El nou Camp Nou


The present and soon to be old [look] Camp Nou

คัมป์นู หรือกัมเนาตามที่คนคาตาลันเคยอ่านออกเสียงให้ฟัง สนามดังของเอฟซีบาร์เซโลนาโคตรทีมแห่งสเปนจะมีการยกโฉมภายนอกใหม่หมด อีกทั้งปรับปรุงพื้นที่ภายในเป็นบางส่วน โดยเพิ่มจำนวนที่นั่งอีก 1 หมื่น จาก 98,000 เป็น 108,000 ที่ เพิ่มพื้นที่ส่วนรวมและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ยกเครื่องห้องแต่งตัวของผู้เล่น ฯลฯ ผู้รับหน้าที่แปลงโฉมกัมเนาคือ Lord Norman Foster สถาปนิกมือฉมังชาวอังกฤษผู้โด่งดัง เจ้าของงานสถาปัตยกรรมมีชื่อเสียงหลายแห่ง เช่น นิวเวมบลีย์สเตเดียม ; American Air Museum ในเคมบริดจ์ สหราชฯ ; สนงใหญ่ธนาคารฮ่องกงและเซียงไฮ้ และ สนามบิน Lap Chap Kok ของฮ่องกง ; สนามบินปักกิ่ง เป็นต้น

Lord Norman Foster และ Joan La Porta ในงานเผยโฉมกัมเนาใหม่เมื่อ 18 กย. 2007 ซึ่งตรงกับวันครบรอบ 50 ปีของสนาม และวีดีโอ presentation คอนเซพดีไซน์ Nou Camp Nou


กัมเนาที่ยกเครื่องใหม่จะยังเก็บองค์ประกอบสำคัญเดิมที่ออกแบบโดยสถาปนิก Francesc Mitjans-Miró, García Barbon และ Soteras Mauri สนามเปิดเป็นทางการย้อนไปในปี 1957 ดีไซน์ของโฉมใหม่จะมีกลิ่นอายงานศิลปะแบบ Antoni Gaudi สถาปนิกและศิลปินเอกนามกระเดื่องงชาวคาตาลันที่มีชีวิตเมื่อร้อยกว่าปีก่อน เจ้าของผลงานโบสถ์ Sagrada Familia อันลือลั่นของสเปน และผลงานชิ้นโบว์แดงอีกมากมายในเมืองบาร์เซโลนาที่หลายแห่งถูกประกาศให้เป็นมรดกโลก

โมเดลโฉมใหม่กัมเนา


โฉมใหม่ของกัมเนาจะหุ้มกรอบผนังภายนอกทั้งหมดด้วยแผ่นโมเซกโพลิคาร์โบเนทน้ำหนักเบาสีสดใส โดยยึดสกีมสีของธงแคว้นคาตาลันและเอฟซี บาร์เซโลนา แผ่นโมเซกหลากสีเนื้อใสจะติดตั้งซ้อนกันแบบเกร็ดปลา เว้นช่องระหว่างชั้นแผ่นเพื่อให้อากาศถ่ายเท กรุไล่ขึ้นไปและหักมุมต่อเนื่องเป็นหลังคาเหนือบริเวณที่นั่งรอบสนาม


แผ่นโพลิคาร์โบเนทเหล่านี้จะมีคุณสมบัติในตัวเป็นระบบไฟแบบพิเศษที่จะทำให้โครงใหม่ที่หุ้มสามารถเล่นแสงสี และ กัมเนาจะเรืองรองไปด้วยแสงงดงามในค่ำคืนที่มีการแข่งขัน ทำให้มันกลายเป็นงานศิลปะสถาปัตยกรรมแห่งใหม่ของเมืองบาร์เซโลนา สะท้อนคำขวัญของสโมสรที่บอกว่า “More Than A Club” กัมเนาก็จะเป็นมากกว่าสนามฟุตบอล

ขั้นตอนการแปลงโฉมกัมเนาจะไม่รบกวนต่อการแข่งขัน และกิจกรรมทั่วไปของสโมสร


ส่วนที่เป็นหลังคาจะขึงติดด้วยสายเคเบิล และโทนสีสดจะค่อยๆจางกลายเป็นสีขาวเมื่อใกล้บริเวณขอบหลังคาเพื่อให้แสงส่องลงมาได้ในสนาม อีกทั้งให้สีดูกลมกลืนกับท้องฟ้า


บรรยากาศยามราตรีในคืนแข่งขัน


“กัมเนาใหม่จะกลายเป็นหนึ่งในสถาปัตยกรรมที่เป็นหน้าเป็นตาของบาร์เซโลนา เมืองที่เต็มไปด้วยศิลปะสถาปัตยกรรมแหวกแนวสีสันฉูดฉาดอันเป็นเอกลักษณ์ของเมืองนี้” โฆษกเอฟซีบาร์เซโลนากล่าว “มันจะถูกกล่าวขวัญถึง แม้จะเป็นสิ่งก่อสร้างใหม่ แต่มันคือมรดกที่ถือกำเนิดจากความภาคภูมิใจของสโมสรเก่าแก่นี้”

เอฟซี บาร์เซโลนาใช้งบในการยกเครื่องครั้งนี้ราว 350 ล้านดอลลาร์ ที่นั่งใหม่ซึ่งเพิ่มเข้ามาเป็น 108,000 จะทำให้กัมเนาเป็นสนามฟุตบอลใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 4 ของโลก รองจาก สนาม Rungrado May Day ในเกาหลี (150,000) สนาม Salt Lake ในอินเดีย (120,000) และสนาม Azteca ในเม็กซิโก (114,465)


ข้อมูลรวบรวมจาก เวปไซด์ทางการของเอฟซี บาร์เซโลนา และ Foster + Partners

อ่านความเห็นของสถาปนิกและแฟนบอลบางคนว่าด้วยโปรเจ็คแปลงโฉมกัมเนา

The renovation project will take approximately 3 to 4 years to complete and fans will see the new Camp Nou.




 

Create Date : 29 สิงหาคม 2550    
Last Update : 7 ตุลาคม 2550 15:23:32 น.
Counter : 985 Pageviews.  

Adiós ..........




Full name : Antonio José Puerta Pérez
Date of birth : November 26, 1984 (1984-11-26)
Place of birth : Sevilla, Spain
Date of death : August 28, 2007 (aged 22)
Place of death : Sevilla, Spain
Height : 1.83 m (6 ft 0 in)
Playing position : Midfielder
Number : 16

Youth club : [2002–2004] Sevilla B
Senior club : [2004–2007] Sevilla / 53 Appearances (5 goals)
National team : [2006] Spain / 1 Appearance

Honours with Sevilla FC
UEFA Cup: 2006, 2007
UEFA Super Cup: 2006
Spanish Super Cup: 2007
Spanish Cup: 2007
Licursi Cup: 2007


Biography from wikipedia.com

Puerta's Condition Very Serious from uefa.com

Spain In Mourning For Puerta from uefa.com

Magnificent Player, Even Better Person from uefa.com

A rising star off to the land in the sky too early. Hope there are big fields for you up there to do what you do best and accomplish what you started here, amigo. You are now in a safe mode till kingdom comes.



Adiós, campeón .........




 

Create Date : 29 สิงหาคม 2550    
Last Update : 29 สิงหาคม 2550 16:52:35 น.
Counter : 384 Pageviews.  

พาเที่ยวสนามฟุตบอลดังแดนกระทิงดุ

ส่องสเปน 15 วัน ดูบอลจนตาแฉะ ทีวีโรงแรมมีเคเบิลคานาลพลุส ไม่ก็ยูโรสปอร์ต หรือฟุตบอลทีวี 24 ชม. บางแ่ห่งมีเรอัล มาดริดทีวี บาซาทีวี ได้ดูทั้งลา ลีก้า (บาซ่า-เดปอร์) ยูซีแอล (บาเลนเซียทีมรักเจอเชลซี) ยูฟ่าคัพ (เอสปันญอล เซบิญ่า โอซาซูนา) สเปนเจอไอซ์แลนด์นัดคัดเลือกยูโร 08 แถมมีแผล๋มโบคา จูเนียร์ส ทีมโปรดอีกทีม ยิงตรงจากอาร์เจนติ๊หน่าให้ดูอีกตะหาก ไปเที่ยววัฒนธรรมผสมยลสนามฟุตบอลในแดนกระทิงดุ แต่ไม่ได้ดูบอลแบบเกาะขอบสนามสักคู่ เป็นการเที่ยวเดี่ยวผสมทีม ไม่สะดวกแยกร่างในวันเสาร์อาทิตย์เพื่อไปดูฟุตบอลเพราะเป็นความชอบส่วนตัว อีกทั้งเวลาไม่มากพอจะปลีกตัวในช่วงไปกับทัวร์ พอได้ฉายเดี่ยวในวันเที่ยวที่เพิ่มเองก็ไม่ตรงกับสุดสัปดาห์ เอาเหอะ ไม่ได้ดูบอลสักคู่เดียว แต่เรามองโลกในแง่ดีเสมอแม้ชีวิตจะไม่ดีเลิศเสมอไป จะได้เป็นข้ออ้างให้กลับไปใหม่ไงเล่า (เริ่มเก็บเงินได้ อีกสองปีกลับไปอีก คราวนี้ลากกระเป๋าเที่ยวเองและต้องดูบอลอย่างน้อย 2 นัด)

บลอคนี้จะพาไปยลสเตเดียม เริ่มจากเหนือสุดสเปน สนาม San Mames เมืองบิลเบาในดินแดนบาส์ก ไล่ลงมา Camp Nou ของเอฟซีบาร์เซโลนา ทีมเจ้าบุญทุ่ม และ Olympic de Montjuïc ของทีมเอสปันญอลที่บาร์เซโลน่า เซบิญ่าไม่มีเวลาไปดูสนาม แต่ผ่าน Estadi Luiz de Lopera ของสโมสรเรอัล เบติสตอนรถบัสวิ่งเข้าเมือง สนามสวยใหญ่อลังการ ส่วน Ramón Sánchez Pizjuán ของทีมเซบิญ่า แชมป์ยูฟ่าสองปีซ้อน อยู่ไกลเมืองออกไปอีกนิด อันโตนิโอเอลโชเฟอร์ถามเราว่าทำไมรู้จักทีมฟุตบอลสเปนเยอะนักล่ะ อ้าว...ก็ชอบดูอ๊ะจิซินญอร์ พอชมทีมเซบิญ่าว่า “มุย มุย เบียง” รูปหล่อยิ้มแก้มแทบแตก ทริพนี้รามอน ซานเชส ปิซฆวนเลยต้องรอไปก่อน (เดือดร้อนต้องรีเทิร์นทูเซบิญาด้วยล่ะซิ) จากนั้นก็ตามด้วย Estadio Vicente Calderón ที่อยู่คนละฟากเมืองกับ Santiago Bernabéu ซึ่งวางแผนไปยลก่อนออกจากมาดริดไปบาเลนเซีย เพื่อจบด้วย Estadi de Mestalla ของค้างคาวทีมรัก

เมืองแรก ขึ้นเหนือสุดสเปนที่บิลเบา ทีมดังของเมืองนี้ก็ต้องนี่เลย สโมสรมีห้องโทรฟี่จัดได้ดีทีเดียวแต่ห้ามถ่ายรูป แม้ขณะนี้จะลูกผีลูกคน ประวัติทีมก็ยิ่งใหญ่ และ El Pichichi คือนักเตะชาวบาสก์ของแอตเลติก บิลเบา ชื่อของเขาอยู่เป็นอมตะในลีก้าสเปนจนทุกวันนี้ สนามนี้เราเดินดูกับไกด์ผู้หญิงแค่สองคน บรรยกาศฝนฉ่ำ เป็นอะไรที่ชอบมากเลย ไกด์หญิงก็คือคนที่เก็บตั๋วอยู่หน้าห้องโทรฟี่นั่นแหละ เธอพูดภาษาอังกฤษเก่ง แม้จะไม่ปร๋อ แต่เรียกว่า 80% เราเข้าใจได้หมด

[ซ้าย] นี่เป็นทางเข้าห้องประธาน [ขวา] วิวสนามมองผ่านผนังกระจกบานใหญ่


[ซ้าย] สิงโตตัวนี้ ประธานสโมสรอาลาเบส ทีมเมืองหลวงแคว้นบาสก์ (ตอนนี้ตกไปอยู่ดิวิชั่นสอง) มอบให้สโมสรบิลเบา ตั้งอยู่มุมซ้ายของห้อง เห็นแล้วเราถึงบางอ้อเลยเพราะชุดเยือนของบิลเบาจะมีลายสิงโต ส่วนข้างหลังเป็นรูปนักเตะบิลเบาทุกคนที่เคยเล่นให้ทีมชาติ [ขวา] รูปปั้น Pichichi ตั้งอยู่หน้าประตูทางออกมาอัฒจรรย์จากห้องรับรอง ทุกซีซั่น แต่ละสโมสรที่มาเล่นนัดเยือนที่ซาน มาเมส จะนำช่อดอกไม้มาเสียบในห่วงกลมสองข้างก่อนเกมเริ่มเป็นการแสดงความเคารพ


[ซ้าย] ห้องประชุมนักข่าวก่อนและหลังเกม [ขวา] ไกด์อธิบายรูปติดผนังในห้องนี้ว่าเป็นการฉลองแชมป์ของสโมสรบิลเบา ทีมจะล่องเรือแห่ถ้วยไปตามแม่น้ำให้แฟนๆชื่นชม


[ซ้าย] ห้องแต่งตัวทีม สะอาดขาวจั๊วะ ห้องน้ำขาวจั๊วะกว่านี้อีก ไม่ได้ถ่ายรูปมา เดี๋ยวไกด์หัวเราะ [ขวา] ทางลงไปสนามของสองทีม


ติดขอบสนาม


จบจากบิลเบา เรามาต่อกันที่บาร์เซโลนา [ซ้าย] เนินเขาที่เห็นลิบๆคือ Mont Juïc หรือ Mount Jews เพราะเคยมีคนยิวอยู่เยอะ เนินเขานี้เป็นที่ตั้งสนาม Olimpic de Montjuïc ของเอสปันญอล ที่นี่คือสวนโอลิมปิกปี 1992 บรรยากาศโดยรอบสนามสโมสรเอสปันญอลหรือทีมนกแก้วเรียกตามตัวมาสคอต ดีกว่าทีมใหญ่ร่วมเมืองเยอะ ต้นไม้เขียวชอุ่ม อากาศสดชื่น [ขวา] สนามทีมเอสปันญอลเคยใช้ในมหกรรมกีฬาโอลิมปิกส์...บาร์เซโลนา 92


[ซ้าย] ชื่อสโมสรเจ้าของสนาม [ขวา] หันคอไปอีกด้านก็เห็นชื่อเต็มของสนามนี้


สนามของทีมน้องอยู่ใกล้ทะเลบนเนินเขาเขียวชอุ่มร่มรื่น ส่วนสนามพี่เบิ้มอยู่เหนือขึ้นไปนิด [ซ้าย] ตู้ขายตั๋วเข้าชมสนามของพี่เบิ้ม [ขวา] ซื้อแล้วก็หันหลังกลับเดินเข้าประตูนี้ ทุกที่ให้หูฟังฟรี ทีมน้องเมสซี่คิดค่าหูฟัง 3 ยูโร เลยถามซะเรยว่า Camp Nou อ่านยังไง ซินญอร่าบอกว่า "กัม เนา"


[ซ้าย] จ่ายเงิน รับหูฟัง แล้วก็เดินทะลุออกไปประตู 17 [ขวา] เริ่มโดยเดินลงไปดูสนาม


[ซ้าย] ขวามือของชานพักบันไดทางลงไปสนามจะเป็นโบสถ์เล็กๆ [ขวา] บาร์เซโลนาเมืองแห่งดีไซน์ ไม้กางเขนในโบสถ์เล็กๆของบาซ่าก็มีดีไซน์


[ซ้าย] ส่วนฝั่งซ้ายของชานบันได ถัดโบสถ์ขึ้นมานิดหนึ่งจะเป็นห้องส่งของบาซ่าทีวี เรียกว่ารายงานติดขอบสนามกันเลย [ขวา] “กัม เนา” หรือ คัมป์นู สำหรับคอบอลนอกแดนกระทิงดุ ที่เห็นกันในทีวีทุกเสาร์-อาทิตย์


หลังจากเดินชมสนามสองคนกับไกด์ในบิลเบา สนามนี้มีเพื่อนร่วมเดินชมเป็นร้อย 80% คือแฟนบอลอังกฤษ บางคนมาแล้วเมื่อวาน วันนี้มาอีก...ได้ยินเขาคุยกันตอนยืนรอซื้อตั๋ว [ซ้าย] แต่มุมนี้เงียบสงบ ทางเข้า lounge VIP [ขวา] ถ้าเห็นปธ. Laporta เดินออกไปนั่งช้ากว่าคนอื่น คงแช่อยู่แถวนี้แหละ


[ซ้าย] จ่ายแค่ 11 ยูโรก็ได้เห็นวิวเดียวกับปธ. ต่างกันตรงเราเห็นแค่สนามโล่งๆ และคำขวัญประจำทีม "More than a Club" [ขวา] ห้องกระจกของนักข่าว สามารถเห็นรูปเกมได้ชัดเจนขณะรายงาน


[ซ้าย] ห้องประชุมนักข่าว [ขวา] ส่วนห้องนี้อยู่ข้างหลัง นักฟุตบอลจะยืนหลังราวโค้งด้านผนังสีฟ้าที่คั่นยาวตลอด นักข่าวจะออถามคำถามอยู่อีกด้าน


[ซ้าย] ทางลงไปห้องนิทรรศการหมุนเวียนและมิวเซียม หลังเสร็จจากชมสนาม [ขวา] Barca art


นิทรรศการหมุนเวียนที่กำลังจัดแสดงคือรูปถ่ายจากสื่อต่างๆในยุคต่างๆ [ซ้าย] อดีตเบอร์ 10 บาซ่ากับคุณแม่ [ขวา] เบอร์ 10 คนปัจจุบัน หลอกล่อจนอีกฝ่ายหนีบกลัวเสียฟอร์มโดนเตะบอลลอดขา


อายุของ memorabilia ฟุตบอลบางชิ้นที่นำมาจัดแสดง เรายังไม่เกิดเลย



ทีมบาสฯของบาซ่าก็เจ้าพ่อถ้วยรางวัล


[ซ้าย] เข้ามาในส่วนของฟุตบอล แต่ละชื่อที่พะหลังเสื้อ [ขวา] ขนาดไม่มีชื่อติดก็รู้ว่าเสื้อใคร สองเบอร์นี้เป็นเพื่อนซี้กัน เยอรมันกับอาร์เจนติน่า ชวนกันไปทุ่มถ้วยรางวัลคริสตัสจนแหลกคาห้องโทรฟี่มาแล้ว


แต่ก็ยังเหลือโทรฟี่....โทรฟี่อีกเยอะให้นำมาจัดแสดง


[ซ้าย] ป้ายจารึกวันเดือนปีที่เปิดและชื่อปธ.ผู้ริเริ่มทำมิวเซียมเอฟซีบาร์เซโลนา [ขวา] นักเตะบาซ่าในอดีตและปัจจุบัน


มาจบที่เมกะสโตร์ซึ่งมีสินค้าทุกชนิด บาซ่าเป็นร้านเดียวที่รูดการ์ดแล้วไม่ขอดูพาสปอร์ต ไม่สนอะไรเลย ขายอย่างเดียว และพี่ปูกัปตันคนเก่ง รับหน้าที่บอกทาง และโฆษณานัดที่กำลังจะฟาดแข้ง ค่าตั๋วเริ่มจาก 30 ยูโร นัดนี้สนุกซะด้วย


นายแบบเหยินเสน่ห์ทางฝั่งซ้ายและนายแบบหน้าเป๋อเหลอทางฝั่งขวา


ขยับมากลางประเทศสักนิด ไปยลอีกสองสนามของทีมใหญ่คู่กัดประจำเมืองหลวง สนามสโมสรแอตเลติโก้ มาดริดของพี่เฝอหาไม่ยาก ลงเมโทรสาย 5 (สีเขียวอ่อน) [ซ้าย] ขึ้นสถานี Piramide ก็เจอป้ายนี้เลย เดินอีกนิดตามลูกศร [ขวา] สนามของทีมตราหมีอยู่ทางฝั่งใต้ของเมือง


[ซ้าย] เมกะสโตร์สีแดงสวยเด่น เข้ากับเกาะกลางถนนโดยไม่ตั้งใจแน่นอน [ขวา] นายแบบหน้าร้าน


[ซ้าย] เดินเลยไปทางเข้ามิวเซียม แต่ปิด มุดเดินลงไปเจอร้านอาหารก่อนเห็นห้องขายตั๋ว ตกแต่งสีดำแดงเท่มาก คนแน่นเอี๊ยด นึกว่าเข้าผิด แงะ...ไม่กล้าถ่ายรูปร้านอาหาร แต่สวยมั่ก [ขวา] เลยได้แต่เดินกลับขึ้นมา ชะแว้บเข้าประตูอันตรายที่อยู่ข้างๆ แหะๆ หมดไปหลายตังค์ฮ่า


[ซ้าย] ชอบเสื้อทีมตราหมีมากกว่าเสื้อทีมรักของเราเสียอีก เป็นเสื้อเยือน กราฟฟิกสวยแต่ไม่ใช่ขาวแดง (rojablanco) สีประจำของทีม [ขวา] Estadio Vicente Calderón ใกล้ๆอีกที


จากนั้นก็ไปยลสนามเศรษฐีที่ฝั่งเหนือของเมือง ขึ้นจากเมโทรก็เห็นเลย


[ซ้าย] เดินลัดลานจอดรถไปซื้อตั๋วที่หน้าต่าง 10 [ขวา] แล้วก็เดินเลียบไปเข้าประตู 20 เพื่อเริ่มทัวร์


[ซ้าย] มุดผ่านประตูก็ขึ้นลิฟท์แก้วไปอัฒจรรย์ส่วนบนสุดเพื่อดูสนามจากมุมสูงก่อน (ให้สังเกตว่าบาซากับเรอัล มาดริดจะทำกลับกันทุกอย่าง) [ขวา] โคตรทีมแห่งศตวรรษที่ 20


เรอัล มาดริดจะเริ่มโดยให้ดูมิวเซียมก่อน เริ่มด้วยชั้นจัดแสดงถ้วยรางวัลและ memorabilia กีฬาทุกชนิดของราชันนอกเหนือจากฟุตบอล เรอัล มาดริดจะเน้นความสว่าง ขณะที่มิวเซียมของบาซ่าจะตกแต่งแบบสลัว อึมครึมตามความรู้สึกของ Blaugrana (สีน้ำเงิน-แดงเลือดหมู)




[ซ้าย] โปสเตอร์ 100 ปีสโมสร [ขวา] ถ้วยรางวัลของทีมบาสฯ


ตามทางเดินด้านนอกจะมีรูปขนาดใหญ่ของบรรดาเทพเรอัลแต่ละยุคสมัยติดผนังเป็นช่วงๆ [ซ้าย] จอมโขกบรรลือโลก [ขวา] คนนี้เทพของจริงเพราะเขาไม่อยู่กับเราแล้ว


[ซ้าย] ประตูลงไปอัฒจรรย์หน้าห้องโทรฟี่ทีมฟุตบอลที่แยกพื้นที่ลงมาครอบครองทั้งชั้น [ขวา] ทางเข้าห้องถ้วยรางวัลของทีมฟุตบอล


ชอบมุมนี้ เ่ท่ดี รายชื่อนักฟุตบอลเรอัล มาดริดในอดีตและปัจจุบัน สำหรับ exhibition design เรอัล มาดริดได้คะแนนมากกว่าบาซ่า [ซ้าย] มองทางนี้เป็นโลโก้ [ขวา] เดินผ่านไป หันกลับ เป็นชื่อสโมสร


[ซ้าย] ตู้ถ้วยซูเปอร์โคปาเอสปาน่า 7 สมัยเป็นตู้เล็กที่สุดบนชั้นนี้ [ขวา] ส่วนห้องเก็บถ้วยแชมป์ลีก้าต้องแยกจัดวางเป็นสองฟาก เพราะมีเยอะมาก


[ซ้าย] ถ้วยแชมป์ลีก้า ดูกันใกล้ๆ [ขวา] ถ้วยที่ราอูลแบกกลับจากไทยแลนด์ ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่บนสุด


แต่ห้องขุมทรัพย์ใช้ข่มทับคู่กัดเอล คลาซิโก้ ก็ต้องมุมนี้แหละ นับเองกี่ถ้วยที่ได้ครอบครองแบบถาวร


[ซ้าย] ตู้จัดแสดงเกือกคู่ใจของนักเตะของทีมปัจจุบัน ชื่อบนคือตู้บน ชื่อล่างคือตู้ล่าง


[ซ้าย] สตั๊ดของเอลกะปิตัน [กลาง] จอมโขกประจำทีม [ขวา] คนนี้ใส่เกือกอะไรก็ได้ ถุงมือสำคัญกว่า

[ซ้าย] อาร์เจนติ๊หน่าคนนี้เลือกสีแดง [กลาง] อาร์เจนอีกคนขอสีขาว [ขวา] รองเท้าเหลืองของเบอร์ 10 บราซิล ของจริงเหลืองอ๋อย

ขอนินทาว่าตรีนใหญ่สุดคือเอเมอร์สัน รองลงมาคือพี่ม้า เห็นไกลๆนึกว่าพาย ตรีนยักษ์จริงๆ จบจากมิวเซียมก็ได้เวลายลสนาม อะไรที่บาซ่าให้ดู เรอัล มาดริดก็ไม่ให้ดู เช่น Vip lounge, ห้องกระจกของสื่อ ได้แต่ส่องเข้าไปดูจากภายนอกบนอัฒจรรย์ เบอร์นาบิวไม่มีโบสถ์ หรืออาจจะมี แต่พอบาซ่าให้ดู ราชันเลยไม่ให้ดูก็อาจเป็นได้

[ซ้าย] กล่องแก้วยาวๆคือที่นั่งวีไอพี [กลางและขวา] สนามและอัฒจรรย์จากมุมมองของกาซิยาสที่ปากประตู


[ซ้าย] ที่นั่งของประธานและแขกวีไอพี [ขวา] มุมมองของกัลเดรอน


[ซ้าย] ที่นั่งข้างสนามของโค้ชและทีมสำรอง [ขวา] บันไดทางลงจากห้องแต่งตัวก่อนเข้าสนาม กรุหินอ่อน ปูพรมอย่างหรู


[ซ้าย] แต่เราใช้เดินย้อนขึ้นไปดูห้องแต่งตัว [ขวา] มีอ่างน้ำ jacuzzi ให้ด้วย บาซ่าก็มี เป็นสระกลมแต่ไม่ใส่น้ำจัดให้น่าถ่ายรูปแบบนี้


[ซ้าย] ห้องประชุมนักข่าวจะอยู่แยกอยู่อีกตึกใกล้ๆ [ขวา] แล้วก็มาจบที่ tienda แปลว่า shop


ลำดับต่อไปก็สนามของทีมรัก ขึ้นเที่ยวบินมาดริด-บาเลนเซีย 45 นาทีในวันรุ่งขึ้น ตอนลดระดับลงเหนือเมือง เห็นเมสตาญาเด่นเป็นสง่า ไม่ได้ถ่ายรูป แอร์ห้าม ดันนั่งตรงข้ามเรา ว่าจะถ่ายเป็นหนังไว้ซะหน่อยอดเลย

[ซ้าย] ชม.แรกๆในบาเลนเซียก็หายนะซะแร้วสำหรับเรา ร้านนี้อยู่ในเมือง ไม่ไกลจากโรงแรม [ขวา] สนามเมสตาญาเดินจากตัวเมืองเก่าราว 40 นาที อากาศเย็นสบาย ไม่เหนื่อย เลยเลือกเดิน ถ้าขี้เกียจเดินก็ขึ้นรถเมล์สาย 71 จาก Placa de Reina กลางเมือง วิ่งผ่านหน้าสนาม หรือลงรถไฟใต้ดิน ขึ้นสถานี Aragon เดินนิดเดียวถึง


พอเห็นเมสตาญ่าก็เข้าใจทันทีว่าทำไมสโมสรขายสนามเป็นเงินมหาศาล ยกประวัติศาสตร์บาเลนเซียให้เทศบาลทุบทิ้งทำศูนย์การค้าและคอนโดมิเนียมในอีกไม่นาน เอสตาดิอยู่กลางเขตเมืองใหม่ พูดง่ายๆคือทำเลทอง ติดขอบเขตเมืองเก่าแค่ขับรถข้ามสะพานเหนือสวนสาธารณะ Turia อีกอย่างที่เพิ่งรู้คือที่มาของชื่อเมสตาญ่า สมัยก่อนจะมีคลองระบายน้ำใหญ่มากชื่อเมสตาญาซึ่งอยู่ใกล้ทำเลที่ตั้งสนาม ปัจจุบันคลองถูกถมไปพร้อมกับแม่น้ำ Turia แม้คลองเมสตาญากับแม่น้ำจะหายไปแล้วแต่ชื่อยังคงไว้

และก็มีแต่สนามของทีมรักตูนี่แหละ โคตะระขี้เกียจ ไม่มีเข้าชมห้องโทรฟี่ ไม่มีทัวร์ อยากยลข้างในต้องซื้อตั๋วเข้าไปดูเกม อย่างไรก็ตาม เจ้าของบลอคฉวยโอกาสเท่าที่มี เมียงมอง ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกว่ามาถึงแล้ว

[ซ้าย] รูปนี้ถ่ายจาก Placa Valencia CF หน้าสนาม [ขวา] ชื่อเห็นไม่ค่อยชัด น่าจะทำเป็นสีส้มตัวโตหนาๆ


Estadi Mestalla สร้างในปี 1923 เริ่มโดยจุแฟนบอลได้ 17,000 คน เพิ่มเป็น 25,000 คนในปี 1927 จากนั้นก็มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงมาตลอด (เพิ่งทราบว่าเมสตาญ่าแห่งนี้เคยใช้เป็นที่หลบภัยของประชาชนระหว่างที่สเปนมีสงครามกลางเมือง) สนามเพิ่มความจุเป็น 45,000 ในยุคห้าสิบ ปัจจุบันจุแฟนบอลได้ 55,000 เบ็ดเสร็จอายุถึงขณะนี้ก็ 70 กว่าปี แต่จะไม่ได้ฉลอง 100 ปีเพราะสนามใหม่กำหนดเปิดปี 2009 สภาพสนามก็เก่าตามอายุ ดูภายนอกก็เหมือนสนามกีฬาเก่าแก่ทึมๆทั่วไป บอกตรงๆว่าไม่สวยเลย เคยอ่านเจอในฟอรั่มที่เข้าประจำ แฟนบาเลนเซียเจ้าของเมืองบอกสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆภายใน สู้สนามสมัยใหม่ไม่ได้ ไม่ว่าจะต่อเติมซ่อมแซมยกเครื่องแค่ไหน เพราะระบบบางอย่างก็ใส่เข้าไปยากในอาคารอายุเท่านี้ ดังนั้นถึงแฟนบอลส่วนใหญ่จะเสียดายเมสตาญา หลายคนยินดีกับสนามใหม่ที่จะย้ายไปนอกเมืองอีกนิด แต่เพียบด้วยความทันสมัย ล้ำยุค ความสะดวกสบาย สร้างบนที่ดินผืนใหญ่ที่ปธ.คนหนึ่งของทีมค้างคาวมองการณ์ไกล กว้านซื้อไว้เมื่อหลายสิบปีก่อน ตั้งแต่ราคาที่ดินแถวนั้นถูกมาก ตอนนี้พุ่งขึ้นหลายเท่าตัว นอกจากสนามใหม่ที่จะจุคนเพิ่มเป็น 7 หมื่นกว่า ยังจะมีสนามฝึกซ้อมและศูนย์กีฬาให้ชาวเมืองบาเลนเซีย และเมสตาญ่าก็จะกลายเป็นอดีตเมื่อทุกอย่างแล้วเสร็จ

ขอไว้อาลัยล่วงหน้า ไม่รู้จะได้เจอกันอีกไหมก่อนเธอกลายเป็นเศษอิฐเศษปูน วันอำลาเมสตาญ่าคงเป็นวันยิ่งใหญ่วันหนึ่งของเหล่าสาวกค้างคาวอย่างแน่นอน...เศร้า

หลังจากยืนไว้อาลัย 1 นาที ก็รี่เข้าแฟนช็อปทันที อิ อิ...ซื้อต่อ เผื่อมีของที่ร้านในเมืองขายหมดแล้ว

[ซ้าย] มุมนี้ถ่ายจากหน้าร้าน มองเห็นอัฒจรรย์บางส่วน [ขวา] แฟนช็อปหน้าสนามตรงข้ามพลาซ่า ฆัวคินยืนเรียกอยู่นั่น ขอแวะเข้าก่อน ความหายนะเพิ่มดีกรีขึ้นเรื่อยๆ แต่สุขใจได้ของ


ห้องตั๋วเริ่มขายบัตรนัดแข่งยูซีแอลวันที่ 10 แต่เราอยู่ไม่ถึง มันญาน่า มันญาน่า...อีกครั้ง [กลาง] ด้านข้างก็น่าเกลียด แต่แนวต้นไม้สวย


[ซ้าย] ด้านหลังสนาม ต้องเอารูปมหึมาของคนหล่อมาปิดความน่าเกลียด พี่ไอร์มาหนุ่มหน้าหวานยังไม่ไปไหนนะน้องๆ รู้ล่ะซิว่ามีคนคิดถึง น่ารักที่ซู้ด [ขวา] ความหายนะ (ของกระเป๋าเงิน) ... งามๆทั้งนั้น


จบทัวร์สนามฟุตบอลดังเมืองกระทิงดุค่ะ โอกาสหน้าฟ้าใหม่ ถ้ามีวาสนาได้ไปสเปนอีกครั้ง จะหาโอกาสเข้าไปชมการแข่งขัน ดูแข้งระดับโลกตัวเป็นๆในสักสนามสองสนาม

ถ้าอยากเที่ยวที่อื่นของสเปนที่ไม่ใช่สนามฟุตบอล เิชิญบลอค Hola Espana ค่ะ

... adiós




 

Create Date : 28 พฤษภาคม 2550    
Last Update : 28 พฤษภาคม 2550 16:56:14 น.
Counter : 7135 Pageviews.  

David Sánchez Villa

THE ULTIMATE GOAL MACHINE



Birthdate: 3 Dec 1981
Place of birth: Langreo, Asturias, Spain
Height: 1.75 m
Nickname: 'El Guaje' (The Kid)
Position: Striker

Club information
Current club: Valencia CF
Number: 7

Youth clubs
1991–1999 : UP Langreo
1999–2000 : Sporting de Gijón B

Professional clubs Years Club App (Gls)*
2000–2003 : Sporting de Gijon 80 (38)
2003–2005 : Real Zaragoza 73 (31)
2005–current : Valencia 57 (34)

National team
2005–present : Spain 19 (9)

David Villa ไม่ใช่นักฟุตบอลที่ชอบโปรโมทตัวเอง เงียบและเก็บตัวเป็นส่วนใหญ่ ไม่ค่อยพูดจา เขาไม่เคยแต่งหล่อเพียงเพื่อพบนักข่าว และในโอกาสที่นานๆทีเมื่อเขาอ้าปากพูด มันก็แทบไม่เคยมีคำที่เอื้อนเอ่ยแบะท่าเสนอตัวเพื่อการย้ายทีมมูลค่ามหาศาล เมื่อลิเวอร์พูลแสดงความสนใจ เขาบอก “ผมไม่ค่อยชอบเดอะ บีเทิลส์” เมื่อเชลซีแสดงท่าทีเดียวกัน เขาบอกว่าเขาไม่เคยคิดอยากไปอยู่ลอนดอนแม้แต่น้อย ขณะนี้ดาวิด บิญายืนกรานว่าต่อให้มีทีมไหนบ้ายอมจ่ายค่าฉีกสัญญาของเขา เขาก็ยังไม่ขอบอกลาบาเลนเซีย และบิญาอาจพูดถูก ด้วยค่าฉีกสัญญาที่สูงของเท่าโรนัลดินโญ่ถึง 150 ล้านยูโร (99 ล้านปอนด์) แข้งร่างเล็กผู้ลืมตาดูโลกที่ Tuilla เมืองเหมืองทางตอนเหนือของแคว้น Asturias ในเดือนธันวาคมปี 1981 ได้กลายเป็นศูนย์หน้าเนื้อหอมที่สุดของสเปน

Quini อดีตศูนย์หน้าของ Sporting Gijón ปาชิชี่ 5 สมัยซ้อนของสเปนบอกว่า “บิญาเป็นศูนย์หน้าเก่งที่สุดในยุโรป เขาเกิดมาเพื่อสร้างประวัติศาสตร์ และเขากำลังมุ่งหน้าไปบนเส้นทางนั้น เขาสุดยอดมาก” บิญาเริ่มอาชีพค้าแข้งกับทีมชุดใหญ่ของ Sporting Gijón เมื่ออายุ 19 เขาซัดไป 38 ประตูในสองซีซั่น ดังนั้น Quini ไม่ได้พูดด้วยความลำเอียง เขาพูดถูกต้อง และในแต่ละก้าวที่สูงขึ้นเรื่อยๆ จำนวนประตูของบิญาก็เพิ่มมากขึ้นตามลำดับ เขาร่วมทีมเรอัล ซาราโกซาเมื่ออายุ 21 ยิง 17 ประตูในซีซั่นแรก 15 ประตูในซีซั่นที่สอง ทีมจบเป็นอันดับที่ 12 ในลีกทั้งสองซีซั่น จากนั้นบาเลนเซียควัก 12 ล้านยูโรเพื่อฉีกสัญญาของเขา และนำเขามาเมสตาญ่า ซีซั่นแรกบิญายิงไป 25 ประตูให้ Los Ches ครึ่งหนึ่งของจำนวนประตูโดยรวมในกว่า 20 นัดของทีม และเขาซัดประตูในทุกรูปแบบ

Peter Luccin มิดฟิล์ดของแอตเลติโก้ มาดริดที่เพิ่งบดแข้งกับบิญาเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาบอกว่า “เขาเป็นนักเตะประเภทต่อให้เขามาป้วนเปี้ยนอยู่แถวเส้นกลางสนาม คุณก็บอกได้ว่าเขาอันตรายมาก” และ Luccin พูดถูกร้อยเปอร์เซนต์ หนึ่งใน 25 ประตูของบิญาเมื่อซีซั่นก่อน รวมประตูสุดสวยที่ยิงเดปอร์ติโบ ลา คอรุนญ่าที่สนามริอาซอร์ แข้งหุ่นกระทัดรัดซัดบอลเข้าไปมุดตาข่าย ขณะเขาอยู่เลยเส้นกลางสนามไปไม่กี่ฟุต นอกจากประตูนี้ ที่เหลือคือประตูซัดจากในกรอบเขตโทษ นอกกรอบเขตโทษ ลูกโหม่ง ถีบจักรยาน ซัดด้วยเท้าซ้าย หรือเท้าขวาข้างถนัด เขายังรับหน้าที่ยิงฟรีคิก เปิดบอลจากมุม และเป็นขาประจำคอยสังหารจุดโทษให้ทีม (สถิติยิงจุดโทษของบิญาจนถึงขณะนี้คือตุงตาข่ายร้อยเปอร์เซนต์เต็ม)

ผลงานล่าตาข่ายอันสุดยอดของบิญาทำให้คุณมองข้ามไปว่าเขาไม่ได้เก่งแค่ยิงประตู ด้วยสปีดอันรวดเร็ว ความแข็งแกร่ง และทักษะที่แพรวพราว เขาเป็นนักเตะบาเลนเซียที่ทำแอซซิสมากเป็นที่สองรองจากไอร์มาเมื่อซีซั่นก่อน และผลงานยังดำเนินต่อไปในซีซั่นนี้ ลีกผ่านมา 21 นัด เขายิงไปแล้ว 10 ประตู หนึ่งประตูในการแข่งสแปนิชคัพ และ 3 ประตูในการลงแข่ง 5 นัดในศึกยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก อีกแค่ 3 แอซซิส เขาก็จะขึ้นไปเบียดไหล่กับเหล่าจอมแอซซิสสูงสุดของทัวร์นาเมนต์ อันได้แก่ Kaka, Ronaldinho และ C. Ronaldo

ถึงเขาจะไม่มีชื่อในสกอร์บอร์ดเมื่อคืนวันเสาร์ในนัดบดแข้งกับแอตเลติโก้ แต่ประตูแรกก็มาจากการเปิดมุมของเขา ถวายใส่พานให้อายาล่าโขกเข้าไปอย่างสุดสวย ส่วนประตูที่สองก็เริ่มโดยการแทงบอลทะลุช่องจากริมเส้นของเขาไปให้บิเซนเต้ ที่เปิดเข้าในให้มอริเอนเตสวิ่งมาจิ้มเข้าไปง่ายๆ

ถ้าบิญากำลังเริ่มเป็นดาวจรัสแสงของบาเลนเซียอย่างรวดเร็ว ขณะนี้เขาก็กำลังหลุดจากใต้แสงเงาของราอูลอดีตกัปตันทีมชาติผู้เคยเป็นตัวจริงมาตลอดและตอนนี้หลุดจากทีมชาติไปแล้ว ในฟุตบอลโลก 2006 ที่ผ่านมา ดาวิด บิญายิงไป 3 ประตูในการลงสนาม 4 นัดให้สเปน โดยที่เขาต้องเล่นในตำแหน่งที่ไม่ถนัด แถมไม่เคยได้ลงสนามนานกว่า 57 นาทีทั้งสี่นัด




 

Create Date : 11 กุมภาพันธ์ 2550    
Last Update : 26 พฤษภาคม 2550 0:27:06 น.
Counter : 575 Pageviews.  

The same old story for Valencia

Sid Lowe บอกมันคือเรื่องเดิมๆสำหรับบาเลนเซีย ทีมที่ควรเป็นหนึ่งในตัวเก็งแชมป์ลีก แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ถ้ำค้างคาวกลับพังครืน และที่น่าเศร้าคือมันเป็นสิ่งที่จำเจจนไม่อยากจะจำ

>>>>> แปลจาก “The Same Old Story For Valencia” โดย Sid Lowe จาก The Guardian Unlimited <<<<<

(20/11/2006) มันเริ่มต้นคล้ายเพลงแสนหวานรื่นหูที่กำลังแปรเปลี่ยนเป็นเสียงกรีดร้องโหยหวน...ณ สโมสรฟุตบอลบาเลนเซีย “ทุกอย่างผ่านไปอย่างสวยงามเมื่อหนึ่งเดือนก่อน” Quique Sánchez Flores ให้สัมภาษณ์เมื่อเสาร์ที่แล้ว ขณะนี้ชีวิตของกุนซือบาเลนเซียเริ่มละม้ายเพลงฟลาเมนโก้ที่ขับขานด้วยเสียงโหยหวนดุจกำลังเจ็บปวดแสนสาหัส

สำหรับคนที่ยังไม่ทราบ กิเก้เป็นหลานชายของ Lola Flores นักร้องเพลงฟลาเมนโก้นามกระเดื่องของสเปนเจ้าของฉายา “ลา ฟาเราน่า” กิเก้รู้ดีว่าศิลปะฟลาเมนโก้ไม่ใช่กระโปรงสีสวยติดระบายงดงาม หรือแสงแดดสดใสและรอยยิ้ม ฟลาเมนโก้ของแท้ดั้งเดิมจะบอกเล่าความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน หัวใจที่แหลกสลายและสภาพบ้านแตกสาแหรกขาด กิเก้รู้ว่าแก่นแท้ของมันไม่ใช่ความสุขแต่มันคือความเจ็บปวด นักร้องฟลาเมนโก้ไม่ได้ขับขานเสียงเพลงเร้าใจ แต่มันคือเสียงคล้ายวาฬที่กำลังครวญครางอย่างเจ็บปวดแสนสาหัสเมื่อโดนฉมวกทิ่มแทง

กิเก้ก็คงจะรู้สึกอย่างนั้นขณะทุกอย่างเริ่มพังครืนรอบตัวเขาอย่างช้า ๆ ท่ามกลางความเจ็บปวดทรมานที่ละม้ายเสียงร้องโหยหวนของคุณป้าโลล่าผู้ล่วงลับไปแล้วของเขา บาเลนเซียควรเป็นหนึ่งในทีมเต็งแชมป์ลีก แต่มันกลับมีแต่ความสับสนยุ่งเหยิงในถ้ำค้างคาว โศกนาฏกรรมอันคุ้นเคย และมันเกิดขึ้นบ่อยครั้งจนไม่อยากจำ ไม่มีสโมสรไหนที่รนหาความวายวอดได้เท่าบาเลนเซีย แถมด้วยโชคร้ายและการตัดสินใจผิดพลาดที่มาพร้อมกัน นี่ไม่ใช่สโมสรที่แพ้ภัยตัวเองเป็นพักๆโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ นี่คือสโมสรที่ยืนกรานจะกวักเรียกความวินาศเข้าหาตัวอย่างไม่รู้เบื่อ

บาเลนเซียเป็นแชมป์ลีกสองครั้งใน 3 ซีซั่นภายใต้การคุมทีมของ Rafa Benítez นอกจากนั้นสโสมรยังได้ David Villa, Raúl Albiol, Luis Miguel และ Edu จากอาร์เซนอลมาร่วมทีมเมื่อซีซั่นก่อน และซีซั่นนี้สโมสรคว้าตัว Fernando Morientes, Asier Del Horno, Joaquín, David Silva และ Jaime Gavilán ทีมมีกุนซือชาญฉลาดที่เข้าใจว่าทีมนี้เล่นฟุตบอลอย่างไร ลีลาการเล่นที่เต็มไปด้วยความรวดเร็วและการเข้าทำที่หลากหลาย ซีซั่นใหม่ผ่านไปห้าอาทิตย์ บาเลนเซียชนะสี่นัด เสมอแค่นัดเดียวในแคมป์นูกับบาร์เซโลน่าเจ้าของแชมป์ ดาวิด บิญายิงเฉลี่ยเกมละหนึ่งประตู มอโร่ก็เริ่มคืนฟอร์มจนกลับมาติดทีมชาติสเปนอีกครั้ง ส่วน Santi Cañizares ก็ดูเหนียวหนึบเจาะได้ยาก บาเลนเซียโดนทะลวงไปแค่ 2 ประตูใน 5 นัด

แต่จู่ๆมันก็เหมือนเพลงหวานซึ้งจะหยุดไปดื้อๆ และถูกกลบด้วยเสียงครวญครางโหยหวน กับตำแหน่งจ่าฝูงที่อยู่แค่เอื้อม...แต่หลังจาก Cañizares เสียประตูแรกอย่างง่ายๆในเกมที่บ้านเซลต้า ทีมก็ร่วงดิ่งลงมาเหมือนค้างคาวปีกหักที่ถูกมัดติดกับหินก้อนโต บาเลนเซียสะกดคำว่าชนะไม่เป็นติดต่อกันมา 4 นัดแล้ว และใน 6 นัดหลังสุด เจ้าค้างคาวชนะเพียงครั้งเดียวในนัดซดแข้งกับโอซาซูน่า ทีมที่กำลังกระเสือกกระสนอยู่ท้ายตาราง ที่เหลือคือเสมอสองนัด แพ้สามนัด



และใช่ว่าเจ้าค้างคาวจะมีเกมที่ยากเกินศักยภาพของทีม บาเลนเซียแพ้เซลต้า บิโก้ในเกมเยือน (ชัยชนะแรกในบ้านของเซลต้าหลังผ่านมา 5 นัด) ตามด้วยแพ้ราซซิ่ง (ชัยชนะแรกในบ้านของทีมนี้เช่นกัน) จากนั้นเสมอกับเอสปันญอลทีมอันดับ 13 ตามด้วยแอตเลติก บิลเบาทีมอันดับ 17 ในตาราง เกมใหญ่อีกเกมของบาเลนเซียคือนัดออกไปเยือนเซบิญ่า นี่คือเกมยักษ์ชนยักษ์ โอกาสให้บาเลนเซียพิสูจน์ว่าสโมสรจริงจังกับการชิงแชมป์ลีก และมันก็แทบจะดับสูญหลังจากผ่านไปไม่ถึง 15 นาที เมื่อ Megía Dávila กรรมการตะเพิด David Silva ออกจากสนามเพราะไปยันศอกใส่ Dani Alves ประตูแรกของเจ้าบ้านมาจากลูกฟรีคิกของ Julien Escudé แต่บาเลนเซียก็แสดงให้เห็นสปิริตและความมุ่งมั่น แต่มันจะกู่ไม่กลับเมื่อเจ้าค้างคาวต้องฟาดฟันกับทีมที่มีฟอร์มดีที่สุดในเสปนโดยตามหลังหนึ่งประตูแถมมีคนน้อยกว่าหนึ่ง Luis Fabiano ซัดประตูที่สองให้เจ้าบ้านจากลูกเปิดของ Alves และตอกฝาด้วยประตูที่สามของ Freddie Kanouté ที่ส่งให้เขาทะยานขึ้นไปเป็นปิชิชี่ผู้โดดเดี่ยว

และเหมือนเท่านี้ยังเลวร้ายไม่พอ บาเลนเซียต้องเสีย Edu ไปหกเดือนจากเอ็นหัวเข่าฉีกในเกมนี้ เหยื่ออีกรายในโผรายชื่อนักเตะตัวหลักที่บาดเจ็บซึ่งยาวเป็นหางว่าว (นักเตะบาเลนเซียบาดเจ็บหนักนัดละคนนับตั้งแต่นัดที่ 6 เป็นต้นมา นัดที่ 10 ไม่มีใครเป็นอะไร แต่ก็เสีย Mario Regueiro ไปในเกมโคปาเดลเรย์กลางอาทิตย์ และนัดที่ 11 ที่เพิ่งผ่านมา คนที่ดูถ่ายทอด คงเห็น Edu ปิดหน้าร้องไห้ตอนถูกหามออกมา จนเพื่อนๆในสนามรวมถึงพวกบราซิลด้วยกันของเซบิญ่า เพื่อนนอกสนามและกิเก้ต้องเข้ามาปลอบให้กำลังใจ) ส่วนนักเตะที่เพิ่งกลับจากพักฟื้นระยะยาวเพราะอาการบาดเจ็บนั้นมี Ruben Baraja, Vicente และ Francesco Tavano ขณะที่ David Albelda, Gavilán, Carlos Marchena, Emiliano Moretti และ Del Horno ต้องพักแข้งหลายเดือน มี Albelda เพียงคนเดียวที่อาจจะได้กลับลงสนามต้นปีหน้า ปัญหาบาดเจ็บนั้นคือเรื่องหนึ่ง แต่บาเลนเซียจะไม่ใช่บาเลนเซียหากไม่มีการดูหมิ่นสบประมาทกัน เจ้าค้างคาวไม่ได้ชอบที่จะกดปุ่มทำลายตัวเองเฉพาะในสนามฟุตบอลเท่านั้น...นอกสนามก็ดุเดือดไม่แพ้กัน

เหมือนที่ Benítez ไม่กินเส้นกับ García Pitarch ผอ.กีฬาและ Manuel Llorente หนึ่งในบอร์ดบริหารที่ราฟาบอกว่าเป็นเงาตะคุ่มอยู่ในความมืดที่พร้อมจะเอามีดแทงหลังทุกคน โค้ชหนุ่มอีกหนึ่งคนก็พบกว่าการทำงานในสโมสรบาเลนเซียนั้นแทบจะเป็นการเข็นครกขึ้นภูเขา Juan Soler ประธานสโมสรอาจจะยืนกรานว่า “ไม่มีปัญหาใดๆ” แต่นักเตะหลายคนเริ่มไม่พอใจสโมสร Roberto Ayala พูดย้ำว่าเขารู้สึกเหมือนถูกหักหลังเรื่องต่อสัญญา ที่หนักกว่านั้นคือ Flores และ Amedeo Carboni ผอ.กีฬาเกลียดกันชนิดเข้ากระดูกดำ ความเกลียดชังนั้นถึงขั้นที่ว่า Carboni ไปดูการฝึกซ้อมเมื่อวาน และกิเก้หลบหน้าไปเพื่อจะได้ไม่ต้องทักทายเขา

ทั้งสองงัดข้อกันเรื่องนักเตะที่ซื้อเข้ามาและเขาคนไหนคุมอะไร กิเก้ฉุนขาดเมื่อ Carboni เข้ามาในห้องแต่งตัวขณะบรีฟแทคทิคช่วงพักครึ่งเวลาในนัดซดแข้งกับบิลเบาเมื่ออาทิตย์ก่อน (สิ่งที่ผอ.กีฬาไม่ทำ ไม่ว่าสโมสรไหน) Carboni ก็ฉุนขาดที่กิเก้ให้สัมภาษณ์เชิงบ่นเรื่องนักเตะบาดเจ็บ และความจำเป็นที่จะต้องซื้อหรือยืมตัวนักเตะมาแก้ขัดในเบรคปลายปี ทั้งสองพยายามช่วงชิงอำนาจ และข่าวที่แว่วออกมาคือผอ.กีฬาชาวอิตาเลียนเริ่มมองหากุนซือคนใหม่มาแทนที่แล้ว แต่คราวนี้นักเตะส่วนใหญ่อยู่ข้างกิเก้ ผิดกับครั้งของ Benítez ที่ลูกน้องหลายคนอยู่ฝ่ายสโมสร และมันอาจจะทำให้ Carboni ต้องหานักเตะใหม่ๆมาเสริมทัพ ถ้าเขาสามารถกำจัดกุนซือคนปัจจุบันออกไปจากเมสตาญ่าได้สำเร็จ

ในขณะเดียวกัน เหล่าสาวกบาเลนเซียก็คงได้แต่ร้องโหยหวนครวญครางอย่างแสนเสียดายกับโอกาสที่อาจหลุดลอยไปอีกครั้ง .......................




 

Create Date : 22 พฤศจิกายน 2549    
Last Update : 14 กุมภาพันธ์ 2550 22:13:02 น.
Counter : 503 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  

la liga fan
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




อย่าฟังความข้างเดียว เหรียญมีสองด้าน

ไม่มีใครช่วยเราได้ ถ้าเราไม่คิดจะช่วยเหลือตัวเองก่อน

A rich man is not one who has the most, but one who need the least.
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add la liga fan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.