สุดยอดแห่งความสำเร็จ - Og Mandino (สุริยฉัตร ชัยมงคล/แปล)
|
สุดยอดแห่งความสำเร็จ - The Greatest Success in the World Og Mandino /เขียน สุริยฉัตร ชัยมงคล/แปล
หนังสือเล่มนี้เก่ามาก...มากจนหาภาพปกไม่เจอเลยค่ะ เป็นหนังสือเล่มเล็ก ๆ บาง ๆ จัดพิมพ์โดยสนพ.สี่เกลอ เมื่อ มกราคม ๒๕๒๗ เขาโปรยปกไว้ว่า...
"ผู้ปรารถนาความสำเร็จที่แท้จริง ต้องไม่พลาดหนังสือเล่มนี้"
และ...
'เรื่องราวเหนือธรรมดา ของชายพิการผู้พิชิตอุปสรรคทั้งมวล ด้วยดวงใจที่เปี่ยมท้นความรัก สู่ความเป็นผู้บรรลุความสำเร็จสูงสุด'
เป็นหนึ่งในหนังสือชุดบันดาลใจ ของอ็อก แมนดิโน นักเขียนเชิงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่ ที่จขบ.เลือกมาอ่านด้วยเป็นผลงานแปลของนักแปลคนโปรด สุริยฉัตร ชัยมงคลค่ะ
หนังสือเล่มนี้บอกเล่าเรื่องราวของซัคเคอุส ชายพิการผู้มีเรือนร่างต่ำเตี้ย หากเขาเป็นประมุขเหนือเหล่านายภาษีทั้งหลายและมั่งคั่งมหาศาล...
โจเซฟ สหายสนิทและสมุห์บัญชีประจำตัวซัคเคอุส (ผู้เล่าเรื่องราวในหนังสือเล่มนี้)ได้ถามเขาว่า...
'...ท่านประสบความสำเร็จใหญ่หลวงเช่นนี้ได้อย่างไร ซัคเคอุส ท่านซึ่งเป็นเด็กกำพร้า ไร้การศึกษา ยากจนที่สุด เท่าที่คนเราจะยากจนได้ และร่างกายวิกลวิการ จนมีแต่คนคอยล้อเลียน...'
และนี่คือคำตอบของเขา...
"การกระทำตามบัญญัติเก้าประการแห่งความสำเร็จ จะทำให้ได้ลิ้มรสแห่งสรวงสวรรค์เช่นนั้นบนโลกมนุษย์แห่งนี้"
บัญญัติทั้งเก้าประการของเขามีดังนี้...
บัญญัติประการแรกแห่งความสำเร็จ - -จงหมั่นทำงานในแต่ละวัน ประหนึ่งชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย (ท่านไม่จำเป็นต้องรักงานที่ทำอยู่ แม้ราชันย์ยังฝันที่จะมีอาชีพอื่น ท่านต้องทำงาน สิ่งที่ตัดสินวิถีชีวิตคือทำอย่างไร ไม่ใช่ทำอะไร...ผู้ขาดความระมัดระวังในค้อนของตนย่อมไม่มีวันสร้างวังได้สำเร็จ...ไม่มีงานอะไรที่ทื่อทึมเสียจนไม่อาจปลุกให้มันมีชีวิตชีวาได้...)
บัญญัติแห่งความสำเร็จประการที่สอง - - จงเรียนรู้ว่า ด้วยความอดทนจะสามารถควบคุมชะตากรรมของตนเองได้ (ความอดทนคืออำนาจ จงให้มันสร้างสมจิตวิญญาณให้แข็งแกร่งขึ้น ทำให้อารมณ์หวานชื่นขึ้น สะกดกลั้นเพลิงโทสะ กลบฝังความริษยา ลดราความทรนง สงบปากสงบลิ้น เหนี่ยวรั้งมือ และนำท่านไปสู่ชีวิตอันเหมาะควร ในเวลาอันเหมาะสม)
บัญญัติแห่งความสำเร็จประการที่สาม - - ต้องกำหนดเส้นทางให้ดี หรือมิฉะนั้นก็ถูกพัดพาล่องลอยไปตลอดกาล (เป็นไปไม่ได้ที่จะก้าวหน้าไปอย่างเหมาะควรในชีวิตโดยปราศจากแผนการ - - จงให้โอกาสที่จะสำเร็จแก่ตนเองทุกวิถีทาง หากจะต้องล้มเหลวจงล้มเหลวขณะพยายาม)
บัญญัติแห่งความสำเร็จประการที่สี่ - - จงเตรียมพร้อมที่จะเผชิญกับความมืดมิด แม้ในขณะเดินทางอยู่ท่ามกลางแสงตะวัน (จงตระหนักว่า ไม่มีสภาวะใดที่ถาวร มีฤดูกาลต่าง ๆ ในชีวิต เช่นเดียวกับในธรรมชาติ)
บัญญัติแห่งความสำเร็จประการที่ห้า - - จงยิ้มใส่หน้าความทุกข์ยาก จนกระทั่งมันยอมพ่ายแพ้ (จงให้หยาดน้ำตาที่รินหลั่งเพราะเคราะห์กรรม ชะล้างคลองจักษุเพื่อจักได้มองเห็นซึ่งสัจธรรม - - ความทุกข์ยากคือสายฝนที่กระหน่ำใส่ชีวิต เย็นเยียบ อึดอัดและไม่เป็นมิตร แต่กระนั้น จากฤดูกาลนี้มิใช่หรือที่ดอกลิลลี่ได้ผลิบาน อินทผลัมและทับทิมให้ผล...)
บัญญัติแห่งความสำเร็จประการที่หก - - จงตระหนักว่าแผนการเป็นแต่เพียงความฝัน หากขาดการปฏิบัติ
บัญญัติแห่งความสำเร็จประการที่เจ็ด - -จงกวาดใยแมงมุมออกจากจิตใจ ก่อนที่มันจะจองจำท่านเป็นนักโทษ (จิตใจเป็นแหล่งของมันเอง และภายในตัวมันอาจเนรมิตได้ทั้งสวรรค์ในนรกภูมิ หรือนรกในสรวงสวรรค์ - -เหตุใดจึงยังมัวอาดูร ต่อความล้มเหลวที่ผ่านมาแล้วของตนเล่า...? จงอย่าปล่อยให้ความวิตกกังวลถึงพรุ่งนี้ทอดเงาของมันมาบดบังวันนี้ - -)
บัญญัติแห่งความสำเร็จประการที่แปด - - จงแบ่งเบาสัมภาระ หากปรารถนาจะถึงจุดหมายปลายทาง (จงทำชีวิตให้เรียบง่าย ผู้ที่อิ่มเอิบยินดีในสิ่งที่เล็กน้อยที่สุดคือผู้ที่มั่งคั่งที่สุด )
บัญญัติแห่งความสำเร็จประการที่เก้า - - จงอย่าลืมว่า สรรพสิ่งมักจะสายกว่าที่คิดเสมอ (จงจำไว้ว่าอูฐนิลกาฬพาหะแห่งมรณะป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ ๆ เสมอ ระลึกเสมอว่า ท่านไม่อาจอยู่ไปได้ชั่วนิรันดร์ - -จงอยู่กับความตายประหนึ่งมันเป็นสหายคนหนึ่ง แต่อย่าหวาดหวั่นมัน มีคนมากหลายที่กลัวตายเสียจนไม่เคยมีชีวิตอย่างแท้จริงเลย - -)
กฏแห่งการมีชีวิตอยู่ของซัคเคอุสมีเพียงเก้าประการ... แต่เมื่อเขาได้จารึกบัญญัติทั้งเก้าประการนี้ลงบนกำแพงเมือง ก็บังเกิดสิ่งมหัศจรรย์ขึ้น
นั่นคือ....
ปรากฏถ้อยคำแห่งปาฏิหาริย์ อันเป็นบัญญัติแห่งความสำเร็จประการที่สิบ ที่ผนวกเข้ากับบัญญัติทั้งเก้าประการของซัคเคอุส - -
จงอย่าดิ้นรนที่จะเป็นอะไรอื่น นอกจากตัวของท่านเอง - -
**เลือกอ่านหนังสือเล่มอื่น ๆ ในบล็อกนี้ได้ที่สารบัญหนังสือในบล็อกค่ะ
|
Create Date : 22 ธันวาคม 2551 | | |
Last Update : 6 มิถุนายน 2552 15:21:54 น. |
Counter : 2373 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เลือดสีม่วง : The Color Purple
|
เลือดสีม่วง : The Color Purple By : Alice Walker /อลิซ วอลเกอร์ ผู้แปล : อัครมุนี สํานักพิมพ์หมึกจีน / พิมพ์ มิถุนายน 2529
เป็นหนึ่งในหนังสือแห่งศตวรรษ - Book of the Century
โปรยปกหลัง :
ชีวิตมันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผู้หญิงผิวดำอย่างเซลีย์ แต่สังคมก็สอนให้เธอรู้ว่า ทำอย่างไรถึงจะอยู่รอดไปได้วัน ๆ อย่ามีความต้องการอย่าหวังอะไรทั้งนั้น จนกระทั่งนักร้องสาวชื่อดัง-แฟนเก่าของสามี เข้ามาพัวพันในโลกของเธอ... และสอนให้เธอกล้าพอที่จะหัวเราะ เล่น รัก... และหวังอะไรให้กับชีวิตตัวเองบ้าง
ตอนแรก :
ทางที่ดีแกอย่าบอกใครเป็นอันขาดยกเว้นพระผู้เป็นเจ้า มันจะฆ่าแม่ของแก
พระผู้เป็นเจ้าที่รัก,
ฉันอายุสิบสี่ปี ฉันเป็น -- ฉันเคยเป็นเด็กดีตลอดมา ท่านน่าจะส่งสัญญาณบอกให้ฉันรู้ได้แล้วว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับฉันบ้าง
ฤดูใบไม้ผลิที่แล้ว หลังจากลูเซียสเกิด ฉันได้ยินพวกเขาหงุดหงิดกัน เขาดึงแขนแม่ แม่บอกว่ามันเร็วเกินไป แม่ยังไม่สบายในที่สุดเขาก็ปล่อยแม่ไว้คนเดียว หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป เขาดึงแขนแม่อีก แม่พูดว่า ตอนนี้ไม่ ไม่เห็นเหรอว่าฉันกำลังจะตายอยู่แล้ว เด็ก ๆ พวกนี้ด้วย
แม่ไปหาหมอน้องสาวของแม่แถบมาคอน ทิ้งฉันให้ดูแลคนอื่น ๆ เขาไม่เคยพูดดี ๆ กับฉันเลย ได้แต่พูดว่า แกต้องทำสิ่งที่แม่แกทำไม่ได้
..................................
หยิบหนังสือเก่า ๆ เล่มนี้มาบอกเล่า เนื่องจากวันก่อนอ่านชีวิตรันทดของโดลอเรส ไพรซ์แห่ง "บนถนนชีวิตที่เลือนราง" แล้ว นึกถึงเซลีย์ ในเลือดสีม่วงเล่มนี้ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีอะไรที่เหมือนกันเลย อ้อ...เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือทั้งคู่เป็นผู้หญิง
แต่ชีวิตของเซลีย์ในเรื่องนี้รันทดกว่าเยอะมาก ๆ ๆ
แต่ในความรันทดและหดหู่นั้น ทำไมเรายังอ่านได้อย่างชื่นชมเล่า...คงต้องบอกอย่างที่คุณอั๊งอังอาบอกนั่นแหละค่ะว่า ต้องยกความดีความชอบให้กับผู้เขียน
นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นโดยผ่านมุมมองของเชลีย์ ผ่านจดหมายที่เธอเขียนถึงพระผู้เป็นเจ้า และมีบางฉบับเขียนถึงน้องสาวของเธอ...และบางบทบางตอนก็เป็นจดหมายตอบจากน้องสาว
เซลีย์เป็นเด็กสาวผิวดำที่ไม่ได้รับการศึกษามากมายนัก ภาษาเขียนของเธอจึงอาจจะดูกระท่อนกระแท่น ซึ่งนั่นเองคือเสน่ห์ของนิยายเรื่องนี้ เพราะเรื่องราวที่เธอสื่อออกมานั้น เปิดเผยและตรงไปตรงมา...
บางช่วงตรงเสียจน...อ่านแล้วอึ้ง อย่างนี้ก็มีอยู่ในโลกด้วยหรือ...?
"ตอนเขียนเรื่องนี้ออกมาวางขาย อลิซ วอลเกอร์ถูกวิจารณ์ว่าเป็นการขุดคุ้ยปฏิกูลในแวดวงสังคมของชนผิวเดียวกับเธอออกมาตีแผ่โดยไม่จำเป็น พวกผู้ชายผิวดำโวยวายว่า แบบนี้พวกเขาก็ถูกชาวโลกติเตียนกันแย่สิ
แต่วอลเกอร์ไม่สนใจกับเสียงโวยวายเหล่านั้น เธอถือว่า ผลงานในรูปของนวนิยายชิ้นนี้เป็นการสะท้อนข้อเท็จจริงในสังคมชนผิวดำอย่างตรงไปตรงมาที่สุด แน่นอน ในใจเธอเองก็หวังผลในลักษณะที่ผู้ชายผิวดำทั้งหลายหวั่นกลัว
นั่นคือ นอกจากจะเป็นการเปิดเผยให้คนทั้งโลกรู้ซึ้งในพฤติกรรมของผู้ชายผิวดำแล้ว ยังต้องการให้หนังสือเล่มนี้เป็นคู่มือ เป็นชนวนผลักดันให้ผู้หญิงผิวดำต่อสู้...ต่อสู้เพื่อให้ตัวเองมีความเป็น "มนุษย์" ในสายตาของพ่อหรือของสามีบ้าง..."
สำนวนแปลค่อนข้างเรียบลื่นค่ะ ถ้าจะสะดุดบ้างก็อาจจะเป็นเพราะภาษาของผู้เขียนที่ใช้
หยิบมาแนะนำช่วงนี้เพราะเห็นว่าใกล้งานหนังสืออีกแล้ว เผื่อใครไปเดิน ๆ พบเจอเข้าขอบอกว่าไม่น่าพลาดด้วยประการทั้งปวงค่ะ
แต่ดูจากปีที่พิมพ์แล้ว ไม่แน่ใจว่าจะยังมีวางขายอยู่หรือเปล่านี่สิ...
อ้อ...เรื่องนี้เคยถูกสร้างเป็นภาพยนต์มาแล้ว คอหนังรุ่นเก่า ๆ น่าจะเคยผ่านตานะคะ แต่จขบ.ไม่เคยได้ดูอ่ะ คาดว่าคงโตไม่ทัน แหะ ๆ
|
Create Date : 05 ตุลาคม 2551 | | |
Last Update : 5 มิถุนายน 2552 12:39:24 น. |
Counter : 8781 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
รักที่ริมขอบฟ้า ~ Out of Africa : ไอแซค ไดนีเสน / เขียน : สุริยฉัตร ชัยมงคล / แปล
|
รักที่ริมขอบฟ้า ~ Out of Africa ไอแซค ไดนีเสน / เขียน สุริยฉัตร ชัยมงคล / แปล สนพ.ทานตะวัน / พิมพ์ (ครั้งที่ ๒ / พ.ย. ๒๕๓๖ )
ฟ้าที่นั่นกว้างกว่าฟ้า ไอแดดอ้อมป่าเขาไว้ในฝัน อาบสาบสิงห์ กลางทุ่งหญ้า ณ แดนนั้น ฉันมีไร่ของฉัน, และมีรัก.
บนผืนแผ่นดินอาบแสงตะวันเจิดจรัส หญิงสาว...ความรัก...และกลิ่นอายอดีต
"รักที่ริมขอบฟ้า" หรือในชื่อเดิม (ฉบับพิมพ์ครั้งแรก) "พรากจากแสงตะวัน" แปลจากนวนิยายจากชีวิตจริงของไอแซค ไดนีเสน นามปากกาของคาเรน บลิกเซน หญิงสาวชาวเดนนิชผู้ไปใช้ชีวิตท่ามกลางแสงตะวันเจิดจ้าของอัฟริกาเป็นเวลานานกว่าสิบห้าปี...
เรื่องราวทั้งหมดที่เธอได้ร้อยเรียงออกมาเป็นนิยายเรื่องนี้ กลั่นออกมาจากความทรงจำที่มีทั้งความสุข ความทุกข์ ความหอมหวานแห่งความรักที่เธอมีต่อผืนแผ่นดินแห่งแสงตะวันอันไพศาลกับชู้รักชาวอังกฤษของเธอ และความเจ็บปวดขมขื่นที่เธอได้รับ ด้วยสำนวนภาษาที่ละเมียดละไม และหมดจดงดงาม...
เกริ่นกล่าวโดยผู้แปล :
ทาเนีย,
บัดนี้วันเวลาในอาฟริกาของคุณได้กลายเป็นตำนาน. แม้เทือกเขาง็องและยอดทั้งสี่ยังคงผงาดเสียดฟ้า และสายลมบนแผ่นดินสูงจะพาหมู่เมฆจรมาทักทายมันเสมอ แต่ทุกอย่างก็ได้เปลี่ยนไป แม้แสงตะวันจะยังคงเจิดจ้า และสิงโตยังคงเยื้องย่างอยู่ในทุ่งราบ แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป มันเปลี่ยนไปเพราะคุณได้กลายเป็นความฝันงดงาม
โชคดีที่ความงดงามนั้นได้ถูกบันทึกไว้ให้โลกได้รับรู้ ฉากแห่งอาฟริกาอันทรงศักดิ์และไม่มีวันหวนคืนจะตราตรึงอยู่ในหัวใจของผู้คนไปตลอดกาล สายใยอันบรรเจิดระหว่างคุณกับโลกพื้นเมือง ได้กรองกลั่นเป็นมณีงามหนึ่งแห่งมนุษยชาติ. ทาเนีย, คุณเคยฉงนว่าอาฟริกาจะรับรู้ถึงการดำรงอยู่ของคุณหรือไม่,
แต่บัดนี้, ไม่ว่าคุณจะอยู่แห่งหนใด, โปรดรับรู้ว่าโลกได้รับรู้ถึงการดำรงอยู่อันยิ่งใหญ่และงดงามแห่งอาฟริกาก็โดยคุณ.
ใช่, ไม่ว่าคุณจะไปอยู่แห่งหนใด, มืดเยี่ยงราตรีเวิ้งว้างที่พราวดารกา หรือสว่างอย่างวันที่ฟ้าครามตะวันสวย, ไม่ว่าห่านป่าสีเทาจะโบยบินสู่สารทิศใด, เหนือฟากฟ้าอาฟริกา, วิหคทรงศักดิ์ผู้เป็นภคินีแห่งดอกบัวจะลอยล่องคู่เมฆสนธยาอยู่ชั่วนิรันดร์.
คารวะแด่ความเจิดจรัส สุริยฉัตร ชัยมงคล
"รักที่ริมขอบฟ้า" (Out of Africa) เคยเป็นภาพยนตร์เมื่อปีค.ศ.1986 สร้างความประทับใจอย่างใหญ่หลวงแก่นักชมภาพยนตร์มาทั่วโลก ไม่เว้นแม้กระทั่งเมืองไทย ผู้หญิงหลายคนดูซ้ำถึง 12 รอบ ! ด้วยความงดงามดื่มด่ำและเข้มข้นของตัวละครเอกซึ่งเป็นชีวิตจริงของผู้เขียน...และด้วยความรักอันเป็นเสมือนตำนาน... ของเธอกับ 'คนรัก' ที่มิใช้สามี...
(บางส่วนจากคำนำสำนักพิมพ์) :
"...แม้ว่าภาพยนตร์จะสร้างจากการค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตของเธอ แต่ภาพยนตร์ก็มีข้อจำกัดในตัวของมันเอง ไม่สามารถจะดิ่งลึกลงสู่ชีวิตจิตใจอันแท้จริงของเธอได้เท่ากับหนังสือที่เธอเขียน ดังนั้นหนังสือของเธอทุกเล่มจึงสร้างปรากฏการณ์ขายดี... และได้รับการยกย่องจากนักอ่านและนักวรรณคดีไว้อย่างสูงส่ง กระทั่งเออร์เนสต์ เฮมิ่งเวย์ ก็ยกย่องเธอไว้อย่างสูงสุดเช่นเดียวกัน ถึงกับกล่าวว่า เธอน่าจะได้รับรางวัลโนเบลมากกว่าตัวเขา และยังยืนยันกับสามี(ตัวจริง)ของเธออีกด้วย..."
อีกหนึ่งเล่มจากผลงานแปลของสุริยฉัตร ชัยมงคลที่นำมาบอก กล่าว เล่า ขาน...ด้วยความประทับใจไม่รู้ลืมเลือนค่ะ
|
Create Date : 06 พฤษภาคม 2551 | | |
Last Update : 5 มิถุนายน 2552 13:14:12 น. |
Counter : 3240 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|