~อย่าเห็นกงจักรเป็นดอกบัว ~คำสอนของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
อย่าเห็นกงจักรเป็นดอกบัว
วันนี้ ฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว เรียบร้อย พระเณรก็ฉันเรียบร้อยแล้ว ญาติโยมผู้มาปฏิบัติธรรม ก็ฉันเรียบร้อยแล้ว เมื่อฉันอาหารเรียบร้อยแล้ว ก็จะมีการแนะแนววิธีปฏิบัติกับพวกเรา วันนี้เป็นวันอะไร วันพุธที่ ๒๖ แรมจักค่ำ มื้อนี้ แรม ๓ ค่ำ เดือน ๓ นะ แรม ๓ ค่ำ เดือน ๓ ดังนั้น การปฏิบัติวิธีที่พวกเรากำลังทำอยู่เดี๋ยวนี้นี่ มันไม่เกี่ยวข้องกับทางทฤษฎีมาก แต่มันก็โยงถึงกันได้ แต่มันเกี่ยวข้องวิธีทำ คือ มันมีเทคนิค และกลไกในตัวมันเอง
จึงมีวิธีทำ วิธีทำนี้ ต้องเรียนให้เป็น ทำให้ชำนิชำนาญ แล้วเมื่อปฏิบัติก็สบาย ถ้าหากเราเรียนวิธีปฏิบัติ ยังไม่ชำนิชำนาญ เมื่อเราไปปฏิบัติ ก็ขัดข้อง มีความสงสัย ลังเล กังวลใจ มันเป็นอย่างนั้น ดังนั้น จึงจะแนะนำให้พวกเราเข้าใจวิธีทำจังหวะ เช่น พลิกมือขึ้น พลิกให้เป็นพลิก ไม่ใช่ยก พลิกเฉยๆ พลิกและให้มันรู้สึกตัว ยกมือขึ้น ให้มันรู้สึกตัว เอามือมาที่สะดือ ก็ให้รู้สึกตัว บัดนี้ พลิกมือซ้ายนี้ ก็ให้มีความรู้สึกตัวพลิก ไม่ใช่ให้รู้สึกว่าพลิกมือ ไม่ใช่ให้รู้สึกอย่างนั้น เพียงแต่รู้สึกไหวไป มีความสัมผัสกับการเคลื่อนไหวเท่านั้นเอง ยกมือให้รู้สึก เอามาทับมือขวาที่หน้าท้องหรือสะดือนี่ ให้รู้สึก เลื่อนมือขวาขึ้นหน้าอก ให้รู้สึก เอามือขวาออกตรงข้าง ให้รู้สึก เอามือขวาลดลงที่ขาขวา ตะแคงไว้ ตั้งชันตะแคงไว้ คว่ำลง ให้มันรู้สึก เท่านั้นเอง
ทำสลับกันมือขวา มือซ้าย เมื่อทำอย่างนี้แหละ สิ่งที่ปรากฏขึ้นในตัวมันมีเอง เรียกว่า ทำความรู้สึกตัวให้มาก ความไม่รู้นั่นแหละ มันก็จะค่อยลดไป ๆ ๆ หรือว่าหมดไป ๆ ๆ อย่างนี้ ความรู้สึกก็มากขึ้น ๆ ๆ เมื่อความรู้สึกมากขึ้น ๆ ๆ แล้ว ทำให้เกิดปัญญา เห็นแจ้ง รู้จริง ตามความเป็นจริง เรียกว่า ธรรมชาติ มันเป็นอย่างนั้น ก็ต้องรู้ตามกฎของธรรมชาติมันนั่นเอง ดังนั้น การปฏิบัติแบบนี้ จึงมีวิธีกลไก และเทคนิค มีจังหวะ ทำเป็นจังหวะ เคลื่อนไหวโดยวิธีใด ก็ให้รู้ เช่น พริบตา เหลือบซ้ายแลขวา ก็ให้รู้ เอียงซ้าย เอียงขวา ก้มเงย ก็ให้รู้ กลืนน้ำลายลงไปในลำคอนี่ ก็ให้รู้
อันนี้ เป็นวิธีปฏิบัติง่ายๆ แต่ไม่เข้าใจในคำพูดเท่านั้นเอง หายใจเข้า หายใจออก ไม่ต้องพูดถึงว่า สั้นยาว หายใจรู้เฉยๆ เท่านั้นเอง ไม่ว่าเข้ายาวออกยาว เข้าสั้นออกสั้น ลมหยาบลมละเอียด ไม่ต้องนึกถึง เพียงแต่ให้รู้ก็พอ - ใช้ได้
จึงเป็นหน้าที่ทุกคนทำได้ เรียกว่า เป็นการปฏิบัติธรรมไปกับงานทุกวิธีทีเดียว อันนี้ ดังนั้น สิ่งที่พูดนี้ คนอื่นมองเห็น เช่น พลิกมือขึ้น คว่ำมือลง ยกมือไป เอามือมา เดินหน้า ถอยหลัง เอียงซ้าย เอียงขวา ก้มเงย เหล่านี้หยาบ คนอื่นมองเห็นได้อย่างถนัด หรือไกลๆ ก็มองเห็นอย่างนี้ ละเอียดเข้ามาคือ (กะ)พริบตา ...พริบตา เหลือบซ้าย แลขวา ละเอียดเข้ามา แต่ก็ยังดูไกลๆ มองเห็นได้
บัดนี้ ละเอียดลงไป คือ หายใจเข้า หายใจออก อันนี้ก็ละเอียดเข้าไป ส่วนความคิดหรือการนึก การคิดนั้น ยิ่งละเอียด คนอื่นมองไม่เห็น ตัวเองก็มองไม่เห็น ไม่เคยเข้าใจเรื่องเหล่านี้ นี่เป็นวิธีปฏิบัติอย่างง่ายๆ อยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติได้ ปฏิบัติแบบนี้ ผู้หญิงผู้ชาย พระสงฆ์องค์เณร ก็ปฏิบัติอย่างนี้ คนชาติใด ภาษาใด ถือศาสนาไหน ก็ปฏิบัติอันนี้ เรียกว่าเป็นการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมแบบนี้ จึงไม่ต้องเห็นอะไรให้มาก ต้องเห็นตัวเรานี้เอง กำลังเคลื่อนไหวไปมานี่ เรียกเป็นการปฏิบัติธรรม รู้สึกตัวนั้นแหละ เป็นการปฏิบัติธรรม
ธรรมะนั้นจึงคือตัวคน ทำการทำงาน พูด คิด เป็นธรรมะทั้งนั้น และต้องรู้จักกับสิ่งเหล่านั้น รู้เท่าทันเหตุการณ์กับสิ่งเหล่านั้น เรียกว่า เป็นการปฏิบัติธรรม ไปกับงานทุกประเภท เป็นอย่างนั้น ดังนั้น ทีแรก มันต้องมีการฝึกหัด เพราะเราไม่เข้าใจเรื่องนี้ ที่พระพุทธเจ้าท่านสอนเอาไว้ในประเทศอินเดียโน้นว่า ให้มีสติเข้าไปกำหนดรู้ แต่ว่าตอนกำหนดรู้นี้ อาจจะเป็นคนอื่นพูดก็ได้ หรือพระพุทธเจ้าพูดก็ได้ ถ้าเข้าไปกำหนดจริงๆ มันหนัก ท่านว่าให้มีสติเข้าไปกำหนดรู้ในอิริยาบถทั้งสี่ หรืออริยาบถทั้งสี่เนี่ยะ ยืน ให้มีสติเข้าไปกำหนดรู้ ว่าซั่น นั่ง ให้มีสติเข้าไปกำหนดรู้ นอนให้มีสติเข้าไปกำหนดรู้ ท่านว่า แล้วก็เดินไปเดินมา ไปไหนมาไหน ให้มีสติเข้าไปกำหนดรู้ ท่านสอนเอาไว้อย่างนี้
เท่านั้นก็ยังไม่พอ ท่านยังสอนย้ำเข้าไปว่า ให้มีสติเข้าไปกำหนดรู้ในอริยาบถย่อย คู้ เหยียด เคลื่อนไหวโดยวิธีใด ก็ให้มีสติเข้าไปกำหนดรู้ ท่านสอนอย่างนี้ แต่คำพูดอันนั้น พูดได้ แต่เราไม่เข้าใจ เราไปเข้าใจเอาเพียงกำหนดลมหายใจ เข้าสั้น ออกยาว หรือเข้ายาว ออกสั้น ลมหยาบ ลมละเอียด แล้วเราไปกำหนดรู้อันนั้น อย่างเดียวเท่านั้น แล้วก็หลับตา นี้เคยทำมาอย่างนั้น อันตัวหลับตานี่ มันฝืนธรรมชาติมันแล้ว เราไม่ได้ศึกษากับธรรมชาติมันจริงๆ
ดังนั้น วิธีที่กำหนดให้พวกเราทำขึ้นมานี่ คือ เป็นวิธีให้มันอยู่กับสภาพตามธรรมชาติของมัน ไม่ต้องฝืนธรรมชาติมันทั้งหมดเลย มันจะเคลื่อนไหวโดยวิธีใดก็ตาม มันจะรู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง สัมผัสกับตัวธรรมชาติของมันเอง ดังนั้น ศึกษาธรรมะแบบนี้ จึงง่ายๆ เรียนหนังสือ เขียนหนังสือเป็น ก็ปฏิบัติได้ คนที่ไม่ได้เรียนหนังสือ เขียนหนังสือไม่เป็น ก็ปฏิบัติได้ คนรวยๆ มีเงินมากๆ ก็ปฏิบัติได้ คนจนๆ ไม่มีเงิน ไม่มีทอง ไม่มีทรัพย์สินอะไรมากมาย ก็ปฏิบัติได้ รู้ ก็รู้อย่างเดียวกัน ธรรมะ จึงเป็นอันเดียวกันเท่านั้น แม้ผู้หญิงก็เป็นอันเดียวกันเท่านั้น ผู้ชายก็เป็นอันเดียวกันเท่านั้น และครูบาอาจารย์ เคยกล่าวเอาไว้ว่า พุทธศาสนาของเราตถาคต ว่างั้น จะเจริญรุ่งเรืองหรืองอกงามนั้น ก็ต้องอาศัย บริษัทสี่ ท่านว่าอย่างนั้น ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอยู่ มรรคผล นิพพาน ก็ไม่ว่างจากโลกนี้
ในทางตรงกันข้าม พุทธศาสนาของเราตถาคตนี้ จะอันตรธานหรือหายไป ก็ต้องอาศัยบริษัท 4 คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา นี้เอง ไม่ประพฤติ ไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้าก็อันตรธานหายไป และมรรคผลนิพพาน ก็อันตรธานหายไป ว่ายังงั้น
บริษัทสี่ คือ ภิกษุ ๑ ภิกษุณี ๑ อุบาสก ๑ อุบาสิกา ๑ สี่บริษัทนี้ ท่านว่าอย่างนั้น เดี๋ยวนี้ บริษัทอย่างที่ภิกษุณีนั้น ไม่มีแล้ว เพราะว่าไม่มีภิกษุณีเดี๋ยวนี้ มีแต่ภิกษุ อุบาสก อุบาสิกา ยังเหลืออยู่ ๓ บริษัท เท่านั้นเอง
แต่จะพูดในวันนี้ ก็เอากันเป็นเพียง บริษัท ๒ ก่อน เบื้องแรก คำว่าบริษัท ๒ ก็หมายถึง ผู้ชาย พระภิกษุ ก็เป็นผู้ชาย บวชแล้วสึกไป สึกแล้วก็บวชมา เรียกว่า เป็นผู้ชาย คือ บริษัท ๑ ภิกษุณี หรือแม่ขาว แม่ชี แม่ดำ เหล่านี้ก็เป็นบริษัทหนึ่ง เรียกว่า ผู้หญิง เพศหญิงนั่นเอง สองบริษัทนี่แหละ ทำให้เจริญก็ได้ หรือไม่ต้องการความเจริญ ทำให้เสื่อมก็ได้ สำหรับตัวบุคคล เท่านั้นเอง
อย่าเห็นกงจักรเป็นดอกบัว(๒)
(: ขออนุญาตนำตอนที่ ๒ และ ๓ (ตอนจบ)มาลงตรงนี้ก็แล้วกันนะคะ เพื่อเป็นการประหยัดเซิฟเวอร์)
บัดนี้ อยากจะกล่าวถึง บริษัท ๔ อีกสักคำหนึ่ง ที่เรายังมีความขัดข้องหรือสนใจกันอยู่ในบริษัท ๔ นี้เอง บริษัท ๔ นี้ สมมุติขึ้นมา ๔ คน จะเป็นผู้หญิงทั้ง ๔ คนก็ได้ จะเป็นผู้ชายทั้ง ๔ คนก็ได้ สมมุติเอาบุคคลคนหนึ่ง ไม่รู้ธรรมะ ไม่เข้าใจธรรมะ ไม่ได้สัมผัสกับธรรมะ ไม่ได้เห็นธรรมะซาบซึ้งภายในจิตใจตัวเองนั้นแหละ แล้วก็เที่ยวเทศน์ เที่ยวสอน โพนทนาไปว่า ธรรมะต้องเป็นอย่างนั้น ธรรมะต้องเป็นอย่างนี้ ทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้ จึงจะรู้ธรรมะ บริษัทนี้ไม่เข้าใจธรรมะ บริษัทนี้แหละทำให้พุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าอันตรธานหายไป จะเป็นผู้หญิงก็ตาม ผู้ชายก็ตาม
บริษัทที่ ๒ บัดนี่ ไม่รู้ แต่ไม่สอนคน ทำไป อยู่ไป กินไป นอนไป ตามหน้าที่ของคนที่ผู้ไม่รู้นั้นเอง บริษัทนี้ไม่ทำให้เจริญ และไม่ทำให้เสื่อม อยู่ไปอย่างนั้นตลอดกาล เป็นอย่างนั้น บริษัทที่ ๓ บัดนี่ รู้ เข้าใจธรรมะ ซาบซึ้ง เห็นแจ้งรู้จริง แต่ไม่เทศน์ ไม่สอน ปิดบังเอาไว้ สำหรับรู้แต่เราคนเดียว ไม่ให้คนอื่นรู้ด้วย บริษัทนี้ก็ไม่ทำให้พินาศฉิบหาย แต่เจริญสำหรับส่วนตัวเรา และไม่ทำให้พุทธศาสนาหรือคนอื่นเจริญขึ้นมาได้ บริษัทที่ ๓ บริษัทที่ ๔ คือ พวกเรากำลังศึกษา และปฏิบัติ วิธีกลไกและเทคนิคการกระทำนั้นแหละให้รู้จริง เห็นจริง และทำก็ถูกต้องกับที่พระพุทธเจ้าท่านสอนเอาไว้ให้มีสติเข้าไปรู้นี่แหละ ทุกอิริยาบถนี่ แล้วเกิดญาณปัญญา เห็นแจ้งรู้จริง ตามความเป็นจริง สัมผัสได้ กำหนดวัน เดือน ปีลงไป เพราะตัวเองรู้จริงก็ต้องกำหนดได้ วันเดือนปี กำหนดเท่านั้นวัน เท่านี้เดือน เท่านั้นปี ต้องรู้ ไม่มากก็น้อย แล้วก็เที่ยวเทศน์ เที่ยวสอน ให้บุคคลที่ยังไม่ได้ฟัง ได้ฟัง ให้บุคคลที่ยังไม่รู้ ได้รู้ และให้บุคคลที่ยังไม่เคยรู้เทคนิค และกลไกวิธีทำนั้น ให้คนอื่นได้ศึกษาเล่าเรียน และปฏิบัติตามเทคนิคกลไกอันนั้น ให้คนอื่นหรือคนทั่วๆ ไป รู้ตามเห็นตาม เข้าใจตามที่สิ่งตัวเองได้รู้ ได้เห็น ได้เข้าใจมานั่นแหละ เรียกว่า เป็นการฟื้นฟูหลักพระพุทธศาสนา ทำให้พระพุทธศาสนาเจริญได้ บริษัทนี้ แต่จะเป็นผู้หญิงก็ตาม เป็นผู้ชายก็ตาม เป็นพระเป็นเณรก็ตาม เป็นใครๆ ก็ตาม ถ้ารู้จริงแล้ว ต้องรับรองได้ อย่างนี้ อย่างที่ตัวของผม หรือตัวอาตมาพูดในขณะนี้ ก็รับรองได้ คือวิธีอันนี้ ไม่ได้พูดถึงเรื่องการให้ทาน และไม่ได้พูดถึงการรักษาศีล ไม่ได้พูดถึงทำความสงบอันใดๆ ทั้งหมด ( คำว่าอันใด นี่ก็บ้านหลวงพ่อ เรียกว่า อันใด ) อะไรๆ ทั้งหมดเลย มันขึ้นอยู่ในตัวของมัน พร้อมแล้วทุกอย่างทีเดียว และสิ่งที่ยังไม่เคยรู้ มันก็จะรู้ขึ้นมา สิ่งที่ยังไม่เคยเห็น มันก็จะเห็นขึ้นมา มันจะปรากฏในตัวของมันเอง ดังนั้น จึงเป็นสิ่งที่อัศจรรย์ที่สุด อันทำความรู้สึกตัว ตื่นตัว ทำความรู้สึกใจ ตื่นใจนี้ มันเป็นเองไปตามธรรมชาติ หรือเป็นไปตามหน้าที่ของมัน จริงๆ เรื่องนี้
ตัวของผมหรือตัวของอาตมาเอง ได้อ่านหนังสือธรรมวิจารณ์ เป็นความรู้นักธรรมชั้นเอกว่า ผู้ที่เจริญสติปัฏฐาน ๔ ให้ติดต่อกันเหมือนลูกโซ่ ท่านว่าอย่างนั้น ให้ติดต่อกัน เหมือนลูกโซ่ หมายถึง ไม่ขาดช่วง ไปไหนมาไหน ก็ต้องปฏิบัติ อย่างนั้น เรียกว่าไม่ขาดช่วง เรียกว่าติดต่อกันเหมือนลูกโซ่ อย่างนานเวลา ๗ ปี ท่านกำหนดเอาไว้ อย่างกลาง ๗ เดือน อย่างเร็วที่สุด นับตั้งแต่ ๑ วัน ถึง ๗ วัน หรือ ๑๕ วัน มีอานิสงส์ ๒ ประการ ท่านว่าอย่างนั้น หนึ่ง ต้องเป็นพระอรหันต์ในปัจจุบันนี้ หากว่า ไม่ได้เป็นพระอรหันต์ในปัจจุบันนี้ ต้องเป็นพระอนาคามีแน่นอนที่สุด ท่านว่า พระอนาคามี
ดังนั้น ที่ปฏิบัติอย่างวิธีที่พวกเรากำลังฝึกหัดดัดนิสัยกันอยู่ทุกวันนี้ อย่างนานให้เวลา ๓ ปี อย่างกลาง ๑ ปี อย่างเร็วที่สุดนับตั้งแต่ ๑ วัน ถึง ๙๐ วัน อานิสงส์ไม่ต้องพูดเลย ทุกข์นั้นจะลดน้อยไป หรือบางคนผู้มีปัญญาเข้มแข็งหรือฉลาดเฉลียวมาก อาจจะเปลื้องทุกข์ไปได้ทั้งหมดก็ได้
ดังนั้น คำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมดเลย บรรจุลงมาที่แก้ปัญหาตัวเอง คือ แก้ทุกข์นี่เอง เมื่อแก้ปัญหาตัวเอง แก้ทุกข์ตัวเองได้แล้ว ก็แก้ปัญหาคนอื่นได้ แก้ทุกข์คนอื่นได้ ท่านเรียกว่าสังคม แต่เดี๋ยวนี้เราไม่ได้สนใจเรื่องนี้มาก เราไปสนใจเรื่องอื่นมาก จึงไม่เข้าใจหลักพระพุทธศาสนา ดังนั้น คำว่าศาสนา กับพุทธศาสนานี้ มันเป็นคำละคำกัน แต่ก่อนตัวของผมหรือตัวอาตมาก็ไม่รู้ ว่า ศาสนาต้องมีวัด มีพระสงฆ์ มีเณร หรือมีพระพุทธรูป มีเจดีย์ มีคัมภีร์ มีอะไรต่างๆ เหล่านั้น เข้าใจอันนั้นเป็นตัวศาสนา อันนั้นจริงอยู่ ศาสนาสมมุติ ให้เข้าใจว่า ตัวคนนั้นแหละเป็นตัวศาสนา ตัวพุทธศาสนา คือ ตัวเราเจริญสติ หรือทำความรู้สึกตัว ตื่นตัว ทำความรู้สึกใจ ตื่นใจ พร้อมสมบูรณ์แล้ว ปัญญา หรือญาณ มันเกิดขึ้นให้เห็น ให้รู้ ให้เข้าใจ สัมผัสในตัว ได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกแง่ทุกมุม อันนั้นแหละ เป็นตัวพุทธศาสนาแท้ พุทธศาสนา จีงว่า พุทธะ แปลว่าผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม ก็ต้องอยู่กับธรรมะประเภทนั้น หรือธรรมะที่เราเห็น เรารู้ เราเข้าใจ หรือการงานที่เราทำ พูด คิด นั้นแหละ เราก็ต้องอยู่กับสิ่งเหล่านั้นเรียกว่า เป็นการปฏิบัติธรรม
อย่าเห็นกงจักรเป็นดอกบัว (๓)
ดังนั้น การปฏิบัติธรรมนั้น จึงไม่กำหนดกาลเวลา ไปไหนมาไหน ก็เป็นการปฏิบัติธรรมะได้ไปในตัวมันเอง ข้อแรก จะหมดปัญหาเรื่องผี เทวดา ฤกษ์งามยามดี โชคชะตา บาปบุญ สิ่งที่สมมุติขึ้นมานั้น จะรู้แจ้งเห็นจริง ตามความเป็นจริง สิ่งเสพติดมึนเมาทุกประเภท เราจะเห็น จะรู้ จะเข้าใจ เมื่อเห็น รู้ เข้าใจ สัมผัสแน่นอนลงไปแล้ว ไม่ต้องมีใครบอก ไม่ต้องมีใครสอนเลยว่าสิ่งนั้นควร ไม่ควร เพราะตัวเองเห็นว่าไม่ควร ก็ต้องไม่ควร ตัวเองเห็นว่าควร ก็ต้องทำไป เท่านั้นเอง คนโบราณท่านจึงสอนเอาไว้สั้นๆ ว่า อย่าเห็นผิดเป็นถูก อย่าเห็นนรกเป็นสวรรค์ อย่าเห็นกงจักรเป็นดอกบัว ท่านว่าอย่างนั้น แล้วก็อย่าเห็นทุกข์เป็นสุข ท่านสอนเอาไว้
ในทางตรงกันข้าม บางคนก็เห็นผิดนั่นแหละกลับมาเป็นถูก เห็นทุกข์กลับมาเป็นสุข เห็นนรกกลับมาเป็นสวรรค์ เห็นกงจักรนั้นกลับมาเป็นดอกบัว เป็นอย่างนั้น เรื่องนี้เคยพูดกันมาหลายครั้งแล้ว ที่ว่าเห็นกงจักรเป็นดอกบัวนี้ คือ มีนิทาน คำว่านิทานนี้หมายถึงปรัมปรา จะจริงก็ได้ ไม่จริงก็ได้ มีมหาเศรษฐีคนหนึ่ง มีลูกชายคนเดียวเท่านั้น แต่พ่อตายลงไป ก็เหลืออยู่แต่แม่คนเดียว กับลูกชายคนหนึ่ง เป็น ๒ คน มีทรัพย์สมบัติมาก ใช้เท่าใดก็ไม่หมด ลูกชายคนนั้นใหญ่โตมาแล้ว ก็อยากไปค้าไปศึกษาเล่าเรียนต่างชาติต่างภาษา หรืออะไรมากๆ เหล่านั้นแหละ แม่ก็ห้าม บอกว่า ไม่ต้องไปหาเงินทองนั้นแหละ เงินทองอยู่ในบ้านของเรา ใช้ก็ไม่หมดแล้ว แม่ก็มีนโยบายให้เข้าไปวัด ให้เงินเป็นรางวัลไปวัดทุกวันๆ ลูกชายก็ไป ไปตอนเย็นมาแล้ว ก็ให้เงิน ถามไปวัดไหม ไป แต่มีอะไรบ้าง วัด ก็ไม่รู้ ก็ไปเพียงเข้าไปในวัดดู เท่านั้นเอง วันต่อมา ก็สอนให้เข้าไปหาพระ เข้าไปหาพระก็พระพูดอะไร ก็ไม่ได้รู้
วันต่อไปให้เข้าไปในโบสถ์ในสิม อย่างที่เราเคยมีโบสถ์มีสิม ก็ไปนอนอยู่ในโบสถ์ในสิม แม่ถามก็ไม่ได้เรื่อง วันต่อไป ก็ให้ไปฟังเทศน์จากพระ ฟังเทศน์จากพระ ก็ฟังแล้วก็ไม่จดไม่จำ เป็นอย่างนั้น หลายวันละ จำไม่ไหว เพราะพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย เล่าให้ฟังมาอย่างนี้ ก็เลยนำมาเล่าให้พวกเราฟัง เผอิญอยากไปค้ากับนายสำเภาเข้า ลุกขึ้นเกียมเนื้อ เกียมตัว จับกระเป๋า แม่ก็เลยไปจับเอาเซิงตะเกี้ยวผ้า ว่าอย่างนั้น ก็เลยศอกกลับหลังถูกแม่ แม่ก็ล้มตูมลงไป ก็จับกระเป๋า ก็วิ่งไปเลย เรียกว่าแล่น บ้านหลวงพ่อว่าแล่นลงไป โตนเข้าสำเภา พอดีนายสำเภากำลังปลดสมอสำเภาอยู่ พอดีตาคนนั้นโตนเข้าไปแล้ว สำเภาก็พุ่งไปเลย
ออกไปถึงกลางทะเลหรือมหาสมุทรที่กว้างๆ น่ะ พอดีไปถึงที่นั้นแล้วก็เลยติดเลย ไม่ไปเลย เหมือนกับสมอเกาะไว้นี่ บัดนี้นายสำเภา นายเรือน่ะ ก็เลยนึกขึ้นมาว่า เป็นคนกาลกิณีเข้ามาในเรือในสำเภาเราแล้ว มันจึงเป็นอย่างนี้ ทุกเที่ยวไม่ต้องเป็นอย่างนี้ ก็เลยมาจกสลาก เขียนบัตร เขียนสลากลงไปจับเอา คนใดเป็นคนกาลกิณีก็ให้จับเอาสลากใบนี้ คนนั้นก็จับลงไป ก็ถืกสลากใบนั้น แต่คนอื่นน่ะไม่ถูก เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็เลยมาทำแพ หรือทำไม้มัดติดเป็นลำ เป็นลำ เรียกว่าแพ บ้านหลวงพ่อ แล้วได้เอาไม้ เอาอาหารการกินลงให้ แล้วก็เชิญอีตาคนนั้นลงแพ ลงเรือใบนั้น อีตาคนนั้นลงแล้ว สำเภาก็ไปเลยทีเดียว ไปคนละทิศละแดนกันไปเลย มองไม่เห็นกันเลย
อีตาคนนั้นก็ได้ยินเสียงสัตว์นรกร้อง นึกว่าเป็นเสียงเพลงหรือดนตรี ระนาด พาทย์ ฆ้อง สิ่งที่เพราะหูน่ะแหละ ก็เลยชี้มือลงไป เราจะไปชมเมืองอันนี้ แพก็เลยไปตามกระแสที่อีตาคนนั้นต้องการนั้นเอง พอดีไปถึงที่นั้น แพก็เข้าไปจุหรือเข้าไปมัด ไม่ได้มัดหรอก เข้าไปผูกไปจอดที่นั่น อีตาคนนั้นก็ขึ้นไปเลย ขึ้นไปเห็นสัตว์นรกคนหนึ่ง ถูกกงจักรกำลังผันหัวหรือผุนหัวอยู่ เลือดออกมา ร้องอยู่อย่างนั้น อีตาคนที่ออกจากแพไปนี้ ก็ไปเห็น นึกว่าเป็นเครื่องประดับ เป็นทองคำ เป็นเพชร เป็นอะไรต่างๆ เครื่องประดับคนนั้น
ก็เลยไปขอรับ อีตาคนนั้น อีตาคนนั้นก็ไม่ยอมให้ เพราะยังไม่หมดกรรม ไม่หมดเวร ท่านว่าอย่างนั้น ยังเป็นเครื่องประดับของเราอยู่ ให้คนอื่นประดับไม่ได้ อีตาคนที่ไปขอนี้ก็เลยโกรธ ไม่พอใจ วันต่อไป หลายครั้งหลายหน ไปขออยู่ทุกวันๆ อีตาคนนั้นก็ไม่ให้ วันสุดท้ายนี้ เพราะมันหมดกำหนดแล้ว ก็เลยเรียกอีตาคนนั้น ท่านผู้เจริญ ท่านจงรีบขึ้นมาเอาเครื่องประดับของท่านเถอะ อีตาคนนั้นก็แล่นขึ้นไป วิ่งขึ้นไป อีตาคนนั้นก็จับเอากงจักรอันนั้นแหละออกมาจากหัวตัวเองไปใส่ศีรษะอีตาคนนั้นหรือหัวอีตาคนนั้น กงจักรก็ผันลงไปเลย ผุนลงไปเลย ร้องขึ้นมาทันที ให้มารับเอาคืน อีตาคนนั้น ก็บอกว่า เป็นของท่านแล้ว ท่านต้องเสวยนี่
อันนี้แหละ แสดงให้เราเห็นว่า เห็นกงจักรเป็นดอกบัว มันเห็นผิด การปฏิบัติก็ผิด ถ้าเห็นถูกต้อง ปฏิบัติก็ถูกต้อง จริงๆ รับรองวิธีปฏิบัติแบบนี้ ต้องเรียนให้ชำนิชำนาญ การปฏิบัติก็จะรู้เรื่องสมมุติจริงๆ สมมุติบัญญัติ ปรมัตถ์บัญญัติ อรรถะบัญญัติ อริยะบัญญัติ สี่ข้อนี้ต้องรู้แน่นอน
วันที่วันนี้ที่นำมาเตือนจิตสะกิดใจของนักปฏิบัติธรรม หรือพวกเราที่กำลังสนใจกันอยู่ในวันนี้ ตอนฉันเช้านี้ ก็เป็นให้พรไปในตัว ไม่ต้องรับพรภาษาบาลี อายุ วรรณะ สุขะ พละ ไม่ต้องพูดก็ได้ เพราะให้ปฏิบัติธรรม อันนี้แหละ รู้สึกตัว ตื่นตัว รู้สึกใจ ตื่นใจ การเคลื่อนไหวโดยวิธีใดก็ตาม ไปที่ไหนมาที่ไหน ให้มีกำหนดการไปการมา และให้รู้สึกตัวในการไปการมา จะไปกำหนดเท่านั้นวัน เท่านี้วัน อันนั้น กำหนดไม่ได้ หรือจะกำหนดว่า เท่านี้วัน เท่านี้วัน กำหนดไม่ได้ แต่การปฏิบัติอันนี้ กำหนดได้ว่า อย่างนานไม่เกิน ๓ ปี อย่างกลาง ๑ ปี อย่างเร็วที่สุด นับตั้งแต่ ๑ วันถึง ๙๐ วัน อานิสงส์ไม่ต้องพูดเลย ความทุกข์นั้นจะลดน้อยไป ลดน้อยไป ถึงบางคนผู้มีปัญญาอาจจะหมดก็ได้
ท้ายที่สุดนี้ อาตมาพร้อมด้วยพระสงฆ์และญาติโยม กำลังนั่งฟังธรรมะอยู่ในขณะนี้ อาตมาขออ้างอิงเอาคุณของพระพุทธเจ้า และพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและคุณของพระอรหันตสาวกพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาเตือนจิตสะกิดใจของพวกเรา ให้พวกเราได้รู้ ได้เห็น ได้สัมผัสเข้าใจแนบแน่น.......................
Create Date : 05 พฤศจิกายน 2550 | | |
Last Update : 8 พฤศจิกายน 2550 15:16:34 น. |
Counter : 2429 Pageviews. |
| |
|
|
|