|
เครียดจัง...ย้ายโรงเรียนให้ลูก (2)
หลังจากวันนั้นแม่ก็กังวลใจมาก พยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องเด็กสมาธิสั้นมาอ่าน สังเกตพฤติกรรมของหนูมากขึ้น พ่อหนูก็มีโทรติดต่อไปสถาบันพัฒนาการ 2-3 แห่งเพื่อจะพาหนูไปทดสอบพฤติกรรม แต่ละที่จะต้องนัดหมายและรอคิวนานประมาณ 2 อาทิตย์ขึ้นไป ทำให้แม่รู้ว่ามีเด็กที่เป็นสมาธิสั้นเยอะเชียวหล่ะ อาการโดยทั่วๆไปของเด็กสมาธิสั้น เช่น อยู่ไม่สูข นั่งไม่ติด ชอบวิ่ง พูดมาก เล่นเสียงดัง ตื่นตัวตื่นเต้นง่าย พูดโพล่งหรือสอดแทรกโดยยังฟังไม่จบ รอคอยไม่เป็น แม่อ่านโดยรวมๆแล้ว หนูก็เข้าข่ายอยู่หลายข้อ สุดท้ายแม่ไปหาเจอสถาบันทดสอบอยู่หนึ่งที่แถวๆฝั่งธน หลังจากนัดแนะกันเรียบร้อยแล้ว ก็ไปแจ้งคุณครูที่โรงเรียนหนู เพื่อให้คุณครูตอบแบบสอบถามพฤติกรรมของหนูเวลาอยู่ที่โรงเรียน แล้วก็นำเอาไปให้ที่สถาบันในวันนัด
พอถึงวันนัด แม่ยังไม่ได้เอาเอกสารให้เค้าดูในตอนแรก แต่ให้เค้าพาหนูไปทดสอบพฤติกรรมเลย โดยจะมีผู้ทดสอบ(ครูนา) หนู และแม่เข้าไปในห้อง แม่จะนั่งอยู่ด้านหลังไม่ได้หนูเห็น เพื่อหนูจะได้ไม่วอกแวก ในห้องจะมีของเล่นและสื่อการเรียนเต็มไปหมด ครูนาจะหยิบของมาทดสอบหนูที่ละอย่าง เช่น ต่อบล็อค ร้อยเชือก จับคู่สี บัตรคำ การฟังตามคำสั่ง เสร็จแล้วครูนาก็พาหนูกับแม่ออกมาหาพ่อที่ด้านนอก ครูนาคุยกันกับพ่อและแม่ว่า หนูไม่น่าจะเป็นเพราะสามารถทำตามที่สั่งได้ทุกอย่าง แต่อาจจะเป็นด้วยวัยที่ยังเด็กเลยทำให้อยากจะเล่นมากกว่า และยังบอกว่าหากยังกังวลใจก็ให้สังเกตพฤติกรรมหนูไปเรื่อย จนกว่าจะถึงวัยเข้า ป1 ตอนนั้นหนูจะต้องรู้จักเหตุและผล รู้จักความรับผิดชอบมากขึ้น (แต่แม่คิดว่าถ้ารอถึงตอนนั้น กลัวว่าหนูจะเป็นเยอะแล้วหน่ะซิ) และอาการจะแสดงให้เห็นชัดเจน สรุปครูนาไม่ได้ดูใบที่ทางโรงเรียนหนูแจ้งมาเลย ถ้าดูไม่รู้ครูนาจะเปลี่ยนใจหรือป่าว เพราะที่โรงเรียนหนูกากบาทในช่องที่แสดงอย่างชัดเจนว่าหนูต้องเป็นสมาธิสั้นแน่ๆ ฮา ฮา มาถึงตอนนี้แม่ก็ไม่ได้รู้สึกโกรธทางโรงเรียนหนูอีก ไม่ใช่เพราะว่าหนูไม่ได้เป็นสมาธิสั้นนะ แต่เป็นเพราะว่าพอมานั่งคิดพิจารณาดูแล้ว ทางโรงเรียนได้เจอเด็กมามากกว่าแม่ และคงไม่ใช่หนูคนเดียวที่แสดงอาการเหมือนเด็กสมาธิสั้น แต่คงจะมีเด็กคนอื่นๆที่มีอาการเป็นหนูและเมื่อคุณครูแจ้งเตือนด้วยความหวังดีไป ผู้ปกครองทุกคนก็คงจะเหมือนแม่ที่รีบพาลูกไปตรวจ แล้วปรากฎว่าส่วนใหญ่จะเป็นสมาธิสั้นจริงๆอย่างที่คุณครูว่า ซึ่งนั่นก็เท่ากับว่าคุณครูได้ช่วยทั้งพ่อแม่และลูกให้ทราบก่อนที่จะสายเกินไป
เช้าวันจันทร์แม่ก็รีบไปแจ้งคุณครูที่โรงเรียนหนูว่า ได้พาหนูไปทดสอบมาแล้ว ปรากฎว่าหนูไม่ได้เป็น แต่แม่ก็บอกไปว่าจะพยายามหาคอร์สที่ช่วยฝึกหนูให้ซนน้อยกว่านี้ และจะมาพูดคุยกับคุณครูประจำชั้นหนูทุกวันศุกร์ เพื่อสอบถามพฤติกรรมในแต่ละสัปดาห์ หรือไม่ก็จะมาสังเกตการณ์เวลาที่หนูเรียนอยู่ ซึ่งคุณครูก็ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ (แม่ต้องขอ ขอบคุณโรงเรียนแห่งแรกของหนูโรงเรียนนี้ด้วย)
จากนั้นวันเวลาผ่านมาได้ 3 เดือน ในที่สุดแม่ก็หาโรงเรียนในฝันของแม่เจอ (และแม่ก็เพิ่งมารู้ทีหลังว่าน่าจะเป็นโรงเรียนในฝันของหนูด้วยมั้ง) ...
Create Date : 07 พฤศจิกายน 2549 | | |
Last Update : 7 พฤศจิกายน 2549 7:04:18 น. |
Counter : 572 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เครียดจัง...ย้ายโรงเรียนให้ลูก (1)
ลูกจ๋า....หนูจะรู้ไหมว่า ตอนที่แม่พาหนูไปเข้าโรงเรียนแบบเนอสเซอรี่ แม่จำได้ว่าไม่ได้รู้สึกเครียดเหมือนวันนี้เลย ทั้งๆที่ตอนนั้นหนูเพิ่งจะอายุได้ ขวบกับแปดเดือนเอง พูดยังไม่ค่อยได้ด้วยซ้ำ แต่แม่คิดว่าคงเพราะแม่ไม่ได้คาดหวังอะไรจากโรงเรียนนี้มากนัก ความต้องการของแม่ตอนนั้น ต้องการโรงเรียนที่บรรยากาศดีดี มีที่ให้หนูได้วิ่งเล่นออกกำลังกายเยอะๆ แล้วก็จำนวนของเพื่อนหนูๆกับคุณครูในห้องไม่มายมากนัก ที่สำคัญโรงเรียนนี้ไม่ใช้แอร์ จากที่แม่ได้ศึกษามา( อิอิ พูดเหมือนผู้เชี่ยวชาญเชียว) เค้าว่ากันว่า เด็กเล็กๆเวลาไปโรงเรียนจะไม่สบายได้ง่ายๆ ยิ่งถ้าอยู่กันให้ห้องแอร์ด้วยแล้ว จะยิ่งติดกันได้ง่ายมากขึ้น เพราะอากาศมันไม่ได้หมุนเวียน ดังนั้นโดยรวมๆแล้ว แม่ก็ชอบโรงเรียนนี้มากเลยหล่ะ แถมไม่ได้ไกลจากบ้านมากนั้น บางครั้งแม่เองก็แว๊บไปรับหนูได้ด้วย แต่ก่อนที่แม่จะเลือกโรงเรียนนี้ แม่ก็มีพาพ่อไปดูอีกโรงเรียนนึง อยู่ไม่ไกลบ้านเหมือนกัน แต่ตอนนั้นบังเอิญว่า บริเวณข้างๆโรงเรียนกำลังมีการก่อสร้างอาคารสูงอยู่ ทำให้มีทั้งฝุ่นและเสียงดังรบกวน พ่อก็เลยคิดว่าที่นี่ไม่ดีแน่ 5555 ทั้งที่ยังไม่ไดู้พูดคุยอะไรกับคุณครูมากมายเลย ตอนที่แม่ตัดสินใจเลือกโรงเรียนนี้ให้หนู แม่ไม่ได้ปรึกษาพ่อเลยด้วยซ้ำ พอแม่บอกพ่อว่าจะให้หนูเข้าเรียนนี้ พ่อก็ถามว่าดีแล้วเหรอ แม่ก็ต้องชักแม่น้ำทั้งห้า (หมายความว่าต้องพูดจาโดยนำข้อดีต่างๆมาเพื่อให้เราได้ในสิ่งที่เราต้องการจ๊ะ) มาเพื่อไม่ให้พ่อขัดขว้างการเข้าโรงเรียนของหนูในตอนนั้น เพราะถ้าพ่อติดใจหรือสงสัยอะไรเพียงแค่นิดเดียว ความสงสัยของพ่อนั้นจะนำพาเหตุผลที่สามารถทำให้ชนะแม่ได้ทุกทีเลย (ไว้แม่จะเล่าในบันทึกให้หนูฟังถึงความสามารถในการพูดของพ่อหนูในครั้งต่อๆไปนะ)
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ กับโรงเรียนที่หนูเรียน ไม่ใช่แค่หนูนะที่ผูกพัน แม่เองก็ูผูกพันกับโรงเรียนของหนูไปด้วย เพราะหนูจะเป็นเด็กในจำนวนไม่กี่คนที่เข้าเรียนตั้งแต่ยังเล็ก ทำให้คุณครูต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษ และด้วยบุคลิกที่ปรับตัวง่ายของหนู (แม่คิดว่าอย่างนั้น เพราะไม่ว่าอยู่ในสถานการณ์ไหนๆ หนูแทบไม่เคยตื่นตกใจ หรือกลัวอะไรเลย แต่นั่นก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียเหมื่อนกัน) ทำให้คุณครูได้ผลัดเปลี่ยนหมุนเีวียนมาช่วยกันดูแล จนถึงตอนนี้หนูเปลี่ยนห้องเรียนมาแล้ว 3 ครั้ง คุณครูประจำชั้นก็เปลี่ยนตามไปด้วย
ปัญหาของหนูเริ่มตั้งเค้ามาเมื่อตอนเดือนเมษายนปีนี้ ตอนนั้นหนูอายุได้ 2 ขวบ 9 เดือน วันหนึ่งตอนที่พุ่อหนูไปส่งหนูที่โรงเรียน แล้วคุณครูใหญ่เชิญไปพบ คุณครูใหญ่แจ้งว่า หนูอาจจะเป็นเด็กสมาธิสั้น เพราะเป็นเด็กไม่อยู่นิ่ง ไม่ค่อยเดินชอบวิ่ง เล่นอะไรก็ไม่ได้นาน พร้อมทั้งให้เบอร์สถาบันที่ช่วยในการพัฒนาการสำหรับเด็กที่มีปัญหามาให้ด้วย ตอนนั้นพ่อหนูคงจะยังตั้งตัวไม่ติด และยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้ดีนัก เลยเอ่อ ออ ไปกับคุณครู พอออกมาจากห้อง ก็โทรศัพท์มาบอกแม่ พอแม่รู้เรื่องทั้งหมด แม่บอกตรงๆนะจ๊ะว่าแม่โกรธมากเลย โกรธที่คุณครูมาว่าหนู แม่คิดว่าคุณครูเอาอะไรมาวัดว่าหนูเป็นหรือไม่เป็น ทั้งๆที่ตอนนั้นแม่ก็ไม่ได้มีความรู้มากมายในเรื่องของเด็กสมาธิสั้นเท่าไหร่นัก แต่ในความรู้สึกของคนเป็นแม่ แม่ที่เลี้ยงหนูมากับมือ แม่มั่นใจว่าหนูปกติดี แต่แม่ยอมรับว่าหนูเป็นเด็กที่ซนกว่าเด็กปกติทั่วไป ตอนแรกแม่ก็คิดว่าเด็กๆในวัยหนูเค้าก็ซนกันอย่างนี้ แม่เพิ่งมารู้ก็ตอนที่แม่พาหนูไปพบกลุ่มเพื่อนๆแม่ที่มีลูกวัยเดียวกันกับหนู
ในขณะที่เด็กคนอื่นๆค่อนข้างติดพ่อแม่หรือไม่ก็พี่เลี้ยง เด็กๆจะยังไม่ค่อยกล้าเล่นกันมากนัก แต่หลังจากผ่านไปสักครึ่งชั่วโมง เด็กก็จะเริ่มรู้สึกคุ้นเคยกับสถานที่กับคนแปลกหน้าแล้วถึงจะยอมออกจากอ้อมกอดพ่อแม่มานั่งเล่นกัน แต่สำหรับลูก หนูไม่เคยเป็นเช่นนั้น ไม่เคยอิดออด หนูจะรู้สึกตื่นเต้น ดีใจ ทุกครั้งที่ได้ไปนอกบ้าน เหมือนกับทุกที่ที่หนูไป มันช่างน่าสนุก น่าค้นหา ตื่นตาตื่นใจตลอด
หลังจากวันนั้นแม่ก็กังวลใจมาก พยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องเด็กสมาธิสั้นมาอ่าน สังเกตพฤติกรรมของหนูมากขึ้น พ่อหนูก็มีโทรติดต่อไปสถาบันพัฒนาการ 2-3 แห่ง เพื่อจะพาหนูไปทดสอบพฤติกรรม แต่ละที่จะต้องนัดหมายและรอคิวนานประมาณ 2 อาทิตย์ขึ้นไป ทำให้แม่รู้ว่ามีเด็กที่เป็นสมาธิสั้นเยอะเชียวหล่ะ นอกจากนี้สมาธิสั้นยังแบ่งออกไปได้อีกหลายกลุ่ม
Create Date : 02 พฤศจิกายน 2549 | | |
Last Update : 20 มีนาคม 2551 21:53:01 น. |
Counter : 437 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|