แม่จะเข็มแข็งเพื่อหนู/ที่หนึ่งในหัวใจ
Group Blog
 
All blogs
 

Z Z Z ชีวิตที่เคยพลาดพลั้ง Z Z Z (ใครท้อแท้เรื่องการงานหรืออยากเป็นเจ้าของกิจการ...เชิญอ่านค่ะ)

หลายวันก่อนตามอ่านในไดฯ ของเพื่อน และช่วงนี้มีเข้าไปอ่านในห้องสีลม เกี่ยวกับเรื่องการงานและการลงทุน เลยอยากจะเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้เผื่อเป็นประโยชน์กับคนอื่นบ้าง

ตัวอย่าง เพื่อนเราทำกิจการร้านอาหารที่เป็นแฟรนไซส์ ซึ่งที่ผ่านมา 1 ปี ขายดีมากๆ แต่ก็จะมีปัญหาเรื่องลูกน้องบ้าง เรื่องลูกค้าบ้าง โดนขโมยบ้าง โดนก่อกวนบ้าง แต่เธอก็สามารถฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆมาได้ด้วยดี แต่ช่วงหลังบังเอิญมีร้านอาหารอีกร้านเปิดขึ้นมา ทำให้รายได้หายไปจนน่าใจหาย ทำให้เพื่อนกลุ้มใจมาก และด้วยความที่เป็นคนเก่ง จนลูกน้องบอกว่าน่าจะไปทำงานอย่างอื่นมากกว่าที่จะมาเปิดร้านนี้ ทำให้เพื่อนคิดมาก และการเปิดร้านอาหารก็ไม่ใช่อาชีพที่เธอใฝ่ฝันไว้เลย แต่ที่ต้องทำด้วยความจำเป็นและคิดว่ามันลงตัวที่สุดแล้วในเวลานี้ ทำให้เธอสับสนว่าอยากกลับไปทำงานที่ตัวเองถนัดและอยากทำดีไหม ?????????

อีกตัวอย่าง เมื่อ 10 ปีที่แล้วตั้งแต่เริ่มก้าวย่างเข้ามาในบริษัทแห่งนี้ จนถึงทุกวันนี้เราก็ยังทำงานบริษัทเดิมอยู่ แต่ที่ต่างออกไปคือ เรามีกิจการของตัวเราเองด้วย ถึงแม้จะเป็นกิจการเล็กๆ แต่ก็ทำรายได้ให้เราพออยู่ได้หากในวันหนึ่งเราตกงาน อีกทั้งยังสร้างความภูมิใจให้ตัวเองด้วย แต่ทำไมเราถึงทำได้ และอะไรคือแรงผลักดันให้เรามีกิจการของตัวเอง

ช่วง 0-4 ปีแรก เป็นช่วงขาขึ้น เราเข้ามาตอนที่บริษัทเพิ่งเปิดใหม่ๆ มีพนักงานอยู่แค่ 5 คน เราทำงานทุกอย่างตั้งแต่ รับโทรศัพท์ จัดสินค้า เปิดบิล ทำบัญชี เราไม่ได้เรียนจบมาสูง ตอนนั้นจบแค่ ม.6 พอทำงานแล้วมาเรียนต่อภาคค่ำ เงินเดือนที่ได้คือ 6500 บาท ด้วยความที่บริษัทเติบโตอย่างรวดเร็ว ทำให้งานเยอะมากขึ้นจากที่เดือนๆ หนึ่งขายได้ไม่กี่แสนบาท เป็นเดือนละเกือบล้าน ทำให้นายผุดโปรเจ็กต์ จูงใจพนักงานด้วยการให้ค่าคอมมิสชั่นทุกคน ถึงแม้จะไม่ใช่ส่วนขายก็ตาม นอกจากนี้ยังมีให้เงินปันผลปีละ 2 ครั้ง และในแต่ละปีมีการขึ้นเดือนให้มากจนน่าใจหาย (คือมันเยอะมากเกินที่คาดไว้จริงๆ)

แต่ตอนนั้นเราก็เหมือนวัยรุ่นทั่วๆ ไป ทำงานได้ก็กิน ใช้ เที่ยว แต่ก็ไม่ได้ใช้ของแบรนด์เนมอะไรกะเค้ามากนัก ส่วนใหญ่หนักไปทางเที่ยว แล้วก็เอาเงินไปดาวน์รถมือสองมาคันหนึ่ง เป็น honda accord ปี 89 มั้ง ชอบนะแต่ก็ซ่อมเยอะหน่อย แต่ละปีต้องซ่อมหนักๆ อย่างน้อยหนึ่งครั้ง ซึ่งก็เป็นเงินหลายหมื่นอยู่ ทำให้ไม่มีเงินเก็บอะไรกะเค้าเลย ช่วงนั้นใช้ชีวิตแบบสุขีสุโขมาก เจอเพื่อนรุ่นเดียวกันสมัยมัธยมเพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัย เพื่อนบอกได้เงินเดือนเริ่มต้นหมื่นกว่าบาท ซึ่งตอนนั้นเราได้เงินเดือนเกือบสองหมื่นแล้ว (แต่เราไม่เคยพูดเรื่องเงินเดือนของเราให้เพื่อนฟัง) ก็คิดในใจว่า เราช่างโชคดีเสียนี่กระไร มีบ้าน (ของพ่อแม่) มีรถ มีเงินใช้แสนสบาย เวลาเงินออกทีพาเพื่อนที่ทำงานไปเลี้ยง พอได้เงินปันผลมาก็แจกเงินให้ลูกน้อง เพื่อนมายืมเงิน ได้เลยเท่าไหร่บอกมาเด๋วโอนไปให้ ไม่ถามว่าจะคืนไหม คืนเมื่อไหร่ (จนป่านนี้ยังมีอีกหลายคนที่ยืมไปแล้วไม่ได้ใช้ มาคิดเสียดายตอนมีลูกแล้ว คริคริ แต่ไม่เคยโกรธหรืออยากไปทวงคืนนะ เพราะเราคิดว่าเราเป็นคนสมัครใจให้เขายืมเองนี่น้า)

พอมา 4-5 ปีหลัง บริษัทมีพนักงานเพิ่มมากขึ้นเป็น 25 คน ทำให้มีคนมาช่วยงานเรา เราสบายขึ้น ดูแลแต่เรื่องการเงินและบัญชีอย่างเดียว แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือ เราทำงานแย่ลง ทำงานผิดพลาดบ่อย จนสุดท้ายนายทนไม่ไหว บอกว่า

“คุณไม่ต้องมาคุยกับผม ผมไม่ฟังแล้ว และผมจะไม่คุยกับคุณเรื่องนี้อีก”

นับแต่วันนั้นมา นายก็มองเราในทิศทางที่แย่ลงเรื่อยๆ เสนองานอะไรไปก็ไม่ผ่าน ไม่อนุมัติ จนเราเบื่อและคิดอยากออกจากงาน คิดแต่ว่านายไม่ชอบเราแล้ว ถึงเราอยู่ไปมันก็ไม่มีอะไรดีขึ้น โดยที่ไม่ได้คิดมามองดูตัวเองว่าทำไมนายถึงคิดกับเราแบบนั้น

บังเอิญไปเจอเพื่อนเก่าที่บ้านเคยอยู่ใกล้สมัยเด็กๆ กำลังตกงานเคยทำงานเกี่ยวกับทัวร์มาก่อน เลยคิดว่าลองทำบริษัททัวร์กับเพื่อนดูดีกว่า จัดแจงดำเนินการทำบ้านเปิดเป็นบริษัททัวร์ มีกันอยู่ 2 คน คือเรากับเพื่อน เราก็ทำงานบริษัทฯ ไม่ค่อยได้เข้ามาดูเรื่องการขาย จะดูเฉพาะเรื่องบัญชี ส่วนเพื่อนก็ทำทุกอย่างในบริษัท เขารู้เรื่องการออกตั๋วการติดต่อบริษัททัวร์ดี แต่ไม่มีหัวเรื่องการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ สมัยนั้นยังไม่มีระบบ e-ticket เราจะต้องวิ่งส่งตั๋วเอง บางทีอยู่ไกลมากก็ต้องไปส่งให้ทั้งๆ ที่ได้กำไรแค่ไม่กี่ร้อย ซึ่งมันไม่คุ้มทั้งเวลาและค่าเดินทางเลย

การทำบริษัททัวร์ปัญหาที่เจอคือ ทำเล ถ้าสามารถหาทำเลริมถนน คนผ่านไปมาเห็นสะดวก ก็เท่ากับเป็นการโฆษณาไปในตัว ที่จอดรถควรมีอย่างน้อยๆ 1 คัน เพราะบางทีลูกค้าที่เราได้มา ก็เพราะไปบริษัททัวร์ใหญ่ๆ แต่ไม่มีที่จอดรถ ถึงจะถูกกว่า แต่ตัดรำคาญ ซื้อที่สะดวกดีกว่า ตอนแรกที่คิดว่าจะจับเสือมือเปล่า โดยการให้ลูกค้าโอนเงินมาก่อนแล้ว ค่อยไปออกตั๋วนั้น บางทีก็ทำไม่ได้ ยิ่งเคสใหญ่ๆ เป็นกรุ๊ป เราต้องสำรองจ่ายไปก่อน แถมยังไม่สามารถสู้ราคากับบริษัททัวร์ใหญ่ๆ ที่สามารถออกตั๋วเองได้อีก และด้วยความรู้ที่มีอยู่ของเพื่อน บวกกับความไม่รู้เรื่องของเราที่มีแต่เงินทุน ไม่รู้ตลาด ไม่มีกลยุทธ์ใดๆ ที่จะดึดดูดลูกค้าให้มาซื้อ ทำให้มันไม่ประสบความสำเร็จ ปิดยอดเดือนทีไร ติดลบทุกที จุดอวสานมาถึงเมื่อมีโรคซาร์ระบาดหนัก ทัวร์เมืองจีน ฮ่องกง สิงคโปรที่เคยขายได้ กลับแน่นิ่ง จึงตกลงกลับเพื่อนว่า คงต้องถึงเวลาทางใครทางมันแล้ว หลังจากที่ร่วมงานกันมา 1 ปี เพื่อนเองก็เข้าใจดี บอกว่าจะหันไปทำอาชีพอื่นที่รักมากกว่า คือเลี้ยงปลาขาย ปัจจุบันก็ไปได้สวยทีเดียว

ส่วนเราก็หันหน้ากลับไปทำงานตามเดิม โดยตลอดเวลาที่เราเปิดบริษัททัวร์ นายเราก็รู้ แต่ไม่ได้ว่ากล่าวอะไร เนื่องจากเราไม่ได้เอามายุ่งเกี่ยวกับงานที่บริษัท ตอนที่เราปิดบริษัท นายเราก็มาถามว่า
“จะปิดเหรอ น่าเสียดาย บางทีอาจจะต้องใช้เวลามากกว่านี้ มีสายป่านที่ยาวกว่านี้ เพราะถ้าเราผ่านช่วงวิกฤตนี้ไปได้ มันก็น่าจะไปได้ดี “

“ขอบคุณค่ะที่แนะนำ แต่เราไม่มีเงินแล้ว ก็คงต้องปิดไปล่ะค่ะ” เราตอบ ขนาดนายเกลียดขี้หน้าเรา ก็ยังมีแก่ใจมาแนะแนวทางให้ ซึ่งเรายังจำได้มาจนถึงทุกวันนี้

ขอไว้เขียนต่อครั้งหน้าแล้วกันค่ะ (รู้สึกจะติดไว้หลายเรื่องเหลือเกิน)

































 

Create Date : 30 มกราคม 2550    
Last Update : 17 พฤษภาคม 2551 22:13:30 น.
Counter : 422 Pageviews.  

>_< ... ขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์ ... >_<

สืบเนื่องมาจากเรื่องที่พาปันปันไปเรียนที่ศูนย์พัฒนาเด็กเมื่อวันอาทิตย์ พอกลับบ้านก็เล่าให้สามีฟังว่าเป็นอย่างไรบ้าง พอฟังจบสามีบอกคำดียวเลยว่าไม่ให้ไปอีกแล้ว ถ้าอยากจะให้เรียนก็จ้างครูมาสอนที่บ้าน ทำไมต้องไปเรียนรวมกับเด็กพิเศษด้วย ในเมื่อปันปันไม่ได้เป็นอะไร เกิดเรียนด้วยกันแล้วจะทำให้เป็นแบบเค้าหรือป่าว เราได้ฟังก็โมโหว คิดในใจว่าเรียนกับเด็กพิเศษแล้วมันทำไมเหรอ (ด้วยที่เราไปเห็นกับตาว่า น้องเค้าต่างจากลูกเราก็จริงอยู่ แต่เมื่อเรียนด้วยกันก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร ครูก็ดูอยู่ตลอดเวลา ทำไมต้องแบ่งแยกด้วย) ด้วยความโกรธเลยบอกไปว่า

“ปันปันมีปัญหาเรื่องการเข้ากลุ่ม แล้วจะให้มาเรียนแยกมันจะมีประโยชน์อะไร”

“แล้วตัวเองเป็นแม่ภาษาอะไร ไม่รู้หรือไงว่าลูกไม่ได้เป็นแล้วทำไมจะต้องเที่ยวพาไปหาหมอที่โน่นที่นี่ด้วย” สามีโกรธบ้าง

“ทำไมเราจะไม่รู้ว่าลูกเราไม่เป็น คนเป็นแม่ย่อมรู้ดีแต่จะให้ไปบอกกับครู โดยไม่มีอะไรยืนยัน ครูก็ต้องว่าเราเข้าข้างลูกน่ะซิ” เรายังไม่ลดละ

“ไม่รู้หล่ะ ไม่ให้ไป ต่อไปนี้วันเสาร์-อาทิตย์ ห้ามพาลูกออกไปแล้ว ให้ซื้อหนังสือมาสอนที่บ้าน” สามีสั่ง

“หนังสือปันปันมีอยู่เยอะแยะ แล้วทุกวันนี้เราก็เป็นคนสอนลูกเราอยู่ตลอด จะซื้อมาอีกทำไม ลูกเราต้องการการพัฒนาอย่างอื่นนอกจากการเรียนหนังสือ เข้าใจไหม” เราตวาด

“ตามใจ งั้นก็ไม่ต้องไปโรงเรียนมันหล่ะ อยากจะพาไปที่ไหนก็เชิญ” ประโยคสุดท้ายที่สามีพูด

จากนั้นเราก็ระงับอารมณ์ด้วยการขึ้นไปทำความสะอาดห้อนนอน ลูกเดินตามขึ้นมาติดๆ ช่วยทำโน่นทำนี่ ทำให้อารมณ์โกรธดับไปบ้าง จนสติค่อยๆ กลับมา เรารู้ดีว่าสามีจะเป็นคนไม่ง้อใคร ไม่ว่าจะถูกหรือผิด ฉันไม่สน ฉันไม่พูดก่อนแน่นอน ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อน รอไปเถอะ จนทนไม่ไหวต้องพูดก่อน พอมาตอนนี้ไม่รู้ว่าจะรอทำไมในเมื่อมันก็ต้องคุยกันอีกอยู่ดี หลังๆ ไม่รอแล้ว ทะเลาะกันเสร็จ แยกย้ายมุมใครมุมมัน แล้วเราก็เป็นคนเอ่ยบทสนทนาก่อน โดยปล่อยให้เรื่องที่ทะเลาะกันมันเป็นแค่เรื่องที่ผ่านมาแล้วผ่านไป เพราะเป็นแค่เรื่องหยุมหยิม

แต่เรื่องลูก ปล่อยให้ผ่านไม่ได้ ต้องคุย ต้องเคลียร์ ต้องเข้าใจ หลังจากที่ตรึกตร่องมาดีแล้ว เริ่มเข้าใจสามีว่าทำไมเขาถึงไม่อยากให้ไปเรียน คงเพราะเขารักลูกเขา เลยพาลกลัว ซึ่งมันก็เหมือนกับเราที่กลัวว่าลูกจะมีปัญหา เพียงแต่แว่บแรกที่เราฟังดันไปรู้สึกถึงมุมมองอื่นว่า สามีไม่ชอบเด็กพิเศษ มันจริงแล้วไม่ใช่เลย เขาไม่ได้รังเกียจ แต่เขากลัวว่าลูกจะติดพฤติกรรมบางอย่างมา และเจตนาของเขาคือ พอเราได้คำแนะนำมาแล้ว อยากให้เราสอนเอง ไม่อยากให้ไปร่วมกลุ่ม เช้านี้เราเลยโทรไปบอกว่า

“พ่อ ขอให้พ่อรู้ไว้นะ ว่าปันปันคือสิ่งที่แม่รักที่สุด แม่อยากให้พ่อไว้ใจแม่ เพราะแม่จะต้องเลือกและดูแลปันปันอย่างดีที่สุด เหมือนอย่างที่พ่อทำ”

“ตามใจ อยากจะพาไปก็ตามใจ” เพียงแค่นี้เราก็รู้แล้วว่า สามีเข้าใจเราแล้ว

อยากจะบอกว่าการที่เรามีความเห็นที่แตกต่างกันมันไม่ใช่สิ่งที่บอกว่าความคิดไหนถูกหรือผิด เพียงแต่ ณ เวลานั้นเราต่างมองคนละมุม หากเราลองเปลี่ยนมุมที่มอง เราก็จะเข้าใจมากขึ้น ยิ่งเรื่องของครอบครัวการขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์ จะยิ่งช่วยให้เราเข้าใจกันมากขึ้น




 

Create Date : 29 มกราคม 2550    
Last Update : 17 พฤษภาคม 2551 22:11:21 น.
Counter : 407 Pageviews.  

>>>> ฝันของเธอ...หาให้เจอ...ฉันเอาใจช่วย <<<

ใครๆ ก็คงมีความฝันกันใช่ม๊า ความฝันเราก็มีมากเกินบรรยาย แปรเปลี่ยนไปตามวัย แต่ไม่เปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อมนะ เพราะชีวิตไม่ค่อยจะได้เคยผจญภัยอะไรกับเค้าสักเท่าไหร่ เท่าที่จำได้


ไม่เคยฝันว่าอยากเป็นครู เพราะเป็นคนอธิบายอะไรไม่ค่อยจะรู้เรื่อง จำได้ว่าตอนเด็กๆ สอนการบ้านน้อง สอนไม่ได้ไม่รู้จะพูดยังไงให้เข้าใจ พูดแล้วก็โมโหทั้งตัวเองและโมโหน้องด้วย ด่าน้อง ทำไมเมิงโง่อย่างนี้ แค่บวกเลขยังทำไม่ได้ ดีแล้วที่สอบตก น้องมันสวนกลับมาว่า ถ้ากรูฉลาด จะมานั่งให้เมิงสอนเหรอ จากนั้นเลยเลิกสอน เปลี่ยนเป็นนั่งทำการบ้านให้มันแทน เอิ๊ก เอิ๊ก ปรากฎว่ามีทำผิด น้องมันกลับเอามาให้ดูแล้วบอก เมิงทำการบ้านภาษาอะไรทำผิด โง่ฉิบหาย อ้าวดูมันพูด จากนั้นเลยไม่ทำการบ้านให้มันหล่ะ บอกแม่ให้มันไปเรียนพิเศษที่โรงเรียนก็แล้วกัน ส่วนฉลาดๆ อย่างเรา จะนั่งเล่นรอน้องอยู่ที่โรงเรียน แล้วนับแต่นั้นมาก็เข้าใจตัวเองเลยว่า อนาคตเป็นครูคงไม่รุ่งแน่ๆ


ไม่เคยฝันอยากเป็นนางงาม ก็ใครจะไปอาจเอื้อมปานนั้น เด็กกะโปโล ตัวผอม ใส่แว่นหนาเตอะ ตัดผมม้า ไว้ผมบ๊อบ เล่นแต่กับเด็กผู้ชาย ไม่เคยคิด ไม่เคยรู้จักนางงาม ไม่เคยรู้ว่าต้องแต่งตัวไงให้ดึงดูดเพศตรงข้าม อันนี้เป็นปมด้อยมากๆ สมัยนั้นมักมีคำพูดเกี่ยวกับสาว(ไม่)สวยว่า แม้แต่หมามันยังไม่มอง เพราะฉะนั้นแล้วคนมันจะมองเหรอ ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ สมัยประถมเรียนโรงเรียนสหศึกษา poppy love อะไรเนี้ย ไม่มีกะเค้า แล้วก็ไม่รู้จักด้วย จะมีก็ไปแอบชอบเค้าเพราะเค้าเรียนเก่งกว่าเรา อุตส่าห์แอบปลื้มอยู่เป็นปีๆ จนวันหนึ่งได้มีโอกาสไปบ้านเค้า กรี๊ดดดดดดดดด คาดว่าครั้งนี้คงจะสามารถกระเถิบความสัมพันธ์ได้อีกจิดนึง พอเข้าบ้านนั่งคุยโน่นนี่กันกระหนุงกระหนิง บังเอิญพูดมากเกินไปหน่อย ถามเค้าว่าขอกินน้ำได้ไหม เค้าว่าได้สิ แก้วละ 1 บาท จ๊ากกกกกกก สมัยโน่น 1 บาทมันก็ไม่ได้แพงหรอกนะ แต่มัน งง อ่ะ ต้องซื้อน้ำกินด้วย น้ำใจอ่ะมีไหม เราก็ได้แต่บ่น งุ๊งงิ๊งๆ ขอลากลับบ้านก่อนดีกว่า วันรุ่งขึ้น น้ำ 1 บาท ก็กลายเป็น talk of the room ให้ทันที จนเค้าเดินมาถามว่า เธอไปบอกคนอื่นเหรอว่า ถ้ากินน้ำบ้านเราต้องเสียตังค์ เราก็ว่า ใช่ดิ หรือว่ามีคนอื่นเค้าไปขอกินน้ำบ้านเธออีกนอกจากฉัน เชอะ พร้อมกับสะบัดหน้าพรืดหนีไป หลังจากนั้นมา ก็ไม่เคยมีหมาตัวไหนมามอง สาวน้อยคนนี้อีกเลย TT ขนาดย้ายบ้านและย้ายโรงเรียนก็แล้ว มันก็ไม่มีมาเลยค่ะ แต่ถ้าอยากรู้ว่า แล้วไฉนเราจึงกลายมาเป็นแม่เจ้าปันได้ ต้องติดตามตอนต่อไป ซึ่งมันก็คงไม่ธรรมดาแน่ๆ อิอิ


ไม่เคยฝันอยากเป็นดารา เพราะแสดงละครไม่เป็น ไม่เข้าใจว่าต้องทำหน้าตาอย่างไร ทำอารมณ์แบบไหน จนถึงทุกวันนี้เวลาทำงานก็แสดงละครไม่เป็น เลยได้แต่ย่ำอยู่กับที่มา 10 ปีล่ะ สมัยมัธยมปลาย วิชาการภาษาไทย อาจารย์มีให้แสดงละครแบ่งเป็นกลุ่ม ทำเหมือนละครวิทยุ+ละครเวที คือให้เราอัดเสียงกันมาก่อน แล้วก็แสดงตามสคริปที่ได้รับ ก่อนอัดเสียงมีการเทสต์เสียงกันก่อนว่าใครจะเหมาะกับละครตัวไหน คนสวยแต่เสียงไม่สวย อนาคตดับวูบสำหรับกลุ่มนี้ ส่วนคนไม่สวยเสียงดี กลับจับพลัดจับพลูได้เป็นนางเอกค่ะ ด้วยมติอันเป็นเอกฉันท์กับน้ำเสียงสวยๆ ที่ไม่เหมือนตัว ทำให้เราได้พากย์เสียงนางเอก คริคริ จากพากย์เสียงนางเอกก็เขยิบได้มาเป็นนางเอก (ที่แสดงได้แย่มั่กๆ) ตอนซ้อมก็ดูดีอ่ะน่ะ แต่พอแสดงจริงเหลวไม่เป็นท่าเชียวค่ะคุณขา ก็เมื่อเทียบกับอีกกลุ่มเธอร้องไห้ได้เป็นวรรคเป็นเวร แสดงได้ดีมั่กๆ ส่วนกลุ่มเราร้องไห้ไปหัวเราะไป ประมาณเสียใจแล้วเสียสติไปเลยหล่ะค่ะ ครูเลยขอร้องว่า เธออวดเสียงไดแต่อย่าเอาหน้าไปให้เค้าดูหล่ะ พร้อมกับให้คะแนนเต็ม 10 แหม อาจารย์ขา หนูก็อยากจะบอกว่า หนูก็จะเสียสละแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้นหล่ะค่ะ


ส่วนเรื่องความฝันที่อยากจะเป็นไว้มาเขียนต่อครั้งหน้าแล้วกันนะค่ะ


ปอลอ

ขอบคุณคุณ oreocream ที่แวะมาทักทายกันนะค่ะ




























 

Create Date : 22 มกราคม 2550    
Last Update : 17 พฤษภาคม 2551 22:08:38 น.
Counter : 293 Pageviews.  

= = =< ย้ายมาอยู่...ตึกแถว (อีกแล้ว)... >= = =

ช่วงนั้นสามีกำลังเริ่มทำธุรกิจส่วนตัวอยู่ คิดว่าหาเป็นตึกแถวใกล้ที่ทำงาน แล้วก็ใกล้โรงเรียนที่ลูกจะเข้าในอนาคตไปด้วยเลย หาอยู่เกือบเดือน ได้ตึกแถว 5 ชั้นให้เช่า ราคาก็ไม่เบา แต่พอหักคำนวณดูแล้วก็น่าจะไปได้ แถมใกล้ถนนใหญ่ ลูกค้าไปมาง่าย ใกล้ตลาด ห้างสรรพสินค้า โรงเรียนและโรงพยาบาล ครบสูตรฮวงจุ้ยบ้านที่ดี ผลพลอยได้คือ ละแวกนั้นเป็นออฟฟิศหมด มีบ้านอยู่อาศัยไม่กี่หลัง ดังนั้นการจอดรถไม่มีปัญหา กลางคืนที่จอดเพียบ และไม่มีเสียงดังอีกต่างหากเพราะคนอยู่น้อย

เจ้าของบ้านก็ใจดี หากเราซ่อมแซมอะไรที่เกี่ยวกับบ้าน ให้เสนอราคาไปให้เค้าดู หากเค้าโอเคเราก็ซ่อมได้เลย เราสำรองจ่ายไปก่อน ค่อยไปหักกับค่าเช่าบ้านแทน สภาพบ้านแรกๆดูแทบไม่ได้ เพราะคนเดิมที่เช่าอยู่ เช่าไว้เก็บของแล้วให้คนงานอยู่ด้วย เราก็แวะเวียนไปดูบ้าน 2-3 รอบ ได้เจอกับ คนอยู่เดิมดันมีมาขู่ๆ ว่า กลางคืนระวังน้า ชอบมีเสียงแปลกๆด้วย บางทีประตูก็ปิดเอง หรือมีเสียงเดินไปมา หุหุ คนกลัวผีอย่างเราก็เซ็งเลยจิ เอาแต่ว่ะอะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิด บ้าน 5 ชั้น อยู่กัน 3 คน พ่อแม่ลูก เราก็อยู่กันแค่ ชั้น 1-2 นอกนั้นไม่เคยขึ้นไปเหยียบเลยอ่ะ

ย้ายไปอยู่ตอนเดือน เมษายน 2548 แรกๆนอนไม่หลับเป็นเดือนๆ เลย บางทีนอนกับลูก 2 คน ต้องเปิดไฟทั้งบ้าน นี่ยังดีที่มีห้องน้ำทุกชั้น เกิดต้องให้ลงไปเข้าห้องน้ำข้างล่างเนี้ย ไม่ลูกก็สามีต้องรับศึกหนักไปเป็นเพื่อนด้วยแน่ๆ จากวันที่ย้ายเข้ามาทุกจนถึงวันนี้ก็เกือบจะ 2 ปีแล้ว ยิ่งอยู่ก็ยิ่งรักบ้านหลังนี้ ทั้งๆ ที่ตอนนี้ สามีก็ขอให้น้องชายเค้ามาอยู่ด้วย แล้วเดือนมีนาคมน้องสาวเค้ากับลูกสาวอีก 2 คน ก็จะย้ายมาอยู่ด้วยกัน ตอนนี้บ้านเริ่มเต็มทุกชั้นหล่ะ เหลือก็แต่ชั้น 5 กับชั้นลอย ซึ่งเร็วๆ นี้น้องสะใภ้เราก็จะมาอยู่ด้วยเป็นครั้งคราว

ความจริงเราเป็นคนเรื่องมาก ขี้รำคาญ ไม่ชอบอยู่ร่วมกับใคร แต่ช่วงหลังๆ นี้เริ่มรู้สึกว่า ถ้าญาติพี่น้องที่รู้จักกันเค้าลำบากแล้วมาพึ่งเรา เรากลับผลักไสหรือทำเป็นไม่สนใจ เราก็ไม่ควรจะไปทำบุญที่ไหนอีก ในเมื่อคนรอบข้างเรายังไม่มีความสุข แล้วเราจะไปทำให้คนอยู่ไกลได้อย่างไร ความสุขเริ่มจากตัวเราแล้วเผื่อแผ่ให้คนรอบข้าง จากนั้นค่อยขยายวงกว้างออกไป นั่นน่าจะเป็นความสุขที่แท้จริง เหมือนกับที่เราเพิ่งรู้จักคำว่า บ้าน = สถานที่รวบรวมความสุข ความทุกข์ ความท้อแท้ กำลังใจ ความหวัง ความรัก เป็นที่ที่ผู้อยู่อาศัยดูแลซึ่งกันและกัน เหมือนบ้านหลังนี้ที่เมื่อมีเมฆหมอกหรือพายุพัดมา มันก็จะค่อยๆ ผ่านพัดไป พร้อมกับท้องฟ้าที่สดใสอีกครั้ง



ปอลอ.
ขอบคุณ คุณแม่น้องแดนนี่ บอย กับ คุณมัชฌิมา มากค่ะที่มาให้กำลังใจ















 

Create Date : 18 มกราคม 2550    
Last Update : 17 พฤษภาคม 2551 22:06:14 น.
Counter : 377 Pageviews.  

จากตึกแถว สู่บ้านเดี่ยว

เหมือนฟ้าฝนเป็นใจ ไป search หาบ้านเจออยู่หลังหนึ่ง 167 ตรวา ขาย 5.5 ล้าน แถวๆพระราม 2 อู้วววววววว ไม่แพง ไม่แพง รีบบอกที่บ้านพากันไปดู อยู่ในหมู่บ้านใหญ่มั่กๆ คิดในใจมันลงผิดป่าวหว่า อยู่ในหมู่บ้านนี้มันน่าจะ 10 ล้านขึ้นน่า แต่นี่แค่ 5.5 ล้าน อืม…หลังจากตระเวณหาแล้ว ก็เพิ่งเข้าใจว่าทำไมมันถึงถูกจัง ก็อยู่ลึกจากถนนตั้ง 3 โลฝ่าๆ แถมพื้นที่ 167 ตรวาเนี้ย เค้าปลูกไว้ให้วัชพืชอยู่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว มีโครงบ้านตั้งทะมึนอยู่ในพื้นที่หนึ่งหลังประมาณ 50 ตรวา นอกนั้นเป็นทุ่งหญ้าเขียวขจีค่ะ บ้านนี้มะมีคนอยู่อาศัย เราก็วิสะสาเดินแหวกพงหญ้าเข้าไปดูกันเลย เดินไปก็คิดในใจคงมีคนมาแหวกดูกันเพียบเลยมั้ง หญ้างี้ล้มเป็นทางเดินได้สบายเชียว พอเข้าไปในตัวบ้าน ก็อลังการงานสร้างมาก ไม่มีการตกแต่งใดๆทั้งสิ้น เสาเป็นเสา พื้นเป็นพื้น ยังดีที่ประตูหน้าต่างมะได้ถูกงัดออกไปด้วย ไฟฟ้า น้ำประปา โทรศัพท์ ใช้มะได้ค่ะ ต้องขอใหม่ทั้งหมด

พอกลับมาบ้านปรึกษาหารือกันเสร็จสรรพ พ่อแม่ น้องชาย สามี และเรา ตกลงจะซื้อกันค่ะ ไม่อยากเชื่อ โตมา 20 กว่าปี ไม่เคยจะมีครั้งไหนที่คนในบ้านพร้อมใจกันเห็นด้วยเหมือนครั้งนี้ เราเลยจัดการโทรไปต่อรอง เค้าลดให้เหลือ 5 ล้านถ้วน แต่ค่าใช้จ่ายอื่นๆในการโอนเราต้องออกทั้งหมด (ก็โอเคหล่ะค่ะ ลดตั้ง 5 แสน จ่ายส่วนค่าโอนประมาณเกือบแสนเอง) จำได้ว่าซื้อบ้านเมื่อเดือนตุลาคม 2546 หลังจากนั้นท้องฟ้าก็ไม่เคยสดใสอีกเลย เพราะมีปัญหากันตลอด T T เริ่มจากเรื่องการตกแต่งและต่อเติมบ้าน หลายคนก็หลายความคิด เลยแบ่งให้แต่ละคนตกแต่งห้องของตัวเอง ส่วนไหนเป็นส่วนกลางก็แบ่งความรับผิดชอบกันไป พอบ้านเสร็จย้ายเข้าไปอยู่ตอนเดือนเมษายน 2547

ช่วงนั้นน้องชายเอาสุนัขมาเลี้ยง คราวนี้เลยเป็นปัญหากับสามีเราเพราะเค้าไม่ชอบ แถมกลัวว่าลูกชายจะติดเห็บหมัดจากสุนัขอีก เพราะน้องเค้าเลี้ยงในบ้าน แบบพาขึ้นไปนอนด้วย คราวนี้เลยเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเรา เพราะเราเป็นคนกลาง บอกตรงๆว่าเบื่อมาก กลับมาบ้านเราก็อยู่แต่ในห้อง สนามหญ้าไม่เคยได้ไปเดินกันหล่ะ แถมบ้านอยู่ไกลจากที่ทำงาน ไม่ถึงกลับลำบากแต่ก็ต้องเสียเวลาบนถนนมากขึ้น คราวนี้จากที่เคยคิดว่ามาอยู่บ้านเดี่ยวสวยๆแล้วจะได้มีความสุขอย่างที่คิด กลับทุกข์กว่าเดิม เหมือนที่เค้าว่า คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก ในเมื่อบ้านมันร้อนเป็นไฟ อยู่ไปก็ไม่มีความสุข อย่ากระนั้นเลย เราย้ายออกมาเสียจะดีกว่า ===> ตอน 3

ปอ.ลอ.

คุณหัวใจสีชมพูค่ะ พอย้ายมาอยู่บ้านเดี่ยว เจอปัญหาสุนัขที่เลี้ยงชอบเห่าค่ะ บังเอิญมีอยู่บ้านหนึ่งห่างออกไปประมาณ 100 เมตร เป็นฝรั่งแกนอนตื่นสาย แกมาบ่นมาสุนัขที่บ้านเห่าน่ารำคาญเค้านอนไม่หลับ ก็ไม่รู้จะทำไงค่ะ

คุณ Icyberdy ค่ะ คือเราคงเป็นคนไม่ค่อยมีมนุษยสัมพันธ์เท่าไหร่ เพราะถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้จักเพื่อนบ้านสักคนเลยค่ะ




 

Create Date : 17 มกราคม 2550    
Last Update : 17 พฤษภาคม 2551 22:04:01 น.
Counter : 346 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  

แม่เจ้าปัน
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




ขอรหัสผ่านหลังไมค์นะค่ะ
Free Counters
Friends' blogs
[Add แม่เจ้าปัน's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.