'หัวใจ๋ข้า หัวใจ๋เจ้า ห้อยอยู่เก๊าเดียวกั๋น' *
*คลิกเพื่ออ่านคำแปลเจ้า :)

~ข้อปฏิบัติที่ลัดสั้น ~ คำสอนของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ (๓)

...
เมื่อรู้อย่างนี้ ก็เลยมารู้เรื่องศาสนา รู้พุทธศาสนา ศาสนาทีแรก อาตมาเข้าใจว่าคือวัด หรือพระพุทธรูป หรือมีโบสถ์ มีสิม มีพระสงฆ์องค์เณร เข้าใจอย่างนั้น แต่ก่อนเข้าใจอย่างนั้น พุทธศาสนานั้นก็นึกว่าเป็นตัวคัมภีร์ หรือพระพุทธเจ้า เข้าใจไปอย่างนั้น

แต่เมื่อมารู้แล้ว มันไม่ใช่เป็นอย่างนั้น ตัวศาสนานี้ คือตัวคนทุกคนเลย เข้าใจอย่างนี้ ผู้หญิงก็เป็นศาสนา ผู้ชายก็เป็นศาสนา คนไทย คนจีน คนฝรั่งอังกฤษ คนอเมริกา คนเขมร คนญวน คนลาว ใครๆ ก็ตาม จะถือศาสนาไหนก็ตาม นุ่งผ้าสีอะไรก็ตาม ตัวศาสนาคือตัวคนทุกคนเลย เข้าใจอย่างนี้


ตัวพุทธศาสนา คือตัวสติ ตัวปัญญาเข้ามารู้ตัวเองนี่แหละ เรียกว่า พุทธะ จึงแปลว่าผู้รู้ ก็เลยเข้าใจอย่างนั้น บาป...บัดนี้ บาปคือความไม่รู้ ว่าอย่างนั้น อันความไม่รู้นี้ เป็นบาปหนักที่สุด บุญคือรู้ อันรู้เนี่ยะ เป็นต้นบุญ ก็เลยเข้าใจอย่างนั้น รู้อย่างนี้แล้วก็เลย...ไม่มีทุกข์ เรื่องสมมุตินี้ไม่มีทุกข์

แต่คราวนั้น อาตมายังไม่รู้ความคิด ยังไม่รู้จริงๆ แต่มันรู้...มันติดรู้ มันติดรู้ ก็เลยเป็นวิปัสสนู เป็นวิปัสสนู...ก็เลยไม่รู้ตัวเอง เป็นวิปัสสนูตั้งแต่เช้าเย็น ตั้งแต่เช้าจนเย็นนะ มันเป็นวิปัสสนู มันรู้...รู้ไปทั้งหมดเลย มันก็เลยไปติดความรู้ มันเข้าไปในความคิดแล้ว อันนี้แหละ

ดังนั้น ที่มาที่นี่ ต้องทำตัวทุกๆ คน ให้เป็นเม็ดข้าวอ้วนๆ เต็มๆ จะเป็นข้าวเจ้าก็ตาม ข้าวเหนียวก็ตาม คำว่าข้าวเจ้า ข้าวเหนียว นี่ก็หมายถึง บวชก็ได้ ไม่บวชก็ได้ เป็นผู้หญิงก็ได้ เป็นผู้ชายก็ได้ นุ่งผ้าสีอะไรก็ได้ เนี่ยะ...หมายถึงข้าวเปลือก ข้าวเจ้า ข้าวเหนียว แต่มันมีใน มันเต็มดี เอาไปเพาะ..แตกขึ้นมา งอกขึ้นมาทันที ถ้าเป็นข้าวเจ้า ข้าวเหนียวก็ตาม ถ้าไม่มีใน เขาเรียกว่าข้าวลีบ เอาไปเพาะ...ไม่งอก

ดังนั้น เรามาฟังนี้ก็เหมือนกัน ต้องฟังด้วยความจริงใจ และฟังด้วยความซาบซึ้งจริงๆ เราก็รู้ ที่พูดให้ฟังนี่ รู้แล้วเนี่ยะ แต่พยายามให้ความรู้ ให้เรารู้ตามคำพูดอันนั้น แต่อย่าให้รู้ตามอาตมา ให้รู้ตามคำพูดอันนั้น.. พิจารณาให้เห็นอันนั้นจริงๆ เป็นอย่างนั้น

บัดนี้ ความรู้อันนี้มันดีใจ ยังไม่ไช่เป็นใจดี มันดีใจ พอมันดีใจ มันก็เลยไปภูมิในความรู้อันนั้นเลย...ภูมิใจ รู้แล้ว...โอ้โถ...แสดงธรรมนี่ไม่เกาะไม่ข้อง ใครจะมาถามยังไง แก้ปัญหาคนได้ทุกแง่ทุกมุมจริงๆ อันนี้แหละเราไม่รู้ แต่ความรู้นั้น เรื่องปัญญา รู้จริงๆ นั้น...คือรู้เรื่องรูป-นาม รูปทำ นามทำ หรือทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ตลอดถึงบาป-บุญนี่ อันนั้นเป็นความรู้ของปัญญา เป็นวิปัสสนาพื้นๆ อันเนี่ยะ เรียกว่า ยังไม่ใช่เป็นวิปัสสนาอย่างแท้จริง ความรู้แบบนี้ฟังแล้วเกิดปัญญารู้..อันนี้ และคนมีปัญญาอย่างแหลมคม หรือดอกไม้เฉพาะมันจะบานแล้วนี่ พอดีแสงตะเว็นออกมา โผล่ออกมา...ก็รู้ทันที

อย่างท่านมานั่งฟัง ก็...โอ๊...จริง รู้ได้จริงๆ อันนี้ ดอกไม้มันบานได้ สมมุตินะนี่ แต่ดอกที่สองนั้น ฟังสองครั้งสามครั้ง...ไม่เข้าใจ...บางคน เพราะไม่ตั้งใจฟังนี่ ดอกที่สามก็ยิ่งแล้วไป เว่าให้ฟังตั้งเก้าหนสิบหน ก็ยังไม่เข้าใจ เหล่าที่สี่นั้น...ยังเฉยอยู่ แน่ะ...ยังเฉย ยังไปติดอารมณ์อะไร....(มีเสียงคนคุยกันแทรกขึ้นมา).เลยไม่ได้ยินกัน สมมุติเทศน์กันเป็นจำนวนมากๆ นี่ บางคนไม่ฟังเลย ไม่สงวนเรื่องอะไรนะ...ไม่รู้เลย....อันนี้เป็นอย่างนั้น

บัดนี้ ตอนแลงมา(ตอนเย็น) อาตมาไปสรงน้ำ เดิน..บัดนี่ เดินไป เดินมา เดินไป เดินมา เรียกว่า เดินจงกรม คล้ายๆ คือมีคนมาผลักดันข้างอาตมานี่แหละ....วูบหนึ่ง อาตมา...เอ๊ะ...มันเป็นอะไรอย่างหนึ่ง เลยหา หามันไม่เจอ..ไม่เห็นอะไรเลย เพราะความคิดมันไม่มีตัวไม่มีตน ก็เลยหาความคิดไม่เห็นด้วยตา แล้วจับก็ไม่ได้...บัดนี่ ก็เลยเดินไป เดินมา มันคิดวูบขึ้นมาครั้งที่สองนี่ อาตมา...อื๊อ...ความคิด...มันคิดมาจากที่ไหน ก็มองอย่างนั้น....หา...ยังไม่ได้สมุฏฐาน ยังไม่ได้ที่เลย

เดินไป เดินมา มันคิดขึ้นมาวูบที่สามนี่ อาตมารู้ทันที จับได้เลย เอ๊....มันคิดมาจากที่นี่ ว่าซั่น เราต้องทำเหมือนแมวกับหนู ว่าอย่างนั้น เพราะอาตมาจึงว่าเป็นนิสัยเรื่องแมวกับหนู เลยพูดเรื่องนี้มา คอยดูหนูมันออกมา...เเมวมันจ้องจับทันที

อันนี้ อาตมาก็เลยมาคอยดูความคิดของอาตมา มาดูไป...ดูมา มันคิดขึ้นมาก็รู้ รู้เท่า รู้ทัน รู้จักกัน รู้จักแก้จริงๆ รู้จริงๆ ในขณะนั้น


บัดนี้ ตอนรู้ขณะนี้แหละ มันรู้จักวัตถุ สมุฏฐานของความคิดทุกแง่ทุกมุม แม้วัตถุที่นำ(อยู่ติด)เนื้อนำหนังเราเนี่ยะ..รู้จัก แม้ต้นไม้ ภูเขา ดินฟ้าอากาศ เป็นวัตถุ ภายนอก ภายใน เป็นวัตถุของจิตใจ อาตมารู้จริงๆ ในขณะนั้น คำว่าปรมัตถ์นี่ ปรมัตถ์แปลว่าของจริง

ปรมัตถ์นี่มีสองความหมาย พ้นไปจากสมมุติก็ได้ หรือกำลังเห็นอย่างที่เรามานั่งอยู่นี่ เห็นอาตมาพูดเดี๋ยวนี้เนี่ยะ แล้วก็ฟังเสียงก็ได้ยิน อันนี้ก็เป็นปรมัตถ์เนี่ยะ ปรมัตถ์จึงมีสองแง่สองมุม


เมื่อเห็นอย่างนี้ ก็เห็นอาการ ความเคลื่อนไหว ความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย และความเคลื่อนไหว ความเปลี่ยนแปลงของจิตใจ....อาตมารู้จริงๆ เมื่อรู้อย่างนี้ ลักษณะโทสะ มันคิดอย่างนั้น ลักษณะโมหะ มันเป็นอย่างนั้น ลักษณะโลภะ มันเป็นอย่างนั้น

แต่ความจริง มันไม่ได้มีที่เรา คือมันมีอยู่ในความคิด ลักษณะความคิดขึ้นมานี่ เราคิดไปแล้ว เราไม่เห็น ไม่รู้ความคิด แล้วลักษณะนั้นน่ะ โทสะ โมหะ โลภะ มันมาซ้อนอยู่ในความคิดนั้น แต่ความคิดนั้นมันไม่ได้มีที่เรา มันคิดขึ้นมา สิ่งนั้นมันเข้ามาทันที

อาตมาก็เลยรู้สมุฏฐานอันนี้ จึงว่านำมาสอนพวกเรา หรือนำมาเล่าให้พวกเราฟัง ให้พวกเราพยายามดูการเคลื่อนไหว และให้พวกเราพยายามดูความคิด ที่อาตมาพูดอย่างนี้ คือไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรทั้งหมดเลย รับรองได้จริงๆ นี้ตั้งแต่บัดนั้นมา อาตมา...เรื่องความโกรธนี้มันหายไปเอง ความโลภมันก็หายไป ความหลงมันก็หายไป เพราะมันไม่มีนี่ มันไม่มี มันจะไปหามาที่ไหน หาความโกรธไม่มี หาความโลภไม่มี หาความหลงไม่มี มันไม่มีจริงๆ เรามาทำความตื่นตัว ความรู้สึกตัวนี่แหละ เข้ามาให้เรามากๆ











 

Create Date : 12 พฤศจิกายน 2550    
Last Update : 12 พฤศจิกายน 2550 12:28:53 น.
Counter : 507 Pageviews.  

~ข้อปฏิบัติที่ลัดสั้น ~ คำสอนของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ (๒)

.......

เราเคยได้ยินครูบาอาจารย์เคยเล่าให้ฟังว่า พระองค์ก็เลยเลิกละจากความเพียรเหล่านั้น มากินหมากขามป้อม หมากส้มมอนี่แหละ พวกปัญจวัคคีย์ทั้งห้าก็เห็นว่าพระองค์คลายความเพียร เวียนมามักมากเสียแล้ว คงจะไม่ได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ ดับทุกข์ไม่ได้จริงๆ พวกปัญจวัคคีย์ทั้งห้าก็หนี พระองค์ก็เดินมาคนเดียว อันนี้เรียกว่า สงัดกาย สงัดวาจา ใจยังไม่สงบสงัดอะไร


มันยังคิดโน้น คิดนี้ ทีแรกอยู่ด้วยกันห้าคน หกกับเรา บัดนี้ห้าคนหนีไปแล้ว เราเดินไปคนเดียว คิดถึง...อ่า..ราหุล คิดถึงปัญจวัคคีย์ทั้งห้า คิดถึงนางพิมพา คิดถึงทรัพย์สมบัติ คิดถึงผู้ให้ความสนุกสนาน บำรุงบำเรอเหล่านั้นแหละ คิดไป จิตใจมันวุ่นมา ก็เลยมากินข้าวนางสุชาดา นางสุชาดาเอาข้าวไปบวงสรวง เรียกว่าไปบูชาเทวดานี่แหละ ก็เลยมากินข้าวอันนั้น

เมื่อมากินข้าวอันนั้น พระองค์ก็เลยถามนางสุชาดาว่า นาง...จะถวายทั้งถาด ทั้งข้าว ทั้งขันนี่ หรือจะถวาย(ตั้ง)แต่ข้าว นางเลยตอบพระองค์ว่า ถวายทั้งหมด ไม่เอาอะไรกลับคืนมาเลย บัดนี้ พระองค์ก็เลยเห็นว่านางไม่เอากลับคืนแล้วก็ฉันข้าวนางหมดแล้ว ก็จับขันนั้นมา มาริมแม่น้ำ ก็เลยมาอธิษฐานว่า ถ้าข้าพเจ้าจะได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ ดับเพลิงทุกข์ ดับกิเลสได้อย่างจริงๆ แล้ว ข้าพเจ้าวางถาดหรือขันใบนี้ลงแม่น้ำนี้แล้ว ให้ถาดหรือขันใบนี้ทวนกระแสของน้ำขึ้นไปถึงต้นน้ำ ในทางตรงกันข้าม ถ้าหากว่าจะไม่ได้ตรัสรู้ ไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า ดับทุกข์ไม่ได้ ดับกิเลสไม่ได้ วางขันหรือถาดใบนี้ลงไปแล้ว ให้มันไหลไปตามกระแสของน้ำ

พอดีพระองค์ก็เลยวางลงไป วางลงไปแล้ว ขันถาดนั้นก็ทวนกระแสของน้ำขึ้นไปถึงหัวกาฬนาค ก็เลยไปจมลงที่ตรงนั้น กาฬนาคนอนยังไม่ตื่น ก็เลยตื่นขึ้นมาว่า ใครตรัสรู้เร็วจริงๆ เรานอนยังไม่ตื่น ยังไม่ทัน...เท่าไหร่ ก็เลยเพ่งเล็งลงมาถึงสีถาด(สิทธัตถะ) คือพระพุทธเจ้าของเรานี่ ได้ตรัสรู้แล้ว อันนี้ก็เป็นข้อที่ให้เราคิด เราจะเพียงจำตำราเท่านั้น คนใดจำตำราแล้ว ยังไม่พิจารณา อันนั้นชื่อว่าดอกไม้ยังไม่ตูม ยังไม่แน่น

ถ้าหากว่าฟังแล้ว พิจารณาใช้สติปัญญา ดอกไม้ก็ตูม...แน่น...ก็บานได้ สิ่งนั้นก็ไม่ต้องทำแล้ว เรารู้แล้ว ไม่ต้องทำแล้ว อันนี้แปลว่าบานแล้ว พระองค์เลยมาทำทางจิต มาทำทางจิตนี้ เราเคยได้ยินว่า พระพุทธเจ้าของเรานี่แหละ ตรัสรู้เพราะการทำทางจิต มานั่งอยู่ที่ต้นโพธิ์ ว่าอย่างนั้น ครูบาอาจารย์เคยเล่าให้ฟัง อันนี้ อาตมาได้ฟังมา อันนี้เป็นความรู้จัก รู้จักยังไม่รู้แจ้ง ยังไม่รู้จริง


ตอนที่อาตมามามีความซาบซึ้งถึงจิตใจ รับรองคำพูดของพระพุทธเจ้าได้ รับรองคำพูดทางพุทธศาสนานี่ได้จริงๆ และก็ยังรับรองคำพูดของที่อาตมาจะนำมาเล่าให้ท่านผู้ฟังทั้งหลายในวันนี้ รับรองได้จริงๆ..อันนี้

มีความสว่างขึ้นภายในจิตใจ เรียกว่า รู้แจ้ง รู้จริง เหนือจากคำที่เราเรียนมา ได้ยินได้ฟังมานั้น เหนือจริงๆ เรื่องนี้ อาตมามาทำวิธีการเคลื่อนไหว เคลื่อนไหวโดยวิธีใดก็ตาม แต่วิธีนั้น อาตมามาพลิกมือขึ้น คว่ำมือลง เป็นจังหวะ นั่งสบายไม่ต้องนบก็ได้ ไม่...ไม่ต้องนบก็ได้ ฟังให้มันเกิดปัญญา...เรื่องนี้ เรียกว่า ให้มันบานขึ้นมาได้ในขณะนี้ก็ได้ ฟังแล้วก็รู้ทันที...เรื่องนี้



อาตมามาทำวิธีพลิกมือขึ้น คว่ำมือลง ให้มีสติเข้าไปรู้ ยกมือไป เอามือมา ให้มีสติเข้าไปรู้ เดินหน้า ถอยหลัง ให้มีสติเข้าไปรู้ ก้ม เงย เอียงซ้าย เอียงขวา ให้มีสติเข้าไปรู้ทุกอิริยาบถนั่นแหละ พริบตา อ้าปาก หายใจเข้า หายใจออก กลืนน้ำลายลงมาในลำคอนี่ ให้มีสติเข้าไปรู้

เมื่อทำเช่นนี้ขึ้นมา....ไม่นาน เกิดความคิดชนิดหนึ่ง...เเว่บขึ้นมา...รู้จริงๆ ตอนที่จะเกิดความคิดแว่บขึ้นมานั้น สมัยนั้นอาตมานุ่งกางเกงขาสั้น แมงป่อง หรือว่าแมงงอด บ้านอาตมาเรียกว่าแมงงอด ตกใส่ขาอาตมา ตามปกติ อะไรตกใส่ขา อาตมาปัด วันนั้นอาตมาไม่ปัด ก็เลยดู...พิจารณา เลยรู้จักเรื่องรูป-นาม

รู้จักจริงๆ อันเนี้ยะ แต่เมื่อแต่ก่อนนั้น รู้จักกับครูบาอาจารย์ว่า ตาเห็นเป็นรูป รู้ว่ารูปเป็นนาม ว่าซั่น เพราะเรียนอันเนี้ยะว่านาม...นาม สรรพนาม คุณนาม อาจารย์สอน..สอน แต่ความจริงอันนั้นถูกน้อย ไม่ถูกหลาย ถูกไม่ถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์ อาตมารับรองได้ คำพูดที่มีในตัวหนังสือนั้นถูกน้อย ไม่ถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์

แต่ความรู้ที่มาเกิดรู้จากรูป-นามนี้ ถูกต้องจริงๆ อย่างน้อยต้องหกสิบเปอร์เซ็นต์ ถ้าพูดอย่างมาก ก็ต้องว่าร้อยเปอร์เซ็นต์..ไม่ขาด สมบูรณ์จริงๆ เรื่องนี้ อันนี้เป็นความรู้ที่เห็นแจ้ง รู้จริงมา...จากจิตใจสำนึกจริงๆ


เมื่อรู้รูป-นามแล้วก็เลยรู้ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ทุกขังนั้น เคยเรียนกับครูบาอาจารย์ว่าผมหงอก ฟันหัก เนื้อหนังมันย่นย่อไป อันนั้นไม่ถูกต้อง...แต่ถูกต้อง...แต่ไม่ถูกถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ ถูกต้องไม่ถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์ อาตมาพูดนี้

เมื่อมารู้จักทุกขัง ตัวทุกขังนั่นแหละ ที่พระองค์สอนให้เรากำหนด ให้มีสติตามรู้เนี่ยะ ตัวเคลื่อนไหว ตัวอิริยาบถนั้น...เป็นตัวทุกข์ เราไม่เคยกำหนดมัน ก็เลยไป...มันคิดว่าเคลื่อนไหวโดยวิธีใด...ก็ไปเลย ก็เลยไม่รู้จักทุกข์ ตัวเคลื่อนไหว..ตัวอิริยาบถนั้นเป็นตัวทุกขัง เป็นตัวอนิจจัง เป็นตัวอนัตตา

อันนี้แหละที่(อาต)มามั่นใจว่าไม่ผิด ถูกต้องจริงๆ เมื่อรู้ทุกขัง รู้อนิจจัง รู้อนัตตา แล้วก็รู้สมมุติขึ้นมา สมมุติในโลกเนี่ยะ รู้ให้หมดทีเดียว อย่าให้มีข้อบกพร่อง รู้จริงๆ สิ่งที่เป็นสมมุติพูดขึ้นมา อาตมารู้จริงๆ ในขณะนั้น อาตมาจึงไม่เก้อเขิน ใครจะพูดอย่างไรก็ตาม ก็ต้องเอาความรู้แจ้ง..รู้จริงนี้แหละ..มาใช้ในชีวิตของเรา จึงจะมีประโยชน์ เมื่อพูดตอนเนี้ยะ ก็เอาไว้ก่อน...เนี่ยะ ว่าจะพูดเรื่องอาหารการกิน ก็เลยไม่พูด.........







 

Create Date : 10 พฤศจิกายน 2550    
Last Update : 10 พฤศจิกายน 2550 15:15:43 น.
Counter : 522 Pageviews.  

~ข้อปฏิบัติที่ลัดสั้น ~ คำสอนของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ (๑)

...

วันนี้... ได้นิมนต์ให้อาตมามาแสดงธรรมให้ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติธรรมฟัง ซึ่งวันนี้อาตมาจะได้นำหัวข้อที่ปฏิบัติธรรมเพียงสั้นๆ หรือลัดๆ นำไปใช้เป็นคู่ครองกับชีวิตของเรา ส่วนใดที่อาตมาได้ประพฤติปฏิบัติมาแล้วนั้น ยังใช้ประโยชน์ไม่ได้ นั้นก็จะได้เล่าให้ฟังเป็นเพียงเล็กน้อย แต่อย่านำไปปฏิบัติ


ดังนั้น การปฏิบัติธรรมะในทางพุทธศาสนานั้นมีมาก แต่คนใดมีปัญญาเเหลมคม พิจารณานำเอาไปใช้ได้ แล้วก็ไม่มีทุกข์ในชีวิตประจำวันนี้ แต่คนใดไม่มีปัญญา ฟังไปแล้วก็จำไม่ได้ ไม่ได้เอาไปปฏิบัติ อันนั้นก็เรียกว่าฟังแล้วไม่เข้าใจ ดังนั้น วันนี้ ผู้...ผู้ที่มาปฏิบัติธรรมล้วนแต่เป็นผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็ง หรือจิตใจฝักใฝ่ในความพ้นทุกข์ อันนี้ที่จะให้ข้อคิดอุปมาเปรียบเทียบให้ฟังไว้ ข้อแรกที่สุด พุทธศาสนาคือ พระพุทธเจ้านั้นแหละ ท่านอุปมาไว้ว่า บัวสี่เหล่า เหล่าหนึ่งนั้นพ้นน้ำขึ้นมาสูงแล้ว คือตูมทางข้างใน ว่าเม็ดพืชในข้างในนั้นแหละ ตูมเต็มเเน่นอยู่ พอดีแสงพระอาทิตย์ หรือแสงตะเว็นนี้แหละ ส่องเข้ามา ดอกไม้ก็บานได้ทันทีเลย

แล้วดอกที่สองก็พ้นน้ำขึ้นมาแล้ว ตูมข้างในแต่ยังไม่แน่น เมื่อแสงตะเว็นหรือแสงพระอาทิตย์นี่แหละ ส่องเข้ามา ต้องสองวันสามวัน ดอกไม้นั้นก็บานได้ ดอกที่สาม ว่าพ้นน้ำเพียงเล็กๆ น้อยๆ ตูมน้อยๆ ยังไม่ทันแน่น เมื่อแสงตะเว็นออกมา...ส่องมา ดอกไม้ดอกที่สามนี่ก็ตั้งซ้อนแน่นขึ้น หลายวันก็บานได้เหมือนกัน ดอกที่สามคือยังเป็นอาหารของผัสสะ ปู ปลา เต่า อยู่ในน้ำในตม

อันนี้ก็คล้ายคือกัน ที่คนเราถือพุทธศาสนา หรือถือศาสนาพุทธนิ้ เมื่อมามองถึงแง่ปฏิบัติธรรม บางคนก็ไม่สนใจในการปฏิบัติธรรม สนใจเรื่องการทำบุญ บางคนก็ไม่สนใจเรื่องการทำบุญ สนใจการรักษาศีล เป็นอย่างนั้น บางคนก็สนใจการให้ทาน การรักษาศีล ไม่สนใจทำให้จิตใจสงบ บางคนก็ไปสนใจเรื่องทำจิตใจให้สงบ ไม่สนใจในการเจริญปัญญา


ตอนเจริญปัญญานี้แหละ มัน...มันผิดกันไกลมาก ตอนนี้ฟังแล้วจำให้ได้ ตัวของอาตมาเอง เมื่ออายุสิบเอ็ดกว่าปี ไปบวชเป็นเณร เคยศึกษาหลักวิธีปฏิบัติธรรมะ ท่านว่าวิปัสสนา ว่าอย่างนั้น ท่านสอนให้เจริญพุท-โธ แล้วนั่งขัดสมาธิ ตอนเจริญพุท-โธนี้ เวลาหายใจเข้า ให้ว่า-พุท หายใจออก ให้ว่า-โธ อันนี้ทำมาเป็นเวลานาน ต่อมาท่านก็มาสอนให้ว่า สัมมาอรหัง คือความเห็นถูกต้อง ท่านว่าอย่างนั้น อันนี้ก็ทำมานานพอสมควร ต่อมา ท่านก็มาสอนให้เป็นวิธีนับหนึ่งถึงสิบ แต่ให้ถูกกับลมหายใจเหมือนกัน และนับตั้งแต่สิบกลับลงมาถึงหนึ่งอีก แล้วก็นับตั้งแต่หนึ่งถึงยี่สิบ นับตั้งแต่ยี่สิบลงมาถึงหนึ่งอีก แต่วิธีเหล่านี้ทำให้ถูกต้องกับลมหายใจเข้า-ออกเหมือนกัน

ต่อมาเมื่อระยะเป็น....เรียกว่ามีครอบครัวแล้วเนี่ยะ ก็เลยได้มาที่จังหวัดอุดร มีอาจารย์คนหนึ่ง ท่านเรียนวิธีพอง-ยุบ ท่านก็มาสอนวิธีพอง-ยุบให้ วิธีพอง-ยุบนี้ ทำมานานพอสมควร และมาพิจารณาตัวเอง ก็ยังไม่มีความสว่างภายในจิตใจ คือ วิธีพุท-โธก็ดี วิธีพอง-ยุบก็ดี หรืออานาปนสติก็ดี สัมมาอรหัง นับหนึ่งสองสามก็ดี อาตมาไม่มีความสว่างภายในจิตใจ จิตใจมันแน่นอยู่ในจิตใจ แต่ความสงบนั้น..มี

ความสงบนั้นมี...มีความสงบโดยที่ว่าไม่รู้สึกตัว สงบ..นั่ง...สงบได้ แต่ละวันละวัน เราต้องไปทำความสงบ อันนั้นใช้ประโยชน์ได้น้อย หรือบางทีอาจจะผิดคำสอนของพุทธศาสนาก็ได้ เมื่อมาย้อนถึงความสงบตอนนี้ ท่านผู้ฟังทั้งหลายต้องตั้งใจฟังให้เป็น...ตอนนี้ คนมีปัญญาก็ฟังได้ รู้ได้ทันที ดอกไม้นั้นก็แปลว่าบานได้ทันที

เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะกุมารของเรานี่ไปบวช เราเรียกว่าพระพุทธเจ้า บวชแล้วก็ไปศึกษากับอาฬารดาบส อุทกดาบส สองอาจารย์นี้ คนแรกได้สมาบัติเจ็ด สอนให้ เข้าฌาน ออกฌานคล่องแคล่วว่องไวเหมือนกันกับอาจารย์ทุกสิ่งทุกอย่าง และบางทีอาจจะดีกว่าอาจารย์อีกซะด้วย เพราะเจ้าชายสิทธัตถะกุมารนี้เป็นคนแข็งแรง เป็นคนพูดจริงทำจริง อย่างที่พวกเรามาอบรมกรรมฐานกันที่นี่


เมื่อเป็นเช่นนั้น ได้สมาบัติเจ็ดแล้ว พิจารณาถึงตัวเองแล้ว เห็นพวกปัญจวัคคีย์ทั้งห้า ผู้ที่ติดตามไปนั้นแหละ ทำ..พูด..อะไรต่างๆ นี่ ไม่พอใจก็มี พอใจก็มี ที่เห็นด้วยตา ฟังด้วยหูนี่ อันนี้ก็ชื่อว่าแก้ทุกข์ไม่ได้ ก็ถามอาจารย์ อาจารย์ก็ว่าหมดความรู้ เมื่อหมดความรู้ก็ลาอาจารย์หนีไป เมื่อหนีจากอาจารย์ไป..คนนี้ ก็ไปเรียนคนที่สอง ได้สมาบัติแปดได้สมาบัติแปดนั้น เราเคยเข้าใจกันว่า เข้าฌานได้ ออกฌานได้ เรียกว่าสมาบัติแปด คล่องแคล่วว่องไวเหมือนกันกับอาจารย์ทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกแง่ทุกมุม

บางทีอาจจะดีกว่าอาจารย์ก็ได้ เพราะว่าท่านเป็นคนพูดจริงทำจริง เพราะท่านแสวงหาความรู้ทางดับทุกข์จริงๆ เมื่อเป็นเช่นนั้น เห็นพวกปัญจวัคคีย์ทั้งห้า...ทำ...พูด ได้ยินด้วยหู เห็นด้วยตา พอใจก็มี ไม่พอใจก็มี แสดงว่าความทุกข์นั้นยังไม่ลดน้อยลง ยังเหมือนเดิม ก็ไปถามอาจารย์ อาจารย์ก็ว่าหมดความรู้แล้ว

ดังนั้น ความสงบนั้นจึงว่า อันความสงบแบบนั้น มันไม่ใช่เป็นพุทธศาสนา มันเป็นคำสอนของพราหมณ์ ที่เราไปศึกษากันนั้น เพราะเราไม่รู้ ตัวอาตมาเองก็ได้ศึกษาเล่าเรียนมาเช่นนั้นเหมือนกัน แต่ไม่รู้จึงทำ ความไม่รู้นี่แหละ เป็นโทษอย่างหนัก ไม่รู้จึงทำ ผิดก็ไม่รู้ ถูกต้องก็ไม่รู้ อันนี้ชื่อว่า ความผิดนั้น เพราะความไม่รู้

เมื่อเป็นเช่นนี้ เราเข้าใจแล้ว พวกเราปฏิบัติ..ไปนั่งให้มันสงบนั่น เราไม่ต้องทำความสงบ เพราะมันไม่เป็นคำสอนของพุทธศาสนา มันเป็นคำสอนของพราหมณ์ อันนั้นมันเป็นคำสอนของพราหมณ์


บัดนี้ เมื่อ...เมื่อพูดถึงตอนนี้ก็เลยมารวบรัดตัดใจความให้สั้น เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะกุมาร คือพระพุทธเจ้าของเรานี่แหละ เห็นว่าไม่เป็นทางตรัสรู้ แล้วก็หนีเลย ลาจากอาจารย์นั้นมา เมื่อลาจากอาจารย์นั้นมา ก็มาทำทุกรกิริยา เราเคยได้ยินกันว่า กินข้าววันละเท่าเม็ดงา ไม่ได้กินหลาย กินข้าวนี่ กินข้าววันหนึ่งเท่าเม็ดงาเท่านั้น นี่การรักษาศีลก็เช่นเดียวกัน การรักษาศีลก็ยังไม่ถูกต้อง การกินอาหารทุกสิ่งทุกอย่างนั้นก็ยังไม่ถูกต้อง ยังไม่ได้เป็นพุทธศาสนาอะไร ทำขนาดนั้น เดินไปไหนมาไหนไม่ได้ เพราะคนไม่กินข้าว มันก็ซูบผอมลง มีแต่หนัง เอ็น กระดูก รัดรึงกันเอาไว้เท่านั้น อันนี้ก็ทำแทบจะหมดลมหายใจ อันนี้ก็ยังไม่ถูกต้อง








 

Create Date : 09 พฤศจิกายน 2550    
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2550 15:45:10 น.
Counter : 516 Pageviews.  

~อย่าเห็นกงจักรเป็นดอกบัว ~คำสอนของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ

อย่าเห็นกงจักรเป็นดอกบัว

วันนี้ ฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว เรียบร้อย พระเณรก็ฉันเรียบร้อยแล้ว ญาติโยมผู้มาปฏิบัติธรรม ก็ฉันเรียบร้อยแล้ว เมื่อฉันอาหารเรียบร้อยแล้ว ก็จะมีการแนะแนววิธีปฏิบัติกับพวกเรา วันนี้เป็นวันอะไร วันพุธที่ ๒๖ แรมจักค่ำ มื้อนี้ แรม ๓ ค่ำ เดือน ๓ นะ แรม ๓ ค่ำ เดือน ๓

ดังนั้น การปฏิบัติวิธีที่พวกเรากำลังทำอยู่เดี๋ยวนี้นี่ มันไม่เกี่ยวข้องกับทางทฤษฎีมาก แต่มันก็โยงถึงกันได้ แต่มันเกี่ยวข้องวิธีทำ คือ มันมีเทคนิค และกลไกในตัวมันเอง


จึงมีวิธีทำ วิธีทำนี้ ต้องเรียนให้เป็น ทำให้ชำนิชำนาญ แล้วเมื่อปฏิบัติก็สบาย ถ้าหากเราเรียนวิธีปฏิบัติ ยังไม่ชำนิชำนาญ เมื่อเราไปปฏิบัติ ก็ขัดข้อง มีความสงสัย ลังเล กังวลใจ มันเป็นอย่างนั้น
ดังนั้น จึงจะแนะนำให้พวกเราเข้าใจวิธีทำจังหวะ เช่น พลิกมือขึ้น พลิกให้เป็นพลิก ไม่ใช่ยก พลิกเฉยๆ พลิกและให้มันรู้สึกตัว ยกมือขึ้น ให้มันรู้สึกตัว เอามือมาที่สะดือ ก็ให้รู้สึกตัว บัดนี้ พลิกมือซ้ายนี้ ก็ให้มีความรู้สึกตัวพลิก ไม่ใช่ให้รู้สึกว่าพลิกมือ ไม่ใช่ให้รู้สึกอย่างนั้น เพียงแต่รู้สึกไหวไป มีความสัมผัสกับการเคลื่อนไหวเท่านั้นเอง ยกมือให้รู้สึก เอามาทับมือขวาที่หน้าท้องหรือสะดือนี่ ให้รู้สึก เลื่อนมือขวาขึ้นหน้าอก ให้รู้สึก เอามือขวาออกตรงข้าง ให้รู้สึก เอามือขวาลดลงที่ขาขวา ตะแคงไว้ ตั้งชันตะแคงไว้ คว่ำลง ให้มันรู้สึก เท่านั้นเอง

ทำสลับกันมือขวา มือซ้าย เมื่อทำอย่างนี้แหละ สิ่งที่ปรากฏขึ้นในตัวมันมีเอง เรียกว่า ทำความรู้สึกตัวให้มาก ความไม่รู้นั่นแหละ มันก็จะค่อยลดไป ๆ ๆ หรือว่าหมดไป ๆ ๆ อย่างนี้ ความรู้สึกก็มากขึ้น ๆ ๆ เมื่อความรู้สึกมากขึ้น ๆ ๆ แล้ว ทำให้เกิดปัญญา เห็นแจ้ง รู้จริง ตามความเป็นจริง เรียกว่า ธรรมชาติ มันเป็นอย่างนั้น ก็ต้องรู้ตามกฎของธรรมชาติมันนั่นเอง

ดังนั้น การปฏิบัติแบบนี้ จึงมีวิธีกลไก และเทคนิค มีจังหวะ ทำเป็นจังหวะ เคลื่อนไหวโดยวิธีใด ก็ให้รู้ เช่น พริบตา เหลือบซ้ายแลขวา ก็ให้รู้ เอียงซ้าย เอียงขวา ก้มเงย ก็ให้รู้ กลืนน้ำลายลงไปในลำคอนี่ ก็ให้รู้


อันนี้ เป็นวิธีปฏิบัติง่ายๆ แต่ไม่เข้าใจในคำพูดเท่านั้นเอง หายใจเข้า หายใจออก ไม่ต้องพูดถึงว่า สั้นยาว หายใจรู้เฉยๆ เท่านั้นเอง ไม่ว่าเข้ายาวออกยาว เข้าสั้นออกสั้น ลมหยาบลมละเอียด ไม่ต้องนึกถึง เพียงแต่ให้รู้ก็พอ - ใช้ได้

จึงเป็นหน้าที่ทุกคนทำได้ เรียกว่า เป็นการปฏิบัติธรรมไปกับงานทุกวิธีทีเดียว อันนี้ ดังนั้น สิ่งที่พูดนี้ คนอื่นมองเห็น เช่น พลิกมือขึ้น คว่ำมือลง ยกมือไป เอามือมา เดินหน้า ถอยหลัง เอียงซ้าย เอียงขวา ก้มเงย เหล่านี้หยาบ คนอื่นมองเห็นได้อย่างถนัด หรือไกลๆ ก็มองเห็นอย่างนี้ ละเอียดเข้ามาคือ (กะ)พริบตา ...พริบตา เหลือบซ้าย แลขวา ละเอียดเข้ามา แต่ก็ยังดูไกลๆ มองเห็นได้

บัดนี้ ละเอียดลงไป คือ หายใจเข้า หายใจออก อันนี้ก็ละเอียดเข้าไป ส่วนความคิดหรือการนึก การคิดนั้น ยิ่งละเอียด คนอื่นมองไม่เห็น ตัวเองก็มองไม่เห็น ไม่เคยเข้าใจเรื่องเหล่านี้

นี่เป็นวิธีปฏิบัติอย่างง่ายๆ อยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติได้ ปฏิบัติแบบนี้ ผู้หญิงผู้ชาย พระสงฆ์องค์เณร ก็ปฏิบัติอย่างนี้ คนชาติใด ภาษาใด ถือศาสนาไหน ก็ปฏิบัติอันนี้ เรียกว่าเป็นการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมแบบนี้ จึงไม่ต้องเห็นอะไรให้มาก ต้องเห็นตัวเรานี้เอง กำลังเคลื่อนไหวไปมานี่ เรียกเป็นการปฏิบัติธรรม รู้สึกตัวนั้นแหละ เป็นการปฏิบัติธรรม

ธรรมะนั้นจึงคือตัวคน ทำการทำงาน พูด คิด เป็นธรรมะทั้งนั้น และต้องรู้จักกับสิ่งเหล่านั้น รู้เท่าทันเหตุการณ์กับสิ่งเหล่านั้น เรียกว่า เป็นการปฏิบัติธรรม ไปกับงานทุกประเภท เป็นอย่างนั้น
ดังนั้น ทีแรก มันต้องมีการฝึกหัด เพราะเราไม่เข้าใจเรื่องนี้ ที่พระพุทธเจ้าท่านสอนเอาไว้ในประเทศอินเดียโน้นว่า ให้มีสติเข้าไปกำหนดรู้ แต่ว่าตอนกำหนดรู้นี้ อาจจะเป็นคนอื่นพูดก็ได้ หรือพระพุทธเจ้าพูดก็ได้ ถ้าเข้าไปกำหนดจริงๆ มันหนัก ท่านว่าให้มีสติเข้าไปกำหนดรู้ในอิริยาบถทั้งสี่ หรืออริยาบถทั้งสี่เนี่ยะ ยืน ให้มีสติเข้าไปกำหนดรู้ ว่าซั่น นั่ง ให้มีสติเข้าไปกำหนดรู้ นอนให้มีสติเข้าไปกำหนดรู้ ท่านว่า แล้วก็เดินไปเดินมา ไปไหนมาไหน ให้มีสติเข้าไปกำหนดรู้ ท่านสอนเอาไว้อย่างนี้

เท่านั้นก็ยังไม่พอ ท่านยังสอนย้ำเข้าไปว่า ให้มีสติเข้าไปกำหนดรู้ในอริยาบถย่อย คู้ เหยียด เคลื่อนไหวโดยวิธีใด ก็ให้มีสติเข้าไปกำหนดรู้ ท่านสอนอย่างนี้
แต่คำพูดอันนั้น พูดได้ แต่เราไม่เข้าใจ เราไปเข้าใจเอาเพียงกำหนดลมหายใจ เข้าสั้น ออกยาว หรือเข้ายาว ออกสั้น ลมหยาบ ลมละเอียด แล้วเราไปกำหนดรู้อันนั้น อย่างเดียวเท่านั้น แล้วก็หลับตา นี้เคยทำมาอย่างนั้น อันตัวหลับตานี่ มันฝืนธรรมชาติมันแล้ว เราไม่ได้ศึกษากับธรรมชาติมันจริงๆ


ดังนั้น วิธีที่กำหนดให้พวกเราทำขึ้นมานี่ คือ เป็นวิธีให้มันอยู่กับสภาพตามธรรมชาติของมัน ไม่ต้องฝืนธรรมชาติมันทั้งหมดเลย มันจะเคลื่อนไหวโดยวิธีใดก็ตาม มันจะรู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง สัมผัสกับตัวธรรมชาติของมันเอง

ดังนั้น ศึกษาธรรมะแบบนี้ จึงง่ายๆ เรียนหนังสือ เขียนหนังสือเป็น ก็ปฏิบัติได้ คนที่ไม่ได้เรียนหนังสือ เขียนหนังสือไม่เป็น ก็ปฏิบัติได้ คนรวยๆ มีเงินมากๆ ก็ปฏิบัติได้ คนจนๆ ไม่มีเงิน ไม่มีทอง ไม่มีทรัพย์สินอะไรมากมาย ก็ปฏิบัติได้ รู้ ก็รู้อย่างเดียวกัน


ธรรมะ จึงเป็นอันเดียวกันเท่านั้น แม้ผู้หญิงก็เป็นอันเดียวกันเท่านั้น ผู้ชายก็เป็นอันเดียวกันเท่านั้น และครูบาอาจารย์ เคยกล่าวเอาไว้ว่า พุทธศาสนาของเราตถาคต ว่างั้น จะเจริญรุ่งเรืองหรืองอกงามนั้น ก็ต้องอาศัย บริษัทสี่ ท่านว่าอย่างนั้น ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอยู่ มรรคผล นิพพาน ก็ไม่ว่างจากโลกนี้

ในทางตรงกันข้าม พุทธศาสนาของเราตถาคตนี้ จะอันตรธานหรือหายไป ก็ต้องอาศัยบริษัท 4 คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา นี้เอง ไม่ประพฤติ ไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้าก็อันตรธานหายไป และมรรคผลนิพพาน ก็อันตรธานหายไป ว่ายังงั้น

บริษัทสี่ คือ ภิกษุ ๑ ภิกษุณี ๑ อุบาสก ๑ อุบาสิกา ๑ สี่บริษัทนี้ ท่านว่าอย่างนั้น เดี๋ยวนี้ บริษัทอย่างที่ภิกษุณีนั้น ไม่มีแล้ว เพราะว่าไม่มีภิกษุณีเดี๋ยวนี้ มีแต่ภิกษุ อุบาสก อุบาสิกา ยังเหลืออยู่ ๓ บริษัท เท่านั้นเอง


แต่จะพูดในวันนี้ ก็เอากันเป็นเพียง บริษัท ๒ ก่อน เบื้องแรก คำว่าบริษัท ๒ ก็หมายถึง ผู้ชาย พระภิกษุ ก็เป็นผู้ชาย บวชแล้วสึกไป สึกแล้วก็บวชมา เรียกว่า เป็นผู้ชาย คือ บริษัท ๑ ภิกษุณี หรือแม่ขาว แม่ชี แม่ดำ เหล่านี้ก็เป็นบริษัทหนึ่ง เรียกว่า ผู้หญิง เพศหญิงนั่นเอง สองบริษัทนี่แหละ ทำให้เจริญก็ได้ หรือไม่ต้องการความเจริญ ทำให้เสื่อมก็ได้ สำหรับตัวบุคคล เท่านั้นเอง





อย่าเห็นกงจักรเป็นดอกบัว(๒)

(: ขออนุญาตนำตอนที่ ๒ และ ๓ (ตอนจบ)มาลงตรงนี้ก็แล้วกันนะคะ เพื่อเป็นการประหยัดเซิฟเวอร์)

บัดนี้ อยากจะกล่าวถึง บริษัท ๔ อีกสักคำหนึ่ง ที่เรายังมีความขัดข้องหรือสนใจกันอยู่ในบริษัท ๔ นี้เอง บริษัท ๔ นี้ สมมุติขึ้นมา ๔ คน จะเป็นผู้หญิงทั้ง ๔ คนก็ได้ จะเป็นผู้ชายทั้ง ๔ คนก็ได้ สมมุติเอาบุคคลคนหนึ่ง ไม่รู้ธรรมะ ไม่เข้าใจธรรมะ ไม่ได้สัมผัสกับธรรมะ ไม่ได้เห็นธรรมะซาบซึ้งภายในจิตใจตัวเองนั้นแหละ แล้วก็เที่ยวเทศน์ เที่ยวสอน โพนทนาไปว่า ธรรมะต้องเป็นอย่างนั้น ธรรมะต้องเป็นอย่างนี้ ทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้ จึงจะรู้ธรรมะ บริษัทนี้ไม่เข้าใจธรรมะ บริษัทนี้แหละทำให้พุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าอันตรธานหายไป จะเป็นผู้หญิงก็ตาม ผู้ชายก็ตาม

บริษัทที่ ๒ บัดนี่ ไม่รู้ แต่ไม่สอนคน ทำไป อยู่ไป กินไป นอนไป ตามหน้าที่ของคนที่ผู้ไม่รู้นั้นเอง บริษัทนี้ไม่ทำให้เจริญ และไม่ทำให้เสื่อม อยู่ไปอย่างนั้นตลอดกาล เป็นอย่างนั้น

บริษัทที่ ๓ บัดนี่ รู้ เข้าใจธรรมะ ซาบซึ้ง เห็นแจ้งรู้จริง แต่ไม่เทศน์ ไม่สอน ปิดบังเอาไว้ สำหรับรู้แต่เราคนเดียว ไม่ให้คนอื่นรู้ด้วย บริษัทนี้ก็ไม่ทำให้พินาศฉิบหาย แต่เจริญสำหรับส่วนตัวเรา และไม่ทำให้พุทธศาสนาหรือคนอื่นเจริญขึ้นมาได้ บริษัทที่ ๓


บริษัทที่ ๔ คือ พวกเรากำลังศึกษา และปฏิบัติ วิธีกลไกและเทคนิคการกระทำนั้นแหละให้รู้จริง เห็นจริง และทำก็ถูกต้องกับที่พระพุทธเจ้าท่านสอนเอาไว้ให้มีสติเข้าไปรู้นี่แหละ ทุกอิริยาบถนี่ แล้วเกิดญาณปัญญา เห็นแจ้งรู้จริง ตามความเป็นจริง สัมผัสได้ กำหนดวัน เดือน ปีลงไป เพราะตัวเองรู้จริงก็ต้องกำหนดได้ วันเดือนปี กำหนดเท่านั้นวัน เท่านี้เดือน เท่านั้นปี ต้องรู้ ไม่มากก็น้อย แล้วก็เที่ยวเทศน์ เที่ยวสอน ให้บุคคลที่ยังไม่ได้ฟัง ได้ฟัง ให้บุคคลที่ยังไม่รู้ ได้รู้ และให้บุคคลที่ยังไม่เคยรู้เทคนิค และกลไกวิธีทำนั้น ให้คนอื่นได้ศึกษาเล่าเรียน และปฏิบัติตามเทคนิคกลไกอันนั้น ให้คนอื่นหรือคนทั่วๆ ไป รู้ตามเห็นตาม เข้าใจตามที่สิ่งตัวเองได้รู้ ได้เห็น ได้เข้าใจมานั่นแหละ เรียกว่า เป็นการฟื้นฟูหลักพระพุทธศาสนา ทำให้พระพุทธศาสนาเจริญได้ บริษัทนี้ แต่จะเป็นผู้หญิงก็ตาม เป็นผู้ชายก็ตาม เป็นพระเป็นเณรก็ตาม เป็นใครๆ ก็ตาม ถ้ารู้จริงแล้ว ต้องรับรองได้ อย่างนี้

อย่างที่ตัวของผม หรือตัวอาตมาพูดในขณะนี้ ก็รับรองได้ คือวิธีอันนี้ ไม่ได้พูดถึงเรื่องการให้ทาน และไม่ได้พูดถึงการรักษาศีล ไม่ได้พูดถึงทำความสงบอันใดๆ ทั้งหมด ( คำว่าอันใด นี่ก็บ้านหลวงพ่อ เรียกว่า อันใด ) อะไรๆ ทั้งหมดเลย มันขึ้นอยู่ในตัวของมัน พร้อมแล้วทุกอย่างทีเดียว และสิ่งที่ยังไม่เคยรู้ มันก็จะรู้ขึ้นมา สิ่งที่ยังไม่เคยเห็น มันก็จะเห็นขึ้นมา มันจะปรากฏในตัวของมันเอง ดังนั้น จึงเป็นสิ่งที่อัศจรรย์ที่สุด อันทำความรู้สึกตัว ตื่นตัว ทำความรู้สึกใจ ตื่นใจนี้ มันเป็นเองไปตามธรรมชาติ หรือเป็นไปตามหน้าที่ของมัน จริงๆ เรื่องนี้

ตัวของผมหรือตัวของอาตมาเอง ได้อ่านหนังสือธรรมวิจารณ์ เป็นความรู้นักธรรมชั้นเอกว่า ผู้ที่เจริญสติปัฏฐาน ๔ ให้ติดต่อกันเหมือนลูกโซ่ ท่านว่าอย่างนั้น ให้ติดต่อกัน เหมือนลูกโซ่ หมายถึง ไม่ขาดช่วง ไปไหนมาไหน ก็ต้องปฏิบัติ อย่างนั้น เรียกว่าไม่ขาดช่วง เรียกว่าติดต่อกันเหมือนลูกโซ่ อย่างนานเวลา ๗ ปี ท่านกำหนดเอาไว้ อย่างกลาง ๗ เดือน อย่างเร็วที่สุด นับตั้งแต่ ๑ วัน ถึง ๗ วัน หรือ ๑๕ วัน มีอานิสงส์ ๒ ประการ ท่านว่าอย่างนั้น หนึ่ง ต้องเป็นพระอรหันต์ในปัจจุบันนี้ หากว่า ไม่ได้เป็นพระอรหันต์ในปัจจุบันนี้ ต้องเป็นพระอนาคามีแน่นอนที่สุด ท่านว่า พระอนาคามี


ดังนั้น ที่ปฏิบัติอย่างวิธีที่พวกเรากำลังฝึกหัดดัดนิสัยกันอยู่ทุกวันนี้ อย่างนานให้เวลา ๓ ปี อย่างกลาง ๑ ปี อย่างเร็วที่สุดนับตั้งแต่ ๑ วัน ถึง ๙๐ วัน อานิสงส์ไม่ต้องพูดเลย ทุกข์นั้นจะลดน้อยไป หรือบางคนผู้มีปัญญาเข้มแข็งหรือฉลาดเฉลียวมาก อาจจะเปลื้องทุกข์ไปได้ทั้งหมดก็ได้

ดังนั้น คำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมดเลย บรรจุลงมาที่แก้ปัญหาตัวเอง คือ แก้ทุกข์นี่เอง เมื่อแก้ปัญหาตัวเอง แก้ทุกข์ตัวเองได้แล้ว ก็แก้ปัญหาคนอื่นได้ แก้ทุกข์คนอื่นได้ ท่านเรียกว่าสังคม แต่เดี๋ยวนี้เราไม่ได้สนใจเรื่องนี้มาก เราไปสนใจเรื่องอื่นมาก จึงไม่เข้าใจหลักพระพุทธศาสนา

ดังนั้น คำว่าศาสนา กับพุทธศาสนานี้ มันเป็นคำละคำกัน แต่ก่อนตัวของผมหรือตัวอาตมาก็ไม่รู้ ว่า ศาสนาต้องมีวัด มีพระสงฆ์ มีเณร หรือมีพระพุทธรูป มีเจดีย์ มีคัมภีร์ มีอะไรต่างๆ เหล่านั้น เข้าใจอันนั้นเป็นตัวศาสนา อันนั้นจริงอยู่ ศาสนาสมมุติ ให้เข้าใจว่า ตัวคนนั้นแหละเป็นตัวศาสนา

ตัวพุทธศาสนา คือ ตัวเราเจริญสติ หรือทำความรู้สึกตัว ตื่นตัว ทำความรู้สึกใจ ตื่นใจ พร้อมสมบูรณ์แล้ว ปัญญา หรือญาณ มันเกิดขึ้นให้เห็น ให้รู้ ให้เข้าใจ สัมผัสในตัว ได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกแง่ทุกมุม อันนั้นแหละ เป็นตัวพุทธศาสนาแท้ พุทธศาสนา จีงว่า พุทธะ แปลว่าผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม ก็ต้องอยู่กับธรรมะประเภทนั้น หรือธรรมะที่เราเห็น เรารู้ เราเข้าใจ หรือการงานที่เราทำ พูด คิด นั้นแหละ เราก็ต้องอยู่กับสิ่งเหล่านั้นเรียกว่า เป็นการปฏิบัติธรรม




อย่าเห็นกงจักรเป็นดอกบัว (๓)

ดังนั้น การปฏิบัติธรรมนั้น จึงไม่กำหนดกาลเวลา ไปไหนมาไหน ก็เป็นการปฏิบัติธรรมะได้ไปในตัวมันเอง

ข้อแรก จะหมดปัญหาเรื่องผี เทวดา ฤกษ์งามยามดี โชคชะตา บาปบุญ สิ่งที่สมมุติขึ้นมานั้น จะรู้แจ้งเห็นจริง ตามความเป็นจริง สิ่งเสพติดมึนเมาทุกประเภท เราจะเห็น จะรู้ จะเข้าใจ เมื่อเห็น รู้ เข้าใจ สัมผัสแน่นอนลงไปแล้ว ไม่ต้องมีใครบอก ไม่ต้องมีใครสอนเลยว่าสิ่งนั้นควร ไม่ควร เพราะตัวเองเห็นว่าไม่ควร ก็ต้องไม่ควร ตัวเองเห็นว่าควร ก็ต้องทำไป เท่านั้นเอง

คนโบราณท่านจึงสอนเอาไว้สั้นๆ ว่า อย่าเห็นผิดเป็นถูก อย่าเห็นนรกเป็นสวรรค์ อย่าเห็นกงจักรเป็นดอกบัว ท่านว่าอย่างนั้น แล้วก็อย่าเห็นทุกข์เป็นสุข ท่านสอนเอาไว้


ในทางตรงกันข้าม บางคนก็เห็นผิดนั่นแหละกลับมาเป็นถูก เห็นทุกข์กลับมาเป็นสุข เห็นนรกกลับมาเป็นสวรรค์ เห็นกงจักรนั้นกลับมาเป็นดอกบัว เป็นอย่างนั้น เรื่องนี้เคยพูดกันมาหลายครั้งแล้ว ที่ว่าเห็นกงจักรเป็นดอกบัวนี้ คือ มีนิทาน คำว่านิทานนี้หมายถึงปรัมปรา จะจริงก็ได้ ไม่จริงก็ได้

มีมหาเศรษฐีคนหนึ่ง มีลูกชายคนเดียวเท่านั้น แต่พ่อตายลงไป ก็เหลืออยู่แต่แม่คนเดียว กับลูกชายคนหนึ่ง เป็น ๒ คน มีทรัพย์สมบัติมาก ใช้เท่าใดก็ไม่หมด ลูกชายคนนั้นใหญ่โตมาแล้ว ก็อยากไปค้าไปศึกษาเล่าเรียนต่างชาติต่างภาษา หรืออะไรมากๆ เหล่านั้นแหละ แม่ก็ห้าม บอกว่า ไม่ต้องไปหาเงินทองนั้นแหละ เงินทองอยู่ในบ้านของเรา ใช้ก็ไม่หมดแล้ว แม่ก็มีนโยบายให้เข้าไปวัด ให้เงินเป็นรางวัลไปวัดทุกวันๆ ลูกชายก็ไป ไปตอนเย็นมาแล้ว ก็ให้เงิน ถามไปวัดไหม ไป แต่มีอะไรบ้าง วัด ก็ไม่รู้ ก็ไปเพียงเข้าไปในวัดดู เท่านั้นเอง วันต่อมา ก็สอนให้เข้าไปหาพระ เข้าไปหาพระก็พระพูดอะไร ก็ไม่ได้รู้

วันต่อไปให้เข้าไปในโบสถ์ในสิม อย่างที่เราเคยมีโบสถ์มีสิม ก็ไปนอนอยู่ในโบสถ์ในสิม แม่ถามก็ไม่ได้เรื่อง วันต่อไป ก็ให้ไปฟังเทศน์จากพระ ฟังเทศน์จากพระ ก็ฟังแล้วก็ไม่จดไม่จำ เป็นอย่างนั้น หลายวันละ จำไม่ไหว เพราะพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย เล่าให้ฟังมาอย่างนี้ ก็เลยนำมาเล่าให้พวกเราฟัง เผอิญอยากไปค้ากับนายสำเภาเข้า ลุกขึ้นเกียมเนื้อ เกียมตัว จับกระเป๋า แม่ก็เลยไปจับเอาเซิงตะเกี้ยวผ้า ว่าอย่างนั้น ก็เลยศอกกลับหลังถูกแม่ แม่ก็ล้มตูมลงไป ก็จับกระเป๋า ก็วิ่งไปเลย เรียกว่าแล่น บ้านหลวงพ่อว่าแล่นลงไป โตนเข้าสำเภา พอดีนายสำเภากำลังปลดสมอสำเภาอยู่ พอดีตาคนนั้นโตนเข้าไปแล้ว สำเภาก็พุ่งไปเลย

ออกไปถึงกลางทะเลหรือมหาสมุทรที่กว้างๆ น่ะ พอดีไปถึงที่นั้นแล้วก็เลยติดเลย ไม่ไปเลย เหมือนกับสมอเกาะไว้นี่ บัดนี้นายสำเภา นายเรือน่ะ ก็เลยนึกขึ้นมาว่า เป็นคนกาลกิณีเข้ามาในเรือในสำเภาเราแล้ว มันจึงเป็นอย่างนี้ ทุกเที่ยวไม่ต้องเป็นอย่างนี้ ก็เลยมาจกสลาก เขียนบัตร เขียนสลากลงไปจับเอา คนใดเป็นคนกาลกิณีก็ให้จับเอาสลากใบนี้ คนนั้นก็จับลงไป ก็ถืกสลากใบนั้น แต่คนอื่นน่ะไม่ถูก เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็เลยมาทำแพ หรือทำไม้มัดติดเป็นลำ เป็นลำ เรียกว่าแพ บ้านหลวงพ่อ แล้วได้เอาไม้ เอาอาหารการกินลงให้ แล้วก็เชิญอีตาคนนั้นลงแพ ลงเรือใบนั้น อีตาคนนั้นลงแล้ว สำเภาก็ไปเลยทีเดียว ไปคนละทิศละแดนกันไปเลย มองไม่เห็นกันเลย

อีตาคนนั้นก็ได้ยินเสียงสัตว์นรกร้อง นึกว่าเป็นเสียงเพลงหรือดนตรี ระนาด พาทย์ ฆ้อง สิ่งที่เพราะหูน่ะแหละ ก็เลยชี้มือลงไป เราจะไปชมเมืองอันนี้ แพก็เลยไปตามกระแสที่อีตาคนนั้นต้องการนั้นเอง พอดีไปถึงที่นั้น แพก็เข้าไปจุหรือเข้าไปมัด ไม่ได้มัดหรอก เข้าไปผูกไปจอดที่นั่น อีตาคนนั้นก็ขึ้นไปเลย ขึ้นไปเห็นสัตว์นรกคนหนึ่ง ถูกกงจักรกำลังผันหัวหรือผุนหัวอยู่ เลือดออกมา ร้องอยู่อย่างนั้น อีตาคนที่ออกจากแพไปนี้ ก็ไปเห็น นึกว่าเป็นเครื่องประดับ เป็นทองคำ เป็นเพชร เป็นอะไรต่างๆ เครื่องประดับคนนั้น

ก็เลยไปขอรับ อีตาคนนั้น อีตาคนนั้นก็ไม่ยอมให้ เพราะยังไม่หมดกรรม ไม่หมดเวร ท่านว่าอย่างนั้น ยังเป็นเครื่องประดับของเราอยู่ ให้คนอื่นประดับไม่ได้ อีตาคนที่ไปขอนี้ก็เลยโกรธ ไม่พอใจ วันต่อไป หลายครั้งหลายหน ไปขออยู่ทุกวันๆ อีตาคนนั้นก็ไม่ให้ วันสุดท้ายนี้ เพราะมันหมดกำหนดแล้ว ก็เลยเรียกอีตาคนนั้น ท่านผู้เจริญ ท่านจงรีบขึ้นมาเอาเครื่องประดับของท่านเถอะ อีตาคนนั้นก็แล่นขึ้นไป วิ่งขึ้นไป อีตาคนนั้นก็จับเอากงจักรอันนั้นแหละออกมาจากหัวตัวเองไปใส่ศีรษะอีตาคนนั้นหรือหัวอีตาคนนั้น กงจักรก็ผันลงไปเลย ผุนลงไปเลย ร้องขึ้นมาทันที ให้มารับเอาคืน อีตาคนนั้น ก็บอกว่า เป็นของท่านแล้ว ท่านต้องเสวยนี่


อันนี้แหละ แสดงให้เราเห็นว่า เห็นกงจักรเป็นดอกบัว มันเห็นผิด การปฏิบัติก็ผิด ถ้าเห็นถูกต้อง ปฏิบัติก็ถูกต้อง จริงๆ รับรองวิธีปฏิบัติแบบนี้ ต้องเรียนให้ชำนิชำนาญ การปฏิบัติก็จะรู้เรื่องสมมุติจริงๆ สมมุติบัญญัติ ปรมัตถ์บัญญัติ อรรถะบัญญัติ อริยะบัญญัติ สี่ข้อนี้ต้องรู้แน่นอน

วันที่วันนี้ที่นำมาเตือนจิตสะกิดใจของนักปฏิบัติธรรม หรือพวกเราที่กำลังสนใจกันอยู่ในวันนี้ ตอนฉันเช้านี้ ก็เป็นให้พรไปในตัว ไม่ต้องรับพรภาษาบาลี อายุ วรรณะ สุขะ พละ ไม่ต้องพูดก็ได้ เพราะให้ปฏิบัติธรรม อันนี้แหละ รู้สึกตัว ตื่นตัว รู้สึกใจ ตื่นใจ การเคลื่อนไหวโดยวิธีใดก็ตาม ไปที่ไหนมาที่ไหน ให้มีกำหนดการไปการมา และให้รู้สึกตัวในการไปการมา จะไปกำหนดเท่านั้นวัน เท่านี้วัน อันนั้น กำหนดไม่ได้ หรือจะกำหนดว่า เท่านี้วัน เท่านี้วัน กำหนดไม่ได้ แต่การปฏิบัติอันนี้ กำหนดได้ว่า อย่างนานไม่เกิน ๓ ปี อย่างกลาง ๑ ปี อย่างเร็วที่สุด นับตั้งแต่ ๑ วันถึง ๙๐ วัน อานิสงส์ไม่ต้องพูดเลย ความทุกข์นั้นจะลดน้อยไป ลดน้อยไป ถึงบางคนผู้มีปัญญาอาจจะหมดก็ได้


ท้ายที่สุดนี้ อาตมาพร้อมด้วยพระสงฆ์และญาติโยม กำลังนั่งฟังธรรมะอยู่ในขณะนี้ อาตมาขออ้างอิงเอาคุณของพระพุทธเจ้า และพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและคุณของพระอรหันตสาวกพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาเตือนจิตสะกิดใจของพวกเรา ให้พวกเราได้รู้ ได้เห็น ได้สัมผัสเข้าใจแนบแน่น.......................








 

Create Date : 05 พฤศจิกายน 2550    
Last Update : 8 พฤศจิกายน 2550 15:16:34 น.
Counter : 2429 Pageviews.  

ทางด่วนสู่ปัญญา ~ คำสอนของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ (๔ - จบ)

...
ถ้าเราไม่รู้จักความเป็นคน ไม่รู้จักเรื่องของคน ไม่รู้จักหน้าที่ของคน ก็เหมือนกับตมกับเลนนั่นแหละ ตมกับเลนน่ะ มัน..มันอยู่กับน้ำ แต่ว่า น้ำไม่ใช่ตม ตมกับน้ำไม่ใช่อันเดียวกัน เราเห็นน้ำมันขุ่นน่ะ บ้านหลวงพ่อเรียกว่าน้ำขุ่น เอาสารส้มมากวนเข้าแล้ว ตมเลนมันจับกันเข้า น้ำก็สะอาดขึ้นมา


อันนี้ก็เหมือนกัน เมื่อเราเห็นแล้ว เราแยกได้ จะต้องการเอามันมาใช้ก็ได้ ไม่ต้องการเอามันมาใช้ ก็ทิ้งมันไว้ที่ตรงนั้นเลย นี่ท่านว่า ให้รู้ ให้เห็น อันนี้เรียกว่า มีมรรคมีผล มีทั้งมรรคทั้งผลนะ หลวงพ่อพูดมาแค่เนี้ยะ อันนี้แหละ..ขั้นต้น ที่เรียกว่านี่แหละเป็นปฐมฌาน มีองค์ห้า มีวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัตคตา ที่ตรงนี้

ถ้าหากไม่รู้อย่างนี้ก็แสดงว่า ปฐมฌานอยู่ที่ไหน..ไม่รู้เลย ไม่รู้..หลวงพ่อไม่รู้ รู้แต่ตำรา ทุติยฌานยังไม่ได้..อันนี่ ตอนทุติยฌานก็ต้องตอนเช้า อันนี้หลวงพ่อรู้ตอนแลง อันนี่..หลวงพ่อเข้าใจอย่างนั้น แต่คนอื่นจะรู้อย่างใด..ก็ไม่รับรู้กับคนนั้นคนนี้


ตอนเช้าเลยทีแรก หลวงพ่อรู้รป-นามนี้ ตอนแลงหลวงพ่อมารู้อันนี้ เอ๊อ..นี่..จึงว่า พวกเรามาทำนี่ ระยะสิบวันนี่ ถ้าหากเป็นคนจริง เป็นข้าวที่หนึ่งแล้ว หลวงพ่อว่าคงจะไม่พลาด ถ้าเป็นข้าวปลาย ข้าวไม่มีใน เป็นข้าวผี (หัวเราะเบาๆ) แล้วก็อาจพลาดไปได้

ดังนั้น จึงว่า ให้เป็นข้าวที่หนึ่งจริงๆ เลือกเอาเม็ดข้าวสดๆ ที่ทำมาเนี่ยะ เม็ดข้าวสดๆ มาเข้าโรงสี โรงสีจะปัดออกมาเป็นข้าวที่หนึ่ง บรรจุเข้าไปในกระสอบ เอาไปขายราคาก็ดี กินก็มีรสชาติอันดี ถ้าเป็นข้าวผีแท้ สีออกมาก็เป็นแกลบ เป็นรำไปเลยน่ะ เอาไปให้สัตว์กิน นั่นน่ะ เลือกกินอาหารที่มันเป็นที่ให้วิตามิน ให้มีโปรตีน ถ้าหากเราไม่เลือก กินอาหารที่ไม่มีวิตามิน ไม่มีโปรตีน มันจะนำโรคร้ายมาใส่ให้เรา เราจะเดือดร้อน

ดังนั้น การเจริญวิปัสสนาภาวนา จึงว่า ทำจริง..รู้จริง ทำไม่จริง..รู้ไม่จริง จึงว่า ตั้งจิตตั้งใจ ตอนหลังจากการทำวัตรเช้าวันนี้ หลวงพ่อมาทบทวนอารมณ์ หรือมาแนะแนววิธีปฏิบัติ และชี้แนวทาง อบรมแล้วชี้ทางให้เข้ามาทางนี้ ออกไปทางนั้น..มันไม่ถูกไม่ตรง เท่านั้นเอง

เอาแหละ ที่หลวงพ่อได้ให้ข้อคิด เป็นเครื่องเตือนจิตสะกิดใจมาในวันนี้ ก็เห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้ว ท้ายที่สุดนี้ อาตมาพร้อมด้วยพระสงฆ์ และญาติโยม มานั่งฟังธรรมะอยู่ ณ สถานที่นี่ อาตมาขออ้างอิงเอาคุณของพระพุทธเจ้า และพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และคุณของพระอรหันตสาวกพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาเตือนจิตสะกิดใจของพวกเรา ให้พวกเราได้เจริญรอยตาม อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า สัตว์ทั้งหลาย คือเราตถาคต สัตว์ทั้งหลายเหมือนเราตถาคต สัตว์ทั้งหลายเป็นตถาคต ข้อที่สี่นี้ว่า สัตว์ทั้งหลาย เราผู้เป็นตถาคตไปถึงแล้วแห่งนั้น แล้วจึงนำมาสอนพวกเธอทั้งหลาย ให้พวกเธอทั้งหลาย จงประพฤติปฏิบัติตามอย่างเราตถาคตนี้ ก็จะรู้ จะเห็น จะเป็น จะมี อย่างเราตถาคตนี้

อันนี้แสดงว่า คำพูดคำสอนของพระพุทธเจ้า รับประกัน รับรองได้ว่า ไปทางนี้ จึงว่า รู้..เห็น ถ้าไม่ไปทางนี้ ไม่รู้ ไม่เห็นจริงๆ ขอให้ทุกคนๆ จงได้ประสบพบเห็นเอาจิตใจสะอาด จิตใจสว่าง จิตใจสงบ จิตใจบริสุทธิ์ อันจิตใจปกตินั่นแหละ หรือจิตใจผ่องใส จิตใจว่องไว ในชีวิตนี้ หรือเวลาอันใกล้นี้ จงทุกๆ คน เทอญ.










 

Create Date : 02 พฤศจิกายน 2550    
Last Update : 2 พฤศจิกายน 2550 15:21:16 น.
Counter : 595 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  

แม่ไก่
Location :
ลำปาง Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 184 คน [?]




**หลังไมค์เจ้า**





Cute Clock Click!



เออสิ,มาอยู่ใยในโลกกว้าง
เฉกชลคว้างมาเมื่อไรไม่นึกฝัน
ยามจากไปก็เหมือนลมรำพัน
โบกกระชั้นสู่หนไหนไม่รู้เลย


รุไบยาต ~ โอมาร์ คัยยัม
สุริยฉัตร ชัยมงคล : แปล




Latest Blogs

~ท่านหญิงในกระจก/แสงเพลิง ~

~เพชรรากษส/อลินา ~

~มนตร์ทศทิศ/ราตรี อธิษฐาน ~

~เมื่อหอยทากมีรัก 1-2/"ติงโม่"เขียน/พันมัย แปล ~

~ให้รักระบายใจ/"ณกันต์"เขียน ~

~ผมกลายเป็นแมว/Abandoned/Paul Gallico เขียน(ภูธนิน แปล) ~

~พ่อค้าซ่อนกลรัก & หมอปีศาจแสนรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~

~อาจารย์ยอดรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~

~จอมโจรพยศรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~


สารบัญหนังสือ: รวมลิงก์หนังสือที่รีวิวในบล็อก # ๑ + ๒



Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add แม่ไก่'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.