Group Blog
 
All blogs
 

ทำไมถึงอยากขาวกันจัง

ทุกวันนี้กระแส ผิวขาวมาแรง ทั้งโฆษณาทีวี และจากสื่อต่างๆ ทำไมต้องบอกว่า ผิวขาวถึงสวย ดูดี คนผิวคล้ำไม่สวยเหรอ คนเราวัดกันแค่ผิวขาวเหรอ

ก็ใช่คนผิวขาวใส่เสื้อผ้าได้ทุกสี อะไรก็ได้ แต่คนผิวคล้ำต้องมาวุ่นวายเลือกสี สีเขียวไม่ได้ ใส่แล้วดำ สีแดงไม่ได้ ไม่เวิร์ค เฮ้ย

จริงๆคนเราอยู่ที่ความมั่นใจมากกว่า จะผิวอะไรถ้ามั่นใจ ใส่สีไรก็สวย

แถมโฆษณาครีมบำรุงในทีวีก็สุดจะเว่อร์ จากหน้าคล้ำ ทาครีม 3 วันน7 วัน หน้าขาวมาก แบบเปล่งประกาย อย่างกับครีมเทวดาเสก ทาปั๊ปขาวปุ๊ป ทำให้ผู้บริโภคเดี๋ยวนี้ ลืมสาระสำคัญของการใช้ครีมบำรุงไปหมดแล้ว

ใครว่าคนผิวคล้ำไม่สวย เห็นนางงามจักรวาลหรือเปล่า คนผิวคล้ำ ผิวสี เข้ารอบทุกปี ติดอันดับ 1ใน 5 1 ใน 3 ไหนใครว่าผิวคล้ำไม่สวย

คนผิวคล้ำได้เปรียบกว่าในเรื่องของความต้านทานรังสียูวี คนผิวขาวโดนรังสียูวีมากไม่ได้ จากขาวก็แดง แล้วฝ้า กระ ก็ตามมา เป็นสิวที ทิ้งรอยไว้ ก็เห็นชัด

ครีมบำรุงนะค่ะ ไม่ใช่ครีมวิเศษ ไม่มีอำนาจจะเสกให้เปลี่ยนพันธุกรรมสีผิวที่พ่อแม่ให้มา เพียงแต่บางทีเราต้องเจอกับแสงแดด มลภาวะ ความร้อน ผิวเดิม ก็ดูหมองๆลง ใช้ครีมพวกไวเทนนิ่ง ทากันแดดทุกวัน มันก็จะกลับมาเหมือนเดิม ขาวแค่ไหนเหรอ ดูผิวในร่มผ้า เช่น เนินอก ผิวจะขาวกว่าหน้า ก็ขาวได้แค่นั้นหล่ะค่ะ

ยิ่งทำทรีทเม้นหน้าใสเยอะ ก็ทำให้ผิวอ่อนแอ แถมแพ้ง่ายอีกต่างหาก ใช้ครีมอะไรก็แพ้ โดนแดดเยอะไม่ได้ ไม่งั้นหน้าดำ

แค่ใช้ครีมอย่างเดียวคงไม่ได้ขาวขึ้น แต่ดันลืมดูแลสุขภาพตัวเอง พยายามสรรหาครีมบำรุงเลอเลิศ วิเศษ แต่กลับไม่ใส่ใจสุขภาพ

ผิวจะดีได้ต้องมาจากภายใน เช่น ดื่มน้ำสะอาดวันละ 8 แก้ว ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ไม่เครียด ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มแอลฯ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ทานอาหารที่มีประโยชน์ ขับถ่ายทุกวัน แค่นี้ผิวก็จะใส่จากภายในสู่ภายนอก ครีมก็แค่เป็นตัวช่วยเสริมเท่านั้นเอง หากร่างกายอ่อนแอ ทาครีมกระปุกละ หลายหมื่นผิวก็ไม่ใส

บางคนปฏิบัติธรรม นั่งกรรมฐาน ไม่ทาครีม ไม่ทาของหอม แต่หน้ากลับใสกว่าคนทาสาระพัดครีม เพราะเค้าจิตใจแจ่มใส ไม่มีความเครียดนั้นเอง

ลองสังเกตุหรือเปล่าว่า ทำไมตอนช่วงสอบ สิวขึ้น ก็เพราะเราเครียด สิวจะชอบความเครียด ทำไมทาอายครีมที่สรรพคุณขั้นเทพ แต่ไม่เห็นเวิร์คเลย ลองกลับมาดูตัวเองว่า ยังนอนดึกเหมือนเดิมหรือเปล่า ชอบขยี้ตาบ่อยหรือเปล่า เพราะผิวรอบดวงตาอ่อนโยน บอบบาง หากเราพักผ่อนไม่เพียงพอ เม็ดสีใต้ตาก็ทำงานผิดปกติ ดำคล้ำเป็นหมีแพนด้า ถ้าเราทาครีมแล้วปรับพฤติกรรมการนอนหลับ มันก็เห็นผล

ไม่มีอะไรดีไปหมดซะทุกอย่าง นานาจิตตัง

สาธุอาจจะไม่ประโยชน์ ไม่มาก ขออภัยนะค่า




 

Create Date : 30 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 30 กรกฎาคม 2552 12:13:09 น.
Counter : 369 Pageviews.  

อายุมากแล้ว เป็นสิวเรื้อรังไม่หายสักทั ทั้งๆที่ใบหน้าก็ไม่มัน ยิ่งช่วงมีประจำเดือนก็ยิ่งเห่ออักเสบ

สิว(Acne) เป็นปัญหากวนใจที่พบได้บ่อยมากโดยเฉพาะในวัยรุ่น เกิดจากการที่รูขุมขนอุดตัน ทำให้น้ำมันซึ่งผลิตจากต่อมไขมันระบายออกสู่ภายนอกไม่ทัน เกิดสิวอุดตัน เรียกว่า คอมิโดน (Comedone) ตามมา รูขุมขนเหล่านี้จะอุดตันได้เพราะปัจจัยดังนี้

1. ทางเปิดรูขุมขนอุดตันทั้งๆที่ต่อมไขมันทำงานปกติ

พบได้มากจากการกระทำ เช่น การนวด ชัด หรือสครับผิวอย่างรุนแรง ทำให้ขี้ไคลชั้นบนมีการเคลื่อนไปอุดตามท่อของรูขุมขน นอกจากนี้ยังพบได้จากสารเคมีจำพวกน้ำมันเครื่องสำอาง เช่น ครีมบำรุงผิว ครีมรองพื้น มีการไหลย้อยไปอุดตามท่อรูขุมขน การทาครีมรองพื้นเป็นประจำหรือใช้ครีมบำรุงผืวที่มีส่วนผสมของนั้นจึงมัก เกิดสิวได้ง่าย สุดท้ายคือ พระเจ้าลงโทษให้ใบหน้ามีขนอ่อนๆ อุดอยู่ตามรูขุมขน ทำให้รูขุมขนขนาดปกติเมื่อถูกเส้นขนอ่อนๆเหล่านี้เบียดอยู่ก็จะทำให้ขนาดรู ขุมขนยิ่งเล็กลงไปอีก เมื่อต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมาจึงมักอุดตันตามรูขุมขนได้ง่าย เกิดเป็นคอมิโดนให้เห็น ลองสังเกตดูใครที่มีสิวเรื้อรัง หากสังเกตใบหน้าบริเวณที่เป็นสิวเรื้อรังใกล้ๆ มักพบขนเล็กๆอุดตามรูขุมขนเต็มไปหมด ซึ่งเชื่อว่าคนเหล่านี้มีฮอร์โมนเพศชายในร่างกายสูงผิดปกติ

2. ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากเกินไปจนระบายทางรูขุมขนไม่ทัน

ปัจจัยกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมัน มากกว่าปกติคืออุณหภูมิและฮอร์โมนเพศในร่างกาย อุณหภูมิยิ่งสูง ต่อมไขมันยิ่งทำงานเยอะ ผลิตน้ำมันออกมาเยอะ สิวจึงเป็นโรคเมืองร้อนอย่างบ้านาเรา และยิ่งเห่อในช่วงฤดูร้อน ฮอร์โมนที่ทำให้เกิดสิวได้ง่ายคือ ฮอร์โมนเพศชาย (Androgen) หรือฮอร์โมนโปรเจสเทอโรน (Progesterone) ซึ่งกระตุ้นในการทำงานของต่อมไขมัน คนที่มีฮอร์โมนเพศชายในร่างกายสูง จึงมักมีใบหน้ามัน เป็นสิวง่าย มีขนดกตามใบหน้าและลำตัว หรือคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ทารกเพศชาย ลองสังเกตใบหน้าคุณแม่ขณะตั้งครรภ์จะมีสิวเต็มไปหมด เพราะฮอร์โมนเพศชายจากคุณลูกนั้นเอง สำหรับฮอร์โมนโปรเจสเทอโรนพบได้ขณะมีประจำเดือน ทำให้เกิดสิวบริเวณคาง ด้านข้างใบหน้า หัวคิ้ว มีลักษณะเป็นตุ่มแดงเพียง 2-10 จุด พบได้แทบทุกเดือนและสามารถหายเอง นอกจากนี้ยังพบฮอร์โมนชนิดนี้ได้จากการรับประทานยาคุมกำเนิด

สิวไม่มีผลิตภัณฑ์อะไรรักษาให้หายขาด ถาวรได้นะคะ ตราบใดที่คุณมีฮอร์โมนคุณก็มีโอกาสเป็นสิวได้เสมอคะ แต่สิวก็จะหมดไปต่อเมื่อคุณถึงวัยทอง หรือวัยหมดประจำเดือน แต่นั้นก็ไม่เสมอไปนะคะ เพราะในช่วงแรกของวัยทอง จะมีอาการร้อนวูบวาบ เมื่อไปพบแพทย์ แพทย์ต้องให้คุณทางฮอร์โมน ซึ่งฮอร์โมนตรงนี้ก็ทำให้คุณมีโอกาสเป็นสิวได้อีกค่ะ

ดังนั้นนอกจากปัจจัยฮอร์โมนที่ทำให้เกิดสิวแล้ว ปัจจัยการทำความสะอาดผิวหน้าไม่พอก็อาจจะทำให้คุณเป็นสิวได้เช่นกัน

...ข้อมูลสำคัญและควรจดจำ...
1. ห้ามบีบ แกะ หรือ เค้นสิวโดยเด็ดขาด (ปล.ถ้าไม่เชื่อแล้วจะเสียใจ ถ้าหากบีบแล้วจะมีการ
อักเสบ บวมช้ำ เป็นรอยแดงดำ รอยแผลเป็น หลุมสิว และอื่นๆอีกมากมาย )
2. พยายามอยู่สัมผัสหรือลูบผิวหน้าบ่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เป็นสิวผด เพราะจะทำให้อาการยิ่งแย่
3. พยายามล้างหน้าให้สะอาด แต่ไม่ได้หมายความว่าให้ล้างหน้าบ่อยๆนะคะโดยเฉพาะผู้ที่แต่งหน้า เพราะ เครื่องสำอางเหล่านี้คือสาเหตุของการเกิดสิว ( โดยเฉพาะผู้ที่เป็นสิวอุดตัน )
4. อย่าเปลี่ยนเครื่องสำอางค์บ่อยๆ เช่น แป้ง ที่ปัดแก้ม ยาสระผม ถ้าใช้ตัวใหนแล้วไม่แพ้ก็ใช้ต่อไปเถอะคะ มันไม่มีหรอกที่หน้าจะดื้อเครื่องสำอางค์เหล่านี้ แต่ถ้ายิ่งเปลี่ยนสิคะจะเป็นสิวไม่รู้
จบถ้าเกิดเราแพ้ขึ้นมา (ยิ่งคนที่เป็นสิวผดแล้วหละก็ ยาสระผมและแป้ง นั่นแหละตัวดีเลยหละคะ )
5. พยายามรักษาความสะอาด (ข้อนี้สำคัญมากๆๆ) ไม่ว่าจะเป็นที่นอน ปลอกหมอน และอื่นๆ

------- สุดท้ายนี้อยากฝากไว้ว่า -------


" สิว จะหายเร็วหรือช้า ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ายาดีหรือไม่ดี แต่อยู่ที่ตัวเรานั้นดูแลตัวเราดีหรือไม่ ต่างหาก "




 

Create Date : 28 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 28 กรกฎาคม 2552 10:57:01 น.
Counter : 345 Pageviews.  

มารู้จักโครงสร้างผิวกันดีกว่าค่ะ

ผิวหนังจัดว่าเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดใน ร่างกาย และจะห่อหุ้มร่างกายเราไว้ทั้งหมด ทำหน้าที่ปกป้องอวัยวะต่างๆ ที่อยู่ใต้ลงไป จากความร้อน แสง การติดเชื้อ และสภาพแวดล้อมทั้งหลาย นอกจากนี้มันยังทำหน้าที่

* ควบคุมอุณหภูมิของร่างกายให้คงที่
* เป็นที่กักเก็บน้ำและไขมัน
* มีปลายประสาทรับรู้ความรู้สึก
* ป้องกันการสูญเสียน้ำ
* ป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย

ผิวหนังทั่วทั้งร่างกาย จะมีความแตกต่างกันไปทั้งสี ความหยาบละเอียด และความหนา ยกตัวอย่าง ที่ศรีษะจะมีรากผมอยู่มากกว่าที่อื่น ในขณะที่ฝ่ามือและฝ่าเท้าไม่มีเลย แต่จะมีความหนาของชั้นผิวที่มากกว่า เป็นต้น


ผิวหนังประกอบไปด้วยชั้นต่างๆ ซึ่งแต่ละชั้นก็มีหน้าที่ที่แตกต่างกันไป ดังนี้

* ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis)
* ชั้นหนังแท้ (Dermis)
* ชั้นไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutneous fat layer)


ชั้นหนังกำพร้า(Edpidermis)

ถือว่าเป็นชั้นนอกสุดของผิวหนัง ชั้นนี้เรียกกันง่ายๆ ว่า หนังกำพร้า ประกอบด้วย 3 ส่วน:-

สเตรตัม คอร์เนียม (Stratum Corneum) ผิวเรียกเข้าใจง่ายๆ คือชั้นขี้ไคล ชั้นนี้จะประกอบไปด้วยเซลล์คีราติโนไซต์ (Keratinocytes) เป็นเซลล์ที่มีปริมาณมากที่สุดถึง 90% และจะมีการสร้างเซลล์ใหม่ทุกๆ 28 วัน ซึ่งจะผลิตสารเคอราติน (Keratin) และเคอราตินนี้เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่ช่วยทำให้โครงสร้างผิวแข็งแรงและมี ความยืดหยุ่น ชั้นนี้จะป้องกันสิ่งแปลกปลอมภายนอกไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย นอกจากนี้ ยังป้องกันการสูญเสียของน้ำออกจากร่างกายด้วย

ชั้นขี้ไคลนี้ ถ้าเกาะติดกันแน่นและไม่ลอกหลุดตามเวลาที่ควร ก็จะไปอุดตันตามรูขุมขนได้ เป็นที่มาของสิวเสี้ยน และเป็นสาเหตุของการเกิดสิวอักเสบตามมาได้ ดังนั้นการใช้กรด AHA ก็จะไปเร่งการผลัดเซลล์ผิวในชั้นนี้ได้ จึงช่วยลดสิวเสี้ยนลงได้

เซลล์คีราติโนไซต์ (หรืออีกชื่อ สความาสเซลล์ - Squamous cell) ถ้าเรียกแบบชาวบ้านก็คือ หนังกำพร้านั่น เอง ชั้นนี้จะอยู่ถัดใต้ชั้นสเตรตัม คอร์เนียมลงไป เป็นชั้นเซลล์คีราติโนไซต์ที่มีชีวิต และเป็นเซลล์ที่มีอายุโตเต็มวัย ซึ่งพร้อมจะกลายสภาพไปเป็นเซลล์ที่ตายแล้ว (ซึ่งก็คือชั้นสเตรตัม คอร์เนียม) และหลุดลอกกลายเป็นขี้ไคล

ชั้นเบเซิล (Basal Layer) เป็นชั้นที่ลึกที่สุดของชั้นอีพิเดอมีส ที่ชั้นนี้จะมีเบเซิลเซลล์อยู่ และแผ่คลุมต่อเนื่องกันตลอด เบเซิลเซลล์นี้จะแบ่งตัวและสร้างเป็นเซลล์คีราติโนไซต์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อทดแทนเซลล์คีราติโนไซต์ที่เสื่อมสภาพกลายไปเป็นชั้นสเตรตัม คอร์เนียม

ในชั้นหนังกำพร้านี้จะมีเซลล์เมลาโนไซต์แทรกตัวอยู่ ซึ่งเซลล์เมลาโนไซต์นี้จะเป็นตัวที่ผลิตเม็ดสีเมลานิน (ทำให้เกิดสีผิว)

ผิวหนังในเด็กขบวนการนี้จะเกิด ขึ้นเร็ว ทำให้เด็กมีผิวหน้าใส เรียบเกลี้ยง แต่เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น กระบวนการดังกล่าว จะเกิดขึ้นช้าๆ ทำให้การผลัดเซลล์ผิวช้าลง ขี้ไคลก็จะพอกหนาขึ้น

เมื่อมีปัจจัยภายนอกต่างๆ มาเสริม เช่น โดนแสงแดดบ่อย, มลพิษ, สารเคมี, สูบบุหรี่ ก็จะไปเร่งให้ผิวเสื่อมสภาพเร็วขึ้น ทำให้ผิวหยาบกร้าน, มีรอยด่างดำ, ตกกระ, ฝ้า รอยเหี่ยวย่น ผิวหน้าแลดูหมองคล้ำ ไม่สดใส

ชั้นหนังแท้(Dermis)

ผิวชั้นนี้มีความสำคัญมาก เป็นชั้นที่อยู่ตรงกลาง ที่ชั้นนี้จะมี

* หลอดเลือดขนาดเล็ก มาหล่อเลี้ยง
* ท่อน้ำเหลือง
* รากขน
* ต่อมเหงื่อ
* เส้นใยคอลลาเจน
* เซลล์ไฟโบรบลาส (Fibroblast) ซึ่งเป็นตัวที่สร้างเส้นใยคอลลาเจนและอีลาสติน (Elastin)
* เส้นประสาท

และยังเป็นที่อยู่ของสารสำคัญที่ทำให้ ผิวหนังมีความยืดหยุ่นอย่างคอลลาเจนมากถึง 70% และเส้นใยอีลาสตินอีก 5% โดยมีกลูโคอะมิโนไกลแคนที่เป็นตัวเชื่อมยึดสารสำคัญนี้เข้ากับส่วนประกอบ ต่างๆ จึงทำให้ผิวหนังเกิดความชุ่มชื้น ถ้าผิวหนังชั้นนี้เสื่อมจากอายุที่มากขึ้น หรือถูกทำลายจากอัลตราไวโอเลตก็จะทำให้เกิดรอยเหี่ยวย่นขึ้นได้

ผิวหนังชั้นนี้ยังมี ต่อมเหงื่อ ที่มีลักษระเป็นท่อรูปเกลียวเปิด บริเวณชั้นหนังกำพร้า ทำหน้าที่ขับเหงื่อเพื่อปรับสภาวะและรักาอุณหภูมิของร่างกาย มีต่อมไขมัน ทำหน้าที่ผลิตไขมันทำให้ผิวหนังชุ่มชื้น และ ต่อมกลิ่น ที่มีกลิ่นจำเพาะ จะพบมากบริเวณอวัยวะเพศ รูทวารและรักแร้

ชั้นไขมันใต้ผิวหนัง หรือ ชั้นรองรับผิวหนัง

เป็นชั้นที่อยู่ลึกที่สุด ชั้นนี้จะมีเครือข่ายของเส้นใยคอลลาเจนและเซลล์ไขมัน ช่วยในการเก็บสะสมพลังงานความร้อนไม่ให้สูญเสียออกนอกร่างกาย และช่วยปกป้องร่างกาย ด้วยการดูดซับแรงกระแทกจากภายนอก

ความรู้เรื่องผิวหนังจะช่วยให้ คุณเข้าใจกลไกการทำงานของสารเคมีบางกลุ่ม ช่วยให้คุณเข้าใจว่า ปัญหาต่างๆ ของผิวหน้าว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร?

คงเข้าใจหลักการของโครงสร้างผิวกันแล้ว ใช่ไหมค่ะ ผิวหนังมีความสำคัญต่อร่างกาย จึงจำเป็นที่ต้องได้รับการเอาใจใส่ดูแลอย่างถูกต้อง ทั้งร่างกาย จิตใจ การให้ความสำคัญในเรื่องของการทำความสะอาด รวมถึงการให้ความสำคัญกับการเลือกรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ การดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ รวมไปถึงการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่เหมาะสมกับตนเอง เพียงเท่านี้ผิวพรรณของคุณก็จะแข็งแรงมีชีวิตชีวา สุขภาพดี เรียบเนียน นุ่มนวล ไม่มีริ้วรอย จุดด่างดำ ยืดความเยาว์วัยของผิวพรรณไปได้อีกนาน




 

Create Date : 26 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 26 กรกฎาคม 2552 12:52:14 น.
Counter : 216 Pageviews.  

ครีมกันแดดสำคัญไฉน



มีลูกค้าหลายท่านที่โทรมาปรึกษาปัญหาผิวหน้าหมองคล้ำ คุยไปคุยมาแจ้งว่าใช้ครีมบำรุงมาสาระพัดไม่ว่าจะถูก จะแพงใช้มาหมด ไม่เห็นได้ผลเลย ถามไปถามว่า ลูกค้าเหล่านี้มักไม่ใส่ใจที่จะใช้ครีมกันแดด เนื่องจากแจ้งว่า ไม่จำเป็นต้องใช้ เพราะไม่ได้ออกไปตากแดด หรือ อยู่แต่ในบ้านเลี้ยงลูก ไม่เจอแสงแดด ไม่เห็นต้องใช้ เปลืองบ้างอะไรบ้าง

พอได้ฟังอย่างนี้ ทำให้อ๋อเลยค่ะ เป็นการเข้าใจผิดเกี่ยวกับครีมกันแดด ว่าป้องกันเฉพาะแสงแดดอย่างเดียว ไม่ออกแดดไม่ต้องใช้

ต่อไปนี้มาทำความเข้าใจกันใหม่นะค่ะ

แสงแดดที่ทะลุมายังโลกใบนี้ประกอบไปด้วย รังสีอัลตร้าไวโอเลต โดยแบ่งเป็นรังสี UVA UVB และ UVC รังสี UVA เป็นรังสีที่ทำให้ผิวเราคล้ำขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่างเราไปเที่ยวทะเลโดนแดดแค่แป๊ปเดียว ก็รู้สึกว่าผิวเริ่มคล้ำแล้ว ถ้าเป็นฝรั่งผิวขาวหรือคนเอเชียผิวขาว สีผิวมักจะออกแดงมากกว่าดำคล้ำ แต่รังสี UVA นี้จะไม่ทำให้ผิวไหม้นะค่ะ

ส่วนรังสี UVB จะทำให้ผิวมีสีคล้ำขึ้น แต่จะเป็นไปอย่างช้าๆ และสามารถทำให้เกิดการไหม้เกรียมจากแสงแดดได้ กระจกใสส่วนใหญ่สามารถกรองรังสี UVB ได้ดี แต่ไม่สามารถกรองรังสี UVA ได้ คนที่ทำงานหรืออาศัยอยู่ในอาคารที่มีกระจก จึงควรทาครีมกันแดดทุกวัน เพื่อป้องกันรังสี UVA เห็นไหมค่ะ แม้สาวออฟฟิตไม่ได้ออกไปแตกแดดข้างนอก อยู่ในห้องกระจก ก็เสี่ยงต่อผิวคล้ำจากรังสีได้เหมือนกัน

ส่วนรังสี UVC ไม่สามารถทะลุผ่านบรรยากาศชั้นโอโซนได้ จึงไม่มีอันตรายต่อผิวหนัง จะเห็นว่าครีมกันแดดในปัจจุบันส่วนใหญ่จะโฆษณาแค่สามารถปกป้องรังสี UVA,UVB เท่านั้น แต่ในปัจจุบันนี้โลกกำลังเผชิญกับปัญหาสภาวะโลกร้อน ชั้นโอโซนถูกทำลายมากยิ่งขึ้น อนาคต ครีมกันแดดต้องมีสารป้องกันรังสี UVC ด้วย ดังนั้นเราต้องช่วยกันรักษาโลกเรากันนะค่ะ

สีผิวของคนเราที่ต่างกันเพราะจำนวนเม็ด สีใต้ผิวหนังต่างกัน มีส่วนทำให้การปกป้องผิวจากรังสี UV แตกต่างกันด้วย จะเห็นได้ว่า ชาวต่างชาติ ฝรั่งผิวขาวตากแดดไม่นาน ผิวก็จะเริ่มแดงแล้ว ในขณะที่คนผิวคล้ำๆ กลับไม่ค่อยเป็นอะไรมาก ทั้งนี้เพราะว่าจำนวนเม็ดสีของคนผิวคล้ำจะมีมากกว่า จึงสามารถป้องกันแสงแดดได้ดีกว่านั่นเอง เห็นไหมล่ะค่ะ สาวผิวสีน้ำผึ้ง ไม่ต้องเสี่ยงหาสารเคมีแรงมากัดลอกผิวให้ขาว คนผิวขาวการต้านทานแสงแดดจะน้อยกว่า และทำให้เกิดปัญหาฝ้า กระ ได้ง่ายกว่า คนผิวคล้ำ ดูแลผิวดีบำรุงผิวให้เนียน สีผิวเรียบเสมอกัน แค่นี้ก็สวยไม่แพ้ใครแล้วค่ะ

ปัจจุบันครีมกันแดดหาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาด ว่าแต่ครีมกันแดดแบบไหนที่เหมาะกับผิวของเรา มาดูต่อกันนะค่ะ

สารที่สำคัญๆในครีมกันแดดมีอยู่ 2 ชนิด
- Chemical Sunscreen หรือชนิดกันแดดเคมี ชนิดนี้จะดูดซับเอาแสงอัลตร้าไวโอเลตไว้ที่ตัวมันเอง ซึงมีอยู่หลายชนิด เช่น Salicylate,Methoxycinnamate,Methyl Anthranilate,P-Aminobenzoic acid
- Physical Sunscreen หรือกันแดดกายภาพ ชนิดนี้จะเป็นสารทึบแสงมีคุณสมบัติสะท้อนแสงอัลตร้าไวโอเลตออกจากผิวหนัง ตัวอย่างสารประเภทนี้ก็ได้แก่ Titanium dioxide,Zinc oxide เวลาทาสารชนิดนี้จะสังเกตเห็นว่า หน้าจะขาววอกและเกลี่ยเนื้อครีมให้เนียนได้ยาก แต่ปัจจุบันมีการปรับปรุงขนาดอนุภาคของสารประเภทนี้ให้เล็กลง จึงทำให้ผู้ใช้เกลี่ยเนื้อครีมได้เนียนขึ้น

ผลิตภัณฑ์กันแดดควรจะป้องกันได้ทั้ง รังสียูวีเอและยูวีบี ผลิตภัณฑ์ประเภทนี้จะมีคำว่า SPF อยู่บนฉลาก คำว่า SPF นี้ย่อมาจาก Sun Protection Factor ซึ่งหมายว่า ค่าประสิทธิภาพในการป้องกันแสงแดดชนิด UVB เมื่อเทียบกับผิวหนังที่ไม่ได้ทาครีมกันแดด เช่น SPF 15 ก็หมายควาว่า ถ้าผิวหนังที่ไม่ได้ทาครีมกันแดดไปตากแดดเป็นเวลา 5 นาที ผิวจะเริ่มเกิดอาการแดง หรือไหม้เกรียม แต่ถ้าทาครีมกันแดดแล้ว จะสามารถทนแดดได้นานขึ้นอีก 15 เท่า ก่อนที่ผิวจะแดงหรือไหม้เกรียม นั่นคือ ผิวจะสามารถทนแสงแดดได้นานถึง 75 นาทีนั้นเอง

ส่วนค่า ประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA จะใช้คำว่า PFA ซึ่งย่อมาจาก Protection Factor of UVA โดยวัดจากระดับความคล้ำของผิวเมื่อโดนรังสี UVA โดยบนฉลากมักจะมีคำว่า PA+,PA++,PA+++ โดย PA+++ จะสามารถป้องกันรังสี UVA ได้ดีที่สุด แต่เวลาเราซื้อผลิตภัณฑ์กันแดดมักจะไม่ค่อยเห็นเขียนค่า PA แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า SPF เท่าไหร่จะเหมาะกับผิว เคล็ดลับไม่ยากค่ะ ถ้าผิวคุณไม่มีฝ้า กระ จุดด่างดำ และไม่ได้ตากแดดจัดๆ ก็ให้ใช้ครีมกันแดดที่มี SPF ไม่สูงมากนัก เช่น 10-15 แต่ถ้ามีฝ้า กระ บ้าง ก็ใช้ SPF 30 แต่ถ้าใบหน้ามีฝ้าหนามาก กระก็เยอะแถมต้องตากแดดจัด หรือโรคที่ผิวหน้าไวต่อแสง ก็ควรใช้ SPF สูงๆ ตั้งแต่ 50 ขึ้นไป แต่ถ้าต้องการเล่นน้ำ ดำน้ำกลางแดดจัดๆ ก็ควรเลือกครีมกันแดดที่ระบุว่า Water Proof หรือ Water Resistant นะค่ะ เพื่อให้เนื้อครีมติดผิวได้คงทน ไม่หลุดไปกับน้ำ โดยจะสามารถอยู่ในน้ำได้นานถึง 80 นาที

ส่วนวิธีทาครีมกันแดด ก็ให้ทาก่อนออกแดด 30 นาที ปริมาณที่ทาก็อย่าให้บางจนเกินไป และควรทาให้ทั่วบริเวณที่จะโดนแดด ถ้าโดนแดดมาก ก็ควรทาซ้ำทุก 1-3 ชม. หรือถ้าเป็นไปได้ ก็ควรถือร่ม สวมเสื้อแนยาว หรือจะใส่หมวกปีกกว้าง ก็ได้เวลาออกไปตากแดด จะว่าไปคนไทยนี่ก็แปลกนะค่ะ ทั้งๆที่แดดก็จัด แต่ไม่ค่อยใช้ร่มหรือพกร่ม ไปไหนมาไหนกันเลย บางทีขนาดฝนตกก็ยังไม่ยอมกางร่ม แต่ใช้วิธีเอาหนังสือหรือกระเป๋าบัง แล้ววิ่งหลบๆเอา ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอาย เกะกะ ส่วนตัวกอล์ฟจะชอบพกร่มติดกระเป๋าทุกครั้งเวลาไปไหนมาไหน จะพกร่มพับขนาดพอดีกระเป๋าไม่ใหญ่เกินไป พกพาสะดวกน้ำหนักเบา และไม่อายที่จะเอาออกมากางเวลาเดินตากแดดไปส่งพัสดุให้ลูกค้า พกร่มตั้งแต่ สมัยเรียนปวช.โน้นค่ะ เลยติดเป็นนิสัย

ไม่เฉพาะแสงแดดที่มากระทบผิวหน้าโดยตรง เท่านั้นที่มีผลต่อผิวของเราแต่แสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์ก็มีผลเหมือนกัน อย่างเช่น เมืองหนาว บางคนไปเล่นหิมะ ไม่ต้องกลัวแดดเลย แต่อันที่จริง การไปเล่นหิมะนั้นยิ่งโดนแสงแดดมากกว่าปกติเสียอีก เพราะนอกจากแสงแดดที่มากระทบโดยตรงแล้ว แสงสะท้อนจากหิมะก็ยังมีผลต่อผิวด้วย แสงสะท้อนพบเจอได้ทั่วไป เช่น แสงสะท้อนจากน้ำทะเล ห้วย หนอง คลอง บึง จากทราย จากถนน หรือแม้แต่ หลอดไฟนีออนก็มีรังสี หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เราใช้กันทุกวันก็มีรังสี หรือแม้แต่ในครัวก็มีรังสี แม่บ้านที่ทำอาหารโดยใช้ความร้อน อยู่หน้าเตาบ่อยๆ ผิวหน้าจะมีฝ้าปรากฏขึ้นมา เห็นไหมค่ะว่า ครีมกันแดดสำคัญมากแค่ไหน ต่อไปก็ควรหมั่นทาครีมกันแดดเป็นประทุกวันนะค่ะ

มาดูวิธีป้องกันรังสีกันดีกว่าค่ะ
1. การถูกแสงแดดไม่ว่ามากหรือน้อยเพียงใดก็ตาม ต่างก็เป็นอันตรายทั้งสิ้น ทั้งนี้เนื่องจากพิษของแสงแดดจะสะสมไปเรื่อยๆเหมือนกับการออมทรัพย์ ต่างกันแต่เพียงว่าธรรมชาติมีความซื่อสัตย์ยิ่งกว่ามนุษย์ ดังนั้นเมื่อสะสมไปเป็นเวลานาน ก็จะได้รับพิษทั้งต้นและดอกเบี้ยครบด้วยบริบูรณ์ไม่มี

2. แสงแดดไม่ว่าเวลาใดก็ตามมีอันตรายทั้งสิ้น ทั้งนี้เนื่องจากว่าในความเป็นจริงแล้วแสงยูวีชนิดเอ (UVA) จะมีปริมาณค่อนข้างคงที่ตลอดทั้งวัน ในขณะที่แสงยูวีบีจะมีปริมาณมากเฉพาะในช่วง 9 - 12 นาฬิกาดังกล่าว จริงอยู่ว่าพิษจากยูวีบีนั้นแรงกว่ายูวีเอ แต่ก็อย่างที่เคยได้อธิบายให้ฟังแล้วว่า ยูวีบีนั้นถูกเพียงไม่กี่ นาทีก็แสบแล้ว ดังนั้นคนส่วนใหญ่มักจะวิ่งหนีไปก่อนที่จะได้รับพิษมากพอ นอกจากนี้ยูวีบียังทะลุกระจกไม่ได้ (ถ้ามีความหนาเกิน 3 มม.) ดังนั้นเวลานั่งอยู่ในห้องหรือในรถยนต์ก็มักจะปลอดภัยจากแสงนี้ ขณะที่ยูวีเอทะลุมาได้เฉยๆ เลย ทางที่ดีที่สุด ทุกคนจึงควรหลบแดดไม่ว่าเวลาใดก็ตาม แต่สำหรับท่านที่ผิวยังดีอยู่คือ ไม่มีรอยย่นหรือกระ ฝ้า ก็พอจะถูกแดดช่วงเช้าๆหรือเย็นๆได้

3. ถ้าจำเป็นต้องออกไปถูกแดด ก็ขอให้พยายามหาวิธีผ่อนหนักเป็นเบา เช่น เลือกไปออกแดดเฉพาะเวลาที่แดดอ่อนๆ (เช้าๆ หรือเย็นๆ) ถ้าถือร่มได้ต้องใช้ร่ม หมั่นทากันแดดทุกวัน และพยายามสวมใส่เสื้อผ้าที่ช่วยปิดบังมิดชิดที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าสวมหมวกได้ก็ควรสวมไว้ แว่นดำก็จะช่วยป้องกันการเกิดต้อกระจกได้

4. หลีกเลี่ยงการไปท่องเที่ยวริมทะเล (ข้อนี้เป็นไปได้ยากค่ะ เพราะทะเลไทยเรา สวย น่าเที่ยวอย่าบอกใคร)เนื่องจากน้ำทะเลและหาดทรายสามารถสะท้อนแสงแดดขึ้นมาใน แนวราบได้ 30 - 100 เปอร์เซ็นต์ ขึ้นอยู่กับมุมตกกระทบของแสง มีคนจำนวนมากที่ไปเผลอหลับอยู่ใต้ร่มริมทะเล พอตื่นขึ้นมาหน้าทั้งแดงทั้งบวมอย่างกับไปถูกใครต้มหรือลวกเอา คนไข้เองก็งง เพราะว่าไม่ได้ไปนอนกลางแดด แต่ถ้าเราเข้าใจว่าหาดทรายและสายน้ำรอบข้างนั่นแหละทำตัวเหมือนกระจกสะท้อน แสง

แสงแดดไม่ใช่จะมีข้อเสียไปทั้งหมดนะค่ะ หากยังจำได้ตอนเด็กๆที่เราเรียนหนังสือ มักจะอ่านเจอว่า ในแสงแดดอ่อนๆยามเช้า จะมากไปด้วยวิตามินดี ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกาย

เอาเป็นว่าอย่าวิตกจริต หรือกลัวแดดมากเกินไป แค่ป้องกันและดูแลผิว หมั่นทาครีมกันแดดทุกวันแค่นี้ก็พอแล้วค่ะ




 

Create Date : 26 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 26 กรกฎาคม 2552 12:53:00 น.
Counter : 205 Pageviews.  

ความรู้เรื่องการเกิดสิว แบบบ้านๆ อ่านเข้าใจง่าย

ปัจจุบันนี้สิวไม่ได้เกิดเฉพาะวัยรุ่น แม้แต่วัยผู้ใหญ่ก็พบเจอปัญหาสิวได้เหมือนกัน ต่อไปนี้จะเป็นการอธิบายปัญหาสิวแบบง่ายๆนะค่ะ


เคยไหมที่สิว ปะทุอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ตอนเช้านอนยังดีๆอยู่ ตื่นเช้ามาส่องกระจก เป็นสิวเบ็ดเบ้อเร่อแล้ว แต่ความจริงไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะสิวเม็ดที่โผล่มาให้เห็นนั้น ก่อร่างสร้างตัวมาเป็นเวลาหลายสัปดาห์แล้ว บางคนอ่านปั๊ปก็ค้านปุ๊ป ว่าไม่จริง เพราะเพิ่งเจอมากับตัว วันนี้ลองเครื่องสำอางใหม่วันต่อมาสิวขึ้นเป็นแผงเลย แต่เชื่อเถอะค่ะ ว่าเป็นเช่นนั้น มันเป็นเรื่องบังเอิญ เพราะสิวเป็นแผงนั้นฟูมฟักคอยจังหวะอยุ่ใต้ผิวคุณมานานแล้ว หรือไม่อีกที สิ่งที่ประทุขึ้นบนใบหน้าคุณนั้น หาใช่สิวไม่ แต่เป็นผื่นแสบแดงที่เป็นปฏิกิริยาของการแพ้เครื่องสำอางนั้นต่างหาก

สิวแท้ซึ่งศัพท์วิชาการเรียกว่า acne vulgaris นั้น เกิดแก่เจ็บตายอยู่ในโลกใบน้อยของมันเองที่มีชื่อเรียกว่า pilosebaceous unit และ โลกดังกล่าวมีนิวาสถานอยู่ในต่อมรากผมซึ่งฝังลึกอยู่ใต้ผิว โลกน้อยใบนั้นหล่ะที่จะเล่าให้คุณฟัง โดยสิ่งแรกที่เราจะเห็นก็คือว่า แต่ละต่อมรากผมนั้นประกอบด้วยตัวกระเปาะและต่อมที่ส่งส่วยน้ำมันหล่อเลี้ยง

ฐานบัญชาการสิว


คนเราทุกคนมีต่อมรากผมหรือ hair follicle สามชนิด ชนิดที่เรียกว่า vellus follicles มีขนาดเล็กที่สุด และมีปริมาณมากที่สุด เป็นต่อมที่ผลิตขนเส้นอ่อนเบา แทบจะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ซึ่งปกคลุมแทบจะทั่วร่างกายของเรา ส่วนเส้นผมที่ขึ้นบนหนังศรีษะ รวมทั้งหนวดเคราด้วยนั้น มาจากต่อมชื่อ terminal follicles ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่ามาก น้อยครั้งมากที่สิวจะเกิดที่ต่อมสองชนิดนี้ เนื่องจากว่าทั้งสองต่อมนี้ มความลงตัวระหว่างขนาดของเส้นขนหรือเส้นผม กับขนาดของกระเปาะอย่างพอดิบพอดี ไม่มีที่ว่างให้สิ่งสกปรกตกค้างเข้าไปหลบซ่อน น้ำมันหล่อเลี้ยงรึก็ยังลื่นไหลคล่องตัว มีการติดขัดให้หมักหมม


แต่สถานการณ์ในต่อมชนิดที่สาม คือ sebaceous follicle ด้วยกัน พวกที่มาจับกันหนาแน่นอยู่บริเวณใบหน้า จะเป็นต่อมที่ใหญ่ที่สุด ต่อมร้ายกาจพวกนี้ เหมือนจงใจสร้างมาให้เป็นแหล่งเพาะสิวโดยเฉพาะทีเดียว เพราะต่อมผลิตน้ำมันหล่อเลี้ยงก็แสนจะใหญ่โต ตัวกระเปาะรึก็สุดจะกว้างขวาง แต่แทนที่จะผลิตเส้นขนหรือเส้นผมให้ได้ขนาดเหมาะสมคับพอดี กลับมีแต่เส้นขนที่เบาบางแทบจะมองไม่เห็น ลอยหลวมเท้งเต้งอยุ่ในกระเปาะ ทำให้ปากของต่อมที่เปิดออกสู่ผิว ดูอ้ากว้าง เป็นรูขุมขนหยาบๆ ที่เรามองเห็นอยู่บนผิวหน้า และความหละหลวมนี่แหละที่เปิดโอกาส เปิดช่องทางให้เกิดความไม่ชอบมาพากลทั้งหลาย ที่ให้กำเนินแก่สิว


บ่อน้ำมัน
เหตุการณ์สำคัญอย่างหนึ่งที่เกิด ขึ้นกับคนในวัยเริ่มรุ่นก็คือ ร่างกายเริ่มผลิตฮอร์โมนที่ชื่อแอนโดรเจน และแอนโดรเจนตัวที่เกี่ยวช้องกับสิวมากที่สุดก็คือ แทสทอสเตอโรน ซึ่งมาจากอัณฑะของเพศชาย จากรังไข่ของเพศหญิง และมาจากต่อมอะดรีนัลของทั้งสองเพศ เทสทอสเตอโรนอาศัยเส้นโลหิตเป็นทางด่วนไปสู่ต่อมรากผม ไปสมรู้ร่วมคิดกับเอ็นไซม์ตัวหนึ่งของผิว ผลิตสารเคมีชี่อ ไดไฮโดรเทสทอสเตอโรน หรือ DHT ออกมา และเจ้า DHT นี่แหละที่เป็นตัวบัญชาให้ต่อมผลิตน้ำมันเริ่มเดินเครื่องเป็นการใหญ่
ผิว ของคนที่ชอบเป็นสิว มักจะเป็นผิวที่มีน้ำมันมากกว่าปกติ ณ จุดนี้ ต้องขอย้ำว่า ผิวมันไม่ได้เกิดจากอาหารมันๆที่คุณกิน ไขมันในอาหารจะสลายตัวในระบบย่อยอาหาร ซึ่งต่างจากระบบจากผิวโดยสิ้นเชิง และไม่มีหนทางไหนที่สองระบบนี้จะไปข้องแวะกันได้เลย
ในขณะเดียวกัน สภาวะหน้ามัน ก็ไม่ได้แปลว่า ร่างกายคุณพลุ่งพล่านไปด้วยฮอร์โมนเพศเสมอไป มันเป็นสัญญาณบอกว่า ต่อมรากผลของคุณค่อนข้างจะไวต่อแรงกระตุ้นของฮอร์โมน และบ้าจี้ผลิตน้ำมันมากไปหน่อย ทำให้ผิวของคุณแตกมัน จนดูเหมือนกับผิวที่ชอบแตกสิว


รูขุมขนที่อุดตัน
บนผิวหน้าของเรามีรูขุมขนอยู่ สองชนิด หนึ่งคือช่องเปิดของต่อมรากผม เพื่อให้เส้นขนหรือเส้นผมงอกออกมาได้ และสองคือ ทางออกของต่อมเหงื่อ ต่อมสองชนิดนี้ ต่างคนต่างอยุ่ไม่เกี่ยวข้องโยงใยเข้าหากันอย่างเด็ดขาด ซึ่งหมายความว่า เหงื่อกับสิว ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ ต่อกัน ฉะนั้นการไปเข้าสปาเพื่ออบไอน้ำให้เหงื่อช่วยชะล้างรูขุมขน หรือการออกกำลังกายให้เหงื่อท่วม เพื่อหวังผลเช่นเดียวกัน จึงเป็นการเกาไม่ถูกจุด รูขุมขนที่หากอุดตันจะยังผลเป็นสิวได้ คือ รูขุมขนที่เป็นช่องเปิดของต่อมรากผมเท่านั้น ส่วนการอุดตันที่มักถูกสร้างภาพว่า เป็นเสมือนคอขวดที่ถูกปิดด้วยจุกไม้ก๊อก ก็เป็นภาพที่ไม่ถูกต้อง เนื่องจากขั้นตอนของการอุดตันไม่ได้เริ่มต้นมาจากมีอะไรอุดช่อง ดักจับเอาน้ำมันกับสิ่งสกปรกไว้ให้ออกไม่ได้ หากแต่ค่อยๆ เริ่มตันจากก้นกระเปาะ ขึ้นไปถึงช่องเปิดนั่นทีเดียว ภาพของการอุดตัน จึงควรเปรียบกับปากขวดที่มีน้ำเต็ม แต่ถูกแช่แข็งปั๋งวขยับไม่ได้เลย จะใกล้เคียงสภาวะจริงมากกว่า


ขยะผิว
ผู้ที่สนใจความงามผิวทั้งหลาย ต้องพอรู้อยู่แล้วว่า ผิวของคนเรานั้น สร้างเซลล์ใหม่ออกมาผลัดกับเซลล์เก่าจากด้านล่างผลักเอาเซลล์เก่าบนผิวชั้น บนสุด ให้หลุดลอกออกเป็นขยะสิวที่ปลิวหายไปในบรรยากาศ ที่เราอาจจะไม่ทันนึกถึงก็คือว่า ต่อมรากผมแต่ละต่อม ก็เป็นส่วนหนึ่งของผิว และมีการสร้างเซลล์ใหม่ออกผลักดันเซลล์เก่าให้ลอยตัวเพื่อให้หลุดออกทางช่อง เปิดของต่อมเหมือนกัน ซึ่งโดยปกติแล้วเซลล์เก่าก็ไหลลื่นออกไปกับน้ำมัน หลุดพ้นไปจากต่อมได้อย่างไม่มีปัญหา
แต่บางครั้งกลไลการทำงานในต่อมราก ผมบางต่อม เกิดขลุกขลักขึ้นอย่างหาสาเหตุไม่ได้ ซึ่งก่อให้เกิดอาการผิดปกติสองอย่าง อย่างแรกคือ ต่อมนั้นเร่งรัดให้เกิดเซลล์เก่าหรือขยะผิวมากกว่าในต่อมธรรมดาถึง 4 เท่า ซึ่งก็ทำให้ถ่ายเทกันแทบจะไม่ทันอยู่แล้ว อย่างที่สองยังยิ่งซ้ำร้าย เพราะขยะผิวที่ทะลักทะเลออกมานี้ แทนที่จะร่วน กลับเกาะกันแน่นราวกับคลุกกาว กลายเป็นก้อนที่ใหม่เกินจะออกจากต่อมได้ ยิ่งได้น้ำมันหล่อเลี้ยงผิวมาผสมเข้าด้วย ก็ยิ่งเหนียวเหนอะซ้ำเข้าอีก


ขยะผิวที่ถูกดักอยู่ในต่อมรากผมเหล่านี้เป็นเสมือน ระเบิดเวลาที่ฝังลึกอยู่ในผิวของคนที่กำลังจะเป็นสิว ระเบิดลูกจิ๋วๆ เหล่านี้มีชื่อเรียกว่า ไมโครโคมีโด(microcomedono) ซึ่งบางลูกก็เป็นระเบิดด้าน ลอยตุ๊บป่องๆ อยู่ในต่อมของมัน ไม่เป็นอุปสรรค และไม่ขวางทางของน้ำมันที่ไหลเลาะเลี้ยวผ่านไปออกปากทางได้ตามปกติ เริ่มจุดชนวนระเบิดโดยการพัฒนา ดึงขยะผิวใหม่ๆ มาเกาะเกี่ยว ดึงเส้นขนที่ขึ้นใหม่มาผูกพัน จนขนาดใหญ่ขึ้นๆ พออายุได้ 7-8 สัปดาห์ ความเป็น “ไมโคร” หรือเล็กจิ๋วหมดไปเสียแล้ว กลายเป็นโคมีโด หรือการอุดตันเต็มตัวและคุณจะเริ่มมองเห็นและสัมผัสความหยาบของผิวบริเวณที่ ผิดปกตินี้ได้


ระเบิดแต่ไม่ตูมตาม


ณ จุดนี้ โคมีโดที่เติบใหญ่ จะถูกขยะผิวใหม่ๆ ผลักจนโผล่พ้นรูขุมขนขึ้นมา และทันทีทันควัน เมลานิน หรือเม็ดสีของผิว ก็จะแผ่กระจายเกาะทั่วส่วนบนและทำให้ดูเป็นสีดำ สิวชนิดนี้จึงเรียกว่า สิวหัวดำ (blackheads) คุณจึงรู้เสียทีว่า เม็ดสิวที่ดูเป็นแต้มดำๆ นั้น ไม่ได้เกิดจากความสกปรกของผิว สิวหัวดำนี้จัดเป็นสิวที่ไม่เป็นอันตรายมากมายนัก มันดูไม่สวยแน่ละ และไม่มีใครอยากมีสิวหัวดำอยู่บนใบหน้า แต่อย่างน้อยมันก็จะไม่พัฒนาเป็นสิวเม็ดแดงๆ ใหญ่ๆที่เจ็บด้วย และทิ้งรอยแผลเป็นด้วย สิวหัวดำมักจะไม่ใหญ่เกินสองสามมิลลิเมตร หรือประมาณขนาดของไส้ดินสอ เมื่อขึ้นมาแล้วก็มักจะจับจองเกาะติดผิวหน้าของคุณเป็นเดือน อาจจะเป็นปี โดยมองดูเหมือนกับไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆเลย ระหว่างนั้นกลไกการสร้างเซลล์ใหม่และการผลิตน้ำมันในต่อมรากผมแทบจะหยุดนิ่ง อยู่กับที่


ส่วนสิวหัวขาว (whiteheads) นั้นเป็นโคมีโดที่เลือกทางเดินคนละทางกับสิวหัวดำ คือแทนที่เติบใหญ่ แล้วผลักพ้นรูขุมขนขึ้นมาสิวหัวขาวจะแนบชิดอยู่ใต้รูขุมขน แต่ขยายออกทางด้านข้าง ดึงให้รูขุมขน แต่ขยายออกทาด้านข้าง ดึงให้รูขุมขนห่อตัวเหมือนมีหูรูด จึงเห็นหัวสิวเป็นตุ่มสีขาวเพียงนิดเดียว พฤติกรรมอื่นๆ ก็คล้ายคลึงกับสิวหัวดำ โดยนับเป็นสิวที่ไม่มีอาการอักเสบแทรกซ้อน และอาจเกิดขึ้นได้กับผิวทุกชนิด คนที่ผิวเรียบเนียนงามไร้ที่ติ ก็อาจถูกรุกรานด้วยหัวสิวดำ หรือหัวขาวเป็นครั้งคราวได้ คนที่ผิวหยาบเหมือนกระดาษทราย ก็อาจดูยิ่งหน้าบากเพราะมีสิวหัวดำหัวขาวกระจายอยู่เป็นหย่อมๆ จะว่าไป แล้ว สิวก็คือสิว แต่เวลาที่เราพูดถึงสิว เรามักจะหมายถึงสิวเม็ดใหญ่แดงช้ำ ปวดบวม ที่ระเบิดทีไร ก็ตูมตามดังสนั่น เจ็บทั้งกาย เจ็บทั้งใจนั่นต่างหาก สิวแบบนั้นเป็นสิวที่มีมือที่สามเข้ามาแทรกแซงนั่นคือ แบคทีเรียที่ก่อกวนจนเกิดอาการอักเสบ ระบบคุ้มกันของร่างกายที่สู้แบคทีเรียอย่างยิบตานั้น


แพทย์ที่มีความถ่อมตัว จะยอมรับว่า สาเหตุของสิวที่อักเสบปวดบวมขึ้นมานั้น ยังไม่เป็นที่รู้กันจะแจ้งเต็มที่สาเหตุของสิวในคนๆหนึ่ง อาจจะแตกต่างกับในคนอีกคนหนึ่ง แม้แต่สาเหตุของสิวเม็ดหนึ่ง ยังอาจจะแตกต่างกับสาเหตุของสิวอีกเม็ดหนึ่งที่อยู่ใกล้กัน ก็เป็นไปได้แต่ในกรณีส่วนมาก จะบ่งชี้ตัวผู้ร้ายได้อย่างดิ้นไม่หลุด นั่นคือ แบคทีเรียรูปร่างเหมือนตะขอ ตัวที่ชื่อว่า propioni bacterium acnes หรือเรียกกันสั้นๆว่า พี-แอกเนส


P.acnes นี้เป็นแบคทีเรียประเภท anaerobes ซึ่งมีความแปลกประหลาดตรงที่ไม่ถูกกับออกซิเจน คือจะดำรงชีพอยุ่ได้เฉพาะในที่ ๆ ออกซิเจนเข้าไม่ถึงเท่านั้น อาหารของมันคือ ซีบัม หรือน้ำมันหล่อเลี้ยงผิว ฉะนั้น ต่อมผลิตน้ำมันหล่อเลี้ยงผิว ที่มิดชิดและโชกแฉะจึงเป็นดังสวรรค์ของ P.acnes


บรรยากาศการอุดตันของรูขุมขน ที่มีก้อนโคมีโดจุกปิดทางออกอยู่นั้น จึงเหมาะเหม็งกับการเจริญพันธุ์ของ P.acnes อย่างที่สุด มันจะเพิ่มพูนขึ้นเป็นกองทัพอย่างรวดเร็ว แต่ละตัวส่งสารพิษในรูปของกรดไขมันและอื่นๆ ออกมากัดกร่อนผนังต่อม เจาะทะลวงกันเอิกเกริก ร้อนถึงระบบคุ้มกันของร่างกาย ต้องรีบเร่งส่งหน่วยเม็ดเลือดขาวมาต่อต้าน กองกำลังเม็ดเลือดขาว เข้ารายล้อมผนังของต่อมและแทรกแซงผ่านเข้าไปเสาะหาและทำลายเจ้าตัวผู้ร้าย ตอนนี้แหละที่เจ้าของผิว จะเริ่มรู้สึกเจ็บๆ คันๆ จากการรบทัพจับศึกที่กำลังเกิดขึ้นในชั้นผิว


ในกรณีของสิว สิ่งที่ทำให้ผิวฉีกขาดคือสิ่งที่เม็ดเลือดขาวใช้เป็นอาวุธพิฆาต P.acnes นั่นคือ เอ็นไซม์ตัวหนึ่งซึ่งมีประสิทธิภาพในการละลายสารโปรตีน นั่นคือเอนไซม์ชื่อ Lipase และเอ็นไซม์ตัวนี้ ถ้าไปปะทะเข้ากับผนังของต่อม ก็พลอยทำให้ผิวที่ปิดต่อมปริแตกเพราะโดนลูกหลงไปด้วย


เมื่อผนังของต่อมฉีกขาด และร่างกายส่งหน่วยกู้ภัยไปถึงสถานที่เกิดเหตุได้ทันท่วงที เพื่อซ่อมรอยฉีกขาดอย่างรีบด่วน สิวที่กริ่งเกรงว่าจะอุบัติขึ้นมากลับยุบหายไป แต่ในกรณที่หน่วงกู้ภัยล่าช้า ไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ว่องไว ผิวที่ปริก็ส่งน้ำมันเศษของเส้นผม แบคทีเรีย เซลล์กระด้าง กระจายออกไปเปรอะเปื้อนเนื้อเยื่อรอบข้าง กองทัพเม็ดเลือดขาวที่รีบรุดมาถึงสถานที่เกิดเหตุ ก็จะทำการแยกแยะปิดกั้น กวาดล้างและกีดกันตัวบ่อนทำลายทั้งหลาย ด้วยการยิงเอ็นไซม์ละลายโปรตีนออกไปอีกหลายนัด ซึ่งผลกระทบไปทำให้ผนังต่อมฉีกขาดอีกหลายแห่ง


ถ้าสมรภูมิดังกล่าว อยู่ใกล้ชั้นบนของผิว คุณก็จะเห็นผลร้ายปรากฏขึ้นภายในเจ็ดสิบสองชั่วโมง ในรูปของเม็ดสิวที่เต็มไปด้วยหนอง ซึ่งประกอบไปด้วยเม็ดเลือดขาวที่สู้จนตัวตายแล้วและเชื้อโรคและขยะผิวอื่นๆ ที่จะบวมขึ้นจนผลที่สุดปริออก เปิดทางให้หนองไหลล้นพาเอาขยะทะลักออกมาด้วย ถ้าโชคดี นี่ก็จะเป็นการชะล้างครั้งยิ่งใหญ่ของต่อมต่อมนี้ และจะเป็นการปิดกิจการอย่างถาวร โดยจะไม่มีการอุดตันในต่อมนี้อีก แต่ถ้าสิ่งสกปรกยังออกไม่หมด เหลือทิ้งตกค้างอยู่บ้าง มันก็จะเป็นเสมือนเมล็ดที่สามารถเพาะตัวขึ้นเป็นสิวใหม่ได้อีก เรียกว่า สิวระดับสอง ซึ่งเป็นการอธิบายว่า เพราะเหตุใด สิวจึงมักจะเกิดซ้ำอยู่ในบริเวณเดิมบ่อยๆ


คนที่เคยถูกสิวรุกรานต่อเนื่อง เหมือนตราบาปที่สลัดไม่หลุดนั้น จะพัฒนาสัญชาติญาณป้องกันตัวขึ้นมาใหม่ ในรูปของคำถามที่กระซิบอยู่ในหูซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า “ ..แล้วจะเป็นสิวไหมเนี่ยะ?” เช่น ถ้าใช้เครื่องสำอางนี้แล้ว สิวจะเห่อขึ้นมาไหม? ต้องไปสัมภาษณ์งานนัดสำคัญอาทิตย์หน้า สิวจะโผล่มาให้ขายหน้าไหม? ถ้ากินขนมนี่แล้ว สิวจะประทุไหม? เป็นต้น ที่น่าเศร้าก็คือ ถ้าคุณเป็นคนที่มีผิวยั่วยุสิว คำตอบก็มักจะออกมาทางลบคือ “เป็นแน่เลยจ้า” เพราะผิวชนิดนี้มีจุดอ่อนอยู่ในตัว เจออะไรนิด โดนอะไรหน่อย ก็เหมือนไปกดปุ่มสิวให้งอกเงยขึ้นเสียเกือบทุกที ยิ่งถ้าเป็นผู้หญิง รอบการเกิดของสิวก็อาจจะผูกขาดอยู่กับกิจกรรมขึ้นลงของฮอร์โมนในทุกขั้นตอน ของการเจริญพันธุ์ เช่นรอบการตกไข่ ประจำเดือน การตั้งครรรภ์ การให้นม เรื่อยไปถึงภาวะหมดประจำเดือน ซึ่งล้วนเป็นช่วงเวลาที่ความเปลี่ยนแปลงภายในร่างกาย อาจจะไปกระตุ้นหรือกระทบกระทั่งกลไกบางอย่างในต่อมผลิตน้ำมันก่อกวนให้เกิด สิวใหม่ หรือซ้ำร้ายสิวเก่าเข้าอีกก็เป็นไปได้ แต่ที่แน่ๆ ก็คือ มีความเกี่ยวดองโดยตรงระหว่างสภาพจิตกับสิว เพราะทั้งหมดทั้งคนไข้ ได้เห็นพ้องต้องกันมานานแล้วว่า ความเครียด สามารถกดปุ่มให้สิวประทุได้ นอกจากนั้นยังมีสิ่งภายนอกอื่นๆที่อาจส่งอิทธิพลก่อกวนและจุดชนวนสิวได้ เป็นนต้นว่า


- เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลผิวต่างๆ การเลือกใช้เครื่องสำอางต้องเลือกให้ตรงกับสภาพผิว หากผิวมันไปเลือกใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนประกอบเป็นน้ำมันสูงก็อาจจะทำให้ ผิวมันขึ้น ทำให้เป็นสิวได้ ผู้หญิงเรามักจะชอบลองเครื่องสำอางใหม่วันนี้ พรุ่งนี้เช้า ตื่นมาเจอเม็ดแดงๆ เหมือนสิวแตกอยู่เต็มหน้าก็ได้ แต่เมื่อพิจารณาดีๆแล้ว มักจะเจอว่า ไม่ใช่สิวแท้หรอก เป็นเพียงการระคายเคือง หรือการแพ้ที่เห่อขึ้นมา แต่ไม่มีการอุดตัน


- สารเคมีต่างๆ หรือที่เรียกว่า สิวสายอาชีพ การทำงานบางครั้งต้องเจอกับสารเคมี ที่ทำให้อุดตันในรูขุมขนได้ เช่นคนงานในโรงงาน ที่ต้องจับต้องหรือปะทะกับสารเคมีในบรรยากาศ


- ยาประเภทต่างๆ ที่กินตามแพทย์สั่ง ยาแพทย์สั่งบางชนิด ก่อเกิดสิวโดยไปจุดชะนวนระเบิดเวลาสิวที่ฝังลึกอยู่ใต้ผิวให้เปรั้ยงปร้าง ขึ้นก่อนเวลาอันควร อย่างเช่น lithium เท่าที่เห็น คนที่กิน lithium เป็นสิวเอามากๆ ทุกราย


- ยาเสตียรอยด์ ยาชนิดหนึ่งที่เรียกว่ารับประกันกินแล้วสิวเห่อ คือยาประเภทเตรียรอยด์ เนื่องจากเป็นสารเคมีที่คล้ายคลึงกับฮอร์โมนแอนโดรเจนที่สุด อีกตัวคือ ฮอร์โมนเสริมชื่อ DHEA ซึ่งขายกันตามร้านอาหารสุขภาพ โดยอ้างสรรพคุณการชะลอความแก่
นอกจากเสตียรอยด์กินแล้วยังมีเสตียรอยด์ ทา แบบทาต้องอยู่ในความควบคุมของแพทย์ เพราะเป็นการทาช่วงเวลาสั้นๆ 2-3 วัน บางคนทาแล้วสิวยุบทันใจเลยทาตลอด หารู้ไม่ทุกครั้งที่ใช้สเตรียรอยด์ค่อยๆ ทำให้ผิวบางลง ทิ้งขยะไว้ในรูขุมขน กระตุ้นต่อมผลิตน้ำมัน กระตุ้นต่อมผลิตน้ำมัน และยุยงให้แบคทีเรียเพาะตัวอีกด้วย สองสัปดาห์ต่อมาแทนที่สิวจะหาย กลับปะทุขึ้นมาอีก

- แสงแดด แสงแดดเป็นศัตรูร้ายของผิวแต่สำหรับสิวแล้ว แสงแดดมีคุณประโยชน์ค่อนข้างมาก


- ภูมิอากาศ และเหงื่อ เสื้อผ้า และการเสียดสี

* พอจะทราบแล้วใช่ไหมค่ะ ว่าสิวมีวงจรชีวิตอย่างไร อาจจะยาวไปนิด แต่ถ้าคุณอ่านจนจบจะรู้จักสิวมากขึ้นค่ะ




 

Create Date : 25 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 25 กรกฎาคม 2552 14:15:05 น.
Counter : 196 Pageviews.  

1  2  

mantamas
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




คนจะงาม งามน้ำใจ ใช่ใบหน้า
Friends' blogs
[Add mantamas's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.