ให้นาย Value เป็นกองหลัง นาย Growth เป็นกองหน้า
บทความโดย คุณ OutOfMyMind จาก ThaiVI
ขอขอบคุณ ณ ที่นี้ด้วยครับ
สร้างทีมของคุณให้ มี Value เป็นกองหลัง Growth เป็นกองหน้า เลือกผู้เล่นแบบ Concentrate ถ้าเปรียบพอร์ตที่ผมใฝ่ฝันให้เป็นดั่งทีมฟุตบอลกฏเหล็กแห่งการไม่แพ้คือ "ห้ามเสียประตู" เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งนี้กองหลังต้องแน่นปึ๊ก เปรียบได้ดังการมองหาผู้เล่นจากค่าย Value ที่มีMargin of Safety มากพอ และยากที่เล่นผิดพลาดให้เสียประตู เมื่อหลังแน่นแล้ว ก็ต้องหากองหน้าฝีเท้าเฉียบคมผมขอซื้อตัวกองหน้ามาจากค่าย Growth ที่มีศักยภาพในการทำประตูสูง ดูจาก BVหรือ PE แล้วอาจเหมือนมี Margin of Safety ต่ำ แต่อย่าลืมพิจารณาถึง BrandEquityและฝีมือที่แท้จริงที่ซ่อนอยู่นอกเหนือจากข้อมูลทางการเงินที่เป็นตัวเลขประวัติการทำประตูที่โดดเด่น ต่อเนื่องยาวนาน ไม่เคยมีปัญหาบาดเจ็บ หรือฟอร์มตก ปัญหาที่บ้านก็ไม่มีให้กังวลใจ รับรองซื้อมาไว้ร่วมทีมเขาต้องออกล่าประตูให้เราแน่ เมื่อบวกกองหลัง Value เข้ากับกองหน้า Growth ก็จะเกิดเป็น Synergy เกิดพลังมหาศาล ทีนี้ แม้ตั้งใจว่าจะเอา Value เป็นกองหลัง เอา Growthเป็นกองหน้าแล้วแต่จะเลือกใครเข้ามาร่วมทีมล่ะในเมื่อมีผู้เล่นให้เลือกซื้อมากมายจากหลายลีค ก็ขอให้ท่านผู้จัดการทีมสร้างทีมโดยยึดหลักสร้างทีมแบบ Concentrateคือไม่ต้องมีหรอกครับตัวสำรอง เลือกมาเฉพาะที่เจ๋งจริง ๆรู้จักผู้เล่นแบบให้ถึงจิตใจ ทุ่มซื้อผู้เล่นเจ๋ง ๆ ด้วยเงินมาก ๆมาพอดีทีม ดีกว่าซื้อผู้เล่นปานกลางมามากมาย ซึ่งแต่ละคนฟอร์มยังไม่ชัดเจนผมไม่เชื่อเรื่องของการปั้นดาวรุ่งครับผมรอให้เขารุ่งก่อนแล้วค่อยซื้อมาร่วมทีม อีกอย่าง ผู้เล่นแต่ละตำแหน่งก็อย่าซื้อซ้ำกัน เช่น แบคขวา ก็มีคนเดียว แบคซ้ายก็มีคนเดียว จะดีกว่ามีแบคขวาสองคน ตำแหน่งซ้อนกัน จะทะเลาะกันป่าว ๆ เพราะเขาต้องแข่งขันกัน ก่อนจะซื้อนักเตะ ก็ขอให้คิดดูให้หนัก ดูให้ครบทุกด้าน ใจเย็น ๆรอจนกว่านักเตะจะเข้าเกณฑ์ที่เราต้องการเพราะซื้อมาแล้วต้องอยู่ด้วยกันนาน ต่อไปนักเตะฟอร์มดีมีคนมาขอซื้อราคาแพงคุณก็อย่าใจร้อนขายหล่ะ ดูให้ดีว่า หากเขายังอยู่ในทีมต่อไปเขาก็จะทำผลงานได้มากขึ้นเรือ่ย ๆ หรือหากคุณเห็นว่าราคาขอซื้อนั้นสูงเกินความเป็นจริง หรือ นักเตะเริ่มฟอร์มตกแล้วอันนี้จึงค่อยตัดสินใจปล่อยไป เคล็ดลับในการหานักเตะที่ดีอีกข้อหนึ่งก็คือ การอาศัยแมวมองครับให้แมวมองช่วยสังเกตุดูครับว่าเจ้าของต้นสังกัดเดิมที่เคยปล่อยนักเตะให้ทีมอื่นพยายามจะซื้อนักเตะคนเดิมกลับหรือเปล่า ถ้าซื้อกลับ นั่นเป็นสัญญาณที่ดีแล้วล่ะให้รีบมาแจ้งคุณด่วน เพื่อพิจารณาตัดสินใจซื้อ แน่นอนว่าการซื้อผู้เล่นทุกคนมาร่วมทีมผมไม่สนใจดินฟ้าอากาศว่าช่วงนี้ฝนตกแผ่นดินถล่มยกเว้นแต่ว่ามันไปถล่มที่บ้านผู้เล่นคนนั้นตรง ๆผมไม่สนใจชาติตระกูลของเขาว่ามีญาติพี่น้องของเขาเคยประสบผลสำเร็จหรือไม่แต่ผมดูว่าตัวเขาเองประสบผลสำเร็จหรือไม่การที่พี่เขาเล่นบอลเก่งกำลังฟอร์มขึ้นไม่ได้แปลว่าเขาจะต้องเล่นดีด้วยและโดยเฉพาะอย่างยิ่งผมไม่สนใจคนที่ฟอร์มขึ้นชั่วครั้งชั่วคราวผมต้องการผู้เล่นที่เล่นดีอย่างสม่ำเสมอ หวังว่าทีมในฝันนี้ คงทำผลงานได้ดีในลีคอาชีพนะครับ... สาธุ : )
รูปแบบแท่งเทียน ข้างในซ่อนอะไร
เครดิต - //www.stock2morrow.com/forums/showthread.php?t=4587ผมจะยกตัวอย่างของรูปแท่งเทียน รูปแบบหนึ่งออกมาให้ดู ที่เรียกว่า แท่งขาวยาว ๆ ไส้บน (harami) ส่วนรูปแบบอื่นให้ท่านผู้อ่านไปลองขีด ๆ เขียน ๆ เอง ตามแนวคิดที่แนะในรูปแบบนี้ ดูรูปก่อน 1..แท่งเทียนแต่ละรูปแบบจะมีคุณสมบัติ ที่เพาะบ่มจากการซื้อขายตามเวลาที่กำหนด (เช่น Day = 1 วันต่อ 1 แท่ง Week = 1 สัปดาห์ต่อ 1 แท่ง) 2..คุณสมบัติแต่ละรูปแบบจะบ่งเส้นทางการเคลื่อนของราคาตามเวลากำหนด(ซึ่งข้างในยังแบ่งเวลาย่อยได้อีกเป็นชั่วโมงหรือ นาที ในรูปจะเห็น ราย 10 นาที และราย 30 นาที) 3..เส้นทางการเคลื่อนจะมีทางเลือกที่ smooth มากกว่า Zigzag หักฉาก (โอกาสZigzag น้อยกว่า นอกจากมีข่าวร้ายระหว่างเทรด หรือการปั่นราคารุนแรงหรือถูกบังคับขายฯลฯ) ค่า smoothมักหมายถึงราคาจะขยับไปทีละช่อง(จะเร็วหรือช้าอีกเรื่องหนึ่งแต่ไม่ใช่กระโดดราคาครั้งละหลายช่องโดยไม่มีการจับคู่ราคา(วันหน้าคุยเรื่องเปิดเก็ป ทางรถไฟสายขาดตอน) ยกเว้นช่วงเปิดตลาดและปิดตลาด ATO ATC) 4..ความเป็นไปได้ของการเคลื่อนราคาจะเป็นตัวกำหนด รูปแบบแท่งเทียนภายหลังดังนั้นแท่งเทียนจึงยังไม่สามารถบอกอนาคตนอกจากการรวมรูปแบบเท่งเทียนPattern หลายรูป(วิชาสถิติทางจิตวิทยามวลชนรวม และรูปแบบที่เกิดขึ้นมักเกิดซ้ำรูปในอนาคตเวลาใดเวลาหนึ่ง) 5..จากข้อ 4 จะทำให้เรามองกราฟถอยหลังไปและมองภาพเหตุการณ์วันนั้นในอดีตว่า เป็นอย่างใด ถ้าดูร่วมกับวอลุ่มจะมองเห็นความร้อนแรงหรือซึมช้า 6..เนื่องจากการเคลื่อนของราคาจะเป็นตัวกำหนดรูปแบบดังนั้นเวลาที่แบ่งเป็น 2 ช่วง (เช้าและบ่าย) จะทำให้เราต้องคาดคะเน ว่าค่าราคาสด(ราคาตลาดขณะนั้น) หากผ่านพ้นไปอีก 30 นาที น่าลงไปตัดค่า E5 E10E25 E50 E75 E100 หรือไม่ (ความน่าจะเป็นจะก่อตัวให้เห็นในช่วงเช้า อาธิช่วงเช้าราคาทุกราคาที่ผ่านยังไม่มีราคาใดต่ำกว่าราคาเปิดและมาถึงเที่ยงราคาปิดเที่ยงก็สูงกว่าราคาเปิดหลายช่องราคาดังนั้นเวลาบ่าย 15.30 น หากยังดำเนินเหตุการณ์เช่นนี้ราคาจะปิดตลาดจะต่ำกว่าราคาเปิดเช้า น่าจะยากเราจึงเอาราคาเปิดมาประเมิณว่าเป็นราคาสูงกว่าหรือต่ำกว่า ค่าE ขณะนั้น ๆหรือไม่ เพื่อช่วยสนับสนุนการตัดสินใจการลงมือ ซื้อหรือขาย) เมื่อทำความเข้าใจ และเทียบรูปแบบแท่งเทียนอื่นดู จะเริ่มเข้าใจมากขึ้น อธิบายรูป เฉพาะแท่งเทียนรูปแท่งขาวยาว (สั้นเตี้ยยังไม่เกี่ยว คุณสมบัติแตกต่างกัน 555) 1..พักเที่ยงราคาอยู่สูงกว่าเปิดหลายช่องราคา2..จนถึงช่วงบ่าย ราคายังไม่มีต่ำกว่าราคาเปิด3..ประเมินให้เลวร้ายได้ว่า(ประเมินว่าราคาต่ำที่สุดของวันจะไม่มีต่ำกว่าราคาเปิดเช้า)เมื่อปิดตลาด4..ดังนั้นหากหุ้นตัวนี้เป็นช่วง กราฟเส้น Eเวลาน้อยกำลังจะตัด E เวลามาก(จะเป็นขาขึ้น) จึงพอตัดสินใจซื้อได้ ณ ราคาใด ๆ ที่สูงกว่าราคาเปิดได้ งง ไหมเนี่ย 555 งง ก็พัก คอยติดตามต่อไป
ผมจะยกตัวอย่างของรูปแท่งเทียน รูปแบบหนึ่งออกมาให้ดู ที่เรียกว่า แท่งขาวยาว ๆ ไส้บน (harami) ส่วนรูปแบบอื่นให้ท่านผู้อ่านไปลองขีด ๆ เขียน ๆ เอง ตามแนวคิดที่แนะในรูปแบบนี้ ดูรูปก่อน 1..แท่งเทียนแต่ละรูปแบบจะมีคุณสมบัติ ที่เพาะบ่มจากการซื้อขายตามเวลาที่กำหนด (เช่น Day = 1 วันต่อ 1 แท่ง Week = 1 สัปดาห์ต่อ 1 แท่ง) 2..คุณสมบัติแต่ละรูปแบบจะบ่งเส้นทางการเคลื่อนของราคาตามเวลากำหนด(ซึ่งข้างในยังแบ่งเวลาย่อยได้อีกเป็นชั่วโมงหรือ นาที ในรูปจะเห็น ราย 10 นาที และราย 30 นาที) 3..เส้นทางการเคลื่อนจะมีทางเลือกที่ smooth มากกว่า Zigzag หักฉาก (โอกาสZigzag น้อยกว่า นอกจากมีข่าวร้ายระหว่างเทรด หรือการปั่นราคารุนแรงหรือถูกบังคับขายฯลฯ) ค่า smoothมักหมายถึงราคาจะขยับไปทีละช่อง(จะเร็วหรือช้าอีกเรื่องหนึ่งแต่ไม่ใช่กระโดดราคาครั้งละหลายช่องโดยไม่มีการจับคู่ราคา(วันหน้าคุยเรื่องเปิดเก็ป ทางรถไฟสายขาดตอน) ยกเว้นช่วงเปิดตลาดและปิดตลาด ATO ATC) 4..ความเป็นไปได้ของการเคลื่อนราคาจะเป็นตัวกำหนด รูปแบบแท่งเทียนภายหลังดังนั้นแท่งเทียนจึงยังไม่สามารถบอกอนาคตนอกจากการรวมรูปแบบเท่งเทียนPattern หลายรูป(วิชาสถิติทางจิตวิทยามวลชนรวม และรูปแบบที่เกิดขึ้นมักเกิดซ้ำรูปในอนาคตเวลาใดเวลาหนึ่ง) 5..จากข้อ 4 จะทำให้เรามองกราฟถอยหลังไปและมองภาพเหตุการณ์วันนั้นในอดีตว่า เป็นอย่างใด ถ้าดูร่วมกับวอลุ่มจะมองเห็นความร้อนแรงหรือซึมช้า 6..เนื่องจากการเคลื่อนของราคาจะเป็นตัวกำหนดรูปแบบดังนั้นเวลาที่แบ่งเป็น 2 ช่วง (เช้าและบ่าย) จะทำให้เราต้องคาดคะเน ว่าค่าราคาสด(ราคาตลาดขณะนั้น) หากผ่านพ้นไปอีก 30 นาที น่าลงไปตัดค่า E5 E10E25 E50 E75 E100 หรือไม่ (ความน่าจะเป็นจะก่อตัวให้เห็นในช่วงเช้า อาธิช่วงเช้าราคาทุกราคาที่ผ่านยังไม่มีราคาใดต่ำกว่าราคาเปิดและมาถึงเที่ยงราคาปิดเที่ยงก็สูงกว่าราคาเปิดหลายช่องราคาดังนั้นเวลาบ่าย 15.30 น หากยังดำเนินเหตุการณ์เช่นนี้ราคาจะปิดตลาดจะต่ำกว่าราคาเปิดเช้า น่าจะยากเราจึงเอาราคาเปิดมาประเมิณว่าเป็นราคาสูงกว่าหรือต่ำกว่า ค่าE ขณะนั้น ๆหรือไม่ เพื่อช่วยสนับสนุนการตัดสินใจการลงมือ ซื้อหรือขาย) เมื่อทำความเข้าใจ และเทียบรูปแบบแท่งเทียนอื่นดู จะเริ่มเข้าใจมากขึ้น อธิบายรูป เฉพาะแท่งเทียนรูปแท่งขาวยาว (สั้นเตี้ยยังไม่เกี่ยว คุณสมบัติแตกต่างกัน 555) 1..พักเที่ยงราคาอยู่สูงกว่าเปิดหลายช่องราคา2..จนถึงช่วงบ่าย ราคายังไม่มีต่ำกว่าราคาเปิด3..ประเมินให้เลวร้ายได้ว่า(ประเมินว่าราคาต่ำที่สุดของวันจะไม่มีต่ำกว่าราคาเปิดเช้า)เมื่อปิดตลาด4..ดังนั้นหากหุ้นตัวนี้เป็นช่วง กราฟเส้น Eเวลาน้อยกำลังจะตัด E เวลามาก(จะเป็นขาขึ้น) จึงพอตัดสินใจซื้อได้ ณ ราคาใด ๆ ที่สูงกว่าราคาเปิดได้ งง ไหมเนี่ย 555 งง ก็พัก คอยติดตามต่อไป
หลักคิดของการวิเคราะห์รูปแท่งเทียนที่นำมาเสนอนี้ ห้ามนำไปใช้กับ ดัชนีต่าง ๆ (คนละทฤษฎี) เพราะราคาหุ้นถูกกำหนดด้วย ช่องราคา (spread) มีกฎบังคับแต่ดัชนี ไม่มีกฎบังคับ การใช้รูปแท่งเทียนมองสถานการณ์ ณ ขณะนั้น ๆในอดีต ค่าประเมิณต้องลดลงหรือมากขึ้นเป็นเท่าตัวเช่นแท่งเทียนขาวยาวไส้บน มีโอกาสเกิดเหตูการณ์ hi และ lo ได้หลายครั้ง ใน1 วัน แม้กค่าสูงต่ำจะมีมาก เช่น Hi สูงกว่า Lo 30 จุด ทั้งที่ดัชนี300จุด ดังนั้นจึงเกิดความเข้าใจผิดเสมอในกลุ่มชาวหุ้นมือใหม่ว่า ดัชนี บวก 1.5% หุ้นควร บวก 1.5% +-ไม่ใช่เลย คิดแบบนี้ได้เฉพาะหุ้นกลุ่ม market cap สูง ๆ ไม่กี่ตัวเท่านั้น นอกนั้น 400-500 ตัวไม่จำเป็น ส่วนการใช้กราฟแท่งเทียนกับดัชนีต้องมีค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่หรือเครื่องมืออื่นมาประกอบเป็นสำคัญ ดังนุนั้นเราแทบจะลบรูปแท่งเทียนได้เลยเมื่อต้องการวิเคราะห์รูปแบบราคา(หลายวันเกี่ยวกัน)แต่จะใช้แท่งเทียนเมื่อใช้ในการวิเคราะห์ลงมือแบบเก็งกำไรและหลักการลงมือเท่านั้น เมื่อไม่เอารูปแท่งเทียน เราสามารถเอาค่าเฉลี่ยกลาง หรือเฉลี่ยราคาปิดมาแทนรูปแท่งเทียนได้ดีกว่า แต่ทางปฎิบัติผู้คนถูกสอนให้ดูรูปแท่งเทียนของ index จนชินตาฝังสมองหมดแล้ว(ถ้าใครจะลองตั้งค่าแท่งเทียนให้มีสีเป็นสีพื้นทั้ง + และ - กลมกลืนไปแล้วมีปรากฎค่าราคาเฉลี่ยปิด หรือเฉลี่ยกลาง จะวิเคราหะและมองภาพดีกว่าลองดู
ใช้กราฟเล่นหุ้น คือเก็งกำไรอย่างเดียว ไม่ใช่ลงทุน
เครดิต - //www.stock2morrow.com/forums/showthread.php?t=4567--------------------------------------------------------------------------ใช้กราฟเล่นหุ้น คือเก็งกำไรอย่างเดียว ไม่ใช่ลงทุน
การใช้กราฟวิเคราะห์หุ้นมีมานาน (ไม่เล่าประวัติ) แต่โดยภาพรวมๆคือการหาคำตอบเกี่ยวกับราคาและเวลาบางเครื่องมือก็นับเอาปริมาณมาเกี่ยวด้วย ที่สุดของที่สุดคือการหากำไรโดยวิธีดูพฤติกรรมคนเล่นที่ผ่านเวลามา เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงผ่านการซื้อขายจ่ายเงินแล้ว(แม้ต้องรอ T+3ก็ให้ถือว่าเช็คไม่เด้ง 555)ดังนั้น กราฟจึงเป็นเครื่องมือเดียวที่อาศัยอดีตทายใจคนเล่นที่จะกระทำเกิดขึ้นในอนาคตแม้จะไม่อาจตอบว่าต้องเป็นเช่นที่คาดการณ์ตามกราฟ 100% ก็ตามแต่กราฟก็บอกให้รู้ได้ในระยะสั้นแม่นยามกว่าการวิเคราะห์ด้วยวิข้อมูลปัจจัย (วิธีปัจจัยมีข้อดีข้อเสียซึ่งกว่าจะพิสูจน์อาจต้องใช้เวลา อย่างน้อย 1 ไตรมาสและยังต้องพบกับการฉ้อฉลจากคนวงในที่เกี่ยวข้องกับกิจการรู้ข่าวดีกเก็บของก่อนประกาศผลงาน หรือปันผล ฯลฯกว่าที่ชาวหุ้นจะรู้และรีบซื้อ ราคาก็อาจขึ้นไปสูงจนไม่คุ้มค่าเสี่ยง )ส่วนการดูกราฟ ก้มีข้อเสียเรื่องความชำนาญการอ่านขาดการตั้งพารามิเตอร์(มิติเวลา) เรื่องที่ว่า มีคนทำกราฟ บอกได้ว่าคนทำกราฟเพื่อหลอกมวลชนนั้นโง่เขลาเก็บเล่ห์ฉ้อฉลไปทางด้านการเล่นวงในดีกว่า (ซึ่งก็ยาก แต่หากทำได้ก็กำไรง่าย ๆในเวลาเร็วๆ ) คนอ่านกราฟส่วนใหญ่มองข้ามเรื่องเวลา มักไปสนใจเรื่องราคานับแนวรับแนวต้าน หรือแม้กฎแห่งธรรมชาติที่ต่างชาติคิดมาก่อน เช่นเวลาของการนับ ฟิโบนาซี่ ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติของวงห่างก้นหอยเราจะเชื่อสนิทว่าทฎษฎีต่างๆ ใช้ได้ แต่ลืมไปว่ากว่าจะใช้จริงและกล้าลงมือปฎิบัติการซื้อขายด้วยเงินก้อนโต(ก็มั่นใจก็เอาเลย แต่หากยังชักเข้าชักออก ก็เหนื่อยเปล่า กำไรความแก่กลับมากว่าจะรู้ก็เข้าสู่วัยชราแล้ว เหมือนผม 555) อยากบอกว่าสำหรับตลาดเล็ก ๆแบน ๆ แบบตลาดหุ้นไทย ฟิโบนาซี่ใช้ยากหรือการนับคลื่นก็แม่นระยะหนึ่งอีกระยะก็เพี้ยนจนบรรดาอาจารย์เองเกือบเจ้ง ตลาดบ้านเรายังไม่สัมบูรณ์ ถ้าจะให้คะแนนคงได้แค่ 55 - 60 ส่วน 100 การใช้กราฟจึงต้องใช้อย่างชาญฉลาดและพิศดารมากขึ้นคำว่าพิศดารจึงการเป็นเรื่องโกหกตอแหล ไม่จริงไม่เที่ยงไม่ใช้วิทยาศาสตร์แต่ความจริงโลกเราเป็นเช่นนั้น ความไม่เที่ยงคือความแท้จริง การใช้กราฟจึงควรเอาเรื่องเวลามาคิด เป็นหลักแรก ใครที่เล่นแน๊ตฯ (netsattlement) ต้องตั้งค่าเวลาเปลี่ยนแปลงเร็วกว่าคนที่ใจไม่ชอบเสี่ยงคนที่คิดว่าจะซื้อครั้งละมาก ๆ แล้วถือยาว ๆก็ต้องตั้งค่าแปรเวลายาวนานออกไป แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตารอเวลานั้น ๆมาถึงค่อยลงมือ ไม่ใช่รอถึง 4 เดือน ได้เวลาซื้อแต่ซื้อ เพียง 5 %ของพรอท(เสียเวลารอ ดูถูกเวลาชีวิตตนเองไม่มีค่า 555) คนเล่นสั้นหรือคาดว่าจะเล่นยาว ล้วนเป็นคนเก็งกำไร เก็งกำไรอนาคตทั้งสิ้นไม่ว่ากราฟหรือ ปัจจัย ก็ล้วนไม่ใช่สิ่งแน่นอน (ถ้า 100% จริงเชื่อว่าทั้งแผ่นดินทุกคนเลิกค้าขาย มานั่งเล่นหุ้นยิ้มระรื่นทุกคน No)(มีหลายท่านพูดถึงหุ้นที่มีปันหล คือหุ้นลงทุน แต่ลืมคิดถึงอัตราผลตอบแทนระหว่างส่วนต่างราคาหับปันหลที่รับ เรื่องนี้เป็นเรื่องยาวไว้แลกเปลี่ยนความคิดวันหน้า)
คนที่ตั้งกราฟเวลายาว ๆ เอาเส้นนั้นตัดเส้นนี้ แปลว่าซื้อได้ หรือตัดลงแปลว่าขายได้ อยากถามสักหน่อยว่า ได้ศึกษาละเอียดหรือเปล่า เช่นเหตุการณ์การตัดจะเกิดขึ้นเมื่อราคาถึงตรงไหนค่าทางคณิตศาสตร์(สูตร)ถึงทำงาน บางวันถ้าราคาหุ้นนั้นสวิงสูง(แกว่งมาก)เส้นที่ตัดบางทีตัดแล้วปล่อย ปล่อยแล้วตัดอีก แล้วจะขาย ณ ราคาใด?หรือซื้อ ณ ราคาใดดีเล่าเจ้าเอ๋ย ทุก ๆ ช่องราคาที่กำลังลังเลนั้นคิดเป็น% หรือขึ้นตามมากน้อยสัมพันธ์กับจำนวนหุ้นและบางครั้งค่าแตกต่างมากกว่าค่าปันผลทั้งปีแต่หากไม่ตัดสินใจลงมือซื้อหรือขาย ณ วันนั้น จะรอข้ามวัน อะไรจะเกิดขึ้นรู้หรือเปล่า ตอบว่า หากวันนั้นไม่ลงมือ พอข้ามวันเหตุการณ์จะเปลี่ยนเช่นราคาเปิดกระโดดสูง (ถ้าคิดจะซื้อก็จะรู้สึกอยากรออีกนิด อีกนิดและอีกนิดจะซื้อเมื่อราคาลงอีกหน่อย อีกหน่อย จะซื้อ แล้วก็ซื้อไม่สำเร็จข้ามไปอีกวันก็ซื้อไม่ได้ ทำให้การตั้งหน้ารอกราฟตัดมาเป็นเวลาแรมเดือนแรมปี เสียเวลาไป เรื่องเทคนิคการอ่านปราฟเพื่อตัดสินใจ ที่บ้านเราสอนๆกันเป็นการกางตำรานอกแล้วก็ให้รู้แบบนกขุนทองไม่มีใครคิดจะสอนวิธีการลงมือเมื่อกราฟเข้าสู่จุดตัดสินต้องอ่านขาดอย่างไรวันหลังจะเปิดสอน คิดค่าเรียนสูงๆ ซะเลย 555 ล้อเล่นแต่ก็ไม่ใช่ความรู้ที่จะเผยพร่ำเพรื่อเนื่องจากเป็นเทคนิคที่แม้เจ้าตำรำฝารั่งยังหวงแหนพอควร
'เล่นหุ้น" จาก5หมื่นเป็น17ล้านจากหุ้นใน10ปี...
ตามตารางด้านล่างนี้..มันก็ไม่ง่ายนักหรอก ความอดทนและการศึกษาหาความรู้ในตลาดหุ้นเป็นสิ่งที่ต้องมี..
วิธีการอ่านกราฟเทคนิคแบบง่ายๆ
วิธีการอ่านกราฟเทคนิคแบบง่ายๆ ก่อนอื่นคุณต้องมีแหล่งของกราฟ เช่น efinance yahoo etc.จากนั้นก็ควรมีโปรแกรม capture ภาพ เช่น snagit8,screen hunter4 etc.กราฟที่นิยมอ่านได้แก่ ชม วัน week month 1.ema5,ema10,bb avg มีความสัมพันธ์กันอย่างไร เช่น ema5>ema10.bb avg เป็นขาขึ้น ema5 2.rsi กับ moving ว่าตัดขึ้นหรือลง เข้าเขตoverbought(rsi>70) หรือ oversold(rsi<30) มี bearish หรือ bullish divergence หรือไม่ 3.macd กับ moving ของมันว่าตัดขึ้นหรือลง...การที่ macd ตัด 0 ขึ้นหรือลง...มี bearish หรือ bullish divergence หรือไม่ 4.di+,di-,adx ดูว่ามี trend ถ้า adx>=20....sideway ถ้า adx<20....di+>di-=uptrend....di+ 5.slow stochastic ว่า k% ตัด %d ขึ้นหรือลง...มี bearish หรือ bulliish divergence หรือไม่ 6.volume มากหรือน้อย มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร เทียบกับราคาและ indicator อื่นๆ ท้ายสุดจึงประมวลให้ได้ว่ากราฟเป็น sidewayหรือมี trendขึ้นหรือลง ก็ยังไม่แน่ใจว่าที่ผมพูดมาง่ายหรือยากแต่ที่แน่ๆผมเชื่อว่าไม่ยากแน่นอนถ้าท่านหมั่นฝึกฝนและมีความมุมานะโชคดีและสนุกกับการtradeหุ้นด้วยกราฟเทคนิคครับCredit : Stocktomorrow