หน้าที่หลักๆของวิทามิน E เชื่อกันว่าเกี่ยวกับการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากรักษาอาการขาดวิทามิน E (ซึ่งเกิดได้ยาก) ยังไม่มีการพิสูจน์ได้จริงว่าการกินอาหารเสริมหรือการกินวิทามิน E มากเกินกว่า RDI จะมีประโยชน์จริง (ต้องรอผลการทดลองยืนยันกันต่อไป)
วิทามิน E กับโรคหัวใจและหลอดเลือด ในระยะแรก มีการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือดบางคน มีระดับของวิทามิน E ต่ำกว่าคนปกติ และมีบางงานวิจัยที่ชี้ว่าการกินวิทามิน E เสริม จะช่วยป้องกันโรคหัวใจได้ แต่การศึกษาเหล่านี้ค่อนข้างมีข้อขัดแย้งหลายอย่าง ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ยอมรับ งานวิจัยที่มีคนยอมรับคือ การทดลองในผู้ป่วยโรคหัวใจเพื่อเปรียบเทียบผลของการกินวิทามิน E เทียบกับยาหลอก ซึ่งปรากฏว่า กลุ่มที่กินวิทามิน E วันละ 400-800 IU มีอัตราการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตายและ heart attack น้อยกว่ากลุ่มที่กินยาหลอก อย่างชัดเจน แต่ท้ายที่สุดแล้ว อัตราการตายจากโรคหัวใจของทั้ง 2 กลุ่มนั้น ไม่แตกต่างกัน นั่นคือ การกินวิทามิน E ไม่ได้ช่วยยืดอายุของผู้ป่วยโรคหัวใจเลย ซึ่งงานวิจัยขนาดใหญ่ในเวลาต่อก็ให้ผลเช่นเดียวกัน กล่าวคือ หลังจากทำการทดลองในคนกว่า 50000 คนแล้ว ยังไม่พบว่าวิทามิน E จะมีประโยชน์
ทั้งนี้ยังไม่มีงานวิจัยที่สามารถสรุปได้จริงว่า วิทามิน E จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคหัวใจได้จริงหรือไม่ เพราะบางงานวิจัยก็บอกว่าได้ ในขณะที่อีกหลายๆงานวิจัย กลับไม่พบว่ามีประโยชน์เลย เข้าไปอ่านเพิ่มเติมได้ที่ //www.bloggang.com/viewblog.php?id=marquez&group=7
วิทามิน E กับมะเร็ง การศึกษาเรื่องของการป้องกันมะเร็งโดยวิทามิน E ในคนนั้น ยังไม่สามารถสรุปได้จริงว่า วิทามิน E จะมีประโยชน์หรือไม่ บางงานวิจัยก็บอกว่าช่วยได้ แต่หลายๆงานวิจัย ก็ไม่พบว่ามีประโยชน์จริง เข้าไปอ่านเพิ่มเติมได้ที่ //www.bloggang.com/viewblog.php?id=marquez&date=18-09-2006&group=7&gblog=3
ปริมาณที่ควรได้รับใน 1 วัน เด็กอายุต่ำกว่า 8 ปี ประมาณ 10 IU อายุ 9-13 ประมาณ 15 IU อายุมากกว่า 14 ปี ประมาณ 20-25 IU ในผู้ที่ให้นมบุตร อาจเพิ่มได้ถึง 30 IU สำหรับผู้ที่มีภาวะขาดวิทามิน E ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ผู้รักษา ในการเลือกขนาดของวิทามิน E ที่ควรได้รับ โดยอาจอยู่ในช่วง 50-3000 IU ขึ้นกับสาเหตุและอาการที่เป็น
ข้อควรระวัง 1. การแพ้วิทามิน E อาจเกิดได้ แม้แต่การใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของวิทามิน E ก็อาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้ เช่น เกิดผิวหนังอักเสบ บวม 2. การได้รับวิทามิน E ในปริมาณที่มากกว่า 400 IU/วัน จะมีโอกาสเกิดเลือดออกได้มากขึ้น โดยเฉพาะคนที่ได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น warfarin, heparin, aspirin และคนที่มีภาวะขาดวิทามิน K โดยอาจเกิดเลือดออกตามเหงือก หรืออาจจะโชคร้ายเกิดเลือดออกในสมองก็ได้ 3. การศึกษาบางอัน ก็ชี้ว่าการได้รับวิทามิน E ในขนาดสูงเป็นเวลานานๆ จะเพิ่มความเสี่ยงในการเสียชีวิต (ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดๆ) ถึงแม้บางการทดลองจะไม่ให้ผลเช่นนี้ แต่ก็ควรจะระวังในการใช้วิทามิน E ในขนาดสูงๆอยู่ดี
อาหารที่มีวิทามิน E สูง น้ำมันพืช, ถั่ว, ผักใบเขียว เช่น ผักโขม บรอคโคลี, ธัญพืชต่างๆ, ผลไม้บางอย่าง เช่น มะม่วง ซึ่งจะเห็นได้ว่า อาหารหลายชนิดมีวิทามิน E สูง หากเรากินอาหารได้ตามปกติอยู่แล้ว และเลือกกินสลับสับเปลี่ยนกันไปเรื่อยๆไม่ซ้ำกัน ก็แทบจะไม่มีความจำเป็นใดๆเลย ที่จะต้องไปกินวิทามิน E เสริม
สรุป การกินอาหารตามวิถีชีวิตปกติของเราๆ มีโอกาสเกิดการขาดวิทามิน E ได้น้อย และการกินวิทามิน E เสริม ก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้จริงว่า จะมีประโยชน์ทั้งในเรื่องของโรคหัวใจ และในโรคมะเร็ง นอกจากนี้ การได้รับวิทามิน E ในขนาดสูงเป็นเวลานานๆ ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออก โดยเฉพาะกับคนที่กินยาต้านการแข็งตัวของเลือด ซึ่งหากโชคร้าย อาจทำให้เกิดเลือดออกในสมอง ซึ่งอาจนำไปสู่การเสียชีวิตได้
A te che sei il mio grande amore Ed il mio amore grande A te che hai preso la mia vita E ne hai fatto molto di più A te che hai dato senso al tempo Senza misurarlo A te che sei il mio amore grande Ed il mio grande amore