ทำสบายๆ ทำหัวใจเอกเขนก
เครือข่ายคนกินข้าวเกื้อกูลชาวนา - เมื่อการกินข้าวจะเป็นมากกว่ามื้ออาหารและความอิ่มท้อง

เครือข่ายฅนกินข้าวเกื้อกูลชาวนา
-- เพื่อการกินข้าว ที่จะเป็นมากกว่ามื้ออาหารและความอิ่มท้อง - -


มีการเดินทางอยู่ครั้งหนึ่ง ที่เปลี่ยนแปลงความรู้สึกในการกินข้าวของฉันไปอย่างสิ้นเชิง
การเดินทางครั้งนั้น ทำให้รู้ว่า การกินข้าวแต่ละมื้อของเรานั้น มันมีความหมายมากกว่าแค่ความอร่อยและความอิ่มท้อง
แต่มันมีความหมายถึงขั้นเปลี่ยนแปลงประเทศชาติ และทำให้ได้รู้ว่าการกินข้าวของคนหนึ่งคนนั้น มันไม่ใช่แค่เรื่องของคนเพียงคนเดียวอีกต่อไป

การเดินทางครั้งนั้น คือการเดินทางที่มีชื่อว่า “ความจริงจากคนปลูกข้าว ถึงชาวเครือข่าย” ที่จัดขึ้นโดยบริษัททีวีบูรพา จำกัด ซึ่งเป็นการเดินทางที่พาคนกินข้าวในเมือง ไปพบปะและรู้จักกับชาวนาผู้ปลูกข้าวให้เรากิน ทำให้คนกินข้าวอย่างเรา ได้รู้ถึงที่มาของข้าว ได้เห็นเรื่องราวของข้าว และได้รับรู้ความจริงบางอย่างที่น่าสลดใจที่เกิดขึ้นกับคนปลูกข้าว - ความจริงที่คนเมืองไม่สามารถนิ่งดูดาย เพราะมันอาจหมายถึงการ “สิ้นนา สิ้นชาติ” และความลำบากก็ย่อมตกมาถึงคนกินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

แต่นอกเหนือจากการได้รับรู้ปัญหา สิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งที่ได้มาคือการมองเห็นทางออก

ทางออกที่ว่า ในฐานะคนกินข้าวอย่างเรา
จะ “เลือก” กินอย่างไร ที่ไม่เป็นการเบียดเบียดสังคม
จะ “เลือก” กินอย่างไร ที่ไม่เป็นการเอาเปรียบชาวนา
และจะ “เลือก” กินอย่างไร เพื่อช่วยประเทศชาติให้ดีขึ้น


เรื่องราวเบื้องหลังเมล็ดข้าว – ความจริงที่น่าสลดใจ

มันน่าแปลกไหม ...ที่ประเทศไทยเป็นประเทศที่ส่งออกข้าวเป็นอันดับหนึ่งของโลกติดต่อกันมานานหลายปี แต่ชาวนาไทยส่วนใหญ่ กลับไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตัวเอง

มันน่าแปลกไหม ... ที่คนไทย 60 กว่าล้านคนในประเทศกินข้าวทุกวัน วันละ 3 มื้อ แต่ชาวนาผู้ปลูกข้าวกลับอดอยากและเต็มไปด้วยหนี้สิน

มันน่าแปลกไหม ... ที่หลักสูตรในตำราเรียนบอกว่า ชาวนาคือกระดูกสันหลังของชาติ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็นว่า เด็กรุ่นใหม่ไม่มีใครอยากทำนา ที่นามีเพียงคนแก่ๆทำนา เพราะลูกหลานพากันทิ้งนาเข้าเมืองกันหมด

มันน่าแปลกไหม ... ที่อาชีพที่ปลูกข้าวให้คนทั้งประเทศได้กิน กลับไม่เคยได้รับการยกย่อง ใช้ชีวิตอยู่อย่างถูกเอารัดเอาเปรียบ จนมีคำพูดที่ว่า “ชาวนาเนี่ยกำหนดราคาได้สองอย่าง คือลูกสาว กับ วัว เท่านั้นแหละ” ถูกกดขี่จนชาวนาบางคนถึงกับบอกว่า “ให้ลูกทำนาน่ะเหรอ ...ให้ไปขายตัวยังจะดีซะกว่า”

มันน่าแปลกไหม ... ที่อาชีพที่สำคัญที่สุดอย่างชาวนา กลับกลายเป็นอาชีพที่ดูต้อยต่ำในสังคม ใครเรียนจบปริญญา แล้วไปเป็นชาวนา กลายเป็นว่าเป็นเรื่องแปลก

มันเกิดอะไรขึ้นกับสังคมไทย


ทั้งๆที่รู้

ทั้งๆที่เราก็รู้กันมาตั้งแต่เด็กๆว่า ชาวนายากจน เพราะถูกพ่อค้าคนกลางกดราคา
ปัญหาที่ทุกคนในประเทศรู้ แต่ไม่ว่ากี่ปีผ่านไป ปัญหาก็ยังคงอยู่ที่เดิม
ผู้นำประเทศแต่ละชุด ก็ไม่เคยมีใครที่จะใส่ใจอย่างแท้จริง ปัญหาเดิมก็ยังคงถูกทิ้งไว้เช่นนั้น

แม้ว่าคนกินข้าวอย่างเรา จะรู้สึกสงสารชาวนาแค่ไหน แต่ที่ผ่านมาเราก็มองไม่เห็นหนทางว่าเราจะช่วยชาวนาได้อย่างไร

สิ่งที่คนเมืองทำเพื่อชาวนา และสำนึกในบุญคุณของชาวนาได้ ก็มีเพียงแค่ว่า “กินข้าวให้หมดจาน”

ซึ่งเอาเข้าจริงๆแล้ว การกินข้าวให้หมดจานของคนเมือง -- ไม่ได้มีผลช่วยให้ชาวนามีชีวิตที่ดีขึ้นได้เลย



แต่วันนี้ คนกินข้าวอย่าง เราสามารถทำอะไรได้มากกว่านั้น

นั่นคือที่ผ่านมา ... แต่วันนี้ คนกินข้าวของเรา ทำได้มากกว่านั้น
เราจะสามารถทำให้การกินข้าวของเรา เป็นการช่วยให้ชาวนากลุ่มหนึ่งมีชีวิตที่ดีขึ้นได้

“เครือข่ายฅนกินข้าว เกือกูลชาวนา” คือคำตอบนั้น

เครือข่ายนี้ จัดตั้งขึ้นโดยบริษัททีวีบูรพาจำกัด ( ผู้ผลิตรายการ คนค้นฅน และกบนอกกะลา) ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อให้คนกินข้าว ได้ซื้อข้าวจากคนปลูกข้าวโดยตรง โดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง และทางเครือข่ายจะเป็นตัวกลางในการจัดส่ง โดยไม่หวังผลกำไรใดๆ

การสั่งซื้อข้าวจากทางเครือข่ายนี้ ก็จะทำให้เงินค่าข้าวที่เราจ่ายไปนั้น ได้ไปถึงชาวนาโดยตรง โดยชาวนาเป็นผู้กำหนดราคาเอง ซึ่งในฐานะคนกินข้าว ไหนๆเราก็ต้องจ่ายค่าข้าวอยู่แล้ว มันคงจะดีหากว่าเงินที่เราต้องจ่ายไปนั้น มันได้ไปตกอยู่ที่คนที่ควรจะได้ ไม่ใช่คนตรงกลางอยู่สบายๆแล้วชุบมือเปิบ

ไม่ใช่แค่ชาวนาที่ได้รับประโยชน์เท่านั้น ทางด้านคนกินก็ได้รับประโยชน์เช่นเดียวกัน เพราะข้าวจากเครือข่ายนี้ คือข้าวพันธุ์พื้นเมืองคุณภาพที่ผ่านการคัดเลือกพัฒนาพันธุ์มาอย่างดี และดำเนินการปลูกด้วยวิถีเกษตรอินทรีย์แท้ๆ มั่นใจได้ว่าไร้สารพิษร้อยเปอร์เซ็นต์ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล

แค่นั้นยังไม่พอ เงินที่เราจ่ายไปนั้น เราไม่ต้องห่วงว่าชาวนาจะเอาไปกินเหล้าเล่นการพนันที่ไหน เพราะชาวนาที่ส่งข้าวให้ทางเครือข่ายนี้ เขาเรียกตัวเองว่า “กลุ่มชาวนาคุณธรรม” คือกลุ่มชาวนาที่มีปฏิญญาร่วมกันว่า จะต้องดำเนินชีวิตตามหลักคุณธรรม รักษาศีลห้า งดเว้นซึ่งอบายมุขทั้งปวง ไม่ว่า เหล้า เบียร์ บุหรี่ หรือการพนันใดๆ รวมทั้งดำเนินการปลูกข้าวในระบบเกษตรอินทรีย์ ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเอื้อเฟื้อต่อคนกิน ไม่เอาเปรียบคนกิน

“เรามั่นใจว่า สิ่งที่เราทำให้ท่านบริโภค เป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของเรา”

นี่คือคำพูดของพ่อวิจิตร – ประธานกลุ่มข้าวคุณธรรม ที่หากใครได้ฟังอยู่ตรงนั้น จะเห็นได้ชัดจากแววตาว่าคำพูดนั้น เป็นคำพูดที่มาจากใจจริงๆ ไม่ใช่คำพูดปั้นแต่งสวยหรูที่มาจากฝีมือครีเอทีฟโฆษณา ที่เห็นกันเกลื่อนกลาดบนหน้าจอโทรทัศน์


มันมากกว่าแค่การปลูกข้าว

จากการที่ได้เดินทางไปพบปะผู้ปลูกข้าวกลุ่มนี้ ฉันพบว่า สิ่งที่ชาวนากลุ่มนี้ทำ ไม่ใช่แค่การปลูกข้าวเพื่อขายไปวันๆ แต่เขาปลูกด้วยความตั้งใจ ด้วยหัวใจที่ปรารถนาดีต่อคนกินและต่อสังคมอย่างแท้จริง

“ตุ๊หล่าง” ชาวนาตัวเล็กๆคนหนึ่งที่จังหวัดยโสธร เลือกที่จะปฏิเสธการเดินเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย – เส้นทางที่จะมุ่งไปสู่การมีรายได้สูงๆ แต่กลับเลือกที่จะเดินเข้าหาท้องนา เพื่อฟื้นฟูพัฒนาพันธุ์ข้าวพื้นบ้าน

“ข้าวคือสมบัติของชาติ ผมอยากเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้สังคมอนุรักษ์มรดกของบรรพบุรุษไว้”

ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา “ตุ๊หล่าง” ไม่ใช่ชาวนาที่ปลูกข้าวเพื่อขายไปวันๆ แต่เขาใช้เวลาทุกๆวันในท้องนา เพื่อศึกษาและพัฒนาพันธุ์ข้าวพื้นบ้าน โดยมีการวิจัยพันธุ์ข้าว เปรียบเทียบคุณภาพของข้าวพันธุ์ต่างๆ ว่าพันธุ์ไหนต้านทานโรคดี พันธุ์ไหนออกรวงดี พันธุ์ไหนต้นแข็งแรง เมื่อเลือกได้แล้ว ก็เอาไปขยายพันธุ์ต่อโดยการปลูกลงแปลงนา เมื่อข้าวออกรวงมา ก็มาคัดเลือกรวงสวยๆ เมล็ดสวยๆ มาเพาะต่อในรุ่นถัดไป พัฒนาจากรุ่นสู่รุ่น จากข้าวแปลงแรก ที่คุณภาพดีบ้างไม่ดีบ้าง จนกระทั่งได้ข้าวที่มีคุณภาพดีสม่ำเสมอทั้งแปลง ก็ใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสี่ปีในแต่ละสายพันธุ์ จนปัจจุบัน ที่บ้านของตุ๊หล่างได้กลายเป็นธนาคารเมล็ดพันธุ์ข้าว ที่มีเมล็ดพันธุ์ข้าวพื้นบ้านไม่ต่ำกว่า 170 สายพันธุ์

ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้ เขาไม่ได้ทำเพื่อขาย แต่กลับแจกจ่ายให้เพื่อนชาวนาอย่างฟรีๆ ด้วยความคิดที่ว่า คนไทยจะได้มีข้าวดีๆกิน

“ที่ต้องทำอย่างนี้ เพราะผมรู้สึกว่าทำไมข้าวดีๆ คนไทยถึงไม่ได้กิน ข้าวดีๆที่ปลอดสารพิษ ถูกส่งออกต่างประเทศหมด
ในขณะที่คนในประเทศ ได้กินแต่ข้าวที่เต็มไปด้วยสารเคมี ขนาดที่ว่าชาวนายังไม่กล้ากินข้าวที่ตัวเองปลูกเลยด้วยซ้ำ”


ความจริงของข้าวที่วางขายอยู่เกลื่อนท้องตลาดนี้ คือข้าวที่เต็มไปด้วยสารเคมี ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า ยาคุมเลน ยาหนอน ยาเชื้อรา ยาฮอร์โมน ตั้งแต่หว่านจนกระทั่งเกี่ยว ก็ฉีดยารวมๆแล้ว 9 เที่ยว ฉีดยาขนาดที่ว่า เหงื่อยังมีกลิ่นยา

แต่ทั้งนี้ จะโทษชาวนาก็ไม่ได้ เพราะทั้งหมดทั้งมวลนี้ มันเกิดมาจากการกลไกบางอย่างของรัฐ ตั้งแต่ยุค “ปฏิวัติเขียว” ในพ.ศ. 2504 เป็นต้นมา การปฏิวัติที่เปลี่ยนจากการปลูกเพื่อกิน เป็นการปลูกเพื่อขาย

จากที่ชาวบ้าน ปลูกข้าวพื้นบ้าน แบบพออยู่พอกิน รัฐก็เข้ามาส่งเสริมให้ปลูกข้าวพันธุ์ใหม่ ที่กรมการข้าวปรับปรุงสายพันธุ์ขึ้นมา เพื่อเพิ่มผลผลิตให้สูงๆ ให้ปลูกได้ปีละหลายๆครั้ง ตามนโยบายเพิ่มการส่งออก

ข้าวสายพันธุ์ใหม่นี้ ถูกแจกจ่ายให้กับชาวนาทั่วประเทศ พร้อมกับคำโฆษณาที่ว่า ผลผลิตมากขึ้น รายได้มากขึ้น แล้วจะรวยๆๆ และเพียงไม่ถึง5 ปี ข้าวพันธุ์พื้นบ้าน ก็แทบจะหายไปจากเมืองไทย
แต่แน่นอนว่าทุกสิ่ง ไม่มีเพียงแค่ด้านสวยงาม รายได้เป็นกอบเป็นกำที่โฆษณาไว้เป็นแค่ภาพฝัน เพราะมันยังมีความจริงที่ว่าข้าวสายพันธุ์ใหม่นี้ มีคุณสมบัติอ่อนแอ ไม่ต้านทานโรคและแมลง และที่สำคัญคือ มันต้องการปุ๋ยเคมี!!!

ดังนั้น มันจึงเป็นภาคบังคับ ที่ทำให้ชาวนาต้องซื้อปุ๋ยซื้อยาเพื่อบำรุงข้าวพันธุ์ใหม่นี้อยู่เรื่อยไป ยิ่งใส่ปุ๋ยเคมีเท่าไหร่ ดินก็ยิ่งเสื่อมสภาพมากขึ้นเท่านั้น มันจึงเป็นภาวะบังคับให้ต้องซื้อปุ๋ยเคมีมากขึ้นทุกทีๆ อีกทั้งเมื่อใช้ยาฆ่าแมลงมากขึ้น แมลงก็เริ่มดื้อยา บริษัทยาก็ผลิตยาสูตรใหม่ออกมา พร้อมกับราคาที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างกับรู้ว่า – ยังไงชาวนาก็ของตาย

ในเมื่อรายจ่ายเพิ่มสูงขึ้นเป็นเท่าทวี ในขณะที่รายได้จากการขายข้าวยังคงถูกกดราคา ชาวนาจึงหนีไม่พ้นภาวะหนี้สิน จนถึงขั้นขายนาใช้หนี้ หรือไม่ก็ถูกยึดที่ไปขายทอดตลาด ให้นายทุนข้ามชาติมากว้านซื้อไปลงทุน
นายทุนข้ามชาติมากมายครอบครองที่ดินในไทยมากขึ้นทุกที ในขณะที่ชาวนาเจ้าของประเทศมากมายกลับไร้ที่ทำกิน

และหากปล่อยให้เป็นอย่างนี้ คำว่า “สิ้นนา สิ้นชาติ” อาจไม่ไกลเกินจริงนัก


และนี่คือเหตุผลที่ทำให้ “ตุ๊หล่าง” ต้องมาฟื้นฟูพันธุ์ข้าวพื้นบ้านให้กลับมา ข้าวพันธุ์พื้นบ้าน ที่ตอบสนองต่อธรรมชาติ ไม่ใช่ตอบสนองต่อสารเคมี เพื่อให้ชาวนาหลุดพ้นจากวงจรหนี้สิน และคนกินก็ไม่ต้องกินข้าวที่เต็มไปด้วยสารเคมี

นี่ไม่ใช่แค่การปลูกข้าวเพื่อขาย แต่เป็นการปลูกข้าวเพื่อกู้ชาติ เพื่อรักษาระบบนิเวศน์ รักษาผืนแผ่นดินไทย
จะเห็นได้ว่า ทั้งหมดนี้ “ตุ๊หล่าง” ไม่ได้ทำเพื่อตัวเองเลยแม้แต่น้อย

“ผมอยากจะทำข้าวดีๆให้เขาได้กิน เพราะผมไม่ได้รู้สึกว่าพวกเขาเป็นแค่คนซื้อข้าว แต่พวกเขาเป็นเพื่อนๆของเราอีกคนหนึ่ง ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ปีหน้าผมอยากลดกำไรลงด้วยซ้ำ” นี่คือสิ่งที่ตุ๊หล่างพูดกับชาวเครือข่ายก่อนที่จะจากกัน

การลดกำไร - นี่คือสิ่งที่ชาวนาธรรมดาๆคนหนึ่งคิด ความคิดที่เกิดจากหัวใจแห่งการให้
ความคิดที่เจ้าของธุรกิจพันล้านหรือนักเศรษฐศาตร์ไม่เคยคิดได้


มันมากกว่าแค่การกินข้าว

หากที่ผ่านมา การกินข้าวแต่ละมื้อ มีความหมายแค่เพียงความอร่อยและความอิ่มท้อง แต่วันนี้ การกินข้าวของเราจะมีความหมายที่มากกว่านั้น

ข้าวจากชาวนาคุณธรรมกลุ่มนี้ ไม่ใช่ข้าวธรรมดา แต่เป็น “ข้าวกู้ชาติ”

ข้าว - ที่ปลูกด้วยระบบเกษตรอินทรีย์ที่จะทำให้ชาวนาหลุดพ้นจากวงจรหนี้สิน และไม่ต้องขายที่ดินให้นายทุนต่อไป

ข้าว - ที่ปลูกด้วยหัวใจที่เคารพต่อธรรมชาติ ช่วยให้ผืนดินผืนน้ำ ไม่ต้องปนเปื้อนสารเคมีอีกต่อไป

ข้าว - ที่ปลูกขึ้นด้วยความตั้งใจ ด้วยหัวใจที่ปรารถนาดีต่อคนกินอย่างแท้จริง


ทุกครั้งที่ฉันกินข้าวจากกลุ่มชาวนาคุณธรรมนี้ สิ่งที่ฉันมองเห็นในจาน มันไม่ได้มีแค่เพียงเมล็ดข้าว แต่มันมีหัวใจของชาวนากลุ่มหนึ่งอยู่ในนั้น

ทุกครั้งที่ซื้อข้าว สิ่งที่ไปถึงชาวนา มันไม่ได้มีเพียงแค่เงิน แต่มันยังหมายถึงกำลังใจ ที่ส่งไปถึงชาวนาด้วย

เพราะการซื้อข้าวนี้ เป็นการบอกว่า คนกินข้าวอย่างเรา - สนับสนุนและเห็นคุณค่าในสิ่งที่พวกเขาทำ ซึ่งสิ่งนี้ก็จะเป็นกำลังใจ ที่ทำให้ชาวนา- กระดูกสันหลังของชาติกลุ่มนี้ได้มีความภูมิใจในอาชีพ รู้สึกมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี และยึดมั่นในอาชีพนี้ต่อไปอย่างภาคภูมิใจ ว่าสิ่งที่พวกเขาทำนั้นยิ่งใหญ่ คือการปลูกข้าวดีๆให้คนไทยได้กิน

เพราะกำลังใจ คือสิ่งสำคัญ ที่จะทำให้ใครคนใดคนหนึ่งยึดมั่นในสิ่งที่ทำนั้นต่อไป

เพราะมันคงน่าเศร้า หากว่าประเทศที่เคยเป็นอู่ข้าวอู่น้ำอย่างประเทศเรา แต่ชาวนากลับหมดกำลังใจ จนหันหลังให้ท้องนา มุ่งหน้าเข้าสู่เมืองหลวง และที่นาหายไปจากเมืองไทย กลายเป็นสนามกอล์ฟ รีสอร์ตหรู หรือ โครงการธุรกิจใหญ่ยักษ์
มันคงเจ็บปวดเกินไป หากว่าวันหนึ่งข้างหน้า ประเทศเราจะไม่มีชาวนา และต้องนำเข้าข้าว จากต่างประเทศ

เมื่อการกินข้าว มันไม่ใช่เรื่องของคนเพียงคนเดียวอีกต่อไป

แต่การกินข้าวของเรา มันบอกได้ ว่าเรากำลัง “เลือก” ที่จะ “สนับสนุน” สิ่งไหน

ระหว่างระบบเกษตรเคมี ที่ราคาอาจถูกกว่า แต่เบื้องหลังเต็มไปด้วยด้วยการกดราคาเอาเปรียบชาวนา และมาจากการสารเคมี ซึ่งเป็นสาเหตุให้ชาวนาติดหนี้สิน จนถึงขั้นขายนา

กับระบบเกษตรอินทรีย์ ที่อาจจะมีราคาแพงกว่า มาจากความเป็นธรรมต่อชาวนา และทำให้ชาวนาพึ่งพาตนเองได้ พอมี พอกิน ไม่ต้องใช้ปุ๋ยยา ไม่ต้องใช้สารเคมี ไม่ต้องเร่งเพิ่มผลผลิต ทำให้ไม่ต้องเป็นหนี้เป็นสิน และคงไว้ซึ่งวิถีชีวิตชาวนาที่เรียบง่ายและสวยงาม เป็นกระดูกสันหลังของชาติ ปลูกข้าวให้คนไทยได้กินต่อไป

การกินของเรามันบอกได้ว่าเราจะเลือกสนับสนุนสิ่งไหน
ถ้าพูดแบบการตลาดก็คงบอกว่า “demand เป็นอย่างไร supply ก็เป็นอย่างนั้น”
คนกินข้าวอย่างเรา มีส่วนในการกำหนดทิศทางการปลูกข้าวของชาวนาได้

ถ้าเลือกได้ เราทุกคนก็น่าจะช่วยกันเลือกทางที่ให้ประเทศไทย ยังคงคำพูดที่ว่า “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว” ไว้
ก่อนที่จะกลายเป็นว่า “ในน้ำไม่มีปลา เพราะในนา มีแต่สารเคมี”


* รายละเอียดเพิ่มเติม //www.tvburabha.com/tvb/rice.html



Create Date : 18 ตุลาคม 2553
Last Update : 18 ตุลาคม 2553 18:29:22 น. 0 comments
Counter : 662 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

may_intania
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




จะเปลี่ยวจะเดียวดาย
ไม่มีใครอยู่เคียงกาย..สักคนหนึ่งนั้น
"ให้ใจมีฝันอยู่เคียงใจ"

(จากเพลง ย้ำคิดย้ำฝัน ของเฉลียง )
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add may_intania's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.