เหย้าบาหยัน :บทที่ ๕

บทที่ ๕

สาปสาง



เศษเส้นผมสากสั้นสีดำอำพรางไว้ในล็อคเก็ตอย่างเป็นปริศนา  หาข้อพิสูจน์แน่แท้ไม่ได้ว่า ใครกันคือเจ้าของมัน  สันนิษฐานได้เพียงเบื้องต้นว่า มันคงเป็นผมของเจ้าของล็อคเก็ต นั่นก็คือ’เทียดบาหยัน’  แต่จะเก็บมันไว้เพื่ออะไร  และผงขาวสีขุ่นเทาเหล่านั้นคืออะไร ทำไมของประหลาดทั้งสองต้องถูกซ่อนเร้นไร้เหตุผลหาคำอธิบายไม่ได้


ในตอนนี้ มีเพียง’คุณย่าสังวน’คนที่มอบสร้อยล็อคเก็ตเส้นนี้กับแก้วก่อนเดินทาง อาจจะให้คำตอบที่กระจ่างมากขึ้น แก้วจึงไม่รอช้าที่จะรีบโทรศัพท์กลับไปเมืองไทย  พอคุณย่ารับสายฟังสิ่งที่หลานสาวเจอในล็อคเก็ต  คำแรกทีย่าพูดกลับไปก็คือ    


“ กลับเมืองไทยให้เร็วที่สุด ”


“ หนูยังกลับไม่ได้ค่ะย่า ”  หลานสาวพูดตอบกลับไปช้าๆอย่างชัดถ้อยชัดคำที่สุด เพราะเนื่องจากย่าแก่ชรามากแล้ว เหลืออีกไม่กี่วันก็อายุครบหนึ่งร้อยหนึ่งปี  


“ อย่าห่วงเรื่องงานนักเลยหลานเอ้ย กลับบ้านเราเถอะนะหลานนะ ” หญิงชราพูดช้าๆด้วยโทนเสียงต่ำ เหมือนคนไม่มีเรี่ยวแรง


“ เรื่องงานก็ส่วนหนึ่ง แต่หนูยังมีเรื่องอื่นๆที่ต้องจัดการด้วยค่ะ ”


“ ถ้าหลานไม่กลับ ย่าจะไม่ยอมกินยา ”  ฝ่ายย่าเริ่มเรียกร้องความสนใจ ด้วยการใช้อุบายเดิมทำให้หลานสาวเป็นห่วง  เพื่อที่จะได้ยอมทำตาม


“ หนูจะกลับ ต่อเมื่อคุณย่าอธิบายหนูมาก่อนว่า เส้นผมกับผงพวกเนี้ย มันไปอยู่ในล็อคเก็ตได้ยังไงกัน ”


“ ย่าไม่รู้ ย่าก็รับช่วงต่อมาอีกที  ไม่เคยแกะหรือกระเทาะออกมาดูเลย  ”


“ แล้วสร้อยเส้นนี้ คุณย่าพอจะรู้ไหมคะว่าคุณเทียดทำมาจากไหน และมีกี่อันคะ ”


“ ย่าไม่รู้อะไรเลย รู้อย่างเดียวว่า คุณทวดของหลานสั่งนักสั่งหนา  ถ้าลูกหลานในตระกูลคนไหนเป็นผู้หญิง จะต้องได้สร้อยเส้นนี้เป็นมรดกตกทอดคอยคุ้มครองคุ้มภัย  ”


“ แปลกจริง ทำไมต้องเป็นยังงั้นด้วย แล้วตอนที่คุณย่ารับมาใส่ครั้งแรก คุณย่าเจออะไรแปลกๆไหมคะ ”


“ ตอนใส่ไม่เจอ แต่ตอนไม่ใส่กลับเจอ ” หญิงชราพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาลง เหมือนหวาดกลัวกำลังสิ่งที่กำลังพูด


“ ที่เจอ คือเจออะไรคะ ”


“ เสียงผู้หญิงเอื้อนทำนองไทยเดิม ฟังแล้วคล้ายกับเสียงเพลงกล่อมเด็ก ”


เมื่อได้ยินสิ่งที่ย่าเล่า แก้วก็นึกถึงเสียงที่เธอได้ยินทุกคืนตั้งแต่มาพักแรมอยู่ที่เมืองซีแอตเทิ้ล มันเป็นเสียงผู้หญิงสาวเอื้อนทำนองไทยเดิมที่ไม่คำร้องใดๆ นึกถึงทีไรก็ขนลุกสยองเย็นวาบไปทั้งตัวทุกที


“ น่อย น้อย หน้อย...น๋อย  น่อย นอย...”  ย่าสังวนเอื้อนทำนองนี้ให้แก้วฟังช้าๆ ซึ่งเป็นที่มั่นใจได้ว่า มันคือเสียงลักษณะเดียวกัน ที่เธอเคยได้ยินมา


“ คุณย่าคะ แก้วเคยได้ยินเสียงแบบเดียวกันนี้เลยค่ะ ”


“ ย่าบอกแล้วไงว่าให้หลานใส่สร้อยติดตัวอยู่ตลอด ถ้าใส่สร้อยแล้วหลานจะไม่ได้ยินเสียงแบบนั้นอีก  ”


“ ก่อนหน้านี้ที่อยู่ไทย แก้วก็ไม่เคยใส่ และก็ไม่เคยได้ยินเสียงแบบนี้  แล้วทำไมจู่ๆคุณย่าถึงให้สร้อยเส้นนี้กับแก้วก่อนเดินทางมาที่นี่คะ ”


“ ย่าฝันเห็นคุณย่าบาหยัน ท่านมาบอกว่า ถึงเวลาแล้วที่เหลนของท่านจะต้องใส่มัน ลางสังหรณ์ย่าไม่ผิดจริงๆ ต้องเป็นท่านแน่ๆที่ตามหลานไปถึงนั่น  ”


“ คุณเทียดบาหยันน่ะเหรอคะตามหนูมา ”


“ ไม่ใช่….”

หญิงชราเงียบไป มีเสียงลมหายใจหอบด้วยความตื่นเต้นระคนกลัวก่อนที่จะกล้าพูดกลับไปว่า

“ย่าหมายถึง…..คุณย่ายิหวา ”


เมื่อได้ยินชื่อ’ยิหวา’เทียดแฝดพี่น้องท้องเดียวกับ’บาหยัน’  แก้วก็ตกใจ  เพราะชื่อนี้ น้อยครั้งนักที่จะได้ถูกเอ่ยถึงหรือเล่าให้ฟังว่าเป็นใครหรือมาจากไหน  ไม่เคยมีใครจะปริปากเล่าว่า ‘เทียดยิหวา’นั้นหายไปไหน แม้แต่รูปถ่ายสักใบก็ไม่เคยเห็น


“ เทียดยิหวา!  เทียดยิหวามาเกี่ยวอะไรด้วยคะ ”


“ ถ้าหลานได้ยินเสียงแบบที่ได้ยิน เสียงเสียงนั้นก็คือเสียงเอื้อนของคุณย่ายิหวา ”


เสียงหญิงสาวปริศนาที่มาทุกค่ำคืน ได้ชัดแจ้งแล้วว่าเป็นใคร แต่ทำไมเทียดยิหวาต้องติดตามแก้วมาถึงที่นี้ด้วย  มีอะไรอยากจะสื่อบอก หรือแค่ต้องการจะหลอกหลอนกันให้หวาดกลัวเท่านั้น เหมือนกับที่ย่าสังวนเป็นอยู่ในขณะนี้


“ แก้วไม่เข้าใจค่ะ ว่าคุณเทียดยิหวาจะตามมาที่นี้ทำไม และต้องการอะไร ทำไมต้องมาส่งเสียงหลอกให้ประสาทเสียแบบนี้ ” หญิงสาวเริ่มพูดด้วยอารมณ์โกรธอย่างไม่เกรงกลัว เพราะในเมื่อเป็นบรรพบุรุษแท้ๆ ทำไมต้องทำให้ลูกหลานต้องรู้สึกกลัวตัวเองด้วย


“ อย่าเอ็ดไปแก้ว เดี๋ยวท่านได้ยิน กลับมาเดี๋ยวนี้เลย เชื่อย่านะหลานนะ ”  หญิงชราพูดอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงที่วิตกกังวล


เมื่อเห็นบุคคลปลายสายออกอาการเป็นห่วงมากขึ้น ฝ่ายหลานจึงสทนากลับด้วยน้ำเสียงที่สดใส “ แก้วกลับไปทันวันเกิดครอบรอบหนึ่งร้อยหนึ่งปีคุณย่าแน่นอนค่ะไม่ต้องห่วง ”


“ ย่าไม่ได้ห่วงว่าหลานจะมาวันเกิดย่าหรือเปล่า ย่าห่วงว่าหลานจะไม่ปลอดภัย ฟังย่านะ ต่อไปนี้ต้องใส่สร้อยล็อคเก็ตของคุณเทียดบาหยันตลอดเวลา ห้ามถอดเข้าใจไหม ”


“ สร้อยเส้นนี้ที่มีเส้นผมกับผงประหลาดอยู่ข้างในเนี้ยนะคะ ”  หญิงสาวนั่งยองๆที่พื้น ก้มดูวัตถุสยองในสร้อยล็อคเก็ตด้วยความสะพรึงกลัว  


“ แก้วฟังย่านะ ตอนนี้เก็บมันเข้าที่เดิมและปิดล็อคไว้เหมือนเดิม แล้วใส่มันซะ ”


การที่จะหยิบมันเก็บเข้าใส่เหมือนเดิมกลายเป็นเรื่องยาก เพราะยังไงมันก็คือของคนที่ตายไปแล้ว แต่ในเมื่อมันจะช่วยทำให้รอดปลอดภัยตามคำที่ผู้ใหญ่บอก  แก้วเลยกลั้นใจโกยเศษผมและผงแป้งสีขาวขุ่นเทาเก็บเข้าช่องของล็อคเก็ต และปิดผนึกล็อคไว้เหมือนเดิม  


“ แก้วจะใส่ตามที่คุณย่าบอกค่ะ ไม่ต้องห่วง ”


หญิงสาวไม่ได้สวมสร้อยมาใส่ตามที่ย่าบอก  เพียงแค่หยิบล็อคเก็ตมาพิจารณาดูรอบๆขอบอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าวัตถุข้างในจะไม่หลุดออกมาให้หลอนอีก  แต่แล้วความสงสัยก็เพิ่มเข้ามาอีก ในเมื่อมันไม่มีสลักล็อคหรือตะขอดึงเลย รูรอบขอบก็เรียบ ไม่มีช่องให้แคะแงะได้เลยสักนิด  ถ้าจะเปิดอีกครั้งก็ต้องโยนลงพื้นอีกครั้งเท่านั้น  ซึ่งแก้วคงไม่ทำอีกแน่นอน


“ เท่านี้ย่าก็หายห่วงไปครึ่งนึง ถ้าจะให้หมดห่วงกว่านี้ หลานต้องกลับไทยวันพรุ่งนี้ ”


“ พรุ่งนี้เลยเหรอคะ ”


“ กลับมาก่อน...ก่อนที่จะไม่วันพรุ่งนี้ให้กลับนะแก้วเอ้ย ” ย่าพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ


“ คุณย่าพูดซะน่ากลัวเลยค่ะ เหตุการ์ณมันจะเลวร้ายมากขนาดนั้นเลยเหรอคะ ”


“ ย่าไม่รู้ แต่ย่ารู้สึกใจคอไม่ดี เมื่อกี้ก่อนหลานโทรมา คนเฝ้าเหย้าบาหยันเค้าโทรมาบอกแต่เช้าว่า ห้องใต้บันไดโดนรื้อ น่าจะเป็นไอ้พวกขี้ยา เพราะไม่มีของมีค่าหาย มีเพียงของชิ้นสองชิ้นที่ถูกขโมยไป ”


“ อะไรถูกขโมยไปคะ และขโมยไปตั้งแต่เมื่อไหร่คะ แก้วไม่คิดว่าเราจะยังมีคนกล้าเฝ้าเหย้าบาหยันอีก  ”


“ คนเฝ้าคนเก่านั้นแหละ ย่าให้เค้าเข้าไปทำความสะอาดเดือนละครั้ง ส่วนของที่หายก็คือรูปกรอบใหญ่ และข้าวของบางอย่างของคุณย่ายิหวา.... ” หญิงชราเผลอพลั้งปากเล่าไปโดยไม่ตั้งใจ จะแก้คำหรือเลี่ยงประเด็นก็สายไปแล้ว เพราะหลานสาวแทรกถามเข้ามาทันที


“ รูปคุณเทียดยิหวา กรอบใหญ่ด้วย ทำไมแก้วไม่เคยรู้ว่าเรามีรูปท่าน  ไหนใครๆก็บอกว่ารูปหายไปแล้วไงคะ มันยังไงกันแน่คะคุณย่า  ”


“ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ย่าก็จะบอกความจริงให้หลานได้รู้ มันสมควรแก่เวลาแล้วที่หลานจะได้รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น และทำไมทุกคนใน’ตระกูลเจริญจิตโอสถ’ถึงไม่มีใครกล้าพูดเรื่องคุณย่ายิหวาเลย  เรื่องมันอาจจะยาว หลานอยากจะฟังไหมล่ะ ”


“ เล่ามาเลยค่ะ แก้วอยากรู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น ”

หญิงสาวเดินมานั่งที่เตียง เหยียดขายาวออกให้คลายเมื่อย หลังพิงพนักเตียง เอียงหัวเล็กน้อยที่หมอนรอง เตรียมพร้อมกับฟังเรื่องราวที่ย่าเตรียมจะเล่า  พลางมองดู’ดรีมแคชเชอร์’ โมบายอินเดียแดงที่แขวนอยู่ มันกำลังหมุนพริ้วลิ่วไปมาจากลมที่พัดเข้ามาจากระเบียง


ถึงแม้ย่าสังวนจะเป็นอัมพาตด้านล่าง และมีโรคประจำตัวรุมเร้า แต่ความจำทุกอย่างยังดีเลิศเหมือนเดิมทุกอย่าง โดยธรรมชาติของคนชรา สิ่งที่ชอบทำที่สุด ก็คือการเล่าเรื่องเก่าๆให้คนอื่นฟังแก้เหงา ซึ่งหลานสาวอย่างแก้วก็เป็นผู้ฟังขาประจำมาตั้งแต่เด็ก  เพียงแต่ครั้งนี้ ต่างกันตรงที่ มันไม่ใช่นิทานหรือนิยายที่คุณย่าชอบเล่าให้ฟังก่อนนอน แต่นี้คือเรื่องจริงจากตระกูลเธอ ที่เกี่ยวกับเทียดยิหวาและเทียดบาหยันโดยตรง


“ คุณแม่ของย่าท่านเคยเล่าไว้ว่า คุณย่ายิหวาและคุณย่าบาหยัน หรือที่หลานเรียกว่าเทียดนั้นแหละ จริงๆแล้ว ท่านเป็นบุตรีบุญธรรมของหลวงเจริญจิตโอสถ ซึ่งแน่ล่ะ หลวงจิตก็คือบรรพบุรุษเชื้อสายของเราโดยสายเลือด แต่คุณหลวงท่านไม่มีลูก เนื่องจากภรรยาคุณหญิงแย้มมีโรคประจำตัวที่ไม่สามารถมีลูกได้ แต่ไม่รู้ว่าฟ้าเป็นใจหรือนรกกลั่นแกล้ง ถึงนำพาโชคชะตาให้ส่งเด็กแฝดมาในกลางดึกคืนวันฝนตก ปีจอฉศก …. ”


++++++++






Create Date : 07 กันยายน 2556
Last Update : 7 กันยายน 2556 1:40:59 น.
Counter : 878 Pageviews.

3 comments
  

ปีจอฉศก ณ เรือนไทยไม้สักทองหลังใหญ่ริมคลองหลังวัดหลวง จังหวัดธนบุรี สองชายสูงวัยกำลังสนทนาพาทีกันอย่างออกรสออกชาติอยู่ที่หอนั่งข้างชานแล่น ฝ่ายเจ้าบ้าน’หลวงเจริญจิตโอสถ’รินน้ำชาบริการแก่แขกผู้มาเยี่ยม เพื่อเป็นการฆ่าเวลาระหว่างรอให้ฝนหยุดตก

‘เจ้าสัวเอี่ยม’ผู้มาเยือน ยิ้มรับจอกน้ำชาจากฝ่ายสหายคนสนิทด้วยความยินดี ต่อให้ดื่มอีกกี่ครั้งก็ยังชอบ เพราะเป็นชาสมุนไพรชั้นดีที่คุณหลวงซื้อมาด้วยราคาแพงจากพ่อค้าสำเภาจีนเซียงไฮ้

“ ไม่รู้ว่าดื่มชาจวนหมดห่อ ฝนจะหยุดตกแล้วหรือยังนะขอรับ ไอ้กระผมเกรงใจคุณหลวงยิ่งนัก ไม่อยากอยู่นานรบกวนน่ะขอรับ ”

“ พิโธ่เจ้าสัว ฉันยังมีชาอีกหลายห่อ แลขนมนมเนยอีกหลายโถ จะรีบด่วนกลับไปทำไม ฉันกำลังคุยออกรสกับท่านอยู่ เรื่องสามก๊กที่ท่านเล่านั้นสนุกกว่าที่พิมพ์ไว้เป็นเล่มเมื่อหลายปีก่อนเสียอีก ”

“ นิราศอิเหนาของท่านสุนทรภู่ที่คุณหลวงเล่าให้กระผมฟัง ก็สำราญไม่แพ้กันดอกขอรับ ”

“ นี่อย่างไรเล่า ทั้งเรื่องสามก๊กแลอิเหนา เล่าให้ฟังสามวันก็หาจบไม่ ฮ่าๆ ” ชายชราเจ้าบ้านหัวเราะร่วนเสียงดัง

“ กระผมถึงไม่ใคร่จะอยู่ต่อไงขอรับ เพราะรู้ว่าคุยกันเรื่องกาพย์กลอนโคลงนิทานทีไร คุยกันได้ยาวจนหยุดเสียไม่ได้ทุกคราไป กระผมล่ะเกรงว่าคืนนี้จะไม่ได้กลับเหย้ากับเรือนน่ะสิขอรับ ”

“ ฝนมันยังไม่หยุดตก กลับไปก็เปียก เจ้าสัวมาเรือจ้าง เวลาแบบนี้หาได้มีผู้ใดจะสัญจรทางน้ำไม่ นี่ฉันกะว่าจะหารือเรื่องไม้เรื่องเรือนกับเจ้าสัวต่ออีกสักหน่อย ”

“ คุณหลวงจะปลูกเรือนเพิ่มหรือขอรับ คราวนี้จะเป็นเรือนไทยฝาสำหรวดหรือเรือนไทยฝาปะกนดีล่ะขอรับ ”

“ เรือนไทยแบบนั้นฉันมีเยอะเสียแล้ว คราวนี้ฉันจะปลูกเรือนแบบใหม่ ที่ขุนน้ำขุนนาง เจ้านายในวังท่านกำลังนิยมปลูกกัน ”

“ เรือนทรงปั้นหยาน่ะหรือขอรับ ”

“ ใช่แล้ว ฉันเห็นว่ามันสวยแปลกดี มีไว้ให้ดูวิไลเทียมทันพวกบ้านเรือนมิชชันเนรีเขาบ้าง ก็เห็นว่าจะเป็นดี จริงไหม ”

“ เดี๋ยวออกสำเภาเรือเดือนหน้า กระผมจะขึ้นไปทางเหนือ จะไปหาไม้เนื้อดีมาค้าขายเสียหน่อย แต่สำหรับคุณหลวง กระผมจะนำมาให้ไม่คิดเบี้ยคิดหอยเลยขอรับ ”

“ ขอบใจเจ้าสัวที่เจือจานเผื่อแผ่มายังฉัน ถ้าได้ไม้มาเมื่อใด ก็นำมาค้าขายกับฉันเถิด ฉันมิได้เป็นคนขัดสนเบี้ยน้อยหอยน้อยเสียเมื่อไหร่ ไม่ต้องมากำนัลฉันดอก ทรัพย์สินฉันยังมีอยู่มากมายเป็นทะนาน ที่ไม่มีอย่างเดียว ก็คือลูกเต้าเนี้ยล่ะหนา เฮ้อ...สิ้นฉันและคุณหญิงแย้ม โคตร์วงศ์ฉันคงสูญสิ้นไปด้วย ”

ชายชราเจ้าบ้านถอนหายใจอีกครั้งด้วยความเศร้า พลางมองดูสายฝนด้านนอกที่กำลังตกลงตุ่มอีเลิ้งที่ลานชานแล่น ฝ่ายแขกคนสนิทยกน้ำชาให้อีกจอกเพื่อเป็นการปลอบใจคุณหลวง เพราะเข้าใจคนหัวอกเดียวกัน เลยทำทีเป็นเปลี่ยนเรื่องคุย

“ อาบน้ำฝนก็ชื่นใจดีนะขอรับ ตอนนี้กระผมอยู่เรือนแพก็จริง แต่ก็เอาตุ่มอีเลิ้งรองน้ำฝนอาบตลอดในถดูกาลนี้ เพราะน้ำฝนมันเย็นชื่นใจกว่าแม่น้ำเจ้าพระยาเสียอีก แต่น้ำฝนตุ่มอีเลิ้งที่ไหน ก็ไม่วิเศษเท่าเรือนคุณหลวงนะขอรับ ”

“ น้ำฝนตุ่มอีเลิ้งบ้านฉันมิได้วิเศษใดๆดอก คุณหญิงแย้มแค่เอาดอกไม้กลิ่นหอมไปลอยอบไว้ เจ้าสัวก็ให้อีดวงมันทำไว้ให้ซี ไม่ได้ทำยากทำเข็ญอันใดสักหน่อย น้ำดื่มน้ำกินก็ลอยมะลิ ส่วนน้ำอาบน้ำใช้ก็ลอยดอกการเวก หรือดอกหอมๆอะไรก็ใส่ไปเถิด สุดแล้วแต่นิยม ”

“ อีดวงมันไม่ค่อยจะชำนาญการครัวการเรือนเท่าใดดอกขอรับ มันถนัดแต่เรื่องกำลังแรงงาน กว่ากระผมจะฝึกมันพูดไทยแลจีนได้ ก็ร่วมนับสิบปี เอาแค่สนทนาภาษาเดียวกันรู้เรื่องก็พอแล้วขอรับ ”

“ นับว่าเจ้าสัวการุณย์ยิ่งนักที่สมเคราะห์มันมาเลี้ยงไว้เป็นบ่าว ถ้าอีดวงมันยังอยู่ที่ดินแดนอเมริกานั่น ป่านฉะนี้ก็คงโดนฆ่าหรือตกเป็นเชลยจากพวกฝรั่งขาวไปเสียแล้วกระมัง ”

“ ถ้าสงครามอาณานิคมล่าดินแดนจบเมื่อใด พวกอินเดียนแดงก็จะอยู่สงบสุขฉันนั้น กระผมก็อยากจะกลับไปที่ดินแดนนั้นเสียอีกสักครา เขาว่ามีเหมืองแร่แลไม้เนื้อดีมากมาย ถ้าทำค้าทำขาย ก็เห็นว่าจะเป็นดี จริงไหมขอรับ ”

“ สมควรแก่เจ้าสัวเถิด ฉันไม่มีหัวเรื่องความค้าความขายเสียเท่าไหร่ แต่ถ้าเรื่องหยูกเรื่องยา ฉันไม่แพ้ผู้ใดเป็นแน่ เอ่อ แล้วนี่อีดวงไปไหนเสียล่ะเจ้าสัว ”

“ กระผมใช้ให้มันไปพับผ้าลงหีบให้เรียบร้อยน่ะขอรับ ผ้าลูกไม้รุสเซียแลแพรจีนอย่างดี หวังว่าคุณหญิงคงชอบนะขอรับ ”

“ บ่าวพับผ้าผ่อนท่อนสไบใส่ห่อลงหีบเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ ” เสียงสาวใหญ่วัยโตดังแทรกเข้ามากลางวงสทนา เจ้าของเสียงค่อยๆคุกเข่า มอบคลานลงมาใกล้แทบเท้าเจ้านายอย่างนอบน้อมด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“ เอ็งพูดโพล่งโผล่มาได้เยี่ยงไรอีดวง! ไม่เห็นรึว่าข้ากับคุณหลวงกำลังคุยกันอยู่ ” เจ้าสัวใช้เท้าถีบไปที่สีข้างของบ่าวหญิงร่างผอม กระเด็นไปชนไม้เสาเรือนที่มุมหอนั่ง

บ่าวหญิงกุมสีข้างด้วยความเจ็บ แต่ไม่กล้าโอดครวญออกมา ได้แต่ก้มหน้าก้มตาไม่กล้ามองหน้าเจ้านาย เพราะกลัวว่าจะโดนเท้าถีบอีกครั้ง
“ บ่าวผิดไปแล้วเจ้าค่ะ บ่าวได้ยินเจ้าสัวพูดเรื่องผ้า บ่าวเลยมาออกมาบอกเจ้าค่ะ ”

“ อีนังนี่ มึงแอบฟังพวกกูคุยกันรึ เดี๋ยวข้าจะลงหวายให้หลาบจำเสียดีไหม! หลีกตัวมึงไปให้ไกลตากูเสียบัดนี้ มิเช่นนั้น มึงจะโดนตีนกูตะบันหนักยิ่งกว่าเดิม ”

“ เจ้าค่ะ ”

“ เดี๋ยวก่อนอีดวง ” เสียงคุณหลวงเรียกก่อนที่บ่าวหญิงสาวจะเอี้ยวตัวหันไป

“ เจ้าคะคุณหลวง ”

“ ข้าจะวานเอ็งสักหน่อย เอ็งช่วยเอาร่มไปรับคุณหญิงแย้มที่หน้ารั้วเรือนสักหน่อยได้ไหม ฝนตกหนักทะนานใหญ่เช่นนี้ ไม่รู้จะหาเจ๊กลากรถกลับมาได้หรือไม่ ไปเฝ้าเสด็จพระองค์หญิงแต่เช้า นี่มันจวนสมควรด้วยเวลาที่คุณหญิงจะกลับมาแล้วล่ะ รีบไปดูให้ข้าหน่อยสิอีดวง ”

“ เจ้าค่ะ ”


+++++++
บ่าวหญิงสาวกางร่มเดินฝ่าพายุฝนมารอคุณหญิงแย้มตามคำสั่ง สายฝนตกกระทบร่มกระดาษสาสีแดง ป้องกันคนภายใต้ร่มไม่ให้เปียกปอน แต่สายน้ำตาที่ไหลราวสายเลือดของอำแดงดวง ไม่เคยมีใครเลยสักคนจะมาปกป้องหรือปลอบใจให้หายทุกข์ระกำจากความโหดเหี้ยมของเจ้าสัวเอี่ยม

อำแดงดวงเอามือกุมสีข้างด้วยความเจ็บปวด ก้มดูร่องรอยฟกช้ำที่มีอยู่รอบตัว ทั้งแผลเก่าและแผลใหม่ ซึ่งล้วนแล้วแต่มาจากการกระทำอันทารุณทุกวันอย่างไร้ซึ่งความการุณของผู้มีพระคุณท่วมหัว แต่ถ้าไม่ได้เจ้าสัวพาหนีข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากสงครามล่าอาณานิคม ดวงก็คงตายเป็นศพที่อเมริกาไปแล้ว

ถึงแม้จะยอมศิโรราบทุกอย่างเพราะความรู้คุณ แต่ความทนของคนก็มีขีดจำกัด ยิ่งคิดก็ยิ่งคับแค้นใจ มือกำคันร่มแน่นแทบจะหักให้แหลกคามือ เอามืออีกข้างกุมบริเวณใต้ท้องน้อยด้วยความปวดร้าวใจ เมื่อนึกถึงคืนวันที่เกิดเรื่องครั้งใหญ่ขึ้น….….

กลางดึกวันฝนตกปรอย ณ เรือนไม้ฝาประกนริมแม่น้ำเจ้าพระยา ‘คุณเชื่อม’เจ้าของเรือน ผู้เป็นเมียคนเดียวของเจ้าสัวเอี่ยม ตะโกนเสียงแหวดังลั่นราวฟ้าฝ่า เมื่อเปิดประตูห้องเจอบ่าวหญิงคนสนิทกำลังถูกคร่อมจากผัวตนในสภาพที่เปลือยล่อนจ้อนทั้งคู่

“ อีดวง อีระยำหยำฉ่า เลี้ยงเสียข้าวสุก อีชาติชั่ว ” เสียงเมียใหญ่ตะคอกด่าบ่าวสาววัยละอ่อน

“ ใจเย็นเสียก่อนแม่เชื่อม ฉันไม่รู้เรื่องอันใดเลย ” เจ้าสัวรีบกระโดดออกจากเตียง แล้วใส่เสื้อผ้า พลางทำมือส่งสัญญาณบอกให้เมียใจเย็น

“ แล้วที่นอนคร่อมอีดวงมันอยู่ คืออันใดกันเจ้าคะ ” คุณเชื่อมพูดไปร้องไห้ไปที่ถูกทรยศหักหลัง

“ อีดวงมันเอาน้ำอบน้ำปรุงหอมอะไรไม่รู้มาใส่ให้่ฉัน แล้วฉัน...ก็...โอ้ย ฉัน….. ”
ยังไม่ทันพูดจบประโยค เจ้าสัวก็แสร้งแกล้งล้มหมดสติไปเพื่อเอาตัวรอด ฝ่ายเมียก็รีบวิ่งมาดูอาการผัวด้วยความเป็นห่วง โดยไม่รู้เลยว่ากำลังถูกหลอก

“ เจ้าสัว เจ้าสัว เจ้าสัวเป็นอะไรไปเจ้าคะ อีดวงมึงทำของใส่ผัวกูเหรอ อีอัปรีย์ ”
คุณเชื่อมมองอำแดงดวงตาขวาง ลุกขึ้นวิ่งไปจิกหัวบ่าวหญิงสาวด้วยความโกรธ แล้วลากมาประจานที่ชานแล่นให้พวกบ่าวไพร่คนอื่นได้ดู
“ พวกมึงทั้งหลายดูไว้เถิด อีคนเนรคุณเยี่ยงนี้ เลี้ยงไปก็เปลืองข้าวสุก หึ! คิดหวังจะเป็นใหญ่แทนกูงั้นรึ หาทางสบายล่ะซีอีดวงเอ๋ย ไม่มีทางเสียหรอก มึงมันอีหมาพเนจร ร่อนเร่ไร้ที่ซุกหัวนอน รูปร่างหน้าตาก็พิลึก ไม่เหมือนไทยไม่เหมือนจีน พวกญ่อพวกลาวก็มิใช่ กลับถิ่นกลับเมืองมึงไปซะ อีจัญไร ”

“ คุณเชื่อมเจ้าคะ ฟังบ่าวก่อนนะเจ้าคะ คือบ่าว..”

‘เผลี๊ยะ!’
เสียงฝ่ามือของคุณเชื่อมกระทบที่ปากอำแดงดวงอย่างแรง

“ กูสั่งให้มึงพูดรึอีดวง หุปปากของมึงไปเสียอีหยำฉ่า ”

อำแดงดวงรีบก้มหน้าหมอบสั่นเทาด้วยความกลัว เอามือจับปาก คอยซับเลือดที่ไหลซิบที่ริมปาก

“ ใครก็ได้ ไปเผาไม้แสมร้อนๆมาให้กูที กูจะมาทำให้อีนี่หายร่าน ถ้าโดนจี้จนเกรียมเป็นแผลดูไม่ได้ ดูซิว่าผัวกูจะยังเสน่หาด้วยมึงหรือไม่ ฮ่าฮ่าฮ่า พวกมึงช่วยกันจับมันแหกขา ฮ่าๆๆ ”

‘ฮ่า ฮ่า ฮ่า…..ฮ่า ฮ่า ฮ่า’

เสียงหัวเราะสะใจของคุณเชื่อมยังก้องติดในหัวบ่าวหญิงสาวจวนจนถึงนาทีนี้ ทุกครั้งที่หวนคิดก็จะรู้สึกเจ็บไปถึงรอยแผลเป็นภายใต้ร่มผ้า ถึงแม้มันจะผ่านมานานแล้ว แต่เรื่องระยำตำบอนของเจ้านายทั้งสองที่ทำไว้ มันยังคงฝังลึกบาดใจอยู่ไม่เคยลืมเลือน ยากที่จะเฉือนออกจากความทรงจำได้ง่าย

“ เฮ้ย เฮ้ย เฮ้ย เฮ้ย ”
เสียงตะโกนภาษาไทยสำเนียงจีนดังมา ทำให้อำแดงดวงตกใจ และหยุดคิดเรื่องอดีตอันช้ำใจ

เจ๊กลากรถวิ่งมาด้วยความเร็ว เสียหลักลื่นไถลหล่นไหล่ทางมาชนที่ริมรั้ว เดชะบุญที่มีต้นไม้ขนาดหย่อมเป็นเสมือนเบาะนุ่มรองรับรถลากไว้ไม่ให้สาหัส

อำแดงดวงรีบวิ่งไปดูทันที พบว่าเจ๊กลากรถปลอดภัยดี บนรถมีผู้โดยสารเป็นผู้หญิงท้องแก่กำลังร้องครวญครางด้วยความทรมานใกล้คลอด

“ ช่วยด้วย ช่วยด้วย ช่วยพาหญิงผู้นี้ไปโอสถศาลาที ฝนตกหนักเยี่ยงนี้ น้ำไหลทางลื่น ข้าไปไหนไม่ได้ไกลเสียแล้ว ” เจ๊กลากรถพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นลุกลี้ลุกลน พลางชี้ไปบนรถลาก

“ มาจากไหนกันล่ะนี่ ทำไมหล่อนผู้นี้ไม่มาด้วยผัวหรือญาติเล่า แล้วจะไปโอสถศาลาทำไมกัน ทำไมไม่เรียกหมอตำแยไปที่เรือนหญิงผู้นี้เล่า ”

ยังไม่ทันได้ถามไถ่ข้อมูลต่อ หญิงท้องแก่บนรถก็กรีดร้องออกมาเสียงดัง “ โอ้ยยยยยย ฉันไม่ไหวแล้ว ช่วยฉันด้วย ฉันไม่ไหวแล้ว โอ้ยยยยย ”

“ ถ้าเป็นเยี่ยงนี้ เห็นทีว่าจะไปถึงโอสถศาลาก็จะไม่ทันการ ยังไงเสียพ่อเจ๊ก ช่วยลากรถเข้าไปที่หน้าเรือนได้ไหม ข้างในมีหมออยู่ ท่านรักษาคนเจ็บไข้ประจำอยู่ที่โอสถศาลาอยู่เป็นนิตย์ ”

เจ๊กลากรถพยักหน้า รีบดึงรถออกมาจากไหล่ทาง และลากรถเข้าไปจอดที่บันไดหน้าเรือนทันที ทั้งเจ๊กและอำแดงดวงต่างช่วยกันพยุงหญิงสาวท้องแก่มาไว้ที่ชายคาข้างชานแล่น คุณหลวงและเจ้าสัวเห็นก็รีบวิ่งเข้ามาดูด้วยความตกใจ

“ อีดวงมึงพาใครขึ้นเรือนคุณหลวงมา ” เจ้าสัวตะโกนชี้ด่าโหวกเหวกนำมาก่อน

“ ช่วยด้วยเจ้าค่ะ หญิงผู้นี้กำลังจะคลอดลูก ” บ่าวหญิงรีบตะโกนสวนบอกไปทันที

เมื่อทราบเช่นนั้น คุณหลวงและเจ้าสัวจึงรีบช่วยพยุงหญิงท้องมานอนที่หอนั่งทันที ในช่วงจังหวะนั้นเอง เจ๊กลากรถก็วิ่งลงจากเรือนไปอย่างไม่มีใครได้สังเกตุเห็น

“ อีดวง เอ็งทำคลอดเป็นหรือไม่ ” คุณหลวงถาม

“ ไม่เป็นเจ้าค่ะ บ่าวไม่เคยทำ ”

“ ฉันเป็นหมอหลวงก็จริง แต่ไม่ค่อยชำนาญการทำคลอด เรื่องแบบนี้ต้องพวกหมอตำแย หรือคนชะราคนเก่าแก่เท่านั้นที่จะรู้ความ บ่าวไพร่ผู้หญิงก็ตามไปรับใช้คุณหญิงแย้มเสียหมด ที่เหลืออยู่ก็มีแต่บ่าวผู้ชายเท่านั้น”

“ เราพาแม่หญิงคนนี้ไปคลินิกมิชันเนรี หรือ โอสถศาลาดีไหมขอรับคุณหลวง ” เจ้าสัวเสนอความคิด

“ รถลากเรือแจวก็ไม่มีเสียด้วยตอนนี้ ฝนตกหนักเยี่ยงนี้ หากไปก็คงลำบาก ”

“ รถลากมีเจ้าค่ะ เจ๊กลากรถเป็นคนพาแม่หญิงคนนี้มา ”

“ แล้วเจ๊กคนนั้นไปไหนเสียล่ะอีดวง ” เจ้าสัวหันมาถามอย่างหงุดหงิด

บ่าวหญิงหันไปกลับดูและมองหา แต่ก็ไม่เจอ เลยได้แต่ตอบอ้ำๆอึ้งๆ “ เอ่อ เอ่อ..คือ..”

“ วะ! อีนี่ ถามไม่ได้ความ แล้วยังนำความเดือดร้อนมาให้อีก ” เจ้าสัวตะโกนด่าและทำท่าจะตบไปที่หน้าบ่าวหญิง แต่คุณหลวงก็ห้ามไว้

“ มันหาใช่เวลาไม่เจ้าสัว เรามาช่วยกันทำคลอดแม่หญิงคนนี้เถิด ”

“ กระผมไม่เคยทำคลอดนะขอรับ แม่เชื่อมที่ตายไป หาได้มีลูกกับกระผมไม่ ”

“ บ่าวในเรือนฉันเคยมีลูกมีเต้ากันบ้าง ฉันเคยเข้าไปช่วยดูแลอยู่บ้าง ก็พอจะรู้วิธี ”

“ โอ้ยยย ไม่ไหวแล้ว โอ้ยยย ” หญิงสาวท้องแก่ร้องลั่นเสียงดัง มือเกร็งกำหมัดแน่น ตะเกียกตะกายพยายามหาที่ยึดเหนี่ยว สองขาอ้าออก น้ำคร่ำค่อยๆไหลออกเยอะขึ้นเรื่อยๆ

“ ไม่ได้การเสียแล้ว อีดวง เอ็งไปหยิบผ้ายาวๆอะไรก็ได้ในหีบ แลนำมาผูกกับคานเรือนตรงนี้ ส่วนเจ้าสัว ฉันวานท่านไปต้มน้ำร้อนให้ทีเถิด เดี๋ยวทางนี้ฉันจะจัดการเอง ”

เมื่อได้รับคำสั่ง ทั้งเจ้าสัวและอำแดงดวงก็รีบวิ่งกุลีกุจออย่างจ้าละหวั่น ฝ่ายคุณหลวงก็จัดการเตรียมพื้นที่ พร้อมตรวจดูว่าหัวเด็กออกมาหรือยัง

เวลาล่วงไปสองชั่วยาม เด็กทารกก็ถูกคลอดออกมา หน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรา ผิวพรรณผ่องใสยองใยดุจปุยเมฆ ผู้ทำคลอดทั้งสามยิ้มด้วยความดีใจในความสำเร็จที่ลุล่วง

“ เป็นเด็กผู้หญิงหรือเด็กผู้ชายขอรับ ” เจ้าสัวถามด้วยความตื่นเต้น ยิ้มปากกว้าง เพราะรู้สึกถูกชะตากับเด็กทารกคนนี้ตั้งแต่แรกเห็น

“ เป็นเด็กผู้หญิง ” คุณหลวงตอบ

“ ขอกระผมอุ้มหน่อยได้ไหมขอรับ น่าชังเสียจริงแม่เด็กหญิงคนนี้ เดี๋ยวกระผมจะเป็นคนล้างเนื้อล้างตัวให้เด็กคนนี้เองขอรับ ”

เจ้าสัวรับเด็กทารกที่ตอนนี้ตัวแดงเกรอะไปด้วยเลือดมาด้วยความเอ็นดูอย่างไม่รังเกียจ แล้วค่อยๆบรรจงใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดตัวเด็กอย่างประณีตละเมียดละไม

“ โอ้ย ฉันเจ็บเหลือเกิน โอ้ย ”
เสียงแม่เด็กทารกร้องแทรกเข้ามาอีก เอามือกุมท้องด้วยความเจ็บ คุณหลวงรีบหันไปกลับดู และคลำท้อง ก็พบว่ายังมีหัวเด็กอีกคนในท้อง ผู้ทำคลอดทั้งสามจึงช่วยกันอีกครั้งด้วยความตื่นเต้น คราวนี้เด็กออกมาง่ายกว่าเดิมเพราะช่องคลอดขยายแล้ว

เด็กทารกคนที่สองเป็นเพศหญิงเหมือนกัน หน้าตาเหมือนเด็กคนแรกไม่มีผิดเพี้ยน ต่างกันตรงที่ผิวกายจะออกคล้ำมากกว่าเท่านั้นเอง ดูแล้วดำขำคมเข้มรับกับผมที่ดูเหมือนจะหยักโศกเหมือนแม่

คุณหลวงอุ้มทารกคนที่สองด้วยความเอ็นดู มองไปยิ้มไปด้วยความรู้สึกแปลกๆ เพราะเพียงแค่เห็นแวบแรกก็รู้สึกถูกชะตากับเด็กคนที่สองมากกว่าคนแรก

“ คุณหลวง! ” อำแดงดวงเรียกคุณหลวงด้วยความตกใจ

“ มีอะไรรึ ” ทั้งคุณหลวงและเจ้าสัวหันไปดูพร้อมกัน

“ แม่หญิงคนนี้สิ้นใจแล้วเจ้าค่ะ ”


คุณหลวงรีบฝากให้อำแดงดวงอุ้มเด็ก แล้วรีบไปจับชีพจร ดูลมหายใจแม่ของเด็กแฝดทันที เมื่อวินิจฉัยอย่างถี่ถ้วน ก็พบว่าตายแล้วจริงๆ

“ พิโธ่ อีหนูเอ้ย ไม่น่ากำพร้าแม่เลย ” เจ้าสัวส่ายหน้า และมองเด็กแฝดคนพี่ด้วยความสงสาร

“ แม่หญิงคนนี้เป็นใครมาจากไหน เราก็หารู้ไม่ แล้วฉันจะทำเยี่ยงไรดีเล่าเจ้าสัว ” คุณหลวงหันไปถามเพื่อนด้วยอาการเหน็ดเหนื่อย

“ จะตามหาผัวแลญาติของแม่หญิงคนนี้ ศพจะเหม็นอืดเสียก่อนพอดีถ้าไม่ฝังภายในวันนี้ ”

“ ฝังภายในวันนี้งั้นรึ ” คุณหลวงถามด้วยความสงสัย

“ ใช่แล้วขอรับ ดูจากการแต่งตัว หน้าตาของแม่หญิงคนนี้ เป็นชวาไม่ผิดเพี้ยน แลมีห่อผ้าติดมาด้วยเยี่ยงนี้ คงลี้ภัยมาจากที่ใดสักแห่ง แลดูไม่มีญาติมิตรโคตร์วงศ์ที่ไหนเป็นแน่ ”

“ เรื่องฝังศพหญิงชวาผู้นี้คงไม่มีปัญหาใด แต่เด็กทารกสองคนนี้เล่า จะทำกันเยี่ยงไรกันดี ” คุณหลวงรับเด็กแฝดผู้น้องมาอุ้มต่อ และมองด้วยความเวทนา

“ กระผมรู้สึกถูกชะตากับอีหนูผู้พี่นี่เหลือเกิน จะเป็นอันใดไหม ถ้ากระผมจะขอสมเคราะห์เด็กคนนี้ไปเลี้ยง กระผมอยากมีลูกมานานแล้วขอรับ ”

“ ตัวฉันก็รู้สึกถูกชะตากับแฝดผู้น้องนี้เสียเหลือเกิน ตัวฉันแลคุณหญิงแย้มใคร่อยากมีลูกมานานนม ถ้าได้สมเคราะห์เด็กคนนี้ คงได้สมใจเสียที แต่ถ้าฉันเลี้ยงคนหนึ่ง เจ้าสัวเลี้ยงคนหนึ่ง มันจะดีงั้นรึ ที่จับพี่จับน้องเขาแยกกัน เด็กสองคนนี้เป็นแฝดกันแท้ๆหนา ”

“ ไม่เป็นไรดอกคุณหลวง เพราะอย่างไรเสีย อีกสี่ห้าปีเบื้องหน้า ถ้าสงครามล่าอาณานิคมจบสิ้น กระผมใคร่จะไปอาไศรยทำมาค้าขายที่อเมริกา จะกลับมาสยามทีก็คงปีละครั้ง อย่างไรเสียเด็กสองคนนี้ก็คงไม่ได้ผูกพันกันอยู่แล้วขอรับ ”

“ ฉันเองนั้นรู้สึกไม่ดีที่ต้องแยกพี่แยกน้องท้องเดียว ให้ไปอยู่คนละทิศละทาง แต่ตัวฉันก็ชอบเด็กคนน้องเสียเหลือเกิน ความนี้ก็สมควรตามเจ้าสัวล่ะกัน ”

เจ้าสัวพยักหน้าตกลงด้วยความเต็มใจ ยกเด็กขึ้นอุ้มเล่นไปมาอย่างมีความสุข กอดเด็กแฝดผู้พี่ซ้ำแล้วซ้ำอีกด้วยความรักใคร่ พินิจมองหน้าไปมาก็บังเกิดความคิด

“ กระผมว่า กระผมจะตั้งชื่อให้เด็กคงนี้ว่า หยงยิหวา ”

“ ทำไมถึงชื่อ หยงยิหวารึเจ้าสัว ” คุณหลวงถาม

“ กระผมนึกถึงคำกาพทย์คำกลอนในเรื่องอิเหนาที่คุณหลวงเล่าน่ะสิขอรับ คำว่าดวงยิหวา มันเปลว่าผู้เป็นที่รักยิ่ง กอปรกับแม่ของเด็กผู้นี้เป็นหญิงชวา ถ้าใช้ชื่อยิหวาก็คงไพเราะเหมาะควรกับหน้าตาเป็นแน่แท้นะขอรับ ”

“ แลคำว่าหยงมันมาจากไหนกันเล่า ”

“ หยงก็คือ ดอกตันหยง เป็นดอกไม้ที่ผมชอบน่ะขอรับ หอมอ่อนๆ หอมนาน หอมรัญจวญ ”

“ เจ้าสัวนี่เก่งกาพย์เก่งกลอนเสียนี่กระไร ถึงได้ตั้งชื่อไพเราะเสนาะยิ่ง แล้วลูกสาวของฉันเล่า จะชื่ออะไรดีหนอ ”

“ บุษบาไหมขอรับ ” เจ้าสัวเสนอ

“ นางบุษบาของอิเหนางั้นรึ ฮ่าๆ ฉันชอบนะ แต่ชื่อจะไม่คล้องกันแฝดผู้พี่เสียสิ หยงยิหวาบุษบา ฟังดูขัดหูกระไรอยู่นา ”

“ ไม่จำเป็นต้องคล้องจองกันหรอกขอรับ อย่างไรเสียเราก็เลี้ยงแยกกันอยู่ดี ”

“ แต่ฉันก็อยากให้มีสิ่งหนึ่งที่คล้องกันไว้ อย่างน้อยเป็นชื่อก็ยังดี ”

“ ถ้าจะหาชื่อที่ลงท้ายด้วยสระอาในอิเหนา เห็นทีจะต้องเป็นบาหยันกระมังล่ะขอรับ ” เจ้าสัวแกล้งเสนอชื่อส่งเดช

“ บาหยันงั้นรึ ในบรรดาพี่เลี้ยงของนางบุษบาทั้งหมด ฉันชอบแม่บาหยันเป็นที่สุด ถ้ามาเรียกพร้อมกับชื่อแฝดผู้พี่ ก็จะเป็น หยงยิหวาบาหยัน ไพเราะเสนาะหูเสียจริง เจ้าสัวนี่เก่งนักหนา ”

“ ถ้าคุณหลวงชอบชื่อนั้น ก็สมควรแต่ความคิดเถิดขอรับ ถ้าไม่ถือว่าบาหยันเป็นแค่ชื่อพี่เลี้ยงนางบุษบาในเรื่องอิเหนา ”

“ ฉันไม่ถือดอก ออกจะชอบเสียด้วย ฟังแล้วคล้องกันดี เหมือนชื่อลูกหลานขุนน้ำขุนนางที่เขานิยมตั้งคล้องจองกันไงเล่า ฮ่าๆๆ ” คุณหลวงหัวเราะร่วนเสียงดังด้วยความใจ

ฝ่ายเจ้าสัวก็กำลังสนใจเด็กหยงยิหวาอยู่ด้วยความรัก เลยไม่สนใจว่าเด็กแฝดคนน้องจะชื่อเป็นอย่างไร เพราะตอนนี้ได้มีลูกสมใจมาหนึ่งคนก็ถือว่าเป็นของสวรรค์ล้ำค่า

อำแดงดวงเดินเข้ามาพร้อมอ่างน้ำร้อน เพื่อให้เจ้านายใช้เช็ดเด็กทารกที่ยังคงมีคราบเลือดติดอยู่ที่สายสะดือหลังจากตัดด้วยไม้ไผ่
ด้วยความที่เจ้าสัวกำลังเพลิดเพลินเจริญใจกับลูกสาวคนใหม่ ก็เลยจุ่มมือไปเต็มๆในอ่างโดยไม่ได้ใช้นิ้วแตะก่อน น้ำที่เพิ่งต้มร้อนเดือดใหม่ๆจึงลวกมือเจ้าสัว

“ โอ้ย! อีดวงมึงแกล้งกูรึ ทำไมมึงไม่บอกกูก่อนว่าน้ำยังร้อนอยู่ มึงกะจะเอามาลวกกูกับลูกกูรึ ”

“ บ่าวไม่ได้ตั้งใจเจ้าค่ะ บ่าวขอโทษ บ่าวไม่รู้จริงๆเจ้าค่ะว่ามันยังร้อนอยู่ ” อำแดงดวงก้มลงหมอบกราบลนลานด้วยความกลัว

“ มึงไม่รู้รึว่ามันร้อน เอ้า! ลองโดนซะ! ”
เจ้าสัวคว่ำคะมำอ่างน้ำร้อนราดลงไปที่ตัวบ่าวหญิงสาวทันทีด้วยอารมณ์โมโห อำแดงดวงกรีดร้องโหยหวญ ดิ้นพล่านด้วยความแสบร้อน

“ อ้ายยยยยยยยยยย ”

โดย: ม้าสามศอก วันที่: 7 กันยายน 2556 เวลา:1:45:10 น.
  
เห็นแล้วนึกได้เลยค่ะ คุณมะลิ ^^
อ่านที่กระทู้จบแล้ว แต่นุ่นยังไมได้กลับไปเมนท์เลย แหะๆ
ลงในบล็อคสั้นกว่ารึเปล่าคะเนี่ย ^^
โดย: lovereason วันที่: 7 กันยายน 2556 เวลา:23:01:58 น.
  
อ่านต่อกันเลยค่ะ>>>

เสียงกรีดร้องลั่นสนั่นของอำแดงดวงทำให้แก้วลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ หายใจหอบด้วยความเหนื่อย เหงื่อไหลรวยรินท่วมริมหน้าผาก เหตุการณ์ทุกอย่างในอดีตยังอยู่ในความทรงจำราวกับย้อนอดีตกลับไปเห็นด้วยตาตนเอง
หญิงสาวขยี้ตา ตบหน้าตัวเองเบาๆเพื่อเรียกสติว่่ากลับมาสู่ห้วงเวลาปัจจุบันหรือยัง พลางคิดขึ้นได้ว่า กำลังคุยโทรศัพท์กับย่าอยู่ ซึ่งมือขวาก็ยังคงถือโทรศัพท์อยู่ เมื่อเอามาดู ก็พบว่าโทรศัพท์แบตเตอรี่หมดไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่ที่น่าแปลกใจยิ่งกว่า ทำไมจู่ๆถึงหลับฝันไปคล้ายกับว่า เรื่องที่ไปเจอมันเป็นเรื่องจริง

“ หลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่เนี้ยเรา ทำไมจำอะไรไม่ได้เลย โอ้ยปวดหัวจัง ” หญิงสาวลุกขึ้นนั่งพิงพนักเตียง กุมขมับหัวด้วยความสับสน พลางบ่นพึมพำต่อ “ ทำไมฉันต้องมาฝันเรื่องผีอีดวงเนี้ย ”

วิธีการตั้งหลักขั้นแรกก็คือค่อยๆหายใจเข้าออก และหาจุดโฟกัสเพื่อเพ่งนิ่งทำสมาธิ หญิงสาวเลยล้มตัวลงนอน และมองไปที่โมบายที่มนตรีให้ไว้ การพริ้วไหวช้าๆของโมบายนั้นช่วยผ่อนคลายให้รู้สึกหายตึงเครียดเรื่อยๆ ขนนกและลูกปัดที่ลอยระย้าลิ่วลม ดูสวยงามเมื่อสะท้อนกับแสงจันทร์ที่ส่องมาจากข้างนอก

“ สวยจัง เอ..ไอ้ริ้วๆสีน้ำตาลมันหนังอะไรน้า ทำไมพริ้วลมดีจัง ” แก้วมองโมบายไป ก็สังเกตุวัตถุดิบที่ทำไปด้วย

“ หนังหัวกูเอง ”
เสียงหญิงชราแหบพร่าพูดเสียงยานคางดังมาจากใต้เตียง แก้วรู้ทันทีเลยว่าเจ้าของเสียงนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่ ผีอีดวง

อย่างที่ขุนขจรเคยบอกแก้ว ว่าภูติ ผี ปีศาจเป็นแค่สิ่งลวงตา ไม่สามารถทำอันตรายเราได้ สติเท่านั้นที่จะคุ้มครองคุ้มภัย ถ้าจะสวดมนต์ก็จำได้แต่บทสั้นๆ หญิงสาวเลยนึกถึงคำแผ่เมตตา ที่นอกจากมันจะเป็นพลังงานบวกแล้ว มันยังส่งผลบุญให้วิญญาณร้ายตนนั้นได้อีกด้วย

“ สัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นทุกข์…..”

ในทันทีเริ่มเปล่งคำแผ่เมตตา วิญญาณร้ายหญิงชราก็ค่อยๆโผล่หัวมาจากใต้ปลายเตียง สภาพที่มาในครั้งนี้ มาในชุดโบราณนุ่งโจงแบบบ่าวไทย ที่หัวมีผมขาดแหว่งเป็นกระจุกก้อนเหมือนโดนกล้อนผม ร่างกายดูฟกช้ำดำเขียวเหมือนคนถูกซ้อมมา

ผีอีดวงค่อยๆลอยเคลื่อนตัวเอาฝ่าเท้ามาเหยียบที่หน้าอกของหญิงสาว และนั่งยองๆมองหน้าด้วยแววตาเกรี้ยวกราด ดวงตาถลนเป็นสีแดงจนเห็นเส้นเลือดฝอยปูดทะลักออกมา เมื่อเห็นแก้วแสดงอาการหวาดกลัวท่องคำแผ่เมตตาตะกุกตะกัก มันเลยยื่นหน้าเข้ามาใกล้ และใช้เล็บนิ้วยาวๆของตัวเอง ค่อยๆขูดหนังหัวตัวเองออก จนหนังหัวถลอกเป็นลิ่มเลือดไหลย้อยหยดลงมาที่หน้าของแก้ว

“ มึงคิดว่าแผ่บุญแผ่กุศลให้กู แล้วมันจะชำระชดใช้ให้กูได้งั้นรึ ฮ่าๆ พวกมึงมันเห็นแก่ได้ กูขอสาปขอแช่งให้พวกมึงทั้งหลาย จงพินาศด้วย นานาภัย จงอย่ามีความผาสุกได้ จงเสื่อมลาภยศ หมดสิ้นหายสูญ พวกมึงจงฉิบหายวายวอด อย่าได้มีลูกมีหลานเหลนรอดทั้งโคตร์ทั้งวงศ์เฮย ฮ่าๆๆ ” วิญญาณร้ายท่องคำสาปแช่งแทรกเข้ามาตลอด ด้วยความอาฆาตแค้น

หญิงสาวไม่อาจฝืนทนเห็นภาพน่ากลัวเหล่านี้ได้ เธอจึงหลับตา และตั้งใจแผ่เมตตาท่อนสุดท้ายต่ออย่างตั้งใจ “....สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ จงมีแต่ความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด สาธุ ”

ด้วยความกลัวจึงลนลานรีบยกมือไหว้ท่วมหัว และเมื่อสิ้นคำว่าสาธุ ทุกอย่างก็ดูเหมือนเงียบไปเช่นกัน แก้วไม่รู้สึกเจ็บหน้าอกที่ผีอีดวงมานั่งเหยียบ กลิ่นเหม็นสาบคลุ้งด้วยเลือดก็หายไป เธอเลยตัดสินใจลืมตาดูรอบข้าง ก็ปราศจากวี่แววของวิญญาณร้าย

“ ทำไมไปง่ายขนาดนี้เนี้ย ” หญิงสาวบ่นพึมพำคนเดียว พลางใช้มือซ้ายปาดเหงื่อที่หน้าผาก ก็เลยรู้ว่ามือซ้ายนั้นกำสร้อยล็อคเก็ตของเทียดบาหยันอยู่ “ หรือจะเป็นเพราะสร้อยนี้กันนะ แต่มันไม่ใช่สร้อยพระซะหน่อย ทำไมต้องกลัวด้วย เฮ้อ ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว ”

ในทันใดนั้นเอง กลิ่นการเวกอ่อนๆก็ลอยมาจากด้านนอกอีกครั้ง คราวนี้หญิงสาวตัดสินใจแน่วแน่ที่จะเดินทางไปพบวิญญาณขจรตามนัดหมาย เพราะในเมื่อเธอได้รู้จิ๊กซอว์ตัวที่หนึ่งของการเริ่มต้นแล้ว ถ้าจะเอาเรื่องราวไปถามเพิ่มก็คงจะสามารถประติดประต่อเรื่องราวต่างๆในอดีตได้ไม่ยาก แต่มีเพียงจิ๊กซอว์สองตัวเท่านั้นที่ยังหารอยต่อเชื่อมโยงไม่ได้ นั่นก็คือ สร้อยล็อคเก็ตที่ขุนขจรเป็นเจ้าของ กับรูปภาพบรรพบุรุษของท่านไมค์ที่ไม่เหมือนหน้าตาของขุนขจร

แก้วไม่สนใจอีกแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองตามที่ใครหลายๆคนเตือนไว้ เธอรีบสวมสร้อย หยิบรูปพกติดตัว แล้วรีบออกจากโรงแรมทันที ในตอนแรกจะให้พนักงานเรียกแท็กซี่ให้ แต่ด้วยความโชคดีมีแท็กซี่ว่างจอดรอรับผู้โดยสารที่อยู่ฝั่งตรงข้ามโรงแรมพอดี เธอจึงเรียกให้รถวนกลับมารับ และขึ้นไปนั่ง บอกจุดหมายปลายทางที่จะไปเป็นภาษาอังกฤษกับโชเฟอร์แท็กซี่

“ ไปแถวจตุรัสไพโอเนียร์ ตรงเมืองใต้ดินค่ะ ”

โชเฟอร์ไม่ได้ตอบอะไร หรือหันมามองผู้โดยสารเลยสักนิด ได้แต่พยักหน้าผ่านกระจกมองหลังของคนขับ โดยปกติเส้นทางจากโรงแรมไปเมืองใต้ดินจะใช้เวลาไม่นาน เพราะจะเป็นถนนเส้นตรงเรียบริมน้ำไปเรื่อยๆ แก้วใช้บริการแท็กซี่บ่อยตลอดระยะเวลาที่มาอยู่ที่นี้ จึงพอรู้ว่าตอนนี้รถกำลังขับอ้อมไปอ้อมมา

“ ขอโทษนะคะ ฉันว่าคุณใช้ถนนที่หนึ่งริมแม่น้ำดีกว่านะคะ ขับตรงไปก็ถึงเลยค่ะ ฉันรีบค่ะ ช่วยกรุณาขับตามเส้นทางที่ฉันบอกด้วยนะคะ ”

“ มึงอยากรีบด่วนตายเร็วนักรึอีแก้ว ” เสียงโชเฟอร์แท็กซี่ที่ตอบกลับมาเป็นภาษาไทย และไม่ใช่เสียงของผู้ชาย แต่เป็นเสียงแหบๆของผู้หญิงแก่ที่แก้วคุ้นเคย เมื่อมองไปที่กระจกมองหลัง แก้วก็เห็นเป็นเงาของผีอีดวงซ้อนอยู่ที่โชเฟอร์แท็กซี่

“ แก แกคืออีดวงใช่ไหม ”

“ ฮ่าๆๆ นึกเหรอ ว่ามึงจะหนีกูพ้น ฮ่าๆๆ ” วิญญาณร้ายหัวเราะร่วนด้วยความพอใจ

“ ปล่อยฉันไปเถอะ อย่าทำอะไรฉันเลย ถ้าฉันตายไปฉันจะทำบุญชดใช้ให้ดวงได้ยังไง ” หญิงสาวพูดกลับไปด้วยน้ำเสียงสุภาพ เพื่ออ้อนวอนต่อรองกับวิญญาณร้าย

“ ชำระชดใช้งั้นรึ บุญกับบาปมันคนละส่วนกันอีแก้ว กรรมใดมึงก่อ กูเนี้ยแหละจะสนองให้มึงเอง ฮ่าๆ ”

รถแท็กซี่เริ่มขับด้วยความเร็วสูงขึ้นเรื่อยๆ บิดไปบิดมาส่ายเสียการทรงตัว เมื่อรถแล่นมาถึงบริเวณลานท่าเรือใหญ่ รถก็ออกนอกลู่ถนน แล้ววิ่งมุ่งเข้าท่าเรือ เหมือนต้องการจะพุ่งตกลงน้ำ

แก้วทำอะไรไม่ถูกในสถานการณ์แบบนี้ เลยได้แต่หยิบสร้อยล็อคเก็ตขึ้นมาภาวนาขอสิ่งศักดิ์ให้ช่วย และแล้วรถก็ลอยเหนือพื้นด้วยความเร็ว ห่างจากขอบแค่สองร้อยเมตร รถก็จะพุ่งตกลงน้ำ ทันใดนั้นก็มีเงาดำวิ่งผ่านหน้ารถไปมา จนทำให้รถต้องเบรคกระทันหัน ไฟหน้ารถดับลงตาม พร้อมกับการปรากฎร่างวิญญาณขุนขจร ที่ขยายใหญ่โตเกือบระฟ้า ชี้นิ้วลงมาด้วยอารมณ์โกรธ

“ อีดวง คืนนี้หาใช่คืนของมึงคนเดียวเสียเมื่อไหร่ มึงอย่าริจองหององอาจมาทำร้ายแม่แก้วกานดาของข้า ”

“ ฮ่าๆ ไอ้ผีไร้ญาติเยี่ยงเอ็ง จะมีใครแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลให้เอ็งมีกำลังอำนาจได้งั้นรึ ” วิญญาณร้ายออกจากร่างโชเฟอร์แท็กซี่ แล้วลอยทะยานขึ้นฟ้าขยายใหญ่เทียบเท่าวิญญาณขุนขจร

“ เอ็งหมายความเยี่ยงไรที่ว่าข้าไม่มีญาติ ”

“ ตายไปโดยมิรู้สินะ ว่าตนเองนั้นมิได้เป็นเชื้อเป็นสายโคตร์วงศ์กับเขาเสียเมื่อไหร​่ ฮ่าๆๆ ”

“ เอ็งอย่ามาสร้างเรื่องหลอกข้า อีผีร้าย เอ็งออกไปบัดเดี๋ยวนี้ ข้าไม่ยอมให้เอ็งทำร้ายแม่แก้วดอก ”

“ ผีเยี่ยงมึง จะทำอันใดกูได้รึ ถุย ”

ยังไม่ทันที่สองวิญญาณจะปะทะกัน ทันใดนั้นก็มีเสียงพระสวดมนต์ลอยแผ่วแว่วมาตามลม ทั้งขุนขจรและแก้วก็รีบยกมืออนุโมทนาสาธุเมื่อได้ยิน มีเพียงอีดวงที่เอามืออุดหู และโอดครวญด้วยความรำคาญ เสียงสวดมนต์นั้นชัดขึ้นเรื่อยๆ มีเสียงคนนับร้อยผสมผสานคลอร่วมมาด้วย แล้วจู่วิญญาณร้ายก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย

วิญญาณขุนขจรค่อยๆเหลือร่างตามปกติเท่าขนาดคน ลอยลงพื้นมายืนยกมือกล่าวคำสาธุเป็นระยะๆ และเมื่อเสียงสวดมนต์หายไป จึงไปเรียกหญิงสาวในรถให้ออกมา

“ ไปกันเถิดแม่แก้ว เราเหลือเวลาไม่มากแล้ว ”

“ คือฉัน...” หญิงสาวอ้ำอึ้ง ไม่กล้าพูด เพราะในใจลึกๆก็แอบกลัวขุนขจรอยู่

“ ถ้าไม่อยากไปกับฉัน แล้วแม่แก้วถลิลหาฉันให้มาช่วยทำไมเล่า ”

++++จบบทที่ ๕+++++
โดย: ม้าสามศอก วันที่: 12 ตุลาคม 2556 เวลา:7:24:46 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ม้าสามศอก
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]



มะลิรายงานตัว สวัสดีค่ะ
New Comments
MY VIP Friend