Group Blog
 
All Blogs
 
ยุทธนาวี หวงเทียนทง (อึ่งเทียงทึง) โดยขุนพล หันซื่อจง (ห่างซี่ตง)

ยุทธนาวี หวงเทียนทง (อึ่งเทียงทึง) โดยขุนพล หันซื่อจง (ห่างซี่ตง)

กองทัพราชวงศ์ จิน รุกรานลงสู่ทางใต้ เดินทางรวดเดียวมาถึงชายทะเลเมือง หมินโจว (เม่งจิว) เป็นหนที่ที่ปลอดโปร่งจากการต่อต้างของกองทัพชาวบ้าน แต่แม่ทัพ วูซู่ (หุกสุก) ยามยกทัพมาถึงริมฝั่งเม่น้ำ ฉานเจียน (เชี่ยงกัง) ก็ได้พบปะกับกองทัพของราชวงศ์ ซ่ง (ซ้อง) จำนวนหนึ่ง จึ่งมิกล้าบุ่มบ่ามข้ามแม่น้ำไป ได้แต่ปล้นสดมภ์กวาดต้อนผู้คน แล้วยกกองทัพถอยกับไปทางเหมือ
เดือนที่ 3 พ.ศ. 1673 แม่ทัพ วูซู่ ก็คุมกองกำลังทัพราชวงศ์ จิน อีก 100,000 คน มุ่งสู่แถบดินแดนเมือง จ้านเจียน (เตี้ยงกัง) ก็พบปะกับแม่ทัพของราชวงศ์ ซ่ง ขุนพล หันซื่อจง กิตติศักความสามารถการต่อต้านกองทัพของราชวงศ์ จิน ถูกเลื่องลือ เป็นที่หวาดหวั่นของทหารราชวงศ์ จิน
เมื่อแม่ทัพ วู่ซู่ ยกทัพมาถึงริมฝั่งแม่น้ำ ก็อ่านกลยุทธออกว่า ขุนพล หันนซื่อจง ไม่ยอมปลอ่ยให้กองทัพของตนข้ามแม่น้ำไปโดยง่าย ๆ จึ่งได้ส่งทูตไปที่ค่ายกองทัพราชวงศ์ ซ่ง ขอเจรจานัดวันทำสงครามขั้นแตกหัก ขุนพล หันซื่อจง ตอบรับนัดวันทำสงครามกับแม่ทัพ วู่ซู่ ขณะนั้น กองทัพราชวงศ์ จิน มีกำลังพลประมาณ 100,000 คน ส่วนกองทัพราชวงศ์ ซ่ง ในความควบคุมของขุนพล หันซื่อจง มีเพียงประมาณ 8,000 นาย กำลังทัพของทั้งสองฝ่ายผิดกันอย่างลิบลับ ขุนพล หันซื่อจง เองก็มองออกถึงสถานะการณ์ว่า การชนะในการศึกครั้งนี้ ต้องอาศัยกำลังใจขวัญกล้าของทหารเป็นสำคัญ เขาได้ปรึกษาการศึกกับภรรยา นายทัพหญิง เหนียนหงอยิ๊ (เนี่ยอั่งเง็ก) นายทัพหญิง เหนียนหงอยิ๊ นางเป็นคนมีสติปัญญา รอบรู้ในการศึกและตำราพิชัยสงคราม นางได้ให้ความร่วมมือปรึกษาการศึกกับสามีอย่างดี
ขุนพล หันซื่อจง ได้ปรึกษาการศึกกับนายทัพอีกหลายนายว่า ชัยสมรภูมิการศึกครั้งนี้ ทำเลที่สำคัญที่สุดก็คือ ณ ภูเขา จินซาน (กิมซัว) ปัจจุบันอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมือง เจิ้นเจียน ที่ตรงศาลเจ้า หลงหวางเมี่ยว (เล่งอ่วงเบี่ย) เขาคาดว่า ทหาราชวงศ์ จิน ก็ต้องส่งกองลาดตระเวณไปสำรวจ ณ บริเวณแห่งนี้ เขาจึ่งได้ส่งนายทัพคนหนึ่ง นำกองกำลังพล 200 คน ไปแอบซุ่ม ณ ศาลเจ้า หลงหวางเมี่ยว
เหตุการณ์หนีมิพ้นจากการคาดคะแนของขุนพล หันซื่อจง ครั้นวันรุงขึ้น ก็มีนายทัพของราชวงศ์ จิน ขี่ม้าขึ้นไปสำรวจบนภูเขา จินซาน เมื่อถึงศาลเจ้า หลงหวางเมี่ยว เห็นว่าเงียบสงบปราศจากทหารราชวงศ์ ซ่ง จึ่งชะล่าใจเข้าใกล้ศาลเจ้า หลงหวางเมี่ยว ทันใดนั้น ทหราราขวงศ์ ซ่ง ซึ่งแอบซุ่มโจมตีอยู่ก็ถลันกันบุกโจมตีออกมา นายทัพราชวงศ์ จิน 5 นายรู้ว่าถูกแอบซุ่มโจมตี ก็รีบหันหัวม้าถอยหนีอย่างรวดเร็ว ทหารราชวงศ์ ซ่ง ก็ติดตามไล่ล่าไปอย่างรวดเร็ว จับได้นายทัพราชวงศ์ จิน เป็นเชลยได้ 2 นาย ส่วนนายทัพอีก 3 นายนั้นหมอบควบอยู่ลนหลังม้าหลบหนีไป หนึ่งในนั้น สวมชุดเสื้อศึกสีแดง คาดเข็มขัดหยก ทหารราชวงศ์ ซ่ง สอบถามเชลยศึกที่จับได้ จึ่งรู้ว่า นายทัพสวมชุดศึกสีแดงที่หนีไปได้นั้น ที่แท้ก็คือ ตัวแม่ทัพ วู่ซู่ เอง
วันเวลาการนัดหมายรบขั้นเด็ดขาดได้มาถึงแล้ว กองทัพทั้งสองฝ่ายต่างตั้งหลักห่ำหั่นกันของแต่ละชายฝั่ง ขุนพล หันซื่อจง นำกองกำลังอยู่ทัพหน้า ฮูหยิน เหนียนหงอยิ๊ ภรรยาของเขา แต่ตัวชุดรบเต็มอัตรศึก ปักหลักยึดมั่นอยู่บนเรือลำหนึ่ง ซึ่งทอดสมออยู่กลางลำน้ำ นางยืนอยู่บนกลองศึกเตรียมลั่นกลองรบด้วยความเร้าใจ เหล่านักรบทั้งหลายมองเห็นคุณนาย ฮูหยิน ของขุนพลมาบัญชาการลั่นกลองศึกด้วยตนเอง ต่างคึกครื้นเหี้ยนกระหายในการศึก ทหารราชวงศ์ จิน ถึงแม้นว่ากองกำลังไพร่พลมีกำลังมากกว่า แต่เนื่อด้วยผ่านการเดินทางอันยาวนาน เวลาพักผ่อนยังมิมีพอ ยังคงเหน็ดเหนื่อยเมื่อล้ามิหาย ดั่งนั้น เมื่อเริ่มแรกปะทะกับกองทัพของ หันซื่อจง กองทัพของราชวงศ์ จิน ถูกฆ่าตายมากมายนับไม่ถ้วน แม้กระทั่ง พระราชบุตรเขยของแม่ทัพ วู่ซู่ เอง นายทัพ หลงหู่ต้าหวาง (เล่งโฮ่วไต่อ้วง) ก็ถูกจับเป็นเป็นเชลย
แม่ทัพ วู่ซู่ จึ่งได้ส่งทูตไปเจรจากับทหารราชวงศ์ ซ่ง ณ ค่ายทหาร ยินยอมคืนข้าวของเงินทองที่ปล้นสดมภ์มาได้ทั้งหมด คืนแก่ทหารราชวงศ์ ซ่ง ขอเพียงแต่ทหารราชวงศ์ ซ่ง ยินยอมปล่อยให้ทหารของตนข้ามลำน้ำไป แต่ไฉน หันซื่อจง จักยินยอม แม่ทัพ วู่ซุ่ ยังเสนดเงื่อนไขให้ม้าพันดีที่นำติดตามมาด้วยยกให้แก่ หันซื่อจง แต่ หันซื่อจง ก็ยังคงปฏิเสธ
แม่ทัพ วู่ซู่ มิมีทางเลือก จึ่งคงนำทหารขึ้นเรือรบมุ่งถอยไปถึงตำบล หวงเทียนทง ปัจจุบันอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของนคร นานจิน ในมณฑล เจียนซู แต่คิดมิถึงว่าทางน้ำ หวงเทียนทง เป็นทางน้ำที่ตันสายหนึ่ง กองทัพเรือเมื่อแล่นไปถึงสุดทาง ก็หาทางออกมิเจอ ขณะที่ถอยเข้าถอยออกมิเป็นขบวน ก็มีคนมาแนะนำว่า
"เดิมที หนทางนี้มีทางแล่นทะลุไปถึงนคร เจี้ยนคัน (เกี่ยงคัง..นานจิน) ได้ แต่ปัจจุบันได้ตันเตื้นเขินไป หากใช้กองกำลังทหารขุดกรุยทาง ก็สามารถแล่นออกจากการไล่ล่าของกองทัพราชวงศ์ ซ่ง ได้สำเร็จ
แม่ทัพ วู่ซู่ จึ่งสั่งกองทัพอันยิ่งใหญ่ของตน ขุดทางบนบกเป็นลำน้ำสายหนึ่งยาวประมาณ 50 ลี้ ก็สามารถแล่นเรือหนีไปถึง นคร เจี้ยนคัน แต่ก็มิวายประสบกับกองทัพของ เย่ว์เฟย (งักฮุย) ตีกลับ จึ่งได้แต่ยอกองกำลังถอยกับไป ณ ตำบล หวงเทียนทง ที่เดิม
ทหารราชวงศ์ จิน ถูกทหารราชวงศ์ ซ่ง ปิดล้อมนานอยู่ถึง 48 วัน เหล่าทหารทั้งหลายได้รับความทุกข์ยากลำบาก ขณะนั้น ก็มีทหารราชวงศ์ จิน มาสมทบ แม่ทัพ วู่ซู่ คิดใช้เรือเล็กขนถ่ายทหารออกจาก หวงเทียนทง แต่ขุนพล หันซื่อจง รู้ทันและตระเตรียมการไว้ เขาได้สั่งให้ทหารของเขาซึ่งอยู่บนเรือรบลำใหญ่ ใช้ตะขอและโซ่เหล็กใช้เกาะเกี่ยวเรือเล็กของทหารราชวงศ์ จิน ยามแล่นออกจากแม่น้ำ ตะขอและโซ่เหล็กเกาะเกี่ยวเอาเรือเล็กของทหารราชวงศ์ จิน ล่มจมจำนวนมาก ทหารราชวงศ์ จิน ต่างพากันจมน้ำตายกลางลำแม่น้ำ
แม่ทัพ วู่ซู่ มีความลำบากใจมาก จึ่งส่งทูตขอนัดเจรจากับขุนพล หันซื่อจง บนริมฝั่ง ขอร้องให้ขุนพล หันซื่อจง ปล่อยทหารของเขาล่วงพ้นลำน้ำโดยสะดวก หันซื่อจง กล่าวว่า
"หากท่านต้องการออกพ้นล้ำน้ำนี้ ท่านต้องส่งคืนดินแดนที่ยึดจากเรามา ข้าจึ่งยินยอมปล่อยทหารของท่านออกพ้นจากลำน้ำนี้"
แม่ทัพ วู่ซู่ กลับไปถึงค่ายทหาร ได้ปรึกษากับนายทัพราชวงศ์ จิน ทั้งหลาย ด้วยสีหน้าคิ้วขมวดบนสีหน้า กล่าวว่า
"กองทัพ ซ่ง ยามแล่นเรือ มีความสามารถยิ่งกว่าพวกเราขี่บนหลังม้า ไปมาแล่นเหิรดั่งลมพายุพัด พวกเราจักทำอย่างไรถึงจักหนีรอดพ้นจากลำน้ำนี้"
บรรดานายทัพทั้งหลายกล่าวว่า
"สถานะการณ์วิกฤตยิ่ง ควรจักหาผู้รู้ออกความคิดแก้ไข"
แม่ทัพ วู่ซู่ จึ่งประกาศหาคนช่วยคิดแก้ไข ดั่งนั้นจึ่งมีชาว ฮั่น ทรยศต่อชาติคนหนึ่งแนะนำว่า
"เรือรบของทหารราชวงศ์ ซ่ง นั้น อาศัยใบเรือผืนใหญ่ จึ่งสามารถออกเรือออกรบได้ เราควรหาวันเวลาที่ลมฟ้าสงบมิมีลมอกทำการ เรือรบใหญ่ก็จักมิสามารถต่อต้านเรา เรือรบใหญ่มิสามารถแล่นออกรบได้"
เขายังแนะนำแม่ทัพ วู่ซู่ ให้ใช้ไฟเผาเรือรบชองกองทัพราชวงศ์ ซ่ง
ต่อมาอีกหลายวัน เป็นวันที่ท้องฟ้าเงียบสงบปราศจากคลื่นลม ทหารราชวงศ์ จิน ได้แอบลักลอบขึ่นเรือเล็กลักลอบอกจากลำน้ำ ขุนพล หันซื่อจง รีบให้ทหารแล่นเรือใหญ่ออกไล่ตาม แต่ปราศจากคลื่นลม เรือใหญ่มิสามารถแล่นออกสู้รบได้ ติดตามเรือเล็กของข้าศึกมิทัน ในยามวิกฤติการณ์เช่นนี้ ทหารราชวงศ์ จิน ได้ยิงเกาทัณฑ์เพลิงมายังเรือลำใหญ่ของ หันซื่อจง ต้องใบเรือของราชวงศ์ ซ่ง และยังลุกลามไปตามตัวเรือ ทหารราชวงศ์ ซ่ง ทั้งหลายต่างกระโดดน้ำหนีเอาตัวรอด ตัว หันซื่อจง เอง ต้องหนีลงเรือเล็กหลบหนีเข้าค่าย ณ เมือง เจิ้นเจียน
แม่ทัพ วู่ซู่ หลบหนีจากกองทัพของ หันซื่อจง นำกองทัพกลับมา ณ นคร เจี้ยนคัน หลังจากเที่ยวปล้นสดมภ์กวาดต้อนผู้คน กำลังจักยกทัพกลับยไปทางเหนือ เมื่อถึงเมือง เจินอันเจิ่น (แจอังเตี่ยง) ก็ได้พบปะกับกองทัพของเทพเจ้าขุนพล เย่ว์เฟย (งักฮุย) ได้รบฆ่าฟันกันเป็นสามารถ เทพเจ้าขุนพล เย่ว์เฟย สามารถขับไล่กองทัพของราชวงศ์ จิน ยึดนคร เจี้ยนคัน กลีบคืนมาได้



กองทัพเทพ เย่ว์เฟย (งักฮุย) ปราบกองทัพแม่ทัพ วู่ซู่ แตกพ่าย

เทพขุนพล เย่ว์เฟย ผู้ยึดคืนเมือง เจี้ยนคัน (เกี่ยงคัง) คือจอมทัพผู้ยิ่งใหญ่ต่อการต้านต้านกองทัพราชวงศ์ จิน ของราชวงศ์ หนานซ่ง (น่ำซ้อง) และเป็นวีรบุรษผู้โดงดังในประวัติศาสตร์ จีน
เย่ว์เฟย เกิดในตระกูลชาวนาที่ยากจนทุกข์เข็ญลำบาก แต่เขาก็ขยันขันเข็งต่อการศึกษาเล่าเรียน อีกทั้งชอบวิทยายุทธและศึกษาตำรับตำราพิชัยสงคราม เขามีพละกำลังที่เข้มเข็งยิ่ง เมื่อตอนอายุได้ 18 ปี เขาสามรถยกคันเกาทัณฑ์หนัก 300 ชั่งได้อย่างสบาย ต่อมาเขาได้กิตติศัพท์ว่า โจวถง (จิวถ่ง) ชาวบ้านเดียวกัน มีวิทยายุทที่เข้มเข็งยิ่ง เขาจึงได้ไปขอคารวะนับถือ โจวถง เป็นอาจารย์ ได้ฝึกวิชาการยิงเกาทัณฑ์อันสุงสุด น้าวคันเกาทัณฑ์ขึ้นครั้งใดหันไปทางทิศทางใด มักมิพลาดเป้า
ต่อมา ในวัยหนุ่ม เขาได้สมัครไปเป็นทหารของราชวงศ์ หนานซ่ง เมื่อทหารของราชวงศ์ จิน เริ่มรุกรานลงมาทางใต้ เขามีตำแหน่งเพียงหัวหมู่พลทหารน้อย ครั้งหนึ่ง เขาได้นำกองกำลังทหารม้า 100 นาย ไปฝึกฝนการซ้อมรบ ณ ริมฝั่งแม่น้ำ หวงเหอ ทันใดนั้น ก็ได้พบปะกับกองทัพของราชวงศ์ จิน ทหารทั้งหลายต่างพากันขวัญหนีดีฝ่อ แต่ เย่ว์เฟย กลับมิสะทกสะท้าน เขาได้พูดปลอบใจให้กำลังใจแก่ทหารว่า
"ศัตรู แม้นว่าจักมีจำนวนมาก แต่พวกเขายังมิรู้ว่ากำลังของเรามีจำนวนมากน้อนแค่ไหน พวกเรามิสู้ดูศัตรูกำลังเผลอ บุกเข้าโจมตีพวกมันสักตั้ง"
กล่าวแล้ว เย่ว์เฟย ก็นำหน้ากองกำลังทหารอันน้อยนิด ฟันฝ่าเข้าไปในของทัพของศัตรู ฆ่าฟันตัดศีรษะของนายทหารของราชวงศ์ จิน ได้คนหนึ่ง เหล่าทหารหาญ ได้เห็นความกล้าหาญองอาจของ เย่ว์เฟย เช่นนี้ ต่างมีกำลังใจ ไล่ล่าตาม เย่ว์เฟย เข้าไปในกองทัพของข้าศึก ฆ่าฟันไล่ล่าทหารของราชวงศ์ จิน แตกกระเจิงถอยหนีไป
จากนั้นเป็นต้นมา ชื่อเสียงความกล้าหาญของ เย่ว์เฟย ก็โด่งดังไปทั่วกองทัพของราชวงศ์ หนานซ่ง อีกไม่กี่ปีต่อมา จงเจ๋อ (จงเส็ก) นายทัพของเขา เห็นแววความสามารถของเขา มีความนับถือ ได้กล่าวกับเขาว่า
"ท่านมีทั้งความสามรถสติปัญญาและกล้าหาญ ขุนทัพในอดีตโบราณหลายท่าน ก็มีลักษณะเหมือนท่าน แต่การรบการศึกใช่จะมีชัยชำนะเสมอไปไม่ ข้ามีตำรับชัยภูมิพิชัยสงครามฉบับหนึ่ง ขอมอบไว้กับท่านพิจารณาศึกษา"
เย่ว์เฟย รับมอบตำรับชัยภูมิพิชัยสงครามมา กล่าวของคุณ และกล่าวต่อว่า
"ตามตำราพิชัยสงคราม การได้รับชัยชำนะในการศึก ย่อมขึ้นอยู่กับผู้นำทัพ สามารถใช้พิชัยยุทธร่วมสัมพันธ์กับวิชาชัยภูมิ รุ้จักเปลี่ยนแปลงและตัดสินใจในการศึกได้อย่างลึกซึ้งและพิศดารเป็นสำคัญ"
นายทัพ จงเจ๋อ ฟังแล้วได้แต่พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ เขาตัดสินใจมิผิดที่เห็นแววความสามารถของชายหนุ่มผู้นำคนนี้
เย่ว์เฟย ก็มีปณิธานเช่นเดียวกับนายทัพ จงเจ๋อ มุ่แก้ไขความทุกข์ยากของประเทศชาติด้วยการต่อต้านทหารราชวงศ์ จิน ที่พยายามรุกรานลงมาทางใต้ เมื่อภายหลังที่พระเจ้า ซ่งเกาจง ขึ้นครองราชย์ เขาได้เขียนฎีกาถวายพระเจ้า ซ่งเกาจง ฉบับหนึ่ง แนะนำให้พระเจ้า ซ่งเกาจง ขึ้นนำทัพ บุกไปโจมตีราชวงศ์ จิน ทางเหนือ และเป็นกำลังใจให้แก่เหล่าทหารหาญในการยึดคืนกลับดินแดนของราชวงศ์ ซ่ง เขายังกล่าวตำหไน หวงเสียนซ่าน (อึ่งเซี่ยงเซี้ยง), อวงเป๋อยาน (อวงเปะหงัง), ขุนนางขายชาติพรรคยอมยกธงขาว
เมื่อพระฏีกาถูกถวายขึ้นไป พระเจ้า ซ่งเกาจง นอกจากมิทรงพระฟังแล้ว ยังทรงหาว่า เย่ว์เฟย ขุนนางตำแหน่งต่ำต้อย ทำไมต้องมายุ่งเกี่ยวกับพระราชสำนัก ทรงถอดยศตำแหน่งของ เย่ว์เฟย
เมื่อแม่ทัพ จงเจ๋อ ถึงแก่อสันกรรม เย่ว์เฟย ได้เป็นที่ปรึกษาการศึก ณ เมือง จงจิน (ตังเกีย) เมื่อกองทัพราชวงศ์ จิน บุกเข้ามา ชาวเมือง จงจิน ต่างหลบหนีเข้าเมือง เจี้ยนคัน แม่ทัพ จิน วู่ซู่ บุกมือง เจี้ยนคันอีก ชาวเมือง เจี้ยนคัน ทั้งหลาย ต่างยกธงขาวยอมแพ้ บรรดาผู้นำทั้งหลายต่างหลบหนีกันสิ้น มีเพียง เย่ว์เฟย ได้รวบรวมกองกำลังต่อต้านกองทัพราชวงศ์ จิน ณ ตำบลข้าง ๆ เมือง เจี้ยนคัน และเมื่อแม่ทัพ วู่ซู่ แห่งกองทัพราชวงศ์ จิน ถอนทหารถอยกลับไปทางเหนือ เย่ว์เฟย ได้ร่วมมือกับขุนพล หันซื่อจง ร่วมกันโจมตีกองทัพของแม่ทัพ วู่ซู่
ภายหลังเมื่อกองทัพของราชวงศ์ จีน ยกถอยกลับ พระเจ้า ซ่งเกาจง ทรงย้านถานที่ตั้งจากเมือง อุนโจว (อุงจิว) ไปที่เมือง หนินอัน (นิ่มอัง) ราชวงศ์ จิน ซึ่งยึดได้แผ่นดิน ตงหยวน ได่ตั้ง เจว็ดฮ่องเต้ องค์หนึ่งขึ้น นามว่าพระเจ้า หลิวอื่อ (เล่ายื่อ) นามราชวงศ์ว่า ต้าเจ้ (ไต่เจ) ปกครองแผ่นดิน จงหยวน เพื่อเป็นกันชนระหว่างแผ่น่ดิน จิน และแผ่นดิน ซ่ง เย่วเฟย ได้นำกำลังทัพหลายครั้ง ต่อต้านขับไล่กองทัพร่วมของราชวงศ์ จิน และราชวงศ์ เจ้ เมื่อเขาอายุได้ 32 ปี จากนายทัพผู้นำสามัญคนหนึ่ง เขาได้ดำรงค์ตำแหน่งเป็นแม่ทัพ ตำแหน่งเทียบเท่าเจ้าเมือง มีหน้าที่ร่วมมือควบคุมสถานะการณ์ตามชายแดนร่วมกับแม่ทัพขุนพล หันซื่อจง, หลิวกวนซื่อ (เล่ากวงสี่), จางจุนปิ้น (เตียจุ่งเป้ง) ควบคุมดินแดน เจ้
และในขณะนั้น เขาได้แต่งโคลงขึ้นบทหนึ่ง เป็นการปลุกเร้าความรักชาติของคน จีน ชื่อว่าบทเพลง "หม่านเจียนหง (มั่วกังอั๊ง)" เป็นการแสดงปณิธาน การต่อต้านราชวงศ์ จิน ของเขาสูงส่งยิ่ง
ปณิธานความรักชาติ ต้องการยึดนซึ่งแผ่นดิน จงหยวน ของเทพขุนพล เย่ว์เฟย สูงส่งและทุ่มแทมหาศาล พระเจ้า ซ่งเกาจง ทรงถึงกับจักทรงพระราชทานที่ดินสร้างจวนขุนพลให้แก่เทพขุนพล เย่ว์เฟย แต่เทพขุนพล เย่ว์เฟย ปฏิเสธว่า
"ข้าศึกยังอยู่ในบ้านเมือง สลายมิหมดสิ้น ไฉนจักสร้างบ้านเรือนสร้างจวนเป็นการสิ้นเปลือง พ่ะย่ะค่ะ"
มีคนเคยถาม เย่ว์เฟย ว่า ใต้หล้าเมื่อไหร่จักสุขสงบ เทพขุนพล เย่ว์เฟย ตอบว่า
"ตราบใดที่ขุนนางมิคอร์รับชั่น นายทหารมิกลัวตาย ใต้หล้าจึ่งมีความหวังทางสงบสุข"
ตามปกติ เทพขุนพล มักจัดให้มีการซ้อมรบกองทหารอยู่เนือง ๆ แม้แต่การศึกสงบ เขามักจักนำกองทหารสวมเกราะเสื้อศึก ออกป่าขึ้นภูเขาหาประสพการณ์ ครั้งหนึ่ง บุตรของเขา เย่ว์อยิ๊ (งักฮุ้ง) ขี่ม้าพลาดเท้า ตกจากหลังม้า เมื่อ เย่ว์เฟย ทราบข่าว ก็ได้รีบมาตำหนิ เย่ว์อยิ๊ ผู้บุตร ทหารจำนวนมากมาอธิบายว่า เย่ว์อยิ๊ พลาดพลั้งทางอุบัติเหตุ ซึ่งมิได้อยู่ในกฎอัยการศึก
กองทัพของเทพขุนพล เย่ว์เฟย กฎอัยการศึกทรงศักสิทธิ์ยิ่ง ครั้งหนึ่ง มีทหารคนหนึ่ง ชาวบ้านมีความสงสาร ได้นำหญ้ามาคลุมที่นอนให้ทหารนอน เมื่อ เย่ว์เฟย ทราบข่าว ก็รีบมาทำโทษทหารนายนั้น กองทัพของ เทพขุนพล เย่ว์เฟย เมื่อเดินทางผ่านไปยังหมู่บ้านของประชาชนใด มีกฎว่า ห้ามทหารคนใดเข้าค้างแรมภายในบ้านของประชาชน กองทัพของเทพเจ้า เย่ว์เฟย มีคำพังเพยคำหนึ่งว่า "หนาวตาย มิขอรบกวนบ้านชาวบ้าน อดตาย มิขอปล้นสดมภ์ชาวบ้าน"
เทพขุนพล เย่ว์เฟย แม้นถือกฎอัยการศึกเคร่งคัด แต่เขาก็มีความห่วงใยกังวลต่อทหารทุกคน ทหารคนใดเจ็บไข้ได้ป่วย เขามักมาเยี่ยมเยือนไต่ถาอาการ และแม้กระทั่งป้อนข้าวป้อนยา ยามทหารนายทหารเมื่อออกรบ เขามักจุให้ภรรยาและบุตรหลาน ออกเที่ยวถามความทุกข์สุขของครอบครัวทหาร หากทหารผู้ใดตายในที่รบ ครอบครัวของ เย่ว์เฟย ก็มักให้ความอุปการะแก่บุตรหลานของทหารที่เสียชีวิต ไม่ก็แจกจ่ายข้าวของให้แก่ครอบครัวของทหารจนข้าวของของครอบครัว เย่ว์เฟย เองหมดสิ้น
และด้วยการปฏิบัติต่อทหารของ เยว์เฟย และครอบครัวของ เย่ว์เฟย เช่นนี้ เป็นการผูดมัดน้ำใจไมตรีต่อเหล่าทหารหาญ มีผู้คนชาวบ้านเข้ามาร่วมสมัครเป็นทหารของเทพขุนพล เย่ว์เฟย ดั่งเป็นของของครอบครัวเดียวกัน จึ่งทำให้กองทัพเทพของ เย่ว์เฟย นับวันยิ่งเจริญใหญ่โตยิ่งใหญ่ ตามปกติก่อนที่จักทำการออกรบ เทพขุนพล เย่ว์เฟย มักปรึกษากลการศึกกับเหล่านายทัพเสมอ ๆ มีการนำพิชัยยุทธผสมกับพิชัยภูมิตามที่ เย่ว์เฟย ได้ศึกษาเล่าเรียนมาใช้กับกลการศึกทุกครั้งร่วมกับเหล่านายทัพ การศึกของเทพขุนพล เย่ว์เฟย จึ่งมักได้รับแต่ชัยชำนะทุกครั้ง ยังมิเคยได้รับการพ่ายแพ้ในการสงครามสักครั้งเดียว นายทัพของราชวงศ์ จิน เมื่อได้ยินข่าว่าต้องออกสงครามทำศึกกับกองทัพของเทพขุนพล เย่ว์เฟย ต่างก็อดที่จักหวั่นไหวมิได้ พวกเขาทั้งหลายต่างมีคำพังเพยว่า "ขย่มภูเขายาก แต่ขย่มกองทัพของเทพขุนพล เย่ว์เฟย ยากยิ่งกว่า"
นับได้ว่าเป็นความโชคดีของราชวงศ์ หนานซ่ง ซึ่งมีขุนพลที่รักชาติและมีสติปัญญาความสามารถและรักชาติดี่งเช่นเทพขุนพล เย่ว์เฟย และขุนพล หันซื่อจง และยังมีประชาชนพลเมืองผู้รักชาติ ต่างตั้งตัวเป็นอาสาสมัครรักษาดินแดนของราชวงศ์ หนานซ่ง ร่วมจับกลุ่มรวมตัวกันต่อต้านกองทัพของราชวงศ์ จิน แต่ อนิจจา... พระเจ้า ซ่งเกาจง กลับมิทรงยินยอมในความมุ่งมั่นปณิธานของเทพขุนพล เย่ว์เฟย ทรงเจรจาลับ ๆ กับราชวงศ์ จิน ดั่งนั้นเมื่อ พ.ศ. 1682 พระองค์ทรงทำสัญญาสงบศึกกับราชวงศ์ จิน ทรงลดระดับฐานะของราชวงศ์ หนานซ่ง เทียบเท่าฐานะขุนนางของราชวงศ์ จิน แต่ละปีต้องถวายเครื่องราชบรรณาการเป็นเงิน 250,000 ตำลึง ผ้าแพรไหมอีก 250,000 พับ ให้แก่ราชวงศ์ จิน และราชวงศ์ จีน ก็ยังยึดครองแถบดินแดน ซ่านซี (เฮียบไซ), และ เหอหนาน มิยอมคืนแก่ราชวงศ์ หนานซ่ง
เดือนที่ 10 พ.ศ. 1673 ราชวงศ์ จิน ด้ตระบัดสัตย์ละเมิดสัญญาสันติภาพ ยกกองทัพแยกกันเป็น 4 ทาง นำโดยแม่ทัพ หยวนเหยียนวู่ซู่ ตามเคย รุกรานราชวงศ์ หนานซ่ง อีก ไม่ถึงเดือน ก็ยึดเอาดินแดนที่เคยคืนให้ราชวงศ์ หนานซ่ง ตามสัญญาสันติภาพ พระเจ้า ซ่งเกาจง ทรงเห็นว่าเหตุการณ์คับขันใก้เข้ามา จึ่งมีพระราชโองการให้ขุนศึกและทหารภายในราชอาณาจักร หนานซ่ง ช่วยกันต่อต้านกองทัพราชวงศ์ จิน
เทพขุนพล เย่ว์เฟย ก็ได้รับพระราชโองการนี้ จึ่งรีบเรียกนายทัพคนสนิท หวางกุ้ย (เฮ่งกุ่ย), หนิวเกา (งู่เกา), และ หยานไจ่ซิ่น (เอี่ยไจ้เฮง) แบ่งแยกกองทัพกันออกต่อต้าน อีกทางหนึ่งก็ได้ขอความร่วมมือกับ เหนียนซิ่น (เนี่ยเฮง) ผู้นำกองทัพประชาชน ให้เขาช่วยนำกองกำลังไปสมทบกันที่ดินแดน เหอจง และ เหอเป่ย เพื่อโอบล้มตลบหลังของกองทัพศัตรู ส่วนตัวเทพขุนพล เย่ว์เฟย เอง ได้บัญชาการรบ ณ เมือง ยานเฉิน (เอี่ยมเซี้ย)
ไม่กี่วันต่อมา ขุนศึก, ทหารและประชาชนผู้รักชาติทั้งหลาย ต่างแยกย้ายกันต่อต้ากองทัพราชวงศ์ จิน มินานก็ยึดได้เมือง อิ้นชาน (เอ้งเชียง) ปัจจุบันอยู่ทางทิศตะวันออกของเมือง สวี่ชาน (โข่วเชียง) ในมณฑล เหอหนาน, เมือง เฉินโจว (ตั่งจิว) ปัจจุบันคือเมือง เว่ยหยาน (ห่วยเอี้ยง) ในมณฑล เหอหนา, และเมือง เจิ้นโจว (แต่จิว), คืนได้จากศัตรู วู่ซู่ แม่ทัพราชวงศ์ จิน ซึ่งบัญชาการรบอยู่ ณ เมือง จงจิน (ตังเกีย) ได้ยินกิตติศัพท์ว่า เทพขุนพล เย่ว์เฟย ออกรบบัญชาการ ก็มีความหวั่นไหว รีบเรียกนายทัพนายกองมาประชุม เหล่าบรรดานายทัพนายกองต่างพากันสั่นศีรษะ ออกความเห็นว่า แม่ทัพนายกองของราชวงศ์ หนานซ่ง ทั้งหลายคงพอต้านรับได้ แต่ขุนทัพตระกูล เย่ว์ นั้นยากที่จักรับมือยิ่ง แต่ในเมื่อ เย่ว์เฟย ออกรบแล้ว พวกเรามิสู้รวมทัพกันหมายขยี้กองทัพตระกูล เย่ว์ เสียก่อนมิดีกว่าหรือ ดั่งนั้น แม่ทัพ วู่ซู่ พร้อมด้วยบุตรเขยเจ้า หลงหู่ต้าหวาง, และเจ้า ไก้เทียนต้าหวาง ต่างนำทัพบุไป ณ เมือง ยานเฉิน
แม่ทัพ วู่ซู่ ได้ยกกองทัพมาถึงเมือง ยานเฉิน กองทัพ ซ่ง กองทัพ จิน ต่างฝ่ายต่างเข้าห้ำหั่นกัน เทพขุนพล เย่ว์เฟย ได้ให้บุตรชายของเขา เย่ว์อยิ๊ เป็นแม่ทัพหน้า นำกองกำลังทหาราม้าเคลื่อนที่เร็ว เข้ราบุกโจมตีข้าศึก แต่ก่อนที่ เย่ว์อยิ๊ นำกองกำลังบุกโจมตีข้าศึก เขาได้กล่าวคาดโทษไว้ว่า
"การศึกครั้งนี้ ได้ชี้ชะตาความเป็นตายของการศึก ขอให้เจ้านำชัยชำนะมาให้ได้ หากเจ้าพ่ายแพ้กลับมา ขอให้เจ้าจงระวังศีรษะของเจ้าให้ดี"
เย่ว์อยิ๊ ตอบรับด้วยน้ำคำหนักแน่น แล้วจึ่งยกกองทัพม้าตลุยออกไป กองทัพของ เย่ว์อยิ๊ ได้ฆ่าฟันทการข้าศึกจำนวนมาก
แม่ทัพ วู่ซู่ ได้พ่ายแพ้ครั้งแรก จึ่งได้ใช้กองกำลังทหารเกราะอันเลื่องลือของเขา กองกำลังทหารเกราะนั้น เป็นกองกำลังที่ แม่ทัพ ซู่ซู่ ได้ฝักฝนด้วยตนเอง แม่ทัพ วูซู่ ได้ใช้กองกำลังนี้เที่ยวรบออกศึกที่ไหนชนะที่นั่น กองกำลังที่ แม่ทัพ วู่ซู่ ฝึกมานี้ เขาให้ทหารขี่ม้าส่วมเสื้อเกราะครบชุด เรียงแถวเป็นหน้ากระดานแถวละ 3 นาย แต่งตัวมีเสื้อเกราะครบชุด แม้กระทั่ตัวม้าเอง ก็สวมชุดเกราะ ใช้เกราะเหล็กปกป้องขาม้ามิให้ศัตรูทำร้าย และยังมีกองทัพปกป้องด้านข้าง ของกองทัพม้าปีศาจ อีกข้างละ 2 แถว ทหารม้าเสื้อเกราะของแม่ทัพ วู่ซู่ นับว่าทำการรบได้ผลอย่างยิ้ง แต่เทพขุนพลแม่ทัพ เย่ว์เหย มองการณ์นี้ออก เขาได้สั่งให้จัดตั้งกองกำลังพิชิตม้าศึกของศ้ตรู สั่งว่า เมื่อกองกำลังทหารม้าของศัตรูบุกเข้ามา ได้ใชดาบและขวานฟันไปที่ม้าศึกของศัตรู ม้าศึกของศัตรู จั่งกลายเป็นม้าขาเป๋พิการ
เทพขุนพล เย่ว่เฟย จัดทำให้ม้าอันเข้มเข็งของข้าศึกขาเป๋ จึ่งได้บัญชาให้เทพกองทัพบุกลุยประจานบัน ทำลายม้ากลศึกของข้าศึกจำนวนมาก แม่ทัพ วู่ซู่ จึ่งคำนวนว่า ตั้งแต่ทำศึกออกรบมา ได้อาศัยม้าเพทยดาเหล่านี้ทำลายข้าศึก แม่ทัพ วู่ซุ่ ถึงกับน้ำตาล่วงไหล เข้าทั้งหลายเสียใจอย่างยิ่งว่า นี่คงเป็นเพราะราชวงศ์ หนานซ่ง มีบุญญาอุปถัมภ์ จึ่งสามารถต่อต้านกองทัพของข้าศักได้ยืนนานขนาอนี้ ต่ดมาอีกประมาณมิกี่วัน เขาได้นำกองกำลังทัพประมาณ 120,000 คน ต่กรกับทหารราชวงศ์ หนานซ่ง เทพขุนพล เย่ว์เฟย กันขุนพลคนสนิท หยานไจ้ซิ่น นำกองกำลังครวจการประมาณ กองทัพม้าเคลื่อนที่เร็ว 300 กว่านายกำลังออกลาดตระเวณก็ได้พบปะกับกองทัพของราชวงศ์ จิน ก็ได้บุกฆ่าฟันทหารของราชวงศ์ จิน 2,000 กว่าคน ขุนทัพ เยานไจ้ซิ่น ต้องเกาทัณฑ์สละชีพ ขุนศึกราชวงศ์ หนานซ่ง จางอี้ (เตียอี่) ได้ยกกองกำลังมาสมทบ เค่นฆ่าทหารราชวงศ์ จิน ถึงเวลานี้ แมทัพ วู่ซู่ ก็มิอาจทนอยู่ต่อไป นำกองกำลังล่าถอย
แม่ทัพ วู่ซู่ พ่ายแพ้สงครามที่ยุทธภูมิ เมือง ยานเฉิน จึ่งได้มุ่งเข็มสู่เมือง อิ้นชาน ซึ่งเทพขุนพล เย่ว์เฟย ก็คาดการณ์อยู่แล้ว จึ้งได้ใช้ให้บุตร เยว์อยิ๊ นำกองกำลังทหารม้าไปช่วยเหลือ เยว์อยิ๊ นำกองทัพม้า 800 นาย บุกตลุยเข้าไปในกองทัพของข้าศึก กองทัพ จิน มิอาจต่อต้าน ต่อมาภายหลัง กองทัพพลเดินเท้าของราชวงศ์ หนานซ่ง และกองทัพอาสาสมัครประชาชน ก็ได้เข้าสมทบ โอบล้อมกองทัพของราชวงศ์ จิน กองทัพของราชวงศ์ จิน ก็พ่ายแพ้หมดหนทางต่อสู้
ขณะเดียวกัน กองทัพอาสาสมัครประชาชน ซึ่งนำโดย เหนียนซิ่น ก็ได้นำกองกำลังจากแถบเทือกเข้า ไท่หันซาน (ไท้ฮั่งซัว), และแถบดินแดนจากสองฟากฝั่งของแม่น้ำ หวงเหอ ดฮบล้อมตลบหลังเข้ามา เขาทั้งหลายได้ใช้ชื่อกองทัพเป็นธงชัยเฉลิมพลของตระกูล เย่ว์ และได้ตัดกองกำลังเสบียบกรกังของกองทัพราชวงศ์ จิน ซึ่งสร้างความขวัญกระจายไปยังกองทัพราชวงศ์ จิน
กองทัพตระกูล เย่ว์ มีชัยชำนะทีละขั้น มุ่งโจมตีข้าศึกศัตรูเป็นทิศทางตรงไปถีงเมือง จงจิน ห่างจากเมือง จงจิน เพียง 45 ลี้ ณ เมือง จูเซียนเตี้ยน (จูเซียงเตี่ยง)
กองทัพประชาชน ณ ดินแดน เหอเป่ย ได้ข่าวว่ากองทัพตระกูล เย่ว์ ตีได้เมือง จูเซียนเตี้ยน ต่างพากันดีใจมีขวัญและกำลังใจดียิ่ง ต่างพากันข้ามลำน้ำ หวงเหอ มาร่วมกับกองทัพของตระกูล เย่ว์ ประชาชนทั้งหลายต่างนำข้าวของเหล้ายาปลาปิ้งมาให้แก่กองทัพของตระกูล เย่ว์ เพื่อฉลองชัยชำนะด้วยน้ำตาปล้มปิติ
เทพขุนพล เย่ว์เฟย เห็นลักษณะความปลื้มปิติของราษฎรเช่นนี้ เขากลับกล่าวตัดบทขึ้นว่า
"ขอให้พวกเราทั้งหลาย ร่วมใจกันฆ่าข้าศึกขับไล่ออกจากประเทศไปเสียก่อนดีกว่า รอให้พวกเราทั้งหลาย บุกไปยึดได้ดินแดน หวงหลงฝู่ (อึ่งเล่งฮู่) ข้าจักขอร่วมดื่มฉลองชัยชำนะกับท่านพี่น้องทั้งหลาย"


Create Date : 09 กรกฎาคม 2548
Last Update : 22 กรกฎาคม 2548 21:39:52 น. 2 comments
Counter : 2560 Pageviews.

 
นะโมตะสะ


โดย: นะโม IP: 203.151.140.119 วันที่: 7 ธันวาคม 2548 เวลา:7:38:31 น.  

 
อรอยจังหู้


โดย: เด็กใต้ IP: 203.172.168.67 วันที่: 25 กรกฎาคม 2549 เวลา:9:42:39 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

[wisc] LUNA
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add [wisc] LUNA's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.