Group Blog
 
All blogs
 

เขียนไว้บนผืนทราย

เรื่องเล่าว่า...มีคน 2 คนเป็นเพื่อนกัน...ต่างร่วมเดินทางไปในทะเลทราย...
ระหว่างทาง...เกิดโต้เถียงขัดแย้ง ....ไม่เข้าใจกัน
เพื่อนคนหนึ่ง...พลั้งลงมือ...ตบหน้าอีกฝ่าย
คนถูกทำร้าย...เจ็บปวด...แต่ไม่เอ่ยวาจา...กลับเขียนลงบนผืนทรายว่า
"วันนี้...ฉันถูกเพื่อนรักตบหน้า"

พวกเขายังคงเดินทางต่อ...กระทั่งถึงแหล่งน้ำ
พวกเขาตัดสินใจอาบน้ำ...ชำระกาย...พลันคนที่ถูกตบหน้ากลับจมน้ำ...
เพื่อนอีกคนไม่รั้งรอ...เข้าช่วยชีวิต
คนรอดตาย...ยังคงไม่เอ่ยวาจา...กลับสลักลงไปบนหินใหญ่...
"วันนี้...เพื่อนรักช่วยชีวิตฉันไว้"

อีกคนไม่เข้าใจ...ถามว่า..."เมื่อถูกฉันตบหน้า...
เธอเขียนลงทราย...แล้วทำไมเมื่อครู่...ต้องสลักบนหิน"
อีกคนยิ้มพราย...กล่าวตอบ
"เมื่อถูกเพื่อนรักทำร้าย...เราควรเขียนมันไว้บนทราย
ซึ่งสายลมแห่งการให้อภัย...จะทำหน้าที่พัดผ่าน...
ลบล้างไม่เหลือ"

แต่เมื่อมีสิ่งที่ดีมากมาย...
บังเกิดเราควรสลักไว้บนก้อนหินแห่งความทรงจำในหัวใจ...
ซึ่งจะไม่มีสายลมแรงเพียงใด...
" ......ลบล้างทำลาย......"




 

Create Date : 17 กุมภาพันธ์ 2551    
Last Update : 17 กุมภาพันธ์ 2551 15:24:33 น.
Counter : 238 Pageviews.  

อย่าหนีนะ...ไอ้เด็กขี้ขโมย

เสียงผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งตะโกนลั่น
พร้อมกับมีเด็กคนหนึ่งกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งวิ่งผ่านฉันกับแม่ที่กำลังซื้อเนื้อหม
ในตลาดไปอย่างรวดเร็ว ทั้งแม่และฉันหันไปดูทันเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นแค่แวบเดียว
แม่ถามฉันว่า

"อ้าว นั่นป้าร้านขายของไม่ใช่เหรอ"

"ใช่จ้ะแม่ แกวิ่งไล่ใครกันละ"

ป้าคนนั้นชื่อว่า 'ป้าหนอม'
เป็นแม่ค้าขายของชำสารพัดอย่างในตัวตลาดในอำเภอที่ฉันอยู่
มีฐานะจัดว่าดีกว่าแม่ค้าคนอื่นๆ ในละแวกเดียวกัน
และเป็นที่รู้จักกันว่าแกเป็นคนที่ขี้เหนียวอย่างร้ายกาจ
แถมปากจัดที่สุดในตลาดอีกด้วย ใครต่อราคาของมากเกินไป หรือถามราคาแล้วไม่ซื้อ
ป้าแกจะโวยวายชนิดต้องรีบเผ่นออกจากร้านแทบไม่ทันทีเดียว

เสียงเอะอะดังมากขึ้น ฉันหันไปมองป้าหนอมจับข้อมือเด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณ
12-13 ขวบ ไล่เลี่ยกับฉันซึ่งกำลังดิ้นรนอยู่ และป้าแกกำลังจะลงไม้ลงมือ
แม่จึงเดินเข้าไปถาม

"พี่หนอม มีไรหรอคะ"

"ก็ไอ้เด็กเวรนี่นะสิ มันมา ทำทีขอซื้อยาแก้ปวดกับยาธาตุ พอฉันหยิบส่งให้
มันก็วิ่งหนีมาเลย เงินก็ไม่จ่าย"

พูดจบป้าหนอมก็ตบหัวเด็กคนนั้นอย่างแรงหนึ่งที
และคงจะมีตามมาอีกหลายทีแน่ถ้าแม่ฉันไม่ห้ามไว้

"ตายแล้วพี่หนอม อย่าถึงกับลงไม้ลงมือกันเลยนะ แล้วนี่จะทำไงต่อ"

แม่รีบตัดบทเพราะเห็นว่าเรื่องราวชักจะไปกันใหญ่

"เรียกตำรวจมาเอามันไปเข้าคุกนะสิ เสียนิสัย พ่อแม่ไม่สั่งสอน
ยังเด็กตัวแค่นี้ก็ริจะเป็นขโมยซะแล้ว ต่อไปก็คงต้องปล้นเขากินหละ"

ฉันสะกิดแม่ทันทีพร้อมกับมองพลางส่ายหัวน้อยๆ ทำนองว่าอย่าไปยุ่งดีกว่า
แม่มองฉันแล้วมองเด็กคนนั้น ซึ่งท่าทางเหมือนกำลังจะร้องไห้
แม่นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันไปพูดกับป้าหนอมว่า

"อย่าให้ถึงอย่างนั้นเลยนะพี่หนอม เด็กมันคงอยากซื้อยาแต่ไม่มีเงินนะ
เอาเป็นว่าฉันจ่ายให้ละกันนะ กี่บาทกันละ"

ในที่สุดเรื่องก็จบลง โดยการที่แม่ยอมจ่ายเงินค่ายาแก้ปวดกับยาธาตุ
แล้วแม่ก็จูงเด็กคนนั้นออกมาจากตลาด แต่ป้าหนอมยังไม่วายเตือนแม่

"ใจดีกับเด็กขี้โขมยแบบนี้ ระวังจะเสียใจทีหลังนะเธอ"

แม่ไม่ได้ตอบอะไร แต่พอเดินห่าง จากร้านพอสมควรแล้วก็ถามว่า

"ทำไมหนูขโมยของป้าเขาละ"

เด็กคนนั้นเงยหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาขึ้นมองแม่ แล้วตอบสะอึกสะอื้นว่า

"แม่ผมปวดท้องมากเลยครับ แล้วแม่ก็ไม่มีเงินไปหาหมอ ผมก็เลยต้อง..."

แม่มองหน้าเด็กคนนั้นอยู่ครู่หนึ่ง
แล้วยื่นผลไม้ที่ซื้อมาให้เด็กคนนั้นถุงหนึ่ง แล้วบอกว่า

"ทีหลังอย่าโขมยของใครนะ ถ้าไม่มีเงินมาขอเงินน้าไปซื้อก็ได้นะ
น้าชื่อสมพรเปิดร้านเย็บผ้าอยู่ใกล้ๆ นี่เอง ถามคนแถวนี้ก็ได้
รู้จักน้าแทบทุกคนเลยแหละ เอ้า...เอา ส้มไป ฝากคุณแม่ซิ
คนป่วยนะต้องกินผลไม้มากๆ จะได้หายไวๆ รู้มั้ย"

แม่เสริมพร้อมกับยิ้ม เด็กคนนั้นอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง
ก่อนที่จะรับส้มพร้อมกับพูดขอบคุณแม่แล้วเดินจากไป

หลังจากนั้นพอกลับมาถึงบ้าน ฉันก็ถามแม่ทันที

"ทำไมแม่ต้องช่วยเด็กคนนันด้วยละ รู้จักกันหรอจ้ะ"

แม่ยิ้ม แล้วตอบฉันว่า

"ไม่รู้จักหรอก แต่แม่เห็นเด็กคนนั้นรับจ้างหาบขนมขายอยู่แถวบ้านเราน่ะลูก
แต่แกคงจำแม่ไม่ได้หรอก แม่ซื้อขนมแกอยู่ไม่กี่ครั้งเอง"

"แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะต้องช่วยเหลือเขาถ้าเขาเป็นขโมยนี่แม่"

ฉันถามต่อ แม่มองหน้าฉันแล้วพูดว่า

"แม่เชื่อว่าเด็กที่เคยหาเงินด้วยตัวเองมาก่อนตั้งแต่อายุเท่าๆ กับลูก
จะต้องเป็นเด็กที่มีความรับผิดชอบ
รู้คุณค่าของเงินทุกบาททุกสตางค์ว่ากว่าจะได้มามันเหนื่อยยากขนาดไหน
และคนที่มีความรับผิดชอบนะ จะไม่มีทางขโมยของใครนอกจากจะจำเป็นจริงๆ
เมื่อเขาไม่มีทางอื่นให้เลือกแล้วเท่านั้น"

ฉันฟังแล้วก็ถามแม่ต่อว่า

"แล้วต่อไปถ้าเขามาขอเงินแม่ไปซื้อยาอีก แม่จะให้เขารึเปล่า"

"ให้สิลูกถ้ามันไม่มากไม่มายอะไร"

"แล้วแม่ไม่เสียดายเงินหรอ บ้านเราก็ไม่ได้ร่ำรวยเหมือนบ้านป้าหนอมเขานะแม่"

"ถึงแม่จะไม่มีเงินทองมากนัก แต่การที่ได้ช่วยเหลือคนที่กำลังลำบากน่ะ
มันทำให้แม่มีความสุข แล้วยังได้บุญอีกด้วยนะ แค่นี้แม่ก็พอใจแล้ว
ไม่อยากได้อะไรตอบแทนหรอก"

แล้วแม่ก็พูดต่ออีกว่า

"จำไว้นะลูก คนเรานะ ต้องรู้จักให้อภัยและให้โอกาสคนอื่นแก้ตัวเสมอ
อย่างเด็กคนนั้น..แม่มั่นใจว่าแกทำไปเพราะรักคุณแม่ของแกจริงๆ
แม่ถึงช่วยแกเอาไว้"

แล้วแม่ก็พูดต่อว่า

"ลูกอาจจะบอกว่าขโมยเป็นสิ่งที่ผิด ใช่...แม่ไม่เถียง
แต่บางครั้งคนเราก็ต้องมองด้านอื่นๆ บ้าง อย่าคิดแต่เรื่องทรัพย์สินเงินทอง
ตอนนี้ลูกอาจจะยังฟังไม่เข้าใจ แต่แม่เชื่อว่าสักวันลูกจะเข้าใจเองแหละ"

หลังจากนั้น ฉันกับแม่ก็หันไปคุยเรื่องอื่นๆ กันต่อ
ฉันเองไม่เคยคิดเรื่องนี้อีกเลย จนเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น
ทำให้ฉันต้องย้อนกลับมาคิดถึงเรื่องนี้อีกครั้งทั้งน้ำตาว่าคำพูดของแม่ในครั้งนี
ถูกต้องที่สุดจริงๆ

หลังจากนั้นฉันเรียนจบระดับปริญญาตรีจากสถาบันราชภัฏแห่งหนึ่งในตัวจังหวัด
แล้วฉันก็ได้งานทำในโรงงานแห่งหนึ่งในตัวจังหวัดนั้นเอง เงินเดือนก็พอประมาณ
สามารถเลี้ยงดูแม่ได้โดยไม่ขัดสนนัก ฉันก็เลยขอร้องให้แม่หยุดรับจ้างเย็บผ้า
เพราะอยากให้แม่พักผ่อนบ้างหลังจากทำงานหนักมาเกือบ 20 ปีเพื่อส่งฉันเรียน
แม่ยอมปิดร้าน แต่ก็ยังรับงานเล็กๆ น้อยๆ ของเพื่อนบ้านมาทำบ้างโดยไม่คิดเงิน
แม่บอกว่าถ้าไม่ได้ทำอะไรเลยจะรู้สึกเบื่อ ฉันก็เลยต้องยอมตามใจแม่

ฉันทำงานอยู่ประมาณ 2-3 ปี แม่ก็เริ่มรู้สึกไม่สบาย เริ่มจากปวดหัวบ่อยขึ้น
ช่วงแรกๆ ไม่กี่วันก็หาย หลังจากนั้นก็เริ่มเป็นนานขึ้นเรื่อยๆ
ฉันบอกให้แม่ไปหาหมอ แล้วฉันก็พาแม่ไปหาหมอในเมือง หมอบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก
แค่ทำงานหนักมากเกินไป หมอให้ยามาชุดหนึ่งพร้อมกำชับให้พักผ่อนมากๆ
จะได้หายเร็วๆ

หลังจากกินยาตามที่หมอสั่ง อาการปวดหัวของแม่ก็หายไป ฉันเริ่มสบายใจขึ้น
แต่หลังจากไปหาหมอได้ประมาณหนึ่งเดือน แม่ก็เริ่มกลับมาปวดหัวอีก
คราวนี้เป็นหนักมากกว่าครั้งที่แล้ว ยาที่เคยกินแล้วได้ผลมาก่อนก็ไม่ได้ผลเลย
ฉันกังวลใจมาก พอถามหมอ หมอก็บอกว่าต้องไปตรวจที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ
เพราะว่าเครื่องไม้เครื่องมือพร้อมกว่าโรงพยาบาลต่างจังหวัด

หลังจากนั้นฉันรีบพาแม่ไปกรุงเทพฯ ทันที ไปยังโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง
หลังจากหมอตรวจแล้วบอกว่ามีเนื้องอกในสมองต้องผ่าตัดโดยด่วน
หากปล่อยทิ้งไว้อาจไปทับเส้นประสาททำให้เป็นอัมพาตได้
หรือถ้าผ่าตัดไม่ทันก็อาจร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต
ฉันตกใจมากขอให้หมอผ่าตัดให้ทันที
แต่หมอบอกว่าโรงพยาบาลที่มีหมอผ่าตัดสมองที่มีความพร้อมที่จะผ่าตัดเนื้องอกในสมอ
เป็นอีกโรงพยาบาลหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเสียงมากกว่า
ดังนั้นหมอจึงต้องส่งตัวคนไข้ไปยังโรงพยาบาลนั้น ฉันก็ตกลง

หลังจากถูกส่งตัวมายังโรงพยาบาลดังกล่าวแล้ว แม่ก็ถูกส่งตัวเข้าห้องผ่าตัดทันที
ขณะที่ฉันรออย่างกังวลใจอยู่ด้านนอก ทั้งเรื่องอาการป่วยของแม่
และจากคำพูดของหมอที่ทิ้งท้ายไว้ก่อนส่งตัวแม่มาที่โรงพยาบาลแห่งนี้
หมอบอกให้ทำใจไว้บ้าง เพราะการผ่าตัดสมองเป็นการผ่าตัดที่เสี่ยงมาก
โอกาสที่คนไข้จะเสียชีวิตมีมาก แม้การผ่าตัดจะประสบความสำเร็จก็ตาม
อีกเรื่องก็คือค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดสมองค่อนข้างสูง เป็นหลักแสนบาท
เมื่อรวมกับค่ายา ระหว่างพักฟื้น คิดแล้วน่าจะต้องใช้เงินราวๆ ห้าแสนบาท

ฉันได้ยินแล้วแทบลมจับ ฉันจะไปหาเงินห้าแสนบาทมาจากไหน
ลำพังเงินเก็บของฉันกับแม่ยังมีไม่ถึงห้าหมื่นบาทเลย
แต่ยังไงฉันก็ต้องรักษาแม่ให้หาย ส่วนเรื่องเงินไว้คิดทีหลัง

หลังการผ่าตัดเสร็จสิ้นลง เป็นโชคดีของแม่ที่การผ่าตัดประสบผลสำเร็จ
และไม่มีอาการแทรกซ้อนใดๆ ทางโรง
พยาบาลบอกให้พักฟื้นประมาณหนึ่งเดือนก็สามารถไปพักฟื้นที่บ้านได้
ทางโรงพยาบาลแจ้งรายการค่าใช้จ่ายทั้งหมดมาให้ฉัน
ปรากฎว่าเป็นเงินจำนวนไม่ถึงหนึ่งพันบาท เป็นค่าติดต่อประสานงานเท่านั้น

ฉันแปลกใจมาก จึงสอบถามกับนางพยาบาล นางพยาบาลบอกว่าคุณหมอที่เป็นคนผ่าตัด
และเป็นเจ้าของไข้บอกไม่ให้คิดเงินกับฉันและแม่
โดยที่ทางโรงพยาบาลก็ไม่ทราบสาเหตุ ฉันจึงขอพบคุณหมอคนนั้นเพื่อขอบคุณ
นางพยาบาลบอกว่าหลังจากเสร็จคุณหมอก็ถูกส่งตัวไปต่างประเทศทันทีเพื่อศึกษาเพิ่มเ
ิมเกี่ยวกับการผ่าตัดสมองที่อเมริกา แต่คุณหมอได้ฝากจดหมายไว้ให้ฉันกับแม่
โดยกำชับกับทางโรงพยาบาลให้ฝากให้ฉันพร้อมกับใบเสร็จค่าใช้จ่ายอื่นๆ
ของทางโรงพยาบาลในวันที่แม่สามารถออกจากโรงพยาบาลได้

เมื่อกลับถึงบ้าน ฉันกับแม่ก็เปิดอ่านจดหมายของคุณหมอคนนั้น
เมื่ออ่านจบทั้งฉันและแม่ก็ร้องไห้ออกมาพร้อมกัน เนื้อความในจดหมายมีดังนี้

'ข้าพเจ้านายแพทย์เดชา ทองวิจิตร แพทย์ผู้ผ่าตัด นางสมพร ภู่จันทร์
ขอสรุปค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดทั้งหมดดังนี้

ค่าผ่าตัด 0 บาท
ค่ายาทั้งหมด 0 บาท
ค่าใช้จ่ายอื่นที่เหลือ 0 บาท
รวมเป็นเงินทั้งหมด 0 บาท

ป.ล. ค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้รับแล้ว เมื่อยี่สิบปีก่อนด้วยยาแก้ปวด ยาธาตุ
ส้มหนึ่งถุง

ขอให้สุขภาพแข็งแรงไปอีกนานๆ นะครับคุณน้า




 

Create Date : 13 กุมภาพันธ์ 2551    
Last Update : 13 กุมภาพันธ์ 2551 14:01:04 น.
Counter : 287 Pageviews.  

รถบรรทุกความรัก

รถบรรทุกคันนี้ขับมานานมาก
เวลาผ่านไปความคิดถึงก็มากขึ้นตามลำดับ....มากขึ้น.....มากขึ้น
และมากขึ้นจนเต็มคันรถ.......เลยหลังคาหน้ารถออกมา....ถึงแม้หนทางจะยาวไกล
ฝนจะตก ฟ้าจะร้องหนัก ถึงจะหนัก......แต่เจ้าของไม่เคยเลย.......ที่จะปล่อยให้ความคิดถึง
ร่วงหล่นเลยสักความคิดถึง

จนรถบรรทุกคันนี้ ได้มาเจออุโมงค์ใหญ่ แต่เพดานต่ำ
แค่ผ่านอุโมงค์.......เจ้าของรถ
ก็จะได้ไปส่งความคิดถึงอันมหาศาลให้กับเธอคน นั้น
แต่อุโมงค์มันต่ำ.....ต่ำกว่ากองแห่งความคิดถึงเพียง 1นิ้ว
แค่หยิบเอาเศษเสี้ยวความคิดถึงนั้น.....ออกไป สัก 1 นิ้ว

เจ้าของรถก็จะได้เจอเธอคนนั้นดังใจหมาย
แต่เขาไม่ยอม.....ไม่ยอมแม้แต่จะเอาความคิดถึงออกไปสักนิดเดียว
เพราะเขารู้ดีว่า......มันมีค่าแค่ไหน.........
หนทางอีกแค่ ระยะทางอุโมงค์ 30 เมตร
แต่เขากลับไปไม่ได้.....เขาจะทำยังไง
จะขน 2 รอบหรือ แล้วมันจะหล่นไประหว่างทางหรือไม่

คุณคิดว่าเค้าจะทำยังไงเพื่อที่จะนำเอาความคิดถึงไปให้เธออันเป็นที่รัก
โดยไม่เอากองแห่งความคิดถึงออกไป........ : )

เขาคนนั้นได้ตัดสินใจที่จะปล่อยยางของรถลงล้อละ 1 นิ้ว
ถึงแม้ว่าจะวิ่งช้าลง ทำให้ถึงจุดหมายช้าขึ้น
แต่ความมั่นคง......ที่มีจุดหมายปลายทาง
ถึงแม้จะใช้เวลานานเขาก็พร้อมที่จะเผชิญ.....
ที่จะรอจนกว่า ......จะ เจอเธอ
ดีกว่าที่จะทิ้งความคิดถึงที่มีต่อเธอคนนั้นออกไป
ออกไปแม้แต่........เสี้ยวหนึ่งก็ตาม...




 

Create Date : 13 กุมภาพันธ์ 2551    
Last Update : 13 กุมภาพันธ์ 2551 13:55:16 น.
Counter : 362 Pageviews.  

เจ้าไส้เดือนน้อย

เจ้าไส้เดือน..น้อย คอยแหงนมองดอกไม้มานาน

ในใจคิดว่า..ดอกไม้ช่างงดงามเหลือเกิน

…เจ้าดอกไม้..เจ้าก็ชื่นชมที่ผีเสื้อที่มาดอมดมเจ้าทุกวัน

ไม่เคย..ไม่เคยมองลงพื้นดิน

ไม่รู้..ไม่รู้เลยว่ามีใครอีกคนที่คอย..รักและเป็นห่วงอยู่

ยังจำได้ดี..

ตอนที่เจ้าดอกไม้เล็กอยู่..ไม่มีแรง..อ่อนล้า..เจียนตาย

เจ้าหนอน..กัดกินทั้งใบ..และหัวใจของเธอ

ไส้เดือนตัวหนึ่ง..คอยมาพรวนดินเสมอดูแลอยู่ทุกวัน..ดอกไม้ไม่เคยรู้

เมื่อคราวเจ้าหนอนกลับมา..เป็นผีเสื้อโก้หรูดูเธอพอใจ แต่..ไส้เดือนเจ็บช้ำ

เธอรู้รึเปล่า..เมื่อเธอเฉามันก็ไป

เธอรู้รึเปล่า..เมื่อเธอเฉาไป ใครกันที่ห่วงเธอ

และไม่ว่าเธอจะเป็นอย่างไรจะร่วงโรย..แห้งเหี่ยว

ไส้เดือนไม่เคยรังเกียจเธอ..ไส้เดือนตัวนี้..รักเธอ

จะอยู่กับเธอ……จนเป็นดินไปด้วยกัน




 

Create Date : 13 กุมภาพันธ์ 2551    
Last Update : 13 กุมภาพันธ์ 2551 13:53:40 น.
Counter : 259 Pageviews.  

อันเจินเผิง คณิตศาสตร์โอลิมปิค1997

เรื่องดีๆของอันจินเผิง เหรียญทองคณิตศาสตร์โอลิมปิคปี 1997
เหรียญทองคณิตศาสตร์โอลิมปิคปี1997
หนึ่งเหรียญทองที่สร้างขึ้น จากความรักคุณแม่
ในปี 1997 กันยายน วันที่ 28 ที่เทียนสิน
นักเรียนมัธยมปีที่ 6 อันจินเผิง
ได้รับเหรียญทองชนะเลิศในการแข่งขัน คณิตศาสตร์โอลิมปิคครั้งที่ 38 ณ. ประเทศอาร์เจนติน่า
นับเป็นผู้เปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้แก่เมืองเทียนสิน
เบื้องหลังความสำเร็จของอัจฉริยะทางคณิตศาสตร์วัย 19 ปีคนนี้
แฝงไว้ด้วยเรื่องราวของความรัก... รักที่ยิ่งใหญ่ของแม่
ที่ทำให้ทุกผู้คนต้องซาบซึ้งจนกลั้นน้ำตาไม่อยู่.

ปี 1997 กันยายน วันที่ 5 เป็นวันที่ผมจากบ้านไปรายงานตัวที่คณะคณิตศาสตร์ มหาวิทยาลัยปักกิ่ง
ควันจากเตาหุงข้าวในยามเช้าตรู่ ที่ลอยจากบ้านไร่หลังเก่าอันชำรุดทรุดโทรมของผม
คุณแม่ที่ขากระเผลกกำลังทำหมี่ให้ผม เป็นแป้งหมี่ ที่คุณแม่ใช้ไข่ไก่ 5 ฟอง แลกมาจากเพื่อนบ้าน
ขาแม่ที่แพลงนั้นเป็นเพราะวันก่อน ท่านคิดจะหาเงินค่าเล่าเรียนให้แก่ผม แล้วพลิกจนขัดยอก
ในยามที่กำลังเข็นผักเต็มคันรถเพื่อไปขายในเมือง ยามที่ยกชามขึ้น ผมกลั้นน้ำตาไม่อยู่
ผมวางตะเกียบลงแล้วคุกเข่าลงบนพื้น
ลูบคลำเท้าของแม่ที่บวมเป่งใหญ่กว่าหมั่นโถวอยู่นาน หยาดน้ำตาทีละหยดๆ ไหลกลิ้งลงสู่พื้น ...

บ้านของผมอยู่ที่ หมู่บ้านต้าอิ้วไต้ อำเภออู่ซิง เมืองเทียนสิน
ผมมีแม่ที่ดีที่สุดในโลกคนหนึ่ง ชื่อของท่านเรียกว่า หลี่ เอี้ยน เสีย
บ้านของผมจนมาก ๆ ตอนที่ผมเกิดมา คุณย่าก็ล้มป่วยอยู่บนเตียง
ในปีที่ผมอายุ 4 ขวบ คุณปู่ก็ป่วยเป็นโรคหือหอบ เป็นอัมพฤกษ์ครึ่งตัว
พอ 7 ขวบ ผมก็เข้าโรงเรียน ค่าเล่าเรียนก็เป็นคุณแม่ไปหยิบยืมจากผู้อื่น
ผมมักจะเก็บเอาดินสอที่เพื่อนนักเรียนโยนทิ้งแล้วกลับมา คุณแม่ปวดใจมาก
บางครั้งแม้แต่เงินที่จะซื้อดินสอกับสมุดยังต้องหยิบยืมจากผู้อื่น
แต่ทว่า คุณแม่ก็ยังมีช่วงเวลาที่ดีใจอยู่ ไม่ว่าการสอบไล่ หรือ สอบซ่อม
ผมมักจะสอบได้ที่ 1 เสมอ ยิ่งวิชาคณิตศาสตร์ได้คะแนนเต็มมาตลอด
ภายใต้กำลังใจจากแม่ ผมยิ่งเรียนก็ยิ่งมีความสุข
ผมนับว่าไม่รู้ว่าในโลกนี้ยังจะมีเรื่องที่เป็นสุขมากไปกว่าการเรียนหนังสือ
ผมยังไม่ทันเข้าเรียนประถมก็เรียนรู้พื้นฐานการคิดเลข บวก ลบ คูณ หาร เศษส่วน ทศนิยมแล้ว
พอขึ้นประถมก็เรียนรู้ด้วยตนเอง ทำความเข้าใจต่อวิชาคณิตฟิสิกส์ เคมี ของชั้นมัธยมต้น

พฤษภาคม ปี 1994 เมืองเทียนสิน ได้จัดให้มีการแข่งขันวิชาฟิสิกส์ในระดับมัธยมต้น
ผมเป็นเด็กชายลูกชาวนาเพียงคนเดียวที่สอบติด 3 ลำดับต้น จากนักเรียนที่มาจาก 5 อำเภอชานเมือง
มิถุนายนของในปีนั้น ผมได้รับเลือกสรรเป็นกรณีพิเศษ จากโรงเรียนมัธยมต้นอี้จง ของเทียนสิน
ผมวิ่งกลับบ้านด้วยความดีใจ เหมือนดั่งคนเสียสติ
แต่คิดไม่ถึง เมื่อบอกข่าวดีให้กับคนทางบ้านฟัง
บนใบหน้าของพวกเขากลับเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
คุณย่าเสียชีวิตไปไม่ถึงครึ่งปี ชีวิตคุณปู่ก็อยู่ในช่วงอันตราย
ที่บ้านติดหนี้เขาหมื่นกว่าหยวนแล้ว
ผมค่อย ๆ เดินกลับเข้าห้องอย่างสงบ พร้อมทั้งร้องไห้ตลอดทั้งวัน
คืนนั้นก็ได้ยินเสียงโต้เถียงกันที่นอกบ้าน
ที่แท้คุณแม่คิดจะเอาลาในบ้านไปขายเพื่อให้ผมได้เรียนต่อ
แต่คุณพ่อคัดค้าน ไม่เห็นด้วยเด็ดขาด
คำพูดที่โต้เถียงกันของพวกท่านได้ยินไปถึงคุณปู่ที่ป่วยหนัก
พอคุณปู่กระวนกระวานใจหนัก ท่านก็จึงลาโลกนี้ไปตลอดกาล

ผมก็ไม่พูดถึงเรื่องเรียนต่ออีก นำเอา'ใบแจ้งผลการคัดเลือก'พับอย่างดีแล้วยัดเข้าไปในปลอกหมอน
แล้วช่วยคุณแม่ทำงานเลี้ยงชีพไปวัน ๆ
ผ่านไป 2 วัน ผมและคุณพ่อได้รับรู้พร้อมกันว่า' ลาหนุ่มหายไปแล้ว'
คุณพ่อต่อว่าคุณแม่ด้วยใบหน้าที่บึ้งตึงว่า
'เธอขายลาหนุ่มไป เธอบ้าแล้วหรือ วันข้างหน้าการเพราะปลูกของครอบครัว การขายผลผลิต เธอจะใช้มือไปเข็น ใช้ไหล่ไปแบกหรือ?'
'เธอขายลาหนุ่มได้เงินแค่ไม่กี่ร้อยหยวน พอให้จินเผิงได้เรียน ก็แค่ 1 - 2 เทอมเท่านั้น'

วันนั้นคุณแม่ร้องไห้ ท่านใช้น้ำเสียงที่ดุมากตะโกนใส่พ่อว่า
“ลูกจะเรียนหนังสือผิดตรงไหน?
จินเผิงสอบเข้ามัธยมอี้จงในเมืองได้ นับเป็นคนเดียวในอู่ชิงที่สอบได้
พวกเราอย่าให้คำว่ายากจน ทำให้อนาคตของลูกต้องสะดุดลง
ถึงแม้จะต้องใช้สองมือนี้ไปเข็น ใช้ไหล่ไปแบก ก็จะให้เขาได้เรียนต่อไป'
อาศัยเงิน 600 หยวน (1 หยวนจีน = 4-5 บาท) ที่แม่ขายลาหนุ่มนี้
ผมนับว่าอยากคุกเข่าโขกศรีษะคำนับแม่จริงๆ
ผมรักการเรียนมาก แต่ถ้าเรียนต่อไป
คุณแม่จะต้องลำบากอีกแค่ไหนต้องทุกข์ยากอีกเท่าไหร่ ?

ฤดูใบไม้ร่วงปีนั้น ผมกลับมาบ้านเอาเสื้อหนาว พบว่าใบหน้าของพ่อเหลืองซีด
ตัวผอมจนหนังแห้งหุ้มกระดูก นอนอยู่บนเตียง
คุณแม่บอกกับผมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า
“ไม่มีอะไรเป็นไข้หวัดใหญ่ ใกล้จะหายแล้ว”
ใครรู้ได้ วันรุ่งขึ้นผมเอาขวดยาขึ้นมาดูเห็นฉลากภาษาอังกฤษ
จึงรู้ว่ายาพวกนี้เป็นยาระงับเซลล์มะเร็ง ผมลากคุณแม่ออกไปนอกห้อง
ร้องไห้ไปถามแม่ไปว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรกันแน่ คุณแม่ก็บอกว่า
ตั้งแต่ผมไปเรียนมัธยมอี้จง คุณพ่อก็เริ่มถ่ายเป็นเลือด อาการหนักขึ้นทุกวันๆ
คุณแม่ขอยืมเงินมาได้หกพันหยวน พาไปตรวจทั้งที่เทียนสิน ปักกิ่ง
สุดท้ายตรวจพบเป็นเนื้องอกในลำไส้ หมอต้องการให้พ่อผ่าตัดโดยเร็ว
คุณแม่ก็เตรียมจะไปขอยืมเงินมารักษา แต่คุณพ่อไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมรับปาก
ท่านกล่าวว่า ยืมญาติมิตร เพื่อนฝูงจนทั่วแล้ว
มีแต่ยืมแต่ยังมิได้จ่ายคืนใครเขาจะให้ยืมอีก !

วันนั้น เพื่อนบ้านยังบอกกับผมว่า แม่ใช้วิธีการดั้งเดิมในการเก็บเกี่ยวซึ่งน่าเศร้ามาก
แม่ไม่มีแรงพอที่หาบข้าวสาลีไปที่ตลาดเพื่อนวดข้าว
และก็ไม่มีเงินที่จะจ้างคนมาช่วย ท่านได้แต่รอข้าวสุกแปลงหนึ่ง
จากนั้นเอาใส่กระดานลากกลับบ้าน
ตกเย็นก็ปูผ้าพลาสติกที่ลานใช้สองมือกำข้าวสาลีกำใหญ่
เหวี่ยงฟาดกับก้อนหินเพื่อนวดข้าว...
ข้าวสาลี 3 ไร่จีน ( 1 ไร่จีน เท่ากับ 600 ตารางฟุต) ล้วนอาศัยแม่ทำคนเดียว
แม่เหนื่อยจนยืนเกี่ยวไม่ไหวจึงคุกเข่าเกี่ยว หัวเข่าถูกสีจนเลือดออก
เวลาเดินก็สั่นเทาไปหมด... ผมไม่รอให้เพื่อนบ้านพูดจบ
ก็รีบวิ่งกลับบ้านอย่างรวดเร็วปานเหินบิน
ร้องไห้เสียงดังพูดว่า “ แม่ แม่ ผมไม่สามารถเรียนต่อไปอีกแล้ว ...”
ในที่สุด แม่ก็ไล่ให้ผมกลับไปเรียน

ค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนของผมอยู่ที่ 60 ถึง 80 หยวน
ถ้าจะเปรียบกับเพื่อนนักเรียนที่ใช้จ่าย 200-240 หยวนแล้ว นับว่าน้อยจนน่าสงสาร
มีแต่ผมเท่านั้นที่รู้ว่า เพื่อเงินจำนวนน้อยนิดนี้
แม่ต้องเก็บสะสมอย่างประหยัด ตั้งแต่ต้นเดือน
ทีละหยวนๆ จากการขายไข่ไก่ ขายผัก
จริงๆแล้วยามที่รวบรวมไม่ครบยังต้องไปขอยืมอีก 20 หรือ 30
และเท่ากับพ่อ น้องชาย แทบจะไม่เคยได้กินผักเลย
ถึงจะมีผักบ้างก็ไม่ใช้น้ำมันหมูคลุกเพียงตักน้ำผักดองมาคลุกกิน หรือทำอาหารกิน

แม่ไม่เคยปล่อยให้ผมต้องหิวโหย
ทุกเดือนท่านจะเดินสิบกว่าลี้เพื่อซื้อหมี่สำเร็จรูปส่งไปให้ผม
ทุกสิ้นเดือนแม่มักจะแบกถุงใบใหญ่ เหนื่อยยากลำบากมาดูผมที่เทียนสิน
ภายในถุงนอกจากเศษหมี่สำเร็จรูปแล้ว
ยังมีกระดาษที่พิมพ์เสียของโรงพิมพ์ที่ห่างบ้าน 6 ลี้กว่า
(นั่นเอาไว้ให้ผมใช้เป็นกระดาษทดเลข)
กับเต้าเจี้ยวเผ็ด 1 ขวดใหญ่ ผักกาดเขียวเค็มหั่นเป็นเส้น
และเครื่องมือตัดผม 1 อัน(ค่าตัดผมที่ถูกที่สุดในเทียนสินก็ต้อง 5 หยวน)
แม่ต้องการให้ผมประหยัดจะได้ซื้อหมั่นโถวไว้กินได้อีกหลายใบ

ผมเป็นนักเรียนคนเดียวของมัธยมอี้จง ของเทียนสินที่แม้แต่ผักในโรงอาหารก็ยังไม่สามารถซื้อกิน
ได้แต่เพียงแค่ซื้อหมั่นโถว 2 ใบ กลับมาที่หอพัก
ชงเศษหมี่สำเร็จรูปแล้วใส่เต้าเจี้ยวเผ็ดกับผักกาดเค็มกิน
ผมก็เป็นนักเรียนคนเดียวที่ไม่สามารถใช้กระดาษต้นฉบับ (แบบฟอร์ม) มาเขียน
ได้แต่ใช้กระดาษที่พิมพ์เสียจากโรงพิมพ์มาเขียนต้นฉบับ
ผมยังเป็นนักเรียนคนเดียวที่ไม่เคยใช้สบู่
เวลาซักเสื้อก็ไปที่โรงอาหารเอากรดโซเดียมจากหมี่ที่เสียแล้วมาใช้แทนสบู่

แต่ผมไม่เคยน้อยเนื้อต่ำใจมาก่อน
ผมรู้สึกว่าคุณแม่นับเป็นวีรสตรีที่ต่อสู้กับความยากลำบากและความโชคร้าย
ได้เกิดมาเป็นลูกของแม่ ผมรู้สึกเป็นเกรียรติอย่างไม่อาจเปรียบอีกแล้ว

เมื่อเริ่มเข้ามัธยมอี้จง ของเทียนสิน
คอร์สแรกของภาษาอังกฤษทำให้ผมฟังจนงงไปหมด
ตอนที่แม่มาหาผม ผมได้บอกถึงความวิตกกังวลกลัวว่าภาษาอังกฤษจะเรียนไม่ทันเพื่อน
ใครจะรู้ได้
ใบหน้าของแม่กลับเปี่ยมด้วยรอยยิ้มแล้วตอบว่า
“แม่เพียงรู้ว่าเจ้าเป็นเด็กที่ทนความลำบากที่สุด
แม่ไม่ชอบฟังเจ้าพูดว่ายากลำบาก เพราะขอเพียงทนลำบากได้ก็ไม่ยากอีกแล้ว“
ผมจำคำของแม่คำนี้ไว้แล้ว...
ผมมีอาการติดอ่างเล็กน้อย มีคนบอกกับผมว่า
จะเรียนภาษาอังกฤษให้ได้ดี อันดับแรกต้องให้ลิ้นฟังคำสั่งตัวเอง
ดังนั้นผมมักจะเก็บก้อนหินก้อนหนึ่ง อมไว้ในปาก
จากนั้นก็ขยันท่องภาษาอังกฤษอย่างเอาเป็นเอาตาย ลิ้นเมื่อได้เสียดสีกับก้อนหิน
บางครั้งที่มีเลือดไหลออกมาทางมุมปาก แต่ผมก็กัดฟันยืนหยัดอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
ครึ่งปีผ่านไป ก้อนหินเล็กๆ ถูกสีจนกลม ลิ้นของผมก็ถูกสีจนเรียบ
ผลการเรียนภาษาอังกฤษขยับขึ้นเป็น 3 ลำดับต้นของห้อง
ผมต้องขอบคุณแม่เป็นอย่างยิ่ง

คำพูดของท่านทำให้เกิดปาฎิหาริย์ในการก้าวข้ามอุปสรรคอันยิ่งใหญ่ของการฝึกฝนของผม
ปี 1996 ผมได้เข้าร่วมแข่งขันโอลิมปิควิชาการที่จัดขึ้นทั่วประเทศในเขตเทียนสินเป็นครั้งแรก
ได้รับรางวัลที่ 1 ในวิชาฟิสิกส์ และรางวัลที่ 2 ในวิชาคณิตศาสตร์
ได้เป็นตัวแทนของเทียนสินไปหังโจวเพื่อร่วมแข่งขันโอลิมปิดฟิสิกส์จากทั่วประเทศ
'ผมเอารางวัลที่ 1 ของประเทศมามอบให้แม่ จากนั้นก็ไปแข่งขันโอลิมปิกฟิสิกส์ระดับโลก'
ผมคุมความตื่นเต้นในใจไว้ไม่อยู่ เอาข่าวดี และความมุ่งหวังเขียนใส่จดหมายส่งไปบอกแม่
สุดท้ายผมได้แค่ที่ 2
ผมล้มแผ่ลงบนเตียง ไม่ดื่มไม่กินอะไร
แม้ว่าจะเป็นผลงานที่ดีที่สุดในบรรดาผู้แข่งขันของเทียนสิน
แต่หากจะทดแทนความเหนื่อยยากลำบากของแม่แล้ว นับว่ายังไม่เพียงพอจริงๆ

กลับถึงโรงเรียน
กลุ่มคุณครูช่วยผมวิเคราะห์ถึงสาเหตุของความพ่ายแพ้
ผมมักจะคิดให้คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมี ล้วนได้ดี
วิชาเอกที่เลือกมากไป ทำให้ความมุ่งมั่นไม่เป็นหนึ่งเดียว
หากว่าตอนนี้ผมมุ่งเรียนคณิตศาสตร์อย่างเดียวต้องสำเร็จแน่

มกราคม ปี 1997
ในที่สุดในการแข่งขันคณิตศาสตร์ โอลิมปิกทั่วประเทศ ผมก็ชนะเลิศที่ 1ด้วยคะแนนเต็ม
ได้เข้าร่วมกลุ่มฝึกซ้อมระดับประเทศอย่างราบรื่น
และในการทดสอบทั้งสิบครั้งนั้นก็ช่วงชิงจนได้เป็นตัวแทนไปแข่งขัน
แต่ตามกฏกำหนดไว้ว่า ค่าใช้จ่ายในการไปร่วมการแข่งขันที่อาร์เยนติน่าต้องจัดการเอง
จ่ายค่าสมัครเรียบร้อยแล้ว
ผมเอาหนังสือที่ต้องเตรียมและเต้าเจี้ยวเผ็ดที่แม่ทำให้ห่อไว้อย่างดี
งานที่ตัองเตรียมก็เสร็จสิ้นลง
หัวหน้าภาควิชากับอาจารย์คณิตศาสตร์
เห็นผมยังคงใส่เสื้อผ้าที่คนอื่นสงเคราะห์ให้
ทั้งสีสันขนาดของเสื้อผ้าไม่สมกับตัว เมื่อเปิดตู้เก็บของ ชี้ไปที่แขนเสื้อที่ต่อมาสองครั้ง
ชายเสื้อหนาวที่ต่อยาวอีก 3 นิ้ว กับชุดชั้นในที่มีรอยปะ แล้วพูดว่า
“จินเผิง นี่เป็นเสื้อผ้าทั้งหมดของเธอหรือ ฉันไม่รู้จะจัดการอย่างไร“
ผมจึงรีบตอบว่า
“ครูครับ ผมไม่กลัวขายหน้า คุณแม่บอกกับผมเสมอว่า
ในตัวถ้ามีภูมิความรู้ ก็จะมีความสง่าเอง
ถึงผมต้องใส่เสื้อพวกนี้ไปอเมริกาพบกับคลินตัน
ผมก็ไม่กลัว“

27 กรกฎาคม โอลิมปิค วิชาการเริ่มขึ้น
พวกเรานั่งทำข้อสอบตั้งแต่แปดโมงครึ่งถึงบ่ายสองโมง รวมเวลาในการทำข้อสอบห้าชั่วโมงครึ่ง
วันที่สองเป็นวันประกาศผล ก่อนอื่นเป็นการประกาศรางวัลเหรียญทองแดง
ผมไม่หวังจะได้ยินชื่อของตัวเอง ถัดจากนั้นก็เป็นรางวัลเหรียญเงิน
สุดท้ายประกาศเหรียญทองคนที่หนึ่ง คนสองคน คนที่สามก็คือผม
ผมดีใจจนร้องไห้ เรียกพึมพำอยู่ในใจว่า “ แม่ครับ ลูกแม่ทำได้สำเร็จแล้ว”
ข่าวการชนะเลิศได้เหรียญทองเหรียญของผมกับเพื่อนอีกคน
ในการแข่งขันโอลิมปิคคณิตศาสตร์ของการแข่งขันโอลิมปิควิชาการครั้งที่ 38 นี้
ได้ถูกแพร่กระจายเสียงและแพร่ภาพโดยสถานีวิทยุกระจายเสียงและสถานีโทรทัศน์แห่งชาติ
ในคืนนั้น 1 สิงหาคม ยามที่พวกเรานำเอาเกียรติยศกลับสู่ประเทศนั้น
สมาคมวิทยาศาสตร์ และสมาคมคณิตศาสตร์แห่งประเทศจีน
ได้จัดพิธีต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ ในยามนี้ ผมคิดจะกลับบ้าน ผมคิดอยากพบหน้าแม่ให้เร็วที่สุด
ผมจะนำเอาเหรียญทองที่แวววับจับตานี้แขวนไว้ที่คอของท่าน.....

สี่ทุ่มกว่าของคืนวันนั้น
ผมฝ่าความมืดจนกลับถึงบ้านที่ผมคิดถึงทุกเช้าเย็น
พ่อเป็นคนมาเปิดประตู
แต่ว่าผู้ที่โอบผมไว้ในอ้อมอกอย่างแนบแน่นก็คือแม่ที่ปราณีของผม
ใต้แสงดาวอันแจ่มจรัส แม่กอดผมอย่างแน่นหนา
ผมล้วงเหรียญทองออกมาแล้วแขวนไว้ที่บนคอของแม่
แล้วร้องไห้ด้วยจิตใจที่โปร่งโล่ง...

12 สิงหาคมที่นั่งในห้องประชุมโรงเรียนไม่มีว่างเลย
แม่กับเหล่าข้าราชการของกรมสามัญศึกษา
และเหล่าศาสตราจารย์วิชาคณิตศาสตร์ได้ร่วมกันนั่งเป็นประธานบนเวที
ในวันนั้น ผมได้พูดไว้ในงานช่วงหนึ่งว่า

'ผมจะใช้ชั่วชีวิตของผมสำนึกขอบพระคุณคน คนหนึ่ง
นั่นคือแม่ที่อบรมเลี้ยงผมจนเติบใหญ่
ท่านเป็นหญิงชาวนาธรรมดาคนหนึ่ง
แต่ท่านสอนผมให้รู้จักหลักธรรมในการเป็นคน
ทั้งยังคอยกระตุ้นให้กำลังใจผมมาตลอดชีวิต
...
ปีทีอยู่มัธยมปีที่ 4 ผมคิดจะซื้อหนังสือ“ พจนานุกรม จีน - อังกฤษ “เพื่อฝึกภาษาอังกฤษ
ในกระเป่าเสื้อของแม่ไม่มีเงินเลย แต่แม่ก็รับปากว่าจะหาให้
หลังอาหารเช้า แม่ยืมรถลากคันหนึ่ง ขนผักกาดขาว เต็มรถแล้วลากไปพร้อมกับผม
เพื่อนำไปขายในเมืองที่ไกลถึงสี่สิบลี้ เมื่อถึงตัวอำเภอก็เกือบเที่ยงแล้ว
ตอนเช้าผมกับแม่ ดื่มเพียงน้ำซุปข้าวต้มใส่มันเทศกับข้าวโพดแค่ 2 ชาม
ในยามที่ท้องหิวจนร้องจ๊อกๆ แค้นจนอยากให้มีคนมาเหมาซื้อผักไปทันที
แต่แม่ยังคงอดทนต่อรองราคากับผู้ซื้อสุดท้ายตกลงกันในราคาชั่งละ 10 เซ็นต์
ผักกาดขาว 210 ชั่ง ควรเป็นเงิน 21 หยวน แต่ผู้ซื้อให้เพียง 20 หยวน
เมื่อมีเงินผมคิดจะกินข้าวก่อน แต่แม่บอกให้ซื้อหนังสือก่อน เพราะนี่เป็นเรื่องสำคัญของวันนี้
พวกเราไปที่ร้านหนังสือแห่งหนึ่งถามราคาหนังสือ ต้องใช้เงิน 18.25 หยวน
ซื้อหนังสือเสร็จแล้วยังคงเหลืออยู่ 1.75 หยวน
แต่แม่ให้ผม 75 เซ็นต์เพื่อไปซื้อขนมเปี๊ยะ 2 ชิ้น
แม้จะกินขนมเปี๊ยะไป 2 ชิ้น แต่รอจนพวกเราแม่ลูกเดินจนเกือบจะถึงบ้าน
เป็นระยะทาง 40 กว่าลี้(ของจีน 1 ลี้ = 500 เมตร)
ผมก็หิวจนหน้ามืดตาลาย ในยามนี้นึกขึ้นได้ว่าผมลืมแบ่งขนมเปี๊ยะ1ชิ้นให้กับแม่
แม่หิวทั้งวัน ยังลากรถเป็นระยะทาง 80 ลี้เพื่อผม
ผมรู้สึกละอายจนคิดที่จะตบหน้าตนเอง แต่แม่กลับพูดว่า
“แม่ไม่มีความรู้เท่าไร แต่แม่นึกถึงตอนเด็กที่คุณครูเคยให้ท่องคำพูดหนึ่งของกอร์จี ว่า
ความยากจนข้นแค้นเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง
หากว่าเธอสามารถที่จะผ่านด่านมหาวิทยาลัยนี้ไปได้
ไฉนต้องกลัวว่าเป็นมหาวิทยาลัยเทียนสิน
แม้แต่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง
เธอก็สอบเข้าไปได้ดั่งใจหวังอยู่ “
ตอนที่แม่พูดคำ ๆ นั้น แม่ไม่มองหน้าผม
แม่มองหนทางที่ทอดยาวไกลออกไปเหมือนดั่งว่าทางเส้นนั้น
สามารถเชื่อมไปถึงเมืองเทียนสิน...เชื่อมไปถึงเมืองปักกิ่งไม่มีผิด
ผมฟังแล้วก็ไม่รู้สึกว่าท้องหิวอีกแล้ว ขาก็ไม่เมื่อยอีกแล้ว
หากกล่าวว่า ความยากจนข้นแค้น เป็นมหาวิทยาลัย ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง
ผมก็จะพูดว่า แม่ที่เป็นหญิงชาวนาของผม เป็นครูผู้นำพาที่ดีที่สุดของชีวิตผม'
...
ที่ด้านล่างเวทีไม่รู้มีตากี่คู่ ที่คลอด้วยน้ำตา ผมหมุนตัวกลับมา
หันไปหาคุณแม่ที่จอนผมเริ่มหงอกขาว แล้วคำนับท่านด้วยใจอันลึกล้ำครั้งหนึ่ง..........




 

Create Date : 13 กุมภาพันธ์ 2551    
Last Update : 13 กุมภาพันธ์ 2551 13:51:55 น.
Counter : 401 Pageviews.  

1  2  3  

kamahltew
Location :
นนทบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]









***********************************************

คำคมประจำวัน


คุณถาพยังคงเป็นที่จดจำกันได้อีกนาน
หลังจากที่ลืมราคากันไปแล้ว

***********************************************
Friends' blogs
[Add kamahltew's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.