เหย้าบาหยัน:บทที่ ๔

 บทที่ ๔ 

ลางสังหาร





ายลมชโลมริ้วลำก้านไม้เมเปิ้ลพริ้วไหวเป็นระลอก เล็มไล้ใบแก่ร่วงหล่นเรี่ยลงพื้นล่างเป็นระยะ  เหลือใบอ่อนไล่เลี่ยเริ่มผลัดแตกยอดแยก ขยายปกคุ้มทะงันเป็นพุ่มใหญ่ ช่วยชะลอแสงแดดรอนใต้ต้นให้ทอนทุเลาลง  มีร่มเงาคลุมครอบโดยรอบทึบทะมึนเป็นสีแดงอมดำ  วิญญานหนุ่มปรากฎร่างชัดอยู่บนยอดกิ่งไม้ที่ย้อยระย้า  นั่งห้อยขามองหญิงสาวที่กำลังนั่งก้มหน้ากลุ้ม กุมขมับด้วยความทุกข์ใจ  


“ เป็นอะไรรึแม่แก้ว ”  วิญญาณหนุ่มเริ่มเอ่ยปากถามด้วยความห่วงใย


หญิงสาวรีบแหงนหน้ามองขึ้นไปที่ต้นเสียงด้านบน  เผลออุทานออกมาเสียงดังด้วยความตกใจ เพราะไม่ทันตั้งตัวที่จะเจอ   “ คุณขจร! ”   


ถึงแม้จะเคยเจอกันในรูปแบบที่น่ากลัวมาก่อน  หญิงสาวก็ยังไม่รู้สึกคุ้นชินกับการปรากฎกายกระทันหันแบบนี้ เพราะยังไงขุนขจรก็คือวิญญาณที่ตายไปแล้วร้อยกว่าปี แต่ด้วยรูปกายที่ปกติเหมือนคนทุกอย่่าง แก้วจึงมีสติกล้าพอที่จะเอ่ยปากพูดคุยด้วยต่อ “ คุณหายไปไหนมา ”


วิญญาณหนุ่มเผยอยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก กระโดดโรยตัวลงจากยอดกิ่งไม้  ลอยพริ้วลิ่วลงมาที่เบื้องล่างอย่างเบาย่อง เท้าบรรจบติดพื้นเหมือนคนปกติ  เดินเยื้องย่างก้าวซ้ายขวาอย่างนวยนาดมานั่งที่ม้านั่ง เขยิบตัวและยื่นหน้าเข้ามาใกล้หญิงสาวในระยะห่างกันแค่เพียงหนึ่งลมใจหายเข้าออก


แก้วจ้องมองนัยน์ตาที่คมเป็นประกายของขุนขจร  แววตาอันแสนอบอุ่นที่ส่งความอ่อนโยนมา  มันทำให้หัวใจเต้นแรง จนสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงใบหน้าให้เปล่งเป็นสีแดงระเรื่ออกมาไม่รู้ตัว ยิ่งจ้องมองเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั่วร่างกาย


“ ตกประหม่ารึแม่แก้ว? แก้มแดงเหมือนลูกตำลึงเทียว ”  ขจรถามเชิงแกล้งหยอก เพราะเริ่มสังเกตุอาการผิดปกติที่ออกมาจากทางใบหน้าอย่างชัดเจนของแก้ว


“ เปล่าค่ะ ” หญิงสาวตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบๆเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกในใจ   เขยิบเอนตัวออกไปอิงที่พักแขนของม้านั่ง  แล้วมองตรงออกไปด้านหน้า เพื่อเลี่ยงที่จะสบตากับวิญญาณหนุ่ม “ แก้วไม่ได้หน้าแดงนะคะ  ที่มันแดงก็เพราะอยู่ใต้เงาต้นเมเปิ้ล  คุณขจรยื่นหน้ามาใกล้ๆแบบนี้ แก้วก็หลอนนะคะ ”


“  หน้าฉันมันน่ากลัวนักรึไง ฉันมิได้มาเหมือนเมืองใต้ดินเสียหน่อย ”  ขุนขจรเขยิบตัวเข้าไปใกล้หญิงสาวมากขึ้น คราวนี้ยื่นหน้าเขามาใกล้จนจมูกจวนเจียนเกือบจะประชิดติดกัน  หญิงสาวพยายามเอียงตัวหนีด้วยความเขินอาย  “ คุณขจรจะเข้ามาใกล้แก้วทำไมคะเนี้ย ” หญิงสาวยังคงมองตรงออกไปข้างหน้า ใช้เพียงสายตาแอบเหล่ชำเลืองมอง


“  ฉันแค่จะเอาเกสรดอกไม้ออกจากหัวหล่อน ” วิญญาณหนุ่มชี้ไปที่หัวของหญิงสาว ที่มีเกสรดอกไม้ของต้นเมเปิ้ลติดอยู่ระหว่างกลางกระหม่อมและมวยผมที่ขมวดไว้


แก้วกลอกตามองด้านบนหัวตัวเอง  พยายามใช้มือปัด และก้มศรีษะลงสะบัดหัว แต่ก็ไม่มีอะไรตกลงมา “  ไหนคะคุณขจร ไม่เห็นมีเลย ”


“  หันหน้ามาทางฉันนี่สิแม่แก้ว  ” น้ำเสียงนุ่มนวลแผ่วเบาของวิญญาณหนุ่ม ทำให้หญิงสาวค่อยๆหันหน้ากลับมาหา  ก้มหัวลงเล็กน้อย หลุบตาลงต่ำมองไปทางอื่น    “ จริงๆบอกแก้วก็ได้นะคะว่าอยู่ตรงไหน เดี๋ยวแก้วจะเอาออกเอง ”


“ อยู่นิ่งๆก่อนเถิดแม่แก้ว เดี๋ยวฉันเอามันออกให้หล่อนเอง  ”


ขุนขจรค่อยๆบรรจงใช้มือที่ไร้น้ำหนักปัดเกสรดอกเมเปิ้ลสีแดงร่วงหล่นลงมาตกที่หน้าตักราวกับขนนก แก้วรู้สึกได้ว่า มันเป็นเหมือนไอลมลมเบาเย็นสบายที่เคล้าคลอกลิ่นการเวกจางๆออกมาด้วย

“ ขอบคุณนะคะ ” หญิงสาวกล่าวขอบคุณ  พลางหยิบเกสรดอกเมเปิ้ลมาดูแก้อาการเขินอาย และชวนเปลี่ยนเรื่องคุย  “ นี่เพิ่งรู้นะคะเนี้ยว่าต้นเมเปิ้ลมีดอกด้วย เพราะปกติสนใจแต่ใบมัน ”


“ ต้นไม้ต้นนี้ชื่อต้นแม่ปั้นรึแม่แก้ว ”


“ เม’เพิลค่ะ คุณขจร ” หญิงสาวห่อลิ้นเน้นออกเสียงสำเนียงแบบอังกฤษอีกครั้ง   

“ ฉันต้องทำลิ้นพิลึกพิเรนทร์แบบหล่อนด้วยรึ  ยากเสียจริง ให้ฉันเรียกว่าต้นแม่ปั้นจะง่ายเสียกว่า ”


“ ค่ะ ต้นแม่ปั้น ก็ต้นแม่ปั้น”  หญิงสาวแอบอมยิ้มกับชื่อที่วิญญาณหนุ่มใช้เรียกต้นเมเปิ้ล  ทั้งๆที่คำนี้เป็นภาษาอังกฤษ  ขุนขจรก็เป็นลูกครึ่งต่่างชาติอย่างที่เคยบอก ว่ามีบรรพบุรุษเป็นมิชชันนารี แถมเดินทางข้ามหน้าข้ามทะเลมาถึงที่นี่ ทำไมคำง่ายๆถึงออกสำเนียงเสียงไม่ถูก  แก้วหยุดครุ่นคิดสงสัยครู่ใหญ่ ก็ผงะตกใจอีกครั้ง เมื่อเห็นวิญญาณหนุ่มลอยตัวขึ้นไปด้านบนยอดไม้เมเปิ้ลอีกครั้ง


“ ขึ้นไปอีกทำไมคะคุณขจร ”


 ” ฉันขึ้นมาดูต้นแม่ปั้นอีกครั้งน่ะสิ  ตอนมานั่งฉันมัวแต่สนใจหล่อน เลยไม่ได้ดูเลยว่าใบแม่ปั้นพวกนี้ช่างงามวิลาศนัก  ”   วิญญาณหนุ่มยิ้มระรื่นตื่นเต้นกับการได้รู้จักต้นไม้ใหม่ที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อน   ลอยไปมารอบๆต้นเมเปิ้ลอย่างสนุกสนาน แล้วมาหยุดนั่งที่กิ่งยอดหนึ่ง ที่มีใบเมเปิ้ลใหญ่เท่าฝ่ามือ

“ ใบสีแดงฉานมีหลายแฉกคล้ายมือคน เวลาขึ้นปกทั้งต้น   แลน่าพิศพิลึกนัก ฉันชักชอบไอ้เจ้าต้นแม่ปั้นเสียแล้วสิ  ”  


“ งั้นตามสบายเลยค่ะ แต่คุณบอกฉันได้หรือยังว่าคุณหายไปไหนมา  ”


“  ฉันตามอีดวงไป ตามมันไปเสียไม่ทัน  ฉันเลยกลับมาหาหล่อน ” วิญญาณลอยตัวลงมานั่งที่เดิม มองหน้าหญิงสาวด้วยสีหน้าวิตกกังวล  “ ฉันเห็นหล่อนดูสีหน้าไม่สู้ดีเหมือนคนเป็นคลื่นเหียน  หล่อนปวดหัวเพราะถูกอีดวงมันดึงหัวกบาลเมื่อคืนรึ ”


“ เปล่าค่ะ มีเรื่องให้คิดนิดหน่อย จริงๆก็มากอ่ะค่ะ หลายเรื่องเลย แต่จะว่าไป ที่ถูกดึงเมือคืน แก้วไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรเลยนะคะ แผลที่โดนจิกหรือกระจุกผมขาดให้เห็นสักเส้นก็ไม่มี มันอาจจะชาไปแล้วหรือเปล่าก็ไม่รู้ แก้วก็ยังงงๆกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนอยู่เลยค่ะ ”


วิญญาณหนุ่มอมยิ้มเมื่อเห็นหญิงสาวทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเพราะความงง  “ มันจะเจ็บได้อย่างไรเล่า มันเป็นเรื่องจริงที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง ”


“ ยังไงคะ แก้วไม่เข้าใจ มันคือความฝันหรือเปล่าคะ ”


“  มันหาใช่ฝันหรือนิมิตไม่ แต่มันเสมือนจริง ”


“ คุณขจรอย่ากำกวมได้ไหมคะ อธิบายง่ายๆหน่อย แก้วงง  ”


“ จำไว้เถิดหนาแม่แก้ว ว่าผีทั้งหลายมิสามารถทำอันตรายกับหล่อนดอก   ผีเป็นแค่ดวงจิต ไม่มีเนื้อ ไม่มีหนัง ถ้าทำได้ ฉันคงใช้มือปัดเกสรดอกไม้ให้หล่อนได้แล้วกระมัง  ดูนี่ ฉันจะทำอะไรให้ดู ”  


วิญญาณหนุ่มใช้ปลายนิ้วจับไปที่จอนผมแก้วที่ปล่อยออกมาด้านหน้า แต่ก็ไม่สามารถจับหรือสัมผัสได้เลย เป็นเพียงนิ้วที่ทะลุผ่านไปมาให้เส้นผมปลิวสะบัดเหมือนโดนลมพัดเบาๆเท่านั้น   “ เห็นไหมเล่า ฉันหาจับหล่อนได้ไม่แม้กระทั่งปลายเส้นผม แล้วเยี่ยงนี้ อีดวงมันจะไปจิกหัวหล่อนได้หรอกหรือแม่แก้ว  ”


“ แต่ที่เห็นและที่รู้สึกเมื่อคืน ผีตัวนั้นมันจิกแก้วจริงๆนะคะ ”


“ มันเป็นสิ่งที่บันดาลจากภาพลวงตาของภพวิญญาณ  เมื่อดวงจิตของหล่อนอยู่ในภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น อยู่ครึ่งๆกลางๆระหว่างภพมนุษย์และภพผี หล่อนก็จะไร้การควบคุม ถ้าหล่อนหามีสติไม่ หล่อนก็จะถูกควบคุมโดยวิญญาณ  เหมือนกับฝันไง หล่อนสามารถบังคับฝันหล่อนได้รึ  ”


“ บังคับได้นะคะ ทำไมจะไม่ได้ ”


“ ตรึกดีๆว่าได้หรือไม่ได้  มันเหมือนเราจะทำตามใจเราได้ แต่อีกกึ่งมันก็ไหลไปตามเรื่องราวของความฝัน  จริงไหม รึว่าไม่จริง ”


“ สรุปแก้วกึ่งหลับกึ่งตื่นใช่ไหมคะ”


“ ไม่ใช่เสียทีเดียว แต่หล่อนน่ะเชื่อมโยงกับภพอื่นได้  กอปรกับหล่อนจิตยังอ่อน มันเลยเป็นช่องทางให้วิญญาณอีดวงมันเข้ามาควบคุมเรื่องราว ด้วยเหตุฉันนี้ ฉันเลยให้หล่อนสวดมนต์ไงเล่า คำสวดมนต์คือจิตเป็นกลาง ไม่คิดไปทางร้ายหรือทางดี  เมื่อจิตเป็นกลางก็จะตั้งมั่นอยู๋ในสติ หล่อนก็จะกลับคืนเหมือนเดิมฉันนั้น  ”


“ ถ้าไม่อยากเห็นผีต้องมีสติเหรอคะ ”


“ ผีจะไม่หลอกหลอนเรา ถ้าเรามีสติ  ผีในตัวหล่อนต่างหากที่หลอกหลอนตัวเอง  แต่มันก็น่าแปลก ”


“ แปลกยังไงคะ ”


“ แปลกตรงที่ฉันเข้าไปช่วยอะไรหล่อนไม่ได้เลย อาจเป็นเพราะวิญญาณมันแรงไปด้วยความพยาบาท  แลมนต์ดำบางอย่างขัดขวางฉันไว้กระมัง แต่ยังไงเสีย อีดวงก็หาทำร้ายหล่อนได้ไม่  ”


“  สรุปแล้วสิ่งที่เกิดขึ้น ดูเหมือนคุณขจรกำลังว่าแก้วเพ้อเจ้อและทำร้ายตัวเองนะคะ ” หญิงสาวเมินหน้าหนีด้วยความงอน


“ ยังไม่ทันฟังอีร้าค้าอีรม หล่อนก็ตีโพยตีพายเสียแล้ว ฉันยังพูดไม่จบ ฉันจะบอกว่า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น กรณีหล่อนมันมีกรรมมากำหนดไว้ด้วย ”


“ แล้วแก้วไปก่อกรรมทำเข็ญกับผีดวงตอนไหนคะ ” หญิงสาวพูดตอบกลับด้วยน้ำเสียงกระแทกประชดประชัน


“ อย่างที่ฉันเคยบอกว่าคนที่ควรถูกชำระควรเป็นอีดวงเสียมากกว่า แต่จะว่าไป มีอยู่คราหนึ่ง แม่แก้วกานดาก็ทำแรงไป แต่มันก็น่าแปลก เพราะหล่อนมิใช่แม่แก้วกานดา แล้วมันจะเกี่ยวกันรึ ”


“ ขนาดคุณยังงงเรื่องตัวเอง ฉันก็ไม่รู้หรอกค่ะว่าจะเกี่ยวกับฉันได้ยังไง แต่ตอนนี้ฉันชักสนใจผู้หญิงที่ชื่อแก้วกานดาซะแล้วสิคะ คุณขจรช่วยเล่าให้ฉันฟังหน่อยได้ไหม ว่าแก้วกานดาและดวงมีเรื่องบาดหมางอะไรกันมาก่อน  ”


“ ได้ ฉันจะเล่าให้ฟัง แต่เพลานี้ฉันรู้สึกว่าดวงจิตฉันอ่อนแรงเหลือเกิน ”  จู่ๆร่างของวิญญาณหนุ่มก็ดูจางอ่อนลงจนเกือบจะโปร่งแสง


“ คุณขจร คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ คุณอยากให้แก้วทำบุญ กรวดน้ำ แผ่เมตตา สวดมนต์ หรืออะไรหรือเปล่าคะ ร่างคุณมันเหมือนจะหายไปแล้ว ” หญิงสาวถามรัวเป็นชุดด้วยความตกใจ


“ ฉันไม่เป็นอะไรดอก ขอบใจนะแม่แก้ว เอาเป็นว่า คืนนี้ตอนดาวเหนือขึ้น แลพระจันทร์ฉายเต็มดวง  หล่อนมาพบฉันที่เมืองใต้ดิน แล้วฉันจะพาหล่อนไปพบกับเรื่องราวในอดีต ”


“ ทำไมต้องเมืองใต้ดินด้วยคะ ”


“ เพราะที่ที่ฉันตาย คือที่ที่ฉันมีกำลังจิตแรงมากที่สุด มันยังคงมีเศษซากของความทรงจำเหลืออยู่  ฉันคิดว่ามันคงเป็นจุดเชื่อมภพบางอย่างระหว่างหล่อนกับฉัน ”


“ ค่ะ แล้วฉันไปจะเจอคุณที่นั่น ”


ดวงอาทิตย์ยามบ่ายฉายแสงส่อง แซมแทรกทาบผ่านเข้ามาใต้ร่มต้นเมเปิ้ลให้สว่างขึ้นจากเดิม  เพียงแค่ชั่ววินาทีที่สายลมอ่อนพัดเข้ามาอีกครั้ง  ร่างไร้เงาของวิญญาณขุนขจร ก็ค่อยๆเป็นประกายหายไปในช่วงแสงระยิบของแดด ที่กำลังกระทบกับใบเมเปิ้ลที่ปลิวหล่น  มีเพียงเสียงสะท้อนบอกลาแผ่วๆ ผ่านคลอมากับสายลม   


“ ลาก่อนนะแม่แก้ว ”


+++++++++++++++++++



Create Date : 31 สิงหาคม 2556
Last Update : 31 สิงหาคม 2556 3:44:07 น.
Counter : 934 Pageviews.

4 comments
  
ภายในโบสถ์วัด’ธรรมนิตย์’ยังคงเนืองแน่นไปด้วยคนไทยที่มาถวายสังฆทาน มีส่วนน้อยเท่านั้นที่มาทำบุญจริงๆ เพราะส่วนใหญ่จะมาขอของขลังวิเศษ และถามเรื่องการแก้กรรมจากพระภิกษุชาวต่างชาติชื่อดังอย่าง’ท่านไมค์’

“ โยมแก้ว ” ภิกษุฝรั่งเรียกชื่อหญิงสาว ที่นั่งนิ่งเหม่อลอย วางน้ิวค้างเติ่งอยู่ที่พานรองกรวดน้ำ ทั้งๆที่น้ำไหลออกหมดไปตั้งนานแล้ว

“ อุ้ย! ขอโทษค่ะ แก้วคิดอะไรเพลินไปหน่อย ”

“ จะให้อาตมาสวดให้พรอีกรอบไหม ” ภิกษุฝรั่งอมยิ้ม

“ ไม่ต้องหรอกค่ะ เกรงใจท่านและคนข้างหลังด้วย ” หญิงสาวเหลียวมองด้านหลัง ที่ตอนนี้มีกลุ่มคนถวายสังฆทานรอต่อคิวอย่างยาวเหยียด “ แก้วนี่แย่จริง คิดเหม่อลอยเรื่อยเปื่อย พลอยทำให้ท่านไมค์เสียเวลาไปด้วยเลย ”

“ ไม่เป็นไรหรอก โยมแก้วเป็นคนสุดท้ายของช่วงบ่ายนี้พอดี เดี๋ยวหลังจากนี้อาตมาก็จะพักเบรคอิริยาบถสักครึ่งชั่วโมงก่อนจะเริ่มรับสังฆทานใหม่ ”

“ งั้น..ถ้าไม่เป็นการรบกวนเวลาท่านพัก แก้วขอดูรูปของคุณขจร ที่ญาติท่านไมค์ส่งมาให้ทางอีเมลได้ไหมคะ ”

“ อาตมาส่งอีเมลไปถามแล้วล่ะ แต่คงยังไม่มีใครได้เปิดดู เพราะเวลานี้ที่เมืองไทยน่าจะสักตีสามตีสี่ เดี๋ยวไว้สักเย็นๆกว่านี้ของที่นี่ โยมค่อยมาดูอีกทีได้ไหม หรือจะให้อาตมาฟอเวิดเมลไปให้เลยล่ะ ”

“ แล็ปท็อปแก้วเสียนะค่ะ ยังไงรบกวนท่านไมค์ปริ๊นใส่กระดาษให้แก้วแผ่นนึงนะคะ ”

“ ได้สิ ไม่มีปัญหา ทีนี้จะได้รู้กันสักทีว่าใช่คนคนเดียวกันหรือเปล่า รู้ไหม ตอนที่โยมเดินเข้าวัดมา อาตมาตกใจเหมือนกันที่ได้เจอวิญญาณตนนั้นอีกครั้ง อาตมาคิดว่าเค้าจะมาทวงล็อคเก็ตคืนซะอีก ”

“ ล็อคเก็ตอะไรคะ ”

“ เมื่อคืนวานหลังทำวัตรเสร็จ อาตมาไปเดินจงกรมแถวๆต้นเมเปิ้ลริมทะเลสาปท้ายวัด เดินไปก็ไปเหยียบเข้ากับห่อผ้าดิบเก่าๆที่ถูกมัดไว้ แกะดูก็เจอล็อคเก็ตที่ว่าเนี้ยแหละ ”

ภิกษุฝรั่งหยิบล็อคเก็ตดังกล่าวออกมาจากย่ามให้ดู เมื่อแก้วเห็นก็ตกใจเป็นอย่างมาก เพราะล๊อกเก็ตอันนั้น เป็นทรงวงรีสีทองเหลือง ด้านหน้ามีรอยสลักนูนเป็นรูปกุหลาบ มีลักษณะเหมือนกับของที่แก้วเพิ่งได้มาจากย่าไม่มีผิด จะต่างกันก็แค่ ล็อคเก็ตของท่่านไมค์ไม่มีสายสร้อย และดูเก่าเกรอะกรังด้วยคราบดำมากกว่าเท่านั้นเอง

“ ท่านไมค์คะ ขอแก้วดูหน่อยได้ไหมคะ ”

“ ได้สิ ” ภิกษุฝรั่งวางล็อคเก็ตบนพื้นล่างอาสนะ เพื่อให้หญิงสาวหยิบไปเอง

แก้วหยิบมาดูโดยเร็ว แล้วรีบพลิกดูด้านหลังเป็นอย่างแรก สิ่งที่เห็นเด่นชัดก็คือ ตัวหนังสือเล็กๆสลักไว้ว่า’ร.ศ.108’

“ ทำไมชื่อหน้าร.ศ.108ถลอกหายไปแบบนี้เนี้ย ” หญิงสาวบ่นพึมพำที่ไม่สามารถแกะตัวอักษรที่เหลือได้

“ มีอะไรเหรอโยมแก้ว เคยเห็นล็อคเก็ตนี่เหรอ ”

หญิงสาวไม่ได้ตอบอะไร เพราะคิดว่าล็อคเก็ตแบบนี้ใครก็สามารถสั่งทำได้เป็นเรื่องปกติ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ดูจะบังเอิญมากเกินไป นั่นก็คือรอยสลักปีที่เหมือนกัน เธอเลยส่งล็อคเก็ตคืนกลับไว้ที่ข้างอาสนะ และถามเรื่องราวต่อจากภิกษุฝรั่ง เพราะไม่อยากนำเรื่องมาเชื่อมโยงคิดให้ยุ่งกว่าเดิม

“ แล้วตกลงท่านไมค์รู้หรือเปล่าคะ ว่าใครทำหล่นไว้ ”

“ ตอนแรกอาตมาก็นึกว่าของญาติโยม ก็เลยเก็บไว้ แต่พอกลับเข้ากุฏิ อาตมาก็เจอเจ้าของล็อคเก็ตนั่งรออยู่ ”

“ ใครคะ ”

“ วิญญาณผู้ชายที่โยมเรียกว่าขจรนั่นแหละ ”

“ ของคุณขจรงั้นเหรอคะ ”

“ เค้าบอกว่าเป็นของเค้า ดวงจิตเค้าพามาหาของของเค้าเอง ”

“ แล้วยังไงต่อคะ คุณขจรเล่าหรือว่าพาท่านย้อนอดีตไปไหนหรือเปล่าคะ ” หญิงสาวซักถามต่อด้วยความตื่นเต้นอยากรู้

“ อาตมาเป็นพระนะโยม ไม่ใช่ผู้วิเศษที่จะย้อนเวลาไปกับวิญญาณได้ แค่อาตมาเจอวิญญาณตนนั้นก็ถือแปลกแล้ว เพราะชีวิตก่อนหน้านี้อาตมาไม่เคยพบเคยเจอภูตผีหรือวิญญาณตนไหนอะไรมาก่อนเลย ”

“ ชีวิตก่อนหน้านี้แก้วก็ไม่เคยเห็นผีมาก่อนเหมือนกันค่ะ พอเริ่มได้เห็น ก็เห็นติดต่อกันไม่หยุด ”

“ อย่างนี้เค้าเรียกว่าตาที่สามกำลังเบิกสััมผัสที่หกกำลังประสานจ้ะ ” เสียงยายจรูญแทรกเข้ามา หญิงชราคลานเข่าเข้ามาอย่างนอบน้อบ ก้มกราบท่านไมค์ด้วยเบญจางคประดิษฐ์ท่าเทพธิดาอย่างสมบูรณ์แบบ พอครบสามครั้ง ก็นั่งพับเพียบพนมมือส่งยิ้มแฉ่ง “ ขออภัยที่พูดแทรกเข้ามานะคะท่านไมค์ หนูแก้ว เผอิญเดินเข้ามาก็ได้ยินพอดี ”

“ แน่ใจนะโยมจรูญว่าเพิ่งเดินเข้ามา ไม่ได้แอบฟังมานานแล้ว ” ภิกษุหนุ่มอมยิ้มแกล้งพูดหยอกแซวหญิงชรา

“ จริงๆค่ะท่านไมค์ โยมเพิ่งเข้ามา จะมาเรียนท่านไมค์ว่า เจ้าคณะวัดอื่นมาแล้วเจ้าค่ะ ”

“ งั้นเหรอ อาตมาลืมไปเลยว่านัดท่านไว้ ยังไงฝากคุณยายจรูญบอกญาติโยมที่ต่อคิวถวายสังฆทานด้วยนะ ว่าอาตมาอาจมาช้าสักนิด ถ้าไม่อย่างงั้นก็ให้ถวายพระรูปอื่นไปก่อน ฝากด้วยนะโยมนะ ”

“ ได้เจ้าค่ะท่านไมค์ เดี๋ยวโยมจัดการให้ ”

“ ขอบใจมากนะขอบใจมาก ” พระภิกษุหนุ่มพูดเสร็จ ก็หันหน้าไปที่พระประธานด้านซ้าย ก้มลงกราบสามครั้งก่อนจะลงจากอาสนะ พร้อมหันมาพูดกับแก้วก่อนเดินออกจากโบสถ์
“ อ่อโยมแก้ว เรื่องรูปไม่ต้องเป็นห่วงนะ อาตมาจะฝากไว้กับยายจรูญเนี้ยแหละ ยังไงเย็นๆมารับไปได้เลยนะ แล้วถ้าหนึ่งทุ่มครึ่งวันนี้โยมอยากมาสวดมนต์ทำวัตรเย็นทำสมาธิก็มาได้เลยนะ เผื่อว่าอะไรๆจะได้ดีขึ้น ”

“ กราบขอบพระคุณท่านไมค์มากเลยค่ะที่เป็นธุระ ส่วนเรื่องทำวัตร แก้วขอคิดดูก่อนนะคะ เพราะแก้วมีธุระต่อช่วงเวลานั้นพอดี ”

“ ไม่เป็นไร เจริญพรนะโยม อาตมาไปก่อนนะ ”

เมื่อภิกษุฝรั่งเดินออกจากโบสถ์ไป ยายจรูญมัคทายิกาหญิงประจำวัด ก็เข้ามานั่งใกล้ๆเพื่อถามเรื่องราวที่ได้ยินมา “ หนูแก้ว หนูมีตาที่สามสัมผัสที่หกเหรอ ”

“ คงยังงั้นมั้งคะ แก้วก็ไม่อยากเห็นหรืออยากเห็นอยากสัมผัส รับรู้อะไรหรอกค่ะ ”

“ ยายก็มีเหมือนกัน ” หญิงชราทำหน้ากระยิ่มยิ้มหย่อง

“ คุณยายเห็นผีได้เหรอคะ ”

“ เปล่า ยายเห็นผีไม่ได้หรอก แต่ยายน่ะดูดวงแม่น ”

“ โธ่ หนูก็นึกว่ายายมีสัมผัสพิเศษอะไรทำนองนั้นซะอีก”

“ มันเป็นผัสพิเศษแบบแสวงหาเรียนมาไง ยายเรียนมาหมดเลยนะ หมอดูลายมือลายเท้าลายเซ็น ไพ่ป๊อกยิปซีอียิปต์จีนยิวแขกแอฟริกา ยายดูได้หมดเลย นี่ยายเพิ่งไปเรียนดูดวงจากไข่ไก่มานะ สนใจดูกับยายไหม ครั้งละยี่สิบดอล ”

“ ยังไม่ดีกว่าค่ะยาย ขอบคุณมากๆนะคะ เดี๋ยวแก้วขอตัวเอาน้ำที่กรวดไปรดต้นไม้ก่อนนะคะ ” หญิงสาวพูดปฏิเสธไปตรงๆ หยิบพานรองกรวดน้ำ และรีบลุกออกไปทันที

หญิงชรามัคทายิกายังไม่หมดความพยายาม วิ่งเดินตามไปที่หน้าประตูโบสถ์ พูดด้วยน้ำเสียงเบาลงแบบกระซิบ “ หนูแก้ว เมื่อตอนเที่ยงๆที่ต้นเมเปิ้ล ยายเห็นหนูไม่มีเงาหัว หนูระวังตัวด้วยนะ ยายหาอะไรมาครอบหัวหนูไม่ทัน ยายไปก่อนนะ เดี๋ยวพวกผีมันได้ยิน ” พูดเสร็จ ยายจรูญก็เดินกลับเข้าด้านในโบสถ์ ไหว้พระประธานอย่างลวกๆ และหยิบหนังสือสวดมนต์มาบริกรรมคาถาอย่างลุกลี้ลุกลน

พอแก้วได้ยินคำเตือนประหลาดจากหญิงชรา เธอก็รู้สึกใจคอไม่ดี เพราะตามคำโบราณ ถ้าใครโดนทักในเรื่องแบบนี้ แปลว่าชะตากำลังจะขาด และทางแก้คือ คนที่เห็นจะต้องหาอะไรมาครอบหัวให้คนที่ไม่มีเงาหัว แต่ยายจรูญดันกลับมาบอกเฉยๆ และไม่แก้ให้ด้วย

หญิงสาวรีบเดินเหม่อลอยคิดเรื่องที่ยายจรูญเตือน จนลืมไปว่าเดินมาไกลถึงใต้ต้นเมเปิ้ลอีกครั้ง เธอจึงเลือกรดน้ำที่กรวดไปที่โคนต้นเมเปิ้ล

ทันทีที่น้ำเทออกหมด ก็มีเท้าเปล่าหนาใหญ่สองข้างลอยลงมาทับบริเวณที่น้ำแฉะนองอยู่ เล็บทั้งสิบนิ้วทาด้วยสีชมพู บริเวณผิวหนังบริเวณรอบเล็บมีเส้นเลือดฝอยสีคล้ำม่วงเขียวปูดนูนโผล่ออกมาดูน่ากลัว

หญิงสาวไม่กล้าที่จะแหงนหน้ามองขึ้นไป เพราะแน่ใจว่าเท้าเปล่าสองข้างนี้ไม่ใช่ของคนอย่างแน่นอน เธอเลยหลับตาลงและแผ่เมตตา

“ สัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่เจ็บตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น….” หญิงสาวพยายามแอบหรี่ตาดูที่พื้น ซึ่งก็ยังเห็นเท้าเปล่าสองข้างนั้นยืนที่เดิม เธอจึงตั้งสติแผ่เมตตาต่อ “ อะเวรา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด.. ”

“ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด..” เสียงของเจ้าของเท้าคู่นั้นแทรกซ้อนทับเข้ามา

หญิงสาวไม่สามารถมีสติพูดบทแผ่เมตตาต่อได้ เลยก้มหน้ายกมือขึ้นท่วมหัว พูดขอร้องวิญญาณตนนั้นด้วยเสียงสั่นเครือตะกุกตะกัก “ คุ-คุ-คะ-คะ-คุณคะ ไปเป็นสุขในที่ชอบที่ชอบเถิดนะคะ เดี๋ยวแก้วจะทำบุญเพิ่มให้ ”

“ ฉันก็ขอให้หนูเป็นสุขเป็นสุขด้วยนะจ๊ะ ” เสียงเจ้าของเท้าตอบกลับด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นอย่างมีไมตรี

เมื่อได้ตั้งใจฟังเสียงของวิญญาณตนนั้น แก้วก็รู้สีกคุ้นหูเหมือนได้ยินมาก่อน เธอจึงถามเพื่อความแน่ใจ “ นี่ใช่คุณน้าหนิงหรือเปล่าคะ ”

“ ใช่จ้ะน้าหนิงเอง ” วิญญาณหญิงร่างท้วมตอบด้วยน้ำเสียงสดใส

เมื่อรู้ว่าวิญญาณที่มาเยือนมาดี แก้วเลยรีบแหงนหน้าเพื่อไปคุยให้รู้เรื่องรู้ราว พอมองขึ้นไป กลับเจอแต่ความว่างเปล่า มีเพียงแค่ลำต้นเมเปิ้ลเท่านั้น เธอจึงยืนขึ้นและถอยหลังเล็กน้อยเพื่อมองหา แต่เมื่อมองลงมาที่พื้น ก็เจอแต่เท้าคู่เดิมของวิญญาณหญิงอ้วน ไม่มีตัว หัว หรือแม้กระทั่งท่อนขา มีเพียงเท้าเปลือยเปล่าหนึ่งคู่เท่านั้น

หญิงสาวได้แต่ยืนนิ่งค้างทำอะไรไม่ถูก ใจอยากจะวิ่งแต่ก็ทำไม่ได้เพราะยังคงอยู่ในอาการช็อค

“ ขอโทษนะหนูนะ น้าไม่ได้ตั้งใจจะมาแบบนี้ แต่น้ามาได้แค่นี้ ”

หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าออกช้าๆ เพื่อทำให้ตัวเองผ่อนคลาย พร้อมที่จะสนทนาต่อกับวิญญาณหญิงอ้วน “ ไม่เป็นไรคะ แก้วทำใจได้แล้วค่ะ ถ้าคราวหลังคุณน้าจะมาหาแก้วอีก แล้วมาแบบเต็มตัวไม่ได้ ก็มาแค่เสียงก็พอค่ะ ไม่ต้องมาครึ่งๆค่อนๆแบบนี้ แก้วกลัว ”

“ จ้ะจ้ะ น้าจะพยายามนะ ที่น้ามาไม่ได้มาหลอกให้หนูแก้วกลัวนะ น้าจะเตือนหนูเพื่อเป็นการตอบแทนที่ส่งศพน้ากลับไทย ”

“ เตือนหนู? เตือนอะไรคะ ”

“ น้าจะบอกว่าคืนนี้หนูอย่าออกไปไหนนะ อยู่แต่ในห้องพักที่เดิมของโรงแรม แล้วหนูจะปลอดภัย ”

“ จะเกิดอะไรขึ้นกับหนูเหรอคะถ้าหนูออกจากโรงแรมคืนนี้ ”

ยังไม่ทันที่วิญญาณหญิงอ้วนจะตอบข้อสงสัยของแก้ว เท้าทั้งสองคู่ก็จางหายไปในทันที ไม่มีแม้กระทั่งเสียงสะท้อนส่งท้ายใดๆกลับมา

“ อ้าวหายไปซะอย่างงั้น แล้วรู้ได้ไงว่าอยู่โรงแรมแล้วปลอดภัย ขนาดเมื่อคืนยังเกือบเอาตัวไม่รอดเลย ” หญิงสาวบ่นพึมพำคนเดียวอยู่สักพัก โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เป็นเบอร์ของมนตรีโทรมา

“ ฮัลโหลว่ายังไงมนตรี ”

“ แก้ว ฉันมารอรับแกที่หน้าวัดแล้ว รีบออกมาเลยนะ ”

“ ทำไมเหรอ มีอะไร ”

“ แกต้องรีบกลับโรงแรมด่วนเลย ทางโรงแรมโทรมาหาฉัน ว่ามีใครก็ไม่รู้เข้ามารื้อของแกในห้อง เค้าอยากให้แกรีบเข้าไปตรวจดูว่ามีของมีค่าหายไหม ”

“ เฮ้ยจริงเหรอ งั้นฉันจะรีบออกไปเดี๋ยวเนี้ย เดี๋ยวเอาของไปคืนก่อน ”

“ รีบๆหน่อยนะ ”



+++++++++
โดย: ม้าสามศอก วันที่: 31 สิงหาคม 2556 เวลา:3:50:04 น.
  
เมื่อเดินทางไปถึงห้องพัก แก้วก็รีบตรวจเช็คของมีค่าต่างๆ ก็อยู่ครบหมด ไม่พบว่ามีอะไรสูญหาย มีเพียงแค่ร่องรอยของเคลื่อนย้ายนิดหน่อย หญิงสาวเดินสำรวจโดยรอบอีกที และมาสะดุดหยุดนั่งที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เพราะรู้สึกนึกขึ้นได้ว่าเหมือนมีบางอย่างหายไป

“ นึกออกแล้วว่าอะไรหายไป ”

มนตรีที่เดินสำรวจในห้องน้ำ เดินออกมาหาแก้วด้วยความตกใจหน้าตาตื่น “ อะไรหายไป ”

“ สร้อยล็อคเก็ตที่ย่าให้ฉันน่ะสิหายไป ”

“ แกวางไว้ที่โต๊ะเครื่องแป้งเหรอแก้ว ”

“ ใช่ ฉันวางตรงนี้ ” หญิงสาวชี้ไปที่มุมขวาของโต๊ะเครื่องแป้ง

“ แล้วแกแน่ใจนะว่าแกไม่ได้เคลื่อนย้ายมันก่อนออกจากห้อง ”

“ ฉันแน่ใจล้านเปอร์เซน ฉันกลัวมันหาย ก็เลยเก็บใส่กล่องไม้เล็กๆตรงเนี้ย ดูสิ หายไปทั้งกล่องเลย ฉันว่าเราแจ้งทางโรงแรมให้แจ้งความได้แล้วล่ะ ”

“ มันเป็นแค่สร้อยสามกษัตริย์ไม่ใช่เหรอแก้ว อย่าถึงกับต้องแจ้งความเลย เดี๋ยวเรื่องมันจะใหญ่โตนะ ”

“ แกจะบ้าเหรอมนตรี เรื่องนี้มันเรื่องใหญ่นะ โรงแรมรักษาความปลอดภัยยังไง ปล่อยให้มีคนเข้ามารื้อของฉันได้ เข้ามาทางไหนก็ไม่รู้ ทะเลหรือไง นี่มันโรงแรมหรือซ่องโจรเนี้ย ” หญิงสาวพูดเสียงดังด้วยอารมณ์โกรธ เดินรอบห้องไปมาเพื่อหาสร้อยล็อคเก็ตให้ละเอียดอีกที

“ แกแน่ใจนะแก้ว ว่าแกทำสร้อยล็อคเก็ตแกหายจริงๆ แกยิ่งขี้ลืมอยู่ด้วยนะ ” ฝ่ายเพื่อนพูดไป พลางช่วยก้มดูตามใต้เตียง ซอกลืบมุมห้องต่างๆอีกครั้ง

“ มนตรี ฉันไม่ได้เป็นคนขี้หลงขี้ลืมขนาดนั้นนะ อ่ะมาดูสิ เดี๋ยวฉันล้วงกระเป๋ากางเกง กระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ตให้ดูเลยว่ามีหรือเปล่า ”

ในขณะที่หญิงสาวสะบัดตัว ล้วงกระเป๋าแจ็คเก็ตออกมา เธอก็พบกับบางอย่างอยู่ภายใน มีลักษณะเป็นเส้นยาวๆผูกติดกับโลหะกลมๆทรงรี เมื่อเอาออกมาก็เป็นล็อคเก็ตของเธอนั้นเอง

“ อุ่ย ฉันลืมไป ว่าเมื่อเช้าฉันเปลี่ยนใจติดเอาไปด้วย ” หญิงสาวตอบเสียงอ่อย ยิ้มเจื่อนทำหน้าจ๋อยใส่เพื่อน

“ เห็นมะ ฉันบอกแล้วว่าแกน่ะขี้ลืม ”

“ ฉันจะไม่แจ้งความนะ แต่ยังไงโรงแรมก็รับผิดชอบ และฉันคงไม่กล้านอนที่นี่แล้วล่ะ ถ้าเกิดคืนนี้มีใครเข้ามาบีบคอปล้นชิงทรัพย์ ฉันจะทำยังไงล่ะ ”

“ ที่ฉันไม่บอกให้แกแจ้งความ เพราะฉันจัดการให้แกแล้ว โรงแรมเค้าจะรับผิดชอบให้แกนอนห้องสูทอย่างดีระดับวีไอพีแทน ”

“ ให้ฉันย้ายโรงแรมง่ายกว่าไหมแก ทำไมต้องนอนที่เดิมด้วย ”

“ ช่วงไฮซีซั่น โรงแรมเต็มหมดแล้ว ถ้าจะเหลือก็พวกโมเท็ลถูกๆ แกกล้าไปนอนไหมล่ะ ”

“ หืม ขนาดโรงแรมนี้ยังโดนขนาดนี้ ถ้าโมเท็ลฉันไม่โดนหนักกว่านี้เหรอ ฉันไปรัฐอื่นมาก็เยอะนะ แต่ไม่เคยเจออะไรน่ากลัวแบบนี้เลยอ่ะ แย่จริง ”

“ เอาน่ะ อย่าคิดมาก โจรขโมยกล่องไม้ ตลกดีออก อ่ะนี่คีย์การ์ดห้องใหม่ ” มนตรีหยิบคีย์การ์ดออกมาจากในกระเป๋ากางเกง และยื่นให้เพื่อนสาวทันที

“ แหมไวจริงนะ ที่แกให้ฉันรอในรถก่อนเข้าไป เพราะมาเคลียร์เรื่องก่อนใช่ไหมเนี้ย แล้วห้องสูทมันอยู่ชั้นไหนล่ะ ” หญิงสาวรับคีย์การ์ดและดูไปที่เลขห้อง “ โห เลขห้องนี้จริงๆเหรอมนตรี ”

“ ทำไม แกกลัวเหรอ แกก็คิดซะว่าแกเป็นคนไทย ไม่เชื่อเรื่องโชคลางแบบฝรั่งล่ะกัน ขอโทษจริงๆนะเพื่อน ห้องนี้เหลือห้องสุดท้าย ”

“ ไหนๆก็ไหนๆแหละ ห้อง1345 อย่างน้อยเลข5ก็เลขดีล่ะกัน ”

“ อย่าคิดมากเลยแก้ว นอนๆไปเหอะ อีกไม่กี่วันแกก็กลับแล้วนะ ”

“ เดี๋ยวต้องย้ายห้อง งานนี้ฉันว่าฉันต้องเก็บของเคลียร์ของอีกยาวเลยสิ มนตรีฉันวานอะไรแกหน่อย ”

“ จะให้ฉันช่วยเก็บเหรอ ”

“ เปล่า คืออีกครึ่งชั่วโมง แกช่วยไปที่วัด ไปหาคุณยายที่ชื่อจรูญนะ แล้วบอกว่า แก้วให้มาเอารูปที่ฝากท่านไมค์ปริ๊น”

“ รูปอะไร ทำไมต้องฝากพระฝรั่งนั่นปริ๊น ”

“ เออน่ะ อย่าถามมาก เรื่องมันยาว ไว้จะเล่าให้ฟัง ”

“ งั้นฉันออกไปเลยดีกว่า ฉันจะไปทำธุระด้วย เย็นๆแบบนี้ในดาวทาวน์รถยิ่งติดอยู่ด้วย ”

“ ขอบใจมากนะเพื่อน งั้นเจอกันตอนกินดินเนอร์ที่ห้องอาหารโรงแรมล่ะกันเนอะ ”

“ เสียใจด้วยเพื่อน ค่ำนี้ที่ร้านฉันปิดดึก เพราะมีคนมาปิดร้านจัดงานเลี้ยง เอาเป็นว่าฉันจะแวะมาส่งรูปไว้ที่ล็อบบี้ล่ะกัน ”

“ ได้เลยไม่มีปัญหามนตรีเพื่อนเลิฟ ”

“ อ่อฉันลืมไป ฉันเอานี้มาให้แก ” มนตรีเดินไปหยิบของบางอย่างมาจากกระเป๋าสะพาย มันเป็นวงไม้สีน้ำตาลทรงกลมอันเท่าฝ่ามือ ตรงกลางวงขึงด้วยเส้นด้ายเป็นตาข่ายโยงลวดลายข้าวหลามตัดไขว้กันไปมา ที่ปลายวงไม้ห้อยด้วยผ้าหนังยาวเป็นริ้วผูกติดด้วยขนนกและลูกปัดที่ปลาย ดูแล้วคล้ายกับโมบายที่ใช้แขวนเล่น

“ อะไรน่ะมนตรี โมบายเหรอ ” หญิงสาวรับมาดูใกล้ๆ พอสัมผัสก็รู้ว่าสีน้ำตาลบนวงไม้คือผ้าหนังอย่างดี

“ มันก็แขวนไว้เหมือนโมบายบ้านเราเนี้ยแหละ แต่ว่าไอ้เจ้านี้มันเรียกดรีมแคชเชอร์ ”

“ อะไรคือดรีมแคชเชอร์ ”

“ ฉันก็อธิบายเป็นไทยไม่ถูก แต่มันเป็นโมบายไว้แขวนที่หัวนอนของชาวอินเดียแดง ซึ่งตามความเชื่อก็คือ ไอ้ตาข่ายเนี้ย เอาไว้ดักฝันร้ายหรือสิ่งไม่ดีไม่ให้เข้ามาในฝันแก ”

“ ดักฝันร้าย มีงี้ด้วยเหรอ ”

“ อย่าลบหลู่นะแก มันเป็นความเชื่อของพวกอินเดียแดงสมัยก่อนเค้า ซึ่งปัจจุบันก็ยังเชื่อกันอยู่ และทำขายออกมาเป็นเครื่องราง วัตถุที่เอามาทำก็มาจากธรรมชาติและเป็นของมงคล ”

“ เพิ่งรู้นะเนี้ยว่าพวกเนทีฟอเมริกันมีเครื่องลางไม่ต่างจากคนไทย ยังไงก็ขอบใจนะสำหรับเจ้าดรีมแคชเชอร์ ”

“ ฉันไปล่ะ มีอะไรโทรหาฉันได้ตลอดเลยนะ อย่าลืมแขวนดรีมแคชเชอร์ไว้ที่ห้วเตียงคืนนี้นะแก้ว ”


+++++++++++++++


หลังจากย้ายสัมภาระทั้งหมดมาที่ห้องพักใหม่เสร็จ หญิงสาวก็เผลองีบหลับไปด้วยความเพลีย แต่ต้องมาสะดุ้งตื่นอีกทีเมื่อมีเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือดังเข้ามา เมื่อดูหน้าจอมือถือ ก็เป็นเบอร์ที่ไม่รู้จัก

“ ฮัลโหลแก้วพูดสายค่ะ ”

“ หนูแก้วเหรอ ยายจรูญจากวัดธรรมนิตย์เองนะ ”

“ อ๋อ คุณยายจรูญ คุณยายมีธุระอะไรกับแก้วหรือเปล่าคะ ”

“ คือยายจะโทรมาถามหนูน่ะจ้ะว่าจะมาเอารูปกี่โมง เพราะเดี๋ยวจะใกล้เวลาทำวัตร พอทำสมาธิแล้วยายจะปิดเครื่องน่ะ ”

หญิงสาวหันไปดูนาฬิกาเรือนเล็กที่หัวเตียง ก็พบว่ามันเป็นเวลาหนึ่งทุ่มแล้ว “ นี่เพื่อนหนูยังไม่ไปรับรูปจากคุณยายอีกเหรอคะ ”

“ หนูให้เพื่อนมาเอารูปเหรอ ก็ไม่เห็นมีใครมานะ อ่อแล้วนี่ท่านไมค์ให้ถามด้วย ว่าหนูจะมาสวดมนต์ทำวัตรกับพวกเราไหม วันนี้วันพระ คนเต็มเลย ถ้าจะมาก็รีบมานะ เดี๋ยวไม่มีที่นั่ง หรือจะให้ยายจองให้ล่ะ ”

“ เอ่อ...ไม่เป็นไรค่ะ เอาเป็นว่าหนูจะไปรับรูปเอง แท็กซี่จากนี้ไปคงไม่ไกลมากและน่าจะไปทันใช่ไหมคะ ”

“ โอ้ยใกล้มากจ้ะ แล้วเจอกันนะจ้ะ สวัสดีจ้ะ ”

พอวางสายเสร็จ แก้วก็รีบวิ่งวุ่นจ้าละหวั่นเปลี่ยนเสื้อผ้าและหยิบกระเป๋าเพื่อรีบออกไปให้ทันก่อนยายจรูญจะเข้าโบสถ์สวดมนต์ เธอไม่อยากต้องอยู่รอร่วมทำกิจกรรมกับวัดจนเสร็จ เพราะมีภารกิจหลายอย่างที่ต้องทำมากมายในคืนนี้

เมื่อเตรียมตัวจะก้าวเปิดประตูออกจากประตูห้อง เธอก็พบกับกระดาษหนึ่งแผ่นวางอยู่ที่ช่องใต้ประตู ดูเหมือนสอดทิ้งไว้จากด้านนอกเข้ามาข้างใน เมื่อหยิบขึ้นมาดู เธอก็พบกับโน๊ตข้อความเขียนด้วยลายมือหวัดๆที่แก้วคุ้นเคยเขียนว่า

‘ ฉันไปเอามาให้แกแล้วนะไอ้รูปที่แกว่า รูปใครวะหลอนชะมัด ฉันฝากให้พนักงานเอามาสอดช่องใต้ประตูให้แกด้วย ถ้ามีอะไรโทรฉันได้ตลอดนะ--มนตรี’

แก้วรีบพลิกกระดาษอีกด้านเพื่อดูรูปทันที บุคคลในที่เห็น เป็นชายหนุ่มหน้าไทยแก้มตอบไว้ผมทรงมหาดไทยใส่ชุดราชปะแตน นั่งอยู่บนเก้าไม้อี้ไม้โบราณ มือซ้ายถือไม้เท้า มือขวาเอาแขนพิงไว้ที่ข้างเก้าอี้ ชายในรูปไม่มีความเหมือนหรือคล้ายขุนขจรเลยสักนิด

หญิงสาวกลับมานั่งที่เตียงและพิจารณาดูอีกที ดูเท่าไหร่ก็ไม่ใช่ เพราะบุคคลในรูปภาพที่ได้มา ใบหน้านั้นดูสูงอายุ คิ้วหนาเข้ม หน้าผากกว้างโหนกสูง ดูหน้าเหมือนกับคนจีนมากกว่า เธอจึงเกิดความสับสนมากยิ่งขึ้น เพราะในเมื่อยายจรูญเพิ่งโทรมาบอกว่า ยังไม่มีคนมารับรูป แล้วรูปที่เธอกำลังถืออยู่ มนตรีได้มาจากไหน

ในขณะที่ครุ่นคิดอยู่นั้น กลิ่นหอมกรุ่นของดอกการเวกก็ลอยละลิ่วผ่านเข้ามาอบอวลในห้องพัก ทำให้หญิงสาวนึกถึงขุนขจร เธอจึงวิ่งออกไปดูที่ระเบียง มองไปบนท้องฟ้า ซึ่งตอนนี้ดวงจันทร์ลอยเด่นเต็มดวงชัดท่ามกลางหมู่เมฆของรัตติกาลวันพระ และเมื่อมองไปที่ทางทิศเหนือ ก็เจอดาวเหนือสว่างไสวเปล่งประกายส่งสัญญาณบอกแก้วเป็นนัยว่า มันถึงเวลาที่นัดหมายไว้กับวิญญาณหนุ่มที่เมืองใต้ดินแล้ว

หญิงสาวเดินกลับมานั่งฟุบที่โต๊ะเครื่องแป้งด้วยความเหนื่อยใจ เพราะดูเหมือนยิ่งรู้เรื่องราวไปเท่าไหร่ มันกลับยิ่งลึกลับเลือนลางไปเรื่อยๆ ข้อมูลหลักฐาน และคำพูดของคนรอบข้าง หรือแม้กระทั่งผี ไม่มีความสอดคล้องไปในทางเดียวกันเลย

“ คุณเทียดคะ แก้วควรเชื่อใครดีคะ แก้วควรออกไปหาคุณขจร หรือว่่่่าแก้วควรอยู่ที่ห้อง ”
แก้วหยิบสร้อยล็อคเก็ตออกมาดู พลางพูดบ่นพึมพำอธิษฐานกับเทียดบาหยันเพราะไม่กล้าตัดสินใจเลือกเอง อย่างน้อย ถ้าคำขอของเธอสามารถส่งไปถึงได้จริง วิญญาณเทียดบาหยันก็คงช่วยเลือกในหนทางที่ปลอดภัยสำหรับเธอ

“ ถ้าแก้วโยนล็อคเก็ตนี้แล้วออกเป็นด้านลายกุหลาบ แก้วจะอยู่ที่ห้อง แต่ถ้าออกเป็นด้านที่สลักตัวอักษรไว้ แก้วจะออกไปหาคุณขจร ช่วยเลือกด้วยนะคะคุณเทียดบาหยัน ”

หญิงสาวโยนล็อคเก็ตขึ้นเล็กน้อย และเตรียมเอามือตะปบรับเหมือนเวลาทอยเหรียญเสี่ยงทาย แต่ด้วยน้ำหนักของล็อคเก็ตที่มากกว่าเหรียญทั่วไป อีกทั้งมีสร้อยห้อยถ่วงแรงส่ง จึงทำให้แก้วคว้าไว้ไม่ทัน สร้อยล็อคเก็ตหล่นร่วงลงพื้นหินอ่อนอย่างแรง ฝาล็อคเก็ตเปิดอ้าออกโดยอุบัติเหตุ มีวัตถุเป็นผงสีเทาอ่อนและเศษเส้นสีดำบางอย่างหลุดออกมาด้วย เธอจึงรีบไปดูว่ามันคืออะไร

“ นี่คือผงอะไรเนี้ย ทำไมหอมจัง หอมเหมือนการเวกเลย เอ๊ะดำๆอันนี้ นี่มัน! ” หญิงสาวใช้มือถูเศษเส้นสีดำที่ขมวดติดแน่นกันออกมา เมื่อคลี่ออกมาเป็นเส้นและสัมผัสดูอย่างแน่ใจ มันก็คือ เศษเส้นผมนั่นเอง

“ นี่มันผมใครเนี้ย! ”



+++++จบบทที่ ๔ ++++++
โดย: ม้าสามศอก วันที่: 31 สิงหาคม 2556 เวลา:3:50:39 น.
  
อ่านที่กระทู้แล้วค่ะ
แต่แวะมาทักทาย
ตัวหนังสือที่เมนท์เล็กจัง

นุ่นก็มีปัญหาตัวหนังสือเล้กเหมือนกันค่ะวันนี้ มึนเลยแก้บล็อตหลายรอบ ^^
โดย: lovereason วันที่: 31 สิงหาคม 2556 เวลา:15:10:29 น.
  
กำลังสนุกเลย รออ่านต่อจ้า ตัวหนังสือเล็กจริงๆ กด ctrl+ เพื่อขยายตัวหนังสือถึงจะอ่านได้จ้า
โดย: ดอกฝิ่น IP: 119.63.78.250 วันที่: 31 สิงหาคม 2556 เวลา:15:52:39 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ม้าสามศอก
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]



มะลิรายงานตัว สวัสดีค่ะ
New Comments
MY VIP Friend