I am not just a man form Mars !
Group Blog
 
All blogs
 
เบอลิน...ถิ่นน้องหมี # 4

โบสถ์ประจำเมือง - Kaiser-Wilhelm-Gedachtniskirche church

ออกจาก Checkpoint Charlie ผมไต่ลงสถานีรถไฟใต้ดิน เลือกเดินทางสู่ใจกลางเบอร์ลิน เพราะได้ข่าวว่ามีโบสถ์สวยๆอยู่ที่นั่น ออกจากสถานีรถไฟฟ้า ก็เดินเรื่อยจนกระทั่งมาถึงโบสถ์เก่าอายุหลายร้อยปี ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเบอร์ลิน ผมเงยหน้าขึ้นมองโบสถ์สวยด้วยความตื่นตาตื่นใจ

ต่อมาความตื่นเต้นได้กลายไปเป็นความตกใจเล็กน้อย เพราะเพิ่งสังเกตว่า ยอดแหลมๆของโบสถ์แห่งนี้ดูเหมือนจะถูกทำลาย จนหักพังไปเกือบหมด
เจ้านายเล่าให้ผมฟังภายหลังว่า โบสถ์นี้มีชื่อว่า Kaiser-Wilhelm-Gedachtniskirche church ถ้าจะเรียกเป็นชื่อภาษาอังกฤษก็คือ Emperor William Memorial Church นั่นเอง

โบสถ์โปรแตสแตนท์แห่งนี้สร้างขึ้นในช่วงปีค.ศ. 1891-1865 โดยพระเจ้าวิลเฮล์มที่ 2 สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกถึงพระอัยกาคือ พระเจ้าไกเซอร์ วิลเฮล์มที่ 1

สถาปนิกออกแบบโบสถ์ในสไตล์นีโอโรแมนติก ภายในมีกระจกสีกรุโดยรอบ มีภาพประดับทำจากโมเสกสวยงาม ต่อมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ปี ค.ศ. 1943 ฝูงบินอังกฤษมาทิ้งระเบิดถล่มเบอร์ลิน โบสถ์ถูกทำลายลงด้วยแรงระเบิดและไฟไหม้ เหลือไว้แค่เพียงหอระฆัง

หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง เยอรมนีก็เริ่มบูรณะโบสถ์นี้ขึ้นมาใหม่ มีการสร้างอาคารใหม่ซ้อนไปบนโครงสร้างเดิม โดยโบสถ์ที่สร้างขึ้นใหม่นี้ยังคงยึดเอาเค้าโครงของศิลปะแบบนีโอโรแมนติกแบบเดิม

ภายในโบสถ์ได้รับการบูรณะและดัดแปลงชั้นล่างสุดเป็นอนุสรณ์สถาน เพื่อเป็นสถานที่แห่งความทรงจำ และแสดงรูปถ่ายของโบสถ์ที่สมบูรณ์ในอดีต รูปภาพที่นำมาแสดงนั้นมีทุกยุคทุกสมัย ใครอยากได้ภาพโบสถ์ไปเก็บเป็นที่ระลึก ก็มีร้านขายโปสการ์ดให้เลือกซื้อได้ตามอัธยาศัยด้วยนะครับ





Berlin Wall : กำแพงแบ่งแยกมนุษยชาติ
เดินชมเมืองเบอร์ลินแล้วจะไม่มาชมกำแพงเบอร์ลิน ก็คงเหมือนมากรุงเทพแล้วไม่ได้ไปวัดพระแก้วนั่นละครับ คุณว่าไหม

งานถึงไม่ชอบก็เลี่ยงยาก หลังจากชมโบสถ์พระเจ้าวิลเฮล์มเรียบร้อยแล้ว ผมก็ออกเดินทางต่อ เพื่อไปชมกำแพงเบอร์ลินที่มีความทรงจำอันแสนหดหู่ของชาวเยอรมันติดตรึงอยู่ในทุกตารางนิ้ว

ในวันนี้กำแพงเบอร์ลินยังคงมีให้เห็นอยู่เป็นหย่อมๆ ทั่วทั้งเมือง ตรงนั้นตรงนี้...ซากปรักหักพังของกำแพง บอกเล่าประวัติศาสตร์ของประเทศได้เป็นอย่างดี ถือเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่ใหญ่ มีชีวิตและเป็นรูปเป็นร่างที่สุด
และเมื่อผมเดินเข้าไปใกล้ ด้านล่างของกำแพงมีนิทรรศการจัดแสดง ให้ความรู้เรื่องของกำแพงด้วย...ไม่ต้องบอก คุณก็คงจะเดาได้ว่าหดหู่แค่ไหน !

แต่นั่นละครับ...มาถึงถิ่นของเขาแล้วนี่นา ก็ควรจะดูให้รู้กันไป
กำแพงเบอร์ลิน หรือ Berlin wall เป็นกำแพงที่กั้นเบอร์ลินตะวันตก ออกจากเยอรมนีตะวันออกโดยรอบ สร้างเพื่อจำกัดการเข้าออกระหว่างเขตเบอร์ลินตะวันออกและตะวันตก ทางการลงมือสร้างเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม ค.ศ. 1961 หรือประมาณปีพ.ศ.2504 และตั้งอยู่เป็นระยะเวลา 28 ปี ก่อนจะถูกพังทลายลงในวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2532

ช่วงที่กำแพงเบอร์ลินยังคงมีอยู่ มีความพยายามหลบหนีข้ามเขตแดนมากมาย ประมาณได้ราวๆ 5,000 ครั้งนั่นเลยครับ

ว่ากันว่ามีคนเกือบ 200 คนที่ถูกสังหารขณะกำลังหลบหนี และอีกประมาณ 200 คนได้รับบาดเจ็บบาดเจ็บสาหัส

ในช่วงแรกนั้น การหลบหนีเป็นไปไม่ยากมาก เพราะกำแพงยังเป็นเพียงรั้วลวดหนามเตี้ย ๆ บางคนใช้วิธีกระโดดหนีออกมาทางหน้าต่างของตึกที่อยู่ติดกับกำแพง เพื่อข้ามไปอีกฝั่ง แต่หลังจากมีการหลบหนีบ่อยครั้งเข้า ทางการก็สร้างกำแพงขึ้นมาใหม่ กลายเปลี่ยนเป็นคอนกรีตอย่างแน่นหนา หน้าต่างของตึกต่าง ๆ ที่อยู่ใกล้กับกำแพงก็ถูกสั่งให้ก่ออิฐปิดตาย เพื่อสกัดเส้นทางหลบหนีของประชาชน

เฮ้อ...เศร้าอีกแล้วใช่ไหมครับ

นี่ละนะคนประเทศเดียวกัน แต่ถูกแบ่งออกเป็นสองฟากฝั่ง ครอบครัวต้องถูกแยก พี่น้องไม่มีโอกาสได้พบหน้าค่าตากัน เพียงเพราะผลประโยชน์ทางการเมือง...ผมนึกเลยไปถึงเกาหลีเหนือ- เกาหลีใต้ นึกไปถึงเวียดนามเหนือ-เวียดนามใต้ในสมัยก่อน ขอให้เหตุการณ์เช่นนี้อย่าได้เกิดกับประเทศใดอีกเลย

เหตุการณ์ที่เบอร์ลินดำเนินมาเช่นนี้เรื่อยๆ เป็นเวลา 28ปีเต็ม จนกระทั่งวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ.2532 นาย Günter Schabowski รัฐมนตรีว่าการกระทรวงโฆษณาการ (Minister of Propaganda) ของเยอรมนีตะวันออกได้แถลงข่าวว่า ทางการจะอนุญาตให้ชาวเบอร์ลินตะวันออก สามารถผ่านเข้าออกเขตแดนได้อย่างเสรีอีกครั้งหนึ่ง

ทันทีที่ข่าวนี้ได้แพร่กระจายออกไป ชาวเยอรมันนับหมื่นก็พากันหลั่งไหลไปตามจุดผ่านแดนอัลฟ่า บราโวและชาร์ลี กับจุดอื่น ๆ ของกำแพง เพื่อข้ามไปอีกฝั่งของเมือง เกิดความโกลาหลอลหม่านแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน

ในเวลานั้น เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยยังไม่ได้รับคำสั่งจากทางการ จึงไม่ยอมให้ใครผ่านข้ามแดนไปได้ แต่น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ เจ้าหน้าที่มีไม่กี่คน ขณะที่ประชาชนมีนับหมื่น สุดท้ายเจ้าหน้าที่ก็ต้องยอมปล่อยให้ประชาชนผ่านเขตแดนไปอย่างไม่มีทางเลือก

ภาพบรรยากาศที่ชาวเบอร์ลินตะวันตกออกมาต้อนรับชาวเบอร์ลินตะวันออก เต็มไปด้วยความประทับใจ บรรยากาศในเช้ามืดของวันนั้นเหมือนกับงานเฉลิมฉลอง ชาวเยอรมันจึงถือเอาวันที่ 9 พฤศจิกายนเป็นวันล่มสลายของกำแพงเบอร์ลิน

สำหรับการทุบทำลายตัวกำแพงจริงๆนั้น เริ่มขึ้นในอีกหกเดือนถัดมา เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2533 การทุบทำลายไม่ได้เป็นการทำลายลงทั้งหมด หากทางการเบอร์ลินคงเหลือกำแพงบางช่วงเอาไว้เป็นอนุสรณ์ และในภายหลังซากกำแพงบางส่วนก็ถูกนำออกจำหน่ายเป็นของที่ระลึกอีกด้วย บางส่วนก็ถูกนำไปตั้งแสดงนิทรรศการที่ประเทศอื่นเพื่อเป็นอนุสรณ์ เช่น ที่ด้านหน้าสภายุโรป ที่เมืองบรัสเซล ประเทศเบลเยี่ยม เป็นต้น

ทั้งหมดนี้แค่วันแรกเท่านั้นเองนะครับ ทั้งๆที่อากาศหนาวจัด แต่ผมก็เดินเที่ยวจนเหนื่อย แข้งขาอ่อนแทบหมดแรง ถึงเดือนนี้เป็นปลายหน้าหนาว เข้าหน้าร้อนแล้วก็ตาม แต่พระอาทิตย์ก็ยังตกเร็ว เวลาแค่หกโมงเย็นกว่าๆ แต่รอบกายผมมืดมิดราวกับเที่ยงคืน

ผมเริ่มหาว หนังตาเริ่มหนักแล้วละครับ...

ผมดูนาฬิกาข้อมือ เป็นเวลาแค่หกโมงเย็นเอง ทำไมผมถึงง่วงนอนขนาดนี้นะ พอนึกมานึกไป...อ้อ...เวลาที่เบอร์ลินช้ากว่าบ้านเราหกชั่วโมง ถ้างั้นประเทศไทยตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้วสินะ

ได้เวลานายเลิกงานแล้วละฮะ ป่านนี้นายคงจะกลับจากศูนย์ประชุมมาที่โรงแรมแล้ว ผมคงต้องรีบกลับไปรับหน้า ก่อนที่นายจะรู้ว่าผมหายไปไหนมา
เบอร์ลินไม่ใช่เมืองเล็กๆอย่างที่ผมคิดเลยสักนิด เดินมาตั้งนาน ยังไม่พบน้องหมีเลย แต่ยังมีเวลาเหลืออีกหลายวัน

พรุ่งนี้เราไปตามหาน้องหมีกันต่อนะฮะคุณ...





Create Date : 01 สิงหาคม 2553
Last Update : 5 สิงหาคม 2553 21:27:33 น. 6 comments
Counter : 500 Pageviews.

 
ผมดีใจที่ผมได้มีโอกาศได้อ่านข้อความดีๆ ทำให้ผมระลึกถึงเมื่อก่อนที่ผมตามคุณแม่ไปทำธุระ ผมมีหน้าที่ตามอย่างเดียว ดูอย่างไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจแต่ก็ตื่นตาตื่นใจ แต่ตอนนี้ได้อ่านบทความของคุณ ทำให้ผมเข้าใจเรื่องมากยิ่งขึ้น ตามอ่านตอนต่อไปครับ


โดย: lamlert (lamlert29 ) วันที่: 2 สิงหาคม 2553 เวลา:14:38:04 น.  

 
ด้วยความยินดีครับคุณ lamlert29


โดย: MidnightGroovy วันที่: 2 สิงหาคม 2553 เวลา:15:43:44 น.  

 
สงสัยเราจะไปไม่ถึงเบอร์ลินจริง ๆ เพราะไม่ได้ไปดูกำแพงเบอร์ลิน


โดย: สาวญี่ปุ่น วันที่: 3 สิงหาคม 2553 เวลา:17:05:01 น.  

 
555 แค่เปรียบเปรยเท่านั้นอ่ะครับ ของคุณ @สาวญี่ปุ่น ได้ไป วัง "ไกลกังวล" อะไรนั่นด้วย

ของผมไม่ได้ไปละ เพราะตอนที่ผมไป ที่เบอลินดันมีการประท้วง พวก public car ปิดให้บริการหมดเลย ผมงี้เดินขาลากเลยละครับ


โดย: MidnightGroovy วันที่: 3 สิงหาคม 2553 เวลา:19:45:11 น.  

 
ยังไม่เคยไป อยากไปมั่งๆๆๆ เคยไปแต่ที่ฮัมบวร์ก สวยดีครับ แต่เขียนไม่เป็น เลยไม่เคยเขียนอะไรดีๆแบบนี้เก็บไว้อ่าครับ ไว้คราวหน้าไปเที่ยวไหน ต้องลองเขียนมั่งซะแระ


โดย: มาจากดาวพลูโต วันที่: 4 สิงหาคม 2553 เวลา:17:31:51 น.  

 
เขียนเลยๆ เดี๋ยวผมจะแวะไปให้กำลังใจคร้าบ


โดย: MidnightGroovy วันที่: 4 สิงหาคม 2553 เวลา:20:24:51 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

MidnightGroovy
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ว่ากันว่าผู้ชายนั้นมาจากดาวอังคาร
ส่วนผู้หญิงนั้นมาจากดาวเสาร์
แต่ใช่ว่าผู้ชายจากดาวอังคาร
.... จะเหมือนกันหมดนะ

ผมนี่ละ...ที่ไม่อยากเหมือนใคร :P
Friends' blogs
[Add MidnightGroovy's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.