'หัวใจ๋ข้า หัวใจ๋เจ้า ห้อยอยู่เก๊าเดียวกั๋น' *
*คลิกเพื่ออ่านคำแปลเจ้า :)

สมมติ - หน้าที่ คำสอนของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ(๔)

...

ดังนั้นมาที่นี่ การปฏิบัติที่นี่จึงไม่ได้มีพิธีรีตองอะไรทั้งหมดเลย ตั้งใจให้ปฏิบัติจริงๆ เพื่อทำความเข้าใจจริงๆ ด้วยตนเอง เมื่อพูดเช่นนี้ ก็จะวกเข้ามาพูดเรื่องความเป็นไทยให้ฟังอีกสักพักหนึ่ง อาตมาเกิดแผ่นดินไทย เป็นคนไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ เกิดที่บ้านบุฮม ตำบลบุฮม อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย พ่อก็เป็นคนไทย แม่ก็เป็นคนไทย เกิดมาก็เป็นชาวพุทธร้อยเปอร์เซ็นต์จริงๆ เรื่องนี้

เมื่อเป็นหนุ่มขึ้นมา มีพี่สาวคนหนึ่งอยู่เมืองลาว ไปเมืองลาวเขาเรียกว่าคนไทย ตามปกติอาตมาต้องไปบ้านนั้นบ้างบ้านนี้บ้าง เขาว่าคนไทยข้ามโขงไปเบื้องฝั่งซ้ายเรียกว่าคนไทย พอดีเดินไปกรุงเทพบ้าง บางทีก็ไปเที่ยว เขาว่าลาว แน่ะ! ว่าความเป็นไทยอยู่ที่ไหนแน่..ไม่รู้ ต่อมา เอ๊ะ..เราก็มีความสงสัยขึ้นมา เอ๊ะ..ความเป็นไทยนี่เป็นยังไง เราเป็นคนไทย ทำไม๊…มากรุงเทพเรียกว่าลาว... ลาวอีสาน ว่าซั่น เป็นคนลาว ว่าซั่น


บัดนี้ เมื่อมาปฏิบัติธรรมะ ก็เลยรู้คนไทยจริงๆ คำว่าไทย ๆ นี่หมายถึงเป็นอิสระ แต่ไม่ใช่อิสระอยากพูดอะไรพูด อยากทำอะไรทำไป โดยไม่เคารพนับถือ อันนั้นไม่ใช่เป็นคนไทย เขาเรียกว่าคนป่า คนไม่รู้ คนแบบนั้นเรียกว่าอันธพาล คนไทยเนี่ยะ ต้องเป็นอิสระจริงๆ ต่อมาได้ถาม พูดความจริงอะ ถามอาจารย์ทวีวัฒน์ว่า เอ๊..ความเป็นไทยนี่เป็นยังไง อาจารย์ทวีวัฒน์ก็เลยเล่าให้ฟังว่า พระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ห้าปลดปล่อยทาส ว่าซั่น แต่เรื่องนี้ก็จำได้ พ่อก็เล่าให้ฟัง แต่จำไม่ได้ จำไม่ได้ก็เลยถามเพื่อน รัชกาลที่เท่าไหร่ บอกว่ารัชกาลที่ห้าปลดปล่อยทาสให้เป็นอิสระ บ้านอาตมามีทาสเรียกว่า ข้อย คนเรือน คนใช้ กลัว เด็กๆ ก็... ถ้าเป็นเจ้าของบ้านแล้ว คนเป็นทาสนี่ต้องกลัว ใช้อันใดก็ต้องทำไปทั้งหมดเลย เป็นอย่างนั้น อันนี้ก็ความเป็นทาสของคนจริงๆ

แต่ที่จะนำมาเล่าให้ฟังในวันนี้ คำว่าความเป็นไทยนี่ หมายถึงเป็นอิสระคือจิตใจหลุดพ้น ให้เข้าใจอย่างนี้ พูดให้ฟังเนี่ยะ จำได้ แต่บางคนอาจจะไม่รู้วิธีทำ คำว่าจิตหลุดพ้นนี้ทำอย่างไร จิตจึงจะหลุดพ้นได้ พระพุทธเจ้าสอนแล้วว่า จิตเป็นอิสระ เป็นประภัสสร เรียกว่าจิตหลุดพ้น เป็นอย่างนั้น


ดังนั้น การกระทำเรื่องนี้ มีทางเดียวเรียกว่า ทางสายเอก ว่า คือการเจริญสติ เจริญสมาธิ เจริญปัญญา คำว่าเจริญสตินี่ สติ, เป็นเพียงคำพูด สติเรียกว่าความระลึกได้ สัมปชัญญะความรู้ตัว พูดภาษาบ้านเราเรียกว่าคนลืมตัว คนไม่รู้ตัวเอง ต่อมาเมื่ออายุ ๔๖ ปีนี่แหละ ไปปฏิบัติธรรมะวิธีเคลื่อนไหว นุ่งกางเกงขาสั้นบ้าง ขายาวบ้าง เป็นโยม อย่างพวกโยมมานั่งอยู่ที่นี่แหละ เป็นโยมไปปฏิบัติธรรมะ รู้ขึ้นมา เพราะทำความรู้สึกตัวนี่แหละ พลิกมือขึ้นก็รู้ ยกมือขึ้นก็รู้ มีสติเข้าตามรู้จริงๆ ความไม่รู้มันเลยหายไป หายไป ความรู้มากขึ้น ๆ เหมือนวิธีบวกกับลบนี่แหละ ลบความไม่รู้หนีไป บวกความรู้มากขึ้น ๆ จนเต็ม เรียกว่าเต็ม คำว่าเต็มนี่หมายถึงนับ หนึ่งสองสามสี่ห้า หกเจ็ดแปดเก้าสิบ เมื่อสิบแล้วก็สมบูรณ์แล้วบัดนี่ ถ้าจะนับให้ถึงร้อยก็นับไป ถึงร้อยก็สมบูรณ์ไป

อันนี้ก็เหมือนกัน ทำจังหวะเนี่ยมากขึ้น..รู้ เอียงซ้ายเอียงขวา..รู้ พริบตาอ้าปาก..รู้ หายใจเข้าหายใจออก..รู้ กลืนน้ำลายผ่านลงไปในลำคอ..รู้ เอียงซ้ายเอียงขวาก้มเงย..รู้ รู้ทุกวิธี อันนี้เรียกว่าสมบูรณ์ เรียกว่าเต็มบริบูรณ์ เมื่อเต็มแล้วเกิดความคิดหรือปัญญาชนิดหนึ่ง ให้เรารู้ตัวเอง รู้ตัวเองก็ไม่ได้รู้อะไร รู้รูปรู้นามนี่แหละ อย่างที่เคยพูดให้ฟัง

พูดความอื่นไม่เป็นหรือหลวงพ่อ อาจจะคิดอย่างนั้น, เป็น แต่มันไม่จริง, ความจริงนี้เปลี่ยนแปลงไปไม่ได้ ต้องรู้อย่างนี้ รู้อย่างอื่นไม่ถูกต้อง เพราะศึกษาตัวเองก็ต้องรู้ตัวเอง รู้รูปรู้นาม รู้รูปธรรมรู้นามธรรม รู้รูปโรครู้นามโรค รูปโรคนามโรคมีสองอย่าง โรคทางกายโรคทางเนื้อหนัง ต้องไปหาหมอที่โรงพยาบาล หมอที่โรงพยาบาลจะตรวจเช็คร่างกายว่าเป็นโรคชนิดใด หมอจะให้ยารักษาโรคอันนั้นหายได้


แต่โรคชนิดหนึ่ง ความดีใจ เสียใจ พอใจ ไม่พอใจ อันนี้เขาว่าโรคจิตวิญญาณ บางทีหมอก็เป็นอีกด้วยซ้ำไป นอนไม่หลับ มือก่ายหน้าผาก คิดไม่หยุดไม่เซา อันนี้หมอก็เป็น จะรักษาโรคอันนี้ จำเป็นต้องศึกษา ปฏิบัติตามแบบพระพุทธเจ้า จึงจะรู้ได้ เห็นได้ เข้าใจได้อย่างนี้

เมื่อรู้อย่างนี้ก็เลยรู้ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ตามตำรา ครูบาอาจารย์สอนให้ว่า ผมหงอก ฟันหัก เนื้อหนังนี่มันแห้งเข้า ย่นย่อไป แต่ความจริงอันนั้นถูกน้อย ไม่ถึงร้อยเปอร์เซ็นต์

เมื่อมาศึกษาเรื่องนี้ คนเราเป็นก้อนทุกข์ชนิดหนึ่ง ตัวการเคลื่อนไหว ตัวอิริยาบถนั้นแหละเป็นตัวทุกข์ พระพุทธเจ้าจึงสอนให้กำหนดในอิริยาบถ

ดังนั้น คนเราเกิดมาก็เลยอยู่ด้วยทุกข์ กินด้วยทุกข์ นั่งด้วยทุกข์ นอนด้วยทุกข์ เคลื่อนไหวไปมา ไปด้วยทุกข์ทั้งนั้น จึงไม่รู้จักทุกข์ เรื่องนี้..เตือน...อันนี้ เมื่อมารู้จักทุกข์นี้แหละก็เลยเลิกได้ สิ่งที่ไม่มีสาระก็เลิกได้ เลยรู้จริงๆ รู้ทุกข์แล้วก็เลยรู้สมมุติขึ้นมา สมมุติผี สมมุติเทวดา สมมุติอะไรรู้ให้ครบให้จบให้ถ้วน รู้จริงๆ เรื่องนี้













 

Create Date : 16 ตุลาคม 2550    
Last Update : 20 ตุลาคม 2550 13:05:55 น.
Counter : 526 Pageviews.  

สมมติ - หน้าที่ คำสอนของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ(๓)

(ต่อ)...

ทีแรก อาตมานี่ไม่รู้ ก่อนที่จะรู้ก็มาสร้างจังหวะนี่แหละ สร้างไป สร้างมา เดินจงกรม เดินหน้าถอยหลัง เอียงซ้ายเอียงขวา ก้มเงย พริบตา อ้าปาก หายใจเข้า หายใจออก กลืนน้ำลายก็รู้ ทีแรกกลืนน้ำลายไม่ค่อยรู้ หายใจเข้า หายใจออกนี่รู้ กลืนน้ำลายไม่ค่อยรู้ ไม่ค่อยสนใจ คือมันกลืนไปตามธรรมดา

บัดนี้กลืนน้ำลายเข้าไปมันรู้..บัดนี่ รูคอเราเนี่ย คล้ายๆ คือมีสองรู ลงไปฮูนี่มันเปิดขึ้นมาเอาลมออกข้างนี้ เอากลืนลงฮูนี้ไป เปิดเอาลมออกข้างนี้ มัน..มันมีสองรู คือว่าท้องเรานี่คือเอาเข้าไปแล้ว มันออกมาข้างนี้...ลม เข้าข้างนี้ ออกมาข้างนี้ มันเป็นอย่างนั้น รู้อย่างนั้น


รู้จริงๆ เรื่องนี้ โดยที่ว่าไม่ติดอยู่กับเสื้อ ไม่ติดอยู่กับผ้า ไม่ติดอะไรทั้งหมดเลย มันรู้อันนี้ มันรู้เข้ามาในมันสมอง หรือมันรู้อยู่กับรูป...แด๊ะ...ไม่ แต่มันมีความรู้ชนิดหนึ่ง ถ้ามันรู้อยู่กับรูป รูปตายไป..เอ้อ..ถ้าคนตายแล้ว รู้มั้ย...ไม่รู้ ความรู้อันนี้จะไปปลูกฝังให้กันได้มั้ย...ไม่ได้ หยิบยื่นให้กันได้มั้ย...ไม่ได้

ความรู้ธรรมะจริงๆ นั้น จึงจะรู้ล่วงหน้าไม่ได้ คาดคิดไม่ได้ เดาเอาเองไม่ได้ มันต้องความเป็นเอง จึงว่า ทำอย่างนี้แหละ มันไปเป็นอย่างนั้น ก็เลยไม่รู้วิธีจะสอนกัน ทำอันนี้ทำไมไปเป็นอย่างนั้น เป็นได้เพราะเรื่องอะไร ไม่ทราบเลย เพราะเราทำอย่างนี้ เราก็เป็นอย่างนั้น เอ๊อะ..ทุกคนต้องทำอย่างนี้ ก็ต้องเป็นอย่างนั้น เราก็แนะเท่านั้นเอง นี่..นี่พูดให้มาอย่างนี้


พอดีมันเป็นแล้วมันก็รู้ โอ๊...ทำมั้ย เรามันทำอย่างนี้ ทำไมมันเป็นอย่างนี้น้อ มันคิดได้ซินี่ เอ๊...มันทำยังไงกันนี่ คิดหาเหตุผล ไม่รู้เลย เอ๊ะ..เพียงแต่เอาความรู้สึกนี่แหละเว่ย ความไม่รู้มันจะหายไปเอง ได้แต่เท่านั้นเอง ให้มันรู้ แล้วความไม่รู้มันหายไปเอง...หายไปเอง

อันที่มันคว่ำหน้ามันอยากหงายหน้า เหมือนกับเด็กน้อยนี่ มัน...มันนอนคว่ำหน้ามันอยู่เนี่ยะ มันหายใจฟืด เด็กน้อยนี่มัน..เรียกว่าทารกก็ได้ เด็กน้อยก็ได้ เกิดขึ้นมาใหม่ๆ เอานอนคว่ำหน้ามันพลิกคิงไม่ได้ มันก็ร้องอยู่นั่น มันก็พยายามพลิกคิงอยู่นั่นแน่ะ มันพลิกไม่ได้ ต้องมีคนช่วยมัน


อันนี้ไม่....ก็เหมือนกันแต่ว่า เราคว่ำหน้าอยู่เดี๋ยวนี้เนี่ยะ เราก็พยายามจะพลิกหน้า ก็ต้อง..วิธีจะพลิกหน้าก็คือเจริญสติเท่านั้นเอง มันจะหงายขึ้นมาคนเดียวมัน เด็กน้อยนั้นเมื่อเอามันคว่ำหน้าลงแล้ว มันมีแรงแล้วก็หงายขึ้นมาคนเดียวมัน ไม่ต้องไปสอนมันเลย

ความเป็นอันนี้ก็เหมือนกันไม่ต้องสอน สอนไม่ได้ เพียงแต่แนะวิธีเท่านั้นเอง นี่..ความจริง หลักพุทธศาสนานี่สอนเรื่องความเป็นไทย และคนไทยก็สอนเรื่องความเป็นไทย แต่เราไม่รู้ว่าไทยแท้อยู่ที่ไหน นึกว่าอยู่กับอะไรอ๊ะ..ใบประกาศ หรือญาบัตรผู้ที่เรียนสูงๆ น่ะ หรืออะไรวะพูดเมื่อกี๊เนี่ยะ (ผู้ฟังตอบ-สัญญาบัตร) สัญญาบัตร แล้วก็ผู้เรียนนักธรรมตรีนั่นก็เอาใบประกาศแล้วจึงเป็น อันนั้นมันเป็นเรื่องสมมุติ มันไม่ใช่เป็นเรื่องจริง ก็จะจริงโดยสมมุติ เท่านั้นเอง


เรื่องพูดให้ฟังวันนี้ก็บางคนก็อาจ..ที่มาเนี่ยะ อาตมาก็ไม่รู้ มีความรู้สูง คนกรุงเทพมาก ปริญญาทั้งนั้น โอ๊...ไปถอดยศปริญญาได้มั้ย ได้..ถอดได้ เป็นพระครู พระ ชี เจ้าคุณ...ถอดได้ เมื่อเขาไม่พอใจ ถอดได้ แต่ความรู้นี่ถอดไม่ได้ จริงๆ อย่างที่ครูเนี่ยะ ถ้าเป็นครูเขาถอดยศครูได้มั้ย แน่ะ...มันเป็นเรื่องสมมุติ จึงว่า เอาเข้าเอาออกให้กันได้ เราจะไปติดทำไม...สมมุติ เอาโดยกฎของธรรมชาติจริงๆ จึงว่า ให้เราเป็นอิสระได้จริงๆ






 

Create Date : 09 ตุลาคม 2550    
Last Update : 9 ตุลาคม 2550 14:52:47 น.
Counter : 472 Pageviews.  

สมมติ - หน้าที่ คำสอนของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ(๒)

.......

เมื่อพูดถึงตอนนี้ก็เลยจะพูดรวบลัดตัดใจความให้สั้น ความเป็นไทยแท้จริงอยู่ที่ไหน ไม่รู้จริงๆ คนไทยก็ไม่รู้คนไทย ไม่รู้ว่าเกิดเมืองไทยก็เป็นคนไทยล่ะสิ นี้อาตมาก็เข้าใจอย่างนั้น ในสมัยเป็นหนุ่ม ไปเมืองลาวเขาว่าคนไทย ครั้นไปกรุงเทพ เขาว่าคนลาว เอ๊ะ! ทำไมเราก็เป็นคนไทยเนี่ยะ ทำไมว่าลาว ทำไมว่าไทย เอ๊.....มันเป็น...เสาะหาความเป็นไทย ไม่รู้เลย ไม่รู้จริงๆ อาตมา เมื่ออายุ ๔๖ ปีแล้ว รู้ความเป็นไทยได้แน่..แน่นอน จริงๆ เรื่องเนี้ยะ

ความเป็นไทหมายถึงที่เราเปิดประตูออกมาได้ เดี๋ยวนี้เราอยู่ในกรงนี่ เราอยู่ในกรงรอบ รู้ไหม คำว่าความเป็นไทไม่ใช่หมายถึงเอาเนื้อหนัง อัน...อันนี้ก็มีจริงโดยสมมุติ ความเป็นไทจริงๆ หมายถึงจิตหลุดพ้น จิตหลุดพ้นจากความชั่วนั่นแหละ เรียกว่า ความเป็นไท พูดง่ายๆ เราเคยพูดกันว่า ความเป็นไทหมายถึงจิตหลุดพ้นจากกิเลสก็ได้ หรือจากความไม่รู้ก็ได้ นี่ว่าความเป็นไท จิตจึงเป็นอิสระได้


ถ้าหากจิตยังไม่เป็นไทจริงๆ เป็นอิสระไม่ได้ มันจะไปติดสมมุติ ไปติดอะไรต่างๆเหล่านี้แหละ ดังนั้น ความเป็นไทจึงไม่ขึ้นอยู่กับเสื้อกับผ้า ไม่ขึ้นอยู่กับบุญวาสนาอะไรทั้งหมดเลย นี่..พูดอย่างนี้ก็โอ้..ตายแล้ว ลบล้างขนบธรรมเนียมประเพณีแล้ว อันนั้นเป็นคำพูดของบุคคลไม่รู้ อาตมาจึงถูกกล่าวหา เขาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ อื้อ..เป็นอย่างนั้นก็มี

ก็พูดความจริงให้กันฟัง เขาก็ว่า เอ๊ะ! เป็นมิจฉาทิฏฐิ ว่าอย่างนั้น เอ้อ..เป็นอย่างนั้นจริงๆ อาตมาได้อ่านหนังสือ หนังสือของคุณปุ่นเนี่ยะ หนังสืออะไรอ่ะ คู่มือมนุษย์ ก็เห็นว่าหนังสือเล่มนั้น โอ๊..ดีแล้วนี่ ก็รีบซื้อมาทันที ซื้อไปแจกเพื่อนอ่าน เพื่อนว่า เอ๊..เธอเนี่ยมันชอบเป็นอย่างนั้น เขาว่าอย่างนั้น แต่ความจริงอาตมาตั้งใจจริงๆ เพื่อนที่รักกัน เอาไปให้อ่าน หนังสืออันนี้หนังสือคอมมิวนิสต์ เขาว่าอย่างนั้น เธอไปแสวงหาแต่คอมมิวนิสต์อย่างนั้นน่ะ อ้าว...บ้า..เธอเป็นบ้า เธอน่ะเป็นบ้า เขาว่าอย่างนั้น


โอ๊...ก็เลยรับว่า โอ้..บ้าจริงๆ เราก็บ้าไปอย่างหนึ่ง เขาก็บ้าไปอย่างหนึ่ง คนทุกคนจึงมีบ้าอยู่ในตัวเรา บ้าในตัวเนี่ยะไม่เห็น ไม่เห็นบ้าในตัวจริงๆ อายุ ๔๖ ปีแล้วจึงจะรู้บ้าอันนี้ขึ้นมาได้ นี่...พูดความจริง ถ้าพูดความจริงอย่างเนี้ยะ คนฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง ไม่รู้ คนฟังรู้เรื่องมันต้องเป็นคนมีปัญญา เอาไปให้...เอาไปให้เค้าก็..เอาไปเถอะ เอาไป เอาไป เอ้า..ไม่เอาไปแล้ว ซื้อ..ตั้งซื้อมาให้เธอแล้ว เธออ่านนะ ถ้าอยากอ่านก็อ่าน ไม่อยากอ่านทิ้งไปเทื่อนึง พอดีเอาไปวางไว้นั่น ได้ประมาณจักห้าวันน่ะ เธอ..อ้า..เขาก็อ่านน้อยๆ เขาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ เขาไปเผาไฟทิ้ง-เขาว่า เที่ยวหลังก็ซื้อมาอีก ไปพยายามให้มันรู้ มันก็ไม่สนใจเรื่องนี้

ธรรมะเนี่ยจำเป็นมีอยู่แล้ว มันถูกปิด เนี่ย… เขาว่าอวิชชาแปลว่าความไม่รู้ อวิชชาแปลว่าไม่รู้อันนี้ มันถูกคว่ำหน้าอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา แต่เมื่อมาตะแคงขึ้น มันจะมาหงายขึ้นมาอย่างนี้ พวกเราอยู่ที่นี่ก็คล้ายๆ กันนะ พูดนี้ บางคนไม่รู้มันคว่ำหน้าอยู่ ตัวจิตที่เป็นอิสระความเป็นไทยนั้นแหละ มันคว่ำหน้าอยู่อย่างนั้น มันไม่ถูกเปิดขึ้นมาอย่างนี้

อันคนไทย สำมะโนครัวเป็นคนไทย หรือชาวพุทธ อ้า..เป็นชาวพุทธสำมะโนครัว อันนั้นถูกน้อย ไม่ถูกมาก ความจริงนะนี่ พูดให้ฟัง...

ถ้าเป็นคนไทยแท้ๆ นะ โดยสมมุติกันก็ได้นี่ เขาว่าคนไทยต้องรักชาติ รักศาสนา รักพระมหากษัตริย์ คำว่ารักชาติ รักยังไง รักศาสนา รักยังไง รักพระมหากษัตริย์ รักยังไง ไม่รู้ ไม่รู้จริงๆ เรื่องนี้ อ้าว อันนี้ขออภัย แต่พูดความจริงให้ฟังอย่างนี้ คนไม่พอใจ อย่างเช่น ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน ครู ตำรวจ ทหาร เป็นคนไทยจริงๆ แล้วทำไมไปทำอย่างนี้ ทำ..ทำยังไง เอ๊..บิดเบือนต่อหน้าที่ จะถือว่าเป็นคนไทยรักชาติได้รึ - ไม่ได้


นี่อาตมาสลดใจจริงๆ คราวนั้น น้ำตาไหลหมดเลย คราวนั้น พูดความจริงให้ฟัง เรียกว่าเมียก็ได้ แม่ออกแม่เทียนก็ได้ คราวนั้นยังเป็นโยมอยู่นี่ เอาผ้า..ผ้าอาบน้ำนี่ มาเช็ดน้ำตานี่จนเปียกทั้งผืนเลย มันคิดถึงประเทศชาติบ้านเมือง โอ๊...ตาย..อย่างนี้ทำได้ แหม...ไปทำได้อย่างนี้ทำไม นี่มัน..มัน...มันไม่ได้...มันไม่ได้ทำตามหน้าที่จริงๆ ถ้าหากทำตามหน้าที่จริงๆ แล้ว โอ๊ย...มันความสุข ความไม่ทุกข์ มัน..มันทุกคนต้องทำงานเพื่องานเท่านั้นเอง ถ้าหากทำงานเพื่อความทุกข์แล้วก็เดือดร้อน อันนี้พูดให้ความจริงฟัง

คนเดี๋ยวนี้ ไม่ทำงานตามหน้าที่ ทำงานเพื่อเห็นแก่ตัว มันก็เลยเดือดร้อนเท่านั้นเอง จะถือว่ารักชาติมั้ย ถูก..คำพูดนั้นถูกอยู่ เพราะกฎหมายเนี่ยครับ กฎหมายเนี่ยทุกฉบับทีเดียว เขาไปลงมติกันแล้ว รัฐมนตรีอะไร อาตมาไม่ทราบเพราะไม่เคยเรียนหนังสือนี่ แล้วก็ ลงมติกันแล้วก็ต้องเสนอไปให้ในหลวง ในหลวงก็ต้องอ่านอีกนะ เห็นว่าที่นี่มันบกพร่อง ก็ในหลวงก็ยังไม่รับ ก็ว่าเอากลับคืนมาให้พวกนี้พิจารณาอีก พิจารณาดีแล้วก็เอายื่นขึ้นไปน่ะ ในหลวงอ่านแล้วเห็นว่าไม่บกพร่อง จะไม่เดือดร้อน ท่านก็เซ็นลงมา เอาลงมาแล้วก็มาทำเป็นกฎหมาย แล้วบัดนี้ทำไมเราไม่เคารพ

เมื่อเราไม่เคารพกฎหมาย เราจะถือว่ารักสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไหม รักไหม ไม่รัก จริงๆ เรื่องนี้ ไม่รัก ตามปกติเนี่ย มันต้องเคารพ นี่เราทุกคนต้องทำงานตามหน้าที่อย่างนี้แหละ แต่ไม่ได้หวังว่าจะเอาลาภยศอะไรอย่างที่นายทหารคนนั้นแหละ มันตื่นตัวเพราะเราตื่นยศนั่นเอง


ถ้าหากทุกคนไม่ตื่นยศตื่นลาภ ไม่ตื่นสมมุติแล้ว ทำไปอย่างนั้นแหละ หน้าที่ของเรา ทำอย่างนี้ต้องทำไป ผิดถูกเป็นเรื่องธรรมดา อันนี้แหละความผิดที่ทำมาแล้ว..เลิก เราต้องตั้ง..ตั้งต้นชีวิตกันใหม่ ที่มานี้ บัดนี้ถ้าหากรักชาติจริงๆ น่ะ ไม่ใช่ว่ารักแผ่นดินอันนี้นะ แผ่นดินนี้ก็รักไว้ แต่เพราะมีตำรวจทหารดีแล้ว แต่ต้องเคารพกฎหมายนี่แหละ เมื่อกฎหมายตรายังไง เราต้องเคารพ อันนี้แปลว่ารักชาติ รักพระมหากษัตริย์

รักศาสนา รักยังไง คือพระพุทธเจ้าท่านสอน ทำให้มันเป็นจิตหลุดพ้น ทำให้เป็นอิสระ อย่าให้เขามายกย่องได้ ท่านว่าอย่างนั้น อันถ้าเขายกย่องได้ ยังเป็นคนไทยไม่ได้ เป็นได้โดยสมมุติเท่านั้นเอง


อ้า..ที่นำมาเล่าให้ฟังวันนี้ บัดเดี๋ยวจะหา โอ้ย...ตายแล้ว พูดอย่างนั้นน่ะ ใครจะรู้ได้ ได้...ได้จริงๆ เหมือนกับที่เราอยู่ในกรงเนี่ย เราเปิดประตูออกมาซิ เราจะสว่างได้จริงๆ เนี่ยะ...ที่ผมเคยพูดให้ฟัง เหมือนกับคนเข้าไปในถ้ำนะ เราจุดไฟขึ้น มันก็มีความสว่างเล็กน้อย ฟังนี่...รู้ แต่ใจมันไม่รู้ จึงว่ามันทำชั่วได้..คนนี่ ถ้าใจมันรู้ สัมผัสได้จริงๆ แล้วว่า มันจะทำไม่ได้ เพราะว่าอันนี้เป็นของจริง จริงๆ นะ มีในคนทุกคนนะเดี๋ยวนี้นี่ อันนี้แหละคือว่า ที่พระพุทธเจ้าท่านสอนน้อยๆ สอนความจริง แต่ความจริงไม่มาก สอนน้อยๆ แล้วจะรู้ได้โดยวิธีไหนหึ อันนี้ก็กลับมาพูดเหตุของมัน






 

Create Date : 04 ตุลาคม 2550    
Last Update : 9 ตุลาคม 2550 14:53:11 น.
Counter : 499 Pageviews.  

สมมติ-หน้าที่ คำสอนของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ (๑)

หมายเหตุจขบ.- คำสอนของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภนี้ ได้ถอดออกมาจากแถบบันทึกเสียงที่บันทึกไว้เมื่อครั้งที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ นำมาเผยแพร่โดยไม่ได้แก้ไข ดัดแปลง ตัดตอน หรือต่อเติมแต่อย่างใด

สมมติ-หน้าที่ (๑)

.....เวลาการฉัน คำว่า “ฉัน” ที่นี่... รับประทานอาหาร มันเป็นคำสมมุติขึ้นให้กันเท่านั้น ดังนั้น ท่านผู้ฟังวันนี้ต้องตั้งใจฟังนะ พูดแล้ว พูดอีก พูดแล้ว พูดอีก พูดคำเก่านี่แหละ เพราะธรรมะนั้นเป็นของจริง เป็นของเดิม ต้องพูดเหมือนเดิม พูดของจริงนั้นจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ต้องพูดความจริงอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา

ความจริงอันนี้ ที่จะนำมาเล่าสู่ฟังกันในวันนี้ คือ อาตมาคนหนึ่งเป็นคนที่แสวงหาธรรมะ ไม่เข้าใจธรรมะจริงๆ แต่สำหรับตัวของอาตมาหรือตัวของผม แต่เมื่อเป็นเณร เคยทำกรรมฐานกับอาจารย์ วิธีพุทโธ หายใจเข้า-พุท หายใจออก-โธ ไปนั่ง … นั่งขัดสะหมาด เรียกว่า ขัดสมาธิ ตัวให้ตรง นี่ก็ทำ แต่ได้ความสงบเพียงเล็กน้อย.....( เทปมีเสียงซ่า )


อันความสงบกับความรู้สึกตัวเนี่ยมัน...มันเป็นอันเดียว...ความไม่รู้สึกตัวนั้นจะจัดเป็นความสงบไม่ได้ เหมือนกับคนนอนหลับนั่นแหละ จะจัดว่าคนนอนหลับเป็นความสงบไม่ได้ มันเป็นอย่างนั้น

ดังนั้นวันนี้จึงจะนำมาเล่าสู่ฟังเพียงความจริง คนเรามันไม่รู้สมมุติ ไม่รู้จริงๆ ........ตัวของผม สมมุติว่าเงินเนี่ย-ไม่รู้ เพราะมันเป็นของจริง ของศักดิ์สิทธิ์จริงๆ พระพุทธรูปอย่างนี้ ก็ว่ามันเป็นของจริง เป็นของศักดิ์สิทธิ์จริงๆ มันเข้าใจอย่างนั้น มันก็เลยไม่รู้ พูดเรื่องความไม่รู้นี่มีมากที่สุด เป็นอย่างนั้น มันก็มีมากที่สุด จะพรรณนาเอามาเล่าให้ฟังไม่ครบ ไม่จบ ไม่ถ้วน.....


อย่างทีบ้านผมหรือบ้านพี่สาว ผมมี... เรียกว่ามีอำนาจก็ว่าได้ มีความสามารถที่จะชี้แนวทางให้เขาทำอย่างนั้นอย่างนี้ได้ คราวหนึ่งบ้านเมืองมันเดือดร้อน เขาว่ายักษ์จะออกมากินคน ว่าอย่างนั้นน่ะ เขาพูดกันเต็มบ้านเต็มเมือง ก็ไปเอารูปอาจารย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ ใครๆ ก็ตามแหละ เอามาติดที่หน้าประตูเข้าในบ้าน บ้านตัวเองก็เอาไปติดไว้ บ้านพี่สาวก็เอาไปติดไว้ ไม่เอามาติด-ไม่ได้ ยักษ์จะเข้ามาบ้าน (หัวเราะ) หึๆๆ... ไม่รู้ เรื่องนี้เป็นเรื่องงมงายทั้งนั้น พูดแล้วมันก็น่า...น่าขำจริงๆ นี้มันจะไปศักดิ์สิทธิ์เรื่องอะไร พูดเรื่องนี้มาก็..จะพูดความจริงให้ฟัง

ครั้งหนึ่งไปอยู่วัดชลประทาน เจ้าคุณปัญญาขอร้องให้ไปสอนกรรมฐานที่วัดชลประทาน มีนายทหารคนหนึ่ง เขาเป็นนายร้อย..นายร้อยเอกได้เป็นนายร้อยเอกแล้ว แต่นายร้อยเอกหนุ่มๆ พอดีเขาเลื่อนชั้นให้เป็นนายพันตรี เตรียมตัวจะไปรับพัดยศหรืออะไร อาตมาไม่ทราบ หรือเป็น...เป็นใบประกาศหรืออย่างไร อาตมาไม่ทราบเรื่องนี้ ก็เตรียมตัวแล้วก็มากินข้าว กินข้าวแล้วก็มองกระจก เลี่ยมนั้นเลี่ยมนี้ มองดูท่าทีจะไปรับใบประกาศหรือพัดอะไร อาตมาไม่รู้เรื่องนี้ ( เสียงผู้ฟังพูด...สัญญาบัตร ) สัญญาบัตรตี้ ไม่รู้ แต่บ้านเขามีคลอง มีไม้ก่าย(พาด)ข้ามคลอง มองกระจกเตรียมเรียบร้อยจะไปรับเอาพันตรี พันตรีหนุ่มนะ เอ๊ะ! เดินออกไปมันไปพลิกคิง(พลิกตัว)อย่างไรก็ไม่รู้ ( พูดกลั้วหัวเราะ ) ไม่รู้ คนๆ นั้น ความจริงเป็นอย่างนั้น นี้คนไม่...ไม่รู้ ไม่รู้สมมุติจริงๆ พอดีไปมองอะไรไม่....ตกลงคลองเลย เครื่องแต่งตัวอันนั้นก็เลยเปียกไปหมดเลย ก็เลยเอาเครื่องแต่งตัวนั้นไปรับไม่ได้ กลับเข้าไปถ่ายชุดใหม่ไปเลย ชุดนี้ก็ไม่สวยแล้ว ชุดที่ไปรับเอาพันตรีเนี่ย ไม่..ไม่สวยแล้ว

อันนี้แปลว่าคนไม่รู้จักสมมุติ ติดสมมุติจริงๆ เนี่ยะ เสื้อผ้า พัดยศ หรือใบอะไรก็ ( ผู้ฟังพูด...สัญญาบัตร ) สัญญาบัตรนั้นน่ะ มันเป็นเพียงสมมุติขึ้นมาให้เราเท่านั้นเอง อันนี้แหละ คนเรามันทิ้งหน้าที่จริงๆ แน่ะ


อันนี้ก็มีอีกเรื่องหนึ่งที่จะนำมาเล่าให้ฟัง มีครูโรงเรียนคนหนึ่ง ครูโรงเรียนคนนั้นเป็นครูมา ต่อมาสอนโรงเรียนดีแล้ว ก็ท่านเอาการเอางานดี เขาเลื่อนชื่อ..อ้า..เลื่อนชั้นให้เป็นศึกษา พอดีเป็นศึกษาก็ต้องมีการกินเลี้ยงกัน เชิญพรรคพวกมากินเลี้ยงกัน พอดีตอนเช้ามาแล้ว เรียกว่าภรรยาก็ได้ แฟนก็ได้ จะว่ายังไงก็ได้ล่ะ พูดตามภาษาบ้านของอาตมาก็เรียกว่าเมีย ผัวเมียกัน แต่งกับข้าวมาให้กิน วันนี้พอดีเพื่อนหนีไปหมดแล้ว ไม่ยอมกินข้าวกับเมียอีกแล้ว ลูกก็ไม่กินแล้ว เราเป็นศึกษาแล้วนี่ มันตื่นไปเลย นี้คนมันไม่รู้จักสมมุติ แต่ความจริงอันนั้นมันไม่ใช่เป็นเรื่องอะไร เขาเลื่อนชั้นให้ มันก็เอาไปทิ้งไว้ที่ไหนมันก็อยู่อย่างนั้น

ที่พูดความจริงเนี่ย อย่างที่อาตมานุ่ง คราวนี้นุ่งเสื้อ..เสื้อกันหนาวนี่ แต่ความรู้อันนั้น มันไม่ใช่ได้อยู่ที่เสื้อนี่เด่ะ เสื้อนี่ไปแก้ไว้ที่ไหน มันก็อยู่อย่างนั้นแหละ แต่ความจริงให้เรารู้ว่า อันนี้เป็นหน้าที่ของเรา เราต้องปฏิบัติหน้าที่ของเราให้ถูกต้อง เช่น เป็นครูก็เช่นเดียวกัน อันครูนั้นมันเสื้อเป็น เขาไปติดไว้เสื้อ เขาไม่ได้ติดไว้หน้าผากคนเลย เขาไม่ได้ติดไว้ที่ไหนในคน เขาติดไว้เสื้อ ติดเครื่องพัด เครื่องอะไรเครื่องยศเครื่องอะไรเหล่านั้นแหละ เป็นตำรวจก็เหมือน..เขาติดไว้เสื้อ หรือเคยเห็นคนเอาไปติดไว้หน้าคนมั้ย ใครมีที่ไหน ไม่เคยไปติดไว้หน้า ไปติดไว้ที่ไหนไม่เคยมีเลย

อันนี้แหละหลง..หลงจริงๆ คนเราหลงจริงๆ หลงสมมุติจริงๆ แต่คนมันก็เป็นคนธรรมดานี้เอง แต่ว่าเมื่อเขาแต่งตั้งให้แล้วก็ต้องทำการทำงานตามหน้าที่เท่านั้นเอง เมื่อเอาเสื้อไปวางไว้แล้ว เครื่องหมายอันนั้นมันก็ไม่ได้ติดเราไป ไม่ได้ติดเราไปจริงๆ แน่ะ! เป็นอย่างนั้น จึงว่าอันนี้ก็พูดความจริงให้ฟัง


ดังนั้น การศึกษาธรรมะนี่ อาตมาก็เลยรู้สมมุติอันนี้ขึ้นมา รู้ขึ้นมาทีแรกมันไม่รู้หรอก ทีแรก ทีแรกมันก็รู้รูป รู้นามนี่แหละ เคยพูดให้ฟัง แล้วตอนรู้สมมุตินี่ มันรู้ไปให้ครบให้จบให้ถ้วนจริงๆ รู้จริงๆ เรื่องเนี้ยะ พอดีรู้เรื่องนี้แล้วก็เลิกละได้ เลิกละจริงๆ อาตมาไม่เห็นว่ามีความศักดิ์สิทธิ์อะไรกัน แต่ว่าเราจะทำให้มันดีหรือชั่วเท่านั้นเอง ถ้าเราทำดีมันก็ดี เราทำชั่วมันก็ชั่วเท่านั้นเอง

อันเครื่องหมายอันนั้นมันไม่ได้รู้ว่าดีว่าชั่ว มันไม่รู้ แต่นายทหารคนนั้นแหละ เป็นความจริง พอดีตกคลองแล้วก็เลยกลับคืนไปแต่งชุดใหม่ ชุดนี้ก็ไม่สวยเหมือนเดิมแล้ว เพราะว่าชุดนั้นมันเตรียมพร้อมแล้วเนี่ยะ ก็ไปรับเอา เค้าก็ให้เหมือนกัน ให้อันเครื่อง..อะไร สัญญาบัตรติ เขาก็ให้เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าแต่งเครื่องชุดนี้ไปแล้ว เขาไม่ให้ เขาไม่ว่าอย่างนั้น เขาว่า เขาให้ตามหน้าที่เท่านั้นเอง

ดังนั้น พวกเรามาที่นี่ ก็ต้องว่าให้เข้าใจหน้าที่ของเรา เรามาปฏิบัติธรรมะ บัดนี้ก็ต้องสับกันไป เรามาปฏิบัติธรรมะ ต้องปฏิบัติตามหน้าที่ของเรา ตอนนี้ก็จะยกเอาตัวเองแหละมาพูด เพราะตัวเองทำยังไง ก็ต้องเอาอันนั้นมาพูด เพราะคนเรามีเรื่องอันใด ก็ต้องเอาเรื่องนั้นมาพูดสู่กันฟัง


สมัยนั้นไป...ไปปฏิบัติธรรมะ อาจารย์ต้องมี..มีขอกรรมฐาน การขอกรรมฐานเข้าออกได้ กรรมฐานก็เข้าได้ ออกได้นะ แต่ต่อมาเดี๋ยวนี้ ทำไมหลวงพ่อจึงไม่ให้ขอกรรมฐาน ไม่ให้เข้าให้ออก ตัวกรรมฐานจริงๆ นั้น มันไม่มีการขอ ไม่มีการเข้า ไม่มีการออก มันต้องทำอยู่เดี๋ยวนั้นตลอดเวลา คนใดรักการ รักงาน รักหน้าที่ คนนั้นแหละ ชื่อว่าเป็นคนเอาจริงเอาจัง

คนโบราณ ข้าเจ้าสอนเอาไว้ ความซื่อสัตย์เป็นสมบัติของคนดี หากคนใดไม่ซื่อสัตย์ ว่าซั่น จะเอาดีไม่ได้ คนใดไม่ซื่อสัตย์ ไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองแล้ว จะเอาดีไม่ได้ ท่านว่า มันเข้าหลักคนสมัยนี้พูดว่า มีความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด มันเป็นอย่างนั้น

ดังนั้น การปฏิบัติธรรมะนี้ รู้แล้ว รู้แล้วต้องจดจำเข้าไปในมันสมอง ที่ไหนไม่ทราบเลย มันรู้แล้วมันไม่หลงไม่ลืมจริงๆ มันไม่หลงไม่ลืมจริงๆ เนี้ยะ! มันเป็นอย่างนั้น


ดังนั้นอาตมาก็เลยเลิกละได้จริงๆ เพราะเห็นทุกข์ ความทุกข์เนี่ยะ หายใจเข้าก็ทุกข์พอแฮงแล้ว กลืนน้ำลายก็ทุกข์อยู่พอเเฮงแล้ว นี่! กินข้าว เคี้ยวข้าว เคี้ยวอาหารนี่ ก็ทุกข์แทบจะตายแล้วเดี๋ยวนี้ แล้วยังซ้ำมิหนำจะไปทำธุระอื่นๆ เข้ามาทุกข์อีกแล้ว นี่! มันเห็นอย่างนี้จริงๆ

เมื่อเห็นอย่างนี้ น้ำตามันไหลออกมาเลย..อาตมา ไหลออกมา โอ้โถ...ตาย เราทำไมจึงไม่รู้สิ่งนี้เป็นทุกข์ มันทุกข์จริงๆ คนเราเป็นก้อนทุกข์ชนิดหนึ่ง เราเห็นอยู่นั้น เห็นอยู่นั้นตลอดเวลา คราวนั้นติดบุหรี่ นี่! อาตมาติดบุหรี่ สูบบุหรี่กระป๋อง เอาไปซื้อเอาเวียงจันทน์ เพราะเวียงจันทน์นี่มันไปมาหากันสบาย ไม่ต้องขอหนังสือ ไปได้มาได้ ไปเวลาใดก็ได้ เด็กก็ได้ คนแก่ก็ได้ ข้ามไปข้ามมา
เวียงจันทน์มันเป็นเมืองลาว แล้วฝรั่งเค้า..เข้าไปอยู่ แล้วเขามีอะไรดีๆ เนี่ยะ ไปขายที่เวียงจันทน์ ไปซื้อเอามาสูบเป็นประจำเลย พอดีหมดยาแล้วคราวนี้ก็ต้องมีคนเดินไปเดินมา เราไปหาซื้อที่ไหนไม่ได้ คนสูบบุหรี่ไปไกลๆ เนี่ยะ ถ้าลมเอามาก็ตาม อะไรมัน กลิ่นมันมาเข้าจมูกเนี่ยะ ซซซซ......( ทำท่าสูดหายใจเข้าเสียงดัง ) อย่างนี้แหละ สูบเอา มีแรง มีแรง ยังไม่ทันได้สูบนะ มีแรงแล้วเนี่ยะ มันติดเอาจริงๆ เนี่ยะ นี่แหละกิเลสน่ะ ให้เข้าใจว่ากิเลส


กิเลสไม่ใช่เป็นตัวเป็นตนนะ ไม่ใช่ย่าง(เดิน)มาอย่างคนธรรมดานี่น่ะ ไม่ใช่ย่างมาอย่างสัตว์ มันไม่เห็นตัวเห็นตนเลย อันนี้เรียกว่าญาณ ญาณปัญญา ปัญญาเข้าไปรู้หรือว่าญาณชั้นแรกเข้าไปรู้ สมมุติก็เหมือนกัน ญาณ ญาณเข้าไปรู้ ปัญญาเข้าไปรู้...













 

Create Date : 03 ตุลาคม 2550    
Last Update : 3 ตุลาคม 2550 12:36:12 น.
Counter : 593 Pageviews.  

อย่าหวังกันนักเลย คำสอนของหลวงพ่อเทียน จิตตฺสุโภ (๘ - จบ)



(ตอนจบ)

คนบางคน…หลวงพ่อไปอยู่วัดชลฯ ปี ๑๘ (พ.ศ. ๒๕๑๘) นั้นน่ะ คนเชียงใหม่ มีลูกสาวคนเดียว พ่อแม่เป็นคนรวยมาก มีโรงสี มีโรงงาน โรงน้ำแข็ง มีอะไร ๆ หลายอย่าง ไปเรียนหนังสือจากเมืองนอก ไปเรียนหนังสือจากประเทศอเมริกา พอดีสอบไล่ได้ เป็นปริญญามา จะเป็นปริญญาโทหรือปริญญาเอกนี่หลวงพ่อไม่รู้ แต่คุณแดงเล่าให้ฟังพอดีเข้ามาถึงบ้าน มันตั้งความหวังไว้ผิด มันไม่ได้สมหวังมา พอดีมาถึงบ้านไม่ถึงห้าวันเลย สองวันสามวัน กระโดดตึกมาตั้งแต่ตึกเก้าชั้นพู้น ไม่ใช่โดดทีละขั้นนะ โดดมาทีเดียวนะ ร่วงถึงดินทีเดียว (กระ)ดูกหักเลย มันไม่ใช่ตายทันที (กระ)ดูกหักเลย กระดูกหักแล้วมันยังหายใจได้ เขาเอาไปโรงพยาบาล คุณแดงไปเล่าให้หลวงพ่อฟัง

(คุณแดง) - หลวงพ่อ ถ้ามันไม่ตายจริง ๆ หนูจะเอามาฝากหลวงพ่อ หลวงพ่อจะรับไหม
ได้…ได้ทั้งนั้น หลวงพ่อได้ทั้งนั้น ผู้หญิงผู้ชายหลวงพ่อรับได้ทั้งนั้น จะถือศาสนาไหนหลวงพ่อรับได้ทั้งนั้น ถ้ายังมีลมหายใจ ถ้าคนใดไม่มีมานะ ไม่มีทิฏฐิมากเกินไป หลวงพ่อพูดได้ สอนได้ แต่สอนแล้วไม่เอาก็ถือว่าคนนั้นมีมานะ มีทิฎฐิ แต่หลวงพ่อไม่ได้ไปทุกข์กับคนนั้น คนนั้นจะทุกข์ถึงวันตายก็ทุกข์ไปเถอะ หลวงพ่อไม่ได้งึดง้อ ไม่ได้อัศจรรย์คนนั้นคนนี้ทั้งหมดเลย หลวงพ่อแก้(ไข)ตัวหลวงพ่อไม่มีทุกข์ก็พอแล้ว แต่หลวงพ่อจะพูดเรื่องหลวงพ่อไม่มีทุกข์เท่านั้น

พอดีได้ห้าวัน คุณแดงไปรายงานว่า ตายแล้ว แน่ะ! พ่อแม่ก็เลยไม่รู้ เงินทองอันนั้นมีประโยชน์อะไร แล้วมันแก้อะไรเราได้ ความรู้ไปเรียนปริญญามาจากเมืองนอกนั้น มันแก้อะไรได้ มันช่วยได้ที่ตายนั้นแหละ อันนั้นเรียกว่าอวิชชา แปลว่าความไม่รู้ มันรู้แล้วมันเข้าไปในความรู้ มันตั้งความหวังไว้ หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น หวังว่าจะเป็นอย่างนี้ หวังคู่ครองอย่างนั้น หวังคู่ครองอย่างนี้ มันก็เลยผิดหวัง

คนผิดหวัง คนสมัยนี้เขาเรียกว่าคนอกหัก เขาว่าอย่างนั้น คนอกหัก แต่หลวงพ่อไม่รู้ หลวงพ่อ…คนอกหักนี่ หลวงพ่อพึ่งมาได้ยินใหม่ ๆ นี่แหละ หลวงพ่อไม่รู้จริง ๆ (หัวเราะ)
เพิ่งจะรู้ไหม คนอกหักรู้ไหม ? (ถามผู้ฟัง ๆ ตอบ - พอจะรู้ค่ะ )
อ้อ…พอจะรู้ มันเป็นอย่างไร คนอกหัก พูดให้ฟังดู
(ผู้ฟังตอบ)เป็นแบบว่า สมมติคนรักกันน่ะค่ะ แต่ว่าคนนี้หลงรักเขา แต่เขาไม่รักคนนี้เลย
อ๋อ…นั่นดิ (อย่างนั้นสิ) คนอกหักดิ…

คนนั้นอาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้ เพราะเขาไม่รู้(นึก)ว่าเขาจะรักเรานี่ เราไปเรียนหนังสือด้วยกันนี่ไปเรียนหนังสือเมืองนอก เข้ามาในเมืองไทย นึกว่าจะมาแต่งงานกับเขา เขาไม่ได้เรื่อง เขาไม่ได้คิดจะมาแต่งงานกับเรานี่แหละ คนมันเสียหวัง เสียหลัก อย่าไปคิดอย่างนั้น อันนั้นเขาเรียกว่าคนอกหัก

อันคนมาปฏิบัติธรรมะก็เหมือนกัน นึกว่าเราจะรู้อันนั้น นึกว่าเราจะรู้อันนี้ บางคนนะ…จน…ตัวหลวงพ่อเองอันนี้ คิดอย่างนี้ เมื่อเรามาปฏิบัติธรรมะแล้วจะมีฤทธิ์ มีเดช จะมองเห็นดินฟ้าอากาศ บางครั้งจะมองเห็นลอตเตอรี่พู่น บางครั้งมันนึกว่าจะมองเห็นจิตใจ ตับไตไส้ปอดของคน มันคิดไปสารพัดสารเพไป อันนั้นมันตั้งความคิดขึ้นมาผิด ๆ อย่าไปตั้งใจอย่างนั้น ทุกคนที่พูดนี่ พอดีมันคิดมารีบมารู้ตัวเรา ปล่อยเลย อันมันรู้ออกไปข้างนอกนั่น เรียกว่าวิปัสสนูอุปกิเลส มันเป็นกิเลสแล้ว มันคิดถึงคนนั้นคนนี้ อันนั้นมันแหละ – กิเลส กิเลสไม่ใช่มีตัวมีตนนะ แน่ะ ! เราไม่เห็นใจเรา เรียกว่าคนนั้นไม่เห็นกิเลสแล้ว

บางคนเข้าใจว่า พระอรหันต์นี่เหาะได้ มองเห็นตับไตไส้ปอด มองเห็นอันนั้นอันนี้ โอ…พระอรหันต์แบบคนนั้นคิด มันคนบ้าคิด คนบ้าคิดมันต้องคิดอย่างนั้น แต่คนมีปัญญาคิดมันไม่ได้คิดอย่างนั้น หลวงพ่อเป็นบ้ามาตั้งแต่อายุ ๑๑ ปี เคยปฏิบัติธรรมมาตั้งแต่อายุ ๑๑ ปี เป็นเณรน้อย จนถึงอายุ ๔๖ ปี เป็นบ้ามาอย่างนั้นแหละ มามีครอบมีครัวก็เป็นบ้าอยู่อย่างนั้นแหละ (เพราะ)มันไม่รู้

ความจริงพระอรหันต์น่ะ ไม่มีเรื่องอะไร พระอรหันต์หมายถึงแก้ทุกข์ได้เท่านั้นเอง อย่าไปเข้าใจว่าต้องมองเห็นจิตใจคนนั้น มองเห็นจิตใจคนนี้ มองทะลุไป โอ…อันนั้นมันเข้าใจผิด มันจะมองเห็นจิตใจคนอื่นได้ทำไม(อย่างไร) มองเห็นจิตใจเรานี้ มันนึกมันคิดอันใด เรารู้ เราเห็น เราเข้าใจ แก้ได้นี่ อันนี้แหละที่ว่าเห็นแจ้งเห็นจริง รู้แจ้งรู้จริง มันมีจริง ๆ คนมันมีคิด มีไม่คิด มันมีเฉย ๆ มันมีดีใจ มันมีเสียใจ มันมีอันที่จะไม่ดีใจ ไม่เสียใจก็มี มันเป็นอย่างนั้น เห็นมาที่ตรงนี้ มันจึงจะตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้าจริง ๆ

คำว่าหูทิพย์ก็หมายถึง คนพูดอยู่ที่ไหนก็ตามแหละ ต้องได้ยิน แน่ะ ! มันหูทิพย์คนบ้ามันต้องเป็นอย่างนั้น หูทิพย์คนมีปัญญา(คือ) พอดีคนแสดง(พูด)ขึ้นมา พูดเรื่องธรรมะเราก็รู้ คนนั้นพูดเรื่องธรรมะดับทุกข์เราก็รู้ คนนั้นพูดธรรมะไม่ใช่ทางดับทุกข์เราก็รู้ บางทีคนมายุเรานะ อย่างที่พูดเมื่อกี้เรื่องอกหักนี่ เขามาต่อว่าต่อเถียง ยุเรา ทำอย่างนั้น เอาความหวังให้เรา เรารู้ทันที “เออ… คนนี้หลอกเราแล้ว สร้างความหวังผิดแล้ว ” เราเลิกได้ทันที อันนั้นแปลว่าหูทิพย์ ไม่ใช่หูทิพย์จะไปฟังคนพูดอยู่กรุงเทพพู่น เราอยู่ที่นี่ฟังได้ยิน ไม่ใช่อย่างนั้น คนพูดอยู่จังหวัดต่าง ๆ เราได้ยิน มันไม่เป็นอย่างนั้น เราได้ยินกับหูเรานี่เอง คนนั้นพูดให้เรา ยั่วเรา บางทีมีจดหมายให้กันก็ได้นะ ตั้งความหวังนี่น่ะ มันเป็นอย่างนั้นก็มีนะ อย่าไปเข้าใจอย่างนั้น อย่าไปตั้งความหวังไว้ที่คนอื่น ให้ตั้งความหวังไว้ที่เรา แก้ปัญหาที่เรา คนอื่นแก้ให้เราไม่ได้ ผีก็แก้ให้ไม่ได้ เทวดาก็แกเให้ไม่ได้ ที่สุด พระพุทธเจ้าเองก็แก้ให้ไม่ได้มีแต่ท่านแนะนำเท่านั้นแหละ

อันนี้หลวงพ่อได้ยินเจ้าคณะอำเภอเชียงคาน พระครูวิชิตธรรมาจารย์นี่ หลวงพ่อเป็นลูกศิษย์ท่าน เมื่อบวชในสมัยเป็นหนุ่ม แต่บวชครั้งนี้ก็ท่านเป็นอุปัชฌาย์ให้ ท่านสอนว่า อักขาตาโร ตถาคตา - อันนี้เป็นภาษาบาลี แปลว่า พระตถาคตนั้นน่ะ เป็นแต่เพียงผู้แนะแนวปฏิบัติเท่านั้นเอง การประพฤติปฏิบัติเป็นหน้าที่ของเธอ ทำเอง รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง ท่านสอน อย่างที่เราสวดกันเมื่อกี้นี่ก็เหมือนกันว่า สันทิฎฐิโก – อันผู้รู้จะพึงเห็นเอง อกาลิโก - ไม่ประกอบกาลและเวลา

ใครจะรู้จิตใจเรา เอ้า ! นั่งอยู่ที่นี่ บางคนคิดออกไปนอกจังหวัดก็มี ถ้าหากผู้ใดมีแฟน อย่างแม่ขาวนี่ เมื่อวานนี้แม่มาเล่าให้ฟังว่า แฟนคิดถึง อยากมาดู แน่ะ ! ใครไม่รู้ไม่เห็น มาบนบวช แม่ขาวใช่ไหม มาบนบวช(บวชแก้บน)ใช่ไหมนี่…นี่แหละ มาบนบวชแล้วว่าแฟนอยู่ทางบ้านคิดถึง อยากมาดู มันไวที่สุดความคิดนี่ เราอยู่ที่นี่คิดแวบถึงเชียงใหม่ ถึงที่ไหนก็ถึงแล้ว นี่แหละมันสำคัญ ความคิดนี่มันเร็วที่สุด เร็วกว่าแสงฟ้าแลบ เร็วกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง

อันนี้แหละ เป็นปัญหาที่เราควรศึกษา คนอื่นรู้ด้วย(กับ)เราไม่ได้ อันนี้รู้ด้วยเราคนเดียว (รู้ด้วยตัวเอง) สมกับที่เราสวดกันว่า สันทิฎฐิโก - อันผู้รู้จะพึงเห็นเอง แน่ะ ! เราเห็นเองคนเดียว คนอื่นเห็นด้วยเราไม่ได้

บางทีมันคิดไปถึงคนนั้นคนนี้ คิดไปถึงลูกก็ได้ อย่างที่หลวงพ่อมีลูกนี่ บางทีมันจะคิดไปถึงลูกก็ได้มันเป็นอย่างนั้น แต่ไม่มีแฟนแล้วเดี๋ยวนี้ แม่บ้านตายแล้ว มันไม่คิดถึงแล้ว (หัวเราะ) ไม่คิดถึงแล้ว มันเป็นอย่างนั้น นี่แหละ มันเสพทางใจ เขาว่าเสพเมถุนนี่ มันเสพทางใจ เสพทางกาย นี่! เราต้องเข้าใจอย่างนั้น

อันนี้แปลว่า อันผู้รู้จะพึงเห็นเอง อกาลิโก - ไม่ประกอบกาลและเวลา มันไม่ประกอบกาลเวลาอะไร บางทีมันคิด นอนกลางคืนมือก่ายหน้าผาก คิดไปอย่างนั้นแหละ นี่ ! มันไม่ประกอบวัน ไม่ประกอบปีเดือนอะไรทั้งหมด มันคิดอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับน้ำไหล ท่านสอนอย่างนั้น ดังนั้นเราต้องพยายามจริง ๆ อย่าให้มันคิดไปได้ พอดีมันคิด ทำความรู้สึกตัว ตัดทิ้งทันที ให้เข่าใจอย่างนั้น ถ้าใครฟังแล้วนำไปแก้ปัญหาตัวเองได้จริง ๆ รับรองได้ ไม่ต้องมาก ...



หมายเหตุจขบ.- คำสอนของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภนี้ได้ถอดออกมาจากแถบบันทึกเสียงที่บันทึกไว้เมื่อครั้งที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ นำมาเผยแพร่โดยไม่ได้แก้ไข ดัดแปลง ตัดตอน หรือต่อเติมแต่อย่างใด









 

Create Date : 01 ตุลาคม 2550    
Last Update : 3 ตุลาคม 2550 12:38:01 น.
Counter : 835 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  

แม่ไก่
Location :
ลำปาง Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 184 คน [?]




**หลังไมค์เจ้า**





Cute Clock Click!



เออสิ,มาอยู่ใยในโลกกว้าง
เฉกชลคว้างมาเมื่อไรไม่นึกฝัน
ยามจากไปก็เหมือนลมรำพัน
โบกกระชั้นสู่หนไหนไม่รู้เลย


รุไบยาต ~ โอมาร์ คัยยัม
สุริยฉัตร ชัยมงคล : แปล




Latest Blogs

~ท่านหญิงในกระจก/แสงเพลิง ~

~เพชรรากษส/อลินา ~

~มนตร์ทศทิศ/ราตรี อธิษฐาน ~

~เมื่อหอยทากมีรัก 1-2/"ติงโม่"เขียน/พันมัย แปล ~

~ให้รักระบายใจ/"ณกันต์"เขียน ~

~ผมกลายเป็นแมว/Abandoned/Paul Gallico เขียน(ภูธนิน แปล) ~

~พ่อค้าซ่อนกลรัก & หมอปีศาจแสนรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~

~อาจารย์ยอดรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~

~จอมโจรพยศรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~


สารบัญหนังสือ: รวมลิงก์หนังสือที่รีวิวในบล็อก # ๑ + ๒



Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add แม่ไก่'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.