'หัวใจ๋ข้า หัวใจ๋เจ้า ห้อยอยู่เก๊าเดียวกั๋น' *
*คลิกเพื่ออ่านคำแปลเจ้า :)

การล่มสลายของสถาบันครอบครัวที่ความรักไม่อาจเยียวยา ~ อรุณวดี อรุณมาศ






การล่มสลายของสถาบันครอบครัวที่ความรักไม่อาจเยียวยา
:นวนิยายเชิงจิตวิเคราะห์มนุษย์ในสถานการณ์อันตีบตัน
โดย อรุณวดี อรุณมาศ
(เล่มนี้)พิมพ์ครั้งที่ ๓ เมื่อ สิงหาคม ๒๕๔๐
โดย สนพ.ดอกหญ้า






นิยายที่ชื่อยาวที่สุด...(มั๊ง ?)ในจำนวนนวนิยายทั้งหมดที่เคยอ่านมา
อ่านแล้วก็อ่อนอกอ่อนใจ หนักหน่วงในใจจนยากที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดใด ๆ ได้
ทั้ง ๆ ที่เป็นนิยายขนาดสั้น ๆ แต่อ่านจนจบแล้วสะท้อนสะเทือนใจ คับข้องอยู่ในใจอีกเนิ่นนานทีเดียว


เรื่องย่อ : เป็นเรื่องเล่าเชิงบันทึก(ไม่)ประจำวันของเด็กสาวผู้หนึ่ง...
ผ่าน "ฉัน" ซึ่งไม่ปรากฏว่า...ชื่อเรียงเสียงไร...
(และถือเป็นนิยายที่แปลกและเก๋มาก ตรงที่ตัวละคร(สำคัญ ๆ )ในเรื่องไม่มีชื่อเลย...
คนเขียนเขียนได้เก่งมาก ๆ ไม่ต้องเสียเวลาประดิดประดอยตั้งชื่อตัวละครให้ยุ่งยาก...
คนอ่านก็สามารถอ่านได้รู้เรื่อง เข้าใจและก็อินได้ไม่ยาก)

"ฉัน" เปิดเรื่องของเธอด้วยความฝันอันชวนหลอน เป็นฝันร้ายที่เธอฝันซ้ำ ๆ กันอยู่หลายคืน - -
โดยเฉพาะในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา อันเป็นช่วงเวลาที่เธอพยายามฆ่าตัวตายหลายครั้ง
จากนั้นเธอก็เล่าถึงความเป็นมาของตัวเอง - - โดยย้อนเวลาไปนับตั้งแต่ปฏิสนธินั่นทีเดียว
เธอเป็นลูกที่พ่อไม่ยอบรับ และแม่ก็พยายามขับไส
แต่เธอก็หัวแข็งเกินกว่าที่แม่จะสามารถกำจัดเธอให้พ้นจากครรภ์ได้
เมื่อจำใจต้องคลอดเธอออกมา แม่ก็จำยอมต้องเลี้ยงเธอ...
อย่างดี...เท่าที่จะทำได้

ในวัยเด็ก...เธอต้องระเหเร่ร่อนไปอาศัยอยู่กับญาติคนนั้นคนนี้ ในขณะที่แม่ต้องไปทำงานต่างแดน
ถึงแม้พวกเขาไม่ได้ทำร้ายหรือรังแก แต่เธอก็ขาดความรักความอบอุ่นและการเอาใจใส่อย่างรุนแรง

ความรู้สึกถูกปฏิเสธ ถูกละเลย อ้างว้างและว่างเปล่าคงสั่งสมในตัวเธอมานับแต่วัยทารก
และถูกกดเก็บจนกรุ่นระอุได้ที่เมื่อเธอเติบโตขึ้นมาเป็นเด็กสาว...

ความว่างเปล่านั้นมันยิ่งใหญ่เสียจนเธอรู้สึกชืดชาต่อการมีชีวิตอยู่
เธอจึงต้องกระตุ้น หรือปลุกเร้าความรู้สึกตัวของตัวเองด้วยการทำร้ายตัวเอง
ด้วยวิธีอันน่าสยดสยองปนสะอิดสะเอียนเป็นอย่างยิ่ง - -
เป็นทั้งปลุกเร้าตัวเองให้ตื่นตัวและเป็นทั้งการเรียกร้องความสนใจจากผู้เป็นแม่ - -
ฯลฯ

คนเขียนใช้วิธีเล่าเรื่องราวสลับกันไปมาระหว่างชีวิต ความคิดของ "ฉัน" ในช่วงเวลาปัจจุบัน
ที่ต้องเทียวไปโรงพยาบาลเพื่อรักษาอาการทางจิตเวช
แล้วแฟลชแบ็คไปถึงเรื่องราวความเป็นมาเป็นไปในอดีต...บทเว้นบท...
แล้วเรื่องราวก็วนมาบรรจบกันในบทท้าย ๆ

โดยทิ้งค้างไว้กลางคันระหว่างการรักษาตัวของเธอกับการพยายามทำร้ายตัวเองอย่างไม่หยุดหย่อน...





ถ้าอ่านในวัยที่น้อยกว่านี้คงหยุดอ่านเสียกลางเล่มไปแล้ว ด้วยความพะอืดพะอมแกมเสียวสยองในความคิดพิลึกพิเรนทร์ของคนเล่า...

แต่...ในวัยวันที่ผ่านโลกมา ร่วม ๆ สองเท่าของอายุผู้เขียน - - (หรือ"ฉัน" ในเรื่องนั่นเอง)
ก็อ่านได้เรื่อย ๆ แบบใจหนึ่งก็ สงสาร เอาใจช่วย ถ้าอยู่ใกล้ ๆ จะไปกอดเขาหรือไม่ก็ไปอยู่เป็นเพื่อน...
อีกใจหนึ่งก็เห็นใจคนเป็นแม่นะ...ก็เขาเป็นได้แค่นั้น ทำได้แค่นั้น

ยังมีเด็กอีกมากมายหลายร้อยหลายพันคนที่เกิดมาไม่รู้จักหน้าผู้ให้กำเนิดเลยด้วยซ้ำ...

แต่ก็นั่นแหละนะ ถ้าเขาคิดได้เขาก็คงไม่เป็นแบบนี้


ขออนุญาตคัดลอกคำโปรยปกหลังที่คิดว่า...ย่อเรื่องราวได้สั้น กระชับมาแปะไว้ตรงนี้ด้วยก็แล้วกันค่ะ

แม่บอกว่าเธอทำให้แม่เป็นทุกข์
และต้องดิ้นรนเพิ่อความอยู่รอด
พ่อและญาติๆ ของพ่อต่างก็เกลียดเธอ
และผลักไสเธอสู่วิถีแห่งความเจ็บปวด
ไม่มีสิทธิ์ร้องขอสิ่งใด

ไม่มีอ้อมแขนแข็งแรงของพ่อ
ไม่มีอ้อมอกอบอุ่นของแม่
ไม่มีบ้านพักพิงยามว้าเหว่
มีแต่ผันร้ายตลอดคืน
แล้วเธอจะโหยหาสิ่งใด
การมีชีวิตอยู่ หรือ ความตาย





* จริง ๆ มีเรื่องราวอยากเล่า อยากพูดมากมาย เกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ แต่...
อ่านจบก็รู้สึกเหนื่อยและหดหู่มาก ๆ
**หนังสือเล่มนี้เข้ารอบห้าเล่มสุดท้ายชิงรางวัลซีไรต์ ปี พ.ศ. ๒๕๔๐ ด้วยค่ะ


**เชิญเลือกอ่านหนังสือเล่มอื่น ๆ ในบล็อกนี้ได้ที่... ~ สารบัญหนังสือในบล็อก ~ค่ะ






 

Create Date : 07 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 7 กรกฎาคม 2552 14:09:57 น.
Counter : 4573 Pageviews.  

หญ้าแพรก ดอกมะเขือ เรือน้อย ~ ว.วินิจฉัยกุล






หญ้าแพรก ดอกมะเขือ เรือน้อย
ว.วินิจฉัยกุล
พิมพ์ครั้งแรก กรกฎาคม ๒๕๔๖
โดย สนพ.เพื่อนดี






ช่วงนี้เป็นช่วงของการเปิดภาคเรียนใหม่หมาด...
เดือนมิถุนายนเป็นเดือนแห่งการไหว้ครู
แถวบ้านเราในตอนบ่าย ๆ เย็น ๆ มักจะเห็นเด็ก ๆนักเรียนพากันมาเดินท่อม ๆ หาหญ้าแพรก ดอกมะเขือ ดอกเข็มกันอยู่บ่อย ๆ

ทำให้นึกถึงนิยายเรื่องนี้ ซึ่งที่จริงอ่านไปครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน แต่หยิบมาอ่านอีกครั้ง ด้วยแรงบันดาลใจจากภาพที่เห็นดังกล่าวข้างต้นนั่นแหละ
กับจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่า เรื่องราวออกแนวน่ารัก ๆ ใส ๆ เบา ๆ ดี ฝีมือท่านอาจารย์ ว.วินิจฉัยกุลนี้
น่าเป็นเครื่องรับประกันได้ถึงความรื่นรมย์ที่จะได้รับจากการอ่าน...ในยามที่จิตใจกำลังต้องการการผ่อนพักได้เป็นอย่างดี





โปรยปกหลัง...

หอมไกลก้าวออกมาข้างหน้าทุกคน หล่อนยกสิ่งที่ถืออยู่ในมืออย่างทะนุถนอม
...เป็นกระทงสีเขียวสด ทำจากใบตอง ตกแต่งเป็นเรืออย่างสวยงาม ในลำเรือวางหญ้าแพรกมัดเป็นฟ่อนเล็ก ๆรูปร่างเหมือนตุ๊กตาหุ่นหลายตัว เรียงรายแทนผู้โดยสาร ดอกมะเขือสีม่วงอ่อนแซมประดับ พร้อมด้วยดอกเข็มสีแดงและขาวเสียบอยู่บนปลายเรือ
"วันนี้ถึงไม่ใช่วันครู แต่เป็นวันแห่งความสำเร็จของครู พวกหนูตั้งใจทำกระทงใส่หญ้าแพรก ดอกเจ็ม ดอกมะเขือใส่เรือน้อยมาให้ครูค่ะ เพราะครูเป็นเรือน้อย ที่ช่วยพาพวกหนูไปขึ้นฝั่งได้..."



*********


เรื่องย่อ : บัวบรรณ สาวน้อยวัยใสลูกสาวคนเดียวของนายทหารชั้นผู้ใหญ่
มีอุดมการณ์และความมุ่งมั่นเต็มที่ที่จะเป็นคุณครู
เธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยและเลือกเรียนครุศาสตร์ได้สมใจ
จากเด็กสาวชั้นม.ปลาย เมื่อก้าวเข้าสู่ระดับมหาวิทยาลัย เพื่อน ๆ ร่วมรุ่นของเธอหลายคนได้ปรับเปลี่ยนตัวเองตามกระแสสังคม เช่นการแต่งเนื้อแต่งตัวตามแฟชั่น เป็นต้น
แต่บัวบรรณยังคงยึดมั่นในหลักการของตัวเอง เธอแต่งตัวเรียบร้อย(ซึ่งกลายเป็นเชยนักหนาในสายตาเพื่อน ๆ )พูดจาเรียบร้อย...
ราวกับเป็นคุณครูแก่ ๆ สักคนหนึ่งมากกว่าจะเป็นเด็กสาววัยไม่ถึงยี่สิบ
บัวบรรณรู้จักพี่บู้ทด้วยอุบัติเหตุที่ทำให้เธอต้องเจ็บตัวทำให้เธอรู้สึกไม่ชอบหน้าเขาเลย
ถึงแม้เพื่อน ๆ จะพากันกรี๊ดพี่บู้ทนักหนาก็ตาม
พี่บู้ทเป็นรุ่นพี่ปีสี่ที่ทั้งห้าว ทั้งห่าม แถมพูดคำสบถคำซึ่งผิดจากสเป็กของบัวบรรณโดยสิ้นเชิง
เธอจึงคิดว่าต้องหลีกลี้หนีให้ไกลจากเขาให้มากที่สุด

แต่การณ์ก็ไม่เป็นดังใจคิด เมื่อมีเหตุให้เธอกับเขาต้องมาพัวพันชิดใกล้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเธอต้องทำหน้าที่เป็นครูฝึกสอนที่ต้องต่อกรกับเด็กม.ปลายจอมแสบ
ซึ่งสมาชิกคนหนึ่งในก๊วนเป็นน้องสาวคนเดียวของพี่บู้ทนั่นเอง...






แหะ ๆ เรื่องย่อแบบยาวอีกแล้ว...
แต่อ่านแล้วก็ชอบและมีความสุขมากจนอยากเก็บมาเล่าต่อน่ะค่ะ
นักอ่านนวนิยายหลายท่านคงจำนิยายยุคแรก ๆ เรื่อง "น้ำใสใจจริง" ของนักเขียนท่านเดียวกันนี้ได้...
ตอนอ่านนิยายเรื่องนี้ก็ได้อารมณ์ประมาณนั้นทีเดียวค่ะ
เพียงแต่สำนวนภาษา บทบาทของตัวละครย่อมมีการปรับเปลี่ยนไปบ้างตามยุคสมัย

ไม่น่าเชื่อว่าวันเวลาล่วงเลยไปกว่าสองทศวรรษอาจารย์จะยังคงเขียนนิยายที่บอกเล่าอารมณ์ความรู้สึกของเด็กวัยรุ่นได้อย่าง...อ่านสนุก ได้ทั้งความบันเทิงและสาระไปพร้อม ๆ กัน

เด็ก ๆ อ่านก็รู้สึกกุ๊กกิ๊ก...คิกคัก
ผู้ใหญ่(แบบเรา ๆ )อ่านแล้วก็หวนนึกถึงความหลังครั้งยังเป็นละอ่อนน้อย...
แล้วก็อมยิ้มอยู่คนเดียว


นำมาชวนอ่านวันนี้ วันที่โรงเรียนใกล้บ้านเค้ากำลังมีพิธีไหว้ครูกันอยู่พอดีเลยค่ะ
เสียงสวดบทไหว้ครูอันศักดิ์สิทธิ์
"ปาเจรา จะริยาโหนติ คุณุตตะรา นุสาสะกา..."
แว่วผ่านกำแพงโรงเรียน แม้จะลอยลมมาไกล ๆ
แต่ในใจเรากลับท่องตามได้อย่างชัดเจน...
เพราะจำขึ้นใจมาจนบัดเดี๋ยวนี้เลยทีเดียว




**เชิญเลือกอ่านหนังสือเล่มอื่น ๆ ในบล็อกนี้ได้ที่... ~ สารบัญหนังสือในบล็อก ~ค่ะ








 

Create Date : 18 มิถุนายน 2552    
Last Update : 18 มิถุนายน 2552 14:21:34 น.
Counter : 5913 Pageviews.  

คิดถึงทุกปี ~ บินหลา สันกาลาคีรี





คิดถึงทุกปี
รวมเรื่องสั้นของนักเขียนรางวัลซีไรต์
(ปี ๒๕๔๘ จากรวมเรื่องสั้น"เจ้าหงิญ")
บินหลา สันกาลาคีรี
(ปกนี้)พิมพ์ครั้งแรก มีนาคม ๒๕๔๑
โดย แพรวสำนักพิมพ์






เป็นหนังสือเล่มโปรดตลอดกาลอีกเล่มหนึ่งของจขบ.ค่ะ
สามารถหยิบมาอ่านซ้ำ ๆ ได้ไม่รู้เบื่อ
แต่ละครั้งที่อ่านก็จะซึมซับอารมณ์ที่หลากหลาย คละเคล้ากันไป

ผ่านเรื่องเล่าที่เล่าด้วยสำนวนละเมียดละไม เปี่ยมไปด้วยร่องรอยแห่งความฝันและจินตนาการ
บางทีตอกย้ำความคิดความเข้าใจของผู้อ่าน...
หากบ่อยครั้งก็สะกิดสะเกา ชี้แนะให้ผู้อ่านได้มองเห็นแง่มุมที่แตกต่าง
ทั้งในด้านที่งดงามและบิดเบี้ยว...ในการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิต

บ่อยครั้งกระตุ้นให้ขบ...คิด
และทวงถามถึงคำตอบ ที่เหมือนจะไม่จริงจังนัก แต่ก็ชวนคิด

ฯลฯ





ขออนุญาตหยิบยกบางบทบางตอนในหนังสือเล่มบางนี้มาบอกเล่า...
ย้ำถึงความประทับใจของจขบ.นะคะ

นับแต่หน้าคำนำของผู้เขียนเลยทีเดียว...อันเกี่ยวกับคำว่า... "คิดถึง"

'..........
ผมเชื่อว่าความคิดถึงคือยาชนิดหนึ่ง
แม้บางครั้งทำให้ใจเจียนคลั่ง แต่มันไม่มีทางเป็นยาพิษอย่างเด็ดขาด
เพราะมีแต่ใจที่คลั่งเท่านั้นจึงจะร้อนระอุ
เพราะมีแต่ใจที่ร้อนระอุเท่านั้น จึงจะดิ้นรนมีชีวิต
ชีวิตที่คึกคักมีชีวา........'



**********


หรือเรื่องราวของเจ้านกปรอดวัยเยาว์ ผู้ฝันใฝ่ถึงดอกฝ้ายทะเล
อันใคร ๆ ต่างเห็นว่า...มันคงมีอยู่เพียงในโลกจินตนาการของเยาววิหคเช่นเขาเท่านั้น...ใน "หัวใจนกปรอด"

'...โลกแห่งจินตนาการหรือ อะไรที่สวยงามล้วนถูกเหวี่ยงพ้นตัวให้อยู่ในโลกแห่งจินตนาการเท่านั้นหรือ...
เขาอยากตะโกนให้ลั่นว่า...มันอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงใบเดียวกันกับเรานี่แหละ
แต่ผู้ที่แสวงหายังเชลาและท้อถอยก่อนที่จะค้นเจอต่างหาก'



**********



มีเรื่องเล่าหักมุมที่คนอ่านอ่านแล้วแอบสะใจเล็ก ๆ อย่าง "งางอน"

หรือเรื่องเล่าแนวเสียดเย้ยสังคม...ที่ออกแนวจิกกัด
ประชดประเทียดให้พอแสบ ๆ คัน ๆ อย่าง "นครคนดี" ...
เมืองที่มีอนุสาวรีย์มากมายนับพัน...อนุสาวรีย์ของคนดี

"...ใครคิดว่าโลกไม่มีคนดีน่าจะไปที่เมืองนี้
แต่น้องเขียนมาว่า เวลายืนอยู่ตรงนั้นรู้สึกอย่างไนพิกล เพราะความจริงคือคนดีที่รายล้อมตัวตายหมดแล้ว..."


และผู้อ่านอาจจะจะได้อารมณ์ที่ใกล้เคียงและค่อนข้างคลับคล้ายกันจาก
"ตาหมาหมวก" และ "มหกรรมขายทอดตลาดที่ถูกที่สุดในโลก"


**********



มีเรื่องสั้นเชิงสัญลักษณ์ที่อ่านแล้วต้องฉุกคิดและหันกลับมาพิจารณาตัวเอง อย่าง "สัตว์ ๒ นอ"

"ถ้าแรดมันพูดกับคนรู้เรื่อง มันคงบอกว่า...มึงอยากได้นอกูนักก็ตัดไปเหอะ
ไม่ต้องฆ่ากูหรอก...
ในความเห็นของเรา นอคือคำสาปของแรด
สัตว์พันธุ์นี้ต้องตายจนเกือบสูญไปจากโลกแล้วก็เพราะไอ้สิ่งบ้า ๆ ที่แทบจะไม่ได้ใช้ประโยชน์นี่แหละ"
....................
"โลกนี้มีคนหลงตัวเองมากพออยู่แล้ว..."
"ก็อย่าให้นอมันยาวนักซีวะ...หมั่นดูแลให้สั้นเข้าไว้ ยาวเมื่อไหร่ก็ตะไบให้มันกุด ๆ ลงบ้าง...เอ...ฉันชักรู้สึกแล้วซีว่า ไอ้พันธุ์อย่างเรานี่ไม่ใช่สัตว์นอเดียวแน่ ๆ "
.................



**********



และเรื่องสั้นแนวซาบซึ้งโรแมนติกที่ชื่อเดียวกับชื่อหนังสือ... "คิดถึงทุกปี"
กับเรื่องราวความรักความผูกพันอันสืบทอดต่อ ๆ กันจากรุ่นสู่รุ่นอย่าง...
"งามแสงดาว"...

ที่อ่านทีไรก็อุ่นวาบในหัวใจได้ทุกที...

"...การที่เราทะนุถนอมคนที่เรารักมันเป็นเรื่องปกติ แต่การถนอมหัวใจคนที่เราไม่ได้รัก
ใครจะทำได้สักกี่คน" (คิดถึงทุกปี)


"...วันที่พาลูกชายไปหาพ่อ พ่อจะรู้ใช่ไหมว่าผมเข้าใจอะไรบางอย่างมากขึ้นแล้ว ...
ผมเห็นแก่ตัวไหมที่กำชับลูกชายแรกเกิดว่าอย่าได้ทิ้งผมไป...
ตอนที่ผมเกิดล่ะครับพ่อกำชับเช่นนี้กับผมหรือเปล่า...
แต่ผมไม่ฟัง ใช่ไหมพ่อ" (งามแสงดาว)



**********


หรือจะร่วมค้นหาคำตอบไปพร้อม ๆ กับชายหนุ่มนักโฆษณา
ผู้ต้องใช้ "ความคิด" ในการผลิตงาน...ใน "สารนาถ"



เรียกได้ว่ารวมเรื่องสั้นเล่มบาง ๆ อันประกอบด้วยเรื่องสั้น ๙ เรื่องนี้
ได้กอปรรวมรสชาติแห่งชีวิตเข้าไว้ด้วยกันอย่างครบครันเลยทีเดียว
ทั้งรักโรแมนติก เศร้าซึ้งสะเทือนใจ จุดประกายฝัน ขบคิดขบขัน บันดาลใจและให้กำลังใจ ฯลฯ

นำมาชวนอ่านอย่างแรงวันนี้ค่ะ





ชวนคุยท้ายบล็อก...
ส่วนตัวอ่านหนังสือเล่มนี้เป็นเล่มที่ ๓ ของนักเขียนคนนี้
(เล่มแรกคือ"หลังอาน" เล่มถัดมาคือรวมเรื่องสั้นชื่อ"ฉันดื่มดวงอาทิตย์")

ประทับใจตั้งแต่ชื่อหนังสือเป็นต้นไปเลยทีเดียว...

นับตั้งแต่รู้จักหนังสือเล่มนี้มา กว่าสิบปี เพื่อนสนิทแทบทุกคนที่ยังคงติดต่อกันผ่านสื่อโบราณ
แต่คลาสสิคอย่างจดหมายและโป้สการ์ด
เนื่องในวาระต่าง ๆ เช่นวันเกิดหรือปีใหม่เป็นต้น
จะได้รับคำลงท้ายจดหมายทุกฉบับว่า "คิดถึงทุกปี"
เป็นการบอกย้ำยืนยัน ทั้ง ๆ ที่แท้จริงแล้ว...เป็นที่รู้กันดีว่า อันความผูกพันนั้นมิพักต้องจำนรรจาแต่อย่างใด...


**เชิญเลือกอ่านหนังสือเล่มอื่น ๆ ในบล็อกนี้ได้ที่... ~ สารบัญหนังสือในบล็อก ~ค่ะ







 

Create Date : 12 มิถุนายน 2552    
Last Update : 12 มิถุนายน 2552 22:12:43 น.
Counter : 3379 Pageviews.  

ฉันมา ฉันเห็น ฉันเข้าใจ ~ รวมเรื่องสั้น โดย ชัชรินทร์ ไชยวัฒน์





ฉันมา ฉันเห็น ฉันเข้าใจ
รวมเรื่องสั้นและบทกวีคัดสรรในรอบ ๓๐ ปี
ของนักคิด นักเขียน นักหนังสือพิมพ์ร่วมยุคสมัย ชัชรินทร์ ไชยวัฒน์
พิมพ์รวมเล่มครั้งแรก มิถุนายน ๒๕๔๗
โดย แพรวสำนักพิมพ์







บางส่วนจากหน้าคำนำ

"ชัชรินทร์ ไชยวัฒน์ ได้ชื่อว่าเป็นมือหนึ่งในการเขียนเรื่องสั้น
แม้ว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาผลงานรวมเล่มของเขาจะมีไม่มากนัก
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเรื่องสั้นแต่ละเรื่องของเขาจะด้อยไปด้วย
ในทางตรงกันข้าม เรื่องสั้นแต่ละเรื่องของเขานั้นกลับมิใช่เรื่องสั้นที่อ่านจบแล้วจะจบไปเลย
เรื่องสั้นเรื่องหนึ่งของเขาก็คือคำถามข้อหนึ่งของผู้คน ของยุคสมัย กับสังคมที่ปรากฏต่อเรา...."


หนังสือเล่มนี้รวบรวมเรื่องสั้นของนักหนังสือพิมพ์(ในดวงใจคนหนึ่ง)ของจขบ.ไว้ถึง ๒๒ เรื่อง
และบทกวีคัดสรรทั้งร้อยแก้วร้อยกรองอีก ๒๓ บท
เรียกได้ว่า...จุใจคนชอบคมความคิดของชัชรินทร์เลยทีเดียว





แม้ว่าเรื่องสั้นหลายเรื่องจะคัดมาจากหนังสือรวมเรื่องสั้นเล่มอื่น ๆ อย่าง... "พญาโหงบนโลงแก้ว", "อิสรภาพและความตาย", "ด้วยศรัทธาฉันจึงเป็นอยู่" ....ฯลฯ ที่คนที่ติดตามอ่านงานของเขามาตลอดอาจจะเคยผ่านตามาบ้างแล้ว
แต่เมื่อหยิบมาอ่านอีกครั้งในวันนี้ แง่คิดและประเด็นต่าง ๆ ที่เขาเปิดค้างไว้ในเรื่องสั้นแต่ละเรื่อง หรือบทกวีแต่ละบท ยังคงทวงถามคำตอบปัจจุบันจากเราอยู่อย่างเงียบ ๆ หากรุกเร้า
ซึ่งคำตอบต่อคำถามเหล่านั้นอาจจะเปลี่ยนแปรไปตามการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยและสังคม...และแน่นอนตามจิตสำนึกของแต่ละคน

ขออนุญาต'เล่า' เรื่องสั้นเรื่องหนึ่งที่...อ่านแล้วอึ้ง (จริง ๆ แล้วก็ค่อนข้างอึ้งและทึ่งเกือบทุกเรื่องน่ะแหละ แต่พูดง่าย ๆ ว่า...'อิน' เรื่องนี้มากที่สุดก็แล้วกัน...)
เรื่อง "คนอ่านหนังสือ"
เรื่องสั้นบอกเล่าถึง 'ศรี' เด็กหญิงผู้หนึ่งซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของผู้เขียน
ศรีถูกส่งให้มาอยู่กับครอบครัวของผู้เขียน...ซึ่งขณะนั้นมีวัยเพียง ๑๑ ปี ในขณะที่ศรีเริ่มย่างเข้าสู่วัยสาวด้วยวัย ๑๔ ปี
ศรีถูกเคี่ยวเข็ญให้หัดอ่านหนังสือ ด้วยคำกล่าวที่ใคร ๆ (รวมทั้งผู้เขียนซึ่งมีวัยที่น้อยกว่าเธอ)พูดใส่หน้าเธอว่า "ถ้าเธอไม่รู้หนังสือ โตขึ้นเธอจะเป็นควาย"
ศรีเบื่อการอ่านหนังสือแต่เธอก็ไม่อยากโตขึ้นไปเป็น "ควาย"
ในช่วงหนึ่ง ผู้เขียนกำลังยุ่งอยู่กับการเรียนของตัวเองจนลืมเลือนเรื่องราวของศรีไปชั่วคราว
อีกหลายปีต่อมา เมื่อเขากลับมาที่บ้านและพบว่าศรีเปลี่ยนแปลงไปหลังจากที่เธออ่านหนังสือ"คล่อง"แล้ว
ศรีไม่ใช่เด็กผู้หญิงที่เคยทะเลาะเคยเถียงกับเขาอีกต่อไป....
เธอกำลังอ่านนวนิยายที่ตีพิมพ์เป็นตอน ๆ ในนิตยสารรายสัปดาห์อยู่อย่างติดพัน
..........
ในตอนท้าย ขณะที่ผู้เขียนกำลังขะมักเขม้นอยู่กับการเตรียมสอบเพื่อเข้าเรียนต่อ...
เขาก็ได้รับรู้ถึงชะตากรรมของญาติผู้พี่ของเขา ซึ่งคล้ายคลึงกับชะตากรรมของนางเอกนวนิยายเรื่อง "รักสลาย" ที่ศรีกำลังติดตามอ่านอยู่นั่นเอง
...............





ชวนคุยท้ายบล็อกค่ะ
ปกติแม่ไก่ไม่ค่อยรีวิวหนังสือที่เป็นรวมเรื่องสั้นสักเท่าไหร่ แต่พักหลัง ๆ นี่เกิดภาวะ"งานเข้า" ทำให้ไม่ค่อยมีสมาธิพอที่จะอ่านหนังสือที่เป็นเรื่องราวต่อเนื่องกันยาว ๆ ได้
หนังสือที่ถึอติดมือ ติดกระเป๋าในช่วงนี้จึงเป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นหรือไม่ก็เป็นพ็อกเก็ตบุ้คเล่มบาง ๆ เสียเป็นส่วนใหญ่...
อ่านจบไปหลายเล่มแต่ก็ไม่ค่อยมีเวลาที่จะเก็บมาบอกต่ออีกนั่นแหละ

แต่ตอนนี้...ฟรีแล้วค่ะ
ช่วงนี้คงมีเวลามาอัพบล็อกถี่ ๆได้เหมือนเดิมแล้วเสียที...เย๊...

หนังสือรวมเรื่องสั้นเล่มข้างบนนี่ลังเลอยู่นานว่าจะจัดเข้ากลุ่มไหนดี อยากจะเปิดกรุ้ปบล็อกใหม่เป็นบล็อกเฉพาะหนังสือรวมเรื่องสั้นเพราะยังมีหนังสือรวมเรื่องสั้นอยู่ในสต็อคอีกเพียบ แต่ก็...แหะ ๆ ไม่อยากให้สิ้นเปลืองทรัพยากรเว็บเค้า ก็เลยเอามารวมไว้ในหน้านิยายนี้ก็แล้วกัน เพราะจะว่าไป เรื่องสั้นก็คือเรื่องแต่ง ถือเป็นนิยายขนาดสั้นได้เหมือนกันนิ อิอิ





**เชิญเลือกอ่านหนังสือเล่มอื่น ๆ ในบล็อกนี้ได้ที่... ~ สารบัญหนังสือในบล็อก ~ค่ะ








 

Create Date : 11 มิถุนายน 2552    
Last Update : 11 มิถุนายน 2552 12:32:29 น.
Counter : 2948 Pageviews.  

เอลันตรา ~ ดวงตะวัน





เอลันตรา
ผู้แต่ง "ดวงตะวัน"
สำนักพิมพ์ดวงตะวัน / จัดพิมพ์
(ครั้งแรก ตุลาคม ๒๕๕๑)

~จำหลักรักไว้ ณ รอยกาล ~






เรื่องย่อ (จากเว็บ สนพ.ดวงตะวัน

ริมทะเลทางตอนใต้ของอลากาส บนผาหินสุดชายหาดด้านตะวันออก คือที่ตั้งของ “ศาลแม่เจ้าเอลันตรา”
รูปเคารพศักดิ์สิทธิ์ซึ่งไม่มีใครรู้ประวัติที่มาอันแท้จริง ภาพสลักโบราณนั้นยืนยงข้ามกระแสกาลมานานนับพันปี
แม้เปลี่ยนรูป ผิดเพี้ยนไปจากเดิมจนแทบไม่เหลือเค้า หากคุณค่าความสำคัญยังคงอยู่...
อย่างน้อย ก็ในหมู่คนครีราโมส์สาย “เอลันตรา” ผู้สืบทอดเชื้อสายมาจาก อินทัต ครีราโมส์
หรือ “อินทัต เดอะเซกั้นคิง” น้องชายฝาแฝดของกษัตริย์เรทัตผู้ยิ่งใหญ่
ไม่มีใครรู้ว่า “เอลันตรา” คืออะไร หรือเป็น “ใคร” กันแน่
คือรูปสลักบนผาหิน อนุสรณ์แห่งความรักนิรันดร์
คือชายาเชลยผู้ไม่มีใครรู้หัวนอนปลายเท้า หากกุมหัวใจและมีอิทธิพลต่ออินทัตเกินกว่าใครจะคาดคิด
คือ “ศาสดา” ของศาสนาใหม่ที่อินทัตเปลี่ยนไปนับถือแทนเฮกัล เธมส์ และกูตูร์ สัญลักษณ์แห่งความเพี้ยนในช่วงบั้นปลายชีวิต

เหนืออื่นใด คือกูตูร์ภาคผู้หญิง นางคนชั่วร้าย นางผู้สามานย์...
ที่มอมเมาชักจูงให้อินทัตผิดใจกับเรทัตผู้เป็นพี่ชาย กระทั่งทำให้ราชวงศ์ครีราโมส์แตกออกเป็นสองสาย คือสายบุหลันกับเอลันตรา

...ไม่มีใครชี้ชัดลงไปได้ว่า เป็นเพราะบันทึกที่หายสูญ กาลเวลาที่ผันผ่านนานเนิ่น
หรือความขัดแย้งร้าวลึกระหว่างพี่น้องอันเกิดจาก “นางผู้นั้น” กันแน่
ที่ทำให้เรื่องราวของ “เอลันตรา” ถูกลบเลือนหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ธิโมส์

“ดวงตะวัน” จะพาเราย้อนกลับไปยังธิโมส์ในอดีตอีกครั้ง กลับสู่คืนวันของ “เอลันตรา” เพื่อหาคำตอบนั้นร่วมกัน
เพราะคงจะมีเพียง อินทัต ครีราโมส์ ชายหนุ่มผู้มีชีวิตอยู่เมื่อสามพันปีก่อนเท่านั้น
ที่จะรู้ว่า “เอลันตรา” คืออะไร คือใคร...และมีความหมายยิ่งใหญ่ต่อหัวใจของเขาเพียงใด






ชวนคุยหลังอ่าน...
สีลาสิราค่ะ...เพื่อน ๆ ชาวแผ่นดินแสงดาวทุกท่าน...!

(ก่อนอื่น...หากท่านต้องการทราบประวัติความเป็นมาคร่าว ๆ ของแผ่นดินแสงดาวล่ะก็...เชิญได้ที่บล็อก"ปราสาททรายในสายฝน"ค่ะ)

"เอลันตรา" นับเป็นเรื่องราวล่าสุดของนิยายชุดธิโมส์ - - แผ่นดินแสงดาว นี้...
ที่ผู้เขียนได้บรรจงสอดร้อยจินตนาการ ถักทอเป็นเรื่องเล่าแห่งความรักที่แสนจะตราตรึงใจ

จำได้ว่าเมื่อครั้งบอกเล่าเรื่องราว ความเป็นมาเป็นไปแห่งสายสกุล"ครีราโมส์" อันยิ่งใหญ่ใน ณ ที่ดาวพราวพร่างรัก นั้น
ส่วนตัวปิดท้ายไว้ว่าผู้เขียนได้ขมวดปมทิ้งไว้ให้คนอ่านคาใจเล่น ๆ อยู่...โดยเฉพาะปมที่เด่นชัดที่สุดก็คือ...
การหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยของ "เอลัน" - - ทายาทหญิงคนเดียวแห่งสกุล "ครีราโมส์"นั่นเอง

ซึ่งนั่นเป็นเรื่องราวของธิโมส์ในยุคปัจจุบัน ทั้งตัวละครและฉากของเรื่องก็โลดแล่นอยู่ในยุคของการต่อสู้ขัดแย้งและแก่งแย่งแข่งขันทางการเมือง
เช่นเดียวกับทุก ๆ ประเทศเสรีทั่วโลก
แต่ธิโมส์ก็เป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ ซับซ้อนและยาวนาน
ที่ถูกจดจารจารึกไว้ให้ผู้คนในยุคหลัง ๆ ได้สืบเสาะค้นหาและเรียนรู้...
หากด้วยเวลาที่ล่วงเลยมานับพัน ๆ ปี อาจทำให้เรื่องราวเหล่านั้น "บิดเบี้ยว" และแปรรูปไป...

หลังจากการเปิดตัว "กาย กานาเมซ" นักรบผู้ยิ่งใหญ่อย่างคลุมเครือ
ผ่านนักโบราณคดีสาว 'ตรีดามาส' ใน "ปราสาททรายในสายฝน"แล้ว...
ด้วยตระหนักถึงธรรมชาติแห่งความ'อยากรู้อยากเห็น' ของมนุษย์...อย่างเรา ๆ ท่าน ๆ
คุณดวงตะวันก็ไม่ทำให้ผู้อ่านของเธอผิดหวัง
ด้วยบทเฉลยถึงความยิ่งใหญ่และงดงามอลังการของการกอปรรวมแผ่นดินแสงดาวในยุคแรกเริ่ม ใน"ผีเสื้อลายตะวัน" และ"บัลลังก์บุหลัน"

ซึ่ง...จากทั้งสองเรื่องที่กล่าวถึงข้างบน (และอีกหลาย ๆ เรื่องในชุดนี้)
ส่วนตัวก็ชื่นชมในจินตนาการอันบรรเจิดของผู้เขียนเป็นอย่างยิ่งแล้ว...
เพราะผู้เขียนได้เนรมิตแผ่นดินแสงดาวขึ้นมาจนเราเชื่อสนิทใจว่า...
ดินแดนนี้...มีอยู่จริง...ไม่มุมใดก็มุมหนึ่งบนแผนที่โลก...
เธอได้บอกเล่าให้เราทำความรู้จักดินแดนแห่งนี้อย่างละเอียดลออ...ทั้งความเป็นมาเป็นไป...
จนเราสามารถจินตนาการตามเธอ...และมองเห็นภาพความงดงามและ ยิ่งใหญ่ของภูมิประเทศ
ธรรมชาติ ตลอดถึงวัฒนธรรม ภาษา และผู้คน ...บนแผ่นดินแห่งนี้

แต่ใน "เอลันตรา" ผู้เขียนได้พาเราไปสัมผัสดินแดนแห่งนี้อีกครั้งด้วยวิธีการที่แปลกและแตกต่างจากเดิม
จริงอยู่ที่เรื่องราวของการเดินทางข้ามมิติแห่งเวลาไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ในโลกนวนิยาย...ทั้งไทยและเทศ...

แต่เมื่อมันมาปรากฏอย่าง "ถูกที่ถูกเวลา" ในนิยายชุดนี้ ใน"เอลันตรา" แล้ว...
ส่วนตัวขออนุญาตกรี๊ดและปรบมือดัง ๆ ให้กับคุณดวงตะวันหลังอ่านจบ...
สุดยอดดดด...คิดได้ไงเนี่ย...





ขอเล่าเรื่องย่อเพิ่มเติมจากข้างบนนู้นนิดนึงแล้วกัน...(พยายามจะไม่สปอยล์...แม้จะยากมาก ๆ )

"เอลัน" เชื้อพระวงศ์หญิงในสกุล "ครีราโมส์" ถือกำเนิดในช่วงที่บ้านเมืองมีความแตกแยกอย่างรุนแรง ถึงขั้นมีสงครามล้มล้างราชวงศ์เลยทีเดียว
ด้วยความเป็นเด็กผู้หญิงและสภาพร่างกายที่อ่อนแอ เธอจึงถูกบิดาทอดทิ้งให้อยู่เบื้องหลังกับคนรับใช้
ในขณะที่เขาโอบอุ้มบุตรชายฝาแฝดพร้อมภรรยาหนีภัยสงครามไปต่างแดน...
เอลันใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว เงียบเหงาในชุมชนเล็ก ๆ ท้ายวัง "เอลันตรา"

เมื่อสงครามสงบ บิดากลับมาและพยายามพลิกฟื้นความยิ่งใหญ่ โดยมีพี่ชายฝาแฝดของเธอเป็นหลัก
เธอก็ยังคงรู้สึกถึงความไร้ค่าของตนเองอยู่ดี...
เธอเดินทางข้ามมิติเวลาไปยังแผ่นดินแสงดาวเมื่อสามพันปีก่อน...โดยไม่รู้ตัวอยู่เรื่อย ๆ นับแต่เป็นเด็กหญิง
และจะด้วยเหตุใดก็ตาม ทำให้เธอได้พบกับอีน....อินทัต เดอะเซกันด์คิง...(จากวิชาประวัติศาสตร์ที่เธอได้เรียนรู้มา อินทัตผู้นี้มีพฤติกรรมที่เพี้ยน ๆ แปลก ๆ จนถูกบันทึกไว้ว่าเป็นโรคประสาท ถึงกับมีสถาบันที่ตั้งขึ้นมาเพื่อศึกษาเกี่ยวกับโรคนี้และตั้งชื่อว่า "สถาบันอินทัต" - - จากบัลลังก์บุหลัน)
การพบกันในครั้งแรก ๆ นั้น เป็นการพบพานเพียงว็อบแว็บ ซึ่งทั้งเธอและอีนก็ไม่อาจเข้าใจได้ถึงที่มาที่ไป
แต่นั่นก็เพียงพอที่จะก่อเป็นความผูกพันอันลึกเร้นให้กับหัวใจทั้งสองดวง
อีนได้สลักภาพเหมือนของเธอไว้บนผาหิน ในกระโจมของเขา และเก็บงำเธอไว้เป็น "ความลับ" ตลอดมา
จนกระทั่งวันหนึ่ง...ด้วยเหตุและปัจจัยที่สอดรับ...เอลันถูกยิงบาดเจ็บ แล้วก็ข้ามมิติมาสู่ยังแทบเท้าของภาพ "เอลันตรา"บนผนังหิน

นั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวยุ่ง ๆ ที่ตามติดมา พร้อม ๆ กับการก่อเกิดความรักความผูกพันอันลึกซึ้งกว่าเดิมของหนุ่มสาวต่างมิติ...
โดยที่ทั้งสองต่างตระหนักแน่ในใจว่า...ความรักของพวกเขานั้น...มันเป็นไปไม่ได้...






โอยยยย....ยิ่งเล่าจะยิ่งยาว...แต่ขอย้ำว่านี่เพียงเสี้ยวเล็ก ๆ เสี้ยวเดียวเท่านั้น...มีเรื่องราวยืดยาวซับซ้อนที่...เมื่อได้เริ่มต้นอ่านคุณจะ "วางไม่ลง"เลยทีเดียว...หากไม่ลุล่วง...จริง - จริ๊ง

เอาเป็นว่า จขบ.อ่านแล้วชอบมาก ๆ จนอดรนทนไม่ไหว อ่านจบแล้วต้องเอามาบอกต่อเสียยาวเหยียดนี่แหละค่ะ
ทั้ง ๆ ที่ช่วงนี้เวลาของแม่ไก่หายากมาก ๆ จนร่ำ ๆ อยากจะขอกับพระเจ้าว่า...
ขอ "เวลาในอนาคต" มาใช้ในปัจจุบันก่อนจะได้ไหม...
แล้วจะหั่นเวลาที่เหลืออยู่ในชีวิตลงไปบ้างก็ไม่เป็นไร
เพราะยังไง ๆ เราก็ไม่อยากจะอยู่จนแก่ตายอยู่แล้ว...
เหอ ๆ คิดไปได้ ไร้สาระจริง ๆ

อ้อ...หลายคนอาจจะถามว่า...ถ้าไม่ได้อ่านเล่มอื่นในชุดมาก่อนจะอ่านเล่มนี้รู้เรื่องไหม...ส่วนตัวคิดว่าน่าจะพอรู้เรื่องนะคะ แต่อาจจะไม่ชัดเจนนัก
และคิดว่า(ด้วยธรรมชาติความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์ดังกล่าวข้างต้น)น่าจะได้อ่านเล่มก่อนหน้านี้
อย่างน้อย ๆ ก็ปราสาททรายในสายฝน ผีเสื้อลายตะวัน บัลลังก์บุหลัน และ ณ ที่ดาวพราวพร่างรักค่ะ และควรจะเรียงตามลำดับด้วยนะคะ ไม่เช่นนั้นคุณอาจจะสับสนซ้ำยังถูกสปอยล์ด้วยเรื่องราวที่มีเงื่อนงำซับซ้อน...
แต่อ่านรีวิวได้ค่ะ เพราะคนรีวิวได้พยายามอย่างเต็มที่ที่จะเลี่ยงการสปอยล์...


ชวนอ่านอย่างแรงค่า...




**เชิญเลือกอ่านหนังสือเล่มอื่น ๆ ในบล็อกนี้ได้ที่... ~ สารบัญหนังสือในบล็อก ~ค่ะ






 

Create Date : 28 เมษายน 2552    
Last Update : 3 มิถุนายน 2552 15:34:33 น.
Counter : 5354 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  

แม่ไก่
Location :
ลำปาง Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 184 คน [?]




**หลังไมค์เจ้า**





Cute Clock Click!



เออสิ,มาอยู่ใยในโลกกว้าง
เฉกชลคว้างมาเมื่อไรไม่นึกฝัน
ยามจากไปก็เหมือนลมรำพัน
โบกกระชั้นสู่หนไหนไม่รู้เลย


รุไบยาต ~ โอมาร์ คัยยัม
สุริยฉัตร ชัยมงคล : แปล




Latest Blogs

~ท่านหญิงในกระจก/แสงเพลิง ~

~เพชรรากษส/อลินา ~

~มนตร์ทศทิศ/ราตรี อธิษฐาน ~

~เมื่อหอยทากมีรัก 1-2/"ติงโม่"เขียน/พันมัย แปล ~

~ให้รักระบายใจ/"ณกันต์"เขียน ~

~ผมกลายเป็นแมว/Abandoned/Paul Gallico เขียน(ภูธนิน แปล) ~

~พ่อค้าซ่อนกลรัก & หมอปีศาจแสนรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~

~อาจารย์ยอดรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~

~จอมโจรพยศรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~


สารบัญหนังสือ: รวมลิงก์หนังสือที่รีวิวในบล็อก # ๑ + ๒



Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add แม่ไก่'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.