'หัวใจ๋ข้า หัวใจ๋เจ้า ห้อยอยู่เก๊าเดียวกั๋น' *
*คลิกเพื่ออ่านคำแปลเจ้า :)

~ มาลัยสามชาย ~ ว.วินิจฉัยกุล





มาลัยสามชาย
ว.วินิจฉัยกุล / ประพันธ์
บริษัท ศรีสารา จำกัด / จัดพิมพ์



เรื่องย่อ :(จขบ.ย่อเอง) "ลอออร" เกิดมาในปลายรัชกาลที่ห้า มีชาติตระกูลที่สูงส่ง แต่ต้องกำพร้าแม่ตั้งแต่อายุยังน้อย
เมื่อแม่ตาย ลอออรติดตามคุณป้าเข้าวังถวายตัวเป็นคุณข้าหลวง

เธอได้พบกับ "ยศ พลาธร" ...ชายมาลัยดอกรัก...ชายแรกแห่งมาลัยชีวิตของเธอ ตั้งแต่ยังรุ่นสาว เพราะยศเป็นน้องชายของข้าหลวงรุ่นพี่ของเธอเอง
เธอแต่งงานกับยศเมื่ออายุเพียง ๑๗ ปี...มีชีวิตคู่ที่หวานชื่นดีในระยะแรกเริ่ม หากนานเข้าเธอก็ได้เรียนรู้ถึงนิสัยอันหยิบโหย่ง ฉาบฉวยของยศ ทำให้เกิดข้อขัดแย้งกันอยู่เนือง ๆ จนในที่สุดก็แตกหักเมื่อยศพา "ทองไพรำ" เข้ามาแทรกกลางระหว่างเธอกับเขา...

หลังจากนั้นไม่นาน ชายที่สองก็ก้าวเข้ามาในชีวิต...ชายมาลัยดอกโศก...เทพ ราชศักดิ์...(หรือพระยาโยธาบดีในกาลต่อมา) พ่อม่ายลูกติด ผู้มั่นคง แข็งแกร่ง และมีชีวิตอยู่ในกรอบเกณฑ์ตามแบบฉบับนายทหารผู้มีความจงรักภักดีต่อนายเหนือหัวยิ่งชีวิต...
ชีวิตคู่ของลอออรกับ "พี่เทพ" ดำเนินไปอย่างราบรื่น จนกระทั่งเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองในช่วงรัชกาลที่ ๗ ...พระยาโยธาบดีต้องตามเสด็จเจ้านายออกนอกประเทศและถึงแก่กรรมในที่สุด...ลอออรจึงต้องตกพุ่มม่ายเป็นหนที่สอง

เปิดโอกาสให้ชายที่สาม...ชายมาลัยดอกบานไม่รู้โรย...มาลัยจากเมืองเหนือ เจ้าหนุ่มผู้เป็นหมอทำคลอดให้กับบุตรสาวคนเล็กของเธอ...เจ้าดิเรกรุจ...แต่กว่าที่เธอจะตัดสินใจผูกร้อยชายสุดท้ายนี้เข้ากับมาลัยชีวิตของเธอนั้นก็มีเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมายเกิดขึ้น
ตลอดจนเงื่อนไขทางสังคมนานัปการที่กีดขวางความรู้สึกอันลึกซึ้งของเธอกับเจ้าหมอหนุ่ม...เงื่อนไขประการสำคัญที่สุดก็คือ...ความเป็น "คุณหญิงโยธาบดี " ของเธอนั่นเอง





(ส่วนตัว) เคยติดตามนวนิยายเรื่องนี้ บางบทบางตอนจากนิตยสารเล่มหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน...
แต่ความยืดยาวของเรื่องราวทำให้ห่าง ๆ ไปในระยะหลัง คิดในใจว่าเอาไว้รอรวมเล่มแล้วกัน

จนหนังสือรวมเล่มแล้วก็ยังคงลังเลอยู่ ด้วยความทั้งหนาและหนักของตัวหนังสือ ทำให้ผัดผ่อนอยู่เป็นเวลาพอสมควรทีเดียว...
แต่แล้วก็ได้หนังสือมาในที่สุด เมื่อต้น ๆ สัปดาห์ก่อน
หากในครึ่งแรกของเล่มก็ต้องอ่าน ๆ วาง ๆ เพราะติดภารกิจสำคัญอันเกี่ยวเนื่องกับเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา...

มาครึ่งหลังจึงได้อ่านแบบรวดเดียวจบ...
และจบไปสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อสักครู่นี้เอง
บอกได้คำเดียวว่า..."อิ่ม" เป็นที่สุด...
กับนิยายย้อนยุคที่ยาวเหยียดและเข้มข้นเรื่องนี้...
ท่านผู้ประพันธ์ไม่เคยทำให้ผู้อ่านที่ติดตามผลงานของท่าน
มาตลอดต้องผิดหวังเลยสักครั้ง

ท่านได้เกริ่นกล่าวไว้ในหน้าคำนำหนังสือว่า...

"...ชีวิตของคุณป้าจึงเป็นแรงบันดาลใจให้นวนิยายเรื่อง 'มาลัยสามชาย' กำเนิดขึ้นมา แต่ด้วยความเป็นนักเขียน ผู้เขียนก็ได้แต่งเติมเสริมต่อ ระบายสีจากชีวิตจริงของคุณป้าไปอีก เพื่อให้เกิดสีสันและรสชาติของนวนิยาย...ฯลฯ "


เป็นอันว่า...นิยายเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องราวที่มีเค้าโครงเรื่อง "อิง" ชีวิตจริงของผู้คนที่มีตัวตนจริง ๆ ในยุคสมัยที่ผ่านพ้นล่วงเลยไปแล้ว...
ว้าว... อ่านแล้วก็นึกถึง "ราตรีประดับดาว" ขึ้นมาโดยพลัน...แม้จะเป็นคนละเรื่องละราวกัน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะคิดเปรียบเทียบ...โดยเฉพาะตัวเอกของเรื่อง
แต่แม่เกดในราตรีประดับดาวกับลอออรในเรื่องนี้ก็มีวิถีชีวิตที่ค่อนข้างแตกต่างกัน แม้จะเกิดมา...อาจจะเรียกได้ว่าร่วมสมัยเดียวกัน...
ตรงที่แม่เกดเป็นเด็กสาวจากบ้านนอก มีชีวิตวัยเด็กที่อบอุ่นเป็นสุข เมื่อออกเรือนมีสามีเธอจึงยึดมั่นในคติชีวิตแบบ "ผัวเดียวเมียเดียว"
แต่ลอออรนั้น ถือกำเนิดมาในตระกูลที่สูงส่ง หากก็เติบโตมาอย่างเด็กกำพร้าแม่ ได้แลเห็นความทุกข์ตรมขมขื่นของผู้เป็นแม่เมื่อถูกสามีนอกใจ...จนตายจาก
ทำให้เธอไม่อาจทำใจยอมรับพฤติกรรมของสามีที่ออกนอกลู่นอกทางได้...
และเธอจะไม่ยอมปล่อยตัวเองให้ตกจมอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์เช่นเดียวกับมารดาของเธอเป็นอันขาด

นับว่าเธอได้สวนกระแสสังคมแห่งยุคสมัยนั้น ๆ ได้อย่างเข้มแข็งทีเดียว

อีกประการหนึ่ง คุณยศจากเรื่องนี้กับคุณนาถจากราตรีประดับดาวก็มีบุคลิกลักษณะที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงอีกด้วย...
"คุณยศ" เป็นชายหนุ่มเจ้าสำอาง เหลาะแหละ ฉาบฉวย ไม่ยอมทำงานทำการ แถมหูเบา ขี้อิจฉาอีกต่างหาก
นิสัยเช่นนี้ทำให้คนอ่านเกิดความเห็นอกเห็นใจลอออรจนถึงขั้นยุส่งให้เลิกรา และใจหายใจคว่ำ เกรงว่าจะใจอ่อนกลับไปคืนดีด้วยในตอนหลัง...

ผิดกับคุณนาถของแม่เกดที่แม้จะเจ้าชู้แต่ก็รับผิดชอบลูกเมียพอสมควร และเอางานเอาการ ปฏิบัติหน้าที่จนได้ดิบได้ดี
(แหะ ๆ ตอนอ่านราตรีประดับดาวก็ออกจะเกลียดคุณนาถ...แต่พอมาอ่านมาลัยสามชาย มาเจอผู้ชายแบบยศเข้า คุณนาถเลยดีขึ้นอักโข...)

หรือจะเปรียบเทียบตัวร้ายในเรื่องก็เห็นถึงความแตกต่างชัดเจน "เนื้อทอง" จากราตรีประดับดาวนั้นเป็นนางร้ายโดยสถานการณ์พาไป
เพราะต้องกลายมาเป็นเมียน้อยหลังจากที่คิดว่าตัวเองเป็นเมียคนเดียวอยู่ตั้งนาน เมื่อมาพบว่าแม่เกด เมียเดิมซึ่งเป็นเมียบ้านนอกเกิดจะเข้มแข็ง และครองตัวรอสามีอยู่อย่างอดทน ก็ต้องมีความหึงหวงจนเกิดการยื้อแย่ง ระรานกันเป็นธรรมดา

แต่แม่ทองไพรำจากเรื่องนี้เป็นหญิงคนชั่วโดยกมลสันดาน เพราะเกิดและเติบโตในซ่อง...ได้คลุกคลีอยู่กับความชั่วร้ายเสียจนไม่เกรงกลัวบาปกรรมใด ๆ ทั้งสิ้น

แม้เจ้าหล่อนไม่ได้ระรานหรือรังแกลอออรโดยตรง แต่ความประพฤติของเจ้าหล่อนก็ทั้งน่ารังเกียจและน่าขยะแขยง สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้คนโดยทั่ว





** อาจจะสปอยล์...

ด้วยความที่เป็นนิยายที่ยาวมาก ๆ ถ้าอ่านเป็นตอน ๆ ในขณะที่ตีพิมพ์ในนิตยสารก็อาจจะไม่สะดุดอะไรนัก
แต่เมื่อมาอ่านรวดเดียวแบบนี้ มันก็เกิดจะมีจุดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ชวนให้ขัด ๆ ใจอยู่บ้างเหมือนกัน
อย่างเช่นการเรียกขานชื่อตัวละครบางตัว...นับแต่นางเอกของเรื่องไปเลย ชื่อลอออรนั้นเป็นชื่อที่เสด็จทรงตั้งให้ เดิมชื่อลออเฉย ๆ ก็ไม่แปลกถ้าคนเป็นป้าจะติดเรียกแม่ลออ...
แต่ในตอนหลัง ๆ หลายครั้งที่ป้าจะเรียกแม่ลออบ้าง
แม่อรบ้าง ชวนงงเป็นยิ่งนัก

หรือตัวร้าย...แม่ทองไพรำ ที่ตอนแรก ๆ หลายคนก็เรียกนางไพ นางไพ ตัวเองหลายครั้งก็เรียกตัวเองว่าไพอย่างนั้นอย่างนี้ แต่มาช่วงกลาง ๆ จนถึงท้าย ๆ เล่ม คนที่เคยเรียกนางไพมาแต่ต้นก็เปลี่ยนเป็นเรียกนังทองมั่ง อีทองมั่ง...โอ๊ย...งง...


หรือจากแม่กิมลั้ง...(แม่เลี้ยงคนหนึ่งของยศ) ในหน้า ๑๐๖...ผ่านไปร้อยหน้าพอดิบพอดี ในหน้า ๒๐๖ เปลี่ยนชื่อเป็นกิมไล้เฉยเลย...แล้วก็เลยชื่อกิมไล้ไปจนจบเรื่อง...

อีกฉากหนึ่ง...ฉากสำคัญของเรื่อง...ตอนที่พ่อของนรินทร์พังประตูเข้าไปพบว่าลูกชายมาลักลอบเป็นชู้กับเมียน้อยตัวเอง...
ตอนต้นเหตุการณ์ (ซึ่งเป็นตอนท้ายของบทก่อนหน้า)ก็บรรยายไว้แล้วว่า..."...ถีบซ้ำอีกสองที บานประตูไม้ใส่กลอนไว้หละหลวม ก็เปิดผลัวะเข้าไป..." (ประตูถูกถีบเปิดออกแล้ว)...

แต่เหตุการณ์ตอนท้าย(อีกบทหนึ่งต่อมา) คือ..." เสียงแกร๊กดังที่ประตู เขาเหลียวขวับหันไปมอง ทองไพรำกำลังตะเกียกตะกายลนลานเปิดประตูเตรียมหนีออกไปข้างนอก..." เอ...หรือห้องนอนในบ้านเช่าหลังเล็กนั่นจะมีสองประตู ?


แต่ก็แค่จุดเล็ก ๆ น้อย ๆ ค่ะ แหะ ๆ ไม่ได้คิดจับผิดนะคะ แต่มันสะดุดจริง ๆ



( อ่านจบแล้วเพิ่งมาเห็นในหน้าปกในหนังสือระบุว่า...เป็น'หนังสือเล่มเล็ก'ลำดับที่ ๑๗๕...
ต้องหัวเราะกิ๊กทีเดียว...หนังสือเล่มทั้งหนาทั้งหนัก ความหนาถึง ๗๕๙ หน้า น้ำหนักสุทธิ ๑.๑๒ ก.ก. เนี่ยนะ...หนังสือเล่มเล็ก ! )















 

Create Date : 19 เมษายน 2551    
Last Update : 5 มิถุนายน 2552 11:52:42 น.
Counter : 12349 Pageviews.  

Rain : บันทึกรักฤดูฝน ~ 'อาพัชรินทร์ '





Rain : บันทึกรักฤดูฝน
'อาพัชรินทร์ '
สนพ.อักขระบันเทิง /พิมพ์ มิ.ย. ๒๕๔๖



เรื่องย่อ : "ดาว" หรือมาลีดาวแต่งงานกับคุณเรนเพราะรักในความดีของเขา ทั้งที่ตัวเองมีคนรักที่ลึกซึ้งอยู่ในใจ เป็นชายหนุ่มอีกคนหนึ่งที่รู้จักกันผ่านเครื่องมือสื่อสารยุคใหม่...อินเทอร์เน็ต...พี่ตฤณ
เธอหลงใหลได้ปลื้มกับถ้อยคำสำนวน ตลอดถึงท่าทีเป็นห่วงเป็นใยจากเขาทั้ง ๆ ที่ไม่เคยพบหน้า...จนในตอนหลังเธอได้มารู้ว่าเขามีครอบครัวแล้ว แต่กำลังมีปัญหาระหองระแหงกับภรรยา...เธอพยายามตัดใจจากเขา แต่ก็ยังเก็บเขาไว้ในซอกมุมแห่งความทรงจำ
เมื่อเธอตกลงแต่งงานกับคุณเรน ชายหนุ่มเจ้าของร้านดอกไม้ที่แสนจะโรแมนติกและรักเธอเหลือเกิน เธอคาดหวังว่าด้วยความดีของเขา เธอคงจะรักเขาได้ในวันหนึ่ง...แต่กว่าวันนั้นจะมาถึง เธอก็ได้เรียนรู้ว่า...ที่ผ่านมาเธอโง่งมเพียงใด...


ส่วนตัว : หนังสือเล่มเล็ก ๆ นี้วางอยู่บนชั้น ในส่วนของหนังสือแนว "วัยหวาน" ซึ่งปกติเราจะ...ระ ๆ สายตาผ่านไป ...เนิ่นนานพอสมควร
ทั้งชื่อเรื่อง ทั้งภาพปกตอกย้ำความเข้าใจว่า...ก็เป็นนิยายของนักเขียนหน้าใหม่วัยใสคนหนึ่ง ชื่อหนังสือเหมือนกับชื่อนักร้องดังชาวเกาหลีที่เด็ก ๆ กรี๊ดกร๊าดกันนักหนา...

เผอิญเมื่อวานนี้เพื่อนเก่าที่สนิทมากคนหนึ่งโทรมาคุยด้วย คุยกันเรื่องนู้นเรื่องนี้...
แล้วก็วกมาคุยเรื่องหนังสือหนังหา เขาก็บอกว่าชีวิตเขาตอนนี้เป็นเหมือนกับนางเอกนิยายเรื่องเรน...เราก็เอ๋อ...ไม่เคยอ่านง่ะ เขาก็เลยบอกว่า เป็นไปได้ไง ที่เราไม่เคยอ่านเรื่องนี้...เพราะเท่าที่เขารู้จักรสนิยมการอ่านของเราเขาคิดว่าเราน่าจะชอบงานของคนนี้นะ
เพื่อนบอกเราว่าสำนวนการเขียนของนักเขียนคนนี้ปน ๆ กันระหว่างสิริมา อภิจาริน กับช่อลัดา มาถึงนักเขียนรุ่นใหม่หน่อยก็ออกแนวคล้ายคุณปรายด้วยนะ...เป็นอันว่าจับนักเขียนคนโปรดของเรามาคละรวมกันเลยทีเดียว

เมื่อวางหูจากเพื่อน จึงหยิบหนังสือเล่มนี้ลงจากชั้น แล้วก็เริ่มต้นอ่าน...อ่าน ๆ ไปก็นึกบ่นว่าตัวเองในใจว่า ช่างตีกรอบให้ตัวเองจนทำให้เกือบพลาดงานเขียนดี ๆ เช่นนี้ไปเสียแล้ว...แล้วก็อ่านจบได้ภายในเวลาสองชั่วโมง

ผู้เขียนเรื่องนี้ออกตัวไว้ที่หน้าคำนำ ภายใต้หัวข้อ "คำคนฤดูรัก" ว่า

..."ฉันแอบนำสิ่งสุขของฉันสอดแทรกอยู่ในเรื่องราวบ่อยครั้ง ทั้งสายฝน ดอกไม้ และตัวละครบางตัวที่เคยโลดแล่นอยู่จริง...ในชีวิตของฉันเอง หนังสือเล่มนี้จึงเต็มไปด้วยความสุข...สำหรับฉัน ขณะที่บางคนอ่านแล้วบอกว่ามันเป็นความโศก สุขกับโศก...ต่างกันที่สายตาคนมอง
ฉันเพียงใคร่รู้ คุณจะมองมันด้วยสายตาแบบไหน ?"


ถ้าถามฉัน...ฉันอ่านแล้วโหยแทนเจ้าของบันทึกค่ะ ร่วมยินดีกับดอกรักที่กำลังจะเบ่งบานชูช่อ หากก็เศร้าไปกับเจ้าของต้นรักนี้ที่ไม่มีโอกาสได้แลเห็นความสวยสดงดงามนั้น

นิยายรักเหงา ๆ เศร้า ๆ เคล้าสายฝนนำมาชวนอ่านในวันฝนพรำค่ะ















 

Create Date : 08 เมษายน 2551    
Last Update : 5 มิถุนายน 2552 11:58:13 น.
Counter : 2058 Pageviews.  

~ ปราสาททรายในสายฝน ~ ดวงตะวัน





ปราสาททรายในสายฝน
ดวงตะวัน / เขียน
พิมพ์คำสำนักพิมพ์ / พิมพ์ ตุลาคม ๒๕๔๙

>> กีระดารา แด่เจ้าผู้เป็นหัวใจ






เป็นหนึ่งในเรื่องชุดธิโมส์ - - แผ่นดินแสงดาว --ที่ จขบ.อ่านไปแล้วทั้งหมด สี่เรื่อง ได้แก่ รักที่ริมทะเลเมฆ - - ดอกไม้และสายลม - - ปราสาททรายในสายฝน และ ผีเสื้อลายตะวัน - -ขาดเล่มแรกในชุดคือ รุ้งจันทร์ตะวันดาว กับเล่มล่าสุด บัลลังก์บุหลัน

หยิบเรื่องนี้มาบอกเล่าเพราะเท่าที่อ่านมา ชอบเรื่องนี้มากที่สุด (จริง ๆ แล้วก็ชอบทั้งหมดนั่นแหละ แต่เรื่องนี้ดูเหมือนจะครบรส เป็นเรื่องเป็นราวที่อยู่ในความสนใจของตนเองอยู่พอดีกระมัง ทำให้ประทับใจ)






ก่อนอื่นขอเท้าความถึงประเทศธิโมส์...
ฉากหลังของนิยายเรื่องนี้(เพียงเล็กน้อย)ก่อน...

ธิโมส์เป็นประเทศเล็ก ๆ ที่มีประวัติศาสตร์ยืนยาวมากว่าสองถึงสามพันปี
มีภูมิประเทศเป็นเกาะ แบ่งการปกครองเป็นหัวเมืองต่าง ๆ
มีเมืองหลวงคือ "อลากาส" และมี "ปันต์" เป็นผู้นำสูงสุด
ชาวธิโมส์มีภาษาของตัวเองคือภาษาธิมาส์
ชนเผ่าที่ใหญ่ที่สุดและรวบรวมชนเผ่าต่าง ๆ ในธิโมส์ให้ร่วมเป็นประเทศคือชนเผ่าครีราโมส์ ซึ่งสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นราชวงศ์ครีราโมส์ในเวลาต่อมา - -


"ปราสาททรายในสายฝน" เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่เมือง โอจา - - เมืองแห่งทิศตะวันออก ดินแดนแห่งสายฝนและเมืองคนดุ - -

เรื่องย่อก็เหมือนในโปรยปกหลัง...จึงขอยกมาจากตรงนั้นก็แล้วกัน....

เมืองโอจา ...ในวันที่ฝนตกหนักต่อเนื่อง เนินดินชายป่าในเขตพื้นที่บ้านของ บีแบลค - - หนุ่มมาเฟียผู้ทรงอิทธิพล - - เกิดการถล่มลง แผ่นหินหัก ๆ แผ่นหนึ่งผุดโผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน
จารึกโบราณบนแผ่นหินแผ่นนั้นนำ ตรีดามาส นักโบราณคดีสาวมายังที่ดินของชายผู้ซึ่งหวงแหนความเป็นส่วนตัวยิ่ง เพื่อค้นหา กีระดารา ปรสาททราย คำที่เป็นปริศนาสำหรับนักโบราณคดีธิโมส์มาทุกยุคทุกสมัย

ยิ่งค้นหาก็ยิ่งค้นพบเงื่อนงำชวนสงสัย...จารึกนั้นเป็นแผ่นหินปิดหลุมศพของเจ้าหญิงในประวัติศาสตร์ ที่ถูกนักรบเถื่อนแห่งโอจาลักพาตัวมาจริงละหรือ ?
ปราสาททรายที่เต็มไปด้วยเพชรนิลจินดาหลังนั้นมีอยู่จริงหรือไม่ ?

แต่ยิ่งตรีดามาสเข้าใกล้ความจริง เหตุร้ายก็เกิดขึ้นกับคนทั้งคู่ถี่ขึ้นทุกที ราวกับมีใครบางคนคอยบงการ ก่อนที่ความลับในหลุมขุดค้นจะถูกเปิดเผย...





ชอบมากกกกกกก....
ชอบอ่านจินตนิยายร่วมสมัยแบบนี้มาก ๆ เรื่องราวที่มาจากจินตนาการล้วน ๆ หากอิงกระแสโลกปัจจุบันได้อย่างกลมกลืนที่สุด
โดยเฉพาะสำนวนภาษาที่... อ่านแล้ว "เชื่อ" อย่างจริงจังว่ามีประเทศธิโมส์อยู่จริง ๆ และมีคนพูดภาษาธิมาส์จริง ๆ ไม่มุมใดก็มุมหนึ่งในโลกนี้
ผู้เขียนแน่นในข้อมูล และละเอียดลออกับรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ในเรื่องชนิดที่ไม่มีหลุดเฟรม...

อย่างตอนที่บีแบลคกลับไปบ้านแม่ ซึ่งอยู่คนละที่กับ "บ้านหิน" ของเขา...
"...เขาแลเลยออกไปด้านหลังเห็นสวนเล็ก ๆ และเห็นชายฉกรรจ์สองคนเดินเตร่อยู่ไม่ห่างจากกอดอกโมส์สีน้ำเงิน เบญาสีชมพู และนูนิสีเหลือง..."
อ่านแล้ว.....เห็นภาพกอดอกไม้กระจุ๋มกระจิ๋ม สีน้ำเงิน สีชมพู สีเหลือง...พราวอยู่ในหน้าหนังสือทีเดียว...แม้จะไม่รู้จักสักนิดว่าเจ้าดอกโมส์เอย ดอกเบญาเอย อีกเจ้าดอกนูนินั่น หน้าตาเป็นยังไง...

มีฉากการเข่นฆ่าล้างแค้น การแย่งชิงความเป็นใหญ่ทั้งด้านการเมืองและธุรกิจ (ตามแบบฉบับนิยายที่มีตัวเอกของเรื่องเป็นผู้มีอิทธิพล...)
เทียบเคียงไปกับการสืบเสาะหา "ความจริง" จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ค้นพบ ผู้เขียนสามารถร้อยเรียงเรื่องราวได้อย่างเข้มข้นน่าติดตาม...มีเกร็ดความรู้อันเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และโบราณคดีสอดแทรกอยูตลอดทั้งเรื่อง...

บทจะหวาน...คนเถื่อนอย่างบีแบล็คก็หวานได้อย่างมีเสน่ห์ และแสนจะอบอุ่นโรแมนติกนักหนา...ทำเอาคนอ่านอยากจะกลายร่างเป็น "ตรีดามาส" กันเป็นแถว...

"ผมเคยบอกคุณแล้วหรือยังนะตรี ว่าผู้ชายเผด็จการก็มีหัวใจ แล้วต้องให้ผมบอกด้วยหรือเปล่าว่า หัวใจมีเอาไว้เพื่ออะไร..."

"ตรี" คือคำที่บีแบล็คใช้เรียกขานตรีดามาส...
ตรี ที่นอกจากจะมีความหมายว่า หญิงสาวแล้ว ยังมีความหมาย(โดยเฉพาะในนัยของการเรียกขานนี้)ว่า "เจ้าหญิง"...
ฟังแล้วให้ความรู้สึกนุ่มนวลและอ่อนหวานเหลือเกิน...

"...คุณสนใจหลุมศพ มัมมี่ แผ่นหิน คุณเข้าอกเข้าใจประเพณีวัฒนธรรมของชาวบ้านทั่วธิโมส์ คุณพร้อมจะฟังคำพูด เรื่องเล่าของชาวบ้านทุกคน ...ถ้าคุณจะเพิกเฉยต่อหัวใจของผมก็คงเกินไปละ คุณต้องมีเหตุผลที่ดีพอมาบอกผมนะตรี ไม่งั้นผมไม่ยอมแน่"

อื้อหือ...อ่านแล้วไม่อยากวางเลยทีเดียว

**แถมท้ายอีกนิด...ถ้าเราอ่านนิยายชุดนี้ครบทุกเล่ม
เราคงพูดภาษาธิมาส์ได้แน่ ๆ ...
ว้าว...ชักอยากไปเที่ยวธิโมส์แล้วซี คุณผู้เขียนน่าจะจัดทัวร์พาคนอ่านไปเที่ยวที่นั่นมั่งนะ จะจองเป็นคนแรกเลยเอ้า...!














 

Create Date : 24 มีนาคม 2551    
Last Update : 4 มิถุนายน 2552 14:59:02 น.
Counter : 3561 Pageviews.  

จาก..." เรือนศิรา" ถึง..."สะพานแสงคำ" ~ ปิยะพร ศักดิ์เกษม






"เรือนศิรา"
ปิยะพร ศักดิ์เกษม / เขียน
สนพ.ดอกหญ้า / จัดพิมพ์ ธันวาคม ๒๕๓๙


โปรยปกหลัง :

เรือนศิรา...
เรือนไม้สักทองทรงไทยล้านนา
อาณาจักรเก่าแก่สวยสมบูรณ์
ด้วยประวัติความเป็นมาอันยาวนาน
ที่แม่ของเธอเคยครอบครอง...
............................................
ความรัก... ความหลัง
ที่เธอเคยคิดว่าจบสิ้นไปแล้ว
เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งที่นี่
และหัวใจของเธอ...
ก็ถูกหล่อหลอมให้อ่อนละมุนลง
ภายใต้ร่มไม้ชายคาแห่งนี้
..............................................
เรือนศิรา...
ที่พักพิงของหัวใจที่เปี่ยมด้วยความหมายแห่งรัก






เรื่องย่อ :

พิมลพัทธ์ เป็นลูกสาวของคุณศิขรินที่เกิดกับอรพิม ภรรยาคนแรก เมื่อทั้งสองแยกทางกัน ศิขรินแต่งงานใหม่กับเจนจารีและลูกสาวอีกหนึ่งคนคือจารวีร์...
ส่วนอรพิมได้พาตัวเองพร้อมพิมลพัทธ์...ขณะยังอยู่ในครรภ์ไปพักพิงอยู่กับคุณพัทธ์...นักธุรกิจหนุ่มผู้ถีบตัวเองจากเด็กหนุ่มผู้ต้อยต่ำขึ้นมาเป็นนักธุรกิจแถวหน้าคนหนึ่งของเมืองไทย...ก่อนจากไปด้วยโรคร้าย
พิมลพัทธ์จึงเติบโตขึ้นมา มีชีวิตที่พรั่งพร้อม จากการเลี้ยงดูอย่างแสนรักจาก "แด้ดดี้" ของเธอ
พร้อม ๆ กับการถูกปลูกฝังความคิดปฏิเสธและต่อต้านผู้เป็นบิดาโดยสายเลือดอย่างศิขริน...อย่างลึก ๆ เงียบ ๆ

เมื่อวันหนึ่ง...ศิขรินและเจนจารีประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิต...ทิ้ง "เรือนศิรา" มรดกมูลค่านับล้านไว้ในความครอบครองดูแลของเธอ
รวมทั้ง "จารวีร์" น้องสาวต่างมารดา ซึ่งได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหนักจากอุบัติเหตุจน...แม้ไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสทางร่างกาย หากก็มีบาดแผลในใจจนเธอปฏิเสธการสื่อสารกับผู้คนไปชั่วขณะ...
ยิ่งไปกว่านั้น...หลังการเสียชีวิตของบิดา พิมลพัทธ์ยังได้รับรู้ความเป็นจริงอันน่าเจ็บปวดอีกอย่างหนึ่งก็คือ...
ผู้ชายคนที่เธอแสนรักอย่าง "เอริก" กลับกลายเป็นคนคนเดียวกับ "อริน" ลูกชายคนโตของเจนจารี...พี่ชายต่างบิดาของจารวีร์ที่มีสิทธิในการดูแลจารวีร์ร่วมกับเธอ
หนึ่งในผู้ต้องสงสัยที่สร้างสถานการณ์ต่าง ๆ...กระทั่งการมุ่งร้ายหมายชีวิต เพื่อขัดขวางการเข้าครอบครอง "เรือนศิรา" ของเธอ...





ถ้าเล่าต่อ ก็จะกลายเป็นสปอยล์เต็ม ๆ แล้วล่ะค่ะ...

ส่วนตัวอ่านนิยายเรื่องนี้ตั้งแต่หนังสือออกใหม่ ๆ นู่นทีเดียว รู้สึกชื่นชมนักเขียนหน้าใหม่ (ในขณะนั้น) อย่างคุณปิยะพรมาก ๆ ว่าเธอช่างสามารถต่อยอดพล็อตนิยายธรรมดา ๆ (เรื่องราวของความรัก ความหลังฝังความแค้น การแย่งชิงมรดก ความเข้าใจผิด ฯลฯ พล็อตแบบนี้เราว่ามันเป็นพล็อตพื้นฐานของนิยายนะ)
ให้เป็นเรื่องเป็นราวได้อย่างชวนติดตาม...(พอประมาณ...ด้วยรู้สึกว่า อ่าน ๆ ไป เหมือนจะเดาเรื่องราวล่วงหน้าได้ แต่ก็พอยอมรับได้ ด้วยสำนวนภาษาที่ใช้ละเมียดละไม และสละสลวย ทำให้อ่านได้เรียบลื่นไม่สะดุด...)
แม้จะมีรายละเอียดมาก (ไปนี๊ดดดด...นึง)...เหมือนจะพยายามสอดแทรกสาระและข้อคิดต่าง ๆ ตลอดจนลักษณะนิสัยใจคอของตัวละครลงในเนื้อหานิยายอย่างที่หลายคนบอก

แต่เราก็ไม่รู้สึกเบื่อหรือสะดุดแต่อย่างไร...
อาจจะด้วยสำนวนภาษาของเธอนั่นเอง

เรื่องเปิดตัวด้วยฝันร้ายของจารวีร์...แล้วก็พร่ำพรรณนาถึงความเป็นมาเป็นไปของตัวเด็กหญิงและมารดาของเธอ...เจนจารี...

เหมือนจะหลอกผู้อ่านนิด ๆ ให้คิดว่า เป็นเรื่องราวของเด็กหญิงโดยตรง...แต่หลังจากนั้นอีกไม่นานจึงค่อยเปิดตัว "พิมลพัทธ์" - นางเอก กับ "เอริก" - พระเอก ลูกเลี้ยงที่ศิขรินไว้ใจ มอบหมายหน้าที่ให้มาคอยติดตามความเคลื่อนไหวของพิมลพัทธ์...

มีบทผู้ร้ายผู้ดีอย่าง "ศานิต" ที่มาช่วยปูทางให้ผู้อ่านได้มองเห็นถึงนิสัยเอาแต่ใจจนเกือบเป็นแข็งกระด้างของนางเอก...
และบทนางอิจฉาแบบ "ทิชา" ที่มาเปิดช่องโหว่ให้เรามองเห็นความเปลี่ยนแปลงของนางเอก...โดยเฉพาะ...มโนสำนึกที่มีต่อน้องสาวร่วมบิดา...






เรื่องนี้เป็นเรื่องราวที่ต่อเนื่องมาจากเรื่อง "ใต้ร่มไม้เลื้อย" ซึ่งเรื่องนั้นจะบอกเล่าถึงเรื่องราวของคนรุ่นพ่อและแม่ของพิมลพัทธ์ (หนังสือหายไปแล้ว...ตามระเบียบ)...แต่ยังพอจำได้คร่าว ๆ ว่าพระเอกคือ "พัทธ์" เด็กหนุ่มผู้ทะเยอทะยานและเติบโตมาภาย..."ใต้ร่มไม้เลื้อย" ของนางเอก คืออรพิม
(แม่ของพิมลพัทธ์นั่นเอง)

นี่เป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของผู้เขียน ที่สามารถแตกแขนงของนิยายแต่ละเรื่องของเธอ แล้วร้อยเรียงออกมาเป็นนิยายเรื่องใหม่ที่แม้จะมีตัวละครที่ต่อเนื่องกัน
แต่ประเด็นของเรื่องราวและรายละเอียดที่นำเสนอจะแตกต่างออกไป...
อย่างค่อนข้างสิ้นเชิง...ตามความแตกต่างของบุคลิกของตัวละคร
และสถานการณ์ที่เกิดขึ้น...

เพราะหลายครั้งที่...เมื่ออ่านนิยายเรื่องหนึ่งจบลง ...บางทีเรายังรู้สึกผูกพันกับตัวละครอีกหลาย ๆ ตัวที่โดดเด่น
อยากรู้อยากเห็นความเป็นไปของเขาว่า...จะเป็นไปยังไงต่อไป...

และคุณปิยะพรก็สามารถสนองอารมณ์ตรงนี้ของผู้อ่านได้อย่าง...ชวนติดตาม















"สะพานแสงคำ"
ปิยะพร ศักดิ์เกษม / เขียน
พิมพ์คำสำนักพิมพ์ /จัดพิมพ์ มกราคม ๒๕๕๐


โปรยปกหลัง :

สะพานโค้งข้ามคูบัวหลากสี
ราวสะพานมีลวดลายเป็นเถาไม้เลื้อยเกี่ยวพัน
ลวดลายนั้นดูสดใสอร่ามเรือง
ด้วยสีเหลืองจัดราวทองคำนพคุณ

อีกฟากหนึ่ง...ด้านหลังต้นไม้หลากพันธุ์รกทึบนั้น
คือเส้นทางทอดไปสู่ที่ไหนสักแห่ง
และไม่ใช่เพียงพาไปสู่สถานที่เท่านั้น
หากพาไปสู่ผู้คนและเหตุการณ์มากมายด้วย !

สะพานแสงคำ...
สิ่งเชื่อมโยงระหว่างความรักกับความชัง
ความจริงกับความลวง อดีตกับปัจจุบัน...







เรื่องย่อ :

เมษาริน มีความผูกพันลึกซึ้งกับ 'เจ้าจันทร์แจ่มฟ้า' มาแต่เยาว์วัย เธอรับช่วงในการดูแลรับใช้ท่านมาจากผู้เป็นพ่อกับแม่อย่างเต็มอกเต็มใจอยู่ในต่างแดน...
เจ้าจันทร์แจ่มฟ้าได้รับมรดกจากเจ้ายายของท่าน เป็นครึ่งหนึ่งของ "คุ้มจักรคำ" ร่วมกับ จารวีย์ (เด็กหญิงจากเรื่องข้างบนนั่นแหละ)...
แต่ขณะนั้นจารวีย์ยังเด็กนัก ผู้ดูแลผลประโยชน์ให้เธอจึงเป็นพิมลพัทธ์กับอริน...

เมษารินติดตามเจ้าจันทร์แจ่มฟ้ากลับเมืองไทยเนื่องจากเจ้าได้ทราบข่าวเกี่ยวกับโครงการที่พิมลพัทธ์กับอรินจะดัดแปลงคุ้มจักรคำให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์...ซึ่งเจ้าไม่เห็นด้วย และคิดว่าจะมาระงับโครงการนั้นตามสิทธิ์ครึ่งหนึ่งของท่าน...

โครงการนี้มี "ภาสุ" (พระเอก)เป็นผู้ดำเนินการ...และแท้ที่จริงเมษารินเคยได้พบปะสนทนากับภาสุมาก่อนหน้านี้แล้ว ขณะที่เธอกำลังจับจ้องมองภาพเขียนของ "สะพานแสงคำ" ในแกลเลอรี่แห่งหนึ่งในกรุงลอนดอน...

เมษารินได้เข้าพักในคุ้มจักรคำ ในห้องนอนที่อดีตเมื่อกว่าร้อยปีมาแล้ว เคยเป็นห้องนอนของ "เจ้าเอื้อย" ...ในห้องนั้น มีภาพสะพานแสงคำแขวนติดผนังอยู่...

อาจจะด้วยภาพวาดนั้น หรือจะด้วยเหตุแห่งกรรมใด ๆ ก็ตามทำให้เมษารินเริ่ม "ฝัน" ว่าเธอได้ไปอยู่ร่วมสมัยกับ "เจ้าเอื้อย" ได้พูดคุยใกล้ชิดจนเกิดเป็นความผูกพัน...

พร้อม ๆ กันก็ได้รับรู้ถึงเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น ซึ่งแตกต่างจากแง่มุมที่เธอเคยได้ยินได้ฟังมาจากคำบอกเล่าของ "เจ้าจันทร์แจ่มฟ้า" มากมายเหลือเกิน...

'...หญิงสาวได้เห็นตัวเองกับเจ้าเอื้อยอีกหลายต่อหลายครั้ง...ทุกครั้งดูเหมือนเด็กน้อยจะโตขึ้นเรื่อย ๆ เป็นลำดับ !
เธอได้เห็นการเติบโตของเด็กคนนี้ไม่ต่างจากที่ได้มองย้อนกลับไปในอดีต แล้วได้เห็นตนเองค่อยเติบโตขึ้น
เธอได้รู้จักนิสัยใจคอและความคิด ของเจ้าเอื้อย ไม่ต่างจากการได้รู้จักตนเอง...'


กระทั่ง...วันหนึ่ง เมื่อเจ้าเอื้อยเติบโตขึ้นเป็นสาวรุ่น...ได้เผชิญกับชะตากรรมอันโหดร้ายและแสนเศร้า...
เธอก็พบว่า...เธอได้กลายเป็นเจ้าเอื้อยไปเสียเอง...ในความฝัน...ความฝันที่แจ่มชัดจนเธอไม่อยากจะคิดว่านั่นเป็นเพียงความฝัน...






โห...เรื่องย่อยาวววววว....มาก เห็นทีจะต้องพอ เดี๋ยวคนเขียนเขาจะค้อนเอา...
นิยายเรื่องนี้อาจจะเรียกได้ว่าเป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์ได้เหมือนกัน...
ถึงแม้ "เชียงพระคำ" หัวเมืองล้านนาเล็ก ๆ ในเรื่องจะเป็นเพียงเวียงวังที่ถูกจำลองขึ้น

แต่ผู้เขียนก็ได้บอกเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของเมืองนี้ควบคู่ไปกับประวัติศาสตร์ล้านนาที่น่ารู้ในช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครอง...
(ส่วนตัวสนใจและศึกษาเรื่องนี้มาพอสมควร เห็นได้ว่าผู้เขียนได้ทำการบ้านมาอย่างดีทีเดียว)

ผู้เขียนได้บอกเล่าถึงการรุกคืบของ "สยาม" นับแต่...พระเจ้าอินทวิชยานนท์เจ้าหลวงองค์ที่เจ็ดแห่งนครเชียงใหม่ถึงแก่พิราลัย...
เจ้าน้อยสุริยะ โอรสองค์ที่หกแห่งเชื้อตระกูลเจ้าเจ็ดตนขึ้นสืบต่อ...หากก็เป็นเพียงตำแหน่งเท่านั้น ด้วยเจ้าหลวงในตอนนี้ได้กลายเป็น "ข้าราชการสยาม" ขึ้นตรงต่อรัฐบาลสยามและกินเงินเดือนจากส่วนกลาง...เชียงพระคำแม้จะอยู่ปลายแถว แต่ก็พลอยกระเทือนไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้...

จะบอกเล่าความรู้สึกจากการอ่าน...ยังมิวายจะเล่าเนื้อหาของหนังสือแฮะ...

ชอบเรื่องนี้มาก ๆ มากกว่าเรื่องข้างบนหลายเท่านัก...อาจจะเป็นด้วยวิธีดำเนินเรื่องที่สนุก น่าค้นหาติดตาม
ในการข้ามเวลา ย้อนอดีตของเมษารินในเรื่องนี้ไม่ได้ออกแนว "เหนือจริง" จนเกินไปนัก...มันเหมือนกับการเลื่อนไหลของกระแสสำนึกที่เกาะเกี่ยวผูกพัน โดยมีปัจจัยหลักคือภาพวาดสะพานแสงคำ...สถานที่และสภาวะอารมณ์ของตัวเมษารินเองเป็นตัวเชื่อมโยง...ซึ่งผู้เขียนทำได้อย่างลื่นไหล...

ใครที่คาดหวังบทรักกุ๊กกิ๊กอาจจะผิดหวังนะคะ...เพราะเรื่องนี้ดูเหมือนว่า...ตัวละครเอกอย่างภาสุกับเมษาริน ก็มีบทบาทเป็นเพียง 'สะพาน' ทอดข้ามห้วงแห่งอคติอันเกิดจากความเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองได้รับรู้มาอย่างฝังลึกรวมถึงความภาคภูมิใจในสายบรรพบุรุษของตน...เท่านั้นเอง

แต่อย่างน้อยก็มีความรักอันลึกซึ้งระหว่าง "เจ้าเอื้อย" กับ "เจ้าภูแก้ว" หนุ่มสาวในภพอดีต...
กับความรักแสนหวานระหว่างพิมลพัทธ์กับอริน (จาก "เรือนศิรา")...มาช่วยเสริมให้เรื่องราวไม่หนักหน่วงจนเกินไป...





** เพิ่มเติมอีกเล็กน้อย นิยายในชุดนี้เริ่มตั้งแต่ "รากนครา" อันเป็นเรื่องราวย้อนยุค บอกเล่าถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมาของบรรพบุรุษในตระกูล "ศุษิระ" ที่สืบเนื่องโยงใยกัน มาถึงยุคปัจจุบันอย่างเล่มถัดมาคือ "ใต้ร่มไม้เลื้อย" และ "เรือนศิรา" ...จากนั้นก็มีเรื่องที่มี สาวน้อย "จารวีร์" เป็นตัวเอก..."ในบ่วงมนตรา" จนมาถึง"สะพานแสงคำ" เรื่องนี้ ...(อาจจะตกหล่น...แฟนคลับคุณปิยะพรช่วยเสริมได้นะคะ)
ถึงแม้ตัวละครจะเกี่ยวโยงกันแต่ทุกเรื่องก็มีเนื้อหาเรื่องราวที่เป็นเอกเทศ ไม่จำเป็นต้องอ่านทุกเรื่อง ก็รู้เรื่องได้.... แต่จขบ.ก็อ่านไปแล้วทุกเรื่อง แหะ ๆ จะมีชอบมากชอบน้อยแตกต่างกัน...อย่างที่เอ่ยชื่อมาทั้งหมด ณ ตอนนี้ยกให้
'สะพานแสงคำ' นี้แหละค่ะ เป็นที่หนึ่งในใจ

จึงนำมาชวนอ่านอย่างแรงอีกเล่มค่ะ !














 

Create Date : 19 มีนาคม 2551    
Last Update : 4 มิถุนายน 2552 15:00:59 น.
Counter : 19504 Pageviews.  

~ สวรรค์เบี่ยง ~ กฤษณา อโศกสิน



"สวรรค์เบี่ยง"
กฤษณา อโศกสิน / เขียน
(ปกนี้) สนพ.เพื่อนดี /พิมพ์


...เรื่องราวของความรักต่างชนชั้น จนแม้(หากอยากไป)สวรรค์ยังต้องอาศัยทางเบี่ยง...






เรื่องย่อ :

"ลีลา" กำลังจะเข้าพิธีแต่งงานกับคู่หมั้นหนุ่ม ในอีกห้าวันข้างหน้า แต่โชคร้ายนัก เธอและเขาประสบอุบัติเหตุ คู่หมั้นของเธอเสียชีวิต ในขณะฝ่ายคู่กรณีก็สูญเสียภรรยาเช่นกัน

นั่นทำให้ชะตาชีวิตของลีลาพลิกผัน...เธอตอบตกลงแต่งงานกับคุณคิด วรวัตต์ พ่อม่ายสูงวัยผู้ขับรถคันที่ชนเข้ากับคู่หมั้นของเธอ ด้วยเหตุผลหลักที่ฝังลึกในใจเธอก็คือ...เขาเป็นบิดาของ "คาวี วรวัตต์ " ชายหนุ่มที่เธอเคยหลงใหลได้ปลื้มในตอนที่ยังอยู่ในวัยรุ่น แล้วถูกเขาปฏิเสธด้วยการหยามเหยียด...

"คาวี" ลูกชายคนเดียวของคุณคิด เขาเป็นชายหนุ่มผู้เย่อหยิ่งยโส ถือตัวว่าเกิดมามีชาติตระกูล จึงทำให้มองผู้อื่นว่าต่ำกว่าตนอยู่ตลอดเวลา เมื่อมารดาเสียชีวิตลง เขาไม่เคยทำใจให้ยอมรับผู้หญิงอื่นให้มาแทนที่มารดาได้เลย เขาคิดเสมอว่า...ผู้หญิงเหล่านั้นล้วนแต่เข้ามาในชีวิตของบิดาเขาเพียงหวังหน้าตาและทรัพย์สินที่พ่อของเขามีมากมายเท่านั้น...
แต่ลึก ๆ แล้ว คาวีเป็นตัวละครที่มีปมซับซ้อน อ่อนไหวและเรียกร้อง...

"นาริน"...(นางเอก) เป็นน้องสาวของลีลา เธอเป็นหญิงสาวที่เข้มแข็งและมีความมั่นคงในอารมณ์ จนหลายครั้งที่ผ่านมาเธอต้องเป็นคนที่คอยเหนี่ยวรั้งพี่สาวอยู่เสมอ ....

เมื่อแต่งงานกับคุณคิดแล้ว ลีลาก็พาครอบครัวของเธอย้ายเข้ามาอยู่บ้านเดียวกับคาวี...

นั่นทำให้คาวีมีโอกาสได้เฝ้ามองนารินอย่างสนอกสนใจอยู่ลึก ๆ แม้ภายนอกจะแสดงอาการดูหมิ่นและหยามเหยียดอย่างเปิดเผย จนทั้งสองต้องประทะคารมกันอยู่เนือง ๆ ...

เมื่อคุณคิดถึงแก่กรรมในเวลาต่อมา ทั้งหมดก็ยังคงต้องอยู่บ้านเดียวกัน ด้วยพินัยกรรมใด้บังคับเอาไว้ นั่นเป็นเหตุให้คาวีเกิดอาการพาลรีพาลขวางไม่พอใจ...

ในที่สุด...วันหนึ่ง...จะด้วยอารมณแค้นเคืองอย่างที่แสดงออก หรือจะเป็นความรู้สึกลึกซึ้งภายในที่แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่รู้ชัด คาวีก็ลุแก้อารมณ์ขืนใจนาริน...

นารินหาเหตุออกจากบ้านไปอยู่ตามลำพัง ท่ามกลางความไม่เห็นด้วยของแม่และพี่สาว... ตลอดจนความรู้สึกผิดอยู่ลึก ๆ และเหมือนจะเป็นความคาดไม่ถึงของคาวี...เพราะเขาคิดว่านารินจะใช้โอกาสนี้เรียกร้องสิ่งต่าง ๆ จากเขา

หลังจากนั้นก็เป็นเรื่องราวที่พระเอกต้องติดตามง้องอนนางเอก ที่ใจแข็งเหลือเกิน จนคนอ่านต้องลุ้นตาม เพราะถึงตอนนี้ผู้เขียนก็ได้พยายามปรับนิสัยและความประพฤติของพระเอก บอกเล่าถึงเหตุจูงใจที่ทำให้เขากลายเป็นคนนิสัยเสีย ชอบดูถูกคน...จนคนอ่านจะเริ่มหันมาเห็นใจพระเอกแล้วล่ะ...

บางคนถึงกับเกิดอาการหมั่นไส้นางเอกแน่ะ...ว่าจะงอนอะไรกันนักกันหนา...เป็นงั้นไป...





อิงกระแสละครทีวี ขอหยิบนิยายเก่า ๆ เล่มนี้มาบอกเล่า ดักหน้าละครก็แล้วกัน
โดยปกติ จขบ.เป็นคนไม่ชอบดูละคร โดยเฉพาะละครที่ทำมาจากหนังสือที่เราเคยอ่านแล้วประทับใจ เว้นแต่จะวางตัวผู้แสดงได้ "ถูกใจ" คนดูขี้บ่นอย่างเรา ๆ
อย่างนิยายเรื่องนี้ เห็นว่าจะให้คุณแอนเป็นนาริน คุณน้ำผึ้งเป็นลีลา ซึ่งก็น่าจะโอเค ส่วนตัวชอบทั้งสองคนนี้...และน่าจะทำให้เรา "เชื่อได้"
แต่ยังไง๊ - ยังไงก็นึกภาพคุณเคนเป็นคาวีไม่ค่อยออกแฮะ...
เพราะตอนต้น ๆ น่ะคาวีร้ายกาจจริง ๆ ปากคอเราะร้าย เห็นเงินเป็นพระเจ้า ดูถูกผู้หญิงเป็นที่สุด...ฯลฯ
แม้ในตอนหลังผู้เขียนได้ปรับให้แล้วอย่างที่บอก แต่ส่วนตัวก็ยังคงรู้สึกว่านิสัยแบบนี้(ดูถูกคนอื่น) เป็นนิสัยที่น่าจะแก้ยากอยู่สักหน่อย ...

จำได้ว่าอ่านนิยายเรื่องนี้เมื่อนานมาก ๆ แล้ว และก็ยังคงหยิบมาอ่านได้เรื่อย ๆ เพราะคุณกฤษณาเขียนเรื่องนี้ได้ค่อนข้างฉีกจากแนวที่เธอเคยเขียนมาตลอด ...
เรื่องนี้สะท้อนสังคมในสมัยนั้น (น่าจะประมาณสามสิบปีล่วงมาแล้วนะ) พอสมคว รแต่ไม่หน่วงหนักหรือเครียดจนเกินไป หากก็ไม่เบาหวิวเป็นฟองสบู่เหมือนนิยายพาฝันเรื่องอื่น ๆ
เนื้อเรื่องอาจจะดูน้ำเน่านิด ๆ พระเอกข่มขืนนางเอก นางเอกท้อง...
แต่ในเรื่องเราจะได้เห็นถึงวิธีคิด และการตัดสินใจที่ต้องอาศัยทั้งหลักแห่งเหตุและผล และทั้งความรักเป็นปัจจัย

เรื่องราวไม่ได้มีตัวอิจฉามาตบตีกันลั่นจอ แต่ตัวละครทั้งหมดก็ต้องต่อสู้ฝ่าฟันเหมือนกัน
แต่เป็นการต่อสู้กับอารมณ์และความรู้สึกภายในจิตใจของตัวเองเป็นส่วนใหญ่...ซึ่งนั่นหมายความว่า...ถ้าเขาสามารถเอาชนะตัวเองจนชนะคนอื่นได้ เขาจะต้องเข้มแข็งมาก ๆ ...






(ที่จขบ.มีอยู่คือปกนี้ พิมพ์โดย สนพ.โชคชัยเทเวศร์ ปี ๒๕๓๕)













 

Create Date : 17 มีนาคม 2551    
Last Update : 26 มีนาคม 2551 21:30:47 น.
Counter : 7479 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  

แม่ไก่
Location :
ลำปาง Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 184 คน [?]




**หลังไมค์เจ้า**





Cute Clock Click!



เออสิ,มาอยู่ใยในโลกกว้าง
เฉกชลคว้างมาเมื่อไรไม่นึกฝัน
ยามจากไปก็เหมือนลมรำพัน
โบกกระชั้นสู่หนไหนไม่รู้เลย


รุไบยาต ~ โอมาร์ คัยยัม
สุริยฉัตร ชัยมงคล : แปล




Latest Blogs

~ท่านหญิงในกระจก/แสงเพลิง ~

~เพชรรากษส/อลินา ~

~มนตร์ทศทิศ/ราตรี อธิษฐาน ~

~เมื่อหอยทากมีรัก 1-2/"ติงโม่"เขียน/พันมัย แปล ~

~ให้รักระบายใจ/"ณกันต์"เขียน ~

~ผมกลายเป็นแมว/Abandoned/Paul Gallico เขียน(ภูธนิน แปล) ~

~พ่อค้าซ่อนกลรัก & หมอปีศาจแสนรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~

~อาจารย์ยอดรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~

~จอมโจรพยศรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~


สารบัญหนังสือ: รวมลิงก์หนังสือที่รีวิวในบล็อก # ๑ + ๒



Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add แม่ไก่'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.