The Truman show (1998)หนังเรื่องโปรดอีกเรื่องของ จขบ. ที่เอานักแสดงตลกหน้ายางยืดมาเล่นหนังชีวิตได้อย่างดูไม่เบื่อ และดูแล้วต้องแอบสะใจกับมุกจิกกัดสื่อโฆษณาได้อย่างถึงใจ และตลกร้ายที่ทำให้ขำไม่ออก
Evita หนังปี 1996 ที่มาจากละครเวทีบรอดเวย์ (คนละอันกับยี่ห้อกิ๊บติดผม Evita Peronni นะคะ) เป็นละครเพลง ประพันธ์ดนตรี โดยท่านเซอร์ Andrew Lloyd Weber ผู้โด่งดังจาก Phantom of the Opera ในหนังเรื่องนี้ ทางผู้สร้างพยายามนำเสนอความอลังการงานสร้างของเสื้อผ้า ฉาก สถานที่ ที่อาจจะต้องจำกัดด้วยพื้นที่ถ้าเป็นละครเวที โดยมีเจ๊ Madonna ที่กำลังท้องกำลังไส้กับครูฝึกเต้นรำ (แต่พยายาม ใช้มือบัง และมุมกล้อง อำพราง) มาแสดงเป็น Eva Duarte de Perón หรือ Evita ซึ่งก็มี ทั้งเสียงคัดค้านและเสียงสนับสนุนจากชาวอาเจนติน่ามากมาย เพราะสำหรับหลายๆคนแล้ว Evita เปรียบเสมือนแม่พระเลยทีเดียว หนังยังได้ Antonio Banderas มารับบทเป็นคนเล่าเรื่องร้อยเรียงเรื่องราวต่างๆของ Evita ซึ่งในบทของ Banderas ขึ้นเครดิตไว้สั้นๆว่า Che แต่ก็เป็นที่เข้าใจกันว่าหมายถึง Che Guevara วีรบุรุษนักปฏิวัติ ซึ่งจขบ. ก็ไม่มีรู้ว่าจริงๆแล้ว Che เคยพบ Evita หรือไม่
จขบ. ค่อนข้างจะชอบหนังเรื่องนี้มาก เพราะเป็นหนังเพลงเรื่องแรกที่ได้ดู ซึ่งนั่นก็ตั้งแต่สมัยที่เป็นเด็กน้อย ไม่รู้จักวงการหนังเพลงเท่าใดนัก (รู้จักแต่หนังการ์ตูนดิสนีย์) ตอนนั้นฟังไม่รู้เรื่องเท่าไร (ภาษาอังกฤษไม่เอาไหน) แถมไม่รู้เรื่อง ไม่รู้จักผู้หญิงคนนี้ (ตอนนั้นไม่รู้เรื่องโลกภายนอก เพราะเป็นเด็กบ้านนอกค่ะ) แต่พอครั้งแรกได้ดู รู้สึกว่า โอว พระเจ้าจอร์จ มันยอดมาก !!! สนุกที่สุดเลยที่มีคนพูดเป็นเพลง ด่าเป็นเพลง เถียงเป็นเพลง ตัดพ้อเป็นเพลง อยากให้โลกนี้มีแต่เสียงเพลงคงจะดี บวกกับความรู้สึกทึ่ง เพราะการเอาบทพูดมาต่อกันเป็นเพลง ให้คนดูรู้เรื่อง และให้คนดูรู้สึกไพเราะด้วยมันไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายเลยซักนิด และในครั้งนั้นรู้สึกว่าเพลงในเรื่องเพราะดี (ดนตรีนะคะ ไม่ใช่เนื้อร้อง เพราะตอนนั้นฟังภาษาไม่ออก) ฟังๆเพลงไปเหมือนกะฟังเพลงในหนังการ์ตูนดิสนีย์เลย....ชอบ ชอบ... หนังเรื่องนี้เลยป็นแรงบันดาลใจให้ไปค้นหาหนังเพลงต่างๆมาชม และพอได้ฟังและชม Phantom of the Opera ก็ โอ้วววววววว หลงรักหนังเพลงเข้าอย่างจัง....เลยยอมถวายตัวเป็นสาวกคนรักหนังเพลงในทันที (แต่หนังเพลงที่รักที่สุดไม่ใช่ทั้ง Evita และ Phantom of the Opera ค่ะ กลับกลายเป็นเรื่อง West Side Story กะ Moulin Rouge) ซึ่งพอได้ดู Evita อีกทีตอนโตแล้ว ความสามารถทางภาษาก็มากขึ้น และได้มีประสบการณ์การดูหนังมากขึ้น กลับรู้สึกว่าเฉยๆกับตัวหนัง แต่รู้สึกทวีความชื่นชอบดนตรีในเรื่องขึ้นกว่าเดิมมากๆ ถึงขนาดใช้เพลง Ill be surprisingly good for you จากหนังเรื่องนี้มาเป็น Theme หลักในละครเพลงที่ทำที่โรงเรียนเลยทีเดียว
Evita ได้รางวัลเยอะเหมือนกัน โดยเฉพาะได้ลุงออสการ์มา 1 ตัวจากเพลง You Must Love Me ซึ่งเป็นเพลงที่แต่งขึ้นใหม่ให้กับเวอร์ชันหนัง (เวอร์ชันละครเวทีเมื่อก่อนไม่มีเพลงนี้) เนื้อหาเพลงก็เกี่ยวกับคนที่เคยมีทุกสิ่งทุกอย่าง แต่กำลังจะสูญเสียสิ่งที่มีทั้งหมดไปขณะมีอายุได้เพียง 33 ปี ซึ่งเจ๊ Madonna ก็ร้องเพลงนี้ได้ดีทีเดียว แต่ จขบ. กลับชอบเพลงที่มีกลิ่นอายสแปนิชกีตาร์อย่าง Oh What A Circus, เพลงหวานๆแบบ On This Night Of A Thousand Stars, เพลงสมัยชีวิตตกอับอย่าง Another Suitcase In Another Hall, และเพลงที่แสดงมายาหญิงได้อย่างแนบเนียนอย่าง Ill be surprisingly good for you
[Evita:] There is only one man who can lead any workers' regime มีเพียงชายคนนี้คนเดียว(ฮวน เปรอง) ที่จะปกครองได้
He lives for your problems, he shares your ideals and your dream เขาจะมาช่วยแก้ปัญหา ร่วมความคิด และความฝัน
He supports you, for he loves you เขาสนับสนุนพวกคุณ เขารักพวกคุณ
Understands you, is one of you เข้าใจพวกคุณ และอยู่ฝั่งเดียวกับคุณ
If not, how could he love me? ถ้าไม่อย่างนั้น เขาจะรักฉันได้อย่างไร
[Evita:] Now I am a worker, I've suffered the way that you do ตอนนี้ฉันก็เป็นคนงาน ฉันก็ลำบากแบบที่คุณเป็น
I've been unemployed, and I've starved and I've hated it too ฉันเคยตกงาน แคยหิวโหย และฉันก็เกลียดมัน
But I found my salvation in Peron, may the nation แต่ฉันโชคดีที่ได้พบเขา (ฮวน เปรอง) และประเทศนี้ก็เช่นกัน
Let him save them as he saved me ให้โอกาสเขายื่นมือมาช่วยเถอะ เหมือนที่เขาเคยช่วยฉันมาแล้ว
(แว่วเสียงของประชาชน) A new Argentina, the voice of the people Can not be, and will not be, and must not be denied. อาเจนติน่าในโฉมใหม่ เสียงของประชาชนไม่สามารถถูกปฎิเสธ, ไม่มีทางถูกปฎิเสธ และ ต้องไม่ถูกปฎิเสธ!!
Eva's Final Broadcast Performed by Madonna and the vocal chorus
[Evita:] I want to tell the people of Argentina ฉันอยากจะบอกคนทั้งอาเจนติน่า
I've decided I should decline ฉันตัดสินใจที่จะวางทุกสิ่งลง
All the honors and titles you've pressed me to take ทั้งเกียรติยศ และชื่อเสียงที่พวกคุณให้ฉันมา
For I'm contented ฉันพอใจแล้ว
Let me simply go on as the woman who brings her people ขอให้ฉันใช้ชีวิตไปในฐานะของผู้หญิงคนนึง ที่จะพาประชาชนของเธอไปสู่....
To the heart of Peron ....หัวใจของท่านประธานาธิบดีเปรอง
Don't cry for me Argentina อย่าร้องให้เลยนะ อาเจนติน่า
The truth is I shall not leave you ฉันจะไม่มีวันทอดทิ้งไปไหน
Though it may get harder for you to see me เพียงอาจจะไม่ค่อยเจอฉันบ่อยเท่าไรนัก
I'm Argentina, and always will be แต่ฉันยังคงเป็นส่วนหนึ่งของอาเจนติน่า...และจะเป็นตลอดไป...
Have I said too much? นี่ฉันพูดมากไปหรือเปล่า?
There's nothing more I can think of to say to you มีอะไรอีกมากมายที่ฉันอยากคุยกับพวกคุณ
But all you have to do is look at me to know ขอเพียงให้พวกคุณมองมาที่ฉัน และเข้าใจว่า....
That every word is true ทุกคำพูดนั้น....ฉันหมายความอย่างนั้นจริงๆ.......
ในวัยเด็ก Che เกิดและเติบโตท่ามกลางความแตกต่างของชนชั้นทางสังคมมาตลอด สายเลือดแห่งความเป็นนักสังคม และการมีบุคลิกที่เป็นเสน่ห์ดึงดูดให้คนยอมรับภาวะการเป็นผู้นำของเขา ก็ได้รับการถ่ายทอดมาจากบิดามารดานั่นเอง
หนูน้อย Che ในวัย 5 ขวบ
หนูน้อย Che เริ่มเป็นโรคหอบหืดตอนอายุเพียงสองขวบและโรคนี้ก็กลายเป็นโรคประจำตัว ของเขาไปตลอดชีวิต ซึ่งโรคหอบหืด ทำให้เมื่อเขาโตขึ้น ได้ตั้งใจว่าจะเรียนวิชาแพทย์เพื่อหาทางรักษาโรคนี้ให้หายให้ได้
ปี 1947 Che เข้าเรียนคณะแพทยศาสตร์ในมหาวิทยาลัย Universidad Nacional de Cordoba โดยเน้นวิชาการด้านโรคผิวหนัง และครอบครัวของเขา ได้ย้ายบ้านไปอยู่ที่เมือง Alta Gracia ซึ่งอยู่ใกล้กับเมือง Cordoba เมืองที่เขาเรียนอยู่ เพราะที่เมืองนี้มีอากาศที่ดีต่อสุขภาพของ Che
Che พยายามเล่นกีฬาหลายชนิด ในช่วงของการเรียนมหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะเป็น รักบี้ เบสบอล ปีนเขา เพื่อที่จะเอาชนะโรคหอบหืด แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ
ปี 1951 Che ตัดสินใจเดินทางออกท่องเที่ยวร่วมกับเพื่อนชื่อ Alberto Granadoไปทั่วอเมริกาใต้ด้วยรถมอร์เตอร์ไซด์ ซึ่งบันทึกการเดินทางของเขา ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ ชื่อ The Motorcycle Diaries และการเดินทางครั้งนี้ถือเป็นการเดินทางที่มีผลต่อแนวคิดครั้งยิ่งใหญ่ ทำให้เขาเปิดโลกทัศน์มากขึ้น จนเขากลายเป็นนักปฏิวัติ ผู้ตั้งใจอุทิศชีวิตและเลือดเนื้อเพื่อคนชั้นล่างของสังคมในเวลาต่อมา
ในช่วงที่ Che เดินทางผ่าน โบลิเวีย, ชิลี, เวเนซูเอลา รวมทั้งการทำงานเป็นแพทย์อาสาในระยะเวลาสั้น ๆ ที่เปรู ทำให้ Che ได้เห็นภาพความยากจนของชาวบ้านที่โดนกดขี่จากนักการเมือง และกลุ่มนักธุรกิจ ภายใต้ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมของประเทศอย่างมาก หนุ่มน้อย Che จึงหันมาสนใจการเมืองในอเมริกาใต้อย่างจริงจัง และแนวคิดที่มีอิทธิพลต่อเขาอย่างยิ่ง คือ ระบอบมาร์กซิสต์ (Marxismus) อย่างไรก็ตาม จริง ๆ แล้ว แนวคิดมาร์กซิสต์นี้ Che ศึกษามาก่อนหน้าที่เขาจะท่องเที่ยวแล้ว ด้วยเขาเป็นคนชอบอ่านหนังสือ รวมทั้งสนใจศึกษาปรัชญา การเมืองการปกครอง มาแต่สมัยเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเมืองการปกครองของประเทศอาร์เจนตินา บ้านเกิดของเขาเอง ภายใต้การนำของผู้นำ Juan Domingo Peron (สามีคุณ Evita Peron นั่นแหละ)ที่เขาเกลียด เพราะคอยกดขี่ประชาชน อยู่เสมอ
Che แยกทางกับ Hilda ซึ่งอยู่ที่เม็กซิโกแล้วแต่งงานใหม่กับหญิงชาวคิวบาชื่อ Aleida March ซึ่งทำงานเป็นหน่วยส่งเอกสารให้กับคณะปฏิวัติ ซึ่งได้รู้จักกันในระหว่างการสู้รบที่คิวบาแม้เขาจะมีบุตรกับ Aleida 4 คน แต่ลูก ๆ ของเขาได้เจอเขาน้อยมาก เพราะเขาทำงานวันละ 18 ชั่วโมง
เขาต้องเสียสละความสุขของตนเองและของครอบครัวมากมาย ช่วงที่ Che ทำงานและได้รับตำแหน่งต่างๆ เขาปฏิเสธที่จะรับเงินหรือผลประโยชน์ตอบแทนอื่น ๆ อันเนื่องมาจากการมีตำแหน่งนั้นๆ ทั้งสำหรับตัวเขาเอง และครอบครัว หากครั้งใดที่ภรรยาของเขาจำเป็นต้องใช้รถประจำตำแหน่ง เขาจะจ่ายเงินค่าน้ำมันรถเอง เขาอยากให้ใคร ๆ ได้เห็นภาพของวิธีคิดและการปฏิบัติตัวใหม่โดยเขายินดีที่จะเริ่มเป็นตัวอย่างที่ดีก่อน และด้วยการทำงานหนักและการดำเนินการตามแผนเศรษฐกิจอย่างเคร่งครัด ของ Che ในช่วงนั้นเองที่ช่วยทำให้เศรษฐกิจที่เคย ล้มเหลวของคิวบากระเตื้องขึ้น รวมทั้งช่วยหยุดความขาดแคลนทั้งหลายที่เกิดขึ้นได้จนถึงทุกวันนี้
Che ได้เปิดเจรจราข้อตกลงกับสหภาพโซเวียต (Union der Sozialistischen Sowjetrepubliken หรือ UdSSR ) เกี่ยวกับการขอความสนับสนุนด้านอาวุธ และด้านอื่น ๆ อย่างจริงจัง ภายหลังจากที่อเมริกาเริ่มไม่พอใจที่คิวบากระทำต่อนักธุรกิจอเมริกัน แล้วหันไปเข้ากับสหภาพโซเวียตแทน อเมริกาได้เพิ่มแรงกดดันทางการทหารกับคิวบามากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นชายฝั่งเมือง Havanna ที่เรือสัญชาติฝรั่งเศศ (La Coubre) ถูกลอบวางระเบิดเป็นผลให้คนบนเรือตายไป 75 คน และอีก 200 คนได้รับบาดเจ็บ และรัฐบาลคิวบาสืบทราบว่า CIA เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการวางระเบิดครั้งนั้น และภาพการยืนไว้อาลัยต่อผู้เสียชีวิตในครั้งนั้นเองได้ถูกบันทึกไว้ โดยช่างภาพชื่อ Alberto Diaz Korda แล้วถูกตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ ในภาพซึ่งแสดงให้เห็น ดวงตาที่ฉายแววแห่งความเศร้า ปนความโกรธ และความมุ่งมั่นของ Che ทำให้ภาพนั้นกลายเป็นภาพที่โด่งดังที่สุดในบรรดาภาพถ่ายทั้งหลาย เพราะเป็นเหมือนภาพสัญลักษณ์ของนักต่อสู้ และการปฏิวัติที่แน่วแน่ และยิ่งใหญ่
ภาพที่ถูกบันทึกไว้โดย Alberto Diaz Korda
Che เดินทางไปในหลายประเทศเพื่อเจรจาเรื่องต่าง ๆ ทั้งประเทศในทวีปเอเชีย สิงคโปร์ จีน หรือแม้แต่การเข้าประชุมกับองค์การสหประชาชาติ UN เพื่อประกาศความไม่ต้องการพึ่งพาเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกาอีกต่อไป อันเป็นการกล่าวคำปราศรัยที่โด่งดังที่สุดครั้งหนึ่งของเขา
Che ในที่ประชุม UN
"We would like to see this Assembly shake itself out of complacency and move forward," he says. "We would like to see the committees begin their work and not stop at the first confrontation. Imperialism wants to turn this meeting into a pointless oratorical tournament, instead of solving the serious problems of the world. We must prevent it from doing so."
"Of all the burning problems to be dealt with by this Assembly, one of special significance for us, and one whose solution we feel must be found first is that of peaceful coexistence among states with different economic and social system," he continues.
"Much progress has been made in the world in this field. But imperialism, particularly US imperialism, has attempted to make the world believe that peaceful coexistence is the exclusive right of the earth's great powers."
"It must be clearly established, however, that the government of the United States is not the champion of freedom, but rather the perpetuator of exploitation and oppression against the peoples of the world and against a large part of its own population."
I am a Thai girl living in Bangkok, the colorful City of Thailand. I am in my early thirties.
My profession is as a teacher but my passion is in the arts, writing, singing, drawing, travel, and paper dolls.
I am a born-again dreamer that now believes anything is possible and that maybe in addition to changing my life for the better; I can enhance the lives of those around me and maybe even make the world a better place someday.