~ข้อปฏิบัติที่ลัดสั้น ~ คำสอนของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ (๘-จบ)
.......
ดังนั้น เรามาที่นี่ ต้องพยายามดูใจ ดูใจ อย่าไปพากัน...ทำงานอะไร ก็ดูใจ ใจมันคิดแว่บเดียวขึ้นมา...เราเห็น เรารู้ เราเข้าใจ ตัดทิ้งเลย เหมือนกับที่ขุดบ่อน้ำเนี่ยะ เราขุดแล้วก็ตักหน้าที่จะวิดน้ำออก หน้าที่จะวิด...บัดนี้ ความคิดมันคิดมา ตัดทิ้ง ตัดทิ้งไปเลย เมื่อตัดทิ้งไปหมดแล้ว ความคิดมันสกปรก มันจะไม่เข้ามาเลย มันจะมีแต่สติปัญญา ทำอะไรจะไม่พลาดไม่ผิด
เป็นตำรวจก็ได้ เป็นครูก็ได้ เป็นทหารก็ได้ เป็นพ่อบ้านแม่เรือนก็ได้ ที่สุดเป็นรัฐมนตรีก็ได้ ได้ทั้งนั้น เพราะคนมันเห็นแจ้งด้วยสติปัญญา นี่...ดังนั้นคำสอนพระพุทธเจ้านั้นจึงเอาไปใช้กับการทำงานได้ทุกวิธี แต่เราเดี๋ยวนี้เราไม่สนใจ เลยสนใจก็เรื่องไปแก้กฎหมาย หรือไปหาเงิน อย่าไปสนใจกันอย่างนั้น
แต่มาสนใจหลักพุทธศาสนานี้...ดีแล้ว เราก็เอาไปแก้ได้ กฎหมายก็แก้ได้ แล้วเอาไปหาเงินก็ได้ โดยไม่มีทุกข์จริงๆ เรื่องนี้ แต่ทุกคนทำได้ ไม่ยกเว้นเลย ถ้าหากว่าเมืองไทยเรานี้น่ะ ทำกันอย่างนี้ทุกคนแล้ว อาตมาว่าเมืองไทยเนี่ยะ เป็นต้นดอกไม้ ดอกไม้บานนะ เรียกว่าตูม แล้วก็บานเลย ดอกไม้บานมันหอม กลิ่นมันส่งออกไปบ้านใต้บ้านเหนือ หรือกลิ่นมันจะส่งออกไปนอกประเทศก็ได้ ถ้าพูดอย่างนี้ แล้วคนก็อยากมาชม มาชม ดอกไม้มันหอม
อันนี้แหละ พุทธศาสนาเป็นหลักสำคัญ เมื่อพุทธศาสนานี่ตกไปอยู่ประเทศไหน บ้านใด เมืองใดแล้ว บ้านนั้นเจริญ คำว่าเจริญเนี่ยะ แปลว่าไม่มีทุกข์ หรืออีกอย่างหนึ่ง เจริญแปลว่า ทำมากๆ ก็ได้ คือมัน...คำพูดมันเรื่องสมมุติ นี่...หลักพุทธศาสนาไปตกเข้าจิตใจของคนใดแล้ว คนใดรู้จักแล้ว คนนั้นไม่มีทุกข์ เป็นพ่อบ้าน แม่เรือนก็ได้ จะได้ทำหน้าที่ตามหน้าที่นั่นเอง เป็นลูกก็ได้ จะได้ทำหน้าที่ตามลูกนั่นเอง เป็นพระสงฆ์องค์เณรก็ได้...เรื่องนี้ แนะให้เข้าใจอย่างนั้น ถ้าหากไม่เข้าใจอย่างนั้น เราก็ไม่ได้เป็นพระสักทีเลย อาตมาเข้าใจว่าอาตมาเป็นพระตั้งแต่วันนั้นมาแล้ว จนถึงวันนี้ แต่สมัยนั้นไม่ได้บวชเลย นุ่งกางเกงขาสั้น ขายาวเนี่ยะ สองปีกว่า แต่อาตมานึกว่าตัวเป็นพระได้อยู่ เห็นตัวเองว่าตัวเองเป็นพระได้ อยู่ในบ้านในเรือน ก็นึกว่าตัวเองเป็นพระได้ นี่...อาตมาเข้าใจ อันนี้เป็นเพียงสมมุติ เป็นรูปแบบเท่านั้นเอง
อันนี้แหละ จึงว่ารูปแบบอันนี้ เพื่อจะไปเผยแพร่ธรรมะ เพราะคนไทย ชาวพุทธเลื่อมใสในรูปแบบ เลื่อมใสใน..ในรูปแบบ ในพระเจ้าพระสงฆ์ในสมมุติ เมื่อมาเป็นรูปแบบแล้วนี่ เว้าให้คนฟังแล้ว คนเชื่อทั้งนั้น... ผิด-ถูก ก็เชื่อไปทั้งหมดเลย ไม่ได้ไปตีตอง(ตริตรอง)อะไร นี่มันเป็นอย่างนั้น และคนไทยถือพุทธศาสนา ไม่ได้เคยคิดเลย ไม่ได้หาเหตุหาผลเลย เชื่อ...กันไปตะพึดตะพือไปเลย
นี่อาตมาจะพูดเรื่องนึงให้ฟัง ในสมัยอาตมาเป็นเณร อาตมาไปเทศน์หนังสือ อ่านหนังสือ ไม่ได้เทศน์ แต่อาต...อาตมาอ่านตัวธรรมได้ ตัวธรรมตัวลาว อาตมาอ่านได้ แต่ตัวไทยนี่ไม่เคยเรียน ไม่เคยเรียน สมัยนั้นไม่มีโรงเรียน...บ้านอาตมา แต่บวชเข้าไปก็ต้องเรียนตัวธรรม เขียนหนังสือธรรมนี่...มืออาตมาจึงกิ่วนี่ เขียน...เขียนเป็นจาร หันอย่างเนี่ยะ หันอย่างนี้ก็ได้ แต่อ่านหนังสือว่า เอาข้าวไปตักบาตรให้พระตอนเช้า ได้อานิสงส์หกกัปป์ เอาจังหันไปส่งพระเณรตอนเช้า ได้อานิสงส์ห้ากัปป์ ไปส่งเพลตอนกลางวัน ได้อานิสงส์สี่กัปป์ ว่าซั่นนะ
กัปป์นึงกว้างร้อยโยชน์ ลึกร้อยโยชน์ ว่าซั่น ร้อยปีของเมืองคนจึงไปเป็นปีทิพย์ของเทวดาหนึ่งปี เทวดาจึงเอาเมล็ดงาไปทิ้งใส่บ่ออันนั้นน่ะ ให้มันเต็ม บัดนี้ ถ้าพูดทางสูงก็กว้างร้อยโยชน์ สูงร้อยโยชน์ ร้อยปีของเมืองคน จึงจะมีเทวดาเอาผ้าอ่อนๆ หรือฝอยอ่อนๆ มาปัดลง ให้มันฮาบเหมือนหน้ากลองนี่ แล้วก็พระศรีอริยเมตไตรย์จะมาเกิดที่ตรงนั้น ว่าซั่น โธ่...โธ่...โธ่...อันนั้นมันเป็นอจินไตย มันคิดไม่วี่ไม่ไหว เรามาคิดอยู่นี่ สองคืบเป็นหนึ่งศอก สี่ศอกเป็นหนึ่งวา ยี่สิบว่าเป็นหนึ่งเส้น ยี่สิบห้าเส้นเป็นหนึ่งกิโล เอาเพียงกิโลเดียวก็ได้ โยชน์นึงมีกี่กิโล ว่าซั่นนะ แฮ้....เรา...เราไม่เข้าใจ สี่ร้อยเส้นเป็นหนึ่งโยชน์ ใช่มั้ย?
แล้วบัดเนี้ยะ เอาเพียงกิโลเดียวเนี่ยะ ไม่ต้องเอาเป็นบ่อเป็นเหวหรอก เอาเรียงเม็ด..เรียงเม็ด..เรียงเม็ดกันไปนี่ แต่นี่ไปหาตาย ก็ยังไม่ถึงกิโล เอาเม็ดหมากงาเรียงเม็ดไปนี่นะ อันนั้นแหละเราไม่รู้ ตีความหมายไม่ได้ จริงๆ เรื่องนี้.............
Create Date : 17 พฤศจิกายน 2550 | | |
Last Update : 17 พฤศจิกายน 2550 19:28:05 น. |
Counter : 569 Pageviews. |
| |
|
|
|