Group Blog |
3
One day trip in 19/3/53 ผอ.ถามความสมัครใจของฉัน 20/3/53 8.00 น. คือเวลานัดหมาย ฉันมีนัดกันพี่คนหนึ่งที่มีความเชี่ยวชาญ จ.อุทัยธานี 10.30 น. เราเดินทางถึง อ.ลานสัก เป็นครั้งแรกที่ฉันได้มาที่นี่ 13.30 น. เราเดินทางด้วยรถโฟร์วิวเพื่อเข้าสู่หน่วยลาดตระเวน ฉันเพิ่งเข้าใจความหมายของคำว่า”นักอนุรักษ์” คำพูดที่ว่า Free TextEditor 2
เกิดการถกเถียงกันเล็กๆระหว่างต้นสายอย่างฉัน และปลายสายเป็นเพื่อนสนิทของฉันคนหนึ่ง ด้วยลักษณะนิสัยของเราทั้งสองคนก็ไม่น่าที่จะเป็นเพื่อนกันได้อยู่แล้วในตอนแรก ฉันซึ่งมีนิสัยใจเย็นอย่างมหาศาล มองโลกในมุมที่ค่อนข้างบวก ยอมๆไปซะทุกอย่าง ดูเหมือนว่าจะเป็นคนดีแต่มันก็ไม่ใช่....เพื่อนของฉันคนนี้เป็นคนใจร้อนอย่างที่สุด ไม่ยอมคน ผิด...แต่มันก็เถียง พูดจาร้ายกาจ และหน้าตาที่บอกบุญไม่รับของมัน จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เราสองคนจะทะเลาะกันเป็นประจำและจิกกัดกันในหลายๆเรื่อง ฉันมักตัดสินใจผิดในเรื่องการมองคน คนที่ฉันคิดว่าดีมันทำให้ฉันเซงทุกครั้งเมื่อเวลาผ่านไป หลังจากที่ฉันรู้จักเพื่อนคนนี้ คนที่มักมีข้อโต้แย้งให้กับฉันในทุกกรณี มันมักจะเดาออกเสมอว่าคนไหนไม่หวังดีกับฉัน แรกๆฉันก็ไม่เชื่อ แต่เมื่อบ่อยครั้ง ฉันจึงคิดจะเชื่อมัน หรือเพราะมันเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายอยู่แล้ว? วันนี้ก็เช่นกัน เพื่อนของฉันโทรมาเพื่อเล่าเรื่องเพื่อนร่วมงานที่มีความมั่นใจสูง(มันบอกว่าสูงเกินไป) และยังบอกว่าเค้าก็คงจะไม่ชอบมันแน่ๆ ฉันนั่งฟังอย่างตั้งใจ...เพื่อนฉันยังบอกอีกว่าเพื่อนร่วมงานคนอื่นก็คิดเช่นเดียวกับมัน พอมันเล่ามาถึงตอนนี้ฉันกลับมีคำถามขึ้นมา และเอ่ยปากถามออกไป ฉันบอกมันแต่เพียงว่าเท่าที่ฉันฟังมาในฐานะคนนอกฉันเห็นด้วยกับมันแทบทุกอย่างเพียงแต่ฉันไม่อยากให้มันตัดสินผู้อื่น จากการพูดจากันไม่กี่คำ และพบหน้ากันแค่ครั้งเดียว เพราะเหมือนกับว่ามันไม่ได้ให้โอกาสเขาแสดงมุมอื่นให้เห็นบ้าง ฉันไม่อยากให้มันกล่าวหาและโจมตีเขาจนเกินไป เพราะถ้าคิดในมุมกลับกันถ้าหาก"เพื่อนร่วมงานคนอื่น"ที่มันหมายถึงในทีแรกไม่เห็นด้วยกับมันในบางเรื่อง คนที่ถูกกล่าวหาและโจมตีก็คือมันมิใช่หรือ ปลายสายของฉันส่งน้ำเสียงหงุดหงิดจนฉันรู้สึกได้ ฉันเพียรพูดให้มันรู้สึกดีขึ้น แต่ก็เป็นไปได้ยากนัก แล้วเราก็วางสายกันด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัวกันเล็กน้อย เมื่อวางสายฉันมานั่งทบทวนถึงเรื่องราวที่ได้ผ่านไป ฉันไม่คิดกล่าวหา ว่าระหว่างฉันกับเพื่อนฉันใครถูกหรือใครผิดแต่อย่างใด สิ่งที่ฉันได้คิดก็คือการที่เรารู้จักคนมากขึ้นมันจะทำให้เรารู้จักคิดมากขึ้นตาม และรู้จักการเปรียบเทียบกับคนอื่นมากขึ้นด้วย เช่น เราอาจจะคิดว่าทำไมเค้าไม่เหมือนคนนั้น ทำไมเค้าถึงไม่ทำแบบนี้ บางที่...ฉันอาจจะมองไม่เห็นมุมที่เขามองก็ได้ ตามหลักวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ว่า โลกมีลักษณะเป็นทรงกลม นั่นหมายถึงแค่เพียง 1 องศา เราก็จะยืนคนละตำแหน่งกันแล้ว ฉันไม่เคยและไม่คิดจะเข้าใจเพื่อนของฉันคนนี้และคนอีกหลายคนที่ผ่านเข้ามา บางคนมักจะชอบคำพูดที่ว่า "เอ่อ......(กุ)เข้าใจ" มันก็คือคำปลอบประโลมเราคำหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกดี รู้สึกว่ายังมีอีกคนที่เข้าใจและคิดเหมือนกับเรา แต่แน่ใจหรือว่าเขาเข้าใจเราจริงๆ เอาง่ายๆแค่ตอนนี้ เอาเป็นว่าบางครั้ง ฉันก็ยังไม่เข้าใจตัวเอง...เหมือนกัน Free TextEditor 1
ฟังวิทยุออนไลน์ ที่ izeemusic มีหลายคนบอกว่าปี 2012โลกจะแตก,,, หากย้อนเวลากลับไปอีกสักหน่อย...ไม่สิ ในความจริงแล้วเราไม่สามารถย้อนเวลากลับไปไหนได้ เราจึงมีหน้าที่ "ทำวันนี้และวันข้างหน้าให้ดีมากกว่า..." ตอนนี้ฉันอยู่ในจังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดไม่เล็กไม่ใหญ่ในประเทศไทย พูดไปแล้วนครสวรรค์ก็มีอะไรหลายอย่างที่คล้ายกับจังหวัดลำปาง(บ้านเกิดของฉัน)ซะมากมาย อย่างเช่นว่าเป็นเมืองทางผ่านของจังหวัดต่างๆ และเป็นเมืองที่ไม่วุ่นวายมากนัก ฉันทำงานอยู่ที่สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 12(นครสวรรค์) สำนักงานอนุรักษ์มรดกโลก(ห้วยขาแข้ง-ทุ่งใหญ่นเรศวร) ในส่วนสัตว์ป่า (ดูแลเรื่องนกและไข้หวัดนก) ซึ่งมันตรงกันข้ามกับวิชาชีพของฉันอย่างสิ้นเชิง วิศวกรเป็นการใช้ความสามารถในการคำนวณหรือออกแบบสิ่งต่างๆโดยคำนึงถึงหลักทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์ได้ในเชิงตัวเลข ในขณะที่ส่วนของสัตว์ป่าเราจะไม่สามารถคิดคำนวณความคิดของสิ่งมีชีวิตมาเป็นตัวเลขได้เลยเราต้องเข้าใจในส่วนลึกของจิตใจสัตว์เหล่านั้นด้วย มันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนเกินกว่าที่ฉันจะเข้าใจได้จริงๆ มีคนเคยบอกฉันว่าวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมกับป่าไม้ และส่วนสัตว์ป่า มันน่าจะไปด้วยกันได้ ฉันก็คิดเช่นนั้นในทีแรก.......แต่มันก็เปลี่ยนไปเมื่อฉันได้เข้ามาสัมผัสด้วยตนเอง ,,,,,วิศวกรสิ่งแวดล้อม เราทำสิ่งที่เสียให้ดี แต่เค้าทำสิ่งที่ดีให้ไม่เสีย ต่างหาก,,,,, แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็เป็นหน้าที่ที่ต่างกันไปของแต่ละคน ฉันมีโอกาสตามหน่วยงานของบึงบอระเพ็ดไปในโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดกำแพงเพชร ฉันปฏิเสธไม่ได้ว่าเหนื่อยมาก คน9คนในรถตู้คันเล็กๆกับเด็กนักเรียนชั้นป.1-ป.6ประมาณ 400 กว่าคน เราออกเดินทางกันตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า เด็กๆที่นั่นซนกันมากตามประสาเด็ก ฉันยังนึกถึงตัวเองในวัยเด็ก ล้อชื่อพ่อ-แม่ เล่นโดดยาง แอบเล่นทรโข่งคุณครู และอีกมากมาย เมื่อถึงเวลาทำกิจกรรมทุกคนดูสนใจและตั้งใจกันมาก(อาจเป็นเพราะไม่ต้องเรียนหนังสือก็ได้ 555) เราทำกิจกรรมกันจนถึงบ่าย3 ด้วยจุดประสงค์คือให้พวกเขาได้รู้จักนกในธรรมชาติและรู้ที่จะรักษานกเหล่านี้ให้พวกเขาดู ต่อไป ฉันนั่งรถกลับด้วยความเหนื่อยล้า ในหัวคิดมีเรื่องมากมายหลายอย่างที่ผ่านเข้ามาในวันเดียว ฉันอยู่ที่นี่ด้วยความสุขมากมาย(ในตอนนี้)แต่ปัจจัยที่ฉันกลับปฏิเสธไม่ได้เลยนั่นก็คือ...เงิน... เงินเดือนที่เทียบไม่ได้กับระดับวิศวกรอย่างฉัน ความก้าวหน้าที่แสนจะริบหรี่ในสายงานนี้ ฉันนั่งชั่งน้ำหนักกับสองสิ่งนี้เป็นเวลานาน และคงจะให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์...........พิสูจน์ว่าจริงๆแล้วฉันให้น้ำหนักกับอะไรมากกว่ากัน ระหว่างตวามก้าวหน้าในวิชาชีพที่ฉันอดทนเรียนมา หรือความจริงในการดำรงชีวิตที่แสนจะธรรมดา มีความสุขไปวันๆ หากโลกจะแตกในปี 2012 ฉันจะตัดสินใจโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อยว่าฉันควรจะมีความสุขกับสิ่งที่เป็นอยู่ แต่ก็เกิดคำถามขึ้นในใจฉันหนึ่งข้อนั่นก็คือ แล้วถ้าปี 2012 โลกไม่แตกล่ะ.....................ชีวิตของฉันจะเดินไปทางไหน????????
Free TextEditor |
Link |