หนังสือเล่มนี้เมื่อออกมาใหม่ ๆ เป็นที่ฮือฮามาก ตามอ่านรีวิวจากหลาย ๆ ที่แล้วทำให้นึกอยากอ่านขึ้นมา สั่งซื้อผ่านเน็ต เมื่อได้หนังสือมาแล้ว เห็นขนาดของหนังสือ พลิกดูเนื้อหาด้านในอีกนิดหน่อย แล้วก็ดองเอาไว้ช่วงระยะหนึ่ง จนมาเจอกระทู้ในห้องสมุดพันทิบกระทู้หนึ่ง เขียนถึงหนังสือเล่มนี้ไว้อย่างน่าสนใจทีเดียว (ต้องขออภัยจริง ๆ ที่จำเจ้าของกระทู้นั้นไม่ได้แล้ว ทั้ง ๆ ที่จำได้ว่าตัวเองได้เข้าไปแจมคุยด้วยเป็นดิบดี...) ก็เลยหยิบขึ้นมาอ่าน...อ่านต้น ๆ ต้องทำใจค่ะ บทบรรยายยืดยาว . แต่บอกตัวเองได้ว่าผู้แปลแปลได้ดีมากในเรื่องนี้ แม้จะยังใช้สำนวนที่ต้องแปลไทยเป็นไทยอีกเยอะ แต่ก็ไม่ถึงกับสะดุดและติดตัน นวนิยายเรื่องนี้ดำเนินเรื่องในลักษณะเป็นบทบันทึกของบราเธอร์ผู้หนึ่ง -แอดโซ แห่งเมลค์ ซึ่งบันทึกไว้หลังจากเหตุการณ์ผ่านไปแล้วนานหลายปีทีเดียว แอดโซได้เดินทางติดตามอาจารย์ของเขา วิลเลี่ยม แห่งบาสเกอร์วิลล์ ไปยังอารามแห่งหนึ่งในอิตาลี อารามแห่งนี้มีชื่อเสียงว่ามีห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของคริสต์จักร มีหนังสือเก่าแก่หายากอยู่ในนั้นมากมาย... เรื่องราวทั้งหมดในหนังสือเกิดขึ้นในช่วงเวลาเพียงเจ็ดวัน แต่ก็เป็นเจ็ดวันที่ยืดยาว ด้วยดูเหมือนมีเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน...ในบทบันทึกได้จัดเรียงเรื่องราวออกเป็นช่วงเวลาในแต่ละวันโดยยึดตามชั่วโมงการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันของพระสงฆ์ในเรื่อง เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจถึงลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เริ่มต้นที่มีเหตุฆาตกรรม พระสงฆ์ที่ทำงานในหออาลักษณ์ถูกฆ่าตายไปรูปหนึ่ง เจ้าอาวาสจึงขอให้วิลเลี่ยม ทำการสืบสวนสอบสวนหาสาเหตุแห่งฆาตกรรมนั้น ๆ ทำให้ต้องมีการย้อนเวลา มีการวางแผน ความน่าติดตามหรือเสน่ห์ของเรื่องอยู่ที่ความลึกลับซับซ้อนของห้องสมุดใหญ่ ซึ่งเป็นสถานที่ต้องห้ามในการสืบเสาะ... วิลเลี่ยมสามารถสืบค้นข้อมูลเพื่อนำมาประกอบการพิจารณาได้ทุกที่ภายในอาราม ยกเว้นห้องสมุดลึกลับแห่งนั้น...การเขียนนิยายประเภทนี้ นับว่าเป็นการท้าทายความสามารถของนักเขียนอย่างมากทีเดียว ถ้าไม่ผูกเรื่องให้น่าอ่าน น่าติดตามค้นหาราวกับให้ผู้อ่านได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการสืบเสาะ ค้นหาด้วยแล้ว ผู้อ่านอาจจะก้าวข้ามขั้นตอนแอบไปพลิกอ่านตอนจบของเรื่องเอาเสียง่าย ๆ (เหมือนที่จขบ.แอบทำกับนิยายสืบสวนสอบสวนหลายเรื่อง แหะ ๆ)...แต่อุมแบร์โต เอโก ก็สอบผ่านบทท้าทายนี้ได้ในระดับที่ดีมาก (ส่วนตัวยกเครดิตส่วนหนึ่งให้กับผู้แปลด้วยค่ะ) หลังจากที่ทนอ่านบทบรรยายอันยืดยาว เพื่อทำความรู้จักกับตัวละครสำคัญกับฉากของเรื่องและทำความคุ้นเคยกับสำนวนภาษาของทั้งผู้เขียนและผู้แปล...( ด้วยภาษาที่ใช้ในเรื่องนี้ค่อนข้างอลังการมมังการมาก คุณอาจจะต้องมีพจนานุกรมวางไว้ข้าง ๆ ตัวไปด้วยในขณะที่อ่าน เพื่อจะได้แปลไทยเป็นไทยไปพร้อมกัน...ส่วนตัวชอบค่ะ ชอบการใช้ภาษาแบบนี้มาก ยกตัวอย่างพอเป็นกระสายนิดหนึ่งแล้วกัน..อย่างตอนที่แอดโซบรรยายลักษณะของภราดาวิลเลี่ยม เขาบอกว่า... "เขาคงได้ยลมธุฤดูมาสักห้าสิบคำรบแล้ว และย่อมชราภาพมากทีเดียว..." อื้อหือ...หรือตอนที่เขากำลังจะเริ่มเรื่องเล่าของเขา เขาได้บันทึกไว้ว่า..."....และเรื่องราวของข้าพเจ้าจักดำเนินความ เมื่อเราเดินแกล่ใกล้ถึงอารามนั้นตามเหตุอันเป็นไปในครั้งกระโน้น แลขอให้หัตถาของข้าพเจ้าจงคงมั่นมิหวั่นไหวขณะเมื่อเตรียมใจเล่าขานถึงการณ์ครั้งนั้น" ฯลฯ )...อ่านไปได้ประมาณหนึ่งในสามของหนังสือความหนา 700 กว่าหน้า เริ่มรู้สึกสนุกล่ะ เริ่มเอาตัวเองเข้าไปในท้องเรื่อง...( พูดเหมือนยี่เกเชียว) ติดตามแอดโซกับภราดาวิลเลี่ยมอย่างตื่นเต้น ได้เรียนรู้เกี่ยวกับกระบวนการผลิตหนังสือในสมัยโบราณ การคัดลอกหนังสือ การออกแบบสถาปัตยกรรม การไขรหัสจากตัวอักษร หรือการจัดเรียงหนังสือในห้องสมุด ตลอดจนเรื่องราวของการใช้สมุนไพร ทั้งในแง่ที่ให้คุณประโยชน์และส่วนที่ให้โทษที่อาจจะเกี่ยวข้องกับความตายของหลาย ๆ คนในเรื่อง...(โดยเฉพาะเรื่องของการใช้สมุนไพรนี้ ให้แรงบันดาลใจแก่จขบ.เป็นอย่างยิ่ง เกือบจะไปลงทะเบียนเรียนแพทย์แผนไทยกับกระทรวงสาธารณสุขอยู่แล้วเชียวในกาลครั้งนั้น ติดที่เงื่อนไขทางหน้าที่ความรับผิดชอบต่อบุพการีจึงทำให้ระงับความตั้งใจอันนั้นไป แต่ก็พยายามศึกษาด้วยตัวเองอยู่ตลอดมา...)เมื่อผ่านบทแรก ๆ ไปแล้ว...ช่วงหลัง ๆ อ่านได้อย่างค่อนข้างเร็ว...อ่านไปลุ้นไป...แต่มาอ้อยอิ่งลงในช่วงท้าย ๆ เพราะไม่อยากให้จบ...เป็นงั้นไป...( บางคนอาจจะบอกว่า อ่านซ้ำก็ได้นี่...แต่สำหรับจขบ.แล้วมีหนังสือหลายเล่มที่เมื่อหยิบมาอ่านซ้ำ คุณจะไม่เคยได้ความรู้สึกสด ใหม่ เหมือนตอนที่อ่านครั้งแรกเลย หนังสือเล่มนี้ก็เป็นหนึ่งในหลาย ๆ เล่มนั้น ไม่ใช่หนังสือน่าเบื่อ แต่อารมณ์อยากรู้อยากเห็นของเราต่างหากที่เปลี่ยนแปรไป) ชวนอ่านอย่างแรงค่ะ !สั้น ๆ เกี่ยวกับผู้แต่ง (จากปกหลัง) :อุมแบร์โต เอโก เป็นศาสตราจารย์ในวิชาสัญญวิทยานามอุโฆษ เป็นนักประวัติศาสตร์ เป็นนักปรัชญา นักสุนทรียศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญวรรณกรรมของเจมส์ จอยซ์ เขาเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยโบโลนญ่า และพำนักอยู่ในมิลาน เป็นนักสะสมหนังสือตัวยง และมีหนังสือในครอบครองมากกว่า 30,000 เล่ม เป็นผู้มีความสนใจศึกษาค้นคว้าทางวิชาการอย่างหลากหลาย นับตั้งแต่งานของนักบุญโทมัส อะไควนัส ไปจนถึงซุปเปอร์แมน สมัญญาแห่งดอกกุหลาบ เป็นผลงานนวนิยายเรื่องแรกของเอโก และได้รับการยกย่องว่าเป็นวรรณกรรมคลาสสิคร่วมสมัยทันที โดยมิต้องอาศัยเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์
๙๙๙ เจิม ๙๙๙
อิอิ
๙๙๙ เจิม ๙๙๙
อิอิ
ไม่เคยเจอหนังสือเล่มนี้มาก่อนเหมือนกันครับ สงสัยว่าจะต้องไปลองหามาอ่านดูบ้างแล้วครับ
ว่าแต่จะหาซื้อได้ที่ไหนครับ? ต้องสั่งซื้อในเน็ตอย่างเดียวเหรอครับ?
อิอิ