Group Blog
 
All blogs
 

Review : Playboy #generation 24H Parfum Deodorant น้ำหอม&ระงับกลิ่นกายพกขวดเดียวจบ!



สวัสดีค่าสาวๆบล็อคนี้มีไอเท็มเกี่ยวกับความหอมมารีวิวให้ชมกัน
จัดว่าเป็นชิ้นแรกเลยที่เค้าหยิบขึ้นมารีวิว กับ Parfum Deodorant
นั่นคือเป็น สเปรย์ระงับกลิ่นกาย x น้ำหอม รวมตัวกันในขวดเดียวแบบ 2in1
ซึ่งเค้าได้ลองใช้ต่อเนื่องมาประมาณเดือนนึง พกไปใช้ในทริปต่างประเทศด้วย
ขอบอกว่าเวิร์คมากง่ายจบในขวดเดียว!
มีรีวิวมาฝากกันทั้งแบบภาพนิ่งและวิดีโอเลือกชมได้ตามชอบเลยจ้า Smiley





Playboy #generation
Fragrance Collection
24H Parfum Deodorant - For Her

------------------------------------------------------
สเปรย์ระงับกลิ่นกายที่มีส่วนผสมของน้ำหอม
ที่หอมติดทนนาน 24 ชั่วโมง สำหรับคุณผู้หญิง
(มีสูตร For Him สำหรับคุณผู้ชายด้วยฮะ)

ขนาด 150 ml ราคา 169 บาท

มีจำหน่ายที่ Watsons, Tesco, Big C ,Tops
และ supermarket ทั่วไปจ้า




ส่วนผสม
Butane-Isobutane-Propane , Alcohol Denat, Parfum/Fragrance,
Propylene Glycol, Benzyl Salicylate, Linaldool, Triethyl Citrate,
Ethylhexylglycerin, Limonene, Butylphenyl Methylpropional,
Alpha-Isomethyl Ionone, Citronellol, BHT, Citral

กลิ่น
TOP >>> Yummy red cherry – Pink pepper - Mandarine 
HEART
>>> Jasmine petals – Violet Flower - Raspberry
BASE
>>> Creamy sandalwood & cedarwood - Musk

ลักษณะกลิ่นเป็นแนว Fruity Floral หอมแบบสดชื่น
ให้ฟิลสาวสดใสแต่มีความเซ็กซี่เล็กๆ เป็นกลิ่นที่เค้าโอเคมากกก
เทียบกับปกติที่เค้าไม่ใช้น้ำหอมเพราะเวียนหัวง่ายนะ
กลิ่นนี้คือผ่านใช้แล้วไม่มึน เพราะกลิ่นไม่ได้หวานมาก
ให้ความเฟรชแบบ Fruity มากกว่า ระหว่างวันกลิ่นไม่เปลี่ยนฮะ



ขวดสีขาวลาย Rabit Head สีสันสดใส
เห็นปุ๊บรู้ปั๊บว่า Playboy
ทรงขวดเป็นเคิร์ฟจับแล้วเข้ามือดี

มีฝาปิดใสๆหนึ่งชั้น หัวสเปรย์เป็นแบบกดสีดำ
กดพ่นง่ายไม่แข็ง ให้ละอองละเอียดสม่ำเสมอ
เค้าพกในกระเป๋าแบบไม่ได้ปิดฝาใสก็โอเคนะ
ปุ่มกดพ่นต้องกดให้จมลงไปสเปรย์ถึงจะออก
เวลาของในกระเป๋าโดนไม่มีผลไม่ต้องกลัวว่าขวดจะพ่นเองฮะ



วิธีใช้

ใช้เหมือนสเปรย์ระงับกลิ่นกายและบอดี้สเปรย์ทั่วไป
คือพ่นลงบนผิวได้โดยตรง โดยแนะนำให้พ่นห่างจากผิวประมาณ 6 นิ้ว
สำหรับดับกลิ่นกายก็พ่นใต้วงแขน สำหรับใช้เป็นน้ำหอม
เค้าพ่นตามบริเวณข้อมือ ข้อพับ และซอกคอเล็กน้อย
ซึ่งเป็นจุดชีพจร บริเวณเหล่านี้จะมีอุณหภูมิที่อุ่นทำให้กลิ่นกระจายตัวได้ดีขึ้น

พ่นลงไปแล้วผิวจะแห้งสนิท ไม่ขึ้นเป็นคราบขาว
กลิ่นจะหอมติดตัวแบบฟุ้งๆไม่ฉุนหรือชัดเท่าการใช้น้ำหอม
แต่ถ้าตั้งใจดมในจุดที่ฉีดลงไปอย่างพวกข้อมือข้อพับก็หอมชัดอยู่

ซึ่งอันนี้ส่วนตัวเค้าชอบกลิ่นประมาณนี้นะคือต้องอยู่ใกล้ๆถึงได้กลิ่น
บางคนฉีดน้ำหอมเยอะเกิ๊น
นึกว่าอาบน้ำหอมมา
ตัวยังไม่ทันมาได้กลิ่นลอยนำมาแล้ว มาทีนี่ฉุนไปทั้งบาง มีกลิ่นเหลือในห้องอีก
แบบนี้มิควรเท่าไหร่เพราะกลิ่นหอมของเราอาจจะไม่ได้หอมของคนอื่น
กลิ่นที่ฉุนไปแทนที่จะทำให้เราดูมีเสน่ห์กลับสร้างความรำคาญให้คนอื่นได้นะเออ!



รุ่นนี้เค้าเคลมว่าเป็น 24H Parfum Deodorant กลิ่นติดทน 24 ชั่วโมง
ดังนั้นต้องขอเทสความติดทนซักหน่อย ดูซิว่าทนจริงไหม



รีวิวนี้เทสกันถึงต่างแดน อิอิ เพราะพกไปทริปเกาหลีด้วย
สาเหตุที่เลือกไปทริปด้วยเพราะความเป็น 2in1 นี่หล่ะ
ขวดเดียวได้ทั้งช่วยระงับกลิ่นกายและเป็นน้ำหอมในตัว
ไม่ต้องพกหลายสิ่งมันเปลืองพื้นที่ในกระเป๋า

เค้าพ่นตั้งแต่เก้าโมงเช้า ออกไปลุยในโซลยันสามทุ่ม
กินข้าว ช้อปปิ้ง ลั้นลา อากาศช่วงที่ไปก็จัดว่าร้อนใช้ได้เลย
ตอนกลางวันประมาณ 30 องศา เดินไปมาทั้งวันได้เหงื่อพอตัวเลย

อีกหนึ่งในความท้าทายคือการกินอาหารเกาหลีนี่หล่ะ
ขึ้นชื่อเรื่องกลิ่นมาก555 วันที่เทสกินซึ่โครงหมูบาร์บีคิวชีส
อ้ะหือแค่เดินเข้าร้านกลิ่นก็อบอวลละ กลิ่นอาหารฟุ้งมาก



สรุปความรู้สึกหลังทดลองใช้


09:00-21:00 น. ผ่านไป 12 ชั่วโมงพอดีเป๊ะมาดูผลกัน
ตามคำเคลมคือกลิ่นติดทน 24 ชั่วโมง แต่เค้าคงไม่ได้อยู่ขนาดนั้นเนอะ
เต็มที่ก็ 12-15 ชั่วโมงก็อาบน้ำแล้ว.....หรือบางคนจะไม่ได้อาบ?!!!?! 555

เค้าเทสโดยให้คุณแฟนนางดมให้เพราะเราชินกลิ่นตัวเองบางทีมันบอกยากเนอะ

ว่าด้วยเรื่องกลิ่นตัวทั่วไป >>> ไม่มีกลิ่นตัวหรือกลิ่นเหงื่อรบกวนใจนะฮร้า
ตัวเค้าเองก็ไม่ได้กลิ่นอะไรทั้งๆที่เหงื่อออกเยอะอยู่วันนั้น
คุณแฟนนางดมให้ก็ไม่ได้กลิ่น จัดว่าระงับกลิ่นกายคือ ผ่าน!

ว่าด้วยเรื่องความหอม >>> กลิ่นตรงข้อมือจางลงค่อนข้างมาก
ตั้งใจดมจะได้กลิ่นเหลือนิดหน่อย แต่ก็ไม่ถึงกะไม่เหลือกลิ่นนะ
ส่วนนึงน่าจะเพราะเค้าล้างมือทุกครั้งที่เข้าห้องน้ำด้วยหล่ะ

ตรงข้อข้อพับแขนดมลงไปตรงๆยังได้กลิ่นชัดเจนอยู่
เป็นกลิ่นเดิมที่พ่นตอนเช้าเลยกลิ่นไม่ได้เปลี่ยนแม้เราจะกินซึ่โครงหมูมา555
แต่ก็ถือว่าจางลงกว่าที่พ่นตอนเช้าประมาณนึงฮะ

ตรงซอกคอ เค้าพ่นแค่จิ๊ดเดียวเพราะว่าใกล้จมูกตัวเอง
ไม่ชอบให้มีกลิ่นฟุ้งจนตัวเองได้กลิ่น
ผ่านไปทั้งวันคือเค้าเองไม่ได้กลิ่นอะไรแต่ให้แฟนดมใกล้ๆ
นางบอกยังพอเหลือจางๆนะ แต่ไม่ตั้งใจดมจริงๆไม่รู้สึก

โดยรวมคือผ่านไป 12 ชั่วโมง ปัญหากลิ่นตัวไม่มี

แต่จะมีติดกลิ่นอาหารมาเล็กน้อย
ส่วนกลิ่นหอมจางลงแต่ยังเหลือแบบหอมเบาๆอยู่
 ดังนั้นที่เค้าเคลมก็จัดว่าผ่านจ้าาาา!!!


ความประทับใจหลังทดลองใช้

นอกเหนือจากความหอมและคำเคลมเรื่องติดทนซึ่งเค้าว่าผ่านฉลุย
สิ่งที่เค้าชอบคือไม่เป็นคราบขาวเวลาพ่น
และ"ล้างออกง่าย" เหยอันนี้คือสำคัญมากนะ
เชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยรู้สึกแบบเค้าว่าเวลาให้สเปรย์ระงับกลิ่นกาย
โดยเฉพาะแบบที่ช่วยระงับเหงื่อมันจะเคลือบผิวแบบด้านๆ
เวลาอาบน้ำถูสบู่มันเหมือนล้างไม่ออก จับผิวแล้วเหมือนยังมีอะไรเคลือบอยู่
ซึ่งเค้าว่ามันให้ความรู้สึกอุดตันเหมือนขนจะคุดได้ ต้องฟอกสบู่ใต้วงแขนหลายรอบมาก
แต่อันนี้คือระงับกลิ่นจากเหงื่อได้ดีโดยที่ยังล้างออกได้ง่าย
ฟอกสบู่ทีเดียวเกลี้ยง ลูบผิวแล้วไม่รู้สึกว่าเหลืออะไรเคลือบผิว ดีงามมมมม Smiley

สรุปจบรวมๆก็คือเป็นไอเท็มที่เค้าได้ลองแล้วประทับใจ
ให้คุณสมบัติการเป็น Parfum Deodorant ได้ดีสมคำเคลม
กลิ่นแนวสดชื่นสดใสทำให้สามารถใช้ได้ตั้งแต่สาวน้อยวัยรุ่นถึงวัยทำงาน
ที่สำคัญคือราคาไม่แพงหาซื้อง่ายตามซุปเปอร์มาร์เก็ตทั่วไปเลย
พ่นทีเดียวจบไม่ต้องใช้น้ำหอมตาม ประหยัดเวลาและเซฟตังได้เยอะ อิอิ
เหมาะกับการพกเวลาเดินทางมากให้กลิ่นดีไม่ต้องระวังขวดแตกแบบน้ำหอม
แต่ถ้าใครติดใช้น้ำหอมอาจต้องลองเทสดูก่อนเน่อ
ว่ากลิ่นเมื่อพ่นร่วมกันแล้วจะตีกันไหม แต่จะให้ดีเค้าว่าพ่นเดี่ยวๆน่าจะเวิร์คกว่า
ส่วนผลเรื่องทำให้ใต้วงแขนคล้ำลงไหมส่วนตัวเค้าใช้มาเดือนนึงสีปกติดีไม่มีปัญหาจ้า

----------------------------------------------------------------------------------------

Disclaimer : Sponsored Content by Playboy Fragrances Thailand
***All opinions are my own
Information
: https://www.facebook.com/PBFragrancesThailand




 

Create Date : 26 กันยายน 2558    
Last Update : 29 กันยายน 2558 20:15:52 น.
Counter : 24186 Pageviews.  

Review : Philosophy Renewed Hope in a Jar หนึ่งเดือนกับการลองครบทั้งไลน์ปลื้มอะไรไปชมกัน

Philosophy แบรนด์ดังจากอเมริกา
ที่เราคุ้นเคยกันดีกับครีมอาบน้ำหลากสีหลากกลิ่นที่หอมเว่อร์
แต่อีกหนึ่งอย่างที่เด็ดและโด่งดังไปทั่วโลกก็คงไม่พ้นสกินแคร์ที่ชื่อติดหู
อย่าง Hope in a Jar ซึ่งมีขายมาเป็นสิบปี
แต่ล่าสุดเค้าได้มีการปรับสูตรยกทั้งไลน์และได้ปรับชื่อเป็น
Renewed Hope in a Jar
ซึ่งเค้าได้เทสแบบครบไลน์แล้วรู้สึกว่าเหยมันดี
เลยยกมารีวิวให้ชมกันแต่จะขอเน้นที่ตัวไนท์ครีม
ซึ่งออกมาล่าสุดและเค้าชอบที่สุดนะฮะ Smiley



Philosophy
Renewed Hope in a Jar


หลายคนสงสัยว่าไลน์นี้เค้าเน้นคุณสมบัติอะไร
คือปกติเราจะเห็นสกินแคร์เป็นแบบไลน์ไวท์เทนนิ่ง ลดเลือนริ้วรอยไรงี้
แต่อันนี้ชื่อเค้าไม่เจาะจงมาแต่จริงๆแล้ว
เป็นคุณสมบัติแบบที่ทุกคนต้องการเลยนะ นั่นก็คือ

เรียบเนียน (Texture)
: ด้วย
AHAs 3 แบบ ที่ทำงานในชั้นผิวที่ต่างกัน

เปล่งปลั่ง (Radiance) : ด้วย Micro-Optics ที่ช่วยกระจายแสง
สารสกัดจากพืชและจากดอก Prickly Pear ช่วยให้ผิวดูสดใส

ชุ่มชื่น (Hydration) : Hyaluronic Acid 3 แบบ
และสารสกัด
Blue Agave Extract

สรุปรวมๆแล้วก็คือผิวที่มีสุขภาพดีนั่นเอง
ซึ่งเราจะพบว่าเมื่ออายุเพิ่มขึ้นจะเห็นว่าผิวมันจะดูไม่เฟรชเท่าตอนวัยรุ่นเนอะ
นอนน้อยนิดหน่อยผิวจะดูล้าแบบเห็นได้ชัด ไลน์นี้ก็จะมาช่วยเติมความเฟรชให้ผิว
ทำให้ตื่นเช้ามาแล้วพบว่าผิวยังดูสดใสเหมือนตอนเป็นวัยสะรุ่น
ดังนั้นไลน์นี้จึงตอบโจทย์สำหรับทุกเพศทุกวัยสามารถเริ่มใช้ได้ตั้งแต่ผิวยังไม่มีปัญหาจ้า

อ้ออีกหนึ่งอย่างที่ปรับไปจากสูตรเก่าเลยก็คือ "กลิ่น"
จากเดิมไลน์นี้จะเป็นกลิ่นลาเวนเดอร์
แต่สูตรใหม่ Renewed จะเป็นกลิ่นหอมดอกไม้เบาๆค่ะ



Philosophy
Renewed Hope in a Jar
Revitalizing Creamy Foam Cleanser

ขนาด 150 มล. ราคา 970 บาท

โฟมล้างหน้าสูตรอ่อนโยน ช่วยให้ผิวสะอาดหมดจด
พร้อมให้ความชุ่มชื่นผิวจึงดูอิ่มเอิบและช่วยฟื้นฟูผิวอย่างต่อเนื่อง


---------------------------------------------------------------------------

เนื้อ กลิ่น และความรู้สึกเมื่อทดลองใช้


เกริ่นก่อนเลยว่าเป็นคลีนเซอร์ที่อินสุดๆในช่วงนี้ใช้ทุกวัน
เนื้อคลีนเซอร์สีขาวเหลือบๆมุก ใช้ทีละไม่ต้องเยอะประมาณเม็ดถั่วแดง
ที่เค้าชอบคือตีฟองง่ายมากไม่ต้องใช้พวกถุงตาข่ายช่วยเลย
ในภาพนี่คือขยี้กับน้ำบนมือนี่แหละแป๊บเดียวจะได้ฟองละเอียดฟูๆนุ่มๆ
กลิ่นดอกไม้เบาๆให้ความรู้สึกผ่อนคลายดีซึ่งจะเป็นกลิ่นนี้ทั้งไลน์

หลังล้างหน้าให้ฟิลที่ดีงามสุดๆคือล้างได้เกลี้ยงจริงจัง
อย่างวันที่แต่งหน้าจัดใช้พวกรีมูฟเวอร์หรือคลีนซิ่งออย
โฟมตัวนี้เอาอยู่ล้างความมันออกได้หมดโดยที่ไม่ทำให้รู้สึกแห้งตึงเลย
นี่แหละคลีนเซอร์ในอุดมคติของเจ้ ต้องเกลี้ยงแต่ห้ามทำให้ผิวแห้ง Smiley
เป็นอีกหนึ่งไอเท็มที่หมดแล้วซื้อต่อแน่นอน หลอดใหญ่บึ้มใช้ทีละนิดคุ้มๆๆๆ



Philosophy
Renewed Hope in a Jar
hydrating & refining lotion


ขนาด 240 มล. ราคา 1,150 บาท

โลชั่นเตรียมผิวให้พร้อมสำหรับการบำรุงในขั้นตอนต่อไป
และช่วยกระชับรูขุมขน

---------------------------------------------------------------------------

เนื้อ กลิ่น และความรู้สึกเมื่อทดลองใช้

สำหรับตัวนี้ใช้เป็นขั้นตอนแรกหลังการล้างหน้า
โดยหยดใส่สำลีให้ชุ่มแล้วเช็ดทั่วใบหน้า

เนื้อโลชั่นจะเป็นสีขาวแบบน้ำนมมีความข้นพอควร
เวลาหยดใส่สำลีต้องบีบๆสำลีนิดนึงโลชั่นถึงซึมลงไปได้
กลิ่นดอกไม้ออกแนวผ่อนคลาย กลิ่นค่อนข้างชัด
เมื่อเช็ดไปบนผิวแม้ตอนแรกจะรู้สึกว่าเนื้อมีความข้น
แต่ซึมผิวไม่ยากเมื่อซึมแล้วไม่เหนอะหนะ
ให้ฟิลเหมือนมีฟิลม์บางๆเคลือบผิว ผิวจะรู้สึกเรียบลื่นขึ้น

ส่วนตัวเค้าจะมีใช้ขั้นตอนเอสเซนส์อื่นๆด้วยซึ่งเนื้อจะเหลวกว่า
จึงลงพวกเอสเซนส์ก่อนแล้วค่อยตามด้วยโลชั่นตัวนี้จ้า

***โลชั่นตัวนี้สามารถใช้เป็นมาส์กคู่กับเม็ดมาส์กได้ด้วย
โดยหยดใส่เม็ดมาส์กให้ชุ่มแล้วมาส์กทิ้งไว้สัก 15-20 นาที
หลังมาส์กผิวจะฉ่ำและนุ่มขึ้นชัดเจนเลย เพราะเนื้อเค้าค่อนข้างข้น
เค้าเองจะชอบเอามาใช้เป็นมาส์กหน้ามากกว่าใช้เป็นโลชั่น
เพราะปกติใช้เสต็ปเตรียมผิวหลายตัวแล้วอ่าน้า




Philosophy
Renewed Hope in a Jar Eye


ขนาด 15 มล. ราคา 1,690 บาท

อายครีมช่วยบำรุงให้รอบดวงตาที่อ่อนล้าดูสดใสขึ้น
ลดเส้นริ้วรอยบางๆให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น

ลดรอยคล้ำและถุงใต้ตาด้วยสารสกัดจากสาหร่างสีแดง&สีน้ำตาล
และสารสกัดจาก
พืชแอฟริกันที่ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือด

***ไม่มีส่วนผสมของน้ำมันและน้ำหอม


---------------------------------------------------------------------------

เนื้อ กลิ่น และความรู้สึกเมื่อทดลองใช้


อายครีมไม่มีน้ำหอม เนื้อครีมเป็นแบบเนื้อวิปซึ่งดีงามมากกกก
บอกเลยว่าจุดเด่นของไลน์นี้คือครีมทุกอย่างเท็กซ์เจอร์เลอเลิศ
เนื้อจะคล้ายๆวิปครีมคือมีความฟูนุ่มเกลี่ยง่ายลูบละฟิน
เนื้ออายครีมจะค่อนข้างข้นแต่ไม่เหนอะหนะ
ทาแล้วรู้สึกได้เลยว่ารอบดวงตาชุ่มขึ้นซึ่งจะทำให้แต่งหน้าง่าย
ซึ่งสังเกตผลง่ายเลยคือระหว่างวันเมคอัพใต้ตาจะไม่แคร็ก

เค้าใช้ต่อเนื่องมาเดือนนึงส่วนตัวไม่มีปัญหาหมองคล้ำอยู่แล้ว
ใช้แล้วชอบตรงเนื้อวิปที่ทาแล้วชุ่มชื่นดีงามใต้ตาจะดูไม่แห้ง

ขั้นตอนอายครีมส่วนใหญ่จะทาหลังมอยส์เจอร์กันเนอะ
แต่เค้าชอบทาก่อนขั้นตอนอื่นเพราะรู้สึกผิวใต้ตามันบางและแห้งง่ายกว่า
เลยอยากโบกเข้าไปก่อนจุดอื่น ยิ่งตอนก่อนนอนจะเน้นโบกหนาๆจ้า



Philosophy
Renewed Hope in a Jar
Refreshing & Refining Moisturizer

ขนาด 60 มล. ราคา 1,690 บาท

มอยเจอร์ไรเซอร์สำหรับผิวแห้งโดยเฉพาะ
เน้นให้ความชุ่มชื่นทันทีและชุ่มชื่นได้ยาวนานตลอดวัน
ช่วยปกป้องผิวจากความแห้งตึงและลดอาการระคายเคืองผิว
ด้วยสารสกัดจากคาร์โมมายด์ที่ช่วยปกป้องผิวจากมลภาวะ
สารสกัดจากผลไม้เอเชีย (Evodia Rutaecarpa)
ส่งเสริมการไหลเวียนของโลหิตทำให้ผิวแลดูเปล่งปลั่ง
และดอกต้นกระบองเพชร (Prickly Pear Flower)
ที่เสริมสร้างกระบวนการผลัดเซลล์ผิวช่วยให้ผิวเรียบเนียน

***มอยส์เจอร์เค้าจะมีทั้งหมด 3 สูตร
คือสูตรนี้สำหรับผิวแห้ง , สูตร oil-free gel cream สำหรับผิวมัน
และสูตรสำหรับกลางวันโดยเฉพาะมีค่า SPF25

จริงๆมอยส์เจอร์ตัวนี้ใช้ได้ทั้งกลางวันและกลางคืน
แต่เค้าใช้เฉพาะกลางวันเพราะกลางคืนจะมีไนท์ครีมต่างหางจ้า


---------------------------------------------------------------------------

เนื้อ กลิ่น และความรู้สึกเมื่อทดลองใช้


แม้จะเป็นมอยส์เจอร์สำหรับผิวแห้งแต่เนื้อบางเบาสบายผิวเลย
เทียบกับอายครีมเนื้อจะข้นน้อยกว่าแต่เป็นเนื้อวิปเหมือนกัน
คือมีความนุ่มฟูและลื่นเกลี่ยได้ง่ายซึมผิวไว

หลังทาจะมีความหนึบผิวเหลือเล็กน้อยซึ่งอันนี้สำหรับผิวแห้งเค้าชอบนะ
เพราะมันรู้สึกชุ่มดีและชุ่มได้นานกว่าเนื้อที่ทาแล้วแห้งสนิทหายวาบ
ผิวหลังทาชุ่มและนุ่มขึ้นทันตา อันนี้เคยไปสาธิตขั้นตอนใช้ในเวิร์คชอป
ทุกคนในเวิร์คชอปกรี้ดกับเท็กซ์เจอร์ครีมตัวนี้มาก
ถ้ามีโอกาสอยากให้ไปลองปาดที่เคาท์เตอร์กันดูน้า

เค้าเริ่มใช้มอยส์เจอร์ตัวนี้ก่อนตัวอื่นแล้วชอบเลยเริ่มใช้ตัวอื่นตาม
เลยได้เทสตัวนี้มาสองเดือน ซึ่งเค้าพกไปทริปยุโรปด้วย
ช่วงที่ผ่านมานี่เดินทางบ่อยเว่อร์ปกติผิวจะล้าๆหรือแห้งลง
แต่โบกมอยส์เจอร์ตัวนี้แล้วรอดนะผิวไม่แหกไม่แห้งลอก
ผิวหน้าไม่มีปัญหาแต่งหน้าติดตลอดทริป สรุปผ่าน!



Philosophy
Renewed Hope in a Jar
Overnight Recharging and Refining Moisturizer 

ขนาด 60 มล. ราคา 2,190 บาท

ผลิตภัณฑ์ล่าสุดในไลน์นี้เพิ่งออกมาได้ไม่นาน
เป็นไนท์ครีมที่ช่วยฟื้นฟู และส่งเสริมการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิว
ที่เป็นไปตามวงจรธรรมชาติในตอนกลางคืน ต่อต้านการขาดน้ำในผิว
ความหมองคล้ำ ไม่เนียนเรียบ รวมถึงช่วยลดเลือนริ้วรอย และกระชับรูขุมขน


กลิ่นเค้าดมแล้วรู้สึกจะต่างกับตัวอื่นในไลน์เล็กน้อย
ในไนท์ครีมตัวนี้เป็นกลิ่นจาก
ดอกฟรีเซีย (freesia) กล้วยไม้ (orchid)
แอปเปิ้ลป่า (wild apple) และมะนาว (lemon)

ช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลายนอนหลับสบาย



มีส่วนผสมของ hyaluronate ที่ให้ความชุ่มชื่น
สารสกัดจากพืช Miramaze™ ที่ช่วยฟื้นฟูให้ผิวชุ่มชื้นยาวนาน 24 ชั่วโมง
alpha-hydroxy (AHA) 3 ชนิด คือ glycolic, citric และ mandelic
ที่ช่วยปรับสภาพผิว เพื่อลดเลือนริ้วรอยและรูขุมขน
สารสกัดจากพืชตระกูลเบอรี่ evodia rutaecarpa ที่มีต้นกำเนิดจากทวีปเอเชีย
ที่ส่งเสริมการไหลเวียนของโลหิตทำให้ผิวแลดูเปล่งปลั่งดูสุขภาพดี



ครีมกระปุกทุกรุ่นจะเป็นพลาสติกหนาสองชั้น ทึบแสง
มีฝาปิดสองชั้น เค้าเคยทำตกไม่แตกนะดรอปเทสแบบไม่ตั้งใจ แหะๆ
ครีมกระปุกแบบนี้เสี่ยงที่จะปนเปื้อนได้ง่ายเวลาตักใช้
ถ้าทำแบบขวดหัวปั๊มมาจะดีงามมาก



ลักษณะเนื้อและกลิ่น

ปาดเทียบให้ดูกับเนื้อวิปสามแบบเนื้ออายครีมกับมอยส์เจอร์จะสีขาว
แต่โอเวอร์ไนท์ดูจากในกระปุกจะออกสีครีมแต่ปาดแล้วสีไม่ต่างกัน

เรียงตามความข้นจากมากไปน้อยจะเป็น
Overnight > Eye > Moisturizing
เนื้ออายจะเหมือนวิปมากสุดมีความหยุ่นฟูส่วนมอยส์เจอร์จะฟิลคล้ายเจล
ส่วนโอเวอร์ไนท์จะเป็นข้นสุดเป็นวิปที่คล้ายบาล์ม
แต่ในความข้นก็ยังคงคุณสมบัติแบบวิปคือเกลี่ยง่ายเนื้อลื่นผิว

กลิ่นจะมีความเป็นซิตรัสผสมอยู่ เค้าว่ากลิ่นสดชื่นดีชอบกลิ่นแนวๆนี้



หลังทาจะเป็นฟิลม์บางๆเคลือบผิว ผิวจะนุ่มๆเด้งๆแต่ไม่ได้เหนอะหนะ
ปกติเค้าใช้เนื้อข้นกว่านี้เลยรู้สึกว่าตัวนี้สบายผิวดีไม่หนักหน้า
ตื่นมาซึมผิวหมดลูบละลื่นไปเลย แต่จับผิวแล้วยังเหลือความนุ่มอยู่
สำหรับผิวแห้งใช้ก็ถือว่าเก็บความชุ่มชื่นได้ดีจริง คอนเฟิร์มฮร่ะ!



สรุปสำหรับโอเวอร์ไนท์น้องใหม่ในไลน์นี้
ได้มาลองหลังสุดแต่รักสุดตรงเท็กซ์เจอร์ที่ข้นแต่เบา
ให้ผิวชุ่มและนุ่มได้จริง นอนดึก(มาก)ตื่นมาแล้วผิวหน้าดูไม่ล้า
ยกให้เป็นหนึ่งในไนท์ครีมที่เค้าเลิฟไปเลย



ถือหมดไม่ไหวเอาตัวที่เลิฟมาถ่ายละกัน555
สรุปรวมสำหรับความรู้สึกที่ลองใช้
Philosophy Renewed Hope in a Jar
มาครบเดือน(บางตัวเกินเดือน)

ผลลัพธ์ที่ได้สำหรับเค้านะเห็นชัดคือความอิ่มฟูของผิว
ผิวมันดูเฟิร์มๆแน่นๆซึ่งผิวที่ชุ่มชื่นดีนี่แหละทำให้รูขุมขนดูเล็กลง


อ้อสิ่งหนึ่งที่ตอนแรกเค้าแอบกังวลกับไลน์นี้คือมี AHA ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว
คือปกติผิวเค้าแห้งจะไม่ค่อยกล้าใช้เพราะรู้สึกจะทำให้ผิวแห้งลง
แต่พอเทสเนื้อครีมแล้วลองใช้มาสักพักผิวปกติดีไม่ระคายเคืองแต่อย่างใด
ผลที่ได้คือช่วยให้เท็กซ์เจอร์ผิวเรียบเนียนขึ้นลูบแล้วดูสมูทขึ้น
แต่การใช้สกินแคร์ในกลุ่มที่มี AHA แม้จะมีความเข้มข้นต่ำ
ก็ยังแนะนำว่าควรทากันแดดและเลี่ยงแดดได้ก็จะดี
ซึ่งในความจริงแล้วเราก็ควรทาทุกวันอยู่แล้วเนอะดูแดดบ้านเราสิคะคุณขา

เอาว่าจัดเป็นไลน์ที่ช่วย Maintain ผิวให้ดูมีสุขภาพดีไปเรื่อย
ซึ่งเราสามารถใช้มิกซ์กับสกินแคร์อื่นๆที่เรามีอยู่ได้
เค้าเองก็มิกซ์สลับกับพวกเอสเซนส์/เซรั่มเอาตามปัญหาผิวแต่ละช่วง

แต่ใช้กลุ่มนี้เป็นตัวหลักในการให้ความชุ่มชื่นผิวจ้า

***สกินแคร์ทุกตัวในไลน์นี้มี AHA และน้ำหอม (ยกเว้นอายครีม)
ใครผิวบอบบางระคายเคืองง่ายแนะนำให้ป้ายเทสหลังใบหู
ทิ้งไว้ซัก 24-48 ชั่วโมงก่อนแล้วสังเกตอาการดู
เพราะอาการแพ้เป็นเรื่องส่วนบุคคลเค้าตอบให้ไม่ได้จริงๆว่าจะแพ้หรือไม่อ่านะ


------------------------------------------------------------------------------------

สุดท้ายขอฝากไว้ว่าการทามอยส์เจอร์สำคัญมากถึงมากที่สุด
ไม่ได้แปลว่าต้องผิวแห้งเท่านั้นถึงจะต้องใช้
เพราะความชุ่มชื่นกับความมันไม่เกี่ยวกัน
หลายคนพยายามแก้ปัญหาผิวอย่างด้วยด้วยการใช้พวกเซรั่มเข้มข้น
แต่ละเลยการใช้มอยส์เจอร์เพราะรู้สึกว่ามันจะเหนอะจะเยิ้ม

พวกเซรั่มช่วยบำรุงได้ลึกจริงแต่เนื้อจะบางเบา
ไม่ได้เน้นในการเติมความชุ่มชื่น หรือช่วยกักเก็บความชุ่มชื่นไว้เท่าไหร่
เพราะอันนั้นเป็นหน้าที่ของมอยส์เจอร์เลย ดังนั้นถ้าอยากบำรุงผิวให้ครบจริง
ขั้นสุดท้ายมอยส์เจอร์อย่าลืมเด็ดขาด จะทำให้เห็นความเปลี่ยนแปลงของผิวได้ชัดเลย
ยิ่งใครมีปัญหารูขุมขนนะต้องลองพอผิวชุ่มดีรูขุมขนที่เคยเบิกบานจะแคบลงฮะ

ใครอยากลองไปเทสกันได้ที่เคาท์เตอร์ Philosophy ทุกสาขาตามนี้จ้า
พารากอน (ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์) ชั้น M, เอ็มโพเรียม ชั้น M,
เซ็นทรัลลาดพร้าว ชั้น1, เซโฟร่า สยามเซ็นเตอร์ ชั้น 1,
เซโฟร่า เซ็นทรัลเอ็มบาสซี่ ชั้น 2, เซโฟร่า เซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 2,
เซโฟร่า เอ็มควาเทียร์ ชั้น G และ เซโฟร่า เมกาบางนา ชั้น 1


-----------------------------------------------------------------------------

Disclaimer : Sponsored Content by Philosophy
Information : https://www.facebook.com/philosophyThailand




 

Create Date : 16 กันยายน 2558    
Last Update : 16 กันยายน 2558 1:46:00 น.
Counter : 16368 Pageviews.  

Preview : Skindom Angels Bifida 100% Ampoule & Luxury Cell Collagen Peptide Ampoule



สวัสดีค่าบล็อคนี้มีพรีวิวสกินแคร์มาฝากกัน
กับแบรนด์ Skindom : สกินดอม

ทางแบรนด์บอกมาว่าเป็นสกินแคร์ระดับพรีเมียมสัญชาติเกาหลี
ซึ่งใช้ในคลินิคผิวและศูนย์ความงามชั้นนำในบ้านเค้า
กว่าสองหมื่นแห่ง และใช้กันมายาวนานกว่า 14 ปีแล้ว
ด้วยความที่เค้าใช้ในคลินิคหน้าตาเลยออกแนวขวดยานิดนึงเนอะ

สองไอเท็มที่หยิบมาพรีวิวให้ชมกันเป็นตัวนางเอกของเค้า
ที่เหมาะกับการใช้คู่กันจะให้ผิวดูฉ่ำวาวแบบสาวเกาหลี ไปทำความรู้จักกันเลยจ้า



Skindom
Angels Bifida  100% Ampoule


ขนาด   30 ml ราคา  1,290 บาท

แอมเพิล (Super Serum) บำรุงผิวตอนกลางคืน
ด้วยสารสกัดจากการหมักบ่ม บิฟิด้า 100% (Bifida)
ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ (Anti-Oxidant)
เพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว และปรับสีผิวให้กระจ่างใส

เหมาะสำหรับผิวที่มีริ้วรอย แห้งกร้าน สีผิวไม่สม่ำเสมอ

-----------------------------------------------------------------------------------

Skindom
Luxury Cell Collagen Peptide Ampoule


ขนาด   30 ml ราคา  1,290 บาท

แอมเพิลสูตรเข้มข้นที่มีส่วนผสมของคอลลาเจน เปปไทด์
ช่วยบำรุงผิวด้วยคุณสมบัติ 7 ประการ ได้แก่

1.ลดเลือนริ้วรอย
2.เพิ่มความยืดหยุ่น
3.ผิวเงาเป็นประกาย
4.กระชับรูขุมขน

5.ผิวดูอ่อนกว่าวัย
6.ควบคุมความมัน
7.ผิวนุ่มชุ่มชื่น

เหมาะสำหรับผิวหย่อนคล้อยไม่กระชับมีริ้วรอย

***มีจำหน่ายที่
: Watsons ทั่วประเทศ , EVEANDBOY (สยาม) ,
เคาน์เตอร์แบรนด์ The Mall งามวงศ์วาน
และอนาคตจะมีอีกหลายๆสาขาในเซ็นทรัลตามมาเร็วๆนี้จ้า


***ทางแบรนด์ใช้คำเรียกผลิตภัณฑ์ว่า แอมเพิล (Ampoule)
อันนี้เป็นคอนเซ็ปต์ของเค้าว่าเป็นนวัตกรรม Super Serum
ในการใช้สารที่มีโมเลกุลเล็ก ทำให้ดูดซึมได้ดีและลงได้ลึกจ้า




Skindom
Angels Bifida  100% Ampoule


วิธีใช้
: ใช้ 2-3 หยด ทาทั่วใบหน้าก่อนนอน
แต่จริงๆแล้วก็สามารถใช้ตอนกลางวันได้ด้วยเน่อ
แนะนำให้ลองใช้กลางคืนดูก่อนเพราะเป็นสารสกัดเข้มข้น 100%
ด้วยความที่เข้มข้นสูงถ้าผิวบอบบางอาจจะระคายเคืองได้
แต่ส่วนตัวเค้าผิวปกติใช้เช้าและก่อนนอนไม่มีปัญหาจ้า

เสต็ปการใช้คือใช้หลังล้างหน้าเป็นขั้นตอนแรกเลย
เพราะเนื้อเค้าใสมากถ้าลงหลังสกินแคร์อื่น
ส่วนผสมจากสกินแคร์ที่ลงไปก่อนหน้าจะเคลือบผิว
ทำให้ซึมได้น้อยลง ใครงงเรียงเอาง่ายๆตัวไหนเหลวกว่าทาก่อนจบ! Smiley

เนื้อและกลิ่น : เนื้อใสกริ๊งเหลวแบบน้ำเปล่าเลย
ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ให้ฟิลเหมือนเอสเซนส์น้ำตบ



ส่วนผสม : Bifida Ferment Filtrate
สั้นๆคำเดียวจบ ไม่มีส่วนผสมของพวกสารกันเสียค่ะ

***หลังเปิดใช้ ควรใช้ให้หมดภายใน 6 เดือน



มาทำความรู้จักกับสารสกัด Bifida กันสักนิด

Bifida คือแบคทีเรียแกรมบวกชนิดหนึ่งที่พบในร่างกายของเรา
อย่างในลำไส้ใหญ่ ซึ่งจะช่วยย่อยกากอาหาร
และดูดซึมสารอาหารดีๆเข้าสู่ระบบหมุนเวียนโลหิต

Bifida Ferment Filtrate คือสารสกัดที่ได้จากการ
นำแบคทีเรีย Bifida ไปหมักแล้วสกัดสารที่เป็นประโยชน์ออกมา
เป็นส่วนผสมที่สามารถพบได้ในเคาท์เตอร์แบรนด์ดังๆหลายตัว
อย่างลังโคม , เอสเต้ ฯลฯ ซึ่งจากการทดลองพบว่า
สามารถช่วยซ่อมแซมฟื้นฟูผิวได้ในระดับ DNA
กระตุ้นให้ผิวเกิดการสร้างคอลลาเจนได้มากขึ้น
ลดความเสียหายของผิวจากการถูกทำลายของรังสี UV
ให้ความชุ่มชื่นและช่วยให้โครงสร้างผิวแข็งแรงขึ้น
จึงเหมาะกับการเป็น Night Repair
เพราะกลางคืนเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายฟื้นฟูผิวนั่นเอง



Skindom
Luxury Cell Collagen Peptide Ampoule


วิธีใช้ : แบรนด์แนะนำให้ใช้ 1-2 หยดทาทั่วหน้าและคอ
สามารถใช้ได้ทั้งตอนเช้าและก่อนนอน
ขั้นตอนการใช้ถ้าใช้คู่กับบิฟิดาคือให้ลงตัวนี้หลังบิฟิดา
แล้วค่อยตามด้วยเซรั่มและมอยส์เจอร์ไรเซอร์
เอาว่าเหมือนเดิมถ้างง เรียงตามความเข้มข้นเอาเนอะ

เนื้อและกลิ่น : เนื้อใสๆมีความข้นเล็กน้อยประมาณเนื้อเจล
เท็กซ์เจอร์บนผิวเกลี่ยแล้วจะลื่นๆ เกลี่ยง่าย
มีส่วนผสมของน้ำหอม แต่เป็นแค่กลิ่นอ่อนๆ หลังทามีกลิ่นติดผิวจางๆ

***เนื้อมีความหนืดเวลาดึงดรอปเปอร์ออกมา
จะมีเนื้อติดรอบๆตัวดรอปเปอร์ทำให้เวลาปิดฝากลับเข้าไป
มันจะเยิ้มรอบๆฝาขวดง่าย ดังนั้นก่อนดึงดรอปเปอร์ออกจากขวด
แนะนำให้ปาดๆเนื้อผลิตภัณฑ์ส่วนเกินออกก่อนจ้า



ส่วนผสม : ส่วนผสมหลักที่แบรนด์เน้นมาเป็นจุดขายคือ

• สารสกัดจากการหมักถั่ว
(ฺBasillus/Soybean Ferment Extract
และ Lactobasillus/Soybean Ferment Estract)

เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้ผิวแข็งแรง
ลดเลือนริ้วรอย รวมถึงช่วยเรื่องกระจ่างใสด้วย

• Adenosine ช่วยชะลอและลดเลือนริ้วรอย

• Tripeptide-29 เปปไทด์สายสั้นของคอลลาเจน
ที่สามารถดูดซึมได้ดี ช่วยให้ผิวยืดหยุ่นลดเลือนริ้วรอย
(ซึ่งทางแบรนด์แจ้งว่ามีปริมาณ Peptide สูงถึง 30mg.)

• Portulaca Oleracea Extract : เพิ่มความชุ่มชื่นลดการระคายเคือง

นอกจากนี้ก็มีสารสกัดจากธรรมชาติที่ช่วยเรื่องต้านอนุมูลอิสระ
และสารในกลุ่มให้ความชุ่มชื่นอย่างพวก Sodium Hyaluronate

*มีส่วนผสมของน้ำหอม แต่ไม่มีแอลกอฮอล์ ไม่มีพาราเบน

**
ได้รับการรับรอง KFDA ซึ่งย่อมาจาก
 Korea Food & Drug Administration
คือ หน่วยงานหลักของรัฐบาลเกาหลีที่ควบคุมคุณภาพ
และความปลอดภัยอาหารและยา


***หลังเปิดใช้ ควรใช้ให้หมดภายใน 6 เดือน



ลองใช้บนผิวหน้าเค้าลงตัวบิฟิดาแอมเพิลก่อน
โดยใช้เป็นตัวแรกหลังล้างหน้าเลย
เค้าบอกให้ใช้ 2-3 หยด แต่นี่ก็หนักมือน่าจะ 4-5 หยดได้หล่ะ 555
เนื้อเหมือนน้ำเปล่าทาแล้วซึมไว ไม่หนืด ไม่เหนอะ 
แต่จับผิวหลังทาผิวจะนุ่มขึ้นเล็กน้อย

จากนั้นก็ลงพวกเอสเซนส์น้ำตบที่ใช้อยู่ตามปกติ
แล้วค่อยใช้เปปไทด์แอมเพิลลงก่อนทาเซรั่ม
เนื้อตัวนี้มีจะดูมีความหนืดแต่เกลี่ยบนผิวง่ายเพราะเนื้อลื่น
เค้าทาหลังใช้เอสเซนส์จัดว่าซึมโอเคแต่ต้องใช้เวลานิดนึง
ถ้าใช้เป็นเสต็ปหลังบิฟิดาเลยอันนี้จะซึมไวกว่า
แต่เสต็ปเค้าเยอะผิวแห้งชอบโบก อิอิ

หลังทาเปปไทด์แอมเพิลผิวจะเรียบลื่นขึ้น
ให้ความชุ่มชื่นใช้ได้เลยนะ ถ้าผิวมันจะใช้อันนี้เดี่ยวๆก็น่าจะไหว
แต่เค้าผิวแห้งก็เลยลงเซรั่มและโบกมอยส์เจอร์ตาม
เพราะเนื้อมันบางเบามากทาเดี่ยวๆระหว่างวันเอาความแห้งหน้าเค้าไม่อยู่



สรุปความรู้สึกหลังลองเทส......จุดเด่นน่าจะเป็นเท็กซ์เจอร์ที่โดนใจคนไทยเลย
เพราะไม่เหนียว ไม่เหนอะ ทาแล้วรู้สึกสบายหน้า
ใช้คู่กันสัมผัสได้หลังทาว่าผิวหน้าจะนุ่มและเรียบขึ้นลูบแล้วรู้สึกดี

ส่วนผสมโดยรวมทั้งคู่เน้นใส่ส่วนผสมของสารสกัดจากธรรมชาติ
ไม่มีสารที่ก่อความเสี่ยงให้เกิดการระคายเคือง
อย่างสารกันเสีย แอลกอฮอล์ สี (เปปไทด์แอมเพิลมีน้ำหอม)
แต่อย่างไรก็ตามสารสกัดจากธรรมชาติก็มีความเสี่ยงที่จะแพ้ได้
ถ้าไงก็ลองเทสดูก่อนก็ดีกว่าเนอะ
ป้ายไว้หลังใบหูซัก 24-48 ชั่วโมงแล้วสังเกตอาการเอา
พวกน้ำหมักนี่ต้องลองเองถ้าถูกกะผิวจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนจ้า

ขอบคุณ Skindom ที่ส่งผลิตภัณฑ์มาให้ทดลองนะคะ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาเยี่ยมชมล่วงหน้าด้วยค่า Smiley

-----------------------------------------------------------------------------

Disclaimer : Sponsored Content by
Skindom
Information : //www.skindom.co.th/

https://www.facebook.com/SkindomThailand




 

Create Date : 11 กันยายน 2558    
Last Update : 12 กันยายน 2558 23:32:25 น.
Counter : 10383 Pageviews.  

Review : นั่งจิ้มแอพเรียกรถสวยๆแบบไม่ต้องมายืนโบก กับ GrabCar รถบ้าน งานดี จ่ายสด ไม่ง้อบัตรเครดิต!



ชาวกรุงเทพทั้งหลาย.....คุณกำลังประสบปัญหาเรียกรถยากอยู่ใช่หรือไม่?
ตอบแทนได้เลยว่า "ยากมากกกกก" (ก.ไก่ล้านตัว)
ไหนจะต้องยืนเรียกรถท่ามกลางอากาศสามสิบองศาปลายๆ
 รอก็นานกว่ารถจะผ่านมาคันนึง มีรถผ่านมาถามว่าจะได้ไปไหมต้องลุ้นอี๊ก
พี่เค้าจะส่งรถไหมน้อ เราไม่ใช่ฝรั่งเค้าจะรับไหมน้อ
โฮ้ยเยอะอ้ะ รอโบกแท็กซี่นี่เดินเอาไวกว่า Smiley

แต่วันนี้ปัญหาของคุณรวมถึงปัญหาของอิชั้นจะหมดไป
ด้วยแอพเรียกรถที่เราคุ้นเคย GrabTaxi เจ้าเดิมแต่เพิ่มเติมคือบริการใหม่
ที่ชื่อว่า GrabCar ซึ่งบอกเลยว่าได้ลองแล้วขออุทานว่า.....เหยมันเริ่ดอ้ะ!
อยากรู้ว่ามันเริ่ดอย่างไรประทับใจอิเจ้ตรงไหนตามไปชมกันเล้ยยย



สิ่งแรกที่ต้องมีถ้าต้องการใช้ GrabCar ก็คือสมาร์ทโฟน
จะ ios หรือ Andriod ได้หมดไม่จำกัดค่าย
เข้าไปโหลดแอพลิเคชั่น GrabTaxi มาโลด
เมื่อเปิดแอพขึ้นมาครั้งแรกเค้าจะให้เราทำการ Register
โดยจะใช้ ชื่อ - อีเมล - เบอร์โทรศัพท์  ในการลงทะเบียน
โดยเค้าจะส่งSMSหมายเลข Activation Code มาที่เบอร์มือถือของเรา
กรอกเลขลงไปก็เป็นอันเรียบร้อยใช้งานได้ละจ้า



มาถึงขั้นตอนเรียกรถปกติที่เคยๆใช้ๆกันจะใช้เรียกแท็กซี่ชิมิ
เริ่มต้นก็พิมพ์จุดหมายปลายทางไปเหมือนกัน
แต่อันนี้ให้เลื่อนตรงแถบล่างเหนือคำว่า Next ไปทางซ้าย
จะพบฟีเจอร์ใหม่ >>> GrabCar(Economy) และ GrabCar+(Premium)

นี่หล่ะคือความใหม่ของ 
GrabTaxi ที่เราสามารถใช้เรียกรถลีมูซีนมารับได้แล้ว
ซึ่งก็คือรถยนต์แบบส่วนบุคคลนั่นเองโดยเค้าจะแบ่งคลาสของรถเป็น 2 แบบ

สำหรับ Economy จะเป็นรถเล็กหน่อยประมาณ Eco Car
เช่น Vios , Altis , Jass , Pirus , Fiesta , Masda 2/3 , Freed ฯลฯ

ส่วน
Premium ก็จะได้เป็นรถไซส์ใหญ่ขึ้นมา
เช่น Camry , Accord , Fortuner , Pajero , Teana ฯลฯ
ใครฟลุ้คนี่มีลุ้นเรียก Benz กับ BMW รุ่นที่ไม่ต่ำกว่าปี 2009 ด้วยนะเออ!

ราคาของ GrabCar จะคำณวนออกมาให้เลยเสร็จสรรพ
ไม่ต้องรอลุ้นมิเตอร์แบบเรียกแท็กซี่ โดยราคาของ
Premium จะแพงกว่าหน่อย
เค้าลองเทียบดูถ้าระยะทางประมาณ 5 กม.ราคาจะสูงกว่าประมาณ 40 บาท

นอกจากการเรียกรถ ณ ปัจจุบันทันด่วน
เราสามารถกรอกวันที่และเวลาเพื่อเรียกจองรถไว้ล่วงหน้าได้ด้วย
โดยสามารถจองล่วงหน้าได้ถึง 7 วัน!

รูปถุงเงินภาพกลางอันนี้คือทิปกรอกได้ตามอัธยาศัย
ส่วนช่อง Promo Code ถ้ามีโค้ดส่วนลดก็กรอกได้เลย
ซึ่งเค้าจะมีปล่อยโปรออกมาเรื่อยๆตามไปดูได้ที่
https://www.facebook.com/GrabTaxiTH

กรอกครบแล้วก็กด Confirm Booking แล้วนั่งรอได้เลย
ระบบจะทำการเสิร์ชหารถที่อยู่บริเวณใกล้เคียงจุดตั้งต้นของเรา



ตารางเรทราคาค่าโดยสาร

GrabCar(Economy) และ GrabCar+(Premium)



เมื่อมีรถกดรับงานก็จะขึ้นโชว์ว่า Driver Assigned เย้!
ซึ่งเค้าจะแจ้งรายละเอียดเราครบเลย
ไม่ว่าจะเป็นทะเบียนรถ รุ่นของรถ ชื่อคนขับ
ตำแหน่งของรถ ณ ปัจจุบัน และระยะเวลาที่จะมาถึงจุดที่เราอยู่


โดยจะแจ้งเรทราคาตายตัวเป๊ะๆพร้อมบอกว่าจ่ายเป็นเงินสด-Cash
ซึ่งอันนี้เค้าปลาบปลื้มมากไม่ต้องผู้บัตรเครดิตให้วุ่นวาย สะดวกดีแท้

เมื่อในแอพแจ้งว่าได้รถ ไม่ถึงนาทีจะมีโทรศัพท์จากพี่คนขับโทรเข้ามา
แจ้งว่ารับงานแล้วและตอนนี้อยู่ที่ไหนกำลังจะไปถึงจุดที่เราอยู่ในเวลาประมาณกี่นาที
และเมื่อเค้ามาถึงก็จะโทรแจ้งเราอีกที
แหล่มเลยแค่จิ้มแอพแล้วนั่งรอตากแอร์ตากพัดลมอยู่ห้องสวยๆก็ได้รถ
ไม่ต้องลากสังขารเดินไปถนนใหญ่เพื่อโบกรถแล้วเว้ยยยย



ลองใช้ครั้งแรกจัด
GrabCar+(Premium) มาเลยจ้า
และรถที่เค้าเรียกได้ก็คือ Fortuner นั่นเอง
นั่งคนเดียวจะเอารถใหญ่ไปไหน555 เอาน่าลองๆ



คือฟิลดีอ้ะ ได้นั่งรถส่วนตัวแบบมีคนขับ
ให้ความรู้สึกเป็นคุณนายเบาๆ Smiley
แฟนไม่อยู่อิเจ้ก็ไม่ง้อละชริส์!



รถภายในสะอาดสะอ้านดีไม่มีกลิ่นอับหรือกลิ่นน้ำหอมกวนใจ
พี่คนขับน่ารักพูดจาสุภาพมาก
นี่ก็ขออนุญาตพี่เค้าถ่ายรถด้านนอกและด้านใน
แจ้งพี่เค้าเรียบร้อยว่าขอเอาไปเขียนคอนเทนท์นะค้า
พี่เค้าบอกตามสบายเลยครับขอแค่ไม่เห็นหน้าก็พอ อิอิ

นั่งไปถ่ายรูปไปจนถึงที่หมายพี่คนขับไม่ว่าแต่อย่างใด
ค่ารถ 140 บาท ทิปเพิ่มไปอีก 60 บาท ค่านายแบบคน/รถ
และความอดทนนั่งฟังเสียงชัทเตอร์ตลอดทาง...ขอบคุณมากนะค้า




วันนี้ธุระเยอะเดินทางหลายที่เลยลองเทสอีกที
ดูซิว่าเปลี่ยนทำเลจะหารถง่ายไหม
รอบนี้เปลี่ยนเอา
GrabCar(Economy) คันเล็กๆพอ

รถถือว่าเยอะใช้ได้เลยนะ 10-20 คัน Driver Nearby
ส่วนตัวเค้าเคยใช้ GrabTaxi เหมือนรถจะน้อยและต้องรอรถนานกว่าหน่อย
ถ้าไม่มีปัญหาเรื่องค่าโดยสารเรียก GrabCar เอาไวว่องกว่าจริงๆนะ
ใช้เวลาในการรอหลังกดเรียกรถไม่ถึง 5 นาทีได้รถเลย



และนี่คือ
GrabCar(Economy) ที่เรียกได้
Innova จร้าาา....เดี๋ยวนะรถเล็กตรงไหน เป็นรถ 7 ที่นั่งมะใช่หราาาา Smiley



สบายเลยเบาะกว้างกลิ้งเกลือกได้
ถ้ามีของพะรุงพะรังมาด้วยนี่อย่างคุ้ม
นี่ก็ขออนุญาตถ่ายรถเหมือนเดิมพร้อมทิปค่านายแบบไป

ลองนั่งสองครั้งเจอพี่คนขับสุภาพทั้งคู่
ระหว่างนั่งก็ชวนคุยสัมภาษณ์พี่เค้าไปด้วย
สองคันที่นั่งนี่ขับมากันประมาณ 3 สัปดาห์

พี่เค้าก็เล่าให้ฟังว่าใครๆก็สามารถสมัครเป็น GrabCar ได้
ขอแค่มีใบขับขี่ จะเป็นใบขับขี่สาธารณะหรือส่วนบุคคลก็ได้
ถ้าเป็นแบบส่วนบุคคลจะต้องรอเรื่องหน่อย
เพราะทาง
GrabCar จะนำไปเช็คประวัติอาชญากรรมก่อน

เมื่อทุกอย่างผ่านก็สามารถทำงานได้โดยต้องมีรถ
และสมาร์ทโฟนที่เป็น Android (ตอนนี้ยังไม่รองรับ ios เน่อสำหรับคนขับ)
ซึ่งเค้าจะทำการเติมเงินเข้าไปในแอพ ทุกครั้งที่รับผู้โดยสารแอพก็จะหัก 15%
แต่ทางคนขับก็จะได้รับเงินสดจากผู้โดยสารทันที เค้าว่าก็แฟร์ดีนะ
อยากจะรับคนเมื่อไหร่ก็เปิดแอพ ขี้เกียจก็ปิดแอพไป คืออยากทำงานเมื่อไหร่ก็ได้

ส่วนใหญ่ที่มาขับกันก็มีงานประจำ แต่ใช้จุดนี้เป็นรายได้เสริม
อย่างเวลาเช้าต้องออกไปทำงานก็เปิดแอพดูถ้ามีคนไปทางเดียวกัน
ก็สามารถเลือกรับได้ เก๋จะตายได้ตังใช้ก่อนไปทำงานประจำ
นี่ถ้าขับรถเป็นสมัครไปละ ตะลอนๆทั่วกรุงออกอีเวนท์อย่างบ่อย
เดือนนึงอิเจ้ก็น่าจะได้หลายบาท.....แต่ขับรถไม่เป็นข่าาาา Smiley



ในแอพเราสามารถเช็คประวัติการใช้รถย้อนหลังได้ด้วย
ซึ่งก็ค่อนข้างเซฟดีมีทะเบียนรถเบอร์ติดต่อเสร็จสรรพ
หมดปัญหาลืมของทิ้งไว้บนรถไปได้เลยตามตัวง่าย
และอ้อที่เค้าให้กรอกอีเมลตอนสมัคร
ก็เพราะว่าเค้าจะส่งใบเสร็จแบบ E-Reciept มาให้เรานั่นเอง
รวมถึงเวลามีโปรโมชั่นส่วนลดก็จะได้รับทางเมลด้วยฮะ



สรุปความพอใจ


ข้อดี

- ใช้งานง่ายมากกกโลว์เทคอย่างอิชั้นใช้ได้ทุกคนก็ใช้ได้

- ปริมาณรถค่อนข้างเยอะเมื่อเทียบกับการเรียกแท็กซี่

- คนขับไม่ค่อยเลือกงานรับงานไวไม่ต้องรอนาน
(พี่คนขับแอบบอกมาระยะทางสั้นๆในเมืองคนขับจะชอบ)

- ปลอดภัยดีแจ้งรายละเอียดคนขับและรถครบถ้วน
ซึ่งเราสามารถกดแชร์ตำแหน่งและรายละเอียดรถไปทางไลน์
ให้ครอบครัว แฟน เพื่อน รับทราบระหว่างรถได้ด้วยนะ

- ราคาโอเคเลยรับได้ไม่สูงเว่อร์ และเป็นราคาตายตัวเตรียมเงินง่าย
รถจะติดแค่ไหนก็ไม่ต้องกังวลว่ามิเตอร์จะพุ่ง

- ที่ชอบที่สุดของที่สุดคือจ่ายเป็นเงินสด มันง่ายสะดวกไม่วุ่นวายดี
เค้าไม่ค่อยโอเคกับการเอาบัตรเครดิตไปผูกคาไว้เท่าไหร่

ข้อเสีย

- เบอร์โทรเราจะโชว์ให้คนขับเห็นซึ่งทำให้รู้สึกไม่ค่อยเป็นส่วนตัว
และอาจเกิดปัญหาที่คาดไม่ถึงตามมาได้ อย่างเค้าเจอคนแชร์ๆกันมาเคสนึง
คือเบอร์ที่คนขับคุยกับเราเค้าอาจเมมเบอร์ไว้สำหรับรับงานครั้งหน้า
แต่พอเมมเบอร์มันดันไปขึ้นใน Line ด้วยทำให้แฟนของคนขับเข้าใจผิดว่าเราเป็นกิ๊ก
โอ้วกลายเป็นปัญหาชู้สาวซะงั้น แต่เคสแบบนี้ก็คงส่วนน้อยแล้วแต่แจ็กพ็อตหล่ะ แหะๆ

- หลายคนใช้แอพเทือกๆนี้ แล้วมีบางคนว่าเจอรถไม่ดีไม่สะอาด
คนขับไม่สุภาพ ซึ่งอันนี้พูดยากมันเป็นที่ตัวบุคคลเนอะ ก็ลุ้นเอา
แต่ของ GrabCar ถ้าเจอปัญหาแบบนี้โทรแจ้งศูนย์ได้เลยที่

Call Center : 02-0212500 ได้ตลอด 24 ชั่วโมงจ้า

สรุปเอาว่า ณ จุดนี้อิเจ้ขอให้คะแนนไปที่ 9.25/10 
หักไว้ในส่วนของเรื่องโชว์เบอร์โทรเนอะ
ถ้าอนาคตมีการปรับปรุงไม่ให้โชว์เบอร์ได้จะดีงามมาก

------------------------------------------------------------------------------------

รายละเอียดเพิ่มเติมเข้าไปชมหรือสอบถามได้ที่

https://www.facebook.com/GrabTaxiTH

//grabtaxi.com/bangkok-thailand-th/


ขอบคุณ GrabCar ที่แนะนำบริการดีๆมาให้ลอง
ประสบการณ์ทั้งหมดที่นำมาเขียนเกิดจากการลองของเค้าเองโดยตรง
หวังว่าจะเป็นประโยชน์ให้ทุกคนที่กำลังท้อแท้กับการเดินทางในกรุงเทพนะค้า Smiley




 

Create Date : 07 กันยายน 2558    
Last Update : 11 กันยายน 2558 2:27:58 น.
Counter : 5008 Pageviews.  

Review : Mille CC Cream 6-in-1 Multi-Function สองสูตรล่าสุด Silky เอาใจผิวมัน & Glowing ผิวฉ่ำวาว



สวัสดีค่าสาวๆบล็อคนี้มีรีวิว CC Cream มาฝากกัน
แต่ก่อนจะชมรีวิวมาทำความรู้จักกันก่อนซักนิดเนอะ
ว่า CC คืออะไร? เพราะหลายๆคนยังสับสนกันอยู่บ้าง Smiley

CC Cream ย่อมาจาก Color Control หรือ Color Correcting Cream
คุณสมบัติก็ตามชื่อคือเน้นในการปรับสีผิวของเราให้สม่ำเสมอยิ่งขึ้น
ส่วนผสมจะคล้ายกับ BB Cream คือมี เบส + รองพื้น + สกินแคร์ + สารกันแดด
แต่จะมีเพิ่มเติมมาคือ สารที่ช่วยควบคุม-ปรับสีผิว (Color Controller) นั่นเอง

จุดเด่นที่ทำให้ CC แตกต่างก็คือเค้าทำมา
เพื่อแก้ปัญหาการใช้เบสเมคอัพและสีดรอปหน้าหมอง
ระดับการปกปิดส่วนใหญ่จะเน้นบางเบามาก
แทบไม่ปกปิดแต่ช่วยให้ผิวดูนวลขึ้นแบบเป็นธรรมชาติ
เหมาะกับคนที่ต้องการลุคใสๆ และอยากให้หน้าดูไบร์ทขึ้นจ้า

ได้ทำความรู้จักกับ CC Cream กันไปแล้วทีนี้ไปชมรีวิวกันเล้ยยย Smiley



Mille CC Cream
6-in-1 Multi-Function SPF30/PA++


ขนาด 30 g ราคา 695 บาท

มีจำหน่ายที่ https://www.millebeaute.com
เคาท์เตอร์ Mille ใน Beauty Hall ห้างพารากอน
และร้านตัวแทนจำหน่ายคลิกดูสาขาได้ที่ >>> CLICK <<<



ข้อมูลผลิตภัณฑ์ตามคำเคลมของแบรนด์

 นวัตกรรมใหม่ตอบโจทย์ความต้องการแห่งผิวสวยรวดเร็วในหนึ่งเดียว
ด้วย CC Cream ที่มาพร้อม 2 คุณสมบัติเด่น
ปกปิดผิวสวยให้เรียบเนียนใส และช่วยปรับสีผิวให้สวยกลมกลืนกันอย่างเป็นธรรมชาติ
โดดเด่นด้วยเนื้อสัมผัสที่บางเบา เกลี่ยง่าย พร้อมปกป้องผิวจากรังสียูวี


Made in Korea

-------------------------------------------------------------------------------

มีด้วยกัน 2 สูตร เหมาะกับความต้องการในแต่ละวัน



No.​01 #Silky ขาวเนียน (ฝาชมพู)


No.02 #Glowing ขาวแบบมีออร่า
(ฝาส้ม)




CC สองสูตรจะหน้าตาคล้ายกันมาก
ต่างแค่สีที่ลายบนหลอดและฝาหลอด
เวลาจะเลือกใช้ก็สังเกตดีๆก่อนเน่อ

จะเห็นว่าที่ฝาหลอดทำเป็นลายกุหลาบ
อันนี้เป็นคอนเซ็ปต์ของแบรนด์เลย
ดีไซน์ของเค้าจะเป็นลายกุหลาบหรือมีกลิ่นกุหลาบ
เพราะส่วนผสมหลักในการบำรุงผิวที่เค้าใส่มาในแทบทุกผลิตภัณฑ์คือ
 Bulgaria Rosa Damascene Flawer Water
สารสกัดจากน้ำกุหลาบบัลแกเรีย
ที่ช่วยฟื้นฟูผิวที่เสื่อมสภาพให้ผิวเนียนเรียบกระจ่างใส



เปรียบเทียบเนื้อ CC  Cream ทั้งสองสูตร

No.​01 #Silky
สูตรนี้จะเน้นเรื่องความขาวเนียนปราศจากความมัน
เหมาะกับคนผิวค่อนข้างมัน ชอบลุคผิวแมทท์ๆ

No.02 #Glowing
สูตรนี้เน้นเรื่องความขาวแบบออร่าคือเน้นความฉ่ำวาว
เนื่องจากมีส่วนผสมของกลิตเตอร์ละเอียด

------------------------------------------------------------------------

ลักษณะเนื้อและกลิ่น

เนื้อ CC Cream ทั้งสองสูตรบีบออกมาจะเป็นเนื้อสีขาวเหมือนกัน
แต่เมื่อเกลี่ยไปบนผิวจะค่อยเปลี่ยนเป็นสีเนื้อและกลืนเข้ากับสีผิวของเรา
โดยจะช่วยปรับสีผิวเราให้ดูสว่างขึ้นเล็กน้อย
ส่วนตัวเค้าผิวขาวเหลืองใช้ได้ไม่มีปัญหาสีไม่ชมพูหรือไม่เหลืองไป
แต่ถ้าผิวสองสีหรือผิวเข้มเค้าว่าใช้ในปริมาณน้อยๆ
หรือใช้ทาเน้นเฉพาะในจุดที่อยากให้ไฮไลท์ให้หน้าดูผ่องเด้งน่าจะเวิร์คกว่าฮะ

ลักษณะเนื้อจะข้นมีความหนืด แต่สามารถเกลี่ยไปบนผิวได้ไม่ยาก
ไม่มีความมัน ไม่เหนอะหนะ จัดว่าค่อนข้างแห้ง
ดังนั้นแนะนำว่าไม่ควรแต้มห้าจุด ให้แต้มและเกลี่ยไปทีละจุด
จะทาง่ายและทำให้ได้ผิวที่ดูสวยเรียบเนียนกว่าจ้า



จากรูปบนเค้าถ่ายในแสงธรรมชาติอาจดูไม่ต่างมาก
แต่ภาพนี้ถ่ายใต้แสงไฟจะเห็นความต่างของสองสูตรชัดขึ้นเนอะ
คือสูตร
No.02 #Glowing จะดูวาวๆดูเป็นมุกๆมากกว่า
สังเกตดีๆจะเห็นกลิตเตอร์ละเอียดๆผสมอยู่
ซึ่งให้ผิวดูฉ่ำขึ้นแต่ไม่ได้ดูวาวเว่อร์และไม่ได้เน้นรูขุมขนให้ดูใหญ่ขึ้นฮะ



วิธีใช้ CC Cream จะลงหลังจากทาสกินแคร์และกันแดดเรียบร้อยแล้ว
ถึงแม้ CC Cream จะมีสารบำรุงและกันแดดอยู่แล้วเค้าก็แนะนำให้บำรุงแยกต่างหากนะ
เพราะยังไงในคสอ.มันก็อยู่ในรูปแบบที่เจือจางมา
ทาบำรุงและกันแดดต่างหากก่อนจะช่วยบำรุงผิวได้เต็มที่มากกว่า
ยิ่งกันแดดนี่ยิ่งสำคัญแดดบ้านเรารุนแรงสุดๆ
สารกันแดดในคสอ.ไม่พอจริงๆ เพราะเราใช้ทาหน้าในปริมาณน้อยมาก
แต่ถ้าวันไหนด่วนๆจริงๆทา CC Cream เดี่ยวๆก็ยังดีกว่าไม่ทาอะไรเลยเนอะ

การทาอย่างที่บอกให้แต้มและเกลี่ยไปทีละจุดจะเกลี่ยง่ายกว่า
เนื่องจากเนื้อ CC Cream ค่อนข้างแห้งไว
เวลาทาเค้าจะปาดจากด้านในกรอบหน้าออกด้านนอก
ไม่ถูวน ซึ่งการทาแบบทิศทางเดียวจะช่วยลดปัญหาสิวอุดตันได้จ้า




เทียบแบบทาบนหน้าด้านละสูตรโดยดูจากแสงธรรมชาติ

No.​01 #Silky
สูตรนี้ตามสรรพคุณคือเนียน คุมมัน และแมทท์
แต่ทาบนผิวแล้วผิวจะดูเนียนและนัวขึ้น
แต่ไม่ได้แมทท์แบบแห้งนะฮะ ผิวยังมีความเงาอยู่
น่าจะเป็นความแมทท์ในรูปแบบของคุณสมบัติที่ไม่ทำให้ผิวมัน
โดยเท็กซ์เจอร์จะยังคงดูฉ่ำสไตล์ของเกาหลีเค้าอ่าเนอะ
ซึ่งอันนี้เค้าชอบนะผิวมันจะดูเป็นผิวมีความชุ่มชื่นอยู่

แต่ส่วนจะคุมมันแค่ไหนส่วนตัวเค้าผิวแห้งตอบให้ไม่ได้เน่อ

No.02 #Glowing
เมื่อทาบนผิวมองจากแสงธรรมชาติจะดูฉ่ำกว่าสูตร Silky เล็กน้อย
แต่ถ้าออกแสงไฟก็จะดูฉ่ำวาวแบบมุกๆเหมือนรูปที่โพสไปด้านบน
ซึ่งข้อดีคือสามารถทากลางวันได้ไม่ได้ดูวาววิ้งเว่อร์แต่อย่างใด
กลิตเตอร์ผสมก็เกล็ดเล็กมากไม่ต้องกลัวจะตกร่องรูขุมขน
ส่วนตัวเค้าผิวแห้งจะชอบสูตรนี้มากกว่าสูตรแรกฮะ ผิวฉ่ำๆมีมิติดี

ระดับการปกปิด
: พอกันทั้งสองสูตรนะฮะ
เผยผิวสุดๆแทบไม่ปกปิดอะไรเลย เผยกระฝรั่งบนหน้าหมวย555
แต่ก็ช่วยให้ผิวดูนวลขึ้นเวลาทาแป้งตามแต่งหน้าเสร็จกระก็จะไม่เด่นชัดละจ้า



เทียบแบบหน้าตรงจะเห็นว่าสองด้านคล้ายกันมาก
ผิวโดยรวมดูนวลและไบร์ทขึ้นเล็กน้อยไม่ได้ทำให้ว่อก
แต่จะต่างคือระหว่างวันหล่ะ ส่วนตัวเค้าใช้ด้านโกลว์ จะฉ่ำสบายผิวดี
แต่ถ้าคนผิวมันเลือกเป็นสูตร Silky ที่ช่วยคุมมันน่าจะชอบมากกว่าฮะ



แต่งหน้าเสร็จแว๊วว.....เค้าทาตามแค่แป้งฝุ่น
จะเห็นว่ามองไกลๆกระก็ดูจางลงนะแต่ถ้าเพ่งดีๆมันก็เห็นอยู่หล่ะ
สรุปว่า CC Cream ตัวนี้เหมาะสุดสำหรับคนที่ชอบความบางเบา
อยากให้หน้าดูไบร์ทขึ้น ไม่เน้นการปกปิด
หรือใครอยากให้ดูปกปิดขึ้นแต่ยังให้ผิวเป็นธรรมชาติ
ก็ทา CC ทั่วหน้าแล้วค่อยลงคอนซีลเลอร์เฉพาะจุดเอาเน่อ



สำหรับเค้าลองทั้งวันสีไม่ดรอปไม่เป็นคราบ
ด้วยความที่เค้าผิวแห้งผลที่ได้คือหน้าไม่มันทั้งสองด้าน
แต่ระหว่างวันด้านที่ใช้สูตร Glowing จะดูฉ่ำกว่านิดหน่อยฮะ
ลองเลือกใช้ตามสภาพผิวดูเน้อ
หวังว่าบล็อคนี้จะได้เทคนิคเล็กๆน้อยๆไปกัน
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาเยี่ยมชมล่วงหน้าด้วยค่า Smiley

--------------------------------------------------------------------------------

Disclaimer
: Sponsored Content by Mille
Information : https://www.facebook.com/MilleBeaute
https://www.millebeaute.com/




 

Create Date : 04 กันยายน 2558    
Last Update : 7 กันยายน 2558 20:18:28 น.
Counter : 6120 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  

SaRaY
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 535 คน [?]




..........ชื่อ "ทราย" นะค๊า นามแฝงที่ใช้ก็มี SaRaY และก็ Mhunoiii (หมูน้อย) ค่า สนใจการถ่ายภาพ กะการแต่งหน้า จากเป็นงานอดิเรกจะกลายเป็นงานประจำอยู่แล้ว 555 เลยอยากจะทำบลอคเพื่อแบ่งปันประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้มานะค๊า ได้มากบ้างน้อยบ้าง มั่วๆกันปายยยย อิอิ

สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์
พ.ศ. 2539 ห้ามผู้ใดละเมิดไม่ว่าการลอกเลียนแบบ
หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของรูปภาพและข้อความใน
http://www.mhunoiii.bloggang.com แห่งนี้ไปใช้
ทั้งโดยเผยแพร่ หรือเพื่อการอ้างอิงโดยไม่ได้รับอนุญาต
จะถูกดำเนินคดี ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด

ปล.ห้ามมิให้นำภาพใดๆจากในบล็อคไปใช้เพื่อการขายของโดยเด็ดขาดนะคะ !!!

---------------------------------------------------------

hits
New Comments
Friends' blogs
[Add SaRaY's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.