|
วาทกรรมประชาธิปไตย (1)
ขณะเขียนต้นฉบับ...เมืองไทยกำลังอยู่ในช่วงรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งใหญ่อีกครั้ง หลังจากประเทศผ่านการยึดอำนาจรัฐประหารไปเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549
ตอนนี้ไม่ว่าจะเดินทางไปไหน เห็นจะหนีไม่พ้นป้ายหาเสียงเลือกตั้งของพรรคการเมืองใหญ่น้อย เมื่อเปิดสื่อกระแสหลัก (Mainstream media) ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ วิทยุ หรือโทรทัศน์ล้วนแล้วแต่มีข่าวเลือกตั้ง
หนังสือพิมพ์ทุกฉบับจัดสรรพื้นที่พิเศษให้กับการนำเสนอข่าวความเคลื่อนไหวของผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นการเฉพาะ สถานีวิทยุและโทรทัศน์ต่างส่งทีมนักข่าวประกบพรรคการเมือง และนักการเมืองชื่อดัง เพื่อหวังนำเสนอเป็นข่าวทุกต้นชั่วโมง
ยิ่งใกล้วันเลือกตั้ง...ปริมาณข่าวสารเกี่ยวกับนักการเมืองยิ่งท่วมทะลัก โพลสำรวจประชามติสารพัดสำนักแย่งกันเปิดเผยตัวเลขอวดโอ่ความแม่นยำในการพยากรณ์ผลลัพธ์ของการเลือกตั้ง
แน่นอนครับว่าในวันเลือกตั้ง...สื่อทุกค่ายทุกสำนักต้องนำเสนอข่าวการเลือกตั้งประหนึ่งรายการบันเทิงโชว์ประเภทเรียลลิตี้ ถ่ายทอดสดการนับคะแนนเสียง วิเคราะห์ผลคะแนน แทบจะนาทีต่อนาที
เมื่อพ้นวันเลือกตั้ง...มั่นใจได้เลยว่าสื่อกระแสหลักเหล่านี้คงยังเกาะติดกระแสการจับขั้วจัดตั้งรัฐบาลอย่างใกล้ชิด สูตรคณิตศาสตร์การเมืองบวกตัวเลขจำนวนส.ส.ของแต่ละพรรคจะถูกนำเสนอประหนึ่งเลขเด็ดในวันหวยออก
ปรากฏการณ์ของการให้ความสำคัญกับกระบวนการเลือกตั้ง รวมไปถึงการจัดตั้งรัฐบาลเช่นนี้ กล่าวได้ว่า เป็นการตอกย้ำ...ผลิตซ้ำชุดความคิดหนึ่งที่เรียกกันว่า
วาทกรรมประชาธิปไตยแบบตัวแทน
แล้วเจ้าคำว่า วาทกรรม นี่มันคืออะไรละครับ
วาทกรรม (Discourse) ในที่นี้มีความหมายแตกต่างและกว้างไกลกว่าการตีความถ้อยคำตัวอักษร หรือคำพูดในทางภาษาศาสตร์ (Linguistic) ในหนังสือ วาทกรรมการการพัฒนา รองศาสตราจารย์ ดร.ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร ได้ถอดความหมายของวาทกรรมจากแนวคิดของมิเชล ฟูโก (Michel Foucault) นักปรัชญาชาวฝรั่งเศสชื่อดัง ว่าหมายถึง ...ระบบ และกระบวนการในการสร้าง/ผลิต (constitute) เอกลักษณ์ (identity) และความหมาย (significance) ให้กับสรรพสิ่งต่างๆในสังคมที่ห่อหุ้มเราอยู่ ไม่ว่าจะเป็นความรู้ ความจริง อำนาจ หรือตัวตนของเราเอง นอกจากนี้วาทกรรมยังทำหน้าที่ตรึงสิ่งที่สร้างขึ้นให้ดำรงอยู่และเป็นที่ยอดรับของสังคมในวงกว้าง (valorize) กลายสภาพเป็น...วาทกรรมหลัก (dominant discourse)...
กล่าวอีกนัยหนึ่งวาทกรรมคือ ชุดรูปแบบความคิดเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่มีการสร้างขึ้น สั่งสม และถ่ายทอดจนกลายเป็น พลังอำนาจ ชนิดหนึ่งที่ทำให้ผู้คนในสังคมจำนวนมากคิดและเชื่อว่าสิ่งนั้นๆคือ ความจริง ดังนั้น วาทกรรมในเรื่องใดเรื่องหนึ่งจึงมีระบบความคิด มีองค์ความรู้ในการอธิบายความอย่างมีเหตุมีผล ทำให้คนในสังคมส่วนใหญ่เชื่อว่าเรื่องนั้นๆคือ ความจริง มิเชล ฟูโก ได้พิสูจน์แนวคิดเรื่อง วาทกรรม ของเขาผ่านการอธิบายเรื่อง ความบ้า
ฟูโกบอกว่า ความจริงเกี่ยวกับความบ้าในแต่ละยุคสมัยนั้นไม่เหมือนกัน ในสมัยยุโรปยุคกลาง ความบ้า ถูกมองว่าเป็นสิ่งน่ารังเกียจ เป็นเรื่องน่ากลัว ด้วยเหตุนี้คนบ้าในยุคนั้นจึงถูกกีดกันให้ออกจากสังคมโดยจับใส่เรือลอยออกไปในทะเลกว้าง ต่อมาเมื่อองค์ความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ จิตแพทย์ แพทย์ศาสตร์แตกแขนงเป็นวิชาเฉพาะชัดเจนและแพร่หลายมากขึ้น วาทกรรมเกี่ยวกับความบ้าเดิมจึงถูกท้าทายและถูกลบล้างในที่สุด ทำให้คนบ้ากลายเป็นปัญหาทางจิตแพทย์ที่สามารถดำเนินชีวิตในสังคมได้ แต่ต้องถูกจำกัดบริเวณอยู่เฉพาะในโรงพยาบาลเพื่อควบคุมและบำบัดให้เป็นคนปกติ เพราะฉะนั้น ความจริงที่เราเห็นกันอยู่ในยุคสมัยหนึ่ง เมื่อเวลาเปลี่ยน เงื่อนไขทางสังคม วัฒนธรรมเปลี่ยน ความจริงนั้นๆอาจจะปรับเปลี่ยนไปก็ได้ อย่างไรก็ตามวาทกรรมหลักชุดใดจะยืนอยู่คงทนในสังคมมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นกับว่า วาทกรรมชุดนั้นมีการใช้อำนาจ (power) ในการสร้างความรู้ (knowledge) อรรถาธิบายเกี่ยวกับความจริงในเรื่องนั้นๆ ได้มีประสิทธิภาพเพียงใด
นอกจากนั้นยังขึ้นอยู่ว่าวาทกรรมหลักชุดนั้นมีอำนาจในการกีดกัน ห้ามปรามขัดขวาง ควบคุมวาทกรรมอื่นๆอย่างมีประสิทธิผลเพียงใด ทีนี้ลองมาดูเรื่อง วาทกรรมประชาธิปไตย กันบ้างนะครับ เมื่อพูดถึงประชาธิปไตย...สังคมไทยถูกครอบงำโดยวาทกรรมหลักว่า
ประชาธิปไตยคือการเลือกตั้งตัวแทนไปบริหารสังคม บริหารประเทศเท่านั้น
วาทกรรมหลักนี้ถูกสร้าง และถ่ายทอด ด้วยการใช้อำนาจทั้งขู่และปลอบ...ทั้งตบหัวและลูบหลัง หรือถ้าใช้ภาษาของนักวิชาการหลุยส์ อัลธูแซร์ (Louis Althusser) คงต้องบอกว่ารัฐมีการใช้ทั้ง กลไกความรุนแรง และกลไกอุดมการณ์ ในการสร้าง และตอกย้ำวาทกรรมหลักของสังคม กลไกความรุนแรงของรัฐในการใช้อำนาจเชิงบังคับ ขู่เข็ญ ลงโทษให้ผู้คนในสังคมกลัวและเชื่อถือในเรื่องของการเลือกตั้ง ทำผ่านในรูปของกฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายเลือกตั้ง องค์กรของรัฐอย่างตำรวจ ศาล คณะกรรมการการเลือกตั้งจึงมีหน้าที่ตรวจสอบ ควบคุมและดำเนินการให้เป็นไปตามที่กฎหมายระบุ อาทิ การระบุในกฎหมายให้คนไทยที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์จะต้องไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ไม่เช่นนั้นจะเสียสิทธิทางการเมืองบางประการ
หรือการออกกฎเกณฑ์ ข้อบังคับ ระเบียบต่างๆเกี่ยวกับการเลือกตั้ง จนทำให้การเลือกตั้งกลายเป็นพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนไม่กล้าล่วงละเมิด เพราะหากทำผิดเช่นฉีกบัตรเลือกตั้ง หรือใช้งบหาเสียงเกินกำหนดก็จะมีโทษทั้งจำและปรับ
ส่วนกลไกอุดมการณ์ ซึ่งเป็นการสร้างการยอมรับกับชุดความจริงเกี่ยวกับประชาธิปไตยแบบตัวแทนอย่างเนียนๆนั้น ทำผ่านสถาบันวัฒนธรรมหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสถาบันการศึกษา สถาบันสื่อสารมวลชน ฯลฯ
เชื่อไหมครับว่า วาทกรรมหลักเกี่ยวกับประชาธิปไตยคือการเลือกตั้งนั้น ถูกถ่ายทอดลงรากลึกไปจนถึงระดับเด็กอนุบาล เด็กประถม
เพราะเมื่อพูดว่าโรงเรียนนี้มีประชาธิปไตยหมายถึงโรงเรียนนี้มีการเลือกตั้งหัวหน้าห้อง มีการเลือกตั้งประธานนักเรียน กรรมการนักเรียนเท่านั้น เมื่อถึงวาระการเลือกตั้งใหญ่ระดับชาติ เหล่านักเรียนตัวน้อยๆจะถูกบังคับกะเกณฑ์ให้ไปยืนถือป้าย เดินไปบนท้องถนนรณรงค์ให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิใช้เสียง เชิญชวนให้ต่อต้านการซื้อสิทธิขายเสียง สำหรับองค์ความรู้เกี่ยวกับประชาธิปไตยคือการเลือกตั้งนั้น ถูกทำให้เป็น ความจริง ผ่านสื่อต่างๆ ยกตัวอย่างเช่นใน คู่มือ คนไทยเลือกตั้งส.ส. ของคณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.)ที่แจกจ่ายให้กับประชาชนทั่วประเทศระบุไว้อย่างชัดเจนว่า... ...การปกครองระบอบประชาธิปไตย คือ การปกครองที่ประชาชนมีอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ หรือเป็นการปกครองของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน แต่การที่ประชาชนทั้ง 63 ล้านคน จะมาประชุมพิจารณาสร้างกฎกติกาของประเทศ หรือกำหนดว่าจะพัฒนาประเทศอย่างไร จะจัดสรรงบประมาณอย่างไร จะเก็บภาษีเท่าใด ฯลฯ นั้น เป็นไปได้ยาก จำเป็นต้องมีการเลือกตัวแทนให้ทำหน้าที่แทน การเลือกตั้งจึงเป็นกระบวนการทางการเมืองในการใช้อำนาจอธิปไตยของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทน หรือการใช้อำนาจอธิปไตยทางอ้อมโดยผ่านตัวแทนที่ตนเลือกเข้าไปทำหน้าที่แทนตน... สื่อมวลชนกระแสหลักก็เป็นเครื่องมือสำคัญในการเผยแพร่ ตอกย้ำวาทกรรมหลักนี้แก่ประชาชนไทย แล้ววาทกรรมประชาธิปไตยแบบตัวแทน มันมีปัญหาตรงไหนละ มีวาทกรรมประชาธิปไตยอื่นๆที่เป็นคู่แย้งสำคัญหรือไม่...อย่างไร ประเด็นนี้ผมขอยกไว้คุยกันต่อตอนหน้านะครับ
..................................................................................................... บทความนี้ผมเขียนลง ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร Thaicoon ฉบับที่เดือน มกราคม 2551
Create Date : 17 กุมภาพันธ์ 2551 |
Last Update : 17 กุมภาพันธ์ 2551 11:21:43 น. |
|
0 comments
|
Counter : 810 Pageviews. |
|
|
|
| |
|
|