AFA's 20 Best Players of the Century

20 สุดยอดนักฟุตบอลแห่งศตวรรษของอาร์เจนตินา จัดอันดับโดย Argentina Football Association จะทะยอยเสนอประวัติบางคน (ย้อนหลังไกลสุดของเราที่พอจะคุ้นเคยก็คงเป็นเคมเปส ปาซซาเรลล่า อาร์ดิเยส) สำหรับหมายเลข 1 ถ้าอยากรู้เรื่องของเขาก็เชิญบล๊อกข้างบนค่ะ ตอนนี้เพิ่ม Fact File เข้าไปด้วย คนอื่นจะค่อยๆหาข้อมูลมาเขียน แล้วแต่ระดับความขยันและเวลาจะอำนวย คอยแวะมาดูแล้วกัน

Top 20 Argentina players of the century:

1. Diego Maradona (70s, 80s, 90s)

2. Alfredo Di Stéfano (40s, 50s, 60s)

3. Jose Manuel Moreno (40s, 50s)

4. Adolfo Pedernera (40s)

5. Omar Sivori (50s, 60s)

6. Mario Kempes (70s, 80s)

7. Angel Labruna (40s, 50s)

8. Gabriel Batistuta (90s)

9. Daniel Passarella (70s, 80s)

10. Raimundo Orsi(20s, 30s)

11. Bernabe Ferreyra (20s, 30s)

12. Ricardo Bochini (70s, 80s)

13. Rene Pontoni (40s, 50s)

14. Osvaldo Ardiles (70s, 80s)

15. Luis Monti (30s)

16. Oscar Ruggeri (80s, 90s)

15. Amaedo Carrizo (40s)

16. Norberto Alonso (70s, 80s)

17. Francisco Varallo (20s, 30s)

18. Rattin (60s)

19. Claudio Caniggia (80s, 90s)

20. Ubaldo Fillol (70s, 80s)

สำหรับคนแรก ขอเริ่มด้วยคุณปู่อัลเฟรโด ดิ สเตฟาโน่
หนึ่งในปูชนียบุคคลแห่งวงการฟุตบอล คนที่มาราโดนาเรียกว่า “ทูตของฟุตบอลอาร์เจนตินา”

Alfredo Di Stéfano


Date of Birth: 4th July 1926
Place of Birth: Barrancas, Argentina
Height: 172 cm.
Nickname: La saeta rubia (The Blond Arrow)

Retired in 1966

Di Stéfano's football career is unsurpassed:

Clubs:
Years : Clubs (Country) Apps [goals]
1942 : Imam Buenos Aires (Argentina)
1943-45: River Plate (Argentina) 11 [0]
1945-46: Huracan (Argentina) 25 [10]
1947-49: River Plate (Argentina) 65 [49]
1949-53: Millonarios (Colombia) 294 [267]
1953-64: Real Madrid (Spain) 282 [219]
1964-67: Espanyol (Spain) 21 [9]

Team Honours:
1 Copa America 1947
2 Argentina Championship 1945, 1947
4 Colombian Championship 1949, 1951, 1952, 1953
8 Spanish Championship 1954, 1955, 1957, 1958, 1961, 1962, 1963, 1964
2 Latin Cup 1955, 1957
5 European Cup 1956, 1957, 1958, 1959, 1960
1 World Club Cup 1960
1 Spanish Cup 1962

Individual Honours:
Highest goalscorer in the Argentine League 1947
Highest goalscorer in the Spanish League 1954, 1956, 1957, 1958, 1959
European Footballer of the Year (Ballon d'Or) 1957, 1959, runner-up in 1956
Golden Superball 1989
Greatest European Footballer of All Time (Special Ballon d’Or) 1991
Third-place in European Player of the Century
Third-place South American Player of the Century
Fourth-place World Player of the Century
Runner-up Argentine Player of the Century

International career:
1947: Argentina 6 [6]
1949: Colombia 4 [0]
1957-1961: Spain 31 [23]

Career total : played 1126 matches, scored 893 goals

Coaching career Honours :
2 Argentina Championship 1970 (Boca Juniors), 1979 (River Plate)
1 Spanish Championship 1971 (Valencia)
1 Cupwinners' Cup 1980 (Valencia)
1 European Supercup 1980 (Valencia)
1 Spanish Cup 1982 (Real Madrid)




อัลเฟรโด ดิ สเตฟาโน่เกิดใน Barrancas ย่านคนยากจนชานกรุงบัวโนส ไอเรส หัดเล่นฟุตบอลตั้งแต่วัยเด็กกลางถนนในเมืองใหญ่และในฟาร์มของครอบครัว แม้จะสูงเพียง 172 เซนติเมตร หนักแค่ 70 กิโลกรัม ดิ สเตฟาโนโดดเด่นมากบนสนาม นักฟุตบอลที่เคยเล่นให้สามทีมชาติ อาร์เจนตินา โคลอมเบีย และสเปน...ประเทศซึ่งสร้างชื่อเสียงให้เขา เขาคือศูนย์หน้าผู้ทรงพลัง หลายคนยกย่องให้เขาเป็นศูนย์หน้าที่สุดยอดตลอดกาล ปัจจุบันเขาเป็นประธานกิตติมศักดิ์ของสโมสรเรอัล มาดริด

ดิ สเตฟาโน่เริ่มเล่นฟุตบอลอาชีพในปี 1944 กับสโมสรริเวอร์ เพลทในอาร์เจนตินา ลงเล่นนัดแรกให้ทีมยักษ์ใหญ่แห่งกรุงบัวโนส ไอเรสเมื่ออายุ 18 ปีในตำแหน่งปีกซ้าย แต่เขาชอบเล่นเป็น center-forward และกลับมาเล่นในตำแหน่งนี้ให้ริเวอร์ เพลทหลังจากสโมสร Huracan ยืมตัวไป และดิ สเตฟาโน่ได้ใช้ทักษะเกมรุกอันดุดันอันตรายของเขากับทีมชาติที่ชนะโคปา อเมริกาในปี 1947

ดิ สเตฟาโน่ชนะแชมป์ลีก 5 ครั้งใน 12 ปีแรกของอาชีพพ่อค้าแข้งในอาร์เจนตินาและโคลอมเบีย ก่อนจะย้ายมาร่วมสโมสรเรอัล มาดริดในสเปนที่ฉกเขามาจากใต้จมูกบาร์เซโลนาคู่ปรับตลอดกาล เรอัล มาดริดเห็นฝีเท้าของดิ สเตฟาโน่ระหว่างการเดินสายในทัวร์นาเมนต์พิเศษฉลองครบรอบ 50 ปีของสโมสร Millonarios ของโคลอมเบีย มาดริดตกลงค่าย้ายทีมของดิ สเตฟาโน่กับ Millonarios แต่บาร์เซโลนาทีมคู่แค้นของราชันชุดขาว ก็ได้ตกลงที่จะเซ็นสัญญาและจ่ายค่าย้ายทีมกับริเวอร์ เพลทสโมสรต้นสังกัดเป็นทางการในขณะนั้นของดิ สเตฟาโน่เช่นกัน เกิดเรื่องราวฟ้องร้อง และสหพันธ์ฟุตบอลสเปนตัดสินให้สองสโมสรแบ่งใช้บริการของดิ สเตฟาโน่หลังสิ้นสุดศึกชิงตัว บาร์ซ่าปฏิเสธ และดิ สเตฟาโน่ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของสโมสรฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จสูงสุดตลอดกาล

ซีซั่นแรกของเขากับเรอัล มาดริดเริ่มต้นอย่างเงียบๆ แต่ในเวลาไม่กี่วันหลังจากบาร์เซโลนาตัดสินใจไม่ใช้บริการร่วมของดิ สเตฟาโน่กับทีมคู่แค้น เขาก็ทำแฮททริกให้ต้นสังกัดใหม่ เรอัล มาดริดถล่มบาร์เซโลนาไปด้วยสกอร์ 5-0 และตำนานศึกเอล ดาร์บี้แห่งประเทศสเปนก็เริ่มต้น ณ บัดนั้น เรอัล มาดริดเป็นแชมป์สเปนในสองซีซั่นแรกของเขา และแชมป์ยุโรปในอีก 5 ซีซั่นติดต่อกัน ดิ สเตฟาโน่คือกลไกเบื้องหลังการคว้าแชมป์ยุโรป 5 สมัยของเรอัล มาดริด เขายิงนัดละหนึ่งประตูในนัดชิงชนะเลิศสี่ครั้งแรก และทำแฮททริกในนัดที่ห้าที่สกอร์ออกมา 7-3 กำชัยชนะแบบถล่มทลายเหนือ Eintracht Frankfurt ในการแข่งขันที่กลาสโกว์ ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นนัดชิงแชมป์สโมสรยุโรปที่สุดยอดตลอดกาล

ดิ สเตฟาโน่เป็นนักฟุตบอลที่เล่นได้แทบทุกตำแหน่งและมีความแข็งแกร่งอันไร้เทียมทาน แม้ปกติจะเล่นในตำแหน่ง center-forward เขายังเล่นเกมรับได้เหนียวแน่น อีกทั้งสามารถเล่นในแดนกลางและแดนหน้า ความแข็งแรงบึกบึนของดิ สเตฟาโน่ทำให้เขาสามารถเล่นเกมรับ สอดขึ้นมาทำเกมในแดนกลาง ก่อนจะเร่งสปีดขึ้นไปยิงประตูคู่แข่งได้รวดเร็วดั่งสายฟ้าแลบ ... มันคือเกมการเล่นที่ฟุตบอลสมัยใหม่เรียกกันว่า “toal football” ซึ่งจะมาในอีก 10 ปีข้างหน้า แต่ไม่มีใครบอกดิ สเตฟาโน่ในตอนนั้น Miguel Muñoz อดีตเพื่อนร่วมทีมผู้ผันตัวมาเป็นโค้ชของเรอัล มาดริดในเวลาต่อมา พูดถึงอัลเฟรโด ดิ สเตฟาโน่ว่า “ความสุดยอดของดิ สเตฟาโน่คือถ้าคุณมีเขาในทีม มันก็เท่ากับคุณมีนักฟุตบอลสองคนในทุกตำแหน่ง”

ดิ สเตฟาโนเล่นฟุตบอลระดับชาติมากว่า 15 ปีตั้งแต่ 1947 เขาเล่นให้ทีมชาติ 3 ประเทศ แต่ไม่เคยได้เล่นในรอบสุดท้ายฟุตบอลโลกแม้แต่ครั้งเดียว ในปี 1950 ที่ดิ สเตฟาโน่อยู่ในทีมชาติฟ้าขาว ประเทศอาร์เจนตินาไม่ต้องการเข้าร่วมแข่งขันฟุตบอลโลก เขาย้ายไปสเปนในปี 1954 แต่เนื่องจากเขาเคยเล่นให้ทั้งทีมชาติอาร์เจนตินาและโคลอมเบียมาแล้ว ฟีฟ่าประกาศว่าเขาไม่มีสิทธิ์เล่นให้ทีมชาติสเปน กว่าดิ สเตฟาโนจะได้รับอนุญาตให้เล่นกับสเปนก็ปี 1956 เขาลงเล่นให้ทีมกระทิงดุเป็นครั้งแรกในปี 1957 ขณะนั้นเขามีอายุ 31 ปี เขาได้เล่นแค่นัดควอลิฟายให้ประเทศใหม่ของเขาในปี 1958 แต่สเปนไม่ผ่านรอบคัดเลือก และวาสนาที่ดูจะไม่สมพงศ์กับฟุตบอลโลกก็ทำให้เขาต้องพลาดโอกาสอีกครั้งในปี 1962 เพราะอาการบาดเจ็บ และในฟุตบอลโลกปี 1966 ดิ สเตฟาโน่ก็อายุ 40 ปีแล้ว หลังจากผิดหวังกับฟุตบอลโลก ดิ สเตฟาโน่ย้ายจากเรอัล มาดริดไปอยู่กับเอสปันญอล และเล่นกับสโมสรนี้จนแขวนสตั๊ดในปี 1966

เขาเริ่มอาชีพโค้ชหลังจากอำลาสนาม ดิ สเตฟาโน่กลับบ้านเกิดไปคุมสองทีมยักษ์ใหญ่ที่เป็นคู่กัด เขาพาทั้งโบคา จูเนียร์ส (1970) และริเวอร์ เพลท (1979) เป็นแชมป์ประเทศ และบาเลนเซียได้เป็นแชมป์สเปนปี 1971 ชนะคัพส์วินเนอร์คัพในปี 1980 ภายใต้การคุมทีมของดิ สเตฟาโน่ เขายังพาเรอัล มาดริดเป็นรองแชมป์ลีกในปี 1983 โดยเสียตำแหน่งในนัดสุดท้ายของลีก อีกทั้งยังนำทีมราชันชุดขาวเข้ารอบชิงบอลถ้วยถึง 4 ครั้ง

ปัจจุบันดิ สเตฟาโน่ยังคงครองตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุดเป็นอันดับสามในประวัติศาสตร์พรีเมร่า ลีก้าของสเปน เขายิงไป 228 ประตูใน 329 นัด ตามหลัง Hugo Sanchez (234) และ Telmo ‘Zarra’ (251) ดิ สเตฟาโน่คือดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลในเกมลีกของเรอัล มาดริด เขายิงไป 219 ประตูใน 282 นัด ระหว่างปี 1953 ถึงปี 1964

ในมีนาคมปี 2004 เปเล่ยกย่องอัลเฟรโด ดิ สเตฟาโน่ว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดนักฟุตบอล 125 คนที่ยังมีชีวิตอยู่




 

Create Date : 07 กันยายน 2549    
Last Update : 15 กันยายน 2549 22:39:30 น.
Counter : 777 Pageviews.  

Mario Kempes



Full Name : Mario Alberto Kempes
Date of Birth : 15 July 1954
Place of Birth : Córdoba, Argentina
Nickname : El Matador

Playing career

Clubs:
Year : Club (Country)
1971-1973: Instituto de Córdoba (Argentina)
1974-1976: Rosario Central (Argentina)
1976-1981: Valencia (Spain)
1981-1982: River Plate (Argentina)
1982-1984: Valencia (Spain)
1984-1986: Hércules de Alicante (Spain)
1986-1987: First Vienna (Austria)
1987-1990: Saint Poltern (Austria)
1990-1992: Kremser (Austria)
1995: Fernández Vial (Chile)
1996: Pelita Hyatt (Indonesia)

Club honours:
2 Spanish Cup 1978, 1979 (Valencia)
2 European Cup Winners Cup 1979, 1980 (Valencia) )
1 European Super Cup 1980 (Valencia)
1 Argentina Championship 1981 (River Plate)

International honours:
Winner 1978 FIFA World Cup , leading goalscorer and Player of the Tournament
43 caps [20 goals] with 18 games in 3 World Cup finals

Coaching career:
1993: Valencia (assistant to Héctor Núñez)
1996: Pelita Hyatt (Indonesia)
1996: SK Lushnja (Albania)
1997-1998: Mineros de Guayana (Venezuela)
1999: The Strongest (Bolivia)
2000-2001: Independiente Petrolero (Bolivia)



ถ้าไม่นับดิเอโก้ มาราโดนา ไม่มีดาราฟุตบอลคนไหนของอาร์เจนตินาที่จะเจิดจรัสไปกว่ามาริโอ เคมเปส “เอล มาธาดอร์” เกิดใน Córdoba เมื่อวันที่ 15 กรกฏาคม 1954 พ่อของเขาเคยเป็นนักฟุตบอลสมัครเล่นในวัยหนุ่มและสนับสนุนให้เด็กชายมาริโอหัดเล่นฟุตบอลตั้งแต่อายุ 9 ขวบ อีก 7 ปีต่อมาเขาพาทีมท้องถิ่นของเขาเป็นแชมป์ภูมิภาค และเขาคือดาวซัลโวสูงสุด เคมเปสเล่นในดิวิชั่นหนึ่งเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 1973 ให้สโมสร Instituto de Córdoba ในเกมโม่แข้งกับ Newell’s Old Boys แต่แพ้ไปด้วยสกอร์ 0 – 1

แม้เขาจะประสบความสำเร็จในระดับสโมสรในอาร์เจนตินา แต่ความสำเร็จสูงสุดของมาริโอ เคมเปสคือกับทีมชาติ เขาทำไป 20 ประตูใน 43 นัดกับทีมฟ้าขาว “ประเทศของผมโชคดีมากที่สามารถผลิตนักฟุตบอลฝีเท้าสุดยอดมากมายหลายคน ผมเป็นแค่หนึ่งในหลายคนที่ทำหน้าที่ของเขาในประวัติศาสตร์ฟุตบอลของอาร์เจนตินา” เคมเปสพูดอย่างถ่อมตนอันเป็นนิสัยประจำตัวของเขาหลังจากแขวนสตั๊ด

เขาสวมเสื้อฟ้าขาวเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 19 เมษายน 1972 ในการบดแข้งของทีมชาติอายุต่ำกว่า 18 กับทีมชาติโปรตุเกสในเมืองคานส์ เขายิงหนึ่งประตูในชัยชนะ 3-1 ของอาร์เจนตินา เคมเปสขึ้นสู่ทีมชาติชุดใหญ่ในปี 1973 ขณะที่เขามีอายุเพียง 19 ปี ลงเล่นในรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกของทวีปอเมริกาใต้เพื่อจองที่ไปมหกรรมฟีฟ่าฟุตบอลโลกปี 1974 สื่อเรียกทีมชุดนี้ว่า “ทีมผี” เพราะมีนักเตะโนเนมจำนวนมากที่ถูกเรียกติดทีมชาติเพื่อให้มีเวลาปรับตัวก่อนไปเล่นบนความสูงของกรุงลาปาซ ประเทศโบลิเวีย อาร์เจนตินาภายใต้การคุมทีมของ Enrique Omar Sívori ชนะจากประตูโทนของ Oscar Fornari

เอล มาธาดอร์เล่นในรอบสุดท้ายฟีฟ่าฟุตบอลโลกสามครั้ง (เยอรมัน 1974, อาร์เจนตินา1978, เสปน1982) รวมการเล่นในนามทีมชาติ 18 ครั้ง แต่ผลงานสุดบู่ของอาร์เจนตินาในเยอรมันทำให้ขุนพลฟ้าขาวต้องเก็บกระเป๋ากลับบ้านตั้งแต่รอบแรก หลังจากพ่ายแพ้ต่อฮอลแลนด์ของ Johan Cruyff เคมเปสไม่สามารถช่วยทีมได้ในเยอรมัน เขาไม่สามารถยิงประตูในฟุตบอลโลกครั้งนั้น

Valencia.....River Plate

เคมเปสกลายมาเป็นขวัญใจบาเลนเซีย (สเปน) ในอีกสามปีต่อมา หลังจากย้ายทีมด้วยค่าตัวสูงสุดสำหรับนักเตะชาวอาร์เจนตินาในขณะนั้น ก่อนจะย้ายไปแดนกระทิงดุ เคมเปสครองตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุดของทีม Rosario Central เขาทำไป 100 ประตูในแค่สองซีซั่น

ประวัติการเล่นฟุตบอลในสเปนของเคมเปสก็น่าประทับใจเช่นกัน แชมป์สแปนิช คัพ 2 ครั้ง แชมป์ยุโรปคัพวินเนอร์สคัพ 2 ครั้ง แชมป์ยุโรปซูเปอร์คัพ 1 ครั้ง เขายังเป็นดาวซัลโวสูงสุดของลีก้าสเปนในสองซีซั่นติดต่อกัน ครั้งแรกในซีซั่น 1976/77 ที่เขายิงไป 24 ประตู และอีก 28 ประตูในซีซั่น 1977/78

ในช่วงที่ประเทศของเขาอยู่ภายใต้การปกครองระบอบเผด็จการทหาร เคมเปสเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลอาร์เจนตินาสองคนซึ่งค้าแข้งอยู่นอกประเทศ ที่ César Luis Menotti เรียกติดทีมชาติชุดฟีฟ่า เวิร์ล คัพ 1978 “เขาแข็งแรง มีทักษะดี หาที่ว่างเก่งและยิงหนัก เขาคือนักฟุตบอลที่สามารถพลิกเกม และเขาเล่นในตำแหน่ง center-forward” นี่คือคำบรรยายถึงเคมเปสจากเมนอตติ เมื่อโค้ชเจ้าของฉายา El Flaco ประกาศชื่อนักฟุตบอลทีมชาติชุดลุยบอลโลก 1978

แม้อาร์เจนตินาจะพ่ายต่ออิตาลีในรอบแรก แต่ชัยชนะเหนือฮังการีและฝรั่งเศสของก็เพียงพอที่จะพาทีมฟ้าขาวผ่านสู่รอบสอง แต่ตัวเคมเปสเองผิดหวังที่ยังยิงไม่ได้แม้แต่ประตูเดียว “ผมบอกให้เขาโกนหนวดทิ้งซะ” เมนอตติเปิดเผยในเวลาต่อมาขณะชูถ้วยบอลโลก “มันดูจะได้ผล เขาคือดาวซัลโวสูงสุดของการแข่งขัน ยิงไป 6 ประตู และได้รับการโหวตให้เป็นนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของทัวร์นาเมนต์”



อาร์เจนตินากำชัยชนะเหนือโปแลนด์ (เคมเปสยิง 2 ประตู) เสมอกับบราซิล และชนะเปรูในรอบต่อมา (อีกสองประตูจากเคมเปส) ทีมฟ้าขาวทะลุเข้าไปชิงชนะเลิศกับฮอลแลนด์ในวันที่ 25 มิถุนายน 1978 วันเดือนปีที่อยู่ในความทรงจำของชาวอาร์เจนตินาทุกคน...อาร์เจนตินา 3 – ฮอลแลนด์ 1 เคมเปสซัดสองประตูให้ทีมของเขา ประตูแรกในนาทีที่ 38 ในครึ่งแรก ประตูที่สองมาในนาทีที่ 15 หลังจากเขาลุยวิ่งในช่วงต่อเวลาอย่างมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้อันเป็นลักษณะประจำตัวของเขา “การชนะฟุตบอลโลกคือสิ่งที่ชาวอาร์เจนตินาซึ่งทนทุกข์มานานต้องการ มันนำความสุขมาให้ชีวิตของพวกเขา ผมจำได้ว่าโค้ชเรียกผมติดทีมชาติเพราะนักเตะอย่าง Osvaldo Piazza ไม่สามารถมาร่วมทีม ผมได้ใส่เสื้อหมายเลข 10 ดิเอโก้ มาราโดนาที่ผมยังไม่เคยเห็นเขาเล่นไม่ติดโผ และอย่างที่เรารู้กันว่าเขาจะกลายมาเป็นนักฟุตบอลเลือดฟ้าขาวผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาล และผมคือนักเตะชาวอาร์เจนตินาคนที่สองที่เป็นดาวซัลโวสูงสุดในฟุตบอลโลก รองจาก Guillermo Stábile “ เคมเปสกล่าว

อาร์เจนตินาไปบอลโลกปี 1982 ที่สเปนในฐานะทีมเต็ง นักเตะชุดแชมป์โลก 1978 หลายคนยังอยู่กับทีม แต่ประวัติศาสตร์จะไม่ซ้ำรอย ทีมถูกถีบกระเด็นตกรอบแรกก่อนที่เคมเปสจะมีโอกาสยิงประตูแรก

ถึงคอบอลจะจำเอล มาธาดอร์ได้จากประตูของเขา (20 ประตูใน 43 เกมกับทีมชาติ) เขายังเป็นนักเตะที่อยู่ในความทรงจำของแฟนบอลถึงแฟร์เพลย์ของเขา มาริโอ เคมเปสไม่เคยโดนใบเหลืองหรือถูกตะเพิดออกจากสนามตลอดการโม่แข้งกับทีมชาติ




 

Create Date : 06 กันยายน 2549    
Last Update : 19 กันยายน 2549 8:21:13 น.
Counter : 2873 Pageviews.  

"LOS PIBES" of Argentina

“Los pibes” หรือ “the boys” ....... เหล่าขุนพลลูกหนังร่างเล็กแห่งอาร์เจนตินา

อาร์เจนตินาได้สร้างนักฟุตบอลผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก เขาคือมาราโดนา เจ้าของฉายา El Pibe ดังนั้นทุกครั้งที่มีนักเตะที่มีเทคนิคแพรวพราว มีลีลาลากเลื้อย ลีลายิงประตู แม้แต่มีหุ่นที่คล้ายเขา มันหนีไม่พ้นที่นักเตะผู้นั้นจะถูกนำไปเปรียบเทียบกับมาราโดนา ส่วนใหญ่สื่อคือผู้ที่มักจะตั้งการเปรียบเทียบเหล่านี้ ชาวอาร์เจนตินาหรือคนรักฟุตบอลทั้งหลายจะบอกคุณว่ามันไม่มีทางที่ใครจะสามารถลอกเลียนแบบ el pibe ....ดิเอโก้ อาร์มานโด มาราโดนานั้นมาจากโลกอื่น



เตเบส เมสซี่ ไอร์มา ซาบิโอลา และ ดาเลสซานโดรเป็นนักฟุตบอลฝีเท้าเยี่ยม แต่ละคนมีบทบาทสำคัญในสโมสรต้นสังกัด อาร์เจนตินานั้นต่างจากชาติส่วนใหญ่ในโลกที่จะให้ความสำคัญกับเทคนิคของผู้เล่นมากกว่าโครงสร้างร่างกาย ดังนั้นหลายทีมในยุโรปจึงมีนักเตะแกนหลักที่เป็นชาวอาร์เจนตินา นักเตะร่างเล็กเหล่านี้จะโดดเด่นกว่านักเตะร่างสูงใหญ่ นักเตะตัวสูงหุ่นบึกบึนนั้นมีมากมาย แต่คอบอลอาร์เจนตินาชอบนักเตะที่สร้างความตื่นเต้นเร้าใจ ชาวอาร์เจนตินาบางคนบอกมันไม่เป็นไรเลยถ้าอาร์เจนตินาจะไม่ได้เป็นแชมป์โลกอีก ตราบใดที่ประเทศยังสามารถผลิตนักเตะที่เก่งกาจ เร้าใจ ฟุตบอลยังมีอะไรอีกมากที่งดงามกว่าถ้วยรางวัลจำเพาะเจาะจง

ทำไมนักเตะอาร์เจนตินาจะต้องเหมือนนักเตะของประเทศนั้นหรือของประเทศนี้ นักฟุตบอลชาวอาร์เจนตินาคือนักฟุตบอลชาวอาร์เจนตินา คนพวกนี้มีสไตล์เฉพาะตัว เทคนิคเฉพาะตัว และรูปลักษณ์เฉพาะตัว คุณสามารถเป็นนักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ได้โดยไม่ต้องสูง 7 ฟุต นักฟุตบอลอาร์เจนตินาที่ตัวเล็กและเตี้ยไม่ใช่อะไรที่เพิ่งมี มันเป็นเรื่องของเผ่าพันธุ์ที่แก้ไขอะไรไม่ได้ มันก็เหมือนนักฟุตบอลอัฟริกันที่สูงและแข็งแรง นักฟุตบอลเอเชียตะวันออกที่เตี้ยและเร็ว คุณไม่อาจพูดว่า “นักเตะแคเมอรูนต้องเตี้ยลงหน่อยจึงจะต่อบอลกันได้ดี” หรือ “นักเตะญี่ปุ่นต้องวิ่งช้าลงอีกนิด” มันคือสไตล์การเล่นโดยทั่วไปของนักฟุตบอลจากประเทศเหล่านี้ นักเตะอาร์เจนตินามีเทคนิคและหุ่นฉบับกระเป๋า และมันคือคุณลักษณะที่สร้างเอกลักษณ์ให้ฟุตบอลอาร์เจนตินา



แต่ถึงนักฟุตบอลอาร์เจนตินาจะไม่มีหุ่นบึกบึนเท่าใดนัก พวกเขาก็สามารถผงาดขึ้นมาเจิดจรัสบนเวทีโลก และคว้ารางวัลระดับโลกถึงสองครั้ง “ถ้าเราต้องใช้ คนแคระ เพื่อไขว่คว้าเวิร์ลคัพ ผมยอมให้นักเตะทั้งทีมของผมเป็นคนแคระ มากกว่าเป็นทีมที่เต็มไปด้วยนักเตะแข็งแรงเหมือนแซมซั่นอย่างแคเมอรูน แต่ก็ยังไม่จรัสแสงเท่าที่ควรบนเวทีโลก” แฟนบอลฟ้าขาวผู้หนึ่งกล่าว “การพูดชี้แนะว่านักเตะร่างสูงคือสิ่งที่อาร์เจนตินาจำเป็นต้องมีนั้นเหลวไหลสิ้นดี มาราโดนาตัวเตี้ยก็จริงแต่เขาแข็งแรงมาก และถ้าสังเกตดี ๆ เมสซี่ ไอร์มา ซาบิโอลาและเตเบสไม่ค่อยเสียการครองบอล ถ้าพวกเขาเสียบอล มันก็มักจะมาจากการถูกทำฟาว์ล และอย่าลืมว่าคนหุ่นกระทัดรัดเหล่านี้ หลายคนเป็นจอมทัพบงการเกมในแดนกลาง และถ้าสังเกตให้ดีอีกที นักเตะในแนวรับของอาร์เจนตินาก็ใช่ว่าจะเตี้ย มีรุ่นนักเตะร่างเล็กของสโมสรอย่างริเวอร์ เพลทหรือโบคา จูเนียร์สที่กลายมาเป็นสินค้าส่งออกไปยุโรป คนเหล่านี้ถูกเรียกติดทีมชาติ โดยเฉพาะในยุคของเปเกอร์มัน การมีทีมนักเตะร่างกายไม่บึกบึนมากแต่ฉลาด นั้นดีกว่าการมีทีมนักเตะร่างใหญ่หนาตันแต่มันสมองแทบหาไม่เจอ มาราโดนาตัวเล็กแต่เขาก็เก่งกาจพอจะใส่รอยยิ้มแห่งความสุขบนใบหน้าของคนทั้งประเทศ อย่าให้ผมต้องร่ายยาวชื่อนักเตะที่เรียกว่าแคระซึ่งไม่อาจนำไปเปรียบเทียบกับใครได้



ผมเกลียดมากเวลาคนเอานักเตะบราซิลมาเปรียบเทียบกับนักเตะอาร์เจนตินา บอกนักเตะของเราควรเลียนแบบนักเตะแซมบ้า ยังกับมันเป็นตัวอย่างอันเลอเลิศ โรนัลโด้และอาเดรียโน่หรือ เราก็มีเครสโปและเตเบส ทั้งคู่แข็งแรงและไม่ได้เก่งน้อยไปกว่าโรนัลโด้หรืออาเดรียโน่ นี่ผมยังไม่ได้พูดถึงบาติสตูต้าเลยนะ อย่ามาโอ่ว่าอาเดรียโน่สูง 6 ฟุต 4 นิ้ว นักเตะบราซิลร่างสูงก็ใช่ว่าจะมีมากมายในอดีต โรนัลดินโญ่และกาก้ามีหุ่นตามมาตรฐาน พวกเขาไม่ได้บึกบึนเป็นพิเศษ และพวกเขาก็ไม่ได้แข็งแรงไปกว่าริเคลเม่ มาสเชราโน่หรือเบรอน ถ้าคุณจะยกตัวอย่างไอร์มาหรือเมสซี่ ผมว่าถ้าสองคนนี้ไม่มีหุ่นอย่างนี้ พวกเขาก็จะไม่มีความสามารถและเทคนิคแพรวพราวแบบนี้หรอก มาราโดนาเคยบอกว่าการเกิดมาเตี้ยและเร็ว ทำให้คุณได้เปรียบเวลาวิ่งฉิวล็อกหลบคู่แข่ง และใช่ว่านักเตะร่างเล็กจะไม่แข็งแรง มาร์ตินของอินเตอร์ตัวเตี้ยแต่เขาแข็งแรงมาก เตเบสเตี้ยแต่ก็แข็งแรง และใช่ว่าคนสูงจะเล่นลูกโหม่งเก่งเสมอไป



การมีนักฟุตบอลร่างเตี้ย 5-6 คนในทีมก็ไม่ได้ทำให้ทีมของเราเป็นทีมคนแคระ อย่าลืมว่าเราก็มีนักฟุตบอลรูปร่างสูงอย่างซามูแอล เอนเซ่ บิลอส ริเคลเม่ หรือบัลดาโน่ในอดีต ผสมผสานอยู่ในทีม ผมพล่ามได้ทั้งวันแต่มันคงไม่มีประโยชน์อะไร ดังนั้นแทนที่จะมัวสงสัยว่าทำไมนักเตะเลือดฟ้าขาวมักจะตัวเตี้ย ลองคิดใหม่ว่าทำไมนานๆที บราซิลถึงจะมีนักเตะเทคนิคแพรวพราวอย่างนักเตะอาร์เจนตินาหลายคนในปัจจุบัน (ไอร์มา เมสซี่ ริเคลเม่ เตเบส ซาบิโอลา อาเกโร่ ฯลฯ)”

--------------ข้อมูลความเห็นจากเพื่อนคอบอลชาวอาร์เจนตินาทางเน็ตที่คุยกันบ่อยๆค่ะ---------------




 

Create Date : 02 กันยายน 2549    
Last Update : 15 กันยายน 2549 14:36:23 น.
Counter : 966 Pageviews.  

CLAUDIO CANIGGIA

ขอประเดิมบล็อกแรกของกลุ่มนี้ด้วยฟ้าขาวคนนี้เลย เพราะเขาคือรักแรกเห็น "albicelestes extraordinaire" มีผู้ชายชอบเหน็บว่าผู้หญิง (บางคน) ดูบอลเพราะนักฟุตบอล ยอมรับ...และของเราคือคนนี้แหละ คนเดียวและไม่เคยปิ๊งใครอีกเลย เล่นเอาป๋าเตี้ยตกกระป๋องไปนานมาก แต่แทบอกหักเมื่อได้ข่าวว่าสองคนเค้าก็เป็นคู่ใจกัน เฮ้อ...แต่ยังไงความรู้สึกก็เหมือนเดิม

Cani, mi corazón!



Personal Information
Full name : Claudio Paul Caniggia
Birthdate : 9 January 1967
Birthplace : Henderson, Buenos Aires, Argentina
Nickname : El Pajaro (The Bird)

Position : Forward
Retired in 2004

Professional Career [period / club / match played (goal scored)]
Clubs
1985-1988 River Plate 51 (8)
1988-1989 Hellas Verona 21 (3)
1989-1992 Atalanta B.C. 85 (22)
1992-1994 A.S. Roma 20 (4)
1994-1995 SL Benfica 20 (9)
1995-1999 Boca Juniors 60 (28)
1999-2000 Atalanta B.C. 17 (1)
2000-2001 Dundee F.C. 25 (8)
2001-2003 Rangers F.C. 50 (13)
2003-2004 Qatar S.C. 15 (5)

1987-2002 Argentina 50 (16)



ผู้นำแฟชั่นตัวจริง ที่คาดผมน่ะ คานิคาดมาก่อนใครตั้งแต่สิบกว่าปีก่อน


เคลาดิโอ พอล คานิคเกียเกิดเมื่อวันที่ 9 มกราคม 1967 ที่เฮนเดอสันเมืองเล็กๆในอาร์เจนตินา คานิคเกียเจ้าของผมสีทองยาวสลวยและความพิสมัยในรสของมวนบุหรี่ มันทำให้เขามีมาดของดาราร็อคผู้เล่นหนักหน่วงและสนุกสุดขั้วมากกว่าจะเป็นนักกีฬาระดับโลก คานิคเกียมีคุณสมบัติที่ศูนย์หน้าทุกคนควรมี จนได้รับฉายาว่า “เจ้าวิหค” (และยังมีอยู่แม้ในวัย 30 กว่าที่ถือเป็นบั้นปลายอาชีพของนักฟุตบอล) นั่นคือความเร็วสูงที่สามารถทะยานลิ่วแซงแนวรับฝ่ายตรงข้าม พุ่งดิ่งไปยังตาข่ายเพื่อจุดประสงค์เดียวเท่านั้น ยังจำได้ดีภาพคานิในนัดเปิดสนามฟุตบอลโลกปี 1990 ที่กำลังครองบอลวิ่งทะยานจนตัวเกือบปลิว กระโดดพ้นการสกัดของนักเตะแคเมอรูนถึงสองครั้ง ก่อนจะถูกเสียบอย่างเหี้ยมเกรียมจนรองเท้าคู่แข่งหลุดและคานิล้มกลิ้งชนิดลุกไม่ขึ้น แต่สิ่งที่แฟนบอลไม่มีวันลืมในฟุตบอลโลกปีเดียวกันคือประตูโทนของเขาในนัดอาร์เจนตินา - บราซิล จากการจ่ายอันงดงามเหนือชั้นของมาราโดนา คานิวิ่งหลบกองหลังบราซิล 3 คน ก่อนจะซัดบอลเข้าไปตุงก้นตาข่าย ถีบบราซิลที่ฟอร์มเหนือกว่าในนัดนั้นตกรอบอย่างชนิดแฟน (แซมบ้า) ช็อคตาตั้ง และประตูเดียวของเขาอีกครั้งในรอบเซมิไฟนัลกับอิตาลีก็ทำให้เจ้าภาพต้องน้ำตาตก ช่วยพาอาร์เจนตินาเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ แต่คานิถูกคาดโทษครบจำนวนใบเหลืองในนัดนี้ ทำให้เขาไม่ได้ลงช่วยชาติในนัดชิงแชมป์บอลโลกปีนั้น

นาทีก่อนสับไก บอลที่มาราโดนาแทงลอดขานักเตะบราซิลมาให้


Celebration time!!


The joy for one Argentina fan in Italia 90 was the priviledge to watch Cani in full flight.


El Pajaro doing what he does best. He flew like a bird and stung like a bee.


Cani after another goal


คานิคเกียเปล่งประกายดาวจรัสแสงสมัยที่เล่นให้แอตตาแลนต้าและอาเอส โรม่า แต่เขาถูกกล่าวหาว่าเสพโคเคน มันทำให้คานิตัดสินใจกลับบ้านเกิดมาเล่นให้โบคา จูเนียร์ ได้อยู่ร่วมสโมสรกับมาราโดนา ตำนานฟ้าขาวบอกว่าคานิคเกียคือน้องรักร่วมชาติ ขุนศึกคู่ใจของเขาในทีมฟ้าขาว และเขาอุ่นใจเสมอเวลามีคานิคเกียอยู่เคียงข้างบนสนาม (ความสนิทสนมนี้ บวกกับที่ทั้งสองเคยจูบปากฉลองหลังจากคานิซัดแฮททริกในนัดเอล คลาสิโคที่บอมโบเนร่า จนทำให้มาริอาน่า แนนนิส นางแบบสาวภรรยาของคานิคเกีย ถึงกับเอ่ยปากว่าบางครั้งเธอคิดว่ามาราโดนาต้องหลงรักสามีผมยาวสลวยกล้ามใหญ่เป็นมัดของเธอเป็นแน่) มาราโดนายังเขียนถึงคานิคเกียในอัตชีวประวัติของเขาว่าสิ่งเดียวที่เคลาดิโอ คานิคเกียขาย และขายเก่งมากคือฟุตบอล ไม่ใช่ยาเสพติดอย่างที่คนกล่าวหาเขา คานิคเกียกลับไปยุโรปอีกครั้งหลังจากนั้นโดยร่วมสโมสรดันดีในลีกสก๊อต จากนั้นก็ย้ายมาสโมสรเรนเจอร์ส ก่อนจะไปค้าแข้งในบั้นปลายอาชีพที่การ์ต้า คานิคเกียแขวนสตั๊ดในปี 2004



The "kiss" in question.


Is this what Mariana means.


เคลาดิโอ คานิคเกียติดทีมชาติ 50 ครั้งในช่วงต้นทศวรรษ 90 ยิง 16 ประตู เป็นหนึ่งในทีมฟ้าขาวชุดลุยฟุตบอลโลกปี 1990 และ 1994 แต่หลุดโผในฟุตบอลโลกปี 1998 เมื่อเขาปฏิเสธที่จะตัดผมยาวสลวยที่กลายมาเป็นเอกลักษณ์ ตามกฏระเบียบสุดเฮี้ยบของดาเนียล ปาซซาเรลล่าผู้จัดการทีมชาติชุดนั้น คานิคเกียจะกลับมาสวมเสื้อฟ้าขาวอีกครั้งในฟุตบอลโลกปี 2002 ครั้งนี้เขาจะไม่ได้ลงเล่นแม้แต่นัดเดียวแต่ก็ได้ใบแดงส่งท้ายการคัมแบค หลังจากสบถใส่ผู้ตัดสินจากซุ้มม้านั่งตัวสำรองข้างสนามในนัดที่เจอสวีเดน

Red carded without playing a single game in his last match in the national kit.


But life is still beautiful.


Partners in crime. Old pals back together again.


EL PAJARO. 4-EVER CANIGGIA




 

Create Date : 09 สิงหาคม 2549    
Last Update : 13 สิงหาคม 2549 2:28:31 น.
Counter : 6480 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  

la liga fan
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




อย่าฟังความข้างเดียว เหรียญมีสองด้าน

ไม่มีใครช่วยเราได้ ถ้าเราไม่คิดจะช่วยเหลือตัวเองก่อน

A rich man is not one who has the most, but one who need the least.
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add la liga fan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.