อิตาลีตอนที่ 8 Volterra, Pisa, San Gimignano


Day12 30/08/05

ที่เห็นลิบๆบนเขานั่นล่ะเมืองที่เราจะไปกัน Volterra


วันนี้ตื่นแต่เช้าเช่นเคย เช้านี้อากาศดี แดดค่อนข้างแรง วันนี้เราจะไปสามเมืองด้วยกัน เลยต้องตื่นเช้าหน่อย ตามี่จั่วหัวเรื่องไว้นั่นแหละ เริ่มแรกกันที่เมือง Volterra เมืองนี้เป็นเมืองเก่าแก่ก่อนคริสตศักราช (เท่าไหร่ก็อย่าไปรู้มันเลยนะ อิอิ) ตั้งอยู่บนเนินเขา ระหว่างทางภูมิประเทศเป็นเนินเขาสลับซับซ้อนสูงต่ำกันไป บางช่วงก็เห็นเป็นเนินทรายกว้างสุดลูกหูลูกตา สลับกับมีต้นมะกอกเป็นแนวตามสันเขา บางช่วงก็เป็นไร่ไวน์ ดูสวยงามจริงๆ เราต้องบอกให้คนขับส่วนตัวอยุดถ่ายรูปเป็นระยะๆ แล้วก็ยังถ่ายระหว่างรถวิ่งอีก ด้วยอดใจไม่ไหว จริงๆเราออกเดินทางแต่เช้านะ ดันมาหลงทางซะนี่ กว่จะไปถึงก็เที่ยงแล้ว แต่จริงๆหลงทางนี่ก็ดีเหมือนกันนะ ได้เห็นเมืองได้เห็นทิวทัศน์ที่อื่นๆอีก

วิวตลอดทาง


เมือง Volterra ก็เหมือนเมืองเก่าอื่นๆที่ได้ไปเยือนมาแล้ว นั่นก็คือ ตั้งอยู่บนเนินเขา มีกำแพงเมืองร้มรอบตัวเมืองเอาไว้ เมื่อผ่านเข้ากำแพงเมืองไป ก็เริ่มสัมผัสกับตัวอาคารซึ่งเป็นอาคารหินสูงๆ มีร้านค้าเรียงรายไปทั่ว น่ารักดี บางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่า ทำไมคนสมัยก่อนถึงได้สร้างอะไรได้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ หินก้อนใหญ่ๆทั้งนั้น แล้วยังแข็งแรงทนทานมาจนถึงทุกวันนี้ จากหนังสือท่องเที่ยวบอกไว้ว่า เมืองนี้มีอาคารศาลาว่าการเมืองที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในแคว้น Toscana มีผลิตภัณฑ์ที่สำคัญซึ่งเป็นงานแกะสลักที่ทำจากหินอ่อน ซึ่งจะเห็นได้ทั่วไปตามร้านขายของที่ระลึก

เดินได้ไม่นานก็ทั่วแล้ว สำหรับเมืองเล็กๆแห่งนี้ อีกอย่างเราไม่ได้เข้าไปดูละเอียดในแต่ละสถานที่ด้วย ได้แต่เดินดูไปเรื่อยเปื่อย จากนั้นก็หาที่กินกลางวันวัน แล้วก็ออกเดินทางต่อ เราจะไปเมือง Pisa เพื่อไปดูหอเอนเมืองปิซ่า ซึ่งเป็นที่ที่สำคัญที่แทบทุกทัวร์จะไม่พลาด แล้วเราจะพลาดได้อย่างไรล่ะ แต่คนขับรถส่วนตัวของเราทำท่าอิดออด ไม่ค่อยอยากจะไป เธอบอก ก็งั้นๆอ่ะ ไม่มีอะไรน่าสนใจนอกจากไอ้หอเอนนี่อย่างเดียว ก็นั่นล่ะ ที่ฉันจะต้องไปเห็นด้วยตาตัวเองง่ะ ไม่ไปได้ไง อุตส่าห์มาถึงนี่แล้ว ถ้าไม่ไป แล้วเมื่อไหร่ฉันจะได้กลับมาอีกเล่า


สองคนพ่อลูกจูงกันเข้าเมือง






สองข้างทางประดับประดาไปด้วยธงปลิวไสวดูคึกคัก












พักกินกลางวันร้านน่ารักๆคนไม่พลุกพล่าน






ซากโรงละคร Romeins theater


วิวรอบๆเมืองด้านนอก


หลังจากกินกลางวันเสร็จแล้ว ก็เดินเล่นดูร้านค้าและตัวเมืองต่างๆไปเรื่อยจนพอใจแล้ว เราก็ออกเดินทางกันต่อ จุดหมายคือเมือง Pisa เราใช้ทางด่วนกัน อ้อ ปกติเรามักเลี่ยงทางด่วน ไม่ได้กลัวเสียค่าทางด่วนหรอก แต่ว่าการใช้เส้นทางเล็กๆนั้น จะทำให้เห็นสภาพบ้านเมือง และความเป็นอยู่ของคนในแถบบ้านนอก อีกทั้งยังมีวิวสวยๆให้ดูตลอดทาง แต่ใช่ว่า ทางด่วนที่อิตาลี่จะไม่สวยเอาะเลยนะ มันก็สวยเหมือนกัน ไม่น่าเบื่อซะทีเดียวหรอก เอาล่ะ แต่ตอนนี้จะใช้ทางด่วน เพื่อร่นระยะเวลาเดินทางให้เร็วขึ้น เมื่อเริ่มเข้าเขตเมือง เราก็ไม่ค่อยประทับใจเลย เมืองนี้ดูไม่เป็นระเบียบ ดูรกรุงรัง ไม่สวยงามเลย แถมไม่มีย่านที่น่าเดินอีก เราก็เลยมุ่งหน้าไปหาหอเอนปิซ่าอย่างเดียวเลย หาที่จอดรถได้ก็รีบเดินดุ่มๆไปดู ยิ่งเดินใกล้เข้าไปก็เห็นยอดหอเอนใกล้เข้ามาทุกที พร้อมกันนี้ก็เห็นนักท่องเที่ยวที่หนาแน่น แน่นอนล่ะ ใครๆก็อยาจะมาสัมผัสด้วยตาตัวเองทั้งนั้นนี่

หอเอนเมืองปิซ่านนี้ คือหอนาฬิกาของเมือง มีชื่อเป็นทางการคือ Torre pendente di Pisa หรือ simply Torre di Pisa หอเอนนี้ไม่ได้ตั้งใจสร้างให้เอียงอย่างที่เห็น เริ่มสร้างขึ้นเมื่อ 9 สิงหาคม ปีค.ศ.1173 แล้วก็เริ่มเอียงในเดือนนั้นเองหลังจากเริ่มสร้างไปได้ไม่ทันไร หอเอนนี้มีความสูง 55.86 เมตร จากพื้นด้านที่ต่ำสุด และ 56.70 เมตรจากพื้นด้านที่สูงที่สุด มีน้ำหนักประมาณ 14500 ตัน มีบันได 294 ขั้น ส่วนประวัตินอกเหนือจากนั้นก็หาอ่านได้ที่ หอเอนปิซ่า จ้ะอยากขึ้นไปเหมือนกัน แต่คิวยาวมาก เพราะจำกัดจำนวนคนขึ้นด้วย สงสาร มชล ต้องมารอ ก็เลยไม่ขึ้นละกัน

ด้านข้างหอเอนนั้นก็ยังมี Duomo Santa Maria สร้างขึ้นในปีค.ศ. 1064 โดยสถาปนิกชื่อ Buscheto จากข้อมูลนั้นว่า ข้างในนั้นสวยงาม แต่เราไม่ได้เข้าไปดูข้างในเช่นเคย อืม เสียดายเหมือนกัน

นอกจากนี้ยังมีอาคาร The Baptistery สร้างขึ้นในกลางศตวรรษที่ 12 เพื่อเป็นเกียรติ์แก่นักบุญ St. John the Baptist โดยสถาปนิกชื่อ Deotisalvi ส่วนข้อมูลต่างๆก็ดูได้ตามลิงค์ที่ให้ไว้นั่นแหละ อิอิ จริงๆ แปลก็ไม่ไหวแล้ว ภาษาก็งูๆปลาๆ กลัวขายหน้า เอาเท่านี้แล้วกัน


De toren van Pisa









Duomo Santa Maria Assunta (de dom van Pisa)



Het Baptisterium (doopkerk)



แวะถ่ายรูปริมน้ำก่อนกลับจากเมืองปิซ่า


ภาพจากกล้องของบาร์ท

ถ่ายรูปกันก่อนนะคะ







พักกินไอติมกันก่อนนะ


เราอยู่ที่เมืองปิซ่าไม่นานหรอก ดูๆแล้วก็ถ่ายรูปเสร็จก็กลับ ไม่รู้ มันร้อนด้วยมั้ง คนก็เยอะ มชล ก็เริ่มจะเหนื่อยแล้ว ถ่ายรูปเสร็จมานั่งพักกินไอติมกัน จากนั้นเดินทางกันต่อไปยังเมือง San Gimignano เช่นเคยเมืองนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาอีกแล้ว เราต้องจอดรถไว้นอกกำแพงเมือง แล้วเดินขึ้นบันไดเข้าสู่ตัวเมือง เมืองนี้ห้ามรถเข้าอ่ะ เข้าได้เฉพาะคนที่อาศัยอยู่ในเมืองนี้เท่านั้น

เมือง San Gimignano มีสัญญลักษณ์ที่โดดเด่นคือ เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยหอคอย สูงเด่นมากมาย เมืองนี้ถูกจัดให้เป็นหนึงในมรดกโลกของยูเนสโกด้วย อยากรู้รายละเอียดมากกว่านี้ก้ไปตามลิงค์ที่ให้ได้เลยจ้ะ แบบว่าไปถึงก็เย็นแล้วอ่ะ มีเวลาดูไม่มาก ได้แต่เดินชมเมืองๆไปเรื่อยๆแล้วอ่ะ ไม่ได้เข้าไปดูอะไรเป็นพิเศษเลย ร้านรวงที่นี่ก็น่ารักๆ ของแบรนด์เนมก็มี แต่ไม่ได้ซื้อหรอก ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ หาข้าวกินดีกว่า จริงๆพูดข้าวก็ไม่ถูก เพราะไม่ได้อยู่เมืองไทยนะ แต่มันติดปากน่ะ เลือกร้านที่ไม่พลุกพล่านตามเคย กินเสร็จก็กลับที่พักกัน อืม มืดแล้วหลงทางอีกตามเคย ถึงที่พักสี่ทุ่มกว่า อิอิ

ภาพที่เมืองนี้ถ่ายจากกล้องของบาร์ท กล้องเราแบตหมดอ่ะ เจ็บใจจริงๆ ฮึ ลืมชาร์ตแบตอีกก้อนนึงอ่ะ


San Gimignano เห็นหอคอยอยู่ลิบๆ



ชอบป้าสองคนข้างหลังอ่ะ ได้บรรยากาศอิตาลี้อิตาลี่







จตุรัสกลางเมือง



มองจากตัวเมืองลงมาจะเป็นไร่ไวน์







ที่เห็นด้านหลังนั้นเป็นร้านอาหารน่ารักๆระหว่างช่วงตึก


อืม มีแถมนิดหน่อย เมื่อเช้าออกจากที่พักน่ะ ระหว่างทาง เราเห็นน้องมืดแกนั่งเก้าอี้อยู่ริมถนน กางร่มกันแดดด้วย แต่งตัวจัดจ้าน ตอนนั้นก็งงจริงๆว่ามานั่งทำไม ถ้าเห็นในเมืองก็ไม่น่าติดใจใช่ป่ะ แต่ที่ที่นั่งน่ะ มันเป็นริมถนนที่อยู่ในป่า ในทุ่งนาอ่ะ ไม่ใช่ที่เดินเล่นซักหน่อย เอ๊ะ เธอมานั่งทำไมเนี่ย คิดในแง่ดี เอ๊ะหรือมาเฝ้าไร่นา อา คงไม่ใช่แน่ๆ แต่งตัวเช่นนี้ เธอมาหาลูกค้าเหรอ เอ มันจะได้มั๊ยน้า แต่ถ้าไม่ใช่ แล้วเธอมานั่งทำไมอ่ะ อืม วันถัดไปก็เห็นเธอมานั่งที่เดิมอีกแล้ว เอ๊ะ ผ่านมาอีกหน่อย เจอน้องมืดอีกนางนึง แต่งตัวเปรี๊ยวๆยั่วๆ ยืนอยู่ อ๊ะ แน่นอนแล้ว พวกเธอมาหาลูกค้าแน่ๆ แต่ก็ยังสงสัยอยู่ดีแหละ ว่าเค้าจะหาได้มั๊ยน้า แต่ก็ได้มั่งล่ะ ไม่งั้นคงไม่เสียเวลามายืนอ่ะ อ้อ คงจะมายืนเฉพาะกลางวันอ่ะนะ กลางคืนคงไม่ ก็มันมืดตื๊ออ่ะ ใครจะเห็นเธอล่ะ อิอิ ก็เป็นเรื่องแปลกอีกอันนึงที่ได้พบได้เห็นมา




 

Create Date : 13 มกราคม 2549    
Last Update : 13 มกราคม 2549 19:57:29 น.
Counter : 1474 Pageviews.  

อิตาลีตอนที่ 7 Shiena


Day11 29/08/05

วันนี้ตื่นเช้ามาอากาศดี อุณหภูมิประมาณ 26 องศา วันนี้เราจะไปเที่ยว Siena กัน เมืองนี้ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่สวยที่สุดของอิตาลี่ (อันนี้ตามความเห็นของคนดัชต์เค้านะ)


ทางเข้าตัวเมือง


เข้าประตูเมืองมา ก็เดิมาตามทางลาดชันทีจะนำไปสู่ Piazza del Campo ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของเมือง เป็นแหล่งที่นักท่องเที่ยวและชาวเมืองมานั่งเล่นกัน อีกทั้งตรงกลางลานนั้นใช้เป็นที่แข่งขันม้าแข่งที่มีชื่อเสียงที่เรียกว่า Palio ซึ่งจะจัดปีละสองครั้ง ทุกวันที่ 2 กรกฎาคมและ 16 สิงหาคมของทุกปี





Piazza del Campo ที่จัดการแข่งขัน Palio





ทีเห็นด้านหน้ามีหอสูงนั้นคือพิพิธภัณฑ์ Museo Civico


เราไม่ได้เข้าไปข้างในพิพิธภัณฑ์ เพราะรอคิวยาวมากเลย เสียค่าผ่านประตูคนละ 10 ยูโร แล้วก็ห้ามถ่ายรูปด้วย เลยไม่เข้าไปดีกว่า ทั้งๆที่จริงๆก็อยากเข้าไปนะ เพราะสามารถขึ้นไปเดินด้านบนสุดได้ อยากได้วิวอ่ะ แต่ไม่เข้าก็ไม่เข้าวะ

จากนั้นเดินไป Dom of Duomo เป็นโบสถ์ gotische เริ่มสร้างในศตวรรษที่ 12 แต่มาเสร็จเอาอีก 200 ปีต่อมา อันนี้ก็ไม่ได้เข้าไปอีก คิวยาวมากๆๆเลย ทั้งที่เสียงค่าเข้าชมด้วย ลำพังเราคนเดียวน่ะ รอได้ แต่มีลูกเล็กพ่วงไปด้วย เลยอดไปตามระเบียบ เซ็งเหมือนกัน เหมือนไปแล้วไม่ถึงอ่ะ เอ้าเข้าโบสถ์ไม่ได้ ก็เข้าพิพิธภัณฑ์ที่อยู่ข้างๆโบสถ์นี่ละกัน เสียตังอีกเหมือนกัน แต่คิวไม่ยาว เลยเข้าไปทั้งสามคนเลย ข้างในก็จะมีรูปภาพ หรือภาพเขียนเยอะแยะ ส่วนใหญ่ก็เกี่ยวกับทางศาสนานั่นแหละ ก็ดูๆไป แต่จุดที่เราสนใจมากสุดคือ การขึ้นไปด้านบนสุดของพิพิธภัณฑ์ ตรงนี้เราสามารถชมวิวของเมืองได้ พ่อต้องหอบลูกปีนขึ้นไปด้วย แต่ก็ไม่หนักเท่าไหร่

ด้านหลัง Dom of Duomo ต้องถ่ายสูงเพราะด้านล่างมีร้านนั่งดื่มกาแฟ


ด้านหน้า Dom of Duomo ที่เห็นนั่นเป็นผ้าใบที่คลุมไว้ เพราะอยู่ในช่วงปรับปรุงซ่อมแซม


ด้านข้าง


พิพิธภัณฑ์ข้างๆโบสถ์ ด้านบนสุดนั้นละที่เราขึ้นไปชมเมือง


จากนี้ไปจะเป็นภาพเมืองถ่ายจากด้านบนของพิพิธภัณฑ์







จากนั้นลงมาข้างล่าง เดินมาจนถึงท้ายสุดของพิพธภัณฑ์ ก็เจอส่วนที่เป็นห้องโถง มีแท่นบูชาแล้วก็ภาพเขียนที่สวยงาม




จากนั้นเราก็หาที่กินกลางวันกัน แล้วก็เดินชมเมืองกันต่อ ตึกรามบ้านช่องที่นี่สร้างอยู่บนเนินเขา ลดหลั่นกันไป ดูสวยงามดี เห็นเป็นเมืองเล็กๆแบบนี้ แต่มีย่านชอ๊อปปิ้งที่ดูหรูหราและมียี่ห้อดังๆทั้งนั้นเลย แต่ที่เป็นเอกลักษณ์ก็คือ การตากผ้าตากหน้าต่างระหว่างสองตึกนั้นมีให้เห็นโดยทั่วไป อีกอันนึงที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงก็คือ ส้วมสาธารณะ ยังคงเป็นส้วมหลุมแบบนั่งยองๆ แล้วก็ยองแบบติดพื้นซะด้วย ไม่มีการทำสูงขึ้นมา ถ้าเป็นคนแก่ๆที่ข้อไม่ค่อยดี ก็ลำบากหน่อย ส่วน มชล มักไม่ค่อยยอมเข้า เนื่องจากไม่คุ้นเคย ต้องบังคับและช่วยเค้า เค้าถึงจะยอมฉี่






ช่วงระหว่างตึกซึ่งจะเห็นได้ทั่วไป ชอบนะ ดูสวยดี



หลังจากเดินชมเมืองจนพอใจแล้ว เราก็ออกเดินทางต่อ โดยขับรถไปตามเส้นทางที่เป็นถิ่นปลูกไวน์ ภูมิประเทศเป็นเขาเตี้ยๆจนถึงสูงปานกลางสลับกันไป ก็ดูเพลิดเพลินไปอีกแบบนึง แต่วนนานๆ เราชักจะเวียนหัวแล้ว เพราะไม่ได้กินข้าวอ่ะ กินแต่ขนมปัง ไม่ไหวๆ ร่างกายมันเรียกร้องจะกินข้าว ฮ่าๆๆๆๆๆๆ กลับที่พักดีกว่า แต่ก่อนกลับก็แวะไปยังโบสถ์เก่าแก่แห่งนึงที่ตั้งอยู่ในเส้นทางนี้ จำชื่อไม่ได้แล้ว ข้างในก็ธรรมดา ไม่ได้สวยอะไรมากมาย เพียงแต่อยู่ในทำเลที่สวยดี







 

Create Date : 11 มกราคม 2549    
Last Update : 11 มกราคม 2549 5:09:54 น.
Counter : 722 Pageviews.  

อิตาลี ตอนที่ 6 Toscane


Day9 27/08/05
วันนี้เราต้องออกจากแคมปิ้งแล้ว ตื่นกันตั้งแต่ 7 โมงเช้า เพราะต้องออกจากบ้านก่อน 9 โมง ตื่นมาเก็บของขึ้นรถ เก็บกวาดบ้านด้วย ไม่ถึงกับต้องทำความสะอาดใหม่เอี่ยม แต่ก็ต้องทำให้เรียบร้อย เพราะก่อนออก จะมีเจ้าหน้าที่มาดู ถ้าทำเลอะเทอะไว้ จะไม่ได้เงินมัดจำ 100 ยูโรคืน อันนี้เป็นกฎของแคมปืปิ้งเกือบจะทุกที่ เราออกเดินทางประมาณ 9.30 น. แวะกินอาหารเช้าริมถนนทางด่วนในเขตเวโรนา จากนั้นก็ขับรถมุ่งหน้าสู่แคมปิ้งที่หมู่บ้านเล็กๆชื่อBucine ในแคว้น Toscane



Toscane เป็นแคว้นที่อยู่ตอนกลางของประเทศอิตาลี่ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นแคว้นที่มีความสวยงามมากที่สุดในประเทศ เนื่องจากมีภูมิประเทศเป็นเนินเขาสูงต่ำสลับกันไป เมืองเก่าๆแต่ละเมืองจะสร้างอยู่บนเนินเขา มีกำแพงรายล้อม ที่นี่ยังเป็นบ้านเกิดของศิลปินในยุค Renaissance ที่มีชื่อเสียงคือ Leonardo da Vinci, Botticelli และ Dante Alighieri ซึ่งเป็นนักเขียน นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นแหล่งผลิตไวน์ที่มีชื่อเสียง ซึ่งปลูกอยู่ในเขต Chianti, Morellino di Scansano และBrunello di Montalcino

จังหวัดต่างๆในแคว้นนี้ประกอบไปด้วย Arezzo, Florence, grosseto, Livorno, Lucca, Massa-Carrara, Pisa, Pistoia, Prato และ Siena

ภูมิประเทศในแคว้น Toscana















บ่ายโมงกว่าๆ เราก็มาถึงที่พัก แคมปิ้งนี้ดูร่มรื่นเงียบสงบกว่าที่ที่แล้วมาก อาจเป็นเพราะเป็นช่วงปลายซัมเมอร์แล้วก็ได้ นักท่องเที่ยวเลยน้อยลง แต่ที่สังเกตได้คือ ส่วนใหญ่เป็นคนดัชต์แทบทั้งนั้นเลย มีเยอรมันประปราย ซึ่งต่างจากที่เก่า ที่นั่นเยอมันเยอะมากพอๆกับคนอิตาลีเจ้าของประเทศเอง

เราได้บังกาโลในทำเลที่เหมาะมากเลย ตรงนั้นมีแค่สองหลังหันหน้าเยื้องกัน ดูเป็นส่วนตัวดี ตรงส่วนอื่นจะเป็นลักษณะคล้ายห้องแถวเรียงกันไป หลังจากเก็บของเสร็จ ก็ไปหาอะไรกินกัน ก้กินในแคมป์นี่ล่ะ มันร้อนขี้เกีจออก อีกอย่างตอนนี้ซุปเปอร์ประจำหมู่บ้านปิด ต้องรอเปิดตอน 4 โมงครึ่ง คนขายของในแคมป์เป็นหญิงวัยสูงอายุ 2 คนพี่น้อง อัธยาศัยดีมากๆ (แม้เค้าจะพูดอังกฤษได้น้อยมากก็ตาม) สั่งมักกะโรนีมากิน(อีกแล้ว) คือที่สั่งเพราะไม่รู้จะสั่งอะไรดี อีกอย่าง มชล ก็ชอบกิน สั่งอย่างอื่นเค้าจะไม่ค่อยกิน จะเสียเงินเปล่าๆ อืม ผัดใส่เนื้อมา หอมน่ากิน หรือด้วยความหิวก็ไม่รู้ซัดซะเรียบเลย ทั้งๆที่ไรม่กินเนื้อ แต่ด้วยความหิวเลยไม่สนใจล่ะ เผอิญมันเป็นเนื้อสับ เลยพอจะกินเข้าไปได้ กินเสร็จก็เดินสำรวจแคมป์กัน แล้วก็ปล่อยให้ มชล เล่นที่สนามเด็กเล่น ที่นี่มีสระว่ายน้ำสองสระ อยู่ในบริเวณเดียวกัน ใหญ่กว่าแคมป์ที่แล้วมาก แล้วก็ไม่วุ่นวายด้วย

บ่ายสามกว่าๆ ออกไปเดินสำรวจหมู่บ้านใกล้ๆ ก็เป็นหมู่บ้านเล้กๆ ไม่มีอะไรน่าสนใจเท่าไหร่ หรือมีก็ไม่รู้ แต่เดินไม่ไหวแล้ว มันร้อนมากๆ ใกล้เวลาซุปเปอร์มาเก็ตเปิดก็มานั่งคอยดีกว่า พอได้เวลาก็เปิด เข้าไปเลือกๆซื้อของไว้ทำกิน สรุปวันนี้เราไม่ทำอะไรมาก ถือว่าพักเอาแรงไว้ในวันต่อไป วันนี้เราเข้านอนกัน 3 ทุ่ม ฮ่าๆๆๆๆๆๆ ที่นี่ไม่มีทีวีดูอ่ะ (ที่เก่ามีทีวีด้วย)

Day10 28/08/05


วันนี้ฝนตกตั้งแต่ตีห้า ตกๆๆๆๆๆๆ แล้วมันก็ตกทั้งวันเลย ไม่ได้ทำอะไร นั่งจับเจ่าอยู่แต่ในบ้าน สลับกับเล่นกับ มชล บาร์ทเริ่มเบื่อ พอฝนเริ่มซาๆ เธอก็จะชวนออกนอกบ้านไปขับรถเที่ยวชมวิวกัน ไม่ต้องลงจากรถก้ได้ ก็ฝนมันตกจะชมอะไรล่ะ ไหนว่าจะพักผ่อนไง ก็ได้พักแล้วไงล่ะ ฝนตกพรำๆแบบนี้ เย็นๆดีออก นอนอ่านหนังสือสบายใจดีออก เอานิยายแปลไปด้วย สนุกมากๆเลย ฝนตกจนถึงสี่โมงเย็นแน่ะ ตกลงวันนั้นเราก้เลยไม่ได้ไปไหน ได้พักกันจริงๆ

ที่พักของเราหลังขวามือ





 

Create Date : 04 มกราคม 2549    
Last Update : 11 มกราคม 2549 4:26:30 น.
Counter : 681 Pageviews.  

อิตาลี ตอนที่ 5 Malcésine


Day8 26/08/05

วันนี้ตั้งใจว่าจะไปเมือง Malcésine ซึ่งอยู่ตอนบนของทะเลสาป จะไปขึ้นเคเบิ้ลเพื่อขึ้นไปเดินเล่นบนยอดเขา Monte Baldo ซึ่งสูงถึง 2132 เมตรจากระดับน้ำทะเล แต่ดูท่าแล้วน่าจะไม่ได้เดิน เพราะวันนี้อากาศไม่ดี ท้องฟ้าขะมุกขะมัว มีหมอกลง แต่ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ตั้งใจจะไปก็ไปดีกว่า เผื่อว่ากลางวันอากาศอาจจะดีขึ้น ปล่อยให้ มชล ไปเล่นกับเพื่อนซักพักนึงก่อน ใกล้ 11 โมงเราก็ออกเดินทางกัน

เราขับรถเลียบทะเลสาปไปเรื่อยๆ และไปลงเรือข้ามฟากเพื่อร่นระยะทางที่เมือง Maderno จากนั้นกขับรถต่อไปยังที่หมาย ชายฝั่งด้านตะวันออกนี้ เราว่าสวยกว่าด้านตะวันตกอีกนะ มีหาดกว้างกว่าแล้วก็เป็นหินขาวๆก้อนเล็กๆ น่ามองไปตลอดทาง ไม่นานเราก็ถึงเมือง Malcésine ก่อนจะไปขึ้นเคเบิ้ล ก็ต้องหาอะไรรองท้องกันก่อน ระหว่างที่มองหาที่กินกลางวัน เราก็อดใจที่จะไม่เดินดูเมืองไหว ก็มันน่ารักมากๆเลย แต่ก็ต้องตัดใจ เอาไว้ค่อยกลับลงมาดู ขืนชักช้าจะอดขึ้นซะเปล่าๆ แต่ขนาดว่ารีบแล้วก็เกือบบ่ายสามแล้วถึงได้ขึ้น เพราะต้องรอ มชล กินข้าว แล้วก็เดินๆๆ จะมาเดินจ้ำแบบเราก็ไม่ได้ ก็เลยต้องช้าแบบนี้แหละ


ท่าเรือที่เมือง Maderno



ฝั่งตรงข้าม Maderno

บ้านเรือนในเมือง Malcésine


เคเบิ้ลที่เราจะขึ้นนี้เพิ่งสร้างเมื่อปี ค.ศ.2002 นี่เอง ค่าขึ้นไปกลับคนละ 13.50 ยูโร เป็นแบบหมุนได้รอบ 360 องศา ใช้เวลาเพียง 10 นาที ก็จะขึ้นไปถึง de Monte Baldo ข้างบนมีสองสถานี เราสามารถลงที่สถานีแรกด้านบน เพื่อหยุดเดินเล่นหรือชมวิว เรามาถึงจุดแรก ยังพอจะมองเห็นวิวข้างล่างได้มั่ง แต่ก็ไม่ชัดเจนเพราะหมอกลง หลังจากนั้นก็ขึ้นต่อไปยังสถานีบนสุด ซึ่งตรงจุดนี้จะสูง 1760 เมตรจากระดับน้ำทะเล จริงๆตั้งใจจะขึ้นไปเดินเล่นและไปให้ถึงจุดที่สูงที่สุด เพื่อไปชมวิวด้วย แต่ว่าวันนั้นเราไม่สามารถเดินไปได้ เพราะหมอกลงจัดมาก จนมองไม่เห็นป้ายบอกทางเลย อาจหลงทางหรือเดินตกเขาได้ เลยเดินได้แค่นิดหน่อยก็ต้องกลับมานั่งจิบกาแฟที่ร้านใกล้ๆสถานี แล้วก็ตัดสินใจลงมาเที่ยวในเมืองกันดีกว่า

ภาพนี้จากเวปท่องเที่ยว เราจะขึ้นไปด้วยกระเช้าแบบนี้แหละ



จากที่เห็นนี้เรากำลังจะขึ้นไปสถานีบนสุดชั้นที่สอง







จากเวปท่องเที่ยว (ถ้าไม่มีหมอกเราจะได้เห็นแบบนี้)



พักก่อนนะคะ


ลงมาข้างล่างแดดจ้าเชียว นั่งพักกินแอปเปิ้ลกันแล้วก็เดินต่อ เราว่าเมืองนี้น่ารักกว่าทุกๆเมืองเลย ร้านค้าบ้านช่องจะอยู่บนเนินลดหลั่นสลับกันไป แค่เดินชมบ้านเราก็ไม่เบื่อเลย เอกลักษณ์ที่ขาดไม่ได้คือ การตากผ้าโดยโจ่งแจ้ง บางทีก็คร่อมถนนเลย ดูบ้านดูช่องรวมทั้งมองๆหาที่กินตอนเย็นไปด้วย จากนั้นยังมีเวลา เราก็จะไปสำรวจปราสาทริมทะเลกัน ชื่อปราสาทนี้ก็ดันจำไม่ได้ซะอีก ได้แผ่นพับข้อมูลมาด้วย แต่หาไม่เจอซะแล้วตอนนี้ ก็เลยข้ามเรื่องราวนี้ไปก็แล้วกัน เราขึ้นไปถึงด้านบนสุดด้วย ก็มาแล้วก็อยากจะดูให้มันละเอียด สองพ่อลูกรออยู่ด้านล่าง เพราะมันสูงมาก กลัวจะเอา มชล ไม่ทัน เวลาถ้าเค้าอยากทำอะไรเอง แล้วเนี่ย ห้ามไม่ฟัง แถมจะคอยวิ่งหนีอีกด้วย เลยให้อยู่ข้างล่างนั่นแหละ

ขึ้นมาแล้วก็ไม่ผิดหวังเลย จากบนยอดนี้สามารถมองเห็นวิวของเมืองนี้ สวยงามมาก ไม่ว่าจะเป็นด้านชายฝั่งทะเล หรือฝั่งทางด้านที่อยู่อาศัย เราใช้เวลาข้างบนนานพอสมควร ไม่ใช่อะไรหรอก ก็กว่าจะเดินขึ้นไปถึงนะ เหนื่อยเอาการ


ทางขึ้นปราสาท







มองจากยอดบนจะเห็นสถานีเคเบิ้ล







เมฆมาบังดวงอาทิตย์พอดีเลยได้ภาพนี้มา







มองจากช่วงกลางปราสาท



ชั้นถัดไป



เห็นสองพ่อลูกลิบๆ



จุดชมวิวด้านข้าง หวิวๆ


ลงมาจากปราสาทแล้ว เราก็เริ่มมองหาที่กินข้าวกันล่ะ ถ้าร้านที่อยู่ด้านในๆ ส่วนมากจะเป็นแบบสแน๊คบาร์ซะมากกว่า หรือไม่งั้นก็จะเป็นร้านแบบทึมๆ ต้องนั่งในร้าน ไม่เอาดีกว่า มันอึดอัด เดินไปรอบๆริมทะเล น่านั่งทั้งนั้นเลย แต่ๆๆๆ ราคาแพงจัง แถมคนก็เยอะมากๆเลยอ่ะ ดูมันวุ่นวาย เอ้าเดินหาต่อไป เกือบปลายหมู่บ้านแล้ว จนไปเจอร้านนึง ดูหน้าร้านท่าทางไฮโซ อาหารก็ราคาแพง คนก็ไม่เยอะด้วย แต่ที่น่าสนใจคือมีเมนูกุ้งเผาด้วย หันไปมองหน้าผู้ร่วมทาง แล้วบอกว่า เอาร้านนี้แหละนะ มื้อสุดท้ายที่ทะเลสาปแห่งนี้ เพราะพรุ่งนี้เราต้องไปที่ใหม่แล้ว แพงก็ช่างเหอะ อยากกินมากๆเลย เป็นอันว่าตกลง เดินเข้าไปข้างในสุด โอ บรรยากาศดีมากๆเลย ได้นั่งติดทะเลด้วย เราก็แบบเกร็งนิดๆเพราะแต่งตัวแบบโทรมๆกันเลย บริกรสุภาพมากเลย เป็นกันเอง ไม่ทำให้เราดูตัวลีบ มีการมาแนะนำพนักงานที่จะคอยดูแลโต๊ะเราด้วย เราสั่งกุ้งเผา ส่วนบาร์ทสั่งสะเต๊กเนื้อ มชล สั่งมักกะโรนี ในนั้นจะมีแต่จานใหญ่ๆ พนักงานก็ถามว่า ต้องการเป็นจานเล็กมั๊ย เพราะสำหรับเด็กมันจะเยอะไป ดีมากเลยค่ะ พอถึงเครื่องดื่ม บาร์สั่งเบียร์ เรานึกกระแดะขึ้นมาหรือไงไม่รู้ สั่งไวน์ขาวค่ะ ก๊ากกกก ปกติจะกินได้แค่แก้วเดียวเท่านั้นแหละ ก็สั่งไปว่าหนึ่งแก้ว แต่พอเค้ามาเสริฟ มาเป็นเหยือกเล็กอ่ะ ประมาณสองแก้วได้ ตายละหวา ต้องซัดคนเดียวด้วย เอาก็เอาวะ แล้วจะบอกว่าผลเป็นไง อิอิ

อาหารมาเสริฟแล้ว ของบาร์ทจานใหญ่เชียว ของเราก็ใหญ่นะ แต่กุ้งน่ะมีแค่หกตัวเอง แต่ยังดีที่ไมใช่ตัวกะจิ๋ว แต่อร่อยมากเลย
บาร์ทมาขอชิมด้วย เราบอกไม่ได้หรอก มีแค่นี้เองง่ะ ชั้นก็ไม่อิ่มน่ะสิ มีหวงกินด้วย ก๊ากกกกก จริงๆไม่ใช่อะไรหรอก มชล ก็จะกินด้วย สำหรับลูกไม่หวง แต่รู้งี้สั่งให้เค้าด้วยซะตอนแรกก็ดีแล้ว ฮืมๆๆ มื้อนี้ไม่เสียดายตังเลย อร่อยจริงๆ ตอนมาจ่ายตังที่เคาเตอร์ (ร้านนี้แปลก จะมาจ่ายตังที่เคาเตอร์ด้านหน้า) เค้าแถมเหล้าอะไรไม่รู้ แช่เย็นไว้นะ คนละแก้วเล็กๆ ก็ดื่มไปด้วย อึ๋ย รสขมๆหวานๆบอกไม่ถูก แต่ที่แน่ๆร้อนวาบเลย

หลังจากกินเสร็จ ก็ออกมาเดินย่อยอาหารกัน ร้านค้าบางร้านยังไม่ปิด ก็เดินดูไปเรื่อย มาเจอเสื้อคลุมยีนส์ตัวยาวถึงเข่า ลดราคาด้วย อยากได้ เลยไปลอง คนขายก็ดี ซื่อสัตย์ดี เราลองแล้วเค้าบอกว่า มันใหญ่ไปนิดนึงสำหรับเธอนะ คือชอบที่เค้าไม่บังคับขายเราน่ะ โดยส่วนใหญ่เราจะเจอว่า ดีค่ะ สวยค่ะ เหมาะมากเลย ทั้งๆที่เราเห็นแล้วว่ามันไม่ได้เรื่อง แต่เราชอบมากอ่ะ แล้วมันก็แค่ว่าไหล่ตกไปนิดนึง เลยบอกว่า ไม่เป็นไร ชั้นอยากได้ เด๋วให้แม่สามีแก้ให้ก็ได้ ตกลงเราซื้อ ถึงตอนจ่ายเงิน เราจ่ายบัตรเครดิตไป แต่พอเราออกมาจากร้านแล้ว ก็กำลังจะเก็บบัตรเข้ากระเป๋า เอ๊ะ นี่มันบัตรเอทีเอ็มนี่หว่า เราหยิบผิด เพราะสองบัตรนี้หน้าตามันคล้ายๆกัน แถมสีเดียกันอีก (บัตร Postbank)ทำไมเครื่องมันรับวะ แสดงว่าผลของไวน์สองแก้ว แล้วก็เหล้าอีกแก้วเล็กๆ มันออกฤทธิ์น่ะสิ คือจริงๆ เราก็เริ่มมึนๆเบลอๆแล้วล่ะ อิอิ ส่วนที่เครื่องมันรับบัตร ก็คงเพราะมันคือบัตรเอทีเอ็มซึ่งใช้จ่ายเงินแทนการจ่ายสดได้ คือตัดบัญชีทันทีเลย แล้วมันมีตรามาสเตอร์การ์ดอยู่ด้วย มันก็เลยผ่านฉลุย สรุปก็จ่ายสดไปไม่ได้ใช้เครดิต 5555555


ยอดนั้นล่ะที่คลานขึ้นไปน่ะ


เดินชมเมืองดีกว่า



ทางเดินน่ารักๆ







ในร้านอาหาร



บรรยากาศยามเย็น






ขากลับบาร์ทดันขับหลงทางอีก ขับเพลินไม่ได้ดูป้าย เราก็เริ่มเมาแล้วก็ง่วงด้วย ก็เลยไม่ได้ช่วยดู เลยกลับถึงที่พักสี่ทุมกว่าๆ ไปถึงก็ไม่สนใจแล้ว เปลี่ยนชุดนอนเลย ทั้งแม่ทั้งลูก 55555555 มชล ดีใจมากแม่มานอนด้วย (ปกติพ่อจะพาเข้านอน)นอนกอดเราแน่นเลย


จบงี้ทุกทีเลย









 

Create Date : 29 ธันวาคม 2548    
Last Update : 11 มกราคม 2549 4:27:18 น.
Counter : 500 Pageviews.  

อิตาลี ตอนที่ 4 Venice


Day6 24/08/05

วันนี้ตื่นเช้าแปดโมงกว่าๆ อากาศดี กะว่าจะไปขึ้นเคเบิ้ลกัน หลังจากกินอาหารเช้ากันเสร็จ เราเลยไม่รีบร้อนเพราะอยู่ไม่ไกลจากที่พัก มชล มีเพื่อนมาเล่นด้วย เราเลยยังออกไม่ได้ สักพักพ่อเค้าพาไปซื้อของในแคมปิ้ง ต้องเดินผ่านสระว่ายน้ำ เท่านั้นแหละ มชลร้องจะไปเล่นน้ำ ไม่ยอมไปไหนเลย เราเลยต้องเลยตามเลย ไปว่ายน้ำกัน เพราะตั้งแต่มาถึง เค้าก็ยังไม่ได้หยุดพักไปเล่นแบบเด็กๆเท่าไหร่เลย วันนี้คนเยอะมากเพราะอากาศดี แดดก็แรงด้วย ที่สระน้ำมีคนนำเต้นแอโรบิคด้วย เปิดเพลงลั่นสระน้ำเลย เล่นน้ำอ่ะพอได้ แต่จะว่ายจริงจังคงไม่ได้ เพราะเด็กก็เยอะ โดดน้ำกันตูมตาม น้ำในสระเย็นจังเลย มชล ลงได้แป๊บนึงก็เริ่มสั่นแล้ว พอจะให้ขึ้นก็ไม่ยอม จนกระทั่งเค้าไม่ไหวแล้วจริงๆ เราก็เลยกลับที่พักกัน กลับมาก็เที่ยงกว่าแล้ว เอามาม่ามาต้มกินกัน กินเสร็จก็เริ่มขี้เกียจกันแล้ว เลยนอนเล่นกัน





เพื่อนใหม่ มชล ที่แคมปิ้ง


บ่ายสามเราออกจากที่พัก ไปเดินสำรวจหมู่บ้านกันดีกว่า จากแคมปิ้งที่เราอยู่นี้ ไม่ไกลจากหมู่บ้านเท่าไหร่นัก ตอนแรกกะว่าจะเดินไปกัน แต่พอออกจากที่พักมาได้สักพักนึง ก็คิดว่าไม่ไหวแล้ว เพราะว่าถนนบางช่วงมันไม่มีฟุตบาทให้เดิน ถึงรถไม่เยอะแต่ก็อันตรายเพราะถนนมันแคบ แล้ว มชล ก็ไม่ค่อยจะยอมเดินตาม อีกอย่างแดดก็ร้อนมากด้วย เลยให้บาร์ทกลับไปเอารถมารับเราสองคน สำหรับหมู่บ้านนี้ก็เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ไม่มีอะไรมาก มีซุปเปอร์มาร์เกต ร้านขนมปัง แล้วก็ร้านอาหาร แล้วก็ร้านขายของที่ระลึก มีโบสถ์ด้วย ว่าจะเข้าไปสำรวจแต่เค้าไม่เปิด ก็เลยได้แต่ชมรอบนอกแทน ก็ไม่อลังการอะไร ได้เวลาเราก็แวะซื้อของกลับมาไว้เป็นเสบียงต่อไป วันนี้ก็สบายๆ ระหว่างทำกับข้าว มชล ก็ไปเล่นกับเพื่อนชาวเยอรมัน วันนี้ถือได้ว่าเป็นวันพักผ่อนของ มชล เค้าล่ะ เพราะว่าวันนี้ถือเป็นวันแรกก็ว่าได้ที่เค้าไม่ต้องนั่งรถนานๆ เค้าคงจะเบื่อมากอ่ะ เมื่อเช้าพอเราบอกว่าขึ้นรถๆ ก๊ากกกกก มชล ร้อง ไม่เอาๆไม่ขึ้นรถ เค้าคงเบื่อสุดๆแล้วล่ะ ก็เด็กนี่นะ เค้าก็อยากเล่นตามประสาเด็ก แต่เราก็อยากเที่ยวนี่นา อิอิ



สำรวจหมู่บ้านกัน


Day7 25/08/05

วันนี้เราตั้งใจจะไปเดินเล่นบนเขายอดเขา Monte Baldo ซึ่งสูง 1760เมตร ที่เมือง Malcesine ซึ่งอยู่ตอนบนของทะเลสาป คาร์ดา โดยเค้าจะมีกระเช้าขึ้นไป แต่ว่าอากาศวันนี้ไม่เป็นใจเอาซะเลย ท้องฟ้าไม่แจ่มใส ถ้าขึ้นไปคงมองไม่เห็นอะไร เลยตกลงใจไปเมืองเวนิสกัน (Venice)เวนิส เป็นเมืองที่สร้างขึ้นบนเกาะเล็กเกาะน้อยถึง 118 เกาะ มีสะพานเชื่อมเกาะแก่งและลองต่างๆเกือบ 400 แห่ง ระยะทางจากที่พักก็ประมาณ 120 กม เราตกลงใจใช้ทางด่วนเพื่อให้ไปถึงที่นั่นเร็ว จะได้มีเวลาเดินเที่ยวได้นานๆ เราอยากไปมานานแล้ว ได้แต่เห็นในทีวี อยากมานั่งเรือกอนโดล่ากับเค้ามั่ง แต่เห็นทีคราวนี้คงไม่สมหวัง เพราะมีลูกมาด้วย ไม่เป็นไร คราวหน้ายังมี เรามาถึงเวนิสเกือบเที่ยงแล้ว จากนั้นต้องจอดรถไว้แล้วจึงนั่งเรือเข้าไปในตัวเมือง เราซื้อตั๋วเรือแบบนั่งเรือได้ตลอดวัน ราคา 10.50 ยูโร วันนั้นแม้ท้องฟ้าไม่แจ่มใส แต่ก็ไม่ถึงกับขมุกขะมัวนัก ถือว่าโชคดีแล้วล่ะ วันนั้นมีนักท่องเที่ยวเยอะมาก เราคิดว่า ก้คงจะเยอะแบนี้เกือบตลอดปี ยกเว้นหนาหนาวคงจะบางตาลงมั่ง

สะพานมุ่งหน้าสู่เวนิส


จากนั้นก็ไปลงเรือกัน แค่เรือเริ่มเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ เราก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจกับเมืองนี้ซะแล้ว มันตื่นเต้น ได้มาเห็นด้วยตาแล้วจริงๆ เรือ
กอนโดล่า เห็นเรือกอนโดล่ามีคนนั่งอยู่ในเรือ อยากนั่งมั่งจังเลย แต่รู้ว่าแพง อีกอย่างมีลูกมาด้วยคิดว่าไมสะดวกเลยตกลงกันว่าไม่นั่งดีกว่า กลัวเสียเงินไปเปล่าๆ เอาไว้คราวหน้ามากันแค่สองคนค่อยนั่งแล้วกัน มือเราเริ่มกดกล้องถ่ายรูประวิง ถ่ายๆๆๆๆ มันเข้าไป กะว่าเอาไว้เลือกภาพที่ดีที่สุด นี่แค่นั่งเรือเพื่อไปยังเกาะ เรายังได้ไปแล้วไม่รู้กี่ภาพ เราไปลงเรือที่ท่า San Zaccaria ซึ่งเป็นจุดที่เป็นจุดที่ตั้งของจตุรัส San Marco ความรู้สึกที่เห็นคือ มันดูยิ่งใหญ่อลังการจังเลย กะว่าไปถึงจะไปหาอะไรกินกันก่อน แต่ว่าด้วยความที่มันตื่นเต้น ก็อดที่จะชื่นชมและถ่ายรูปก่อนไม่ได้ ทั้งๆที่หิวไส้กิ่วแล้ว พอถ่ายรูปได้หน่อยเราก็ตัดใจเดินหาที่กินกลางวันกัน

พอลงเรือได้ก็ถ่ายรูปนี้เป็นรูปแรกเลย





San Marco-Plein

สะพาน Ponte dei Sospiri เชื่อมระหว่างวังกับคุก อยู่เลยมาหน่อยจากรูปที่เห็นด้านบน

จะเห็นสะพานแบบนี้ทั่วไปเชื่อระหว่างตึกแต่ละตึก ตอนนี้กำลังเดินหาที่กินกลางวัน เดินเริ่มมั่วด้วยความหิว

บางซอกตึกแคบมาก ถึงขาดต้องเดินตัวลีบ


เราเดินจนเหนื่อย คิดว่าเข้าเขตที่อยู่อาศัย เพราะไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวแล้วก็ดีเหมือนกัน ไม่แน่นดี จนเรามาเจอร้าน snack bar ที่ไม่พลุกพล่าน มีคนนั่งกินไม่กี่โต๊ะ ท่าทางจะเป็นคนอยู่ที่นั่นซะมากกว่า เราเลยเลือกร้านนี้ล่ะ สั่งสปาเก็ตตี้ซีฟู๊ด รสชาติใช้ได้เลยล่ะ หรือว่าหิวก็ไม่รู้ บาร์ทกินพิซซ่า มชล กินกับเรา เสร็จแล้วไปเข้าห้องน้ำ อืม ลืมเล่าถึงห้องน้ำ บางแห่งยังเป็นแบบนั่งยองๆอยู่เลย ที่นี่ก็เหมือนกัน เป็นแบบนั่งยองๆ แต่มันก็แปลกๆนะ มันไม่คล้ายบ้านเราน่ะ มันเป็นกึ่งนั่งยองๆกับกึ่งนั่งน่ะ มันเตี้ย ลำบากเหมือนกัน มชล ไม่ค่อยจะยอมนั่งฉี่ ต้องบังคับนิดหน่อยถึงจะยอม หลังจากกินเสร็จ เราก็ออกเดินกันต่อ ก็ตังใจว่าจะเดินตามเส้นทางตามแผนที่ เพื่อจะได้ไม่วกไปวนมา แต่พอเอาเข้าจริงก็มีหลงบ้าง แต่ไม่เป็นไร ก็ได้เห็นส่วนอื่นๆ ซึ่งก็ไม่น่าเบื่อเลย

เราเดินวกกลับมายัง San Marco Plein อีกครั้งตรงจุดนี้เรียกว่าเป็นจุดศูนย์รวมของเมืองนี้ก็ว่าได้ มีทั้งร้านค้าของเก่า จูวิวลี่ งานศิลปะ ร้านขายของที่ระลึก สลับกับสแนกบาร์ สิ่งก่อสร้างที่น่าสนใจในจุดนี้ก็มี Palazzo Ducale เป็นที่พักของผู้ปกครองเมืองเวนิส สร้างในสมัยศตวรรษที่ 19 เป็นศิลปะแบบโกธิค ภายในตกแต่งด้วยศิลปะหลายยุคสมัย รวมถึงมีห้องทรมานนักโทษและทางออกไปยังสะพานที่เชื่อระหว่างวังกับคุก

ถัดมาจะเป็นโบสถ์ Basilica di San Margo ซึ่งเป็นโบสถ์ที่มีชื่อเสียงของเมืองเวนิส สร้างเพื่ออุทิศแก่นักบุญมาร์ค ซึ่งเป็นบุคคลที่ได้รับความนับถือในเมืองเวนิส

นอกจากโบสถ์แล้ว รอบจตุรัสมีอาคารที่สำคัญอีกสองแห่งคือ หอระฆัง Campanile ซึ่งสูงที่สุดในเวนิส นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปข้างบนเพื่อชมวิวได้ อีกที่นึงคือ หอนาฬิกา Torre dell'Orologio สร้างในปลายศตวรรษที่ 15 หน้าปัทม์เป็นสีน้ำเงิน



ด้านหน้าส่วนบนของโบสถ์ San Marco

ร้านค้ารอบๆSan Marco Plein

อาคารรอบ San Marco plein

หอระฆัง Campanile

จากจุดนี้เราเดินไปเรื่อยๆ คือไม่เน้นว่าจะต้องดูอะไรแล้ว เพราะ มชล เริ่มเหนื่อยและมีงอแง บางทีก็จะให้อุ้มด้วย ก็ต้องหลอกล่อไปเรื่อย เอาไอติมมาล่อ ก็ได้ผลมั่งเหมือนกัน เดินไปเราก้ให้นึกทึ่งนะ ว่าสมัยก่อนเค้าสร้างสิ่งต่างๆเหล่านี้ได้ยังไง รวมถึงตึกรามบ้านช่องต่างๆ แต่ะละส่วนเชื่อมต่อกันด้วยสะพาน แต่ละตึกก็ล้อมรอบได้ด้วยน้ำ เราเดินดูได้ทั้งวันไม่มีเบื่อเลย







โบสถ์นี้เพดานข้างบนคล้ายกับโบสถ์เซ็นต์ปีเตอร์ที่โรมเลย แต่เค้าห้ามถ่ายรูป



ร้านค้าแบรนด์เนม บางช่วงก็ยังมีการตากผ้าระหว่างตึกด้วยนะ ก็เอกลักษณ์อิตาลีล่ะ


บสนสะพานนี้มีแผงขายของที่ระลึกเต็มไปหมด

หลังจากเดินจนเหนื่อย เราก็หาที่กินข้าวก่อนกลับที่พัก หลังจากลงสะพานที่เห็นข้างบนนั้น เราก็เจอร้านนึง ที่ดูท่าทางไม่แพง จะกินอะไรล่ะ ก็สปาเก็ตตี้อีกแล้วล่ะ กินอย่างอื่นไม่เป็น อิอิ กลัวสั่งมากินไม่ได้ จะเสียตังป่าว แล้วก็สั่งสลัดทูน่ามาแก้เลี่ยน มชล กินสปาเก็ตตี้กับเรา ร้านนี้เป็นอาหารอิตาเลี่ยนก็จริง แต่เจ้าของน่าจะเป็นคนจีน เพราะคนเสรฟเป็นคนจีนหมดเลย แต่ช่างเถอะ ก็พอกินได้ แล้วก็ราคาไม่แพง กินเสร็จก็เตรียมขึ้นเรือกลับมาขึ้นรถกลับที่พักกัน ก้ถ่ายรูปกันจดหยดสุดท้าย ถ้าเป็นกล้องที่ต้องใช้ฟิล์มก็คงเสียค่าฟิล์มอ่วมเลยล่ะ








ยามเย็น คลองเริ่มสงบแล้ว









สะพาน Rialto บนสะพานเป็นย่านขายของที่ระลึก เดมเป็นสะพานไม้ สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 12 หลังจากพังลงก็สร้างใหม่เป็นสะพานหินทนแทน
จากนั้นเราก็ต้องอำลาเวนิสไปอย่างน่าเสียดาย เสียดายที่ได้แค่เดินชมผ่านๆเท่านั้น ไม่ได้เข้าไปเจาะลึกในแต่ละที่ เรือกอนโดล่าก็ไม่ได้นั่ง เอาไว้คราวหน้าจะกลับมาเยือนอีกครั้งนึงนะ ไม่เอา มชล ไปด้วย ไม่งั้นคงไม่ได้ดูอะไรเหมือนคราวนี้อีก แต่ถ้ามาคิดดู เค้าก็เก่งมากๆเลยนะ เดินกับเราได้ทั้งวัน แม้จะงอแงบ้างแต่ก็เรียกว่าผิดคาด เรากลับถึงบ้านสามทุ่มกว่าแล้ว แต่ก็ยังไม่รีบเอาลูกนอน ปล่อยให้เค้าเล่นอีกหน่อย เพราะมาถึงบ้าน ลงจากรถก็เรียกหาของเล่นเลย สงสารเลยให้เล่นก่อน ก็กว่าจะได้นอนก็เกือบ 5 ทุ่มแล้ว ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ให้นอนตื่นสายแทน

ขึ้นรถๆได้ซักพักก้สลบเหมือดเลย ดูขอบตาล่างก้รู้ว่าเค้าเหนื่อยจริงๆ




 

Create Date : 22 ธันวาคม 2548    
Last Update : 11 มกราคม 2549 4:27:57 น.
Counter : 732 Pageviews.  

1  2  3  4  

jeab&michelle
Location :
ตอนใต้ของเนเธอร์แลนด์ Netherlands

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






บล๊อคของคนชอบเที่ยวค่ะ พาลูกตระเวนเที่ยวไปทั่ว จนเดี๋ยวนี้ลูกก็ติดเที่ยวด้วยแล้วเหมือนกัน
หนังสือเราเองค่ะ

เที่ยวเนเธอร์แลนด์บายเจี๊ยบ

Promoot jouw pagina ook

web page hit counter
New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add jeab&michelle's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.