให้พี่เดือน ทุกอย่างก็จบ”
“แน่ใจเหรอว่า ครอบครัวของคุณฟ้ายอมรับบุญทิ้งได้ เด็กอย่างบุญทิ้งน่าสงสารนะครับ รอยแผลเป็นในใจ ที่เกิดจากอดีตที่พร่ามัว มันฝังลึกไม่ลืมได้ง่ายๆหรอกครับ...เด็กที่ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ หรือว่ามีแต่ก็ไม่สมบูรณ์ ทุกข์ทรมานยังไง ผมทราบดี”
น้ำเสียงของภาคินเศร้าจนปานฟ้ารู้สึกได้ ปานฟ้าจับมือภาคินปลอบใจ
“ฟ้าจะเป็นกำลังใจให้คุณภาคิน และบุญทิ้งตลอดไปค่ะ”
“ขอบคุณครับ...”
ทั้งสองสบตากัน แล้วยิ้มให้กัน

บุญทิ้งเดินมาที่รถของปานฟ้า ก้องภพเดินมาทางด้านหลัง จับตัวบุญทิ้งไว้ ถามเสียงเครียดเชิงขู่
“เด็กข้างถนนอย่างแกน่ะเหรอ จะเป็นลูกชายคุณปานเดือน ฝันไปละมั้ง นี่ไอ้ภาคินมันคิดจะหากินกับเด็กอย่างแก เอาไปอุปโลกน์เป็นหลานเศรษฐีเหรอ...”
บุญทิ้งนิ่งตะลึง ปานฟ้ากับภาคินมาถึงพอดี
“ปล่อยบุญทิ้งเดี๋ยวนี้นะก้องภพ”
“ไม่...เด็กคนนี้แหละที่จะเป็นคนบอกกับคนทั้งโลกว่า คนอย่างแกน่ะลวงโลก เป็นพ่อพระแต่เปลือก แท้ที่จริงก็หากินกับเด็กตาดำๆ”
ขาดคำภาคินก็ตรงเข้าต่อยก้องภพ จนก้องภพเซไป บุญทิ้งเสียหลักล้มลงไป ปานฟ้ารีบถลาไปช่วยบุญทิ้ง แล้วดึงออกมา ขณะที่ภาคินกระชากตัวก้องภพเข้ามา จ้องหน้า
“จำไว้นะคุณก้องภพ ผมยอมให้คุณโขกสับผมได้ทุกอย่าง แต่มีเพียงสองอย่างเท่านั้นที่ผมยอมคุณไม่ได้...เรื่องแม่ของผม กับเรื่องอุดมการณ์ของผม...”
ก้องภพถ่มน้ำลายลงข้างตัว
“วิเศษมาจากไหนวะ ถึงแตะต้องไม่ได้ ก็ไม่จริงหรือไง..”
ภาคินเงื้อหมัดจะต่อยอีก แต่ปานฟ้าถลามาห้ามไว้
“อย่าค่ะ เดี๋ยวมีใครมาจะเรื่องใหญ่...ก้องภพ คุณกลับไปก่อนดีกว่าค่ะ...”
ก้องภพสะบัดออกห่างภาคิน
“คุณฟ้า ผมไม่คิดเลยนะว่าคุณจะตาต่ำ มองคนไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างไอ้ภาคินดีกว่าผม ไม่รู้รึไงว่ากำพืดมันเป็นยังไง...แม่มัน....”
ก้องภพยังพูดไม่ขาดคำ ภาคินก็ต่อยซ้ำเข้าไปอีก ก้องภพเซไป พลางพูด
“ไอ้ภาคิน ฉันจะฟ้องแม่...”
“ผมเตือนคุณแล้วนะ คุณก้องภพ...”
“แล้วแกกับฉันจะได้เห็นดีกัน...ไอ้ลูกนอกสมรส ไอ้ลูกไม่มีแม่ ไอ้...”
ภาคินทำท่าจะเข้าไปทำร้าย ก้องภพหนีหัวซุกหัวซุนไปที่รถของตน บุญทิ้งมองตามไปเศร้าๆ หันไปถามปานฟ้า
“พี่คนนั้นเขาว่าใครหรือครับพี่ปานฟ้า...”
“เขาก็พูดไปยังงั้นแหละจ้ะ บุญทิ้งอย่าไปสนใจเลย” ปานฟ้ากอดบุญทิ้งไว้

ที่โรงลิเก...ช้อยยืนอยู่ที่บนโรงลิเกซึ่งไม่ได้มีการแสดง ทุกคนออกมาจากด้านใน ยืนอึ้งเมื่อเห็นถมเดินหน้าเศร้ามา
“พี่ถม เจ้าของตลาดเขาว่ายังไง...” ช้อยถาม
ถมเงยหน้าขึ้นบอกทุกคน
“เขาไล่เรา...เก็บของ ไปหาที่อยู่ใหม่...”
“โอ๊ย อีกแล้วเหรอ...เร่ร่อนเป็นนกขมิ้นบินไปบินมา หาที่อยู่เป็นหลักแหล่งไม่ได้ซะที...ไหนว่ามีคนระดับแม่ครูมาอยู่ในคณะ แล้วจะโด่งดังคับฟ้าเหมือนคณะอื่นเขาไงล่ะ” ช้อยหันมามองกัญญาอย่างจงใจว่าโดยตรง กระแทกเสียงใส่ “เสียข้าวสุก...”
กัญญามองช้อย ไม่อยากมีเรื่องก็เดินเข้าไปในโรง
“หมั่นไส้ อยากจะตบให้ร่วงตกเวทีเลย..”
ชาวคณะคนอื่นๆยืนขวางกัญญาไว้
“ถ้าทำอะไรแม่ครูนะ โดนดีแน่ จะเอาให้หน้าบวมเป็นนางเอกไม่ได้เลย เอาสิ” คนหนึ่งพูดอย่างไม่พอใจ
ช้อยหงุดหงิด เดินหนีไป อีกคนเบ้หน้าใส่
“นึกว่าตัวเองสวยนักรึไง ถือตัวว่าเป็นนางเอก โธ่เอ๊ย ถ้าย้อนเวลาไปสักห้าปี แกน่ะไม่มีทางเทียบแม่ครูได้หรอก”
ช้อยหันกลับมามองแล้วเดินลงส้นจากไป

กัญญาเดินมาหาถม ที่นั่งซึมอยู่อย่างไม่สบายใจ
“ไปเก็บของซะสิกัญญา...เดี๋ยวเจ้าของตลาดเขามาไล่หรอก...ฉันเสียใจนะที่หาค่าเช่าที่มาให้เขาไม่ทัน...”
“พี่ถมอย่าโทษตัวเองเลย เดี๋ยวนี้คนไม่นิยมดูลิเกแล้ว...ลิเกดังๆเขาก็มีจุดขายอย่างอื่นกันทั้งนั้น เราไม่มีดาราแม่เหล็ก ไม่มีเครื่องไฟและเสื้อผ้าสวยๆ ฉันเองก็แก่เกินกว่าจะดึงคนมาติดคณะเราได้...”
“อย่าโทษตัวเองเลย ทุกคนทำดีที่สุดแล้ว...ไปเก็บของเถอะ...”
“จ้ะ เดี๋ยวฉันตามไป”
ถมพยักหน้า แล้วเดินไปถึงมุมหนึ่งของโรงลิเก ขณะที่ชาวคณะเก็บข้าวของกันอยู่ ช้อยเดินมาขวาง
“นังกัญญามันไม่ไป ก็ไม่ต้องให้มันไปกับเรา...”
“ใครบอกล่ะ สาระแนเรื่องชาวบ้านนัก เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ...”
ถมเข้าไปในโรงลิเก ช้อยหงุดหงิด พูดตามไป
“นังช้อยพูดอะไรไม่เคยถูก คอยดูนะถ้าวันไหนลิเกคณะนี้ ไม่มีชดช้อย พลอยมณี นางเอกแสนสวยชื่อดังอยู่ประจำคณะนี้แล้วจะอดตายกันหมด..”
ชาวคณะที่ได้ยิน ทำท่าอ้วก ส่งเสียงโอ้กอ้าก ช้อยหันมาแล้วมองแค้นๆ

กัญญาหลบมานั่งตามลำพัง แล้วโทรหาป้านุ่ม ไม่นานนักป้านุ่มมารับสาย
“พี่นุ่มเหรอจ๊ะ”
ป้านุ่มดีใจ รีบหันไปทางหนึ่งไม่เห็นใครก็รีบพูด
“แม่บุษบา ฉันดีใจจังเลย นี่แม่บุษบาโทรมาจากไหนรึจ๊ะ”
“ฉันต้องย้ายวิกอีกแล้วนะ”
“อ้าว จะไปอยู่ที่ไหนล่ะคราวนี้ โธ่ นึกว่าไปตลาดแล้วจะได้เจอกันซะอีก...”
วิมลวรรณเดินมา แล้วคว้าโทรศัพท์ของป้านุ่มไปทันที วิมลวรรณแนบโทรศัพท์กับหูตนเอง เสียงของกัญญาดังมา
“ยังไม่รู้เลยจ้ะ ฝากภาคินด้วยนะจ๊ะพี่นุ่ม...”
วิมลวรรณโกรธจัด พูดตะคอกไป
“นี่แกยังไม่ตายเหรอนังบุษบา...ฉันเคยบอกแกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าติดต่อมา อย่าลืมสิว่าลูกแกอยู่ในกำมือของฉัน..”
บุษบาตกใจ รีบปิดสัญญาณโทรศัพท์ทันที
“นังบุษบา นังแมวขโมย หนอย หลงคิดว่าแกปีนต้นงิ้วอยู่ในนรกแล้วซะอีก ที่ไหนได้ยังกล้าโทรมาอีก”
วิมลวรรณหันมาเห็นป้านุ่ม ขว้างมือถือของป้านุ่มไปที่โซฟา แล้วเข้ามาตบหน้าป้านุ่มอย่างแรง ดึงผม ทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ด้วยความแค้น ป้านุ่มร้องไห้โฮๆ ไม่กล้าทำร้ายตอบ
อานนท์เข้ามาพอดี
“อะไรกัน คุณหญิง...ไม่กลัวมันตายหรือไง...”
อานนท์แยกวิมลวรรณออกมา
“เข้าข้างมันนักใช่มั้ย ฉันจะได้ตบมันให้ตายคามือเลย..”
วิมลวรรณจะเข้าไปทำร้าย แต่เห็นก้องภพเข้ามา เลือดเลอะที่มุมปาก ใบหน้าช้ำบวม
“คุณแม่...”
วิมลวรรณตะลึง
“ตายจริงตาภพ ใครทำอะไรแกน่ะ...”
“ก็จะใครซะอีกละแม่ ก็ไอ้ลูกไม่มีแม่ของคุณพ่อไง...”
อานนท์ตกใจ
“แกไปทำอะไรภาคินเขาล่ะ หา...”
“คุณพี่ ลูกเราเจ็บ ไม่เห็นเหรอไง...ยังจะเข้าข้างไอ้ภาคินอีก”
ป้านุ่มคว้าโทรศัพท์ที่โซฟา แล้ววิ่งออกไปข้างนอก
“อะไรเหรอครับ คุณแม่...”
“นังนุ่ม กลับมานะ กลับมาให้ฉันลงโทษแกซะดีๆ โทษฐานที่กล้าติดต่อกับนังบุษบา...”
ทั้งอานนท์ และก้องภพต่างก็อึ้งไป กับชื่อ...บุษบา...

กัญญายืนหน้าเศร้าอยู่ เมื่อคืดถึงสิ่งที่วิมลวรรณพูด...
‘นี่แกยังไม่ตายเหรอนังบุษบา...ฉันเคยบอกแกแล้วใช่มั้ย ว่าอย่าติดต่อมา อย่าลืมสิว่าลูกแกอยู่ในกำมือของฉัน..นังบุษบา นังแมวขโมย หนอย หลงคิดว่าแกปีนต้นงิ้วอยู่ ในนรกแล้วซะอีก ที่ไหนได้ยังกล้าโทรมาอีก’
กัญญาน้ำตาไหล
“ภาคิน แม่ขอโทษ...เขาคงโกรธแม่ แล้วทำร้ายลูกของแม่แน่ๆ เลย โธ่...”
ช้อยเท้าเอวตะโกนมาจากบนเวที
“โอ๊ย หมั่นไส้ อาลัยอาวรณ์อะไรกับที่นี่นักหนา หรือว่ามีผู้ชายหน้าโง่มาหลงหัวปักหัวปำ พี่ถมดูซิ ร้องไห้ยังกะญาติเสีย...”
“ปากเสีย นังช้อย...อยู่หน้าโรงร้องไห้เป็นนางเอกน่าสงสาร ทำไมตัวจริงถึงได้ร้ายนักหนาวะ”
ถมตวาดกลับอย่างโมโห

ป้านุ่มออกมาจากบ้าน เรียกรถแท็กซี่เพื่อไปตลาด ขณะเดียวก็โทรหาภาคินไปด้วย
ที่มูลนิธิ...ตุลย์กำลังมองภาพวาดของบุญทิ้งอยู่
“ฝีมือไม่เลว มีหวังได้รางวัลแน่ๆ จริงมั้ยครับคุณแก้ว..”
“ไม่รู้..”
เฟื่องแก้วตอบเมินๆ ขณะเดียวกันเสียงโทรศัพท์ของภาคินที่วางอยู่ดังขึ้น เฟื่องแก้วหยิบส่งให้ภาคินที่เดินเข้ามาพร้อมปานฟ้าพอดี
“ขอบคุณครับ...” ภาคินกดรับสายเมื่อเห็นชื่อคนที่โทรมา “ว่าไงครับป้านุ่ม..”
“เกิดเรื่องใหญ่แล้วค่ะ คุณหญิงโกรธที่คุณหนูทำร้ายคุณก้องภพ...ป้าว่า...”
ภาคินพูดด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น
“ป้านุ่มไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมยินดีที่จะกลับไปให้คุณหญิงสอบสวน ถ้าผมผิด ผมก็จะยอมรับผิดเอง..”
“ค่ะ ป้าก็โทรมาเตือนคุณหนูก่อนเท่านั้นแหละค่ะ”
ป้านุ่มวางสายไป ภาคินเดินออกจากมูลนิธิมาที่รถ ปานฟ้า ตุลย์ เฟื่องแก้ว เดินตามออกมาด้วย
“ฟ้าอยู่ในเหตุการณ์ จะให้ฟ้าไปเป็นพยานด้วยมั้ยคะ..” ปานฟ้าถามอย่างกังวล
“ขอบคุณครับคุณฟ้า แต่ไม่เป็นไรหรอก ถึงจะมีพยานหรือหลักฐาน คุณหญิงก็คงไม่ฟังหรอก ท่านเชื่อความรู้สึกของท่านมากกว่า...”
ภาคินเปิดประตูรถ
“เฮ้ย แล้วตกลงคืนนี้ว่าไงวะ เรื่องจะไปลาดตระเวนกัน” ตุลย์ถาม
ภาคินมองเฟื่องแก้ว
“คุณแก้วไปกับหมวดตุลย์นะครับ เด็กๆทางนี้ ให้ลุงชิดแก ช่วยดูแลก็ได้...ผมไปก่อนนะครับ คุณฟ้า...”
ภาคินขับรถออกไป ปานฟ้ายืนมองด้วยความเห็นใจ

วิมลวรรณทาแผลให้ก้องภพ ด้วยอารมณ์ขุ่นมัว โกรธและเกลียดภาคินมาก
“แม่อยากจะฆ่ามันนัก มันทำร้ายลูกแม่ก็เหมือนทำร้ายหัวใจแม่...”
อานนท์หัวเราะในลำคอหึๆ วิมลวรรณตวัดสายตามองอานนท์อย่างไม่พอใจ
“หัวเราะอะไร...อย่าทำให้ฉันรู้สึกว่าคุณรักไอ้ลูกผู้หญิงใจง่ายมากกว่าตาภพลูกเรานะ...”
“ถามจริงเถอะ วันๆจิตใจคุณหญิงเคยสงบสุขกับเขาบ้างหรือเปล่า ว่างๆ ก็เข้าวัดฟังธรรมบ้างนะ จิตใจจะได้เย็นขึ้นบ้าง...”
“ฮึ ฉันเป็นยังงี้ก็เพราะใครล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ..”
ก้องภพหงุดหงิดที่พ่อแม่ทะเลาะกัน
“โอ๊ย ทะเลาะกันอยู่ได้ น่าเบื่อ...”
ภาคินเดินเข้ามา อานนท์หันไปถามทันที
“ภาคิน เกิดอะไรขึ้นเล่าให้พ่อฟังซิ...”
“ทำไมต้องเล่า ฉันไม่อยากฟัง ลูกเราเจ็บเห็นอยู่โทนโท่ยังจะพูดจาเข้าข้างมันอีก...มานี่ มาให้ฉันลงโทษแกซะดีๆ ไอ้ภาคิน”
ภาคินเดินไปตรงหน้า วิมลวรรณตบหน้าจนภาคินหน้าหันไป
“จำไว้ อย่าแตะต้องลูกฉันอีก...”
“ผมก็อยากบอกคุณหญิงไว้ว่า อย่าให้คุณก้องภพแตะต้องถึงแม่ผมอีก ผมจะไม่ออมมือเลย แม้แต่คุณหญิงเองก็เถอะ”
วิมลวรรณตกใจ
“ไอ้ภาคิน แกอย่ามาทำตัวนักเลงในบ้านนี้นะ...นิสัยแบบนี้ ตระกูลฉันไม่มีหรอก...ติดเชื้อชั่วแม่แกมาละสิ...”
ภาคินจ้องหน้าวิมลวรรณ
“ผมยอมให้ครั้งนี้ครั้งเดียวนะครับ ไม่งั้นอย่าหาว่าผมไม่เตือน...”
ภาคินเดินไป ก้องภพหลบตา
“คุณพี่เห็นมั้ยคะ ไอ้ภาคินมัน...”
“ถ้าใครมาว่าแม่ของก้องภพ คุณคิดว่าก้องภพมันจะโกรธมั้ย”
“ถามได้ โกรธสิ แม่ของตาภพก็ฉันนี่ไง...”
“ใช่ เหมือนผม ใครด่าแม่ผม ผมก็ต้องโกรธ...รู้งี้แล้วตาภพ แกควรไปขอโทษพี่เขาซะ...”
“พี่...คุณพ่อให้ผมนับญาติกับมันเหรอ...ไม่มีทางหรอก...” ก้องภพไม่พอใจ
“งั้นก็ไปให้พ้นหน้าฉัน...”
ก้องภพมองหน้าพ่อผิดหวัง
“คุณพ่อ!”
วิมลวรรณโกรธจัด
“คุณหญิงแม่ของฉัน เคยเตือนแล้วว่าฉันเลือกผัวผิด ฮึ ฉันเพิ่งรู้ว่าเป็นจริงก็วันนี้เอง...” วิมลวรรณดัง “นังนุ่ม...นังนุ่ม หายหัวไปไหนนะ อย่าให้ฉันเจอนะ ฮึ่ม ไม่คิดเลยว่าเลี้ยงงูพิษไว้ในบ้าน”
วิมลวรรณพาลไปทั่ว อานนท์สุดจะทน เดินหนีไปอีกคน...

หน้าโรงลิเก...กัญญาวางกระเป๋าเดินทางใบเก่าๆลง เมื่อเห็นป้านุ่มเดินมา ทั้งคู่จับมือกัน
“แม่บุษบา ไปอยู่ที่ไหนต้องติดต่อกลับมานะ สัญญาสิ”
“ฉันติดต่อแน่ เพราะฉันอยากได้ข่าวภาคิน พี่นุ่ม คุณหญิงโกรธมากใช่มั้ย แล้วเธอจะทำอะไรภาคินหรือ
เปล่า เธอเคยขู่ฉันไว้”
“อย่าคิดมากไปเลย คุณหนูน่ะโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เอาตัวรอดได้...ห่วงตัวเองดีกว่านะแม่กัญญา...”
กัญญาจับมือป้านุ่มน้ำตาไหล
“ยังไงฉันก็ฝากลูกด้วยนะแม่นุ่ม”
“จ้ะ...”
กัญญาถือกระเป๋าเดินไป ป้านุ่มมองตามด้วยความสงสาร

“กรรมเวรอะไรของแม่กัญญานะ...”
ภาคินมองดูรูปตัวเองเมื่อครั้งยังเด็ก แต่ในรูปถ่ายใบนั้นแม่ของเขาหันหลังอยู่จึงไม่เห็นหน้า

“สักวัน...ผมจะทำให้แม่หันหน้ามาทางผมให้ได้ ผมจะต้องรู้ว่าแม่ผมหน้าตาเป็นยังไง”
ภาคินคิดถึงแม่อย่างจับใจ ช่วงเวลาเดียวกันนั้น กัญญานั่งอยู่ในรถสองแถว มองออกไปข้างนอกหน้าเศร้าๆ รำพึงในใจ
‘แม่ต้องหนีไปเรื่อยๆ แม่กลัว...กลัวว่าคุณหญิงเขาจะทำร้ายลูกของแม่อย่าโกรธแม่นะ ภาคิน’
กัญญาปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้ว ช้อยมองอย่างหมั่นไส้

ป้านุ่มเปิดประตูเล็กเข้ามา แล้วก็ตกใจ เมื่อเห็นวิมลวรรณยืนแอบอยู่ข้างประตู วิมลวรรณดึงผมของป้านุ่มจนหน้าหันมา
“โอ๊ย คุณหญิงเจ็บค่ะ”
“ฉันสิ เจ็บมากกว่าแกไม่รู้กี่เท่า...บอกมานังกัญญาอยู่ที่ไหน”
ป้านุ่มตกใจ ส่ายหน้า
“อิฉันไม่ทราบค่ะ”
“ก็แกติดต่อกับมันไม่ใช่เหรอ”
“เธอเพิ่งติดต่อมาวันนี้เองค่ะ ร้อยวันพันปีก็ไม่เคยติดต่อกัน”
“งั้นแกก็สาธยายมาว่า...วันนี้หายหัวไปไหนมา”
“ไปตลาดค่ะ”
วิมลวรรณมองป้านุ่น ไม่เห็นกับข้าวหรือตะกร้าใส่กับข้าว
“ท่าทางแกเหมือนไม่ได้ไปตลาด...ผักชีสักต้นก็ยังไม่มีติดมือ”
วิมลวรรณปล่อยผมของป้านุ่มอย่างแรง จนเซไป อานนท์เข้ามา
“ว่าไงนุ่ม ซื้อหอยแครงไม่ได้เหรอ”
ป้านุ่มสบตาอานนท์ รีบรับมุก
“เอ้อ...ไม่มีค่ะ”
อานนท์ส่งสายตาให้หนีไป ป้านุ่มรีบเดินไป วิมลวรรณคว้าข้อมือของป้านุ่มไว้
“ถ้าวันไหนฉันจับได้ว่าแก ยังติดต่อกับนังหน้าด้านนั่นอยู่ รู้วันไหน ฉันก็จะเฉดหัวแกออกจากบ้านวันนั้น”
วิมลวรรณมองแค้นๆ

ป้านุ่มยืนอยู่ในครัวยังหวาดหวั่นอยู่ไม่หาย ภาคินเดินเข้ามา
“บอกผมได้มั้ยป้านุ่ม...ว่าแม่ผมอยู่ไหน”
ป้านุ่มอึกอัก ส่ายหน้า
“นุ่มไม่ทราบจริงๆค่ะ”
“ป้าอย่าปิดผมเลย...ผมอยากพบแม่”
ป้านุ่มส่ายหน้าเช็ดน้ำตาเดินหนีไป ภาคินมองตามไปด้วยสายตาเศร้าๆ ขณะเดียวกันนั้น เสียงหัวเราะหยันดังมาทางหนึ่ง ภาคินหันไปก็เห็นก้องภพยืนอยู่ ใบหน้ายังมีรอยช้ำบวม
“ไอ้ลูกหลงแม่”
ภาคินเดินหนีไปอย่างไม่อยากมีเรื่องด้วย ก้องภพมองตามยิ้มเยาะ

วันใหม่...อนิรุทธิ์เข็นรถของปานเดือน มาตามทางเดินของโรงพยาบาล ปานเดือนนั่งเหม่อลอย ในมือของเธออุ้มตุ๊กตาแล้วหยอกล้อกับตุ๊กตา คิดว่าเป็นลูก สายอุษาที่มองอยู่สะอื้น ผินหน้ามาทางสามี เติมบุญจับมือภรรยาปลอบใจ ปานฟ้ายืนอยู่ข้างแม่ น้ำตาไหลพราก
“คุณ...นี่ยัยเดือนลูกเราเหรอนี่...ทำไมชะตากรรมของยัยเดือนต้อง เป็นยังงี้ด้วย”
“ใจเย็นๆคุณ...ยัยเดือนต้องหาย เชื่อผมสิ”
ปานฟ้าประคองแม่ อนิรุทธิ์เห็นกลุ่มของปานฟ้า ก็ชี้ให้ปานเดือนดู
“คุณเดือนครับ เห็นมั้ยครับ คุณพ่อคุณแม่แล้วก็คุณฟ้ามาเยี่ยม”
ปานเดือนมองไปที่กลุ่มของสายอุษา อย่างจำไม่ได้
“ใคร...ใครกัน...”
สายอุษากลั้นสะอื้นไว้ไม่ได้ เดินไปหาลูกสาว ทุกคนตามไป
“เดือน...นี่แม่ไง แล้วนี่ก็คุณพ่อ แล้วก็น้องฟ้า”
ปานเดือนเอียงคอมอง ส่ายหน้า แล้วก้มลงเห่กล่อมลูกต่อ
“เอ๊...อย่าร้องนะลูกแม่...ทินภัทรลูกแม่...ทินภัทร โตขึ้นลูกต้องเรียนเก่งๆนะลูก...โอ๋ อย่าร้องนะ...อย่าร้อง...”
เติมบุญมองลูกสาวอย่างสงสารจับใจ
“เรากลับกันก่อนเถอะคุณ ตอนนี้ยัยเดือนยังจำเราไม่ได้หรอก”
ปานฟ้าหันมาถามอนิรุทธิ์
“วันก่อนพาบุญทิ้งมา พี่เดือนก็ดูอาการดีขึ้นแล้วนี่คะพี่รุท”
“นั่นสิ...แต่พอบุญทิ้งหายหน้าไป อาการของคุณเดือนก็กลับมาเป็นอย่างเดิมอีก”
“โธ่ พี่เดือน”
ปานฟ้าเศร้าสลดสงสารพี่สาว

ปานดาวตวัดสายตามองมาสามี พูดเสียงเครียด
“ดาวเคยนึกนะภู ถ้าดาวเจ็บปางตาย พ่อกับแม่จะไปเยี่ยมดาว เหมือนไปเยี่ยมนังเดือนหรือเปล่า”
“จะเครียดไปทำไม ยังไงน้องสาวเธอก็คงกลับมาเป็นปกติได้ยาก”
“อย่าประมาท หมอเดี๋ยวนี้เก่งจะตายไป”
“หมอเก่งหรือจะสู้ผมเก่ง...ตอกย้ำว่ามันเป็นบ้าทุกวันโรคบ้าของ มันก็ไม่มีวันหายหรอก...เชื่อสิ”
พิมเข้ามา หน้าตาตื่น
“คุณดาวคะ คุณผู้หญิงเรียกพิมไปพบ...สงสัยว่าจะเป็นเรื่องคุณเดือน”
“แกน่ะรอบจัดจะตายไป...แค่นี้ก็ต้องกลัวด้วยเหรอ ฉันเชื่อว่าแกเอา ตัวรอดได้ จริงมั้ยคะภู”
ภูวดลพยักหน้าเห็นด้วย
“ใช่...ผมก็เชื่อว่านังพิมน่ะเอาตัวรอดได้”
“ถ้าแกยิ่งพูดให้เจ้ารุทกับนังเดือน มันดูแย่มากเท่าไหร่ ฉันก็จะมี รางวัลให้แกมากเท่านั้น” ปานดาวหันมาบอก
พิมยิ้มมั่นใจสุดๆ

ปานฟ้าเดินไปเดินมาอยู่ในสวน เธอถือโทรศัพท์มือถือ อย่างเป็นห่วงภาคินที่มีเรื่องชกต่อยกับก้องภพ หยิบโทรศัพท์มือถือกดหาภาคิน ไม่นานนักเขารับสาย
“คุณ...ไม่เป็นไรมากใช่ไหมค่ะ”
ภาคินขมขื่นใจ
“ผมไม่เจ็บตัวหรอกครับ แต่เจ็บใจมากกว่า ต้องขอโทษคุณฟ้าด้วย ที่ทำให้กังวลเพราะความใจร้อนของผม”
“เป็นฟ้าก็ไม่รู้จะทนไหวไหม คุณก้องภพไม่ไหวจริงๆเล่นกันถึงพ่อแม่แบบนี้ ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษเลย”
ภาคินพูดอย่างน้อยใจ
“ที่เขาพูดก็อาจมีส่วนถูก ความจริงก็คือความจริงวันยันค่ำ”
“แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์ดูถูกคุณแบบนั้น ทุกคนเกิดมามีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกันนะค่ะ ไม่ว่าจะเกิดมายังไงก็ตาม”
ภาคินยิ้มอย่างซึ้งใจในน้ำใจของเธอ
“ถ้าทุกคนคิดเหมือนคุณปานฟ้าก็ดีสิครับ”
“คุณอย่าคิดมากนะ...ฉัน...เป็นห่วงและเห็นใจคุณนะค่ะ”
“แค่ได้ยินแบบนี้ก็หายเป็นปลิดทิ้งแล้วครับ ขอบคุณมาก”
ปานฟ้ายิ้มอย่างคลายกังวล ภาคินยิ้มดีใจอย่างมีความสุขในใจเงียบๆ

ในห้องรับแขก...พิมจิบน้ำส้ม หยิบผลไม้ในถาดมากิน วางมาดคุณนายนั่งบนเก้าอี้รับแขก กดรีโมทดูทีวีอย่างเพลินใจ ปานฟ้าเข้ามาเห็นมองอย่างไม่พอใจ พิมตกใจเล็กน้อย ลุกขึ้นจากเก้าอี้แต่ยังถือถาดผลไม้ติดมือมากิน ตามองทีวี ยิ้มหัวเราะกับรายการทีวี ไม่สนใจ
ปานฟ้ามองอย่างเคือง เดินเข้าไปปิดทีวีแล้วจ้อง พิมทำหน้าไม่พอใจ ถอนหายใจลอยหน้าจะเดินหนีไป
“ไม่ดูก็ได้ค่ะ”
“เดี๋ยว...”
“มีอะไรเหรอค่ะ” พิมน้ำเสียงยียวน
“เธอชักจะเอาใหญ่แล้วนะ อย่าให้ฉันเห็นพฤติกรรมแบบนี้อีก...ครั้งนี้ฉันให้อภัย”
พิมแสยะยิ้มเดินตรงมาสบตาปานฟ้า
“พิมทำอะไรผิดเหรอค่ะ คุณฟ้าถึงต้องให้อภัย พิมดูทีวีอยู่ดีๆ คุณฟ้า มาปิดทีวีเฉย พิมต้องให้อภัยคุณฟ้าสิค่ะ...มันถึงจะถูก”

หน้าประตูเข้าห้องโถง เติมบุญกับสายอุษา เดินหน้าเศร้าคุยกันมา ภูวดลและปานดาวเดินตามหลัง ขณะที่ปานฟ้าชักโมโหในความเหิมเกริมของสาวใช้ เธอตะเบ็งเสียงอย่างโกรธจัด
“มากไปแล้วนะพิม เธอกล้าดียังไง มาเถียงฉันขนาดนี้”
พิมเถียงอย่างไม่คิดเกรงใจ
“ก็กล้าแบบนี้...ใครจะทำไม...พิมไม่ผิดนี่นา”
สายอุษาเดินมาเห็นพิมเถียงปานฟ้าฉอดๆ ก็ตวาด
“นังพิม...หุบปากของแกเดี๋ยวนี้”
พิมตกใจหันไปมอง เห็นสายอุษาเอาจริงไม่กล้าเถียงต่อ นั่งลงกับพื้น หน้ามุ่ยกระฟัดกระเฟียด
“แค่นั่งดูทีวีนิดเดียว ทำเป็นเรื่องใหญ่กันไปได้” พิมจ้องปานฟ้าอย่างไม่เกรง “พิมก็เมีย คุณรุทธิ์คนหนึ่งนะ จะไม่มีสิทธิ์มีเสียงทำอะไรในบ้านนี้เลยหรือไง”
ภูวดลกับปานดาวยิ้มหยันอย่างสะใจในคำพูดพิม ปานฟ้าโกรธจัด
“ทำเรื่องบัดสีขนาดนั้น แล้วยังจะมาอ้างสิทธิ์อีกคนบ้านนี้ไม่สนใจเรื่องต่ำๆแบบนั้น ถ้าคิดจะอยู่ที่นี่ก็ต้องรู้ว่าตัวเป็นใคร”
พิมเบะปากใส่อย่างไม่แยแส
“พิมก็จะเป็นตัวพิมนี่แหละอย่าหาเรื่องกันดีกว่า” พิมลุกยืนกอดอก “พิม...เป็นเมียคุณรุท...เป็นมานานแล้วด้วยไหนๆเรื่องก็แดงออกมาแล้ว ทุกคนในบ้านนี้ก็ต้องยอมรับ”
เติมบุญหน้าเครียด
“อะไรนะ...”
สายอุษาตะลึง
“เป็นไปไม่ได้...ใครจะไปยอมรับแก โอยยย...ฉันจะเป็นลม”
พิมเชิดหน้าไม่ยอม
“ต้องได้สิคะ...แต่ถ้าคิดจะเฉดหัวพิม ทิ้งไปง่ายๆ ล่ะก้อ...อย่าหวัง ไม่งั้นได้เห็นฤทธิ์กันแน่”
ทุกคนอึ้ง สายอุษากุมขมับ ปานฟ้ากับเติมบุญเครียด ปานดาวสบตากับภูวดลอย่างสะใจและชอบใจในมารยาของพิม

สายอุษานั่งที่เตียงนอน เติมบุญนั่งอยู่ไม่ห่าง ปานฟ้าถือแก้วน้ำส้มมาส่งให้แม่ สายอุษารับมาดื่ม
“แม่ไม่เข้าใจ นายรุทธิ์ไปเกลือกกลั้วกับผู้หญิงอย่างนังพิมได้ยังไง”
ปานฟ้ายังโมโหไม่หาย
“แทนที่จะนึกอาย นับวันพิมยิ่งอวดดี วันนี้ฟ้าอดไม่ได้จริงๆ แล้วดูท่าพิมสิค่ะ กร่างซะ...”
เติมบุญส่ายหน้า
“ถ้ามันวุ่นกันนัก ก็ให้พิมไปอยู่ที่อื่น”
“อุ้ย...ไม่ได้หรอกคุณ อยู่กับเราแบบนี้ มันไปไหนเรายังรู้ ถ้าไปอยู่ข้างนอก แล้วไปอาระวาดกับลูกเดือน มิแย่เข้าไปใหญ่เหรอค่ะ”
ปานฟ้าเหนื่อยใจ
“คุณพ่อขา...ทำไมบ้านเราถึงมีแต่เรื่องนะ”
“บ้านเรามันโชคร้ายตั้งแต่ทินภัทรหายไป” เติมบุญสบตาสายอุษา “ถ้าหลานกลับมาเมื่อไร ผมมั่นใจว่าเดือนต้องหายเป็นปกติแน่นอนถึงตอนนั้น...ทุกอย่างจะกลับมาดีเหมือนเก่า”
ปานฟ้ามองสายอุษาอย่างเชื่อมั่น
“ฟ้าจะพยายามหาตัวหลานให้เจอ แล้วพากลับมาให้ได้ ไม่ว่าจะยากแค่ไหน”
ปานฟ้าโอบแม่อย่างเห็นใจ สายอุษาเหมือนจะร้องไห้ เติมบุญจับมือให้กำลังใจ

พิมสีหน้าระรื่น นับธนบัตรใบละพันในมือหลายสิบใบ นับเสร็จเอามาดมอย่างชื่นใจ ปานดาวกับภูวดล แสยะยิ้ม
“แกเนี่ย นางร้ายในละครยังแพ้ ตีบทซะแตกกระเจิง เริ่มแล้ว ก็ต้องสานต่อให้จบ เอาให้ผัวนังเดือนมันกระเด็นออกจากบ้านนี้ให้ได้”
พิมยัดเงินใส่ยกทรง ยักคิ้วได้ใจ
“ไม่ต้องห่วงค่ะคุณขา แค่เนี่ยจิ๊บๆ เดี๋ยวแม่จะเอาให้เละทั้งผัวทั้งเมียเลยคอยดู คืองี้ค่ะคุณดาว พิมจะ...”
ภูวดลรีบตัดบท
“ไม่ต้องโม้มากนังพิม แกทำให้ได้เหมือนพูดเถอะ” ภูวดลสบตาแล้วสั่งเสียงแข็ง “ขยี้มันให้เละ มารยามีเท่าไรขุดมาใช้ให้หมด ยิ่งแกทำกับอนิรุทธิ์เท่าไร เมียมันจะยิ่งบ้าหนักเท่านั้น”
ปานดาวแสยะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“ยิงนกตัวเดียว กำจัดได้สองคนเลย ไหนนังฟ้าจะเสร็จไอ้ก้องภพอีก” ปานดาวหัวเราะสะใจ “โอ้ย...คิดแล้วมันสุขจริงจริ๊งงงง...ทุกอย่างในบ้านนี้และทุกสิ่งในตระกูลนี้ต้องตกเป็นของฉันคนเดียว”
ปานดาวปรบมือหัวเราะชอบใจในฝันที่จะเป็นจริง พิมจ้องปานดาวปรายตาอิจฉา ไม่ต่างกับภูวดลที่แค่นยิ้มชอบใจดวงตาฉายแววชั่วร้ายมีเล่ห์เหลี่ยม มากกว่าที่ปาดดาวจะรู้ได้

วันต่อมา...บุญทิ้งหัดวาดรูปลายดินสอ ใบหน้าผู้หญิงลงในกระดาษ ภาคินกับปานฟ้านั่งอยู่ใกล้ๆ มองบุญทิ้งอย่างครุ่นคิด
“ฉันตัดสินใจแล้วคะ ทางเดียวที่จะทำให้พี่เดือนดีขึ้น คือต้อง ให้พี่รุทธิ์กับพี่เดือนรับบุญทิ้งเป็นลูกบุญธรรม”
บุญทิ้งมองปานฟ้าตกใจปนดีใจ ภาคินส่ายหน้าอย่างหนักใจ
“ยากครับ เพราะคุณเดือนกำลังป่วยหนัก การจะรับเด็กไปอุปการะพ่อแม่บุญธรรมต้องมีสุขภาพกายสุขภาพจิตสมบรูณ์ ผมว่าตอนนี้ที่ทำได้ดีที่สุด คือทุกคนต้องดูแลให้กำลังใจเธอ ให้หายป่วยเร็วที่สุด”
บุญทิ้งหน้าเศร้าสงสารปานเดือน
“พี่ฟ้าพาผมไปหาคุณเดือนหน่อยสิครับ ผมคิดถึงคุณเดือน”
ปานฟ้าลูบหัวบุญทิ้งอย่างเอ็นดู
“พี่ก็อยากพาไป แต่ตอนนี้ทางโรงพยาบาลให้พี่เดือนพักผ่อนมากๆ บุญทิ้งเองก็ต้องฝึกวาดให้เยอะ เพราะใกล้ถึงวันแข่งขันแล้ว ไว้อีกพัก พี่ค่อยพาไปนะ”
บุญทิ้งอิดออด
“แต่ผม...อยาก...ไป ก็พี่ภาคินบอกว่า ทุกคนต้องช่วยกัน”
ภาคินปรามนิดๆ
“ไม่เอาน่าบุญทิ้ง อย่ารบเร้าพี่ฟ้าแบบนี้ เกรงใจพี่เขาบ้าง”
ปานฟ้ายิ้มให้บุญทิ้งที่ทำหน้าผิดหวัง บุญทิ้งถอนใจ ครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

เฟื่องแก้วเล่นกับเด็กอยู่ในสนามอย่างสนุกสนาน บุญทิ้งแต่งตัวหล่อกว่าทุกวัน แอบดูอยู่ข้างมุมตึก เด็กชายคิดไปคิดมา คิดไม่ตก แล้วตัดสินใจ วิ่งอย่างเร็วไปอีกมุมตึก หลบเฟื้องแก้วและไม่ให้ทุกคนเห็น ลุงยามที่ประตูฟุบหลับ สัปหงกอย่างเหนื่อยล้า บุญทิ้งย่องไปที่ประตู เปิดประตูออก รีบออกไปโดยไม่มีใครสังเกตเห็น
บุญทิ้งวิ่งเหลียวหน้าเหลียวหลังอย่างกลัวใครจะตามมา เด็กชายวิ่งมาหยุดหอบหายใจรัว หันซ้ายขวา ไม่รู้จะไปทางไหน ขณะเดียวกันนั้น ชายคนหนึ่งเดินผ่านมา เด็กชายรีบถามเสียงหอบ
“น้าๆ...โรงบาล...” บุญทิ้งนึกๆ “สี...สี...กันยา ไปทางไหนครับ”
“โรงบาลอะไร ไม่เคยได้ยิน ไม่รู้จัก”
ชายคนนั้นเดินผ่านไป บุญทิ้งมองตามอย่างงงงวย หันมาเจอหญิงแต่งตัวดีอีกคนเดินผ่านมา เข้าไปจับแขน รีบเอ้ยถาม
“น้าๆ ช่วยบอกผมหน่อย ทางไปโรงบาล สีกันยา ไปยังไงครับ”
หญิงคนนั้นเลี่ยงตัวหลบสะบัดแขนหนี มองหัวจรดเท้า ทำท่ารังเกียจ เดินเลี่ยงไปอย่างเร็ว บุญทิ้งเริ่มใจเสีย แต่ยังพยายามมองหาคนถามรายต่อไป พ่อดีมีลุงแก่ๆเดินมา บุญทิ้งรีบเข้าไปถาม
“ลุงครับ ลุงรู้จักโรงบาล สีกันยาไหม”
ลุงมองบุญทิ้งอย่างงงๆ
“สีกันยาไหนว่ะ...ข้าเคยได้ยินแต่ ศรีธัญญา โรงบาลบ้า”
บุญทิ้งยิ้มอย่างดีใจที่มีคนเข้าใจ เข้าไปจับแขนลุง
“เออ...นั้นแหละ...สีทันยา...ผมจำชื่อผิด ลุงบอกทางไปหน่อย”
ลุงเกาหัวทนบุญทิ้งรบเร้าไม่ไหว ชี้มืออธิบายทาง ชี้ไม้ชี้มือวกวนไปมา บุญทิ้งพยักหน้ารับอย่างตั้งใจฟัง

พระอาทิตย์แผดแสงแดดร้อนเปรี้ยง บุญทิ้งเงยมองพระอาทิตย์ตาหยี่ ใบหน้าเต็มไปด้วยผุดเหงื่อ เด็กชายเอาชายเสื้อขึ้นเช็ดเหงื่อ
“ไหนว่าใกล้ๆ เดินเป็นชั่วโมงแล้วยังไม่ถึง”
บุญทิ้งเดินผ่านด้านหน้าอาคารที่ด้านในมีตึกใหญ่ แต่ปิดประตูรั้วไว้ เด็กชายดีใจ รีบวิ่งไปเกาะประตู มองรอดเข้าไปข้างในใจหวังเห็นใครสักคนจะได้เรียก ทันใดนั้นหมาตัวใหญ่กระโจนมาประจันหน้าเกือบโดนหน้าบุญทิ้ง เห่าเสียงดังดุมาก บุญทิ้งหน้าหงาย ล้มลงไปกับพื้น ยามออกมาไล่
“เดี๋ยวเอ็งได้โดนไอ้นี่มันขย้ำคอตาย...ไปขอทานที่อื่นไป”
บุญทิ้งหน้าเสีย ตกใจกลัวทั้งหมาทั้งยาม
“ที่นี่ไม่ใช่โรงบาลสีทันยาเหรอครับ”
ยามเกาหัว กระบองเขี่ยไล่
“โอ๊ย...ไอ้เด็กบ้าเอ้ย จะไปโรงบาลบ้าที่ไหนก็ไป...ไป”
บุญทิ้งรีบลุกทำท่าจะร้องไห้ มองยาม หมาเห่าเสียงดัง ยามยกกระบองขึ้นจะตี บุญทิ้งรีบหลบ วิ่งหนีไป

เย็นนั้น...เมฆดำเริ่มปกคลุมพระอาทิตย์ ฝนเริ่มตั้งเค้า ฟ้าร้องเสียงดัง บุญทิ้งเดินอย่างอิดโรยผ่านหน้ารถเข็นขายกล้วยแขก หยุดยืนมอง ลูบท้อง กลืนน้ำลาย ป้าขายกล้วยแขก เอาที่ปัดแมลงวันทำท่าปัดไล่ บุญทิ้งสะดุ้งเดินผ่านไป
ฝนเริ่มลงเม็ดหนัก ฟ้าคำรามอย่างน่ากลัว บุญทิ้งเงยหน้ามอง เม็ดฝนที่ตกใส่หน้า รีบหาที่หลบฝน เด็กชายเนื้อตัวเปียกปอนไปทั้งตัว สีหน้าหมดหวังทิ้งตัวนั่งชันเข่าอย่างอ่อนล้าอยู่ที่ซอกตึกรกๆแห่งหนึ่ง มองดูเม็ดฝนที่ตกมาอย่างหนัก เด็กชายน้ำตาคลอ เริ่มจะร้องไห้ พูดเสียงเครือ
“ผมจะเจอคุณไหมครับ...คุณเดือน”
บุญทิ้งเอามือปาดน้ำตา ร้องไห้หนักขึ้น สายฝนตกกระหน่ำ เด็กชายนั่งร้องไห้อย่างโดดเดี่ยวในซอกตึก ฟ้ามืดค่ำ ลงไปทุกที
เมื่อฝนขาดเม็ด ถนนเจิ่งนองไปด้วยน้ำ ป้าขายกล้วยแขกเข็นรถผ่านมา มองเห็นบุญทิ้งนอนขดอยู่ซอกตึก ป้าหยิบถุงกล้วยแขกเดินไปโยนตรงหน้าบุญทิ้ง เด็กชายสะดุ้ง ตาตื่นลุกนั่งงัวเงีย เหลือบเห็นกล้วยแขก รีบคว้ามากินอย่างหิวโหย ป้ามองอย่างเอ็นดู
“ยัดแบบนั้น เดี๋ยวได้ติดคอตาย ไม่มีอะไรตกถึงท้องทั้งวันสิท่า” ป้ายิ้มขำ “ข้าเห็นเอ็งยืนน้ำลายยึด มองกล้วยแขกตั้งแต่เย็นแล้วฟ้ารั่วแบบนี้ ...ให้เอ็งกินยังดีกว่าต้องเททิ้ง”
ป้าปัดเม็ดฝนออกจากเสื้อ บุญทิ้งยิ้มแก้มตุ่ย ยกมือไหว้ป้าขายกล้วยแขก พูดกล้วยแขกเต็มปาก
“ขอบคุณคับ ป้าใจดีจัง...” เด็กชายรีบกลืนกล้วย นึกได้รีบถาม “ป้ารู้จักโรงบาลสีทันยาไหม”
ป้าแค่นหัวเราะขำๆ
“ไม่รู้ได้ไง ข้าเคยอยู่”
บุญทิ้งยิ้มมองป้าด้วยแววตาเป็นประกายมีความหวังอีกครั้ง ลุกขึ้นกระโดดโลดเต้น
“ไชโย...เย้ๆๆๆ...”
ขณะเดียวกันนั้น รถเก๋งแล่นมาอย่างเร็ว ผ่านน้ำที่เจิ่งนองที่ฟุตบาท น้ำกระจายมาโดนบุญทิ้งยิ้มแย้มกระโดดโลดเต้นไม่หยุด เปียกไปทั้งตัว ป้าขายกล้วยแขกพลอยโดนน้ำไปด้วย ตะโกนด่าเสียงลั่นด้วยความโมโห

ค่ำนั้น...ภาคิน ปานฟ้า และเจ้าหน้าที่มูลนิธิ 2 คน วิ่งมาบรรจบกันที่สามแยก ต่างหอบเหนื่อย หน้าหมดหวัง ส่ายหน้า
“หาจนทั่วแล้วครับ ไม่เจอเลย เดี๋ยวผมไปหาทางโน้นอีกรอบ”
เจ้าหน้าที่ 2 คนเดินจากไป ปานฟ้าปาดเหงื่อที่หน้าผากเอามือพัดหน้าอย่างร้อน เป็นห่วงบุญทิ้งมาก
“แจ้งไปทาง จส.100 กับร่วมด้วยแล้ว แต่ยังไม่มีใครเจอบุญทิ้งเลยคะ”
ภาคินยิ้ม มองปานฟ้าอย่างซึ้งน้ำใจ
“ขอบคุณมากครับ คุณเลยต้องมาลำบากด้วย”
ภาคินหยิบผ้าเช็ดหน้าให้ ปานฟ้ายิ้มรับมาซับเหงื่อตามหน้า แล้วส่งสายตาห่วงใยให้เขา
“มีปัญหาก็ต้องช่วยกันสิคะ คุณทั้งเหนื่อยทั้งเครียดกว่าฉันเยอะเดี๋ยวไปซื้อน้ำให้นะคะ”
ภาคินยิ้มอย่างชื่นใจในความเป็นห่วงจากปานฟ้า
“ไม่เป็นไรครับ แค่รู้ว่าคุณเป็นห่วง ผมก็หายเหนื่อยแล้ว”
ปานฟ้ายิ้มเขิน ทำอะไรไม่ถูก ภาคินทำท่าครุ่นคิด นึกอะไรได้บางอย่าง
“เดี๋ยวก่อน...ผมนึกได้แล้ว...บุญทิ้งต้องไปที่นี่แน่ๆ”
ปานฟ้าหันมามองเป็นเชิงถาม อย่างสงสัย

รถเมล์แล่นมาจอดหน้าโรงพยาบาลศรีธัญญาแล้วแล่นออกไป บุญทิ้งยืนอยู่หน้าโรงพยาบาลทำปากมุบมิบสะกดคำ
“ศอศาลา...รออี...รี...ศอนรี...ศรี”
บุญทิ้งยิ้มอย่างมีความหวัง ตั้งใจอ่านชี้มือไปที่ป้าย อ่านทีละตัว
“ทอธง ไม้หันอากาศ ยอ...ยักษ์...เอ้ย...ยอ...หญิง ธัญ...ธัญญา...ศรีธัญญา...” เด็กชายยกมือดีใจ ที่อ่านออก “เย้...ใช่แล้วที่นี่”
บุญทิ้งรีบวิ่งเข้าไปในโรงพยาบาล ก้านเดินสวนออกมาชนบุญทิ้งจนตัวเซแทบล้ม ก้านมองหน้าเฉย แววตาดุ เด็กชายมองชายแปลกหน้าอย่างหวาดๆ รีบหลีกจะเดินหนีไปอีกทาง ก้านคว้าคอเสื้อไว้ ถามเสียงห้าว
“เดี๋ยวไอ้หนู...จะรีบไหนวะ”
บุญทิ้งอึกอัก นึกกลัว
“หน้าตา ผิวพรรณแบบนี้ มันลูกคนมีกะตังนิหว่า เอ็งหนีออกจากบ้านใช่ไหม” ก้านรวบตัวบุญทิ้งไว้ “ไหนมาดูสิในกระเป๋ามีเท่าไร”
ก้านล้วงกระเป๋ากางเกง บุญทิ้งสะบัดจะหนี
“ปล่อยนะ...บอกให้ปล่อย”
“เฮ้ย...นิ่งๆสิวะ เดี๋ยวจับตัวไปเรียกค่าไถ่หรอก”
ก้านล้วงกระเป๋าไม่เจอสักบาท ก็โยนตัวบุญทิ้งเซเกือบล้ม
“โอ๊ย”
“ถุย...ลูกเศรษฐีอะไร ไม่มีสักบาท”
บุญทิ้งมองก้านด้วยความกลัว รีบวิ่งหนีไป ก้านแสยะปากตามหลังอย่างสุดชั่ว

บุญทิ้งวิ่งหนีเตลิดด้วยความกลัว วิ่งไปซ้ายที ไปขวาที อย่างผิดๆถูกๆ ไม่รู้จะไปทางไหนดี ผู้ป่วยสติไม่ดี หน้าตาแปลกๆ เดินผ่านมา มองบุญทิ้งสายตาแปลกๆ ยิ้มกวักมือเรียกแบบคนสติไม่ดีให้มาหา บุญทิ้งถอยกรูด ยิ่งกลัวหนัก วิ่งหนีไป
บุญทิ้งวิ่งไปก็เหลียวหลังไป กลัวว่าก้านจะตามมาจนชนเข้ากับชายคนหนึ่ง ที่โผล่มาโดยบังเอิญอย่างจังชายคนนั้นจับตัวบุญทิ้งไว้ บุญทิ้งหลับตาร้องเสียงหลง
“โอ๊ย...ปล่อยๆๆๆ ผมไม่ใช่ลูกเศรษฐี...ไม่ใช่”
ภาคินเขย่าตัวบุญทิ้งจนลืมตา
“นี่พี่เอง บุญทิ้ง....ตกใจอะไรมาเนี่ย”
บุญทิ้งลืมตา เรียกชื่อภาคินเสียงดังลั่น
“พี่ภาคิน...”
เด็กชายกอดภาคินไว้อย่างดีใจหน้าเหมือนจะร้องไห้ ยังกลัวก้านไม่หาย ภาคินลูบหลังเบาๆให้ผ่อนคลาย

ลูกบิดประตูห้องปานเดือนขยับจะเปิดออก ปานเดือนในสภาพโทรมๆเพราะอดนอนนั่งอยู่ที่ปลายเตียง ขณะเดียวกันนั้น หน้าที่เศร้าสร้อยของเธอกลับเปลี่ยนเป็นดีใจ หันไปทางประตูห้อง
“ทินภัทร...นั่นลูกใช่ไหม...ทินภัทร”
พิมก้าวเข้ามาในห้อง มองปานเดือนหน้าเรียบเฉย ตาฉายแววชั่วร้ายเลือดเย็น ปานเดือนชะงัก
“จำพิมได้ไหมคะคุณเดือน ผอมไปเยอะเลยนี่ พิมเป็นห่วง แวะมาเยี่ยม”
ปานเดือนยังหันซ้ายขวา แต่ไม่เห็นบุญทิ้ง ขยับลุกจากเตียง เข้ามาใกล้ประจันหน้า จนพิมชะงัก
“ลูกฉันไปไหน เธอเอาไปซ่อนใช่ไหม” ปาเดือนจับไหล่พิมเขย่า “บอกมานะ ลูกฉันอยู่ไหน”
พิมจ้องมอง ยิ้มส่ายหน้าช้าๆ
“โถ...อกแม่แทบแตก น่าเห็นใจจริงจิ๊ง ลูกหายค่อยๆหา เดี๋ยวก็เจอ”
พิมรั้งมือปานเดือนออกสะบัดแรง ถมึงตาใส่ ขึ้นเสียงอย่างไม่กลัว
“แต่ถ้าผัวหาย หาเท่าไรมันก็ไม่เจอ”
พิมหัวเราะใส่หน้า ปานเดือนอึ้ง จ้องมองพิมอย่างงงๆ
“เธอพูดอะไร...ผัวใคร...”
พิมแสยะยิ้มกลับอย่างเหนือกว่า
“จะผัวใครล่ะ ก็พูดกันอยู่ 2 คน ไหนๆก็บ้าไปแล้ว มีผัวไว้ก็ใช้อะไรไม่ได้ ให้พิมช่วยเอาไปใช้แล้วกันนะ รับรองจะดูแลอย่างดี”
ปานเดือนโกรธจนสั่น กำหมัดแน่น
“เธอพูดเรื่องอะไร ฉันไม่รู้เรื่อง...ไม่อยากพูดด้วยแล้ว ออกไป...ไป”
ปานเดือนหน้าเครียด ปวดหัว เอามือปิดหูไว้ทั้งสองข้างส่ายหน้าไปมาอย่างไม่อยากรับฟัง เริ่มร้องไห้ พิมเข้าไปใกล้ ถมึงตาใส่ แสยะยิ้ม
“ไม่อยากพูด งั้นฟังให้ดี วันๆ เพ้อถึงแต่ลูก จนผัวเบื่อจนไม่รู้จะเบื่อแค่ไหนแล้ว...แกมันเสียจิตจนโดนผัวทิ้ง” พิมหัวเราะใส่ “สำนึกกะลาหัวไว้ด้วย”
ปานเดือนหลับตา สะบัดมือ ข้อศอกอย่างแรง แต่กลับไปโดนหน้าพิมอย่างจังแบบตั้งใจ
“โอ๊ย...บ้าแล้วยังฤทธิ์มากอีกนะ”
พิมมองปานเดือนอย่างฉุนๆ ลูบหน้าไปมาด้วยความเจ็บปวด
“ไม่จริง...เป็นไปไม่ได้ รุทธิ์ไม่มีวันทิ้งฉัน เขารักฉัน เธอโกหก”
พิมจ้องมองปานเดือนอย่างโกรธจัด
“เล่นฉันก่อนเรอะ...อยากลองของกับนังพิมหรือไง”
พิมจิกผมปานเดือน ลากหัวกดตัวจนปานเดือนลงไปนั่งกับพื้นข้างขาเตียงเหล็ก ตะคอกใส่
“นังบ้า อยู่ไปก็รกโลก เอาหัวโขกเสาให้ตายเลยดีมั้ย”
ปานเดือนมองพิมด้วยแววตาหวาดกลัว

บุญทิ้งดื่มน้ำอย่างหิวกระหาย หันมามองภาคิน แล้วดื่มต่อ ภาคินมองด้วยสายตาสังเวชใจ
“ผู้ชายคนนั้น น่ากลัวมากเลยครับ เขานึกว่าผมเป็นลูกเศรษฐีล้วงกระเป๋าหาตังค์ใหญ่เลย...แต่ ผมไม่มีสักสลึง”
ภาคินมองบุญทิ้งอย่างเอ็นดู
“เขาคงล้อเล่น แกล้งบุญทิ้ง ว่าแต่เรานี่ ดูไปก็คล้ายลูกเศรษฐีเหมือนกันนะ”
บุญทิ้งมองแขนขาตัวเอง คุยทับ
“ใครๆ ก็ชอบพูดแบบนี้ แต่ไม่เห็นมีเศรษฐีมาขอไปเลี้ยงสักที”
ปานฟ้ามองบุญทิ้งอย่างขำๆ
“ต่อไปต้องระวังตัวนะ อย่าไปไหนมาไหนคนเดียว แก๊งค์ลักเด็กมันมีเยอะไม่ว่ารวยว่าจน มันจับหมด อย่าหายตัวไปเหมือน....”
ปานฟ้าพูดต่อไม่ออก บุญทิ้งมองหน้าเชิงถาม
“เหมือน...ทินภัทร หลานพี่”
บุญทิ้งมองหน้าปานฟ้าที่เศร้าลงเมื่อพูดถึงทินภัทร ภาคินมองปานฟ้าอย่างเห็นใจ
“ผมจะช่วยคุณ ตามหาทินภัทรให้พบให้ได้ แต่ถ้าหาแล้วไม่เจอ...” ภาคินเหลือบมองบุญทิ้ง “ก็เอาบุญทิ้งไปแทน ดีไหมบุญทิ้ง”
ปานฟ้ายิ้มหันมองบุญทิ้งที่พยักหน้างึกๆ ยิ้มแก้มแทบปริ

พิมจับตัวปานเดือนให้นั่งลงกับพื้น ยิ้มให้อย่างเลือดเย็น ปานเดือนมองพิมอย่างหวาดระแวง
“จะทำอะไร...อย่านะ ฉันกลัว”
พิมยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“ไม่ต้องกลัวหรอกค่ะ พิมจะสอนให้เล่นอะไรสนุกๆ คุณเดือนอยู่ว่างๆก็นั่งทำไป ลองเอาหัวโขกกับขาเตียงนี่สิค่ะ เดี๋ยวพิมจะสอนให้ ทำแบบนี้...” พิมจับหัวปานเดือนโขกเสาเตียง “นั้นแระ...ไหนทำเองสิค่ะ”
ปานเดือนเอี้ยวคอมองพิมอย่างงงๆ แต่เห็นพิมหน้าดุเอาจริงก็กลัว
“ไม่เห็นสนุกเลย มันเจ็บนะ”
พิมยิ้มหยัน
“จะทำเองหรือให้ฉันทำให้...ลองทำไปเรื่อยๆ สิค่ะ สนุกจะตาย ยิ่งโขกยิ่งหายปวดหัว”
พิมหัวเราะสะใจ ปานเดือนหน้าเสียเหมือนจะร้องไห้ เธอกลัวเสียงตวาด ของพิมจึงเอาหัวตัวเองโขกขาเตียงเหล็ก ตาคอยหันกลับมามอง พิมหัวเราะอย่างสะใจ
“อยากเกิดมารวย มีพร้อมทุกอย่าง แกก็ต้องโดนแบบนี้ บ้าแล้วก็อย่าอยู่ต่อไปเลย โขกอีกสิ แรงอีก เบาแบบนั้นจะสนุกอะไร มันต้องแรงๆ”
พิมตรงเข้าไปจับหัว ปานเดือนดิ้นสะบัดมือและขาอย่างหวาดกลัว มือเลยฟาดเข้าหน้าพิมอย่างไม่ตั้งใจ โดนตาจนพิมหน้าหงายไป
“โอ๊ย...ฟาดมาได้นังบ้านี่”
ปานเดือนลุกหนี เอามือลูบหน้าผากเจ็บ
“ไหนว่าสนุก...เจ็บจะตาย” ปานเดือนยิ้มแบบคนเสียสติ ชี้หน้าพิมแล้วหัวเราะ “หรือว่าเธอชอบ” ปานเดือนตรงเข้าหาพิม “เอาสิ ทำให้ฉันดู”
พิมหน้าตื่น จะถอยหลัง
“เฮ้ย...อย่าเข้ามานะ”
ปานเดือนตรงเข้าไปจับหัวพิม กดลงที่เสาเตียงแล้วโขกซ้ำๆหลายที
“โอ๊ย...ยายโรคประสาทเอ๊ย...ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ”
“ชอบแบบนี้เหรอ...ฉันช่วยนะ...อย่างนี้สนุกกว่า...ยิ่งโขกยิ่งหาย ปวดหัวใช่ไหม...” ปานเดือนหัวเราะดังลั่น “...สนุกเนอะ สนุกจังเลย ชอบ”
ปานเดือนหัวเราะไป โขลกหัวพิมไป อนิรุทธิ์เข้ามาเห็นก็ตกใจ ตรงเข้าไปจับตัวปานเดือนออกมา ปานเดือนตาลอย หัวเราะ อนิรุทธิ์หน้าเครียดจับไหล่ปานเดือนสั่น
“เดือน....หยุดเดี๋ยวนี้นะ...กำลังทำอะไร...รู้ตัวรึเปล่า”
พิมฉวยจังหวะ คิดจะวิ่งหนี อนิรุทธิ์เห็น วิ่งไปคว้าตัวเอาไว้
“ปล่อยนะ พิมกลัวคุณเดือน คุณเดือนบ้าไปแล้วจริงๆ”
“ใส่ร้ายฉันยังไม่พอ ยังจะมาก่อกวนเมียฉันถึงนี่ เธอต้องการอะไร”
อนิรุทธิ์จ้องหน้าเขม็ง พิมอึ้งไป นิ่งคิดหาเรื่องโกหกเอาตัวรอด

พิมเดินมาลงนั่ง ยกมือคลึงหน้าผากอย่างเจ็บ อนิรุทธิ์เดินมาลงนั่งใกล้ๆ
“ทำไมต้องใส่ร้ายฉัน ...ว่า...ไปทำอะไรเธอ...ว่าไง ทำไมต้องสร้างเรื่องโกหกทุกคน ฉันทำอะไรให้เธอไม่พอใจ”
พิมอ้ำอึ้ง นึกหาทางเอาตัวรอด
“พิมก็ไม่อยากทำคุณรุทธิ์หรอกคะ แต่...”
“แต่อะไร”
“พิมต้องการใช้เงิน...แล้ว...พิม...พิมไม่กล้าบอกคุณรุทธิ์หรอกค่ะเดี๋ยวคุณคนนั้นเขาว่าเอา”
“คุณคนไหน...ว่าไง...บอกมาเดี๋ยวนี้”
พิมทำท่านึกสุดท้ายก็โพล่งออกมา
“คุณฟ้าค่ะ”
อนิรุทธิ์อึ้ง นึกไม่ถึง
“ปานฟ้าเนี่ยนะ...”
พิมทำพยักหน้า
“คุณปานฟ้าเป็นคนคิดแผนการทั้งหมด”

พิมตีหน้าเศร้าอย่างน่าสงสาร อนิรุทธิ์ฟังแบบแทบไม่เชื่อหูตัวเอง







Create Date : 02 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2555 15:29:41 น.
Counter : 239 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]