'หัวใจ๋ข้า หัวใจ๋เจ้า ห้อยอยู่เก๊าเดียวกั๋น' *
*คลิกเพื่ออ่านคำแปลเจ้า :)

~ข้อปฏิบัติที่ลัดสั้น ~ คำสอนของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ (๘-จบ)


.......

ดังนั้น เรามาที่นี่ ต้องพยายามดูใจ ดูใจ อย่าไปพากัน...ทำงานอะไร ก็ดูใจ ใจมันคิดแว่บเดียวขึ้นมา...เราเห็น เรารู้ เราเข้าใจ ตัดทิ้งเลย เหมือนกับที่ขุดบ่อน้ำเนี่ยะ เราขุดแล้วก็ตักหน้าที่จะวิดน้ำออก หน้าที่จะวิด...บัดนี้ ความคิดมันคิดมา ตัดทิ้ง ตัดทิ้งไปเลย เมื่อตัดทิ้งไปหมดแล้ว ความคิดมันสกปรก มันจะไม่เข้ามาเลย มันจะมีแต่สติปัญญา ทำอะไรจะไม่พลาดไม่ผิด

เป็นตำรวจก็ได้ เป็นครูก็ได้ เป็นทหารก็ได้ เป็นพ่อบ้านแม่เรือนก็ได้ ที่สุดเป็นรัฐมนตรีก็ได้ ได้ทั้งนั้น เพราะคนมันเห็นแจ้งด้วยสติปัญญา นี่...ดังนั้นคำสอนพระพุทธเจ้านั้นจึงเอาไปใช้กับการทำงานได้ทุกวิธี แต่เราเดี๋ยวนี้เราไม่สนใจ เลยสนใจก็เรื่องไปแก้กฎหมาย หรือไปหาเงิน อย่าไปสนใจกันอย่างนั้น

แต่มาสนใจหลักพุทธศาสนานี้...ดีแล้ว เราก็เอาไปแก้ได้ กฎหมายก็แก้ได้ แล้วเอาไปหาเงินก็ได้ โดยไม่มีทุกข์จริงๆ เรื่องนี้ แต่ทุกคนทำได้ ไม่ยกเว้นเลย ถ้าหากว่าเมืองไทยเรานี้น่ะ ทำกันอย่างนี้ทุกคนแล้ว อาตมาว่าเมืองไทยเนี่ยะ เป็นต้นดอกไม้ ดอกไม้บานนะ เรียกว่าตูม แล้วก็บานเลย ดอกไม้บานมันหอม กลิ่นมันส่งออกไปบ้านใต้บ้านเหนือ หรือกลิ่นมันจะส่งออกไปนอกประเทศก็ได้ ถ้าพูดอย่างนี้ แล้วคนก็อยากมาชม มาชม ดอกไม้มันหอม

อันนี้แหละ พุทธศาสนาเป็นหลักสำคัญ เมื่อพุทธศาสนานี่ตกไปอยู่ประเทศไหน บ้านใด เมืองใดแล้ว บ้านนั้นเจริญ คำว่าเจริญเนี่ยะ แปลว่าไม่มีทุกข์ หรืออีกอย่างหนึ่ง เจริญแปลว่า ทำมากๆ ก็ได้ คือมัน...คำพูดมันเรื่องสมมุติ นี่...หลักพุทธศาสนาไปตกเข้าจิตใจของคนใดแล้ว คนใดรู้จักแล้ว คนนั้นไม่มีทุกข์ เป็นพ่อบ้าน แม่เรือนก็ได้ จะได้ทำหน้าที่ตามหน้าที่นั่นเอง เป็นลูกก็ได้ จะได้ทำหน้าที่ตามลูกนั่นเอง เป็นพระสงฆ์องค์เณรก็ได้...เรื่องนี้ แนะให้เข้าใจอย่างนั้น ถ้าหากไม่เข้าใจอย่างนั้น เราก็ไม่ได้เป็นพระสักทีเลย

อาตมาเข้าใจว่าอาตมาเป็นพระตั้งแต่วันนั้นมาแล้ว จนถึงวันนี้ แต่สมัยนั้นไม่ได้บวชเลย นุ่งกางเกงขาสั้น ขายาวเนี่ยะ สองปีกว่า แต่อาตมานึกว่าตัวเป็นพระได้อยู่ เห็นตัวเองว่าตัวเองเป็นพระได้ อยู่ในบ้านในเรือน ก็นึกว่าตัวเองเป็นพระได้ นี่...อาตมาเข้าใจ อันนี้เป็นเพียงสมมุติ เป็นรูปแบบเท่านั้นเอง

อันนี้แหละ จึงว่ารูปแบบอันนี้ เพื่อจะไปเผยแพร่ธรรมะ เพราะคนไทย ชาวพุทธเลื่อมใสในรูปแบบ เลื่อมใสใน..ในรูปแบบ ในพระเจ้าพระสงฆ์ในสมมุติ เมื่อมาเป็นรูปแบบแล้วนี่ เว้าให้คนฟังแล้ว คนเชื่อทั้งนั้น... ผิด-ถูก ก็เชื่อไปทั้งหมดเลย ไม่ได้ไปตีตอง(ตริตรอง)อะไร นี่มันเป็นอย่างนั้น และคนไทยถือพุทธศาสนา ไม่ได้เคยคิดเลย ไม่ได้หาเหตุหาผลเลย เชื่อ...กันไปตะพึดตะพือไปเลย

นี่อาตมาจะพูดเรื่องนึงให้ฟัง ในสมัยอาตมาเป็นเณร อาตมาไปเทศน์หนังสือ อ่านหนังสือ ไม่ได้เทศน์ แต่อาต...อาตมาอ่านตัวธรรมได้ ตัวธรรมตัวลาว อาตมาอ่านได้ แต่ตัวไทยนี่ไม่เคยเรียน ไม่เคยเรียน สมัยนั้นไม่มีโรงเรียน...บ้านอาตมา แต่บวชเข้าไปก็ต้องเรียนตัวธรรม เขียนหนังสือธรรมนี่...มืออาตมาจึงกิ่วนี่ เขียน...เขียนเป็นจาร หันอย่างเนี่ยะ หันอย่างนี้ก็ได้ แต่อ่านหนังสือว่า เอาข้าวไปตักบาตรให้พระตอนเช้า ได้อานิสงส์หกกัปป์ เอาจังหันไปส่งพระเณรตอนเช้า ได้อานิสงส์ห้ากัปป์ ไปส่งเพลตอนกลางวัน ได้อานิสงส์สี่กัปป์ ว่าซั่นนะ

กัปป์นึงกว้างร้อยโยชน์ ลึกร้อยโยชน์ ว่าซั่น ร้อยปีของเมืองคนจึงไปเป็นปีทิพย์ของเทวดาหนึ่งปี เทวดาจึงเอาเมล็ดงาไปทิ้งใส่บ่ออันนั้นน่ะ ให้มันเต็ม บัดนี้ ถ้าพูดทางสูงก็กว้างร้อยโยชน์ สูงร้อยโยชน์ ร้อยปีของเมืองคน จึงจะมีเทวดาเอาผ้าอ่อนๆ หรือฝอยอ่อนๆ มาปัดลง ให้มันฮาบเหมือนหน้ากลองนี่ แล้วก็พระศรีอริยเมตไตรย์จะมาเกิดที่ตรงนั้น ว่าซั่น โธ่...โธ่...โธ่...อันนั้นมันเป็นอจินไตย มันคิดไม่วี่ไม่ไหว เรามาคิดอยู่นี่ สองคืบเป็นหนึ่งศอก สี่ศอกเป็นหนึ่งวา ยี่สิบว่าเป็นหนึ่งเส้น ยี่สิบห้าเส้นเป็นหนึ่งกิโล เอาเพียงกิโลเดียวก็ได้ โยชน์นึงมีกี่กิโล ว่าซั่นนะ แฮ้....เรา...เราไม่เข้าใจ สี่ร้อยเส้นเป็นหนึ่งโยชน์ ใช่มั้ย?

แล้วบัดเนี้ยะ เอาเพียงกิโลเดียวเนี่ยะ ไม่ต้องเอาเป็นบ่อเป็นเหวหรอก เอาเรียงเม็ด..เรียงเม็ด..เรียงเม็ดกันไปนี่ แต่นี่ไปหาตาย ก็ยังไม่ถึงกิโล เอาเม็ดหมากงาเรียงเม็ดไปนี่นะ อันนั้นแหละเราไม่รู้ ตีความหมายไม่ได้ จริงๆ เรื่องนี้.............










 

Create Date : 17 พฤศจิกายน 2550    
Last Update : 17 พฤศจิกายน 2550 19:28:05 น.
Counter : 569 Pageviews.  

~ข้อปฏิบัติที่ลัดสั้น ~ คำสอนของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ (๗)

....
คนมีเงินร้อยล้านพันล้านก็ยังมีทุกข์ จะมีประโยชน์อะไรในชีวิตอันนั้น มีประโยชน์ไหม ? เอ้า...ลองถามดู มีประโยชน์ไหม? คนมีเงินร้อยล้านพันล้านจะมีทุกข์ อาจารย์...(ถามผู้ฟัง)พูดดู .มี...ไม่มีประโยชน์ เอ้า...คุณพูดดู มีประโยชน์ไหม? (ตอบ-ไม่มีครับ) .เอ้า...มันไม่มีประโยชน์จะไปทำมันทำไม สู้ไม่มีเงินแม้แดงเดียวนี่...ไม่มีทุกข์เนี่ยะ อันนี้แหละมีประโยชน์ อาตมาเข้าใจอย่างนั้น แต่มีก็ได้ มีเงิน มีร้อยล้านพันล้านก็มีได้ แต่มันไม่มีทุกข์ ไม่มีเงินก็ไม่มีทุกข์ อาตมาเข้าใจอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าคนเอาเงินให้...ไม่เอา ไม่ถูกต้อง อันนั้น ....(ผู้ฟังหัวเราะ)....คนเอาเงินให้...เอา..ไม่ถูกต้อง เขาเอาให้ต้องเอา ไม่ใช่เอาไปโยนทิ้ง อาตมาเข้าใจอย่างนี้ จริงๆ อาตมาเข้าใจ...


ที่นำมาพูดให้ฟังนี้ พูดความจริงนะ วันเนี่ยะเป็นวันที่ เป็นวันอาทิตย์ที่ยี่สิบเอ็ดแล้วนี่ แล้วก็พรุ่งนี้ก็เป็นวันจันทร์ ก็จะได้เลิก…เลิกกันแล้วก็แยกย้ายกันไป

ที่นำมาพูดให้ฟังนี้เพื่อจะให้พวกเรานำไปใช้จริงๆ เรียนหนังสือ..อ้า..พวกนี้..อาจารย์เนี่ยะ เรียนจบปริญญาตรี ปริญญาโท หรือปริญญาเอกเนี่ยะ แล้วมันมีทุกข์ จะไปเรียนทำไม มีประโยชน์อะไร นี่มันเป็นอย่างนั้นน่ะ บัดนี้ สู้อาตมาไม่ได้น่ะ อ้า...พูดความจริงนะ(หัวเราะ)....อาตมาเขียนหนังสือไทยไม่เป็น แม้ทุกวันนี้ก็เขียนหนังสือไทยไม่เป็น อ่านก็ไม่ได้ แต่อาตมาไม่มีทุกข์ แล้วพวกคุณนี่เรียนหนังสือจบปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก แล้วมีทุกข์ อาตมาเขียนหนังสือไม่เป็น...ไม่มีทุกข์ ใครจะดีกว่ากันอันนี้ เอ้า..ลองคิดดู...(ผู้ฟังหัวเราะ)....มันต้องพูดกันอย่างนี้ คนไม่มีทุกข์มันก็ดีอย่างนี้ ใช่ไหม

แต่ไม่ใช่ว่าไม่มีทุกข์เรื่องอื่นนะ เรื่องการทำมาหากิน มันต้องทำเป็นเหมือนกันทุกคน หากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง แม้สัตว์มันก็หากินเป็น นอนเป็น อะไรเป็น คนเรานี่เรียนมาแล้ว แทบจะตายแล้ว ตั้งเก้าปีสิบปี ยี่สิบปีก็มี ยังมีทุกข์อยู่ มันจะมีประโยชน์อะไร ไปเรียนมาทำไม เรียนมาเพิ่มทุกข์อย่างนั้น นี้...อาตมาเข้าใจอย่างนั้นจริงๆ อาตมารู้อย่างนั้นจริงๆ จึงว่า ไม่เกี่ยวข้องกับใครทั้งหมดเลยในโลกนี้ ใครจะพูดยังไงก็ตาม อาตมาไม่เชื่อเลย อาตมาไม่มีทุกข์แล้วพอ

นี้แหละหลักพุทธศาสนา จึงว่า พุทธะเเปลว่าผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม ธรรมะอยู่ที่ไหน ธรรมะคือลักษณะจิตใจของคนทุกคนนี่แหละ นี่ ! มันมีลักษณะสะอาด สว่าง สงบ มีแล้ว สะอาด คือจิตใจของเราไม่เคยสกปรกเลย สว่าง คือเราเห็นต้นตอของชีวิตจิตใจของเรา สงบก็หมายถึงหยุดแล้ว อันนี้อาตมาพูดตามภาษาอาตมา หยุดแล้ว ไม่ต้องไปศึกษาที่ไหนแล้ว ไม่ต้องไปหาอะไรแล้ว จะไปเรียนมาทำไม มีประโยชน์อะไร เข้าใจอย่างนี้ แปลว่า หยุด หยุด แปลว่าเซาเนี่ยะ บ้านอาตมาเรียกว่า..เซา หยุดแล้ว ก็เรียกว่าสงบนี่ เนี่ยะ..สะอาด สว่าง สงบ

สะอาด คือ เห็นแล้ว บัดนี้ เมื่อสะอาดแล้วก็พูดเรื่องสมมุติให้ฟัง เราไปขุดบ่อน้ำ พอดีขุดบ่อน้ำลงไป เราไปเจอน้ำ เจอน้ำ เราจะทำยังไง ก็ตมเลนมันมี เราก็ต้องเอาขัน หรือเอาอะไรตักเลน ตักตม ตักน้ำนั้นออกมา น้ำข้างในมันไหลออกมาเป็นรู วุ่น..วุ่น..ออกมา แต่น้ำข้างในมันสะอาดนะ มันไม่มีตมมีเลน เราก็เป็นได้นะ ที่ตักแล้วตักทิ้ง ตักทิ้ง ตักทิ้ง พอดีมันหมดถึงก้นบ่อมัน เราก็นั่งพักสักคราวเดียว น้ำข้างในมันไหลออกมา เราก็มากวนปากบ่อ เราเอามือกวน น้ำมันก็ไปล้างตม ล้างเลน...น้ำ..ล้างตามขยะบ่อนนั้น มันก็สกปรกขึ้นมาแล้ว ความจริงน้ำไม่ได้สกปรก เราก็ตักออก ตักออก ตักจักร้อยครั้งพันหนก็ตามแล้วบัดนี่ น้ำออกมาแล้วมันเต็มแล้ว เราเอามือไปกวน น้ำมันไม่ขุ่นแล้วบัดนี่ อะไรตกลงมาก้นบ่อก็เห็น

อันลักษณะจิตใจเราก็เช่นเดียวกัน...นี่ นี้แหละพระพุทธเจ้าท่านสอนจริงๆ อันนี้ อันนี้แหละ ผู้มีปัญญาจำแล้วก็ปฏิบัติได้ มันไม่ยาก อันนี้แหละเป็นบุญจริงๆ เป็นกุศลจริงๆ อันนี้

นี่มันนึก นิดเดียวเท่านั้น อึดใจเดียวก็ได้เลย ถ้าหากผู้ฟังเป็นแล้วนี่ ผู้ฟังไม่เป็นก็เว้าพูดกันบ่อยๆ ก็มันก็ฟังไม่รอดเนี่ยะ แต่ความจริงนะ พระพุทธเจ้าตรัสรู้เพราะการทำทางจิตทางใจ เราก็พูดได้ แต่ทำไมไม่ทำ...เพราะเรื่องอะไร เพราะคนนั้นจำมาเพียงตำราเท่านั้น อยู่ในที่มืด ไม่ออกจากถ้ำเป็น เมื่อหมดไฟแล้วก็ตายคาถ้ำเลย อยู่ในถ้ำเลย ออกจากถ้ำไม่ได้

เหมือนกับคนติดตำรานั่นแหละ ออกจากตำราไม่ได้ ก็พูดกัน อยู่หน้าที่เท่านั้น พระไตรปิฎกเล่มนั้น โอ๊...ไปพูดทำไมเรื่องพระไตรปิฎก พระไตรปิฎกคือคนนี่เอง นี่ตู้พระไตรปิฎกก็…ตัวคนนี่แหละเป็นตัวพระไตรปิฎก เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ หนัง อู๊ย...พูดยาก อาตมาไม่อยากพูดเลย เกสา บ้านเราเรียกว่าผม ผม เรียกว่าเกสา โลมา เขาเรียกว่าขน ขน บ้านอาตมาว่าขน ไม่ใช่ว่าผม ฟัน เล็บ อันนั้นมันเป็นเรื่องคำพูด เป็นเรื่องปลีกย่อย เรื่องจริง มันจริงๆ น่ะ เรื่องจิตใจ...นี่








 

Create Date : 16 พฤศจิกายน 2550    
Last Update : 16 พฤศจิกายน 2550 11:59:25 น.
Counter : 580 Pageviews.  

~ข้อปฏิบัติที่ลัดสั้น ~ คำสอนของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ (๖)

...
สมถะกรรมฐานเป็นอุบายให้สงบ เหมือนกับเอาหินทับหญ้า เอาหินออกแล้ว หญ้างามเหมือนเดิม หรือบางครั้งบางคราวอาจจะงามกว่าเดิมก็ได้ คนไปทำความสงบแบบนั้นนะ บางทีคนอื่นมาพูดให้....โกรธเร็วกว่าเดิม แล้วก็หนักแน่นกว่าเดิมอีกซะด้วยเนี่ยะ อันนั้นแหละ เราไม่รู้ แต่เรารู้จำ เรารู้มาจากครูบาอาจารย์ ไม่ได้เป็นความรู้ของตัวเอง ไม่ใช่เป็นความรู้แจ้ง ไม่ใช่เป็นความรู้จริง...เรื่องนี้ อาตมารับรองได้จริงๆ เรื่องนี้


อาตมาจึงไม่ทำ เรื่องนั้นก็มา...ก็เลิกได้ เลิกได้จริงๆ เรื่องนี้ แล้วก็เดินไปเดินมา ตอนนี้เป็นสองครั้ง รู้จักศีล รู้จักความสงบ เดินไปเดินมา ก็เลยมาเห็นสภาพ หรือภาวะความเป็นอยู่ของตัวเอง อาตมาเคยพูดอย่างนี้ เอาเชือกมาผูกไว้ทางนั้นส้นนึง ผูกทางนี้จึงมีหลัก แล้วตัดตรงกลาง เมื่อตัดตรงกลางแล้ว มันขาดออกจากกัน มันก็เลยไม่ถึงกัน เมื่อไม่ถึงแล้วบัดนี้เราไปแก้ทางส้นนั้นมา แก้ส้นนี้มา เอามาถึงตรงกลาง สองส้นไม่ถึงแล้ว บัดนี้เรามาเอาแก้ไปถึงสองส้น ตรงกลางไม่ถึงแล้ว อันนี้อาตมาเปรียบเทียบตัวเองนะ...อันนี้

แต่ลักษณะนั้นมันปรากฏขึ้นมา มันจืด....(ลากเสียงยาว)...หมดทั้งตัวทั้งตนทีเดียว เหมือนเอาสำลีไปชุบน้ำแล้วบีบน้ำออกเลย สำลีมันก็แห้งอยู่แล้ว แต่เราเอาไปชุบน้ำเท่านั้นเอง เมื่อเราไม่เอาสำลีไปชุบน้ำ สำลีมันเป็นธรรมชาติ มันแห้งอยู่แล้ว แต่สำลีมันเอาน้ำเร็ว

อันนี้แหละ ครูบาอาจารย์ก็เลยนำไปสอนเอาไว้ว่า อายตนะภายนอก-ภายใน อายตนะภายในหก อายตนะภายนอกหก เรียกว่าเป็นอายตนะสิบสอง...ท่านว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นภายใน รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ เป็นภายนอก มันจะกระทบเข้ากัน ท่านว่าเห็นแล้วอย่ายึดมั่นถือมั่น อันนั้นเป็นคำพูด


แต่เรื่องนี้เราไปถึงจุดหมายปลายทางมันแล้ว ไม่ต้องพูดอะไร ก็มันมีสภาพอย่างนั้นอยู่แล้ว มันไม่ถึงกันอยู่แล้ว มันจะ...มันจะจุกันได้ยังไง อาตมาก็เลยมาสมมุติว่า เกลียวน็อต หรือเเหวนน็อตที่มันเป็นรถน่ะ ทีแรกมันมีเกลียวมีแหวน เอาไปหันเข้ากัน มันก็จุเข้ากันได้ เอาไปขันน็อต มันก็แน่นทีเดียว บัดนี้ ทำให้เกลียวมันหวาน เกลียวแหวนก็หวาน เกลียวน็อตก็หวาน แต่มันเอาเข้ากันได้ มันไม่จุกันเลย เอา...เอาเข้า มันก็ปุ๊กลงนี่เลย นี่..ทิ่มมันก็ลงไปเลย เอาไปทำรถ รถไม่วิ่งเลย

อันนี้ก็เหมือนกัน ทำที่สุดของทุกข์ ต้องทำที่ตรงนี้ เมื่อไม่รู้อย่างนี้แล้ว มีความสงสัยลังเลใจอยู่ตลอดเวลา อาตมาก็เลยหมดความสงสัย ตั้งแต่บัดนั้นจนถึงบัดนี้ เรื่องพุทธศาสนานี่...ไม่สงสัยจริงๆ ใครจะพูดยังไงก็ฟังได้ แต่ไม่สงสัยกับใคร เรื่องความทุกข์นี้แหละ ก็เลยว่าไม่มีทุกข์แล้วบัดนี้ ใครจะว่าทุกข์ ก็เรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา

คนนี่มันไม่เข้าใจหลักพุทธศาสนา เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องการให้ทาน ไม่เกี่ยวข้องเรื่องการรักษาศีล ไม่เกี่ยวข้องกับการทำสมถะกรรมฐาน ไม่เกี่ยวข้องกับการเจริญวิปัสสนา ถ้าพูดอย่างนี้ก็หาว่า...โอย...เต็มทีแล้ว ทำลายพุทธศาสนา ก็จะหาว่าอย่างนั้นก็ได้

แต่ความจริงอันนี้แหละ ทำให้พุทธศาสนาเจริญ อันนี้แหละที่อาตมาพูดนี่แหละ เป็นการส่งเสริมพุทธศาสนาจริงๆ ให้เรากลับมาดูตัวเรา เราจะเห็น เราจะรู้ เราจะเข้าใจ คนเราเมื่อรู้ เมื่อเห็นแล้ว ก็อยากเอาของนี่ไปให้คนอื่นรู้ด้วย อยากให้คนอื่นเห็นด้วย เพราะเรามีของสิ่งที่มันประเสริฐอยู่ในเราแล้ว ก็อยากให้คนอื่นรู้ได้เหมือนกัน เนี่ยะ...เมื่อพูดอย่างนี้ ก็จะสมมุติให้ฟัง เพชรเนี่ยะมีน้ำหนัก..เออะ..มี..มีค่าร้อยเปอร์เซ็นต์ หรือทองคำก็ได้ น้ำหนักบาทนึงก็ได้ หรือเพชรก้อนนึงก็ได้ ถ้าทองคำไม่ปลอมนะ สีมันก็ดี เอาไปทำเป็นสร้อยคอ สีมันก็ไม่ตก ราคามันก็คงเดิม เนี่ยะ...มันเป็นอย่างนั้น

บัดนี้ ถ้าเพชรบัดเนี่ยะ เพชรที่ก้อน ถ้าเราเจียรนัยแล้ว โรงงานมันบดออกมาแล้ว เอาไปวางขายในตลาด ก็ราคามันก็ดีเหมือนกัน แต่เพชรที่มันถูกแร่อมอยู่นั่นน่ะ มันก็มีน้ำเพชรร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนกัน ถ้าเอาไปถลุงออกมาแล้ว เอาไปวางในตลาดขาย ก็มีน้ำเพชรเหมือนกัน

ดังนั้น คนทุกคนนี่สามารถที่จะรู้ได้เหมือนกัน จะถือศาสนาไหนก็ได้ อาตมาเข้าใจอย่างนั้นจริงๆ อาตมาจึงว่าไม่ใช่เกี่ยวข้องเรื่องการให้ทาน ไม่ใช่เกี่ยวข้องเรื่องการรักษาศีล ไม่ได้เกี่ยวข้องเรื่องสมถะกรรมฐาน ไม่ได้เกี่ยวข้องเรื่องวิปัสสนา ทำไมไม่เกี่ยวข้อง อันนั้นมันเป็นเพียงสมมุติพูด..เท่านั้นเอง

ดังนั้น จึงให้รู้จักสมมุติจริงๆ เนี่ยะอันนี่ มันเป็นสมมุติ จึงว่าสมมุติบัญญัติ ปรมัตถ์บัญญัติ อรรถะบัญญัติ อริยะบัญญัติ บัญญัติสี่ข้อเนี่ยะ เราไม่เข้าใจ สมมุติบัญญัตินั้น ตามโวหารชาวโลก เป็นตัวบทกฎหมาย เช่น กระดาษเนี่ยะ เรามาว่าเป็นเงิน...ก็เป็นเงินได้ เมื่อหมดสิทธิแล้วก็เป็นกระดาษตามเดิม

อาตมาไปเมืองลาว เพราะอยู่ใกล้เมืองลาว...คราวนั้น กระดาษเมืองลาวนี่มีค่า เดี๋ยวนี้ไม่มีค่าเลย แน่ะ...มันสมมุติพูดเท่านั้นเอง แม้ละคนทุกคนนี่น่ะ เราควรศึกษาให้รู้จักสมมุติจริงๆ ถ้าหากเราไม่รู้จักสมมุติ เราจะมีความสงสัย ลังเลใจ เมื่อเราไม่เข้าใจธรรมะหลักพุทธศาสนาแล้ว เราจะมีทุกข์ ความทุกข์นั้นมีหลายประเภท ทุกข์ไม่มีเงิน ไม่ต้องพูดถึง ทุกข์เจ็บหัวปวดท้อง ไม่..ไม่ต้องพูดถึง ทุกข์อะไรๆ ไม่ต้องพูดถึง ทุกข์เรื่องสงสัยนี่แหละ มันทุกข์อย่างหนัก ตายแล้วเกิดมั้ย ทำบุญแล้วไปเกิดสวรรค์มั้ย ทำบุญแล้วไปนิพพานมั้ย ทำบาปแล้วไปตกนรกมั้ย โอ๊....มันสงสัยเรื่องนี้มามาก ก็เลยเป็นทุกข์

ทุกข์นี้ก็เรียกว่าอุปาทาน ทุกข์นั้นน่ะเรียกว่าเป็นตัวกรรม ทุกข์นั้นน่ะเป็นกิเลส โอ๊ย...พูดมาก มันก็เลยมาก แต่ความจริงสิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงสมมุติเท่านั้น ให้เราปฏิบัติเห็น รู้ เข้าใจ เรื่องนี้แล้ว หมดสงสัยเลย หมดสงสัยจริงๆ อยู่ที่ไหนก็ไม่มีทุกข์ แล้วก็คนไม่มีทุกข์แล้วก็เอาแล้ว..อาตมาว่า...







 

Create Date : 15 พฤศจิกายน 2550    
Last Update : 15 พฤศจิกายน 2550 11:34:06 น.
Counter : 638 Pageviews.  

~ข้อปฏิบัติที่ลัดสั้น ~ คำสอนของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ (๕)

...

อันนี้แหละลักษณะที่อาตมานำมาสอน แต่เรื่องที่ว่าเป็นนิมิต เป็นมายา เห็นสี แสง ผี เทวดานั้น โอ๊...อันนั้นน่ะ..ไม่จริง อาตมาบอกแล้วว่าไม่จริง ใครจะว่าจริงก็ได้ แต่ไม่ได้ปฏิเสธคนนั้นคนนี้ สำหรับตัวอาตมาปฏิบัติ..ไม่จริง ไม่จริง คำว่านิมิตแปลว่าเครื่องหมาย ท่านสอนอย่างนั้น

ต้องเอาจิตไปจับกับเครื่องหมายที่เราเห็นนั้น อันนั้นไม่ถูกต้อง ถูกต้องตามแบบของคนไม่รู้ นิมิตแปลว่าเครื่องหมาย เราเคลื่อนไหวโดยวิธีใด..ก็รู้ เรากำมือ เหยียดมือ...ก็รู้ กะพริบตา ก็รู้ หายใจ ก็รู้ คิด ก็รู้ นี่...นิมิตตัวนี้ ต้องเอาสติมาที่ตรงนี้ จึงว่า มาจับที่ตรงนี้ แต่อย่าไปจับมากนะ ไปจับมาก...มันแน่นหน้าอก นี่...มันเป็นอย่างนั้น


อันนี้เป็นวิธีเล่าให้ฟัง เป็นวิธีเล่าให้ฟัง จำได้ นำไปปฏิบัติได้จริงๆ รับรองว่ามันมีในคนทุกคน...เรื่องนี้ อันนี้แหละ เรื่องทำลายความโกรธ ความโลภ ความหลง จะไปหาทำลายทำไม ของไม่มีนะ...ไปหาไม่เจอ เราเพียงเรียกร้องเอาสติ ให้มามีความรู้สึก ความตื่นตัวเรานี้ อันนี้แหละความสงบ สงบด้วยสติปัญญา ไม่ใช่ไปสงบนั่ง.....อาตมาไปนั่ง..ตั้งยี่สิบสี่ชั่วโมงก็ได้นะ...อาตมานั่ง วิธีที่ทำเข้าตัวแข็งเปี๊ยะนี่ อาตมารับรองสอนได้ เพราะอาตมาทำมาจริงๆ เรื่องนี้ ไม่ใช่...ไม่ใช่อวดดีนะอันเนี้ยะ เอาความจริงมาเล่าให้ฟัง...

เอาความจริงมาเล่าให้ฟัง ไม่ใช่อวดดีนะ สอนได้จริงๆ ไม่เกินสามสิบวัน อาตมาจะแนะแนวให้ทำได้ แต่อันนั้นเซือซา(เฉื่อยชา) ทำไปนานๆ จิตใจมันเซือซาไป เลยไม่มีปัญญา เขาเรียกว่าคน...เรียกว่าคนไม่เต็มบาทเต็มเต็ง ว่าอย่างนั้นก็ได้ มันเซือซาไป สติปัญญาไม่แหลมคม ไม่เป็น...ไม่..ไม่ได้ผล

ทำอย่างเนี้ยะ ไปทำการทำงานก็ได้ ทำอะไรได้หมดเลย ใครจะมายกยอเราก็ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ เป็นลักษณะอุเบกขาใจ...อันนี้ นี่...เมื่อมีอย่างนี้แล้วจึงจะรู้จักว่าเรามีศีล เมื่อไม่เห็นอันนี้ ศีลนั่นไม่ปรากฏ อาตมาเป็นอย่างนั้น เมื่ออาตมา...จิตใจของอาตมาเปลี่ยนระดับนี้มาแล้ว อาตมารู้จัก...อ้อ...ศีล ที่ในตำรับตำราเขาพูดว่าศีลเป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างหยาบ สมาธิกำจัดกิเลสอย่างกลาง ปัญญาเป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างเอียด..อย่างละเอียด ว่าซั่น อาตมารู้ในขณะนี้จริงๆ

ตอนนี้ตอนสว่าง เพราะว่าเดินตอนนั้น ก็มานอน นอนก็เลยสว่าง ไม่ใช่สว่างอย่างนี้นะ คือนอนได้...ได้ตื่นละ นอนตื่น วันนี้นอนตื่นมาแล้ว ประมาณตีสามนี่แหละ ตีสาม อาตมาก็ลุกมาเดินจงกรม เดินไปเดินมา... บ้าน...ที่นั้นมันไม่มีไฟ มันไม่มีไฟฟ้า มีไฟเทียนไข อาตมาไต้เทียนไข ไต้เทียนไขไว้ส้นนั้น ส้นนี้(ปลายทางเดินจงกรมทั้งสองข้าง) อาตมาก็เดินไปเดินมา เดินไปเดินมา มีตะขาบตัวหนึ่งบัดนี้ มันผ่านหน้าอาตมาไป ตะขาบใหญ่แล่น(วิ่ง)ขว่ากๆ ไป อาตมาก็มา..โอ๊...ตัวแดงๆ ตะขาบ ก็มองไป มันไปไกล ก็เลยมองไม่เห็น อาตมาก็เลยไปเอาไฟ เอาไฟทางส้นเดินจงกรม....ตามหาตะขาบตัวนี้ เมื่อตามก็ไม่...ไม่เห็น ไม่เจอกัน ก็เลยเอาไฟมาไว้ตามเดิม ก็เลยเดินไปเดินมา เดินไปเดินมา มันก็เลยปรากฏขึ้นมาอีกแล้ว เลยรู้จักศีล ศีลแปลว่าปกติ

โอ๊....ความปกตินี่เองเป็นศีล มันเข้าใจอย่างนั้น คือ ปกติกาย ปกติวาจา ปกติใจ อย่างที่อาตมาพูดเดี๋ยวนี้....พูดด้วยปกติ คือ ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ ดีใจก็ไม่ใช่ศีล เสียใจก็ไม่ใช่ศีล ศีลแปลว่าปกติ จึงว่าเป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างหยาบ คือ ทำลายโทสะ โมหะ โลภะ อุปาทาน ได้แล้ว จึงจะรู้จักว่าเรามีศีล เมื่อเราไปสมาทานศีลก็ตาม อะไรก็ตาม เมื่อทำลาย โทสะ โมหะ โลภะ หรือกิเลส ตัณหา อุปาทาน กรรม นี้....ไม่ได้แล้ว คนนั้นจะว่ามีศีล ก็ยังไม่สมบูรณ์ ไม่สมบูรณ์จริงๆ เรื่องนี้ อาตมารับรองได้จริงๆ นี่ทางเดินไปหาพระพุทธเจ้า อาตมารู้อย่างนั้นจริงๆ

เมื่อเดินไปเดินมา ก็เลยปรากฏเรื่องศีลนี่ขึ้นมา พอดีปรากฏเรื่องศีล ศีลเป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างหยาบ...โอ๊...เราก็นึกได้...อ๊อ....ตอนเราเดินตอนเย็นวานนี้น่ะ...เข้าใจ เอ๊...เรามันเห็นชัดจริงๆน่ะ กิเลสอย่างหยาบนี้คือโทสะ โมหะ โลภะ กิเลส ตัณหา อุปาทาน กรรม นี้เป็นทุกข์จริงๆ คนอยากสูบบุหรี่เพราะเรื่องอะไร ก็เพราะโมหะกับโลภะ คนโกรธเพราะอะไร ก็เพราะโทสะกับ..กับโล...กับโมหะ มันรู้จักอันนี้

ถ้าไม่มีโมหะตัวเดียวแล้ว โทสะ โลภะ เกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าไม่มีโมหะตัวเดียวนี่เสียแล้ว กิเลส ตัณหา อุปาทาน เกิดขึ้นไม่ได้ อาตมาเข้าใจอย่างนี้ เข้าใจอย่างนี้จริงๆ คือ ตัวโมหะ คือตัวลืมตัวนี่เอง คือ ตัวไม่รู้ความคิดนี่เอง เข้าใจอย่างนี้


ก็เลยรู้จักศีล ก็เลยรู้จักความสงบ ที่เราไปนั่งสงบ...โอ๋...มันผิด...อันนั่น มันไม่ใช่เป็นทางดับทุกข์ มันทางเพิ่มทุกข์ อาตมาก็เลยมาเปรียบ มันมักเปรียบเทียบ เพราะอาตมาไม่เก่งภาษา วิทยาศาสตร์เขาทำน้ำแข็ง น้ำแข็ง...น้ำธรรมดานี่ เขามีเครื่องประกอบเข้ามาเป็นน้ำแข็ง เป็นก้อนใหญ่ๆ นี่น่ะ บัดนี้ เราไปกินน้ำแข็ง เราก็มันเย็น เย็นนานๆ ไป น้ำแข็งตกไปในท้องเรา นานๆ น้ำแข็งก็ทำพิษขึ้นมา ร้อนขึ้นมา เหงื่อออกมาเหนียว มันเป็นอย่างนั้น บัดนี้ เอาน้ำแข็งก้อนใหญ่ๆ เนี่ยะ ไปตากแดดตากลมไว้ มันแดดขึ้นมานะ แดดลมนี่มันเผาน้ำแข็งก้อนนั้นก็ละลายเป็นน้ำเหมือนเดิม อันนั้นเรียกว่าความสงบแบบนั้น มันเหมือนกับน้ำแข็ง มันไม่ใช่เป็นสงบในทางพุทธศาสนา มันสงบแบบวิทยาศาสตร์

อันนั้นก็ไปสงบ คือเราไปคุมเอามันเอง อันนั้นน่ะ เรียกว่า มันถูกน้อย มันไม่ถูกมาก มันก็ดี รับรองได้จริงๆ เป็นอย่างนั้นจริงๆ.....อาตมา ก็เลยรู้สมุฏฐานของความสงบ จึงว่า ไม่ทำแล้วเดี๋ยวนี้ อาตมาไม่ทำแบบนั้น ไม่ทำจริงๆ นะ แล้วใครจะทำก็ไม่...ไม่ขัดข้อง ไม่ห้าม แต่ใครอยากทำ ก็ทำได้...เรื่องนั้น แต่มันไม่ใช่เป็นความสงบ...เรื่องนั้น มันเป็นความสงบแบบน้ำแข็ง มันละลายเป็นน้ำเหมือนเดิม อันนั้น ตำราเขาก็พูดอยู่แล้ว







 

Create Date : 14 พฤศจิกายน 2550    
Last Update : 14 พฤศจิกายน 2550 14:12:56 น.
Counter : 630 Pageviews.  

~ข้อปฏิบัติที่ลัดสั้น ~ คำสอนของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ (๔)

...
บัดนี้ มาพูดเรื่องเวทนา...เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันนี้มันเป็นรูปสี่ มันไม่ใช่เป็นรูปห้า มันจัดเป็น...เป็นรูปอันนี้..อันหนึ่ง อันเนี้ยะเขาเรียกว่านามรูป ไม่ใช่รูปนาม ตัวรูปนามคือตัวคน ตัวนามรูปคือมานับเอาตั้งแต่เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มานับเอาอันนี้ อาตมารู้อย่างนี้จริงๆ รู้จนว่าเอาชีวิตเป็นเดิมพันได้ ปฏิบัติได้ คนมีปัญญาฟังแล้ว...รู้นี่ รู้..เอ้อ..ลักษณะรูปนี่ตายเป็น ลักษณะเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับรูป แต่มันก็อาศัยกับรูป เนี่ยะ...เข้าใจอย่างนี้


เมื่อเห็นอันนี้แล้ว ทุกข์ก็เลยไม่มี แต่ร่างกายนี้ทุกข์ ทุกข์เพราะถูกแดด ถูกฝน เดินไปเดินมา เอ้า...ปวดอุจจาระ ปัสสาวะ ร้อน เย็น อันนั้นมันทุกข์ อันนั้นแปลว่าทุกขเวทนา ทุกข์โศกโศกา ทุกข์ไห้รำไพ ทุกข์เจ็บแข้งเจ็บขา เจ็บหลังเจ็บเอว ทางนี้อาจจะว่าเจ็บเอว บ้านอาตมาเขาเรียกว่าเจ็บแอว...นี่ อันนั้นน่ะเป็นทุกขเวทนา ไม่ได้จัดเป็น ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา

ตัวทุกขัง อนิจจัง อนัตตานี้ ก็เป็นเปลือก เป็นกระพี้ เป็นแก่น เป็นแกนไป อันนี้เคลื่อนไหวนี่...เห็นด้วยตา แต่ปัญญามันรู้ ตัวทุกขัง อนิจจัง อนัตตา อีกประเภทหนึ่ง คือ ตัวความคิดนี้เอง มันคิดขึ้นมา มันเป็นตัวทุกข์.....ตัวทุกข์เพราะเราไม่รู้ มันคิดออกไป...เราไม่รู้ เราไม่รู้...ก็เลยเรารู้ความคิด อันนั้นก็เป็นตัวทุกข์อีกแล้ว เป็นตัวทุกขัง เป็นตัวอนิจจัง เป็นตัวอนัตตา เพราะความโกรธ ความโลภ ความหลง มัน...มันมาซ้อนเอาตัวความคิด เราไม่เห็นความคิดนี้เอง มันก็เลยทำไปตามอารมณ์ ทำไปตามโลภะบ้าง ทำไปตามโทสะบ้าง ก็เพราะโมหะ...โมหะนั้น ทางพุทธศาสนาท่านว่าโมหะ ภาษาบ้านอาตมาเรียกว่า...หลง เรียกว่า..หลง หรือว่า..ลืม..อยู่เนี่ยะ ครั้นลืมนั้นน่ะ หาไม่เจอเลย ถ้าหลง..ยังมีโอกาส มีเวลาที่จะค้นพบได้

ดังนั้น คนหลงที่ตรงนี้ หลงความคิดเนี่ยะ พอที่จะหาได้ อันนี้เรียกว่าดอกไม้ใกล้จะบานได้...ที่ฟัง บัดนี้ คนลืมนะบัดนี่ เลยไม่รู้ความคิด...ลืมเลย จะคิดยังไง ไปยังไง เข้า...(หลวงพ่อลากเสียงยาว)...ไปในความคิดตะพึดตะพือไปเลย อันนี้ว่าคนลืม ดอกไม้ดอกนั้นไม่มีโอกาสไม่มีเวลาที่จะบานได้...

ให้เรามาดูกายเรานี้ รูปนามนี้ เป็นข้อที่แรก มรรคข้อที่สอง ให้เอาสติมาคอยดูจิตดูใจนี้ เมื่อมรรคข้อที่สองนี้แหละ มันจะรู้เรื่องจิตใจคิด มันจะทำลายความหลงผิดได้...อันนี้

แต่ว่ามรรคข้อเดียวกันนั่นแหละ แต่ว่าดูความคิดนี่แหละ ก็เลยจิตใจ...ก็เลยมาเกิดมาเกิดความสว่างขึ้นภายในจิตใจ ก็เลยรู้ความยึดมั่นถือมั่นคือ กิเลส ตัณหา อุปาทาน กรรม รู้...(ลากเสียงยาว)...จริงๆ เรื่องนี้ รู้มาสองพักนี้ อาตมาก็เลยไม่ยึดไม่ถืออะไร ใครจะพูดยังไง...ก็เฉยได้ เพราะมันเฉย...มันมีอยู่แล้ว ลักษณะเฉยนี่...ท่านว่าอุเบกขา แต่ว่าความจริงแล้ว เป็นอุเบกขา..อดเอา..นั้น...ไม่ถูกต้อง ไม่ถูกต้องจริงๆ มันอดเอา...อันนั่น
ลักษณะจิตใจของคน...มันมีเหมือนกันทุกคน...ไม่ยกเว้น คำว่าอุเบกขานี่...มันมีแล้ว เราอย่าไปสนใจ อย่าไปเสาะ อย่าไปหามัน แต่เราต้องปฏิบัติมา ให้มันญาณปัญญาเกิดขึ้น อันนี้เป็นการเล่าให้ฟัง...เป็นการเล่าให้ฟัง ฟังแล้วจำ จำแล้วไม่ต้องไปปฏิบัติอันอื่นไกลให้มาก

เรื่องกิเลส....กิเลสนี่เขาเรียกว่า ยางเหนียว เหมือนกับเอาตมหรืออะไรไปโยนใส่ไม้ มันติดกันเลย หรือเอายางไม้ไปติดเอาแมงไม้ก็ได้ กิเลสมันเป็นยางเหนียว เพราะมันไม่อยากผุ มันไม่อยากวาง คือเหมือนกับกาวที่ไปติดกระดาษ ดึงออก...มันไม่อยากออกจากกัน เนี่ยะ..มันอย่างนี้

แต่เมื่อเราเห็นแล้ว มันเป็นลักษณะเป็นชั้นเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องไปแกะมันเลย มันจะซอกไปคนเดียว เอาไปลงน้ำ มันซื้ดออกมา มัน...มันเปียกแล้ว มันออกไปเนี่ยะ มันเป็นอย่างนั้น อันนี้ เรียกว่า กิเลส ตัณหา เป็นความหนัก อุปาทาน..ก็ติดกัน..ยึดกันไม่วาง กรรม...กรรม ก็เราเสวยนั่นแหละ คือวิบาก หรือความทุกข์อันนั้น เรียกว่ากรรม นี่...มันเป็นอย่างนั้น


อาตมาก็เลยมาเปรียบเทียบตอนนี้ เปรียบเทียบว่าเหมือนปลิงที่มาเกาะเรา เราจับปลิงดึงออกมาอยู่เนี่ยะ มันไม่อยากวางเรา มันดึงตรงนี้มา ตรงนี้มันติด ดึงตรงนี้มา ตรงนี้มันติด มันไม่อยากออกจากเรา อาตมาก็เลยมาสมมุติขึ้นมา เอายากับปูนไปผสมกับน้ำ คลุกเข้ากันแล้วบัดนี้ น้ำปูนกับน้ำ...ปูนกับยามันซึมเอาน้ำเนี่ยะ บัดนี้เอามาบีบใส่เนื้อเรา พอดีน้ำปูนน้ำยามันลงไปแล้ว มันไปถูกเอาเนื้อปลิง ปลิงมันหล่นคนเดียว

อันนี้ก็เหมือนกัน เมื่อเราเห็นแจ้งรู้จริงแล้ว ลักษณะนั้นมันก็ไม่ได้มีอยู่แล้ว ลักษณะกิเลส ตัณหา อุปาทาน กรรม มันก็ไม่ได้มีอยู่แล้ว อันนี้แหละ มันไม่ได้มีอยู่แล้ว....เราไม่รู้ เราไม่เห็นต้นตอของความคิดอันเดียวเท่านั้น อันนี้มันเป็นอย่างนั้น










 

Create Date : 13 พฤศจิกายน 2550    
Last Update : 13 พฤศจิกายน 2550 12:46:31 น.
Counter : 630 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  

แม่ไก่
Location :
ลำปาง Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 184 คน [?]




**หลังไมค์เจ้า**





Cute Clock Click!



เออสิ,มาอยู่ใยในโลกกว้าง
เฉกชลคว้างมาเมื่อไรไม่นึกฝัน
ยามจากไปก็เหมือนลมรำพัน
โบกกระชั้นสู่หนไหนไม่รู้เลย


รุไบยาต ~ โอมาร์ คัยยัม
สุริยฉัตร ชัยมงคล : แปล




Latest Blogs

~ท่านหญิงในกระจก/แสงเพลิง ~

~เพชรรากษส/อลินา ~

~มนตร์ทศทิศ/ราตรี อธิษฐาน ~

~เมื่อหอยทากมีรัก 1-2/"ติงโม่"เขียน/พันมัย แปล ~

~ให้รักระบายใจ/"ณกันต์"เขียน ~

~ผมกลายเป็นแมว/Abandoned/Paul Gallico เขียน(ภูธนิน แปล) ~

~พ่อค้าซ่อนกลรัก & หมอปีศาจแสนรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~

~อาจารย์ยอดรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~

~จอมโจรพยศรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~


สารบัญหนังสือ: รวมลิงก์หนังสือที่รีวิวในบล็อก # ๑ + ๒



Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add แม่ไก่'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.