Group Blog
 
All Blogs
 
อยากให้ลูกเป็นอัจฉริยะหรือ

ลานกว้าง หน้าสนามเด็กเล่นโรงเรียนอนุบาล ผู้ปกครองกลุ่มหนึ่งกำลังพูดคุย อวดโอ่เรื่องลูกหลานเสียงดังแว่วเข้าหูผม

“...ลูกออยของหนูฉลาดมากเลยนะคะ อยู่แค่อนุบาล 1 บวกลบเลขได้เร็วมาก อ่านหนังสือเองได้แล้ว...”

ผมละสายตาจากลูกชายจอมซน ผู้กำลังปีนป่ายเครื่องเล่นอย่างสนุกสนาน เหลือบมองผู้พูด เห็นว่าเป็นคุณแม่วัยยี่สิบปลาย ในชุดพนักงานออฟฟิต

“...อย่างนี้ น้องออย ท่าจะเป็นอัจฉริยะ..” หญิงสาวอีกคนกล่าวยอ

คุณแม่ยังสาวยิ้มแก้มปริ พูดว่า“...เออ..ก็ไม่แน่ใจคะ แต่ตอนนี้กำลังหัดลูกออยท่องศัพท์ภาษาอังกฤษอยู่ เพราะแกท่อง A ถึง Z ได้คล่องตั้งนานแล้ว ตั้งใจว่าปีหน้าค่อยให้เรียนภาษาจีน...”

“...เก่งจัง ว่าแต่น้อยออยมีงอแง ไม่ยอมเรียนบ้างไหมคะ” ผู้ปกครองอีกคนในกลุ่มถามขึ้น

“...ตอนแรกต้องบังคับกันนิดหน่อย มีลงไม้ลงมือกันบ้าง แต่ตอนนี้สบายแล้วละ เรียนพิเศษที่ไหนๆน้องออยก็ไม่ว่าอะไร”

ไม่ไกลออกไปมากนัก ตรงบริเวณโต๊ะม้านั่งใต้ต้นชัยพฤกษ์ มีเด็กอนุบาล 4-5 คนกำลังนั่งทำแบบทดสอบอยู่อย่างเคร่งเครียด โดยมีครูสาวร่างใหญ่คอยเดินตรวจงานเด็กทีละคน

เธอไม่ได้มาสอนพิเศษ หรือติวเด็กเข้าโรงเรียนชื่อดังเหมือนคุณครูทั่วๆไปนะครับ ครูผู้นี้รับ เทรนเด็กให้เป็นอัจฉริยะ

ใช่แล้ว...เธอโฆษณาตัวเองว่าสามารถสร้างเด็กน้อยๆให้กลายเป็นอัจฉริยะได้ !?!

ปรากฏว่ามีผู้ปกครองจำนวนมากเข้าคิวขอร้อง ไหว้วานให้เธอช่วยสอน ช่วยติวลูกหลานให้เป็นเด็กยอดมนุษย์กัน

ทุกวันนี้ ดูเหมือนแฟชั่นเด็กอัจฉริยะจะแพร่ระบาดไปทั่ว แม้แต่ในร้านหนังสือ หากใครมีโอกาสเดินสำรวจตามชั้นหนังสือเด็กจะพบว่ามีหนังสือประเภทหนึ่งแทรกปะปนกับหนังสือนิทาน นั่นคือหนังสือแนว How to สำหรับติวเด็กให้พัฒนาสมองในด้านต่างๆ

หนังสือกลุ่มนี้เน้นสร้างความเป็นเลิศให้กับเด็ก ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาสมองซีกซ้าย หรือซีกขวา บางเล่มเน้นคณิตศาสตร์ รูปทรง ตรรกะ บางเล่มเน้นด้านภาษา เชาว์ไวไหวพริบ ฯลฯ

พ่อแม่ ผู้ปกครองจำนวนไม่น้อย คาดหวัง ใฝ่ฝัน หรือแม้กระทั่งผลักดันทุกวิธีการเพื่อให้ลูกหลานของตน เป็นอัจฉริยะ

ด้วยเชื่อว่า หากลูกหลานของตนมีความเป็นเลิศเหนือผู้คนอื่นจะมีความสุข สะดวกสบายกว่าคนอื่น

ครับ...เด็กอัจฉริยะนั้น โดยความหมายรวมๆ คือเด็กผู้มีความสามารถพิเศษโดดเด่นเหนือเด็กปกติทั่วๆไป ในระดับอายุเดียวกัน อยู่ในสภาพแวดล้อมเดียวกัน

เด็กความสามารถพิเศษเหล่านี้อาจโดดเด่นในด้านสติปัญญา ความคิดสร้างสรรค์ การใช้ภาษา การเป็นผู้นำ การสร้างสรรค์งานด้านทัศนศิลป์และศิลปะการแสดง การดนตรี การกีฬา ฯลฯ ซึ่งอาจจะโดดเด่นในด้านใดด้านหนึ่งเป็นพิเศษ หรืออาจหลายๆด้านพร้อมกันก็ได้

แต่ต้องเข้าใจก่อนนะครับว่า โดยธรรมชาติแล้วเด็กพวกนี้มีอยู่น้อยมาก

แต่เมื่อมีนักวิชาการบางคนออกมาให้ข้อมูลว่า “อัจฉริยะสร้างได้” เนื่องเพราะการพัฒนาด้านสมองของทารกในครรภ์มารดา ตลอดจนเด็กแรกเกิดจนถึง 5-6 ขวบเป็นช่วงที่สามารถกระตุ้นสร้างศักยภาพการเรียนรู้ของเด็กได้มากที่สุด จึงเป็นกระแสทำให้พ่อแม่ ผู้ปกครองทุกคนคาดหวังว่าสามารถสร้างเด็กน้อยๆของตน ให้กลายเป็นอัจฉริยะได้ด้วยเช่นกัน

มองในแง่หนึ่งต้องถือว่าเป็นสิ่งดีที่ทำให้พ่อแม่ ผู้ปกครองใส่ใจเลี้ยงดูบุตรหลาน กระตุ้นการพัฒนาการของเด็กให้สร้างศักยภาพเต็มขีดความสามารถของเขา

แต่สำหรับพ่อแม่บางคน การสร้างอัจฉริยะตัวน้อยคือการเคี่ยวเข็ญ เกรี้ยวกราด ดุด่า เฆี่ยนตี บังคับให้เด็กเรียนพิเศษเสริมเรื่องโน้น เรื่องนี้ จนเด็กสูญเสียชีวิตวัยซนของตนเอง

แทนที่จะได้วิ่งเล่น กระโดดโลดเต้น สนุกสนานกับผองเพื่อนตามวัยทโมนกลับต้องถูกลากจูงไปเรียนพิเศษติวคณิตคิดเร็ว ต่อด้วยหลักสูตรภาษาอังกฤษ จากนั้นถึงไปเรียนว่ายน้ำ หริอเรียนเปียโน ฯลฯ

เด็กน้อยหลายคนเกิดความเครียดสะสมทางอารมณ์จนเติบใหญ่ บางรายเคราะห์ร้ายกลายเป็นปมด้อยทางจิตใจ

ลองดูตัวอย่าง นักร้องอัจฉริยะอย่างไมเคิล แจ็กสัน ผู้วายชนม์สิครับ

เมื่อสมัยเด็ก แม้ว่าไมเคิลจะโดดเด่นเหนือเด็กธรรมดาทั่วๆไปด้วยเสียงร้องอันไพเราะเพราะพริ้ง ได้รับการชื่นชม ยกย่องจากผู้คนทั่วโลก แต่เบื้องหลังความสำเร็จกลับต้องแลกด้วยน้ำตา ไมเคิลถูกพ่อเคี่ยวเข็ญ เฆี่ยนตี จนกลายเป็นบาดแผลในใจจวบจนวันตาย

หรืออย่างไทเกอร์ วู๊ด เองก็ได้รับการวิเคราะห์จากนักจิตวิทยาว่า เนื่องเพราะมีความสามารถพิเศษด้านกอล์ฟตั้งแต่เด็ก ชีวิตวัยเด็กของไทเกอร์ วู๊ดจึงต้องอยู่ภายใต้การเคี่ยวเข็ญให้ฝึกซ้อมจนส่งผลให้มีพฤติกรรมผิดปกติในตอนโต

เด็กอัจฉริยะจำนวนมากมีชีวิตอันน่ารันทดไม่แตกต่างจาก ไมเคิล แจ๊กสัน หรือ ไทเกอร์ วู๊ด

พูดเช่นนี้ ผมไม่ได้หมายความว่าพ่อแม่ ผู้ปกครองไม่ควรสร้างเสริม เติมเต็มศักยภาพการเรียนรู้หรือการพัฒนาของลูกหลานนะครับ

หากแต่ผมต้องการให้ พ่อแม่ที่มุ่งเน้นสร้างลูกหลานให้เป็นอัจฉริยะจนเกินควร หรือละเลยธรรมชาติความเป็นเด็กได้ฉุกคิดสักนิดว่า

เรากำลังสร้างโอกาส สร้างอนาคตให้กับลูกหลาน หรือเรากำลังทำลายอนาคตของพวกเขากันแน่

.......................................................................................................................................................................
บทความนี้ผมเขียนลง ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร Mother & Care ฉบับที่ 63 เดือน มีนาคม 2553


Create Date : 07 มีนาคม 2553
Last Update : 7 มีนาคม 2553 18:58:15 น. 3 comments
Counter : 764 Pageviews.

 
ชอบบทความมากเลยค่ะ ขอบคุุณค่ะ :)


โดย: นานา IP: 203.144.144.164 วันที่: 7 มีนาคม 2553 เวลา:20:21:39 น.  

 
เห็นด้วย บ้านตรงข้ามพยายามเคี่ยวเข็ญ เกรี้ยวกราด ดุด่า บังคับให้เด็กอ่านหนังสือ เด็กค่อนข้างขาดความมั่นใจทำอะไรก็โดนดุ เห็นแล้วเครียดแทน...เฮ้ย!!! เด็กก็คือเด็ก ครับ พ่อแม่พยายามทั้งผลัก-ทั้งดัน อะไรให้ลูกมากมาย เราเองก็ต้องให้เค๊าด้วย ส่วนตัวผมเชื่อว่า ถ้าอยากให้ลูกเป็นอัจฉริยะ พ่อแม่ต้องเป็น โคตรอัจฉริยะด้วย.. ถ้าเรายั
งทำไม่ได้ ก็อย่าผลักพาระให้ลูกเลยครับ..


โดย: Master2009 วันที่: 8 มีนาคม 2553 เวลา:9:57:14 น.  

 
เห็นด้วยเช่นกันค่ะ ....อัจฉริยะ ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของการมีชีวิตรอดซะหน่อย (ไปไกลเชียว)

พ่อแม่หลายคนอยากให้ลูกเป็นอัจฉริยะ (เลยพยายามสร้างสารพัด.....) แต่เรากลับคิดหนัก.....ถ้าลูกเป็นอัจฉริยะ...เพราะมันไม่ใช่เรื่องสนุกเลย ที่มีลูกเป็นอัจฉริยะ เก่งเกินวัย ขณะที่เราเป็นแค่...คนธรรมดา ไม่ใช่โครตอัจฉริยะ (อย่างที่คุณ master2009 ว่าแหละ)

งั้นประเด็น สร้างลูกให้เป็นอัจฉริยะ ....ไม่อยู่ในสมอง 5555 ขอสร้างลูกให้โตเป็นคนดีในสังคม เอาตัวรอด พึ่งพาตนเองได้โดยไม่ทำให้ใครเดือดร้อนก็พอแล้ว....(เราว่า...ปลูกฝังให้เป็นคนดี ในสภาวะสิ่งแวดล้อมแย่ๆๆนี่ มันท้าทายความสามารถมากกว่าซะอีก)

ส่วนไอ้เรื่องว่าจะเก่ง ฉลาดแค่ไหน ....อันนี้ มีตัวพันธุกรรม เป็นตัวตั้งอยู่ก่อนแหละ ที่เหลือ ...ก็เรียนรู้กันไป ตามใจคุณแม่คนนี้แล้วกัน 555


โดย: น้องอนีส (pharcist ) วันที่: 8 มีนาคม 2553 เวลา:16:46:26 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สายน้ำกับสายเมฆ
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




Locations of visitors to this page

Tracked by Histats.com
Friends' blogs
[Add สายน้ำกับสายเมฆ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.