'หัวใจ๋ข้า หัวใจ๋เจ้า ห้อยอยู่เก๊าเดียวกั๋น' *
*คลิกเพื่ออ่านคำแปลเจ้า :)

~ วิวาห์วุ่น...อุ่นไอรัก โดย "ธุวดารา" ~






วิวาห์วุ่น...อุ่นไอรัก
ผู้เขียน ธุวดารา
สนพ.อรุณ (ครั้งแรก/มี.ค. 2554)

เรื่องย่อ(จากเว็บบ้านอรุณ):


พริบดาว คือ เจ้าของร้าน ‘อุ่นไอรัก เดอะเวดดิ้ง’ เธอจัดงานวิวาห์ที่สมบูรณ์แบบให้คู่รักมามากมาย
แต่ตนเองกลับเข็ดขยาดในความรักเพราะฝังใจในอดีตที่ร้าวราน

ศาสตรา คือ เจ้าของโรงแรมที่พริบดาวเข้าไปจัดงานวิวาห์ให้กับลูกค้ารายหนึ่ง
แต่ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันทำให้เขาและเธอต้องร่วมมือกันตามหาตัวเจ้าสาวที่หายไป!
จนเป็นเหตุให้ตัวเขาและพริบดาวถูกจับไปขังด้วยกันบนเกาะ!

ณ ที่แห่งนั้น ความประทับใจเล็กๆ ได้ก่อเกิดขึ้นในใจของศาสตรา
แต่เขากลับค้นพบว่าพริบดาวไม่เคยศรัทธาในความรักและไม่คิดจะเปิดใจให้ใครทั้งสิ้น...

แผนการแทรกซึมเข้าสู่หัวใจดวงน้อยๆ จึงเริ่มต้นขึ้น
เขาจะสอนให้พริบดาวเรียนรู้ว่า ‘รักแท้...มีอยู่จริง’

และจะเปลี่ยนความเชื่อฝังใจของหญิงสาวที่ว่า...
‘รักแท้ก็เหมือนกับผีที่หลายคนพูดถึง...แต่น้อยคนนักที่จะได้เห็น’ ได้หรือ?

เป็นเรื่องที่ท้าทายและชวนให้ลุ้นอยู่ไม่น้อย ใช่ไหมล่ะ...






หลังอ่าน...
เป็นนิยายเรื่องแรกของนักเขียนคนนี้ที่ได้อ่านค่ะ
อ่านจบแล้วคิดว่าเป็นนักเขียนที่น่าจับตามองคนหนึ่งทีเดียว
ด้วยสำนวนภาษาละเมียดละไม ลื่นไหลไม่สะดุด
พล็อตเรื่องแม้จะไม่ถึงกับแปลกหรือไม่เหมือนใคร แต่ก็ไม่ถึงกับเกร่อเกลื่อน...
เรียกได้ว่าอ่านได้เรื่อย ๆ น่ะค่ะ

แต่จุดที่ขัดใจ คือตอนจบน่ะค่ะ...
(ต้องสปอยล์นะคะ...ไม่งั้นก็ตอบโจทย์ไม่ได้อ่ะ)
นางเอกมารู้ความจริงเรื่องที่พระเอกวางแผนเข้ามาใกล้ชิดเธอในวันวิวาห์...
ทำให้เธองอนพระเอก..ตรงนี้ขัดใจหนึ่งละ...
สาเหตุมันไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไรเลย นางเอกไร้เหตุผลสุด ๆ
....แสนดี เข้มแข็งมาตลอดเรื่อง มาตกม้าตายเอาตอนจบนี่เอง เฮ้อ...

แล้วก็มีเหตุให้นางเอกคิดได้ (จุดขัดใจที่สอง...)แต่กว่าจะคิดได้ก็ต้องมีคนตายไปหนึ่ง
โดยคนที่ตายนั้นไม่ได้มีบทบาทอะไรเลยมาตั้งแต่ต้นเรื่อง จู่ ๆ โผล่มาก็ต้องตายเลย...
รู้สึกว่าคนเขียนใจร้ายจังที่ทำให้คนดี ๆ ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่
เหมือนกับคนโดนลูกหลง ทำให้เกิดแม่ม่ายที่กำลังตั้งท้อง...
อ่านแล้วก็เศร้านะ...
(หลายคนอาจจะชอบค่ะ ได้อารมณ์ซาบซึ้ง สะเทือนใจดี)

คือส่วนตัวคิดว่า...ถ้าคนเขียนอยากจะให้บทเรียนกับนางเอกที่ทิฐิจัด
ทำไมไม่จัดให้ตัวพระเอกนั่นแหละโดนอะไรสักอย่าง ปางตายก็ได้ นางเอกจะได้หายงอน
ทำไมต้องดึงคนอื่นที่เขาไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วยเข้ามาเกี่ยวแล้วเกิดโศกนาฏกรรมแบบนั้นขึ้น...
อินไปไหมเนี่ย...นิย๊าย-นิยายเนอะ

แต่ก็อย่างที่บอกตอนต้นค่ะว่า...นามปากกานี้เป็นนักเขียนรุ่นใหม่ที่น่าจับตามอง
ดังนั้น...ถ้าเจองานชิ้นอื่นของเธออีกก็คงจะหยิบมาอ่านได้โดยไม่ลังเลค่ะ(คือ...ถ้าอ่านแล้วผลออกมาจะเป็นยังไง ก็จะไม่โทษนักเขียนค่ะ...)













 

Create Date : 24 พฤษภาคม 2554    
Last Update : 24 พฤษภาคม 2554 11:11:19 น.
Counter : 2638 Pageviews.  

~ตราบสิ้นสิเน่หา โดย "ณารา" ~






“ตราบสิ้นสิเน่หา”
“ณารา”
สนพ.พิมพ์คำ (พิมพ์ครั้งแรก/ ม.ค. ๒๕๕๓)
๔๘๘ หน้า ราคา ๒๙๐ บาท


เรื่องย่อ (จากปกหลัง)



‘กัณฐิกา’ ไม่รู้ว่าชาติที่แล้วเธอไปก่อกรรมทำเข็ญสิ่งใดไว้
ตั้งแต่เริ่มเป็นสาว เธอมักจะฝันเห็นวิญญาณชายชุดเทาในสภาพน่าสยดสยองอยู่ทุกคืน

หลังจากจบปริญญาตรีที่เมืองไทย กัณฐิกาตัดสินใจไปเรียนต่อปริญญาโทที่เมืองชาร์ล็อตวิลล์ รัฐเวอร์จิเนีย
และทันทีที่เธอได้มาเยือนถิ่นนี้ ฝันร้ายที่เคยหายไปเมื่อสองปีที่แล้วก็กลับมาอีกครั้ง
คราวนี้กระจ่างชัดยิ่งกว่าครั้งไหนๆ เพราะเจ้ากรรมนายเวรตนเดิมได้มาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าเธอแล้ว

เพื่อนนักศึกษาแพทย์ทำให้กัณฐิกาได้มีโอกาสเข้ารับการสะกดจิตเพื่อระลึกอดีตชาติ

ได้รับรู้ว่า เมื่อชาติก่อน เธอเคยมีความสัมพันธ์ อันแสนลึกซึ้งกับ ‘ร้อยเอกเบนจามิน’
นายทหารฝ่ายใต้ในสงครามกลางเมืองอเมริกา
และเธอนั่นเองที่ทรยศจนเขาต้องเสียชีวิตในสนามรบ

ความแค้นที่เขามีต่อเธอ ไม่ได้ดับสูญไปกับวิญญาณที่หลุดลอย
เขายังติดตามมาในชาตินี้ และขอจองเวรกับเธอทุกภพทุกชาติไป








หลังอ่าน...
พล็อตและเรื่องย่อก็ประมาณข้างบนนั่นแหละค่ะ

เป็นนิยายออกแนวพีเรียดและเหนือธรรมชาติ นางเอกเป็นสาวไทยที่ถูกรังควานด้วยดวงวิญญาณของคนรักในอดีตชาติ ที่ติดตามมาด้วยความเข้าใจผิด
ก็...อ่านสนุก ตื่นเต้นเร้าใจดีค่ะ มีบทรัก บทโรมานซ์อยู่พอประมาณตามสไตล์ของนักเขียนคนนี้

แต่มาตงิด ๆ ใจอยู่นิดๆ (จริง ๆ แล้งก็ไม่นิดนะ แหะ ๆ )
ในตอนท้าย ๆ ที่นางเอกในชาติปัจจุบันรับรู้ถึงที่มาที่ไปของบุญคุณความแค้นที่เจ้ากรรมนายเวรของเธอมีต่อเธอจนหมดสิ้นแล้ว มันคล้าย ๆ กับว่า...ผู้เขียนไม่รู้จะให้ลงเอยยังไงจึงให้นางเอกเข้าไปเปลี่ยนเหตุการณ์ในอดีตเสียดื้อ ๆ ทื่อ ๆ

ในขณะที่ตัวนางเอกชาติปัจจุบันยังนอนเป็นผักอยู่บนเตียง...
แต่ก็สามารถรับรู้เหตุการณ์ในอดีตได้อย่างทะลุปรุโปร่ง รู้ไปถึงความรู้สึกนึกคิดของผู้อื่นอีกด้วย...

แถมยังไปนั่งเป็นพยานในการตายของตัวเองในอดีตชาติได้อีกต่างหาก...

พลิกไปพลิกมาหลายรอบ...
จะดูว่าผู้เขียนเขาใช้ทฤษฎีไหนในการทำให้เหตุการณ์ในตอนท้าย ๆ เรื่องพลิกผันไป...ก็หาไม่เจอ....
ยิ่งหากลับทำให้ยิ่งอ่านไปงงไปกับการพลิกผันนั้นซ้ำ...
ทำให้รู้สึกเสียอรรถรสในการอ่านไปอย่างน่าเสียดาย...

อนึ่ง...ไม่ชอบเป็นอันมากกับวิธีการพลิกสถานการณ์ในนิยายโดยวิธี Copy&Paste
มันอาจจะดูเก๋ใก๋ในนิยายบางประเภท (อย่าง"ไหม" ของบาริกโก - แบบนั้นโอเคและสมเหตุสมผลมาก)
แต่ไม่ใช่นิยายอิงประวัติศาสตร์แบบนี้...
เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่ว่าจะด้วยกรณีใดไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

แต่ก็พยายามอ่านจนจบ...
(จบแล้วก็ยังงงอยู่...เพราะไม่รู้ว่าพระเอกชาติปัจจุบันโผล่มาได้ยังไง...)

อ้อ... นิยายเรื่องนี้ผู้เขียนใช้เหตุการณ์ในประวิติศาสตร์อเมริกาเป็นแรงบันดาลใจในการเขียนค่ะ เหตุการณ์นั้นเป็นเหตุสงครามกลางเมืองอเมริกาที่เกิดขึ้นระหว่าง ค.ศ. 1861 ถึงค.ศ. 1865 ในเรื่องผู้เขียนยังได้อ้างอิงถึงรายชื่อนายทหารในระดับผู้บัญชาการทั้งฝ่ายเหนือฝ่ายใต้ ที่มีตัวตนจริงอยู่หลายคนทีเดียว





**ส่วนนี่เป็นข้อมูลสั้น ๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวที่ได้มาจากเว็บวิกิค่ะ

สงครามกลางเมืองอเมริกา (American Civil War) เป็นสงครามกลางเมืองของสหรัฐอเมริกา เกิดขึ้นระหว่าง ค.ศ. 1861 ถึงค.ศ. 1865 โดยรัฐฝ่ายเหนือ 23 รัฐ ที่เรียกว่า สหรัฐอเมริกา (Union States of America) หรือ "สหภาพ" (Union) กับรัฐฝ่ายใต้ 11 รัฐ ที่แยกตัวออกมาจากสหรัฐ และเรียกตัวเองว่า สมาพันธรัฐอเมริกา (Confederate States of America) สงครามจบลงโดยชัยชนะของฝ่ายเหนือ

สาเหตุของสงครามเกิดจากความแตกต่างระหว่างแต่ละรัฐในสหรัฐอเมริกา ที่มีรูปแบบและชีวิตความเป็นอยู่แตกต่างกันมาก ในขณะที่รัฐทางใต้ซึ่งจำเป็นต้องใช้ทาสในการเกษตรกรรมขนาดใหญ่ รัฐทางเหนือกลับเป็นรัฐอุตสาหกรรมที่ไม่จำเป็นต้องใช้ทาสมากนัก เมื่ออับราฮัม ลิงคอล์นซึ่งมีแนวคิดต่อต้านระบบทาสอย่างชัดเจน ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ทำให้รัฐทางใต้ 13 รัฐที่ไม่พอใจ แยกตัวเป็นอิสระ และตั้งรัฐบาลใหม่ในนามว่าสมาพันธรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1861













 

Create Date : 12 พฤษภาคม 2554    
Last Update : 12 พฤษภาคม 2554 21:27:41 น.
Counter : 2913 Pageviews.  

~ "เงื่อนหัวใจ" โดย อุณากรรณ





”เงื่อนหัวใจ”
ผู้เขียน อุณากรรณ
สนพ.พิมพ์คำ (ครั้งที่ ๑ มี.ค. ๒๕๕๐)


เรื่องย่อ ๆ (จากปกหลัง)



'มีนา' ถูกเลี้ยงดูอย่าง ‘ไข่ในหิน’ ไม่เคยเผชิญโลกภายนอกตามลำพังตั้งแต่เล็กจนโต
กระทั่งเธอต้องก้าวไปเป็นครูในต่างจังหวัด ท่ามกลางความวิตกกังวลของพ่อแม่และ 'ธันว์' ผู้เป็นพี่ชาย
ซึ่งไม่อยากให้น้องไปอยู่ไกลหูไกลตา จนต้องไหว้วาน 'นพปฎล' เพื่อนสนิทไปดูแล

แม้การสอนหนังสือของมีนาจะเต็มไปด้วยอุปสรรคมากมาย
เพราะลูกศิษย์ของเธอเป็นเด็กวัยรุ่นเจ้าปัญหา
เธอก็ได้รับความช่วยเหลือจากนพปฎลจนสามารถปรับตัวเข้ากับเด็กๆ ได้ เป็นเหตุให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น

ทว่า...ความห่วงและหวงในตัวน้องสาว ทำให้ธันว์ไม่พอใจ
เขาพยายามขัดขวางทุกวิถีทางเพื่อให้ทั้งคู่แยกจากกัน
มีนาจะทำเช่นไร เมื่อต้องเลือกระหว่างพี่ชายกับคนที่เธอรัก
เงื่อนไขครั้งนี้ยากเกินกว่าที่เธอจะตัดสินใจได้ ...






หลังอ่าน...
หลังจากเคยอ่านงานของคุณอุณากรรณมาก่อนเล่มหนึ่ง รู้สึกชอบในสำนวนภาษาพอสมควรทีเดียว
มาเจอหนังสือเล่มนี้ในกระบะลดราคา เลยหยิบมาอย่างไม่ลังเล...

แต่...ยอมรับว่าผิดหวังเล็กน้อย แหะ ๆ (คุณผู้เขียนอย่าค้อนแม่ไก่นา...)

เรื่องราวเรียบเรื่อย เอื่อยเฉื่อยมาก ๆ ...
นางเอกเรื่องนี้เป็นคุณครูค่ะ เป็นครูบรรจุใหม่ไฟกำลังแรง...
ในเรื่องก็สะท้อนภาพบรรยากาศโรงเรียนมัธยมในต่างจังหวัดได้ดีในระดับหนึ่ง
ไม่ว่าจะเป็นระบบการเรียนการสอน ความสัมพันธ์ของเพื่อนครูในโรงเรียน
หรือพฤติกรรมนอกลู่นอกทางของเด็กนักเรียนวัยรุ่น...

ส่วนนี้ผู้เขียนสามารถสวมวิญญาณ”คุณครูคนใหม่” ไฟแรงได้เป็นอย่างดี …อ่านแล้วเชื่อ!

แต่ส่วนที่ขัดใจคนอ่านอย่างแม่ไก่ก็คือ...เรื่องของพี่ชายนางเอกน่ะ ทำไมต้องให้พี่หวงน้องซะเวอร์ขนาดนั้น...

แม้ตอนหลังจะมีบทเฉลยถึงปมเหตุที่ทำให้พี่ชายเป็นอย่างนั้น แต่ก็ยังรู้สึกไม่อินอยู่ดี รู้สึกมันไม่ค่อยสมเหตุสมผลสักเท่าไหร่แฮะ

อ้อ...ถ้าคุณผู้เขียนได้เข้ามาอ่าน...ขออนุญาตฟ้องหน่อยค่ะ
หนังสือเล่มที่ซื้อมาเขาทำหน้าหนังสือขาดหายไปยกหนึ่งเต็ม ๆ (สิบหกหน้า)
แต่แถมหน้าซ้ำ ๆ มาให้ ทำเอาสะดุด เสียอารมณ์ในการอ่านไปเลยค่ะ แต่ทำอะไรไม่ได้แล้ว เพราะเขาประทับตรายางไว้ในหน้าแรกของหนังสือไว้ชัดเจนว่า...
”หนังสือลดราคาพิเศษ ไม่รับเปลี่ยนหรือคืน”
ง่ะ...ถึงลด 50% ก็เกินร้อยแล้วค่ะ (ออกอาการงกนิด ๆ แหะ ๆ )

โดยรวมแล้ว (ถ้าหนังสือไม่มีตำหนิอย่างที่บอก) ก็ดีค่ะ
อ่านได้เพลิน ๆ สำนวนลื่นไหล ไม่มีบทรักพร้ำเพรื่อ
สะท้อนสังคมและปัญหาวัยรุ่นวัยเรียนได้ดีทีเดียว
แล้วจะตามอ่านเล่มอื่น ๆ ต่อไปค่ะ








 

Create Date : 11 พฤษภาคม 2554    
Last Update : 11 พฤษภาคม 2554 14:22:59 น.
Counter : 2601 Pageviews.  

'ขุนหอคำ' นิยายอิงประว้ติศาสตร์ล้านนา โดย "กฤษณา อโศกสิน"





ขุนหอคำ
ผู้แต่ง: กฤษณา อโศกสิน
สนพ.เพื่อนดี
(พิมพ์ครั้งที่ ๑ /ธ.ค. ๒๕๔๗)


จากเว็บเพิ่อนดี:



'ขุนหอคำ' นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ล้านนาที่สืบเนื่องจาก 'เวียงแว่นฟ้า' และ 'หนึ่งฟ้าดินเดียว'
ซึ่งผู้เขียนผสานเหตุการณ์จริงกับจินตนาการอย่างกลมกลืน บอกเล่าเรื่องอย่างมีวรรณศิลป์
ให้ทั้งสาระความรู้ ความเพลิดเพลิน ประเทืองทั้งสติปัญญา และอารมณ์ มีคุณค่าแก่อ่านอย่างยิ่ง

…

บางส่วนจากคำนำ

เรื่องราวของขุนหอคำ นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ล้านนาบอกเล่าวิถีชีวิต
และการปกครองแว่นแคว้นใหญ่น้อยของล้านนา ในช่วงพ.ศ. ๒๔๓๑ – ๒๔๓๓

.......

ภูเออหรือเจ้ามาวฟ้าลูกชายของเจ้าม่อนฟ้ากับบัวบุรี(จาก’เวียงแว่นฟ้า’)
อาบองค์ บุตรีของพญาเมืองรามรักษาเขตกับเจ้าระยับเนตร(จาก ‘หนึ่งฟ้าดินเดียว’)
คือผู้สานต่อเหตุการณ์สำคัญที่ทั้งตับขันและรื่นรมย์ใจใน ‘ขุนหอคำ’ …
ชะตากรรมนำพาให้คนทั้งสองได้พบกัน ได้พึงใจซึ่งกันและกัน ดุจประวัติศาสตร์จะย้อนรอย
ด้วยเหตุที่... ”เฮาเป็นครึ่งเจ้า ครึ่งไพร่เหมือนกัน...”







เรื่องย่อ(ย่อเอง)

ภูเออหรือเจ้ามาวฟ้ากับญาติผู้พี่คือเจ้าส่องฟ้า พร้อมด้วยบ่าวอีกหนึ่งคน ปลอมตัวเข้าไปดูลาดเลาเกี่ยวกับการรุกคืบเข้ามายังดินแดนไตโดยพม่าและอังกฤษ เมื่อไปถึงยองห้วยก็ได้พบกับเจ้านางแห่งยองห้วยกับหลานสาว (ธิดาเลี้ยง)สองคน...เจ้านางอี่กับเจ้านางอาม...ในขณะที่เจ้าส่องฟ้าพึงใจในเจ้านางคนพี่ ภูเออก็รู้สึกถูกชะตากับคนน้อง...
ถึงขั้นผูกสมัครรักใคร่ และเอ่ยปากหมั้นหมายด้วยวาจา

..........

แต่เมื่อพวกเขาเดินทางกลับเวียงนาย...ก็พบว่าเวียงนายกำลังระส่ำระสาย
ด้วยถูกพม่าบุกเข้ารุกรานโดยความร่วมมือของยองห้วย...
กระทั่งพ่อและแม่ของภูเออก็ต้องหนีภัยไปอยู่เจียงตุง

...........

ภูเออกับพวกสมัครเข้าทำงานกับชาวอังกฤษที่มาสำรวจป่าไม้ในทางตอนเหนือของล้านนา
เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เมืองรามก็เดินทางไปสำรวจชายแดนร่วมกับสยาม โดยในการเดินทางครั้งนั้น
พญาเมืองรามฯ ได้พา”อาบองค์” ธิดาสาววัย ๑๓ ปี ซึ่งให้ปลอมตัวเป็นเด็กหนุ่มติดตามไปด้วย

ภูเออรู้ได้ในเวลาไม่นานนักว่าอาบองค์...ที่เขาเรียกอย่างยกย่องว่า”ไอ่นาย”นั้นเป็นเด็กหญิง...

จากการได้พบปะ พูดคุยกัน เขาก็รู้สึกผูกพันกับไอ่นายอย่างประหลาด...
โดยเฉพาะ เมื่อไอ่นายเล่าให้เขาฟังถึงความขมขื่นใจเมื่อเธอเห็นผู้เป็นพ่อได้รับการปฏิบัติอย่างไม่ให้เกียรติ และไม่ได้รับการยอมรับจากญาติฝั่งมารดา...ซึ่งมีเชื้อเจ้า..

เพราะนั่นมันช่างพ้องกันกับชีวิตของเขา เพราะเขาเองก็เป็น... ”ครึ่งเจ้า ครึ่งไพร่”เช่นเดียวกัน

.................

แต่ภูเออจะทำอย่างไรกับความรักที่แทรกซึมเข้ามาในครั้งหลังนี้ ในเมื่อเขาได้ให้คำสัจจ์ไว้กับผู้หญิงอีกคนไว้แล้ว...เขาถูกสั่งสอนมาแต่เล็กแต่น้อยว่า... “ขุนอยู่ด้วยสัจจา ข้าอยู่ด้วยคติ”

ถึงกระนั้น...หากเขาสามารถปลดเปลื้องพันธะอันนั้นได้ โดยอาจอ้างการที่ยองห้วยร่วมมือกับพม่ารุกรานเวียงนายของเขา...เขาก็ไม่รู้เลยว่าพญาเมืองรามรักษาเขต บิดาของไอ่นายจะยอมให้เขาคบหากับเจ้าหล่อนหรือไม่...เพราะความแค้นที่ฝังอยู่ในใจของผู้ใหญ่นั้น ยากนักจะถ่ายถอนได้





หลังอ่าน...

เศร้าค่ะ... อ่านจบน้ำตาซึม...แต่ซาบซึ้งและประทับใจมากกกกก...

นิยายอิงประวัติศาสตร์เล่มนี้ เป็นนิยายที่อ่านแล้วอิ่มมาก สมดังคำนิยมที่สนพ.โปรยไว้ว่า
นวนิยายเรื่องนี้... ”ให้ทั้งสาระความรู้ ความเพลิดเพลิน ประเทืองทั้งสติปัญญา และอารมณ์ มีคุณค่าแก่อ่านอย่างยิ่ง”

หนังสือความหนา ๗๐๐ กว่าหน้า ย่อได้ไม่กี่ย่อหน้าข้างบนนี้...
ดูเหมือนตัวเองบั่นทอนเนื้อหาสาระที่ล้นเหลือของนิยายอย่างไรชอบกล
เพราะจริง ๆ แล้ว เรื่องราวไม่ได้เน้นเฉพาะความรักความใคร่ของหนุ่ม ๆ สาว ๆ หรอกค่ะ
มันมีสาระทางประวัติศาสตร์ที่น่ารู้อยู่ในนั้นมากมาย

นับถือท่านผู้ประพันธ์สุดใจ กับการร้อยเรียงเรื่องราวที่อิงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมานานกว่าร้อยปี
ให้เป็นนิยายที่มีทั้งรัก โรแมนติก เศร้าซึ้ง สะท้อนใจ สะเทือนอารมณ์
แถมเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้ทางประวัติศาสตร์ได้เช่นนี้

ก่อนหน้านี้เคยอ่านนิยายในชุดนี้ สองเรื่องก่อนคือ “เวียงแว่นฟ้า” กับ “หนึ่งฟ้าดินเดียว”
ส่วนเรื่อง”ขุนหอคำ”นี้ อ่านที่ลงเป็นตอน ๆ ในนิตยสารสกุลไทยเมื่อหลายปีก่อน แบบไม่ปะติดปะต่อ...
แถมด้วยความงง ๆ ในเรื่องของภาษา ทำให้อ่านข้าม ๆ ไปเสียบ้าง

เมื่อได้หนังสือมา ด้วยความหนาของหนังสือจึงได้แต่ดองไว้ระยะหนึ่ง
เพิ่งได้ฤกษ์หยิบมาอ่านจริง ๆ จัง ๆ ในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา...
(ด้วยแอบคิดว่า...ช่วง “ปีใหม่เมือง”อย่างนี้ ได้อ่านอะไรที่มันเกี่ยวข้องกับทางเหนือ ๆ อย่างนี้
มันช่างได้บรรยากาศ เข้ากั๊น-เข้ากัน ...)


แล้วก็พบว่า...ในเล่มนี้ค่อนข้างแตกต่างจากสองเรื่องแรกพอสมควร...แม้เนื้อหาและตัวละครจะต่อเนื่อง เชื่อมโยงกัน...
ใน'เวียงแว่นฟ้า'กับ'หนึ่งฟ้าดินเดียว'นั้น เป็นเรื่องราวของหัวเมืองล้านนาอย่างเชียงใหม่
ซึ่งกำลังจะถูกควบรวมให้เข้ากับสยาม...ในขณะอีกด้านก็ถูกอังกฤษรุกประชิด
ด้วยหวังยึดครองป่าไม้สักอันยิ่งใหญ่

ฉากและภาษาจึงเป็นอะไรที่คุ้นเคย สำหรับคนอ่านชาวเหนือ
(แม้จะเคยแอบบ่นว่าภาษาเหนือของผู้เขียนไม่เป็นธรรมชาติ
จนเรา-คนอ่านที่เป็นชาวเหนือแต๊ ๆ รู้สึกตงิด ๆ อยู่ไม่น้อย ก็ตามที)
อ่านแล้วรู้สึกคล้อยตาม นึกภาพออก ...

แต่มาถึงเล่มนี้ เรื่องราวในตอนแรก ๆ เป็นเรื่องของผู้คนในอาณาจักรไต
ซึ่งอยู่เหนืออาณาจักรล้านนาขึ้นไป...อย่างที่ผู้เขียนได้เกริ่นนำเรื่องว่า...

“เมืองไตเรานี้เป็นเมืองอันอุตุราสีดี ที่อยู่ที่เซาสบาย.......
รัศมีจากแก้วแสงลายคำพลันเปล่งระเรื่อขึ้นเหนือฟากภู ที่เมื่อครู่ยังมืดมิดเข้มคราม ชมพูก่ำแกมทอง ส่องผ่านช่องไม้ ทอเป็นสายทาบยาว อาบทะเลสาบอินเลยามฟ้าสาง แลดูขาวกระจ่างราวเนื้อเงิน ยามเมื่อลมพัดเหิน แลยามเรือล่องออกไป แพรเงินอันวาบไวก็กระเพื่อมระลอก กระฉอกละลิ่ว ริ้วเล็กเลื่อนไกลเป็นลูกเป็นลอนไหว ๆ แล้วหายลับ”


สำนวนภาษาที่ใช้ในการบรรยายก็ดี หรือที่เป็นบทสนทนาก็ดี ล้วนแต่เป็นภาษาโบราณของไต
ซึ่งมีศัพท์แสงที่แปลกแปร่ง แตกต่างจากล้านนาอยู่มิใช่น้อย
ทำให้เมื่อเริ่มอ่านต้น ๆ เรื่องจะรู้สึกไม่คุ้นเคย และไม่เข้าใจนัก

หากเมื่ออ่านไปเรื่อย ๆ เริ่มทำความเข้าใจ และรู้สึกคุ้นเคยมากเข้า...
จากที่รู้สึกแปลกแยกในตอนแรก กลับกลายเป็นว่าชอบ ชอบมาก ๆ ด้วย
จนตอนปลาย ๆ เรื่อง ก็บอกตัวเองว่า...ชอบมากกว่าสองเรื่องแรกนั่นเสียอีก
(ในแง่ของสำนวนภาษานะคะ ส่วนในเรื่องของเนื้อในนิยายยังคงชอบ “หนึ่งฟ้าดินเดียว”มากที่สุดอยู่ดี)

อาจจะเป็นด้วยในเรื่องนี้ใช้ภาษาที่เราไม่รู้จัก แต่รู้สึกคุ้น ๆ อยู่เพราะใกล้เคียงกับภาษาถิ่นของเรา เราจึงไม่ได้คาดหวังในความเป็นธรรมชาติของการพูดจาสักเท่าไหร่ และยิ่งอ่าน ๆ ไป ก็กลับกลายเป็นว่าเราได้เรียนรู้ภาษาและวัฒนธรรมโบราณที่แตกต่าง เพิ่มเติมจากที่เคยเรียนรู้มาอีกต่างหาก

…………..

ลองอ่านตัวอย่าง ตอนที่ภูเออครุ่นคิดคำนึงถึงนางที่เขาหมายปอง
แล้วตั้งใจเขียนเพลงยาวถึงเจ้าหล่อนดูนะคะ (ตอนนี้ชอบมาก...)

“...ขุนเขางามสง่า ดอยสามสิบ ไตสามสิบ อันคืออาณาจักรของไตทั้งผอง ประดับประดาด้วยมวลเมฆฟ่องฟ้า บุหงาลดาวัลย์ ตามทุ่งหญ้าชูช่อ เชิดดอกบานไสว ทั้งราก ดอก แลใบล้วนเปี่ยมความหมายในชีวิต แลที่ยิ่งใหญ่ยามนี้ก็คือถ้วนถ้อยอันวิจิตรรจนาที่เขาปรารถนา จะเสกสรรปั้นปลูก จนจรวยจรุงฟุ้งหอม นำมากล่อมนางให้เคลิ้มฝัน...”

นอกจากนี้ ยังมีถ้อยสำนวน ที่คนเหนือเรียกกันว่า “คำบ่ะเก่า” อันเป็นประหนึ่งสุภาษิต
คติความคิดความเชื่อ และคำสอนที่คนโบราณกล่าวไว้เพื่อเตือนใจลูกหลาน
ที่มีความหมายดี ๆ แทรกแซมอยู่แทบทุกบททุกตอน

ยกตัวอย่างสักเล็กน้อย...

“มึนต๋าแอ่วหลายเมือง เตไล้เฮิงวันนึ่ง”
- เปิดตาเที่ยวหลายเมือง จักรุ่งเรืองในวันหนึ่ง

“โต๋หลุ จื้ออ่ำหาย โต๋ต๋าย ลายอ่ำเน่า”
– ร่างสูญชื่อไม่หาย ตัวตายลายไม่เน่า

“งาเม็ดหนึ่งอ่ำเป๋นมัน พันเม็ดหนึ่งอ่ำเป๋นสวน”
–งาหนึ่งเมล็ดกลั่นเป็นน้ำมันไม่ได้ เมล็ดพันธ์หนึ่งเม็ด ไม่อาจปลูกให้เป็นสวนได้

“คนฮ้ายฮ้ายกว่าผี คนดีผีลงไหว้”
- คนเลว น่ากลัวกว่าผี คนดีแม้แต่ผียังนับถือ

ฯลฯ

ให้พูดถึงนิยายเรื่องนี้ พูดยาวเท่าไหร่ก็ไม่จุใจในความอิ่มเอมใจที่ได้รับจากการอ่านค่ะ

แนะนำและชวนอ่านอย่างแรงค่ะ!












 

Create Date : 28 เมษายน 2554    
Last Update : 4 กันยายน 2556 12:51:36 น.
Counter : 6602 Pageviews.  

~ 'เจ้าหญิงเม็ดทราย' โดย "อัญชรีย์"






เจ้าหญิงเม็ดทราย
ผู้แต่ง: อัญชรีย์
สำนักพิมพ์: แจ่มใส (ครั้งแรก ก.ค.2550)
(หนังสือในชุด "ความรู้สึกดี...ที่เรียกว่ารัก)


โปรยปกหลัง :


อยู่ดีๆ ก็ต้องมาเป็นคุณแม่รับจ้างเลี้ยงลูกให้คนอื่น
เห็นแก่ยัยหนูโมจินะเนี่ย ไม่อยากให้แกเกิดมากำพร้าแม่
ส่วนค่าจ้างสองล้านนั่นน่ะ เชอะ คนอย่างยัยกชไม่สนหรอก (ซะเมื่อไหร่)
สองล้านบาทแลกกับการรับสมอ้างเป็นแม่เด็ก...คุ้มจะตาย
แต่ไอ้ความลับที่แถมมาด้วยนี่สิ อาจทำฉันถึงตายได้
อุ๊บส์...ไม่ได้ ยังไงก็บอกใครไม่ได้จริงๆ ไม่อย่างนั้น
ทุกอย่างที่อุตส่าห์ทำมาก็สูญเปล่าน่ะสิ!!!

..........


ผู้หญิงอะไรหน้าตาน่าเกลียด...เอิ่ม...งั้นๆ
แล้วยังตัดผมหน้าม้าทื่อๆ อีก แต่งตัวก็สุดเชย
แต่ทำไมลูกสาวถึงได้น่ารักขนาดนี้ ไม่เห็นมีเค้าแม่ซักกะนิด
ที่สำคัญผมรู้สึกถูกชะตากับยัยหนูเอามากๆ เลย
ก็แหม...เด็กอะไรน่ารัก แถมยังไม่กลัวคนแปลกหน้าอีก
แต่ก็นะ ความลับไม่มีในโลก ทำให้ผมได้รู้จักธาตุแท้ของเธอ
ผู้หญิงที่สร้างภาพว่าตัวเองเป็นแม่ที่ดี ที่แท้ก็มีเจตนาร้ายแอบแฝง...อย่างนี้ต้องจัดการให้รู้สึก!!!








เรื่องย่อ ๆ (ย่อเอง)

กชนิภา หญิงสาววัยยี่สิบห้ารับจ้างจิรพัส เพื่อนชายคนสนิท รับเป็นแม่และดูแลน้องโมจิ
ลูกสาวของเขาที่เกิดจากเมียนอกสมรส ด้วยค่าจ้างที่สูงลิบ

เธอทุ่มเทความรักความเอาใจใส่ให้กับเด็กน้อยเป็นอย่างดี
ทั้ง ๆ ที่รู้สึกทั้งรักทั้งชังพฤติกรรมของคนเป็นพ่อ
ที่ไม่มีความรับผิดชอบ แถมยังคอยตอกย้ำซ้ำซากให้เธอรู้สึกต่ำต้อยน้อยค่าอยู่ตลอดเวลา

เธอพบกับคิรากร ชายหนุ่มที่แสนจะดูดีมีชาติตระกูล ที่พักอยู่คอนโดเดียวกันกับเธอ
แล้วก็ต้องแปลกใจว่าเขารู้จักยัยหนูโมจิดี แถมมีท่าทีถูกชะตากันอีกต่างหาก...
เขาถึงกับยอมแสดงตัวเป็นพ่อของหนูโมจิเมื่อครั้งที่กชนิภาต้องไปพบปะกับเพื่อน ๆ ของเธอที่ต่างจังหวัด

คิรากรเข้าใจว่ากชนิภาเป็นเมียเก็บของพ่อเด็กน้อย...
แล้วต่อมาเขาก็ตกใจยิ่งกว่าเมื่อรู้ว่าพ่อของหนูโมจิก็คือจิรพัส ซึ่งเป็นน้องชายคนเดียวของเขา ที่เพิ่งแต่งงานไปหมาด ๆ กับอดีตคนรักของเขาเอง

ด้วยเหตุผลทางธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับภรรยาของจิรพัส ทำให้คิรากรต้องยื่นมือเข้ามาจัดการกับสองแม่ลูก...
เขาตัดสินใจจ้างให้กชนิภาแต่งงานกับเขา เพื่อจะกันเธอให้ออกจากชีวิตของจิรพัส...

แล้วเรื่องราวก็ยุ่งขิงพัลวันพัลเก...
เมื่อจิรพัสเกิดอาการหวงก้างขึ้นมาเสียดื้อ ๆ ...ขัดขวางการแต่งงานระหว่างเธอกับพี่ชายของเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย

ส่วนตัวกชนิภาเอง ก็เกิดเผลอใจไปตกหลุมรักสามี(ในนาม)ของตัวเองเข้าจนได้...
ในขณะที่เขาก็มีแต่สาว ๆ สวย ๆ แวดล้อมอยู่ตลอดเวลา





อ่านจบปุ๊บ บอกได้คำเดียวว่า...สนุกค่ะ

เป็นนิยายแนวโรแมนติกคอเมดี้ที่อ่านสนุก มีฉากฮา ๆ ให้ได้ขำกิ๊กอยู่หลายตอน นางเอกเป็นหญิงสู้ชีวิตที่อารมณ์มั่นคงมาก...
เล่าเรื่องได้สนุกสนาน แม้ตัวละครจะเยอะแยะวุ่นวาย แต่ก็ไม่สับสน

อ้อ...เขาดำเนินเรื่องโดยให้นางเอกเป็นคนเล่า ผ่าน”ฉัน”
จึงได้อารมณ์เหมือนอ่านไดอารี่เพื่อนยังไงยังงั้น...

ชอบค่ะ ชอบมาก ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมไม่ได้หยิบมาอ่าน ก่อนหน้านี้

อาจจะเป็นเพราะเคยอ่านนิยายชุดนี้ของแจ่มใสหลายเล่มแล้วไม่ปิ๊ง...รู้สึกว่าตัวเองอาจจะวัยเกิน(ไม่ใช่เกินวัย 55)

แต่ที่ได้อ่านตอนนี้เพราะหานิยายมาอ่านเพื่อตอบโจทย์ในเกมอ่านหนังสือ...เลยไปหอบเอาหนังสือชุดนี้นับสิบเล่มมาจากบ้านน้องสาว...อ่านไปหลายเล่มก็อ๊ะ...เข้าทีแฮะ

เล่มนี้ใช้ตอบโจทย์ที่ว่าด้วย...ให้อ่านหนังสือ 1 เล่มที่เนื้อเรื่องมีผู้ชายเป็นตัวนำเรื่อง 2 คนขึ้นไป เช่น ครอบครัว พ่อ-ลูกชาย, พี่ชาย-น้องชาย .. หรือ แก๊งค์เพื่อนชาย

ส่วนที่ตอบโจทย์...เรื่องนี้มีตัวเอกเด่น ๆ เป็นชายสองคนคือจิรพัสกับคิรากร ซึ่งเป็นพี่น้องกัน นิสัยใจคออาจจะแตกต่างกัน ด้วยวัยที่ห่างกันถึงเจ็ดปี แต่ความเจ้าเสน่ห์น่าจะครือ ๆ กันนะ

ทั้งสองคนมีบทบาทโดดเด่นพอ ๆ กันในเรื่อง และหลงรักนางเอกเหมือนกันอีกด้วย...แต่ยังไงๆ คนอ่านก็ต้องเอาใจช่วยพระเอกอยู่แล้วแหละ

กำลังอ่านอีกเล่มของนักเขียนคนเดียวกันนี้...จบแล้ว หาโจทย์ลงได้แล้วจะนำมาอัพบล็อกต่อไปค่ะ














 

Create Date : 21 เมษายน 2554    
Last Update : 21 เมษายน 2554 11:40:17 น.
Counter : 7976 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  

แม่ไก่
Location :
ลำปาง Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 184 คน [?]




**หลังไมค์เจ้า**





Cute Clock Click!



เออสิ,มาอยู่ใยในโลกกว้าง
เฉกชลคว้างมาเมื่อไรไม่นึกฝัน
ยามจากไปก็เหมือนลมรำพัน
โบกกระชั้นสู่หนไหนไม่รู้เลย


รุไบยาต ~ โอมาร์ คัยยัม
สุริยฉัตร ชัยมงคล : แปล




Latest Blogs

~ท่านหญิงในกระจก/แสงเพลิง ~

~เพชรรากษส/อลินา ~

~มนตร์ทศทิศ/ราตรี อธิษฐาน ~

~เมื่อหอยทากมีรัก 1-2/"ติงโม่"เขียน/พันมัย แปล ~

~ให้รักระบายใจ/"ณกันต์"เขียน ~

~ผมกลายเป็นแมว/Abandoned/Paul Gallico เขียน(ภูธนิน แปล) ~

~พ่อค้าซ่อนกลรัก & หมอปีศาจแสนรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~

~อาจารย์ยอดรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~

~จอมโจรพยศรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~


สารบัญหนังสือ: รวมลิงก์หนังสือที่รีวิวในบล็อก # ๑ + ๒



Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add แม่ไก่'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.