All Blog
j72 [มีรูปถ่ายขณะอยู่ในประเทศอังกฤษ ที่อ็อกซฟอร์ด]



Park Town, Oxford - crescent.JPG
อ้างจาก https://en.wikipedia.org/wiki/Park_Town,_Oxford
เมื่อ 27/7/2017

jjy5030[มีรูปถ่ายบ้านพักในประเทศอังกฤษขณะอยู่ที่ อ็อกซฟอร์ด]
ผมกำลังฟังโชแปง
The 21 Nocturnes (recording of the Century : Claudio Arrau)จากยูทูบ
การสืบค้นญาติพบข้อยุติมูลฐานบ้างแล้ว
ว่า
ทำไมถึงเป็นนั้นและเช่นนี้
ชีวิตเกิดทาอย่างนี้เพราะเหตุอะไรและ
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น

มันไม่มีเงื่อนไขว่าหรือเงื่อนไขว่า
คนต้องเกิดมาเหมือนๆกันและที่คิดต่าง
แต่สิ่งที่เหมือนกันคือการยังหายใจอยู่เหมือนกัน
ยังกินยังนอนยังอิ่มอร่อยและมีความสุข
คิดอยากได้อยู่อย่างผาสุกเหมือนกัน
จึงเรียกสิ่งนี้ว่าชีวิต
ผมขอนิยามมันว่าอย่างนี้


แต่ชีวิตนั้นมันคงซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างนี้
สืบทอดเป็นวันเป็นเดือนเป็นปี


จริงอยู่เรื่องอย่างนี้ไม่น่าจะนำมาคิด
แต่ในระดับหนึ่งคิดเรื่องเหล่านี้ไม่น่าจะเสียหายอะไร

และแต่ทว่าถ้าความคิดผุดขึ้นมาจะคิดมันเสียบ้าง
มันไม่น่าเสียหายอะไร
กลับดีเสียอีก
จะได้ทวนความทรงจำให้กับตนเอง


เหมือนการทำความสะอาดที่นอนนานๆครั้ง
ก็ยังดีดีกว่าเสียไม่ได้ทำมัน

ผมจำได้ว่าแม่ชอบทำความสะอาดที่นอนให้ผม
โดยผมมิได้ร้องขอ
และผมก็ไม่เคยขอบคุณ
แต่ว่าผมพอใจเมื่อแม่อยากที่จะทำ

ชีวิตที่ว่านี้เปรียบเหมือนที่นอน
ที่นอนไม่ใช่ที่หาเงินและที่ทำงาน
แต่ที่นอนเป็นที่ตายชั่วคราวที่คนมักจะลืมไป
เพราะหลับสนิทได้ในที่นอนทำ
บางครั้งทำให้เราลืมไปว่าที่นอนคืออะไร

ที่จริงที่นอนสำคัญมาก
ต้องสบาย
นอนแล้วต้องหลับสนิท
เพื่อเช้าวันใหม่
อย่างอิ่มเอิบและมีแรง

ได้มองดูโลกกว้างอีกครั้ง
เมื่อเราตื่นขึ้นมาด้วยความสำเร็จแห่งการนอน
โชคดีที่ยังหายใจเมื่อตื่นชึ้นมา

แต่ถ้าสมมุติว่านอนไปแล้วไม่ตื่นขึ้นมา
นั่นคือคนตาย
ถ้าตายลงเราไม่ต้องมาพูดกันอีก
ว่าจะพูดคิดอะไรอีก
คือจบสมบูรณ์


เหมือนรถไฟที่หยุดจอดที่สถานีปลายทาง
รถไฟที่หยุดจอดที่สถานีปลายทาง
จะไม่วิ่งสถานีต่อไป


มันจะจอดพักตามหน้าที่ของมัน
และรอวันใหม่เกิดขึ้น
มันจึงจะวิ่งตามคิวการวิ่ง
ของรถไฟในวันถัดไป

อันนี้มันเหมือนความตายของคน
ไม่เหมือนตรงที่ว่า
ตายแล้วไปไหนไปเกิดเป็นอะไรต่อ
หรือไม่มาเกิดอีก


เราเรียกคำนี้โดยนักปราชญ์ท่านเรียกว่า
นิรวัจนีย์คือคำที่อธิบายไม่ได้ว่าอะไร

สรุปคนเราอยากตายมั้ยเป็นคำถาม
ไม่อยากเป็นคำตอบ
ถามว่าอยากเจ็บตัวไหม
คำตอบว่า"ไม่"
ทุกคนต้องตอบว่าอย่างนั้น
นอกจากคนบ้าเท่านที่ตอบว่าชอบตายและชอบเจ็บตัว

แม้แต่หมาแมวที่บ้านอานองเตยัง
กลัวเจ็บตัวและกลัวตาย
ถ้าเรารังแกมันมันจะร้องให้ขอชีวิตในทันที


ผมเดินทางมาถึงจุดนี้
จุดที่ข้อยุติของผมใกล้ที่จะมาถึง


ถามว่าจะหาข้อยุติไปทำไมกัน
จะทำอะไรก็ทำ
จะตายคือตาย
จะมีความสุขก็คือมีความสุข
จะหลับคือหลับ
จะกินคือกิน


หรือว่าเรามีปม
ชีวิตมีปมหรือ
คิดเสียใหม่เลยว่า
ชีวิตคนไม่มีปม


ชีวิตคนเหมือนรถไฟที่กำลังแล่น
มีคนโดยสารมีโปรแกรม
ชีวิตคนก็เช่นกัน
มีความสัมพันธ์กับสิ่งหลากชนิดต่อวันต่อเดือนต่อปี
ที่ผ่านไปในทุกวินาที


และเมื่อรถไฟมันเดินทางถึงสถานีปลายทาง
มันก็หยุดพัก
ชีวิตคนก็เหมือนกันเมื่อมันเดินถึงสถานีปลายทาง
มันก็พัก
คือตายแล้วเมื่อชีวิตที่เชื่อว่า
มีการเกิดใหม่มีจริง
ตามสูตร

ก็วิ่งกันใหม่
ก็เกิดกันใหม่

แต่ที่ต่างกันที่แน่นอนคือ
คนขับรถไฟรู้จักนายสถานีปลายทาง
ที่แจ้งมาแจ้งไปได้


แต่ชีวิตนั้นไม่รู้ว่าหลังการตายเกิดขึ้นแล้ว
นายสถานีของเราเป็นใครอยู่ที่ไหน

ผมขอตอบแทนมันเสียเองว่า
มีสิ่งหนึ่งที่มันเหมือนกับนายสถานีปลายทางของรถไฟเช่นกัน
คำตอบของผม"แต่อะไรไม่รู้"
ผมตอบอย่างนั้น

แล้วไปคิดมันทำอะไรปวดหัวเปล่า
ถ้าอย่างงั้น


คำตอบคือเสรีภาพในความคิด
เมื่อมีแรงมีก็คิดไป
เมื่อคิดแล้วได้ความสุข
ไม่เดือดร้อนคนอื่น


สิ่งสำคัญที่น่าจะนำมาเป็นบรรทัดฐานคือ
อย่าไปคิดอะไรเลยก็ได้
คิดเพียงอย่างเดียวว่า
ชีวิตที่ดีเกิดดีตายดี
คือชีวิตคที่มีคุณธรรม
เกิดอย่างทมีคุณธรรม
ตายอย่างมีคุณธรรมนั้น
คือชีวิตที่ดี

การตายที่ดี
การเกิดที่ดี
ผมไม่ได้แสวงหาเฟมหรือเพื่อนรักหรือคนรักให้กับตนเอง
ในการคิดและเขียนเรื่องทั้งหมดนี้

แต่ว่าผมกำลังวิเคราะห์หาคุณธรรมเพิ่มเติมให้มากขึ้นและดีขึ้น
จากส่วนที่มีอยูแล้วมากกว่า
เพื่อยุติการสืบค้นญาติ
และตัดสินใจทำสุสานพ่อแม่ให้เป็นไปตามที่คิดชอบและคิดว่าดีต่อไป
เมื่อเรื่องนี้จบลง





สิ่งสำคัญคือว่า
เราทำอะไรอยู่และจะต้องทำอะไรอีกบ้าง
ต่อไปคือคำถาม
สมมุติว่า

เราเป็นคนในสังคม
เราพบกฎหมายยคือสิ่งจำเป็นสำหรับสังคม
เราอแยู่ร่วมกันในสังคมด้วย
ความผาสุกและยุติธรรมมีในสังคม
เพราะกฎหมาย

เพราะฉะนั้นเราต้องรู้กฎหมาย
อาทิเช่น

เรื่องนี้ผมพาอ่านและทำความเข้าใจ
ตามตัวอย่างตัวบทกฎหมายไทยตัวหนึ่งที่น่าสนใจ
มีว่า



สำหรับมาตรา 368 ตามประมวลกฎหมายอาญาระบุว่า
 ผู้ใดทราบคำสั่งของเจ้าพนักงานซึ่งสั่งการตามอำนาจ
 ที่มีกฎหมายให้ไว้ ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนั้นโดยไม่มีเหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควร
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบวัน หรือปรับไม่เกินห้าร้อยบาท.......
 //www.posttoday.com/social/hot/505546

ผมนำมาสำเนามาอ่านเพราะอันนี้
เป็นเรื่องของสิทธิเสรีภาพและความถูกต้องและสัญญาประชาคม

ถ้าเรารู้จักตัวเองดีว่า
เรามีสัญญประชาคมหรือไม่
อะไรถูกอะไรผิดอย่างนี้
จึงถือว่ามีชีวิตที่ดีและหาข้อยุติได้
แม้ข้อยุตินั้นอาจจะไม่เลอเลิศ

เหมือคนเรเกิดมาต้องขยัน
และหมั่นทำงานตามวัยที่โลกมอบให้

เราก็เป็นคนดีมีคุณธรรมขึ้นมาได้ในระดับหนึ่ง

แต่ว่าถ้าเราขี้เกียจและไม่ขยันและหมั่นทำงาน
อันนี้ก็คือการมีชีวิต
ที่ขาดคุณธรรม

เพราะในสังคมอารยะปัจจุบันนั้นมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า

ต้องขยัน
ต้องทำงาน
ต้องหมั่นตลอดเวลา
เราจึงจะเกิดดีเจ็บดีตายดีได้
ผมคิดว่าอย่างนั้น


เน้นตรงที่กฎหมายที่ผมกล่าวมามาตะกี้นี้สักนิด
ให้เหตุผลว่าทำไมผมจึงเอาเรื่องวนี้มาแสดงในเรื่องของผม
ซึ่งไม่เกี่ยวกับการสืบค้นญาติของผมสักนิดเดียว

กล่าวคือ
สำหรับตัวกฏหมายนั้นเกิดขึ้นมาในเรื่อง
ตำรวจขัดแย้งกับคนขับรถมีปัญหากัน
ตำรวจสั่งให้แสดงใบขับขี่
คนขับบไม่เห็นด้วยคือไม่แสดง
แต่พอตกลงกันไปมา

ตำรวจตั้งข้อหา
เจ้าตัวพอรู้ว่ามีข้อหา
ก็เปลี่ยนใจ"ยินดีจะแสดง"
ผลคือช้าไป


ตำรวจแจ้งว่ามีข้อหาแล้ว
เมื่อสักครู่บอกให้แสดงกลับปฏิเสธ
แต่เมื่อยยากแสดงอีกเปลี่ยนใจว่าจะทำ
เป็นผลให้โดนข้อหาและถูกจับลงโทษในที่สุด


เรื่องนี้เป็นเรื่องชวนคิด
ผมคิดว่าลองทำความเข้าใจเอาเองว่า
มันคือเรื่องอะไร
และควรจะเป็นเช่นไร
และควรจบอย่างไรไม่จบอย่างไร
ระหว่างตำรวจกับคนขับรถ
มีปัญหาในกรณีนี้


ผมละไว้ฐานทำความเข้าใจเอาเอง


แต่ผมเน้นที่ตัวกฎหมายว่า
คนมีคุณธรรมต้องเคารพกฏหมาย
แต่ผมไม่ได้บอกว่า กรณีนี้ใครถูกใครผิด
อันนี้ตอบไม่ได้ดูกฎหมาย
และจะพบเองและตอบได้
และสัญญาประชาคมในจุดนี้คืออะไร
จึงรู้ได้ว่าใครถูกใครผิด


เพราะฉะนั้นการสืบค้นญาติของผม
ก็คล้ายคลึงกันเป็นแต่เรื่องของผม
เป็นเรื่องความผิดทางทางใจ
และต้องมีมโนธรรม
กล่วคือ

ที่ถ้าหากการคาดคะเนการตัดสินใจของผมผิดพลาดไป
ผลคือข้อยุติที่ผมพบเป็นลบ
และเรื่องของผมจะมีปัญหากับสังคมต่อไป
จริงอยู่เรื่องการสืบค้นญาติของผมเรื่องนิดเดียว
แต่ถ้าหลายนิดมันก็มากเหมือนกัน


ซึ่งผมไม่เห็นด้วย
ถ้าผมพบข้อยุติเป็นลบเช่นที่ว่านี้
จึงต้องร่ายยาวเรื่องการสืบค้นญาติของผม
ดังกล่าวนี้ขึ้น



ผมเคยจำได้ว่า
ในศาสนาหนึ่งกล่าวว่า
ที่ไหนมีร้อนมีเย็นแก้
ที่ไหนมีเย็นมีร้อนแก้
อันนี้เป็นแนวคิดของศาสนาพุทธ
และตอนนี้ผมจึงใช้นิยามให้กับตนเองว่า
ไม่มีอะไรในโลกนี้
ที่แก้ไม่ได้


นั้นคือในความเป็นมนุษย์

และนั้นคือ
มีแต่ได้กับได้และมีเสียกับเสีย
อยู่ที่เราจะเลือกเอาอย่างไหน
อยู่ที่เรา

ในที่้นี้อยู่ที่ผมจะตัดสินใจอย่างไร
จะเอาอย่างไร
กับชีวิตของตัวเอง


เพราะฉะนั้นชีวิตคนเรานี้
ผมเชื่อโดยดุษฎีว่า
ชีวิตคนเรานี้นี้ไม่มีคำว่า "ผิดหวัง"
และไม่มีคำว่าสมหวัง
หรือคาดว่าจะจะผิดหวังสมหวังตลอดกาล
มันขึ้นกับที่เราเลือกปฏิบัติ

เพราะเราเลือกเอาอย่างไร
บางครั้งเราพลาด
อันนี้เป็นความผิดหวังเพราะเจตนาอันแปม่นยำของใจ
ต่างหาก
ไม่ว่าจะผิดหวังหรือสมหวังตลอดกาลหรือไม่ตลอดกาล
อมตะหรือไม่อมตะ

แต่เมื่อเป็นเช่นนั้น
ทำอย่างไร
ได้หัวข้อใหม่คือ
ปรัชญาที่ว่า
"อะไรก็ตามต้องแก้ไขได้"

ถ้าคิดอย่างนี้เสียแล้ว
หรือเมื่อมีปรัชญาตัวนี้


คนที่คิดฆ่าตัวตายเพราะผิดหวัง
คือคนมีจิตแปลกออกไปจากจิตธรรมดา
อันนี้เป็นปัจจัยให้ผมตีความ
ให้กับตัวเองเสมอมา


เมื่อผมพบอุปสรรคในชีวิต
จากนิยามที่ว่า
ที่ไหนมีร้อนที่นั่นมีเย็นแก้
ที่ไหนมีเย็นที่นั้นมีร้อนแก้
ฉันใดฉันนั้น

ผมไม่ได้มาสอนศาสนาหรือสอนศีลลธรรมหรือ
แนะแนวอะไร

เป็นแต่เพียงเมื่อเรามาพบกันพบกันครึ่งทาง
จึงแสดงเจตนาเหตุที่เกิดขึ้นทั้งหมดของเรื่องราวอันแสนยาว


ไม่ว่าอะไรก็ตามในเรื่องทั้งหมดทุกบท
ของผมมาจากนิยามข้างต้นดังกล่าว




Park Town, Oxford - crescent.JPG



อ้างจาก https://en.wikipedia.org/wiki/Park_Town,_Oxford
เมื่อ 27/7/2017









วันนี้ผมพารูปถ่ายสำเนาและอ้างอิงมา
ที่อยู่อาศัยผมขณะอยูในเมือง อ็อกซฟอร์ด ประเทศอังกฤษเป็นภาพสากล
ผมไม่ได้มากล่าวเรื่องที่อยู่ในอังกฤษมีประสบการณ์มาอย่างไร
เพราะไม่ตรงประเด็นกับหัวข้อของเรื่องสืบค้นญาตินี้
หรือว่าจะจ้างให้ผมอธิบายเรื่องการไปอยู่อังกฤษมาผมคงไม่รับ
เพราะผมลืมทุกอย่างหมดแล้ว
ถ้าจะให้ผมคิดอะไรอีกตอนนี้
ก็คงช้ามาก
แต่ผมยอมรับว่าผมพบชีวิตคุณธรรมที่นี้อย่างสมบูรณ์


แต่อยบ่างไรก็ตามขณะผมอยู่ที่อังกฤษ
ผมได้พบปรัชญาตัวหนึ่งของศาสนาหนึ่งอีกเช่นกัน
นั้นคือความรักคือพระเจ้า
ผมติดใจคำนี้


เพราะเดิมทีผมไม่รู้ว่าความรักคืออะไร
เมื่อมีคำตอบว่า"พระเจ้า"
คำว่พระเจ้านี้ไม่จำเป็นว่าจะสื่อถึงศาสนาหนึ่งศาสนาใดเสมอไปในที่นี้


แต่คำว่าพระเจ้าตรงจุดนี้
จึงยุติการคิดต่อไปในสิ่งที่หาคำตอบไม่ได้ที่พอใจ
ในเรื่องของความรัก


ความรักคือพระเจ้า
แนวคิดของศาสนานั้นคือศาสนาคริสต์


และมาวันหนึ่ง
ผมได้ไปโบสถ์คริสต์กับเพื่อนชาวอังกฤษคนหนึ่งเป็นนักเรียนห้องเดียวกันที่นั่น
ผมเลยกินแผ่นขนมปังและเหล้าไวน์หนึ่งจิบ
และขอพระพรต่อสิ่งศักดิ์สิทธ์


เพื่อนผมคนนั้นไม่ได้ชวนผมไปเข้าศาสนาคริสต์
แต่ท้ายสุดผมได้ไปที่โบสถ์อีกในนัดต่อมา
และผมได้เข้าศาาคริสต์นิกายแองลิกันที่นั่น
อันเป็นนิกายของกษัตริย์อังกฤษ


ผมมีหัวนิยมกษัตรย์และเป็นอนุรักษ์นิยม
โดยพื้นฐานอยู่แล้ว


สืบต่อมาผม

ผมได้เรียนวัฒนธรรม
และรู้จักตนเองเพิ่มขึ้น
แต่ก็ไม่ได้หลงไหลอะไร


ในเรื่องของศาสนาที่คนเราส่วนใหญ่มีอยู่เท่าไหร่นัก
เป็นแต่ว่่า
การเป็นคนน่าจะมีศาสนาของตนเอง
เป็นเครื่องยึดเหนี่ยว เมื่อชีวิตเหงา
ศาสนาคงจะเป็นที่พึ่งทางใจได้สำหรับคน
ผมคิดว่าอย่างนั้น

เอาละละตรงนี้ไว้เท่านี้
ไปเรื่องการสืบค้นญาติต่อว่า
ปมและสาเหตุมันสืบเนื่องมาจากอะไร

โชคดีที่พ่อแม่ได้ทิ้งมรดกไว้ให้ผมบ้าง

เมื่อผมกลับมาเมืองไทยแล้ว
และได้มากอดพิษไข้และกอดศพพ่อและแม่ก่อนตาย
จนพ่อและแม่ตายในที่สุด


แม้ท่านทั้งสองตายลงโดยไม่ได้ทิ้งเงินติดตัวไว้ให้ผมเลย
ผมพอใจในสิ่งที่มีอยู่
และสิ่งที่พ่อแม่ทิ้งมรดกไว้ให้แม้จะเหลือน้อยนิด

กล่าวคือต่อมา
ผมมาพบเรื่องหนี้สูญของพ่อแม่จำนวนมาก
และยังหาข้อยุติไม่ได้
แต่ผมไม่ติดใจ
ตามเรื่องนี้หรืออุทธรณ์ต่อสังคมผ่านสื่อมีเดียนี้
แต่อย่างใด
ดังได้กล่าวมาแล้วในบทก่อน


ผมตัดสินใจทำอย่างไรดี
กับเรื่องเชิงลบของพ่อแม่ที่ทอดทิ้งไว้แล้ว
ไว้ให้ผมนำไปคิดเป็นการบ้านตลอดเวลาที่บ้านอานองเตที่ผมกำลังมีอยู่เป็นในขณะนี้


แต่ตอนนี้
ผมตัดสินใจงดสังคมงดออกงาน
และงดทุกอย่ง
ยกเว้นไม่งดกินและงดนอนเท่านั้น

กล่าวคือการงดของผม
จะมีต่อไปจนกว่า
ผมจะรื้อฟื้นตนเองสู่สภาวะที่เคยเป็นเหมือน
สมัยที่พ่อและแม่เคยมีชีวิตอยู่

เพราะถ้าไม่งดทุกอย่าง
ก็จะมีคำถามตามมามากมายเพื่อให้ผมตอบ
ในเรื่องเชิงลบที่พ่อและแม่ทิ้งไว้ให้ผมมาแก้ไข

ซึ่งคำตอบเชิงลบนั้นไม่มีใครพอใจแน่นอน
และจะมีปัญหา

ผมจึงตัดสินใจงดทุกอย่าง
เพื่อพัฒนาตนเองให้เข้าสู่หลักเดิม
ที่พอ่แม่เคยมีเคยเป็น
ที่เคยเอื้อเฟื้อและเคยให้ทุกอย่างกับทุกคน
จนผมรู้สึกว่า
ที่บ้านอานองเตนั้นพ่อและแม่ผมเคยให้
ทุกคนจนอิ่มตัวแล้ว


สรุปเป็นมีทัศนคติเป็นเชิงบวกทั้งหมดแล้ว


ผมจะเปิดตนเองสู่โลกกว้างและโลกเชิงบวกอีกครั้ง
ถ้าไม่ตายเสียก่อน
คือไม่งดอะไรทั้งหมดเหมือนอย่างช่วงการไว้ทุกข์ละทีนี่



อย่างไรก็ตามเนติในสังคมพ่อแไม่ผมได้สร้างฐานไว้ที่บ้านอานองเตไว้อย่างดี
ฐานเหล่านี้ถ้าผมไม่ทำอะไรเลย
ผมก็ยังมีสิทธิเก็บกิน
อย่างสุขุมและเป็นคนดี
ก็คงใช้ฐานที่พ่อแม่สร้างไว้ให้
ไม่หมดกับสังคมบ้านอานองเต
อย่างแน่นอน

คือ
ที่มันเป็น



เท่ากับว่า ผมจะอยู่อย่างไรตอนนี้
งดอย่างไงในตอนนี้

กับตนเองและสังคมรอบข้างที่บ้านอานองเต
ของตนเองนี้
ก็ไม่เสียหายอะไร
กับผมและกับใครทั้งสิ้นเลย



คือไม่ทำให้ภาพพจน์ของบ้านอานองเตและผมเสียไปแม้แต่น้อย
เมื่อผมประกาศงดทุกอย่างที่เกิดขึ้น

ดูแล้วมันเป็นโลกมืดและเงียบเหงา
ในมุมมอง
เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม
แต่ว่ามนุษย์ทุกคนก็ไม่สิทธิเลือกได้
เมื่อวาระแห่งความไม่พร้อมหรือเจ็บป่วยของคนๆหนึ่ง
เกิดขึ้นเกิดขึ้นในสังคมนั้นๆ


การสังคมก็ต้องเป็นอันยุติไปโดยธรรมชาติของมันเอง
แต่เราก็ขอมีขอเป็มนุษย์ประเภทสัตว์สังคมทางใจได้
ผมคิดกับตนเองเสมอมาว่า
ว่าจะเอาอย่างไหน

และก็ไปเรื่อยๆจนกว่าจะจบสิ้น
มันจะจบลงอย่างไร
อันนี้รอจนกว่าบทต่อไป
จะเสร็จสิ้นและเรื่องนี้ปิดฉากลง
นั่นคือข้อยุติ


ที่ผมถือว่าดีที่สุด
ที่ผมคิดตัดสินใจให้กับตนเองได้อย่างแน่นอน
และมันต้องไม่
และไม่เป็นลบ

จากข้อเชื่อของผมและปรัชญาที่ทำให้ผมพบตัวเองได้ดังนี้
คือ


เมื่อร้อนที่ไหนมีเย็นแก้ที่นั้น
เมื่อเย็นที่ไหนมีร้อนแก้ที่นั้น
ความรักคือพระเจ้า
เนื่องจากรักกันกับคนรัก
ได้มาพบกันได้
เพราะเหตุบังเอิญ


เพราะบังเอิญจึงได้รักกัน
ผมเริ่มพบตนเอง

ฐานปรัชญาของพ่อ
มีว่าที่ไหนไม่ทำที่นั่นมีกินช่วยบอกพ่อด้วย
นี่คือฐานปรัชญาของพ่อที่ผมจับได้

ถามว่าแล้วทำไม
พ่อไมรวยเหมือนคนจีนคนอื่นที่เข้ามาเมืองไทย
แล้วรวยกัน


พ่อตอบว่า
วาสนาๆเป็นคำตอบและทางออกของพ่อ
เมื่อผมถามอย่างนี้

ที่พ่อเป็น


ส่วนฐานปรัชญาของแม่คืออะไร
"รักและความรับผิดชอบในหน้าที่ความเป็นแม่และความเป็นลูก
"ลูก"

แม่ไม่เคยทอดทิ้งลูก
แม่มีความรับผิดชอบในตัวบุตรที่เกิดมาจากอุทร
อันนี้นี่คือฐานปรัชญาของแม่ที่มีต่อลูกของแม่
ที่ผมพบ

เพื่อลูกแม่เสียสละชีวิตให้แทนลูกได้
มิใช่แม่ไม่เคยตีผมเลยนับแต่เกิดมา
ผมจึงยกผลประโยบชน์แม่มากกว่าพ่อ
ในความรักที่มีในตัวผมในฐานะเป็นความรักที่แม่มีให้ลูก


นอกนั้นที่แม่มี


แม่รักเพื่อนและจะลืมสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วเสมอ


กรณีแม่รักเพื่อน
มีตอนหนึ่งลูกชายของเพื่อนรักของแม่คนหนึ่ง
เรียนวิชาป่าไม้ชั้นหนึ่งใน
มหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ


แต่บังเอิญจะกลับบ้านในวันหนึ่ง
ประสบอุบัติเหตุกลับบ้านไม่ได้ไม่มีเงิน
และเดินไม่ได้
ต้องใช้เงินเร่งด่วน


เพื่อมารับตัวมาพักรักษาที่บ้าน
ขณะที่อาชีพพ่อแม่ของเขาเป็นครู

การเงินของเพื่อนรักแม่ตอนนี้มีปัญหา
เขาจึงมาหยิบยืมเงินที่แม่ผม


แม้แม่ผมก็ไม่มีเงินสำรอง
เพราะไม่ได้รับราชการมีเงินเดือนมั่นคงประจำเหมือนครูที่เป็นเพื่อน
ตกลง
แม่ให้เพือนที่เป็นครูมีปัญหาการเงินท่านนั้น
เพื่อรับลูกชายมารักษาตัวต่อที่บ้าน
เพราะประสบอุบัติเหตุขาหักที่กรุงเทพฯ


เขายืมเงินไปเพื่อรับลูกลับมาพักรักษาตัวต่อ
ที่บ้านห่างไกล400กม.


แม่ผมยอมให้เงินเพื่อนยืมไป
แต่ตนเองคือแม่ผมนั้นตอนนั้น
นับว่าไม่มีเลย
เพราะที่บ้านอานองเตพ่อควบคุมและเก็บแต่ผู้เดียว
แม่ผมจะมีบ้างคือการฝากขายส่งพลู
ที่ตลาดนัดเท่านั้น


อย่างนี้เรียกว่า
แม่ผมรักเพื่อน


เพราะเงินยืมในลักษณะนี้
แม้กับลูกแม่จะไม่ยอมและทำอย่างนี้

ถ้าเป็นลูกคือผม
เมื่อมีความจำเป็นอย่างนี้บ้าง
ปกติแม่จะทำอย่างไร


แม่จะให้ลูกคือผมนั้นงดใช้เงินที่จะใช้
 แต่เอาเท่าที่จำเป็นที่สุด
เพราะเงินแม่ไม่มี


อันนี้แสดงว่าแม่รักเพื่อน
จึงทำอย่างนี้

 เพื่อนผู้นี้เคยเป็นนักเรียนประชาบาล
สมัยเดียวกับแม่ห้องเดียวกัน
 และต่อมาเป็นอาชีพครูทั้งสามีภริยา


แม่มีปรัชญาตัวหนึ่งคือ
รับผิดชอบในความเป็นลูก
เช่นตอนหนึ่งที่ผมทราบว่า


มีข้อมูล
เผ่ากิยองตินแนะแม่ให้
ตัดมรดกลูก แม่ไม่รับคำแนะนำจากเผ่ากิยองตินตัวนี้
คือแต่แม่ตอบปฏิเสธว่า
ทำไม่ได้เด็ดขาด
อันนี้แสดงว่า
แม่มีความรับผิดชอบในตัวบุตรที่เกิดมา


มีเผ่ากิยองตินแนะให้ลูกคือผม
รีบแต่งงาน
แม่ก็ไม่ทำ

แม่ตอบไปว่ากับเผ่ากิยองตินนั้นว่า

"อันนี้สุดแท้แต่ลูกจะรักใครชอบใครเป็นเรื่องของลูก"


และจะแต่งงานให้
ถ้าลูกปลงใจที่รักใครแล้ว


อันนี้แม่ให้สิทธิเสรีภภาพในตัวลูก
อย่างไรก็ตาม


แม่ผมมีปรัชญาฐานนี้
คือรับผิดชอบในบุตรที่เกิดจากอุทร
กล่าวคือ

ในฐานปรัชญาตัวนี้ของแม่

จะเป็นตายร้ายดีอย่างไง
แม่ไม่เพิกเฉยในหน้าที่ความเป็นแม่ของผมคือลูกที่เกิดมาจากอุทรของตนเอง
โดยเด็ดขาด



แล้วตากับยายละมีฐานปรัชญาเช่นไรกับตัวผม


ผมไม่กล้าไปไกลถึงตากับยาย
เพราะเอาเพียงพ่อกับแม่พอแล้วในการสืบค้นญาติ

แต่ว่าถ้าจะให้พูดถึงปรัชญาของตาและยาย
ต่อผมผู้เป็นหลานในไส้แล้ว


คำตอบสั้นๆ

ที่ผมพอจะนำมากล่าวได้  คือ

ท่านทั้งสองให้ผมทำความดีเท่านั้น
และไม่เอาเปรียบเพื่อน
และเชื่อฟังท่านเมื่ออยู่กับท่าน


ฐานปรัชญาของตาและยายสำหรับผม
ผมมีแจ้งให้ทราบเพียงเท่านั้น

ต่อไปมีอะไรอีก
เพื่อให้ตรงประเด็นการสืบค้นญาติและประเด็นหัวข้อต่างประเทศ
และอนุทินบันทึก


ซึ่งผมจะกล่าวอีก
เมื่อว่างลงจากการปลูกพลู
ไว้ขายเพื่อยังชีพก่อนตายต่อไป


ก่อนเรื่องนี้จะได้ยุติลงเสียที
ตอนนี้ผมกำลังฟังฮันเดล
และไฮเดิน ( Joseph Haydn)
youtube
The Best of Händel
28/07/17




Park Town, Oxford - crescent.JPG

Park Town, Oxford - Wikipedia

อ้างจาก https://en.wikipedia.org/wiki/Park_Town,_Oxford
เมื่อ 27/7/2017



Create Date : 29 กรกฎาคม 2560
Last Update : 20 กันยายน 2560 12:12:14 น.
Counter : 687 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สมาชิกหมายเลข 3538694
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



จึงจือหยาง
(jjy)
จบไฮสกูล
ได้ปริญญาสองใบในไทย เคยเป็นนักเรียนเก่าในอังกฤษและฝรั่งเศส
สอบได้ Dip-in-JourจากLondon School of Journalism,MIOJ.ในประเทศอังกฤษ
สอบได้นักวาด ว.อ.(แนวนามธรรม)...
เป็นสมาชิกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย..มีสัญชาติไทย (แซ่แต้) พ่อมาจากมณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน
New Comments
MY VIP Friends