'หัวใจ๋ข้า หัวใจ๋เจ้า ห้อยอยู่เก๊าเดียวกั๋น' *
*คลิกเพื่ออ่านคำแปลเจ้า :)

~ จอมนางหริภุญไชย : ปฐมกษัตรีย์แห่งล้านนา ~ โดย กิตติ วัฒนะมหาตม์





จอมนางหริภุญไชย
โดย กิตติ วัฒนะมหาตม์
พิมพ์โดย :สำนักพิมพ์สร้างสรรค์บุ๊คส์ (พิมพ์ครั้งที่ ๔ พ.ศ. ๒๕๕๐)


(หนึ่งในหนังสือที่อ่านเพื่อตอบโจทย์ในกระทู้ RRR ค่ะ)


เรื่องราวของ "จอมนางหริภุญไชย" เล่มนี้จะพาคุณย้อนกลับไปสู่ตำนานของเมืองหริภุญไชยนคร

จากตำนานแห่งความงดงาม สูงส่งและศักดิ์สิทธิ์ มาสู่เรื่องราวแห่งความจริงทางประวัติศาสตร์
ของปฐมกษัตรีย์แห่งล้านนา - -พระนางจามเทวี - -
กษัตรีย์ไทยพระองค์แรกที่ปรากฏพระนามในประวัติศาสตร์






โปรยปกหลัง :

เราอาจนึกว่า ตำนานอันแพรวพรายไปด้วยสีสันและความศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้
ควรเป็นเพียงเรื่องของสตรีในเทพนิยาย หรือสตรีในอุดมคติสักคนมากกว่าจะมีตัวตนอยู่จริงในโลก
แต่ถ้าพิจารณากันแล้ว นี่ไม่เป็นเรื่องยากที่จะเกิดขึ้นสำหรับผู้คนในยุคบรรพกาลของเรา
ผู้ซึ่งได้สร้างสรรค์สิ่งที่เหลือเชื่อทิ้งไว้อย่างมากมาย
พระนางจามเทวีแม้จะทรงเป็นสตรีที่บริบูรณ์ด้วยคุณสมบัตินานาประการ
แต่ก็ทรงมีตัวตนอยู่จริง



ผู้เขียนได้เกริ่นกล่าวไว้ในหน้าคำนำว่า...

"...ในการเรียบเรียงเนื้อหานั้น ผู้เขียนได้อาศัยการสืบค้นและเลือกใช้ข้อมูลจากหลักฐานต่าง ๆ ในช่วงระหว่างพ.ศ. ๒๕๔๑-๒๕๔๓ โดยประสงค์จะให้เป็นหนังสือที่อ่านกันได้ทั่วไป จนแม้ผู้สนใจเรื่องเก่า ๆ แต่ไม่มีความรู้ในด้านประวัติศาสตร์โบราณคดีมากนักก็อ่านได้...

ดังนั้นผู้เขียนจึงลำดับเรื่องไปตามข้อมูลที่เห็นว่าเหมาะสม โดยไม่เคร่งครัดว่าที่มาของข้อมูลเหล่านั้นจะเป็นเอกสารประเภทใด วงวิชาการยอมรับหรือไม่ เพราะผู้เขียนได้เห็นมาแล้วว่าเอกสารที่ยอมรับกันในวงวิชาการนั้น บางทีก็ผิดเพี้ยนไปจากข้อเท็จจริงอย่างมากมาย ในขณะที่เอกสารที่นักวิชาการมิได้เชื่อถือบางทีก็กลับบรรจุข้อมูลที่ตรงกับข้อเท็จจริงมากกว่า..."







เนื้อหาหลัก ๆ ของหนังสือเล่มนี้แบ่งออกเป็นสองส่วนด้วยกัน คือ

ส่วนแรก เป็นการเรียบเรียงเนื้อเรื่องเกี่ยวกับพระประวัติของพระนางจามเทวี นับตั้งแต่ - -ชาติกำเนิด - -การเดินทางไปยังราชสำนักละโว้ - -เป็นพระธิดา(บุญธรรม)ในพระเจ้ากรุงลวปุระ - -ได้ร่ำเรียนสรรพวิชาและได้ออกศึกจนได้รับชัยชนะเหนือผู้รุกรานจากโกสัมพี - -ท่านสุเทวฤาษีสร้างเมืองหริภุญไชยและส่งสาส์นไปอัญเชิญพระนางจามเทวีให้มาครองเมือง - - เส้นทางเสด็จโดยอ้างอิงจากตำนานถึงสามฉบับ - - ปฐมรัชกาลแห่งเมืองหริภุญไชย - -สร้างพุทธปราการและกำเนิดเมืองอาลัมพางค์ -เขลางค์นคร - -ตำนานพระธาตุลำปางหลวง - -จนถึงบั้นปลายรัชสมัย

โดยในส่วนนี้ผู้เขียนจะเจาะจงเรียบเรียง บอกเล่าเฉพาะที่เกี่ยวกับพระนางจามเทวีเท่านั้นโดยดำเนินเรื่องติดต่อกันไปตั้งแต่ต้นจนจบรัชสมัยของพระองค์ เรื่องของกษัตริย์พระองค์อื่นที่ครองราชย์ต่อมาจะเว้นไม่ได้กล่าวถึง

ในส่วนที่สองจะเป็นการตั้งข้อสมมติฐาน หรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นการคาดคะเนถึงเรื่องราวที่อาจจะเกิดขึ้นจริงของกษัตรีย์พระองค์นี้ ว่าน่าจะเป็นไปในทิศทางใดบ้าง...โดยอาศัยหลักฐานที่มีอยู่เพียงน้อยนิด

ซึ่งผู้เขียนก็ได้ออกตัวไว้ในหน้าคำนำว่า...


"สิ่งที่ปรากฏในหนังสือเล่มนี้จึงมิใช่การลงมือกระทำเรื่องของพระนางจามเทวีให้สมบูรณ์อย่างแท้จริง เป็นเพียงการเสนอความเป็นไปได้ทางหนึ่งจากหลาย ๆ ทางเท่านั้น
จึงหวังว่าจะมีผู้ค้นคว้าต่อไปในภายภาคหน้า"






ในตอนนี้จะขอคัด (และเรียบเรียงย่นย่อเล็กน้อย)พระประวัติของพระนางจามเทวี มาลงไว้ พอเป็นสังเขปค่ะ

จอมนางหริภุญไชยพระองค์นี้ กล่าวกันว่าพระองค์ทรงมีชาติกำเนิดเป็นชาวหริภุญไชยแต่เดิม โดยเป็นบุตรีของคหบดีผู้หนึ่งนามว่า “อินตา” (ส่วนมารดาไม่ทราบชื่อ)
ได้มีการบันทึกดวงพระชะตาของพระนางจามเทวี เมื่อแรกประสูติไว้ว่าตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๕ ปีมะโรง พ.ศ.๑๑๗๖ เวลาจวนจะค่ำ

วันหนึ่งเมื่อพระนางทรงเจริญพระชนมายุได้ ๓ เดือน กำลังประทับนอนบนเบาะ บิดามารดาไปธุระนอกบ้าน พญานกใหญ่ตัวหนึ่งได้บินเข้าไปจวบเอาพระวรกายถึงในบ้านพาขึ้นไปบนท้องฟ้า
พอดีกับท่านสุเทวฤาษีแห่งระมิงค์นครกำลังบำเพ็ญตบะอยู่ ณ อุจฉุตบรรพต ได้เห็นพญานกบินผ่านและเห็นกรงเล็บของมันได้จิกร่างทารกน้อยมาด้วย
ท่านฤาษีจึงได้แผ่เมตตาจิตให้พญานกปล่อยพระนางเสีย พญานกจึงคลายกรงเล็บให้เด็กนั้นร่วงลง แต่ก่อนที่ร่างของพระนางจะตกถึงพื้นก็เกิดมีลมหอบพาไปตกในสระใหญ่ โดยมีดอกบัวหลวงขนาดมหึมารองรับ ได้รับความปลอดภัยอย่างปาฏิหาริย์

ท่านฤาษีประพฤติพรหมจรรย์อยู่ ไม่สามารถใช้มืออุ้มร่างเด็กหญิงขึ้นมาได้ จึงตั้งสัตยาธิษฐานว่า

“หากทารกหญิงผู้นี้มีบุญญาธิการ จะได้เป็นใหญ่ในภายหน้าแล้วก็ขอให้พัดของเรานี้รองรับร่างเธอไว้ได้โดยมิร่วงหล่นเถิด”

จากนั้นท่านก็ใช้พัดช้อนร่างพระนางขึ้นมาได้จริงๆ และด้วยเหตุที่ท่านได้ใช้พัดช้อนทารกขึ้นมานี้จึงได้ตั้งชื่อเด็กหญิงว่า “วี”(ภาษาเหนือ แปลว่า พัด ) แม้ในตอนหลังจะตรวจสอบแล้วรู้ว่านางเป็นลูกเต้าเหล่าใคร พระฤาษีก็ถือว่านางเป็นบุตรบุญธรรม
และได้มอบให้พญาวานรชื่อกากะวานรและบริวารรวม ๓๕ ตัวช่วยเลี้ยงดู ด้วยตัวท่านนั้นอยู่ในเพศพรหมจรรย์ มิสามารถดูแลเด็กหญิงได้ - -

เมื่อพระนางจามเทวีเจริญพระชนมายุได้ ๑๓ พรรษา สำเร็จสรรพวิชาทั้งหลายแล้วท่านสุเทวฤาษีจึงผูกดวงและตรวจสอบชะตา ทราบว่าพระนางผู้เป็นบุตรบุญธรรมของท่านจะมีวาสนาได้เป็นถึงจอมกษัตริย์ จึงตกลงใจว่าจะส่งพระนางไปสู่ราชสำนักสักแห่งหนึ่งเพื่อเข้ารับการอภิเษกขึ้นเป็นเชื้อพระวงศ์ให้สมควรแก่การที่จะได้เป็นใหญ่ต่อไป

และที่เหมาะสมในสายตาท่านฤาษีก็คือราชสำนักแห่งกรุงละโว้ ซึ่งเป็นราชสำนักที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดแห่งหนึ่งในสุวรรณภูมิเวลานั้น





ท่านสุเทวฤาษีจึงได้เนรมิตแพขึ้นส่งพระนางน้อยล่องไปตามน้ำจากเมืองเหนือโดย พญากากะวานรและบริวารจำนวนหนึ่งโดยสารเรือไปด้วย ทั้งยังฝากหนังสือไปฉบับหนึ่งเพื่อกราบทูลพระเจ้ากรุงลวปุระว่ากุมารีน้อย นี้จะไปช่วยละโว้ประหารศัตรู

เด็กหญิงและวานรบริวารทั้งหลาย ล่องตามลำน้ำเป็นเวลาหลายเดือนจึงเข้าสู่เขตกรุงลวปุระ ประชาชนชาวละโว้ทั้งสองฝั่งต่างโจษขานถึงแพเล็ก ๆ นี้ด้วยความประหลาดใจ ครั้นถึงท่าน้ำหน้าวัดชัยมงคล ก็หยุดไม่ลอยต่อแต่กลับลอยวนเวียนอยู่บริเวณนั้น ชาวบ้าน ชาวเมืองเห็นเป็นสิ่งอัศจรรย์ ต่างจึงพากันโจษจันพร้อมทั้งชื่นชมพระนางซึ่งมีผิวพรรณผุดผ่องน่ารักน่าเอ็นดู

ความทราบถึงบรรดาขุนนางจึงได้ไปตรวจดูที่ฝั่งน้ำ เห็นความจริงประจักษ์แก่ตาจึงรีบกลับเข้าพระราชวัง เพื่อกราบบังคมทูล พระเจ้านพรัตน์ (บางตำนานเรียกว่า“พระเจ้าวักติ”) ผู้ครองนครลวปุระ ให้ทรงทราบทันที พระองค์จึงเสด็จไปยังท่าน้ำพร้อมด้วยพระมเหสี จนทอดพระเนตรเห็นความเป็นไปทั้งหมด ทรงมีรับสั่งให้ทหารชะลอแพเข้าฝั่ง แต่กำลังทหารก็ไม่อาจชักลาก แพเข้าสู่ท่าน้ำได้ ไม่ว่าจะทรงมีรับสั่งให้เพิ่มจำนวนทหารมากสักเท่าใดก็ตาม

การณ์อันเป็นไปโดยอัศจรรย์นี้ ทำให้ เจ้าแผ่นดินลวปุระ ทรงประจักษ์แจ้งด้วยพระปรีชาญาณว่า กุมารีแรกรุ่นท่ามกลางฝูงวานรผู้นี้จะต้องเป็นผู้มีบุญญาธิการมาก และแพนั้นต้อง เป็นแพวิเศษที่สามัญชนจะไปแตะต้องมิได้ พระองค์จึงเสด็จพร้อมด้วยพระมเหสี ทรงยึดเชือกกี่ผูกแพนั้นไว้ด้วยพระหัตถ์ของทั้งสองพระองค์ ทันใดนั้นแพก็ลอยเข้าสู่ท่าอย่างง่ายดาย ราวกับเทพยดาจะทรงอำนวยพร ประชาชนชาวเมืองจึงพากันสรรเสริญบุญญานุภาพของกุมารีพระองค์น้อย ทั่วทั้งพระนคร





พระเจ้ากรุงละโว้รับพระกุมารีน้อยไว้ด้วยความเสน่หายิ่ง ทั้งได้มีพระราชดำรัสให้พระราชครู พยากรณ์ดวงชะตาของกุมารีน้อย พระราชครูได้คำนวณดวงพระชะตาโดยละเอียดแล้วถวายคำพยากรณ์ว่า

“ขอเดชะ กุมารีน้อยผู้นี้เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งพระบุญญานุภาพ และพระบารมีอันยิ่งใหญ่
ต่อไปภายหน้าจักได้เป็นถึงจักรพรรดินีครองแว่นแคว้น ปรากฏพระเกียรติยศเกริกไกรไปทั่ว
แม้ว่าพระราชาและเจ้าชายพระองค์ใดได้เสกสมรส ด้วยก็จักเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยรัตนะ ทั้ง ๗ ประการอย่างแน่นอน”


พระเจ้ากรุงละโว้และมเหสีเมื่อทรงทราบดังนั้นก็ทรงโสมนัสยิ่ง เพราะทั้งสองพระองค์ยังมิได้ทรงมีพระโอรสธิดา จึงมีพระราชโองการให้จัดพระราชพิธีอภิเษกกุมารีขึ้นดำรงพระยศเป็นพระธิดาแห่งกรุงละโว้
ทรงเฉลิมพระนามใหม่ประกาศไว้ในพระสุพรรณบัฏว่า
“เจ้าหญิงจามเทวี ศรีสุริยวงศ์ บรมราชขัตติยนารี รัตนกัญญา ลวะปุรีราเมศวร"

ตำนานว่า วันประกอบพิธีอภิเษกนั้นเป็นวันที่ ๓ ภายหลังพระนางจามเทวี เสด็จสู่ราชสำนักลวปุระ ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ ปีมะเมีย พ.ศ.๑๑๙๐ เวลานั้นทรงมีพระชนมายุได้ ๑๔ พรรษา





ต่อมา พระนางจามเทวีได้อภิเษกสมรสกับ “เจ้าชายรามราช” แห่งนครรามบุรีซึ่งอยู่ใกล้กรุงลวปุระ ตามตำนานว่าเจ้าชายพระองค์นี้ทรงเป็นพระญาติของพระเจ้ากรุงละโว้

แต่ด้วยความที่พระธิดาทรงมีพระสิริโฉมมาก แม้จะมีการหมั้นหมายกับเจ้าชายรามราชแล้ว ก็ยังมีกษัตริย์จากต่างเมืองมาหมายปองอีก จนถึงกับต้องทำสงคราม โดยพระนางจามเทวีต้องคุมทัพออกรบด้วยพระองค์เอง ทรงมีพระปรีชาเยี่ยมยอดในการวางแผนการรบ จนได้รับชัยชนะ นำความชื่นชมยินดีมาสู่บรรดาเสนาอำมาตย์ ทหารและประชาชน ชาวละโว้เป็นอันมาก

แต่สำหรับพระนางจามเทวีแล้ว พระองค์มิได้ทรงปิติยินดีในชัยชนะที่ทรงได้รับเลย แม้จะทรงได้รับการสรรเสริญจากราชสำนัก ตลอดจนกษัตริย์ผู้ครองนครที่เป็นพันธมิตรที่อยู่ห่างไกลออกไปเพียงใด พระนางจามเทวีก็ยังทรงระลึกถึงภาพของเหล่ากษัตริย์และทหารที่ต้องล้มตาย เพราะพระองค์เป็นต้นเหตุ จึงทรงมีรับสั่งให้สร้างศาลเป็นจำนวนเท่ากับกษัตริย์ที่สิ้นพระชนม์ในครั้งนี้ และทรงสร้างวัดขึ้นในพื้นที่อันเป็นสมรภูมิรบด้วยวัดหนึ่ง





ในภายหลังพระนางจามเทวีได้เสด็จไปครองเมืองหริภุญไชย (จ.ลำพูน ในปัจจุบัน) ตามคำทูลขอของท่านสุเทวฤาษี เพราะเวลานั้นเมืองหริภุญไชยขาดผู้นำราษฎร์เดือดร้อนมาก
พระนางจามเทวีทรงระลึกถึงพระคุณท่านสุเทวฤาษี ที่เคยชุบเลี้ยงมาแต่ก่อนจึงยินดีเสด็จไปด้วยเหตุนี้จึงทรงมีพระราชโองการ อภิเษกเจ้าหญิงจามเทวีขึ้นเป็นกษัตริย์โดยเฉลิมพระนามใหม่ว่า
“พระนางจามเทวี บรมราชนามี ศรีสุริยวงศ์ องค์บดินทร์ปิ่นธานีหริภุญไชย”

การจากไปครองเมืองหริภุญไชยของพระนางจามเทวี เป็นการจากเมืองละโว้ไปจากพระสวามีและพระญาติพระวงศ์ไปชั่วนิรันดร์

วันที่เสด็จขึ้นครองราชย์ ตรงกับวันขึ้น ๒ ค่ำ เดือน ๗ ปีมะเมีย พุทธศักราช ๑๒๐๒ พระชนมายุได้ ๒๖ พรรษา
และเมื่อครองราชย์แล้ว ๗ วัน พระนางจามเทวีก็ได้ทรงมีพระประสูติกาลพระโอรส ๒ พระองค์ พระราชกุมารทั้งคู่ทรงศิริลักษณ์งามละม้ายกัน เป็นที่ปิติยินดีไปทั่วพระนคร ทรงพระนามว่า “พระมหันตยศ” และ “พระอนันตยศ”

พระนางจามเทวี ทรงสถาปนาความรุ่งเรืองให้บังเกิดแก่นครหริภุญไชยมากขึ้นอาณาประชาราษฎร์ เป็นสุขสมบูรณ์ด้วยทรัพย์สมบัติโดยถ้วนหน้า มีพระสงฆ์ที่ลงมาจากเมืองละโว้มากมายมาสั่งสอนเผยแผ่พระศาสนา มีการก่อตั้งวัดมากมาย ที่มีภิกษุจำพรรษาเต็มทุกพระอาราม





พระนางจามเทวีทรงปกครองเมืองหริภุญไชยด้วยทศพิธราชธรรม พระองค์ทรงสั่งสอนบรรดาเสนาข้าราชสำนัก ตลอดจนพสกนิกรทั้งหลายให้ยึดมั่นในทางธรรมเสมอ นครหริภุญไชยจึงเป็นดินแดนที่สงบสุข เจริญรุ่งเรือง ไม่มีโจรผู้ร้าย มีแต่ความสงบร่มเย็นด้วยกลิ่นอายแห่งพระพุทธศาสนา
โดยเฉพาะพระนางจามเทวีได้โปรดฯให้มีการสร้างวัดขึ้นใหม่มากมาย อาทิ วัดอรัญญิกกรัมการาม วัดอาพัทธาราม วัดมหาวนาราม วัดมหารัตาราม ฯลฯ

(ในตอนนี้จะขอข้ามเรื่องราวของสงครามกับชาวลัวะที่มีขุนวิลังคะเป็นผู้นำไปนะคะ เพราะมีอยู่หลายตำนาน แถมออกแนวอภินิหารเสียเป็นส่วนใหญ่ ขอตัดไปเล่าถึงกำเนิดเมืองเขลางค์เลยก็แล้วกัน - - )

ในตำนานมูลศาสนาและจามเทวีวงศ์กล่าวว่า หลังสิ้นสงครามชาวลัวะแล้ว พระนางจามเทวีก็ได้ทรงอภิเษกพระมหันตยศซึ่งมีพระชนม์มายุ ๗ พรรษาขึ้นเป็นกษัตริย์ครองหริภุญชัยแทนพระนาง และอภิเษกพระอนันตยศขึ้นเป็นพระอุปราช รวมเวลาที่พระนางทรงเสวยราชย์ในกรุงหริภุญชัยได้ ๗ ปี เมื่อพระมหันตยศได้เสวยราชย์แล้ว ทรงดำเนินตามรอยเบื้องพระยุคลบาทแห่งพระมารดาทุกประการ นครหริภุญชัยจึงยิ่งเจริญรุ่งเรืองและร่มเย็นเป็นสุข ทว่าฝ่ายพระอุปราชอนันตยศหามีความพอพระทัยไม่ ด้วยทรงมีพระดำริว่าพระเชษฐาธิราชประสูติมาพร้อมกัน เมื่อพระเชษฐาธิราชได้เสวยราชสมบัติแล้วพระองค์ก็น่าจะได้ครองเมืองบ้าง จึงกราบทูลพระนางจามเทวีตามพระดำรินั้น เมื่อพระนางจามเทวีได้ทราบดังนั้น จึงให้บัณฑิตผู้หนึ่งพาพระอนันนตยศไปปรึกษากับสุเทวฤๅษีเรื่องการสร้างเมืองใหม่ก่อน

เมื่อสุเทวฤๅษีทราบเรื่องดังกล่าวแล้ว จึงถวายคำแนะนำแก่พระอนันตยศให้ไปไหว้ฤๅษีพุทธชฏิลที่ดอยโชติบรรพต ไปหาพรานเขลางค์ที่ดอยลุทธบรรพต และไปกราบท่านสุพรหมฤๅษี ที่ดอยเขางามริมแม่น้ำวังกะนที เพื่อขอให้ช่วยสร้างพระนครแห่งใหม่ พระอนันตยศทรงดำเนินการตามนั้นทุกอย่าง จึงได้ท่านสุพรหมฤๅษีและพรานเขลางค์ไปช่วยกันสร้างเมือง ท่านสุพรหมฤๅษีได้ตรวจดูทำเลอันเหมาะสมแล้วจึงใช้อำนาจเนรมิตเมืองใหญ่ขึ้นแห่งหนึ่ง แล้วเอาชื่อพรานเขลางค์มาตั้ง เรียกว่าเมืองเขลางค์นคร (ปัจจุบันคือเมืองลำปาง) จากนั้นสุพรหมฤๅษีก็ถวายการราชาภิเษกพระเจ้าอนันตยศขึ้นเสวยราชสมบัติในพระนครแห่งใหม่

หลังจากนั้นพระนางจามเทวีจึงเสด็จมายังเมืองเขลางค์นครตามคำทูลเชิญของพระโอรส พระองค์ได้กระทำพิธีราชาภิเษกพระราชโอรสอีกครั้งอย่างมโหฬาร และได้ประทับอยู่ที่เมืองนี้ต่ออีก ๖ เดือน ตามคำทูลขอของพระอนันตยศ แต่ในจามเทวีวงศ์ว่าต้องทรงอยู่ถึง ๖ ปี จึงได้เสด็จกลับเมืองหริภุญชัย โดยระหว่างนั้นพระนางยังได้สร้างเมืองอาลัมพางค์นครขึ้นอีกเมืองหนึ่ง

แต่ในตำนานพื้นเมืองกลับกล่าวถึงเรื่องนี้ไปอีกอย่างหนึ่ง ต่างกับจามเทวีวงศ์ และตำนานมูลศาสนาดังที่กล่าวมาแล้วอย่างสิ้นเชิง โดยกล่าวว่าพระนางจามเทวีได้ครองสิริราชสมบัติบริหารราชการแผ่นดินนครหริภุญชัยไปถึงต้นเดือน ๘ ปีกุน พ.ศ. ๑๒๓๑ จึงทรงสละราชสมบัติพระราชทานพระเจ้ามหันตยศขึ้นครองหริภุญชัยแทน และในวันขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๓ ปีเดียวกัน ก็มีการราชาภิเษกพระเจ้าอนันตยศขึ้นครองเขลางค์นคร เวลานั้นพระนางทรงมีพระชนมายุได้ ๕๕ พรรษาแล้ว และก็มิได้กล่าวถึงรายละเอียดการสร้างเขลางค์นครแต่อย่างใด





บั้นปลายรัชสมัย

ตำนานหนึ่งกล่าวว่า...

ภายหลังพระนางจามเทวีได้สละราชสมบัติให้แก่พระเจ้ามหันตยศครองเมืองแทน และเมื่อพระองค์ทรงมีพระชนมายุได้ ๖๐ พรรษา ได้ทรงสละเพศฆราวาสฉลองพระองค์ขาวเสด็จไปประทับทรงศีลที่วัดจามเทวี ทรงเอาพระทัยใส่ต่อการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนายิ่งขึ้นอีกมากมาย

พระนางจามเทวีเสด็จสวรรคต เมื่อวันขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๘ พ.ศ. ๑๒๙๔ รวมพระชันษาได้ ๙๘ ปี สิ้นพระชนม์ไปขณะทรงบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐานอยู่นั่นเอง
พระราชโอรสทั้งสองพระองค์ทรงเปลี่ยนฉลองพระองค์พระศพเป็นพัสตราภรณ์แห่งกษัตริย์หริภุญไชยเป็นครั้งสุดท้าย ท่ามกลางความโศกสลดของทวยราษฎร์


ในตำนานมูลศาสนา และจามเทวีวงศ์กล่าวแตกต่างออกไปว่า...

พระนางจามเทวีได้ทรงเสวยราชย์ในนครหริภุญไชยเพียง ๗ ปี แล้วสละราชบัลลังก์พระราชทานพระเจ้ามหันตยศ จากนั้นเสด็จไปประทับที่เขลางค์นครและอาลัมพางค์นครกับพระเจ้าอนันตยศอีก ๖ ปี ครั้นเริ่มประชวรเสด็จกลับมายังหริภุญไชย ทรงเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนครโดยทักษิณาวรรตแล้วทรงศีลต่อไปอีกเพียง ๘ วัน พระโรคาพาธก็กำเริบแรงกล้าจนถึงเสด็จสวรรคต หลังสวรรคคตแล้วพระองค์ก็ได้ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิต

หลังจากนั้น พระเจ้ามหันตยศจึงโปรดฯ ให้จัดพิธีบูชาสักการะพระศพเป็นการใหญ่ ๗ วัน แล้วจึงก่อพระเมรุมาศสำหรับถวายพระเพลิง จัดให้มีการสมโภชพระศพเป็นการใหญ่ ๗ วัน ๗ คืน แล้วจึงถวายพระเพลิง หลังเสร็จการถวายพระเพลิงพระศพแล้วจึงได้เชิญพระอัฐิไปบรรจุไว้ในสุวรรณจังโกฏิเจดีย์ (ปัจจุบันเรียกกันเป็นสามัญว่า เจดีย์กู่กุด) ภายในวัดจามเทวี อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูนในปัจจุบัน







เป็นอันจบตำนานแห่งจอมนางผู้ยิ่งใหญ่เพียงเท่านี้ค่ะ...

ส่วนตัวอ่านหนังสือเล่มนี้ด้วยความสนใจใคร่รู้
หากแต่เมื่ออ่านจบลงไปกลับไม่ได้ สมใจ(ที่)อยาก(รู้) สักเท่าใดนัก

ทั้ง ๆ ที่ชื่นชมในความพยายามของผู้เขียน ในการสืบค้นข้อมูล หาหลักฐาน และเรียบเรียงออกมาเป็นเรื่องเล่าที่อ่านง่าย - -

อาจจะเป็นเพราะตัวเองเป็นคนเหนือ เคยผ่านตำนานเรื่องเล่าที่คล้าย ๆ กันแบบนี้มาก่อน ทั้งจากหนังสือและจากเรื่องเล่าปากต่อปากที่เรียกว่ามุขปาฐะมาค่อนข้างเยอะ
จึงคาดหวังความแตกต่างหรือข้อมูลใหม่ ๆ บ้าง เท่านั้นเอง

แต่แนะนำนะคะสำหรับคนที่สนใจเรื่องราวแนว ๆ นี้ เพราะในหนังสือยังมีข้อมูล-สาระอีกมากมายที่จขบ.ไม่ได้กล่าวถึง






**เชิญเลือกอ่านหนังสือเล่มอื่น ๆ ในบล็อกนี้ได้ที่... ~ สารบัญหนังสือในบล็อก ~ ค่ะ








 

Create Date : 16 กันยายน 2552    
Last Update : 16 กันยายน 2552 11:55:03 น.
Counter : 2723 Pageviews.  

โอ้! อลิซ ( Go Ask Alice): บันทึกก่อนตายของเหยื่อยาเสพติด





โอ้ ! อลิซ ( Go Ask Alice)
ผู้เขียน : Annonymous
ผู้แปล : โรจนา นาเจริญ
ผู้พิมพ์ สนพ.มติชน


โปรยปก : เรื่องจริง ! บันทึกก่อนตายของเหยื่อยาเสพติด


เพราะคำโปรยบนปกนั่นเองที่ทำให้ดองหนังสือเล่มนี้ไว้เนิ่นนาน ทั้ง ๆ ที่ปกติตัวเองเป็นคนชอบอ่านบันทึก อาจจะเป็นด้วยสัญชาตญาณความอยากรู้อยากเห็นกำลังเบ่งบาน

แต่เมื่อผ่านพ้นช่วงวันช่วงวัยหนึ่งแล้ว...เรื่องราวของตัวเองก็มีให้ครุ่นคิด เคร่งเครียดมากพอแล้ว
ก็เลยออกอาการแหยง ๆ เรื่องเครียด ๆ แรง ๆ ของคนอื่น

ถ้ารู้แน่ชัดว่าเป็นเรื่องแต่งหรือนิยายก็อ่านได้แบบไม่เอาตัวเองเข้าไปอินมากนัก
เจอบรรยากาศหม่น ๆ หน่อยก็บอกตัวเองว่า...นิยายน่ะ นิยาย

หยิบเล่มนี้ขึ้นมา เล่นประกาศตั้งแต่ปกหน้าไปเลยว่า เรื่องจริง! ทำเอาเกร็งตั้งแต่ยังไม่ได้อ่านแน่ะ

เอาเข้าจริงก็สามารถอ่านได้...อย่างลุ้น ๆ และติดหนึบเสียด้วยซ้ำ เพราะเจ้าของบันทึกฉบับนี้มีพรสวรรค์ด้านการเขียนมาก ๆ ใช้ถ้อยคำสั้น ๆ กระชับแต่ตรงใจ...แม้จะอยู่ในวัยเพียง ๑๕ - ๑๖ ปี





เรื่องย่อ :

อลิซ เด็กสาวอเมริกันวัย ๑๕ เริ่มบอกเล่าเรื่องราวของเธอผ่านไดอารี่(ไม่)ประจำวัน
เธอมีครอบครัวที่ดูแล้วน่าจะอบอุ่นทีเดียว มีคุณพ่อเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย และมีน้องสาวน้องชายอย่างละหนึ่ง

อลิซก็เหมือนเด็กวัยรุ่นทั่ว ๆ ไป อยากเป็นคนสำคัญ อยากสวย อยากผอม ติดเพื่อน อยากมีแฟน...
และแน่นอน อยากรู้อยากลอง!!!

จุดเริ่มต้นความเลวร้ายในชีวิตของเธอเริ่มต้นเมื่อครอบครัวของเธอต้องย้ายบ้านตามหน้าที่การงานของพ่อ
เธอต้องปรับตัวให้เข้ากับเพื่อนใหม่และโรงเรียนใหม่...ซึ่งดูเหมือนว่าจะค่อนข้างยากสำหรับเธอ
ในขณะที่น้องสาวน้องชายของเธอกลับมีเพื่อนใหม่วัยเดียวกันอย่างรวดเร็ว...
อลิซรู้สึกเบื่อทุกสิ่งทุกอย่าง...เบื่อไปหมดกระทั่งตัวเอง...

แล้ววันหนึ่ง ในขณะที่ไปพักอยู่กับตายายในอีกเมืองหนึ่ง เธอก็ได้รู้จักกับแอลเอสดี...ทั้ง ๆ ที่จิตใต้สำนึกคอยบอกว่ามันไม่ดี แต่เธอก็ฝืนความเย้ายวนของมันไม่ไหว
เธอเริ่มอยากลองสูบกัญชา...เพราะต้องการรู้รสชาติในทุกสิ่งทุกอย่าง...
เธอรู้จักเพศสัมพันธ์ครั้งแรกในตอนนี้เอง

หลังจากกลับมาบ้าน ความรู้สึกผิดประกอบกับความเหงาทำให้เธอเปลี่ยนแปลงไปในทางที่แย่ลง
และพ่อกับแม่ก็ไม่เข้าใจ เพื่อนสนิทก็มีเพื่อนสนิทคนใหม่ เพื่อนชายที่หมายมาดก็จากไปเป็นทหาร...
อลิซต้องพึ่งยานอนหลับและยาระงับประสาท ทั้งยังต้องไปพบจิตแพทย์อยู่เนือง ๆ
แล้วเธอก็หวนไปหายาเสพติดอีกครั้ง เมื่อเธอได้รู้จักเพื่อนกลุ่มใหม่ กลุ่มที่มุ่งจะกอบโกยผลประโยชน์จากเธอและเพื่อน โดยบังคับให้เธอต้องขายยาให้กับเด็ก ๆ ในโรงเรียน

จากนั้น ชีวิตของเธอก็พลิกผัน ถึงขั้นหนีออกจากบ้าน
กับเพื่อนที่มีปัญหาครอบครัวอีกคนหนึ่ง ไปทำงานต่างเมืองระเหเร่ร่อน...
ในช่วงนี้เธอเขียนบันทึกของเธออยู่เรื่อย ๆ เพราะดูเหมือนว่าจะเป็นสิ่งเดียวที่เธอสามารถทำได้
อย่างเป็นตัวของตัวเองมากที่สุด...

ชีวิตของเธอผลุบเข้าผลุบออกในวังวนของยาเสพติดหลายครั้ง ทุกครั้งที่ได้กลับมาบ้านเธอก็รับรู้ถึงความรักความอบอุ่นที่พ่อกับแม่มีให้ แต่เธอมิได้มีชีวิตอยู่แต่ในบ้านเท่านั้น เธอโชคร้ายที่ผู้คนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นครูหรือเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนล้วนแต่แสดงท่าทีรังเกียจ
บางคนถึงขั้นกลั่นแกล้งเธอ

ท้ายสุดเธอต้องเข้าสู่กระบวนการบำบัดโดยสถานบำบัดโรคจิต...
ที่นั่นเธอได้พบเด็ก ๆ อีกหลายคนที่มีปัญหาชีวิตที่ย่ำแย่กว่าเธอหลายสิบเท่า

อลิซจึงเกิดความมุ่งมั่นที่จะเป็นนักสังคมสงเคราะห์ เธอคิดว่าเธอจะพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะชี้ให้เด็ก ๆ เห็นถึงพิษภัยของยาเสพติด...
แต่ก่อนอื่นเธอต้องกลับไปเรียน...เธอพยายามปรับทั้งใจทั้งกายให้เข้มแข็งและกล้าแกร่งพอที่จะรับความกดดันจากสังคม เพื่อจะได้ก้าวข้ามช่วงวัยอันตรายนี้และทำความมุ่งมั่นของเธอให้สำเร็จ

แต่ทว่า...

ไดอารี่ของอลิซสิ้นสุดลงเพียงวันที่ ๒๑ กันยายน สองปีหลังจากที่เธอเริ่มบันทึก...
เราไม่มีโอกาสทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเธอหลังวันที่ ๒๑ กันยายน
ทั้งไม่ทราบเหตุผลที่อลิซยุติการบันทึกก่อนเสียชีวิตร่วม ๓ สัปดาห์
.......
อลิซตายโดยอุบัติเหตุเพราะกินยาเกินขนาด?
หรือจงใจกินยาตาย? ไม่มีผู้ใดตอบคำถามนี้ได้นอกจากตัวเธอเอง







เป็นเรื่องย่อยาว ๆ อีกตามเคย ความรู้สึกหลังอ่านบอกได้สั้น ๆ ว่าอึ้งและเสียดาย...เสียดายมาก

ไม่เพียงเหมาะสำหรับวัยรุ่นเท่านั้น...
หนังสือเล่มนี้เหมาะที่สุดสำหรับพ่อแม่ผู้ปกครอง โดยเฉพาะของลูก ๆ ที่กำลังอยู่ในวัยแรกรุ่น...
ซึ่งในสมัยของอลิซอาจจะเป็นวัย ๑๕-๑๖ แต่เมื่อกาลเวลาผันผ่าน
โลกผันแปร สิ่งเร้า สิ่งยั่วยุต่าง ๆ มีมากขึ้น
เด็ก ๆ ๘-๑๐ ขวบก็จำเป็นต้องเรียนรู้ถึงพิษภัยของสิ่งเหล่านี้
และคนเป็นพ่อเป็นแม่ควรจะเอาใจใส่ลูก ๆ อย่างใกล้ชิด
และนำพาชีวิตของพวกเขาให้ก้าวผ่านช่วงวันวัยช่วงนี้ให้ตลอดรอดฝั่งด้วยเถิด...สาธุ!

ขออนุญาตก๊อปบางส่วนจากหน้าคำนำค่ะ...

'...ปัญหายาเสพติดมักเกี่ยวโยงกับปัญหาครอบครัวอย่างแยกไม่ออก พ่อ-แม่มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการกำหนดชีวิตและอนาคตของลูก แต่ใครจะรู้บ้างว่าการดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางสังคมอันแสนสับสนอย่างเช่นทุกวันนี้ จุดสมดุลหรือความพอดีของการปฏิบัติต่อกันระหว่าง พ่อ-แม่-ลูก ควรอยู่ตรงไหน? เท่าไร? ถึงจะเรียกว่าพอดี...'

และบางส่วนจากบทส่งท้าย...ว่าด้วยบทเรียนจากอลิซ

"ไดอารี่ของอลิซให้บทเรียนแก่เรามากมายเกี่ยวกับการดิ้นรนต่อสู้ของเด็กหนุ่มสาวเพื่อเอาชนะความยุ่งยากที่เกิดขึ้นภายในโลกของพวกเขาซึ่งบ่อยครั้งคนภายนอกมองไม่เห็น หรือมองข้ามไปอย่างน่าเสียดาย

....................

โลกยาเสพติดต้อนรับมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม ไม่เลือกชาติ ผิวสี ภาษาหรือชนชั้น อลิซบอกให้เรารู้ว่า หากพ่อแม่ไม่สามารถเก็บตัวลูกไว้ในบ้านตลอดเวลา(ซึ่งตามความเป็นจริง ย่อมเป็นไปไม่ได้) โอกาสที่เด็กจะเข้าไปเกี่ยวข้องหรือตกเป็นทาสยาเสพติดย่อมมีทางเป็นไปได้มาก ในแวดวงของยาเสพติดจึงมีเด็กวัยรุ่นที่ฉลาดและร่าเริงแจ่มใสเกี่ยวข้องอยู่ด้วย จากไดอารี่ของอลิซเราจึงพบว่า พ่อแม่ของเธอให้การต้อนรับเพื่อน ๆ ของอลิซซึ่งติดยา ด้วยความอบอุ่น โดยไม่คาดคิดว่า จะชักจูงลูกออกจากบ้านไปสัมผัสกับมัน

..................

อลิซยังชี้ให้เราเห็นด้วยว่า ความไม่มั่นใจในตนเองและอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมในสังคมที่ปราศจากความแน่นอนเป็นสาเหตุอันสำคัญที่ทำให้เด็กวัยรุ่นอ่อนแอจนต้องยอมสยบต่อยาเสพติด..."



ชวนอ่านอย่างยิ่งค่ะ!





**เชิญเลือกอ่านหนังสือเล่มอื่น ๆ ในบล็อกนี้ได้ที่... ~ สารบัญหนังสือในบล็อก ~ ค่ะ









 

Create Date : 07 กันยายน 2552    
Last Update : 20 ธันวาคม 2560 14:13:18 น.
Counter : 8700 Pageviews.  

รอยรองเท้า: เรื่องเล่าจากรองเท้า ๙ คู่





รอยรองเท้า: เรื่องเล่าจากรองเท้า ๙ คู่
สำนักพิมพ์ มีเดีย สปาร์ค
พิมพ์ครั้งแรก : ตุลาคม ๒๕๔๔


เรื่องราวการเดินทางจากที่หนึ่งสู่อีกที่หนึ่ง
จากผู้ชายคนหนึ่งสู่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง
จากรองเท้าคู่หนึ่งสู่รองเท้าอีกคู่หนึ่ง






เป็นบันทึกการเดินทางจากทั่วทุกมุมโลก ของผู้ชายนักเดินทาง ๙ คน
ประกอบด้วย Tom Claytor, Jacob C.Smith, โตมร ศุขปรีชา, อธิคม คุณาวุฒิ,
ทวีศักดิ์ ศรีทองดี,สุดแดน วิสุทธิลักษณ์, วรพจน์ พันธุ์พงศ์, วชิรา รุธิรกนก, และจิระ มะลิกุล

เจ้าของรองเท้าแต่ละคู่มาจากหลากหลายอาชีพ เช่น นักบินสมัครเล่น, นักดนตรี,
นักหนังสือพิมพ์,นักเขียน, ผู้กำกับ ฯลฯ

ดังนั้นมุมมองต่อสถานที่ที่พวกเขาบอกเล่าถึง จึงแตกต่าง
โดยที่แต่ละคนจะสะท้อนภาพความประทับใจ และความรูสึกนึกคิด ที่ได้รับจากการเดินทาง
ทั้งในแง่มุมที่มีต่อสถานที่ บรรยากาศ ศิลป วัฒนธรรม และผู้คน
ด้วยลีลาและชั้นเชิง ของการเล่าเรื่องด้วยสำนวนภาษาที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว น่าอ่าน และชวนติดตามเป็นอย่างยิ่ง

ส่วนตัวชอบบท "เพราะเรา ไม่ใช่คนของความสุข" ของคุณอธิคม คุณาวุฒิ มาก
ในบทนี้ผู้เขียนพาไปชมการแสดงของชนเผ่าเมารี ในประเทศนิวซีแลนด์
เขาได้สะท้อนความรู้สึกของเขาหลังจากการแสดงเสร็จสิ้นลง
ด้วยคำถามที่ผุดขึ้นมาว่า...

"ณ นาทีนี้ชาวเมารียังยิ่งใหญ่น่าเกรงขามอยู่จริงหรือ...
คุณภาพชีวิตของชนพื้นเมืองเหล่านี้สมบูรณ์พูนสุขและมีศักดิ์ศรีครบถ้วนจริงหรือ...
........
ชะตากรรมของชนพื้นเมืองไม่ว่าที่ใดบนโลก ก็ไม่น่าจะหนีพ้นความซ้ำซาก ย่ำอยู่กับที่..."


อ่านแล้วนึกถึงชาวเขา ชาวกะเหรี่ยงคอยาวแถว ๆ บนดอยชายแดนบ้านเรานัก

หนังสือเล่มนี้อ่านหลายวันค่ะ วันละสองสามหน้า เพราะเป็นคนชอบอ่านหนังสือทีละหลาย ๆ เล่ม ได้อารมณ์เหมือนอ่านนิตยสารยังไงยังงั้น
อ่านจบแล้วก็รู้สึกดีใจที่หยิบมาและได้อ่าน
ใครสนใจหนังสือเกี่ยวกับการท่องเที่ยว พบเจอหนังสือเล่มนี้ที่ไหนขอให้เก็บมาเถอะค่ะ รับรองว่าคุ้มค่า คุ้มราคาแน่นอน โฆษณาให้ซะเลย





**ขออนุญาตฝากโครงการดี ๆ ไว้ตรงนี้หน่อยนะคะ...แค่วันละคลิกเราก็ได้บริจาคหนังสือวันละเล่มแล้ว






**เชิญเลือกอ่านหนังสือเล่มอื่น ๆ ในบล็อกนี้ได้ที่... ~ สารบัญหนังสือในบล็อก ~ค่ะ





 

Create Date : 16 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 17 กรกฎาคม 2552 14:59:52 น.
Counter : 1016 Pageviews.  

กิน เที่ยว เปรี้ยวที่เกาหลี ~ กาญจนา หงษ์ทอง






กิน เที่ยว เปรี้ยวที่เกาหลี
โดย : กาญจนา หงษ์ทอง
สุดสัปดาห์สำนักพิมพ์ / จัดพิมพ์ (ครั้งที่ ๒ ต.ค. ๒๕๔๘)








บางส่วนจากคำนำผู้เขียน :

เสน่ห์ของเกาหลีมีแสนยานุภาพร้ายแรงเหลือเชื่อ
ไม่ใช่แค่วิถีชีวิตของผู้คน
อากาศเย็นฉ่ำชวนให้วูบไหว
ละครและหนังที่บีบคั้นหัวใจให้น้ำตาไหลพราก
หรือเพลงโดนๆ เท่านั้น
แต่แหล่งท่องเที่ยวในแต่ละหัวมุมเมืองก็ยังชวนให้เคลิบเคลิ้มจนลืมบ้านเกิด

ทั้งโซล เชจู เคียงจู ไปจนถึงปูซาน
หลากรส หลายเรื่อง คละเคล้าไปด้วยเรื่องราวแห่งความสุข

กว่าหนึ่งเดือนที่ป้วนเปี้ยนอยู่ในเกาหลี ร่วมกับกระจอกข่าวอีกหลายชีวิต
ต่างบ้านต่างวิถี แต่ดอกไม้แห่งมิตรภาพยังคงงอกงามในความต่างอยู่เสมอ

ทุกเรื่องราว ทุกอิริยาบถในแผ่นดินอารีดัง
จึงเป็นความทรงจำดี ๆ ที่ไม่เคยพร่าเลือน...







ชวนคุยหลังอ่านค่ะ...

ได้รับหนังสือเล่มนี้มาพร้อมกับซีรียส์ดังของแดนกิมจิหลายเรื่องเมื่อหลายเดือนก่อน หะแรกดูแต่ปกแล้วก็วางแอบ ๆ ไว้ข้างกอง
ไม่คิดว่าจะได้อ่าน...หรือไม่ก็น่าจะเป็นเล่มสุดท้ายที่คิดจะอ่าน...
ด้วยอคติในใจที่มักจะตัดสินหนังสือจากปก...หนึ่งล่ะ
อีกประการหนึ่งคือทัศนคติอันคับแคบที่เคยมีต่อเรื่องราวของประเทศนี้ ๆ...
ทัศนคติที่สะสมผ่านวิชาประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ที่ร่ำเรียนมาแบบกระท่อนกระแท่นเต็มทีมั่ง...
ผ่านนิยายแปลมั่ง ซีรียส์(ทั้งย้อนยุคและร่วมสมัย)มั่ง...
(แม้บางเรื่องจะชื่นชอบจน(เกือบ)ถึงขั้นคลั่งไคล้ใหลหลงก็ตามทีเถอะ...)

ไม่รู้สินะ มันเหมือนมีอะไรเล็ก ๆ ฝังอยู่ลึก ๆ ในใจ
คอยออกตัวกับตัวเอง(และคนอื่น ๆ )เสมอ ๆ ว่าไม่ใช่สาวกซีรียส์เกาหลี...
เห็นเพื่อนพ้องน้องพี่หลายคนตั้งหน้าตั้งตาดูซีรียส์ถึงขั้นอดตาหลับขับตานอนก็เคยเอ่ยปากทั้งติงทั้งเตือนพวกเขาว่า...บ้าน่า...เสียเวลา เสียสุขภาพเปล่า ๆ ปลี้ ๆ ...ฯลฯ
(อาจจะเป็นพล็อตเรื่องที่ซ้ำ ๆ กันของละคร เช่นปมพี่น้อง(ที่พลัดพรากกันตั้งแต่ยังไม่เกิด) ปมพ่อแม่(หย่าร้าง แยกทางกัน) ปมการสูญเสียความทรงจำ...ฯลฯ กับชื่อตัวละครที่ซ้ำ ๆ และจำยาก ออกเสียงยาก ทำให้ดูซีรียส์ได้ไม่สนุกเท่าที่ควร)


แต่ให้บังเอิญช่วงที่ผ่านมามีภารกิจยุ่ง ๆ ที่ทำให้ไม่สามารถอ่านหนังสือเล่มโต ๆ หรือนิยายเรื่องยาวที่มีเรื่องราวให้ต้องติดตามต่อเนื่องได้
จึงต้องเลือกที่จะอ่านอะไรเบา ๆ
อ่านหนังสือเด็กจบไปหลายเล่มเหมือนกัน...(เก็บไว้รีวิวรวบยอดวันหลังนะคะ)

เผอิ๊ญ...ขณะที่นั่งดูลีซานเมื่อวานเย็น ช่วงพักโฆษณา สายตาเจ้ากรรมก็เหลือบไปเห็นหนังสือเล่มนี้
อ๊ะ...น่าจะใช้แกล้มกันได้...(อา ทำยังกะกำลังดื่มโซจู...)
ก็เลยหยิบมาพลิก ๆ อ่าน...แบบไม่ได้คาดหวังอะไรมากมายนัก

แต่ผลปรากฏว่า....อ่านหนังสือเพลินจนลืมดูลีซานไปเลยค่ะ...
รวดเดียวจบเล่ม...มารู้สึกตัวอีกที...เรื่องราวขององค์ชายลีซานผ่านตาไปอย่างไม่ซึมซับเท่าไหร่...
แต่ที่ประทับใจกลับกลายเป็นเรื่องเล่าสำนวนสนุกในหนังสือเล่มนี้...
เรื่องเล่าที่ทั้งเพลิดเพลิน สนุกสนาน
และที่สำคัญสอดแทรกสาระความรู้ไว้อย่างแนบเนียน...
จนสามารถเปลี่ยนและเปิดโลกทัศน์ของเราด้วยมุมมองที่สดใส ร่าเริงและเป็นโพสิทิฟมาก...

เลยต้องทำเครื่องหมายไว้บนชื่อคุณกาญจนา หงษ์ทองว่า...ถ้าเจอชื่อนี้บนปกหนังสือชวนเที่ยวเล่มไหนอีกจะรีบคว้าโดยไม่ต้องลังเลเลยแม้แต่น้อย...

กับต้องคอยเตือนตัวเองย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ ว่า... "อย่าตัดสินหนังสือจากปก...อย่าตัดสินหนังสือจากปก!!!"

หนังสือเล่มนี้เหมาะมากสำหรับผู้ที่นิยมหนังเกาหลี...หลงใหลนิยายเกาหลี...ชื่นชอบอาหารเกาหลี...รวมถึงผู้ที่อยากจะไปเที่ยวเกาหลีค่ะ

ส่วนตัวแม่ไก่ แม้จะยังไม่ถึงขั้นอยากจะไปเยือนแดนกิมจิมากมายนัก
แต่เมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้จบลง สิ่งที่รับรู้ได้ชัดก็คือ...
ดูซีรียส์เกาหลีสนุกขึ้นอีกเป็นกอง...

(สรุปก็คือว่า...ถ้าระยะนี้อิฉันได้หายหน้าหายตาไปจาการอัพบล็อกหรือรีวิวหนังสือบ้างล่ะก้อ สามารถคาดเดาได้ว่ากำลังหมกมุ่นอยู่กับซีรียส์เรื่องใดเรื่องหนึ่ง...นั่นเอง แหะ ๆ )






**เชิญเลือกอ่านหนังสือเล่มอื่น ๆ ในบล็อกนี้ได้ที่... ~ สารบัญหนังสือในบล็อก ~ค่ะ








 

Create Date : 23 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 4 มิถุนายน 2552 12:55:23 น.
Counter : 1651 Pageviews.  

ละเลียดเล็มโลก โดย "อรินธรณ์"





ละเลียดเล็มโลก
โดย "อรินธรณ์"
จัดพิมพ์โดย :สนพ.ไม้ไต่เขียน
(มติชนหนุนหลัง) ตุลาคม ๒๕๔๕






โปรยปกหลัง (บางส่วนจากคำนิยมโดย "ธีรภาพ โลหิตกุล")

จากเนปาลสู่บาหลี ปักกิ่ง ลาซา หลวงพระบาง เสียมเรียบ
"อรินธรณ์"ละเลียดเล็มโลกในแบบฉบับของเขา
ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเดินทางกับตัวอักษร แปลว่าชอบเที่ยวในหนังสือ
หรือคุณจะเป็นนักเดินทางตัวยง ที่กำลังเตรียมตัวไปเล็มโลกในดินแดนเหล่านี้
หรือคนที่ไปท่องยุทธภพมาจบแล้ว

งานของ "อรินธรณ์" เล่มนี้คือหนังสืออ่านเอาเรื่อง
ไม่ใช่ไกด์บุ๊คเป็นอันขาด
เพราะไกด์บุ๊คที่ให้ข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวทั่วโลกมีดารดาษในตลาดหนังสือ
แต่ที่ให้ประสบการณ์และมุมมองด้วยลีลาอันเป็น "ความสามารถเฉพาะบุคคล"
ซึ่งไม่ห้ามใครเลียนแบบ แต่ยากที่จะมีใครทำได้เหมือนนั้น
มีไม่มากนักในวงวรรณกรรมแห่งการเดินทางบ้านเรา





(และ...บางส่วนจากคำนำโดย "นิรมล เมธีสุวกุล")

"อรินธรณ์"
เป็นนักเดินทางทั้งทางบกและทางน้ำที่น่าอิจฉา เดินทางน้ำก็เรียนรู้โลกลึกลงไปใต้น้ำ เดินทางบกก็เรียนรู้โลกแห่งอากาศ ดูนกบนดินบนฟ้า รวมทั้งเรียนรู้ผู้คน มีทั้งชอบบ้าง ไม่ชอบบ้าง ทุกข์บ้าง สุขบ้าง อันเป็นธรรมดาโลก

"ละเลียดเล็มโลก" เป็นการเดินทางผจญภัยต่างกรรมต่างวาระกัน แม้แต่ทุกข์ก็เล่าได้สนุก ซึ่งเป็นเสนห์ของ "อรินธรณ์" และมุมมองเช่นนี้ คงทำให้เขายังคงละเลียดเล็มโลกเรื่อยไปทั้งในปัจจุบัน และอนาคต






ชวนคุยค่ะ...
ช่วงที่ผ่านมา เป็นช่วงที่ชีวิตค่อนข้างยุ่งเหยิง อะไรต่อมิอะไรประเดประดัง รุมเร้าเข้ามาในช่วงเดียวกัน แม้จะไม่ถึงกับหนักหนาสาหัส หากก็ทำให้ไม่ค่อยมีเวลาอ่านหนังสืออย่างต่อเนื่องยาว ๆ เหมือนเคย

แต่ด้วยความเป็นหนอนที่ไม่เคยอิ่ม...(แถมแอบเอาเวลาว่างที่มีน้อยนิดไปลุ่มหลงมัวเมากับอะไรอย่างอื่นบ้าง เช่นซีรีส์เกาหลีเป็นต้น แหะ ๆ )
หนังสือจึงยังคงเป็นอาหารจานหลักที่ขาดไม่ได้อยู่ดี

ความที่ไม่มีเวลาว่างต่อเนื่องนัก จึงเลือกหยิบอะไรที่ สั้น ๆ เบา ๆ สามารถหยิบมาอ่านทีละหน้าสองหน้า ในเวลาที่ว่างเว้นจากภาระหน้าที่ได้ โดยไม่เสียอรรถรสในการอ่าน และไม่กระวนกระวายใจหากต้องหยุดชะงักลงกลางเล่ม

หนังสือเล่มนี้ (เป็นหนึ่งในหนังสือดีที่เลือกมาจากรายการลดกระหน่ำของมติชนเมื่อหลายเดือนก่อน เล่มนี้ได้มาในราคา ๓๐ บาทค่ะ) สามารถตอบโจทย์ข้างบนของเราได้อย่างค่อนข้างลงตัวทีเดียวเชียว

หลายท่านที่เป็นแฟนานุแฟนของหนังสือพิมพ์มติชน
น่าจะคุ้นเคยกับเรื่องเล่ารสละมุนของ "อรินธรณ์" มาบ้างแล้ว
เล่มนี้ก็ไม่แตกต่างค่ะ ยังคงละมุนละม่อมกลมกล่อมเหมือนเดิม
แต่...เพิ่มรสเปรี้ยว เผ็ด ชวนเข็ดฟันลงไป
ทำให้อ่านไประทึกไป อ่านไปเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันไป
สัมผัสได้ถึงรสชาติของชีวิตที่กระเด้งกระดอนไม่อยู่นิ่งไปอีกแบบ...

ส่วนตัวเห็นด้วยกับคำนิยมกับคำนำของนักเล็มโลกสองท่านข้างบนเต็มที่ จึงจะไม่วิเคราะห์เจาะความอะไรให้มากไปกว่านี้
แต่จะขอหยิบยกคำเตือนของคุณธีรภาพที่แปะไว้ใต้คำนิยมของเขา...มาแปะไว้ตรงนี้เช่นกันว่า...

"โปรดอย่าอ่านเกินชั่วโมงละสองบท เพราะความมันจะหมดเร็วไป"










 

Create Date : 25 พฤศจิกายน 2551    
Last Update : 7 มิถุนายน 2552 13:33:25 น.
Counter : 1510 Pageviews.  

1  2  3  4  5  

แม่ไก่
Location :
ลำปาง Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 184 คน [?]




**หลังไมค์เจ้า**





Cute Clock Click!



เออสิ,มาอยู่ใยในโลกกว้าง
เฉกชลคว้างมาเมื่อไรไม่นึกฝัน
ยามจากไปก็เหมือนลมรำพัน
โบกกระชั้นสู่หนไหนไม่รู้เลย


รุไบยาต ~ โอมาร์ คัยยัม
สุริยฉัตร ชัยมงคล : แปล




Latest Blogs

~ท่านหญิงในกระจก/แสงเพลิง ~

~เพชรรากษส/อลินา ~

~มนตร์ทศทิศ/ราตรี อธิษฐาน ~

~เมื่อหอยทากมีรัก 1-2/"ติงโม่"เขียน/พันมัย แปล ~

~ให้รักระบายใจ/"ณกันต์"เขียน ~

~ผมกลายเป็นแมว/Abandoned/Paul Gallico เขียน(ภูธนิน แปล) ~

~พ่อค้าซ่อนกลรัก & หมอปีศาจแสนรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~

~อาจารย์ยอดรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~

~จอมโจรพยศรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~


สารบัญหนังสือ: รวมลิงก์หนังสือที่รีวิวในบล็อก # ๑ + ๒



Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add แม่ไก่'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.