LUNGKAWI - PENANG





 
เกาะลังกาวี

ไปมาเมื่อปี 2550

ไปค้นรูปมาทำ blog ค่ะ รายละเอียดไม่เยอะเท่าไหร่ จำไม่ค่อยได้


Trip กทม.--- ลังกาวี --- ปีนัง
 
#blog นี้ เป็นการกู้ blog โดยลงรูป ใหม่#

3 พ.ค. 2550
วันแรก การเดินทางบินตรงกรุงเทพฯ – ลังกาวี โดยสายการบินไทยแอร์เอเชีย





ลังกาวี (Langkawi)
ลังแปลว่านกอินทรีย์ ( เหยี่ยวดง )
กาวี แปลว่าบริเวณลานหินอ่อนที่นกนี้มาเกาะจับเพื่อหากินปลา

เกาะลังกาวีนี้ อยู่ทางทิศเหนือ ของแหลมมลายูติดกับเขตแดนไทย
เป็นเกาะรัฐเกดะห์ แม้จะใกล้กับฝั่งกัวลาปะลิศ ในรัฐปะลิศ มากกว่า
แต่จะว่าไปแล้วกลับอยู่ใกล้เกาะตะรุเตามากที่สุด
ห่างกันเพียง 8 กิโลเมตรเท่านั้น
จึงไม่แปลกที่ในอดีตเกาะลังกาวีเคยเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของไทย
หมู่เกาะลังกาวีประกอบด้วยเกาะน้อยใหญ่รวม 104 เกาะ
ซึ่งเกาะลังกาวี “ดินแดนแห่งนกอินทรีสีน้ำตาลแดง” นับเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุด
มีพื้นที่ 478.5 ตารางกิโลเมตร มีประชากรกว่า 5 หมื่นคน
ประชาชนส่วนใหญ่ เป็นชาวมาเลย์นับถือศาสนาอิสลาม
ชาวจีน ชาวอินเดีย และชาวไทยอยู่บ้างแต่ไม่มาก



เมื่อมาถึง เอากระเป๋า เก็บที่พัก

ไปชายหาดค่ะ ชายหาดไม่กว้างนัก แต่ก็คนไม่เยอะ
 
ต้นสนถ่ายรูปคู่ ให้ พ่อ-แม่
เป็นรูปคู่ในช่วงเวลาหลายปีที่ไม่ได้ถ่ายคู่กันเลย





4 พ.ค. 2550

วันที่สอง ไปขึ้นกระเช้า

Langkawi Cable Car ที่ได้ขึ้นชื่อว่าสูงที่สุดและสวยที่สุด
อยู่ทางตะวันตกของเกาะ
โดยสถานี Cable Car จะอยู่ในส่วน Oriental Village
หมู่บ้านโอเรียนเตลเป็นแหล่งช็อปปิ้ง
ได้ออกแบบการสร้างเป็นพิเศษเพื่อให้ความคิดใหม่ในการเป็นสถานที่ช็อปปิ้งปลอดภาษี




สถานีกระเช้าลอยฟ้า นำเราขึ้นยอดเขา Mat Cincang ชมทัศนียภาพของหุบเขา
ซึ่งถ้าสภาพอากาศดีๆ ก็จะมองเห็นไปได้ถึงพวกหมู่เกาะอาดังราวี และทิวทัศน์ของเกาะลังกาวีทั้งหมด
และสามารถเห็น หมู่เกาะตะรุเตา หมู่เกาะดง ของไทยได้นะคะ

กระเช้า ใช้เวลาเดินทางราว 15 - 20 นาที


จะถึงจุดสูงสุดเพื่อถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกับทิวทัศน์ที่สวยงามของเกาะลังกาวี





จากจุดที่ลงกระเช้ามีทางเดินลอยฟ้า 
ทางเดินทำได้ดีมากๆ
อยู่กลางภูเขาให้ไปเดินชมวิวด้วยค่ะ
วันที่ไปมีฝนตกปรอยๆ เราก็เดินไป ชมวิว กันอยู่ค่ะ








ไปต่อที่Black Sand Beach หรือหาดทรายดำ จะอยู่ชายทะเลตอนเหนือของเกาะ





จากนั้น ไปชม Galeria Perdena
หรือพิพิธภัณฑ์ซึ่งรวมเรื่องราวของ ดร.มหาธีร์ มูหะหมัด อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย
รวมของใช้ของที่ระลึกต่างๆ ที่ท่านได้รับ อยู่ทางตะวันออกของเกาะ
ค่าเข้าชม : 5 ริงกิต (กรณีนำกล้องเข้าไปถ่ายคิดเพิ่มอีก 2 ริงกิต)





ไปกินข้าวเที่ยงใกล้กับEagle Square
ก็จะมีนกอินทรีย์ขนาดใหญ่ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเกาะลังกาวี
มีร้านค้า ขายของที่ระลึก อยู่บริเวณนั้นด้วยค่ะ





เดินทางสู่ ตลาดกั๋ว ซื้อของปลอดภาษี
ลังกาวีเป็นเกาะปลอดภาษี ร้านค้าที่เป็น Duty Free จะกระจายอยู่ทั่วเกาะ
ตามแหล่งชุมชนก็จะมีห้างอยู่
แต่ที่เป็นศูนย์ใหญ่ที่ทัวร์มักจะนำนักท่องเที่ยวมาลงคือ Kuah Town
ซึ่งเป็นศูนย์กลางของเกาะลังกาวี ซึ่งน่าจะโดนใจคนไทยนักช๊อปทั้งหลายแน่นอน
มีสินค้ามากมายทั้งเสื้อผ้า ของที่ระลึก อย่างพวกรูปแผนที่เกาะมีขายแต่เฉพาะที่นี่
ส่วนของที่คิดว่าถูกมากๆจะเป็นพวกเหล้าค่ะ...
ดังนั้น สิ่งที่ต้องเตรียมไปสำหรับขาช๊อปทั้งหลายก็คือ money ในกระเป๋า

ตลาดที่นี่ไม่ทันสมัยเหมือนอย่างที่ฮ่องกง

ชุดนี้ซื้อที่ตลาดกั๋ว ต้นสนเอามาใส่เล่นตอนกลางคืน




Makarn Mahsuri หรือ สุสานของพระนางมัสซูรี หรือ พระนางเลือดขาว
ที่นี่จะอยู่บริเวณใจกลางของเกาะ ค่าเข้าชม : 10 ริงกิต

ตามตำนานเล่าว่า พระนางมัสซูรี เป็นหญิงสาวชาวภูเก็ต
ที่อนุชาองค์สุลต่านแห่งลังกาวี ทรงเลือกเป็นคู่ครอง
เนื่องจากพระนางเป็นหญิงสาวที่มีความเพียบพร้อมทั้งงานบ้านงานเรือนและความสวยงาม
ทั้ง ๆ ที่ทางราชวงศ์ได้คัดเลือกหญิงสาวชาวลังกาวีหลายคน
ให้พระอนุชาเลือก แต่ก็ไม่ถูกใจ กลับมาถูกใจสาวไทยชาวภูเก็ต
พระนางมัสซูรี มาอยู่กับพระอนุชาของสุลต่านในฐานะพระชายาองค์รอง
แต่ด้วยเหตุที่พระชายาองค์ใหญ่ ซึ่งมีฐานะเป็นปะไหมสุหรีมีบุตรเป็นหญิง
ส่วนพระนางมัสซูรีมีบุตรเป็นชาย
ตามกฎของสำนัก พระชายาที่มีบุตรเป็นชายจะได้รับตำแหน่งปะไหมสุหรี
ทำให้ชาวลังกาวีที่เป็นพระญาติของปะไหมสุหรีองค์เดิมเก็บความอิจฉาไว้ลึก ๆ
หลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้เกิดสงคราม
มีเหตุให้พระอนุชาขององค์สุลต่าน ซึ่งเป็นพระสวามีของพระนางมัสซูรี
ต้องเดินทางออกรบกับกองทัพไทยที่บุกมา
ดังนั้นเป็นโอกาสของผู้ที่ปองร้าย
ต่างหาเรื่องสร้างสถานการณ์ว่าพระนางมัสซูรีมีชู้
ทำให้องค์สุลต่าน ตัดสินประหารชีวิตพระนางด้วยกริช
โดยที่พระอนุชา สวามีของนางไม่อาจกลับมาช่วยเหลือได้ทัน

ก่อนเสียชีวิตพระนางอธิษฐานว่า หากนางไม่มีความผิด
ขอให้โลหิตที่หลั่งออกมาเป็นสีขาวเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของนาง
และขอให้เกาะลังกาวีไร้ความเจริญไป 7 ชั่วคน
แต่คมกริชประหารกลับไม่ระคายผิวนางเลย
พระนางมัสซูรี จึงบอกกับเพชฌฆาตให้กลับไปนำกริชพิเศษของต้นตระกูลจากบ้านของนางมา
ขณะที่คมกริชจดลงไปบนคอของนาง
โลหิตสีขาวก็พวยพุ่งขึ้นข้างบนราวกับเป็นร่ม โดยไม่ตกลงบนพื้นดินเลย


สำหรับสุสานของนางมัสซูรีนั้น มีสุสานที่สร้างด้วยหินอ่อน
และคำจารึกภาษามาเลเซียและภาษาอังกฤษ
ซึ่งจัดสร้างทำขึ้นภายหลัง มีข้อความว่า . . .

MAHSURI BINTI PANDAK MAYAH

MAHSURI A VICTIM OF TREACHERY
AND JEALOUSY WAS SENTENCED TO DEATH
IN 1235 HIJRAH OR 1819 A.D.
AS SHE DIED SHE LAID A CURSE ON THE ISLAND
"THERE SHALL BE NO PEACE AND PROSPERITY ON THIS ISLAND
FOR A PEROID OF SEVEN GENERATIONS''

แปลความได้ว่า . . .

มัสซูรีผู้รับเคราะห์กรรมจากการทรยศหักหลัง
และความอิจฉาริษยาจนถูกตัดสินให้นางถึงแก่ความตายลง
เมื่อศักราช (อิสลาม) 1235 หรือ คริสต์ศักราช 1819 (พ.ศ. 2362)
นางสิ้นชีวิตลงพร้อมกับคำสาปแช่งที่แห่งนี้ว่า
''จะไม่เกิดสันติสุขและความเจริญรุ่งเรืองบนเกาะแห่งนี้ เป็นเวลา 7 ชั่วอายุคน''





และนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา "เกาะลังกาวี" ก็เงียบเหงา
ผู้คนอยู่กันอย่างไม่มีความสุข เพราะมนตราแห่งการสาปแช่งของพระนางมัสซูรี
มาตั้งแต่ พ.ศ.2362 เป็นเวลา 181 ปี
ตกอยู่ในอำนาจของคำสาปที่มืดดำเฉกเช่นชายหาดที่มีสีดำ
นัยว่าเกาะแห่งนี้ถูกอำนาจแห่งความบริสุทธิ์นั้นสาปแช่ง
ให้จมอยู่กับความตกต่ำเป็นอาถรรพ์ครอบคลุมมาถึง 7 ชั่วอายุคน
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เกาะลังกาวีกำลังจะผ่านพ้นช่วงแห่งความมืดมิด
เพราะได้ผ่านพ้นมาแล้ว 6 ชั่วอายุคน
และก้าวเข้าสู่คนรุ่นที่ 7 ซึ่งมีความสำคัญมาก
เพราะจะเป็นผู้มาแก้คำสาป เพื่อทำให้เกาะลังกาวีหลุดพ้นจากอำนาจลึกลับ

หนังสือพิมพ์หลายๆ สำนักของมาเลเซีย และรัฐบาลมาเลเซีย
ต่างพากันออกตามหาผู้สืบทอดเชื้อสายของพระนางมัสซูรี
จนมาพบว่าทายาทรุ่นที่ 7 ได้อาศัยอยู่ที่จังหวัดภูเก็ต ประเทศไทยซึ่งก็คือ
นางสาวศิรินทรา ยายี
มีหลักฐานมากมายที่แสดงถึงความเป็นทายาทผู้ถอนคำสาป
ไม่ว่าจะเป็นกริซประจำตระกูล รูปภาพ
และบรรพบุรุษชื่อ "วันฮาเกม"
ทางรัฐบาลจึงเชิญพระนางทายาทรุ่นที่ 7 กลับสู่เกาะลังกาวี
เพื่อถอนคำสาป
จากเด็กผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตตามปกติ
แต่เมื่อเธอได้ไปยืนอยู่บนแผ่นดินเกาะลังกาวี
เธอกลับกลายเป็นเจ้าหญิงน้อยๆ ไปในทันที

คลิปผู้ถอนคำสาปของเกาะลังกาวี




"ศิรินทรา ยายี" หรือ "เมย์"
เกิดเมื่อวันที่ 8 เดือน 8 (สิงหาคม) พ.ศ. 2528
ที่โรงพยาบาลวชิระ จังหวัดภูเก็ต
(น่าแปลกที่วันนั้นไม่มีเด็กคนไหนถือกำเนิดเกิดขึ้นมาพร้อมๆ กับเธอเลย
แถมท้องฟ้าที่ใสกระจ่างกลับมืดดำ
และฝนก็เทกระหน่ำลงมานานถึง 1 เดือน)
ศิรินทรา ยายี เป็นบุตรสาวของนายสุวรรณ ยายี และนางสุนี ยายี มีน้องชาย 1 คน
แม้ว่าทางประเทศมาเลเซียจะเสนอให้ครอบครัวเธอย้ายไปอยู่ที่นั่น
โดยจะมอบบ้าน รถ ที่ดิน และสิทธิในการเป็นเจ้าของเกาะให้ด้วย
แต่ศิรินทรา ยายี เลือกที่จะอยู่ต่อที่ประเทศไทย เพราะเธอรักประเทศไทย

"หนูรู้สึกภูมิใจในการที่ได้เกิดเป็นทายาทรุ่นที่ 7 เพราะคุณทวดหนูเป็นคนดี
และหนูคงเอาความดีของคุณทวดมาเป็นแบบอย่าง" ศิรินทรากล่าว
หลังการไปเยือนเกาะลังกาวีของ ศิรินทรา ยายี เมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว
ทำให้เกาะต้องมนต์แห่งนี้ เจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว
เพราะรัฐบาลมาเลเซียได้ใช้งบประมาณมหาศาล
ในการฟื้นคืนชีพเกาะลังกาวีในความเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ทางประวัติศาสตร์


ที่นี่เราเจ้าเจอนกอินทรีย์ ที่เป็นสัญลักษณ์อยู่ในกรงด้วยค่ะ


Photobucket


5 พ.ค. 2550
วันที่สาม ไปลงเรือ

ลงเรือไป แพกลางน้ำ ปูเลา ปายาร์ มารีนปาร์ค Pulau Payer
อุทยานทางทะเลที่ต้องใช้เวลาเดินทางจากฝั่งประมาณ 2 ชั่วโมง
ที่นั่นจะสามารถสัมผัสกับปลาทะเลหลากสี รวมทั้งปลาฉลามให้ชมด้วยค่ะ






เล่นน้ำเสร็จ บ่ายบ่าย เราก็ขึ้นเรือต่อไป ปีนัง นั่งเรือ อีก สองชั่วโมง


ปีนัง (Penang)
รัฐที่มีสมญาว่า “ไข่มุกตะวันออก” (Pearl of the Orient)
อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของคาบสมุทรมลายู
ปีนังประกอบด้วยส่วนที่เป็นเกาะ มีพื้นที่ประมาณ 285 ตารางกิโลเมตร
และส่วนที่เป็นแผ่นดินใหญ่ 760 ตารางกิโลเมตร
ทั้ง 2ส่วนคั่นด้วยช่องแคบที่มีความกว้าง 3 กิโลเมตรระหว่างท่าเรือเฟอร์รีเมืองจอร์จทาวน์บนเกาะ กับท่าเรือบัตเตอร์เวิร์ธบนฝั่งแผ่นดินใหญ่
ก่อนหน้านี้การสัญจรระหว่างสองฟากฝั่งต้องอาศัยเรือข้ามฟาก
แต่ปัจจุบันสะดวกสบายยิ่งขึ้น เมื่อรัฐบาลมาเลเซียสร้างสะพาน Penang Bridge ยาว 7 กิโลเมตรเชื่อมสองแผ่นดิน
และได้ชื่อว่าเป็นสะพานที่ยาวที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

จุดเริ่มต้นของปีนังนับเนื่องมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1786
เมื่อเซอร์ ฟรานซิส ไลท์ (Sir Francis Light)
พ่อค้าชาวอังกฤษได้เดินทางมาถึงและมีความคิดที่จะครอบครองดินแดนนี้
จึงเจรจากับสุลต่านรัฐเคดะห์เพื่อยินยอมให้บริษัท บริติชอีสท์อินเดียเช่าเกาะปีนัง
แลกกับการคุ้มครองจากการรุกรานของประเทศสยาม
หลังทำข้อตกลงให้เช่าเกาะเรียบร้อยแล้ว
อังกฤษ นำโดยเซอร์ ฟรานซิส ไลท์ ก็ยกพลขึ้นบก
บริเวณที่ตั้งศาลาว่าการเมือง (City Hall) ในปัจจุบัน
เมื่อถางป่าจนราบเรียบแล้วก็พัฒนาให้เป็นท่าเรือแล้วตั้งชื่อเกาะนี้ว่า
“เกาะปรินซ์ออฟเวลส์” (Prince of Wales Island)
จากนั้นก็ตั้งเป็นท่าเรือเสรีไม่มีการเก็บภาษีการค้านำเข้าและส่งออก
ดึงดูดพ่อค้าจากต่างถิ่นเข้ามาตั้งรกรากบนเกาะนี้ ทั้งจีน อินเดีย และชวา
จำนวนประชากรเพิ่มขึ้นจนกลายเป็นชุมชนเมือง
จึงมีการตั้งชื่อเมืองท่าแห่งนี้ว่า “จอร์จทาวน์” (Georgetown)
ตามพระนามพระเจ้าจอร์จที่ 3 แห่งอังกฤษ

จากประวัติศาสตร์ที่ต้องตกอยู่ใต้อาณัติของอังกฤษ กอปรกับการเข้ามาของชนหลายเชื้อชาติ
ปีนังในวันนี้จึงมีบรรยากาศและวัฒนธรรมผสมผสาน
ระหว่างตะวันออกและตะวันตกอย่างกลมกลืน
นอกจากธรรมชาติงดงามและอากาศสดชื่นแล้ว
ยังมีสถาปัตยกรรมหลากหลายรูปแบบประดับเมืองให้น่าชม
รวมถึงความเจริญในแบบเมืองเศรษฐกิจ รวมถึงความเพลิดเพลิน
สะดวกสบายที่ครบถ้วนสมกับเป็น “ไข่มุกตะวันออก” ซึ่งมีชื่อเสียงไปทั่วโลก


จุดแรกที่ไปชมคือ ป้อมปืนคอร์นวอลลิส (Fort Cornwallis)

เป็นจุดที่เซอร์ฟรานซิส ไลท์ ยกพลขึ้นบกยังผืนแผ่นดินของปีนัง
ตัวป้อมปราการสร้างขึ้นในปลายศตวรรษที่ 17 แรกเริ่มสร้างด้วยไม้
มาปรับปรุงใหม่เป็นคอนกรีตเมื่อปี ค.ศ. 1804 โดยใช้แรงงานนักโทษ
ป้อมแห่งนี้มีลักษณะเป็นรูปดาว สูงประมาณ 10 ฟุต

การเข้าชมภายในป้อมนั้น ใช้เวลาเพียงแค่ 10 นาทีก็สามารถแกะรอยประวัติศาสตร์ได้
ด้วยการอนุรักษ์โครงสร้างที่คงเดิมเอาไว้
ทำให้ได้เห็นภาพที่ใกล้เคียงยุคอดีต
ทั้งห้องสวดมนต์ ห้องคุมขังนักโทษ คลังเก็บดินปืน
และปืนใหญ่โบราณทำด้วยบรอนซ์หลายกระบอก
หนึ่งในนั้นคือปืน “ศรีรัมไบ” (Sri Rambai) ซึ่งชาวดัตช์มอบให้สุลต่านแห่งยะโฮร์
(ชาวท้องถิ่นมีความเชื่อว่าปืนศรีรัมไบให้คุณกับสตรีในเรื่องการมีบุตร)
การที่เจ้าหน้าที่ที่นี่สวมเครื่องแต่งกายย้อนยุคในสมัยจักรวรรดินิยม
ช่วยเติมบรรยากาศของยุคอดีตได้อย่างดี
นอกจากนี้ยังมีศูนย์ศิลปหัตถกรรมของชาวพื้นเมือง
ห้องจัดแสดงภาพความเป็นอยู่ภายในป้อมเมื่อครั้งอดีต
และภาพการสู้รบป้องกันดินแดน เต้นท์ทหารเก่า
ส่วนที่ด้านหน้าทางเข้ามีรูปปั้นของเซอร์ฟรานซิส ไลท์




มื้อเย็นไปกินที่ กวนไจ๋โกว เป็นเหมือนตลาดโต้รุ่ง อาหารที่นี่ อร่อย และ เยอะมาก คนก็เยอะ




6 พ.ค. 2550
วันที่ สี่ ไปวัด

วัดเก็กล๊กซี (Kek Lok Si) หรือ วัดเขาเต่า

ตั้งอยู่บนเชิงเขาในเขตเอเยอร์ อิตัม วัดแห่งนี้นับเป็นวัดพุทธที่ใหญ่ที่สุดในมาเลเซีย
และได้ชื่อว่าเป็นวัดจีนที่สวยที่สุดด้วย
ชม“มหาเจดีย์พระพุทธรูปหมื่นองค์” (Pagoda of Ten Thousand Buddhas)
อันเป็นพุทธศิลป์ที่รวมความงามของสามประเทศเข้าไว้ด้วยกัน อันได้แก่ ไทย จีน และพม่า
ซึ่งเป็นเจดีย์ทองที่ประดับพระพุทธรูปแกะสลักจำนวนหมื่นองค์
นอกจากนี้ยังมีรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่ที่เพิ่งสร้างเมื่อไม่นานมานี้
ประดิษฐานอยู่บนยอดเขา

วัดนี้เรียกอีกอย่างว่าวัดเขาเต่าเพราะในบริเวณวัดมีสระน้ำขนาดใหญ่
ซึ่งมีเต่าอาศัยอยู่จำนวนมาก
ทางเดินขึ้นวัด มีร้านค้ามากมายสามารถแวะช้อปปิ้งสินค้าพื้นเมือง
ของที่ระลึกต่างๆ ต่อราคาได้
อาทิ เช่น ขนมเปี๊ยะ บะกุ๊ดแต๋ โสมจีน และร้านช็อคโกแลต





ไปชมวัดไทยที่ใหญ่ที่สุดในปีนัง “ วัดไชยมังคลาราม ” (วัดไทย)
ซึ่งมีพระพุทธไสยาสน์องค์ใหญ่ที่สุดในมาเลเซีย
ตรงข้ามกันมี วัดพม่า ชมสถาปัตยกรรมอันวิจิตรตระการตา
หลังจากนั้นเดินทางกลับกรุงเทพ





#หมายเหตุ blog นี้ เป็นการกู้รูปที่โดน Photobucket เรียกค่าไถ่รูป 
โดยการลงรูปในคอมที่พอหาได้ อาจไม่ครบหมด#



Create Date : 23 มีนาคม 2554
Last Update : 7 กุมภาพันธ์ 2564 15:24:59 น. 4 comments
Counter : 3195 Pageviews.

 
การที่ได้นั่งดูรูปเก่าๆ ก็มีความสุขไปอีกแบบ
ถึงแม้จะผ่านไปแล้วหลายปี บางเรื่องราวก็เหมือนเพิ่งผ่านไปเมื่อวาน
อ่านแล้วขอชมว่า ขยันหาข้อมูลมากๆครับ ได้ทั้งความรู้และความเพลิดเพลินครับ


โดย: หมุนตามไมล์ วันที่: 30 มีนาคม 2554 เวลา:23:45:15 น.  

 
ไม่เคยไป

ก็เที่ยวที่นี่ ระเอียดดีค่ะ


โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 11 เมษายน 2554 เวลา:17:34:15 น.  

 

สุขสันต์วันสงกรานต์ค่ะ คุณ me-o

ขอให้มีความสุข สุขภาพแข็งแรงเหมือนทุกๆ วันค่ะ





โดย: สายหมอกและก้อนเมฆ วันที่: 13 เมษายน 2554 เวลา:9:59:46 น.  

 
เป็น blog มาเลย์ และแปลภาษามาเลย์ที่ดีมากครับ


โดย: คุณ โตน วันที่: 12 กรกฎาคม 2554 เวลา:8:21:33 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

me-o
Location :
เชียงราย Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




สวัสดีค่ะ

me-o เป็นคนรักแมวค่ะ
เคยเลี้ยงไว้ มากสุด12 ตัว
ปี 2563 เหลือ 4 ตัว
เลี้ยงมาพร้อมกับลูกชายวัย 19 ปี
มีลูกคนเดียว กลัวไม่เหนื่อย เลยมีแมวเยอะ555
แมวเลี้ยงมาก่อนมีลูกชาย
ปี 2559 แมวที่เลี้ยงมาเริ่มหดหาย เป็นลิวคีเมีย

ปี 2560 บ้านมีสมาชิกใหม่ บีเกิ้ล 1 ตัว
ประตูบ้านพังไป 3 บาน และอื่นๆที่นับไม่ถ้วน

ชอบท่องเที่ยว ไปที่ต่างๆ
แล้วแต่เวลาจะอำนวย

สนใจการถ่ายรูป
รูปที่ลงในBlogจะถ่ายเอง
ใช้กล้อง โอลิมปัส E-410 ---> omd em5
คาดหวังไว้ว่า
รูปถ่ายจะสวยสุดยอดสักวัน
แต่ รูปจะสวยสุดยอด ต้องอาศัยการแต่งรูปช่วยเท่านั้น
ยังต้องเรียนรู้จะฝึกฝน เรื่อง โฟโต้ช้อป อีกเยอะ
แต่ผ่านมาหลายปีก็ยังแต่งรูปไม่เป็นสักที

ปี 2556 เปลี่ยนมาใช้
กล้อง โอลิมปัส OM-D E-M5
เพราะ E-410 เริ่มพัง สายแพที่เลนส์ขาด
ซ่อมแล้ว ก็ยังใช้งานไม่ปกติ

OM-D E-M5 เข้ามาเป็นกล้องตัวเก่ง เที่ยวไปทั่ว แทนที่

กลาง ปี 2556 เริ่มทำ blog เรื่องความงาม
เขียนเล่าประสบการณ์
ในส่วนนี้ รูปที่ถ่ายในสถานที่เสริมความงาม
จะเป็นกล้องจากแทปเล็ท ซัมซุง note8
ก็รู้ว่าไม่ถนัดเรื่องด้านนี้ เพราะ...
ข้อมูลประกอบเป็นเหตุผลและอารมณ์เยอะเกิน
เลยเลิกทำ

ธ.ค. 60 เริ่มลง blog ร้านอาหาร
รูปใน blog จะใช้มือถือ oppo f1 ---> oppo f11 pro
เพราะง่ายในการใช้งาน
ทีแรกตั้งใจจะไม่ทำส่วนนี้
แต่เห็นคนนอก พื้นที่ ยังทำเยอะกว่าคนที่กินประจำอีก
อยากแนะนำร้านดี อร่อยคุ้มราคาบ้าง

การนำรูปไปใช้ ในwebอื่นๆ
ให้แปะ link ได้นะคะ
ไม่อนุญาตให้ เอารูปใน blog ไปใช้ในweb อื่นๆ

ไม่อนุญาต ให้เอารูปใน blog
ไปตีพิมพ์ในหนังสือ หรือ นำไปทำแผนที่ หรือ ทำ ใบปลิวโฆษณา

สวัสดีค่ะ ยังเขียนblogอยู่ แต่นานๆมาที คิดถึง BlogGang

New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add me-o's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.