เจ้าชายน้อย (ยังเวิ่นเว้อไม่เลิก)
ไม่ได้มีประเด็นอะไรเป็นชิ้นเป็นอันจะเขียน แค่อยากเวิ่นเว้อไปเรื่อย ๆ เฉย ๆ (ว่าง)

ปกติไม่ว่าจะเป็นหนังสือ ละคร หนัง หรืออะไรก็ตามที่ยัดคำพูดสั่งสอนคนอ่าน(คนดู)ใส่ปากตัวละครปาว ๆๆ จขบ.จะแอบยี้ เพราะมันดูไม่มีชั้นเชิง จะมี message อะไรต้องแอบ ๆ ใส่อย่างแยบคาย ให้คนดูสรุปบทเรียนให้ได้ด้วยตัวเองสิถึงจะเริ่ด

แต่เจ้าชายน้อยนี่ จะสื่ออะไรนี่ไม่ต้องตีความ พูดออกมาโต้ง ๆ เลย

อย่างตอนที่สุนัขจิ้งจอกบอกความลับให้เจ้าชายน้อยฟังเป็นของขวัญว่า "ต้องมองด้วยใจจึงจะเห็นได้ถูกต้อง เพราะสิ่งสำคัญไม่อาจเห็นได้ด้วยตา"

ก็ไม่รู้จะบอกยังไงให้ชัดเจนมากไปกว่านี้ได้อีกแล้ว...
แต่ทำไมคนอ่าน(จขบ.)ไม่ยี้? แถมยังซาบซึ้งอีกต่างหาก?

จขบ.ก็มาลองคิด ๆ ดู (แบบว่าว่าง)
สงสัยเป็นเพราะเรารักตัวละครที่พูดล่ะมั้ง?

ปกติในเรื่องเล่าอื่น ๆ ไม่ว่าจะประเทศไหน สุนัขจิ้งจอกมักเป็นสิ่งมีชีวิตที่เจ้าเล่ห์ เป็นตัวร้ายแทบทั้งนั้น

แต่สุนัขจิ้งจอกในเรื่องเจ้าชายน้อยน่ารักมาก เห็นเจ้าชายน้อยแล้วคงถูกชะตา อยากเป็นเพื่อน เลยมาขอเจ้าชายน้อยให้ tame ตัวเองหน่อย

พอเจ้าชายน้อยไม่รู้จะทำยังไง ก็สอนเสร็จสรรพเลยว่าเธอนั่งห่าง ๆ ฉันหน่อย แล้วให้ขยับเข้ามาใกล้ขึ้นทีละนิด ๆ ในแต่ละวัน แล้วฉันกับเธอก็จะค่อย ๆ ผูกพันกัน

แต่ก่อน สำหรับฉันเธอก็เป็นแค่เด็กผู้ชายคนหนึ่ง และสำหรับเธอ ฉันก็เป็นแค่สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่ง แต่เมื่อเราได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันแล้ว เราก็จะพิเศษสำหรับกันและกัน

ถ้าจะให้ดี เธอควรมาในเวลาเดิมทุกวัน เช่น ถ้าเธอมาตอนสี่โมงทุกวัน พอถึงสามโมง ฉันก็จะเริ่มดีใจเพราะรู้ว่าอีกไม่นาน ก็จะได้เจอเธอแล้ว แล้วพอถึงสี่โมงเย็น ฉันก็จะกระโดดไปมา กระวนกระวายรอเธอมาถึง

แต่ก่อน ทุ่งข้าวสาลีไม่ได้มีความหมายอะไรสำหรับฉัน แต่จากนี้ไป เมื่อฉันเห็นทุ่งข้าวสาลี ฉันจะนึกถึงลอนผมสีทองของเธอ

และแม้การต้องลาจากเธอจะเศร้า แต่ฉันดีใจที่เราได้เป็นเพื่อนกัน เพราะจากนี้ไป ทุ่งข้าวสาลีจะมีความหมายใหม่สำหรับฉัน

สุนัขจิ้งจอก น่ารักมากเลย >_<

ตอนท้าย ๆ เล่ม เจ้าชายน้อยได้สอนนักบินถึงสิ่งที่ตัวเองเรียนรู้มาจากสุนัขจิ้งจอกด้วย

เจ้าชายน้อยบอกว่า แค่รู้ว่ามีดอกไม้ที่เรารักอยู่บนดาวดวงหนึ่งที่อยู่บนฟ้า การมองท้องฟ้าก็ทำให้เรามีความสุขได้

นักบินชอบเสียงหัวเราะของเจ้าชายน้อย

นักบินรู้ว่าเจ้าชายน้อยอาศัยอยู่บนดาวดวงหนึ่ง เพราะฉะนั้นเวลานักบินมองท้องฟ้า ก็จะรู้สึกเหมือนดาวทุกดวงกำลังหัวเราะให้นักบิน ดวงดาวเปรียบเหมือนเป็นระฆังเสียงไพเราะสำหรับนักบิน

ดังนั้น เวลานักบินเงยหน้ามองท้องฟ้า เขาก็จะหัวเราะไปกับเจ้าชายน้อยทุกครั้งจนเพื่อน ๆ ต้องคิดว่าเขาเพี้ยน

ดวงดาวบนท้องฟ้าของนักบินก็ไม่ต่างอะไรกับทุ่งข้าวสาลีของสุนัขจิ้งจอก
ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ได้รับความหมายใหม่หลังทั้งคู่ได้รู้จักกับเจ้าชายน้อย

*ขอจบการเวิ่นเว้อแต่เพียงเท่านี้(ก่อน)*



Create Date : 12 กรกฎาคม 2556
Last Update : 12 กรกฎาคม 2556 16:42:19 น.
Counter : 1308 Pageviews.

1 comment
"เจ้าชายน้อย" ยิ่งแก่ยิ่งขี้แย
จขบ.อ่านเจ้าชายน้อยมาหลายรอบแล้ว น่าจะ 3-4 รอบได้
แต่ละรอบที่อ่านก็ต้องซึ้ง น้ำตาคลอ ตรงบทสนทนาระหว่างเจ้าชายน้อยกับสุนัขจิ้งจอก

แต่รอบนี้ต่อมน้ำตาแตกตั้งแต่เจ้าชายน้อยเล่าเรื่องดอกกุหลาบให้ฟังเลยทีเดียว >_<

เลยรู้สึกว่าตัวเองยิ่งแก่รู้สึกจะยิ่งขี้แย :P

ขอเกริ่นสำหรับคนที่ไม่เคยอ่านเจ้าชายน้อย (มีด้วยรึ?)

เจ้าชายน้อยมาจากดาวไกลโพ้น บนดาวมีเจ้าชายน้อยอาศัยอยู่คนเดียว ดาวดวงเล็กมาก มีภูเขาไฟ 3 ลูก สองลูกยังไม่ดับ อีกลูกดับแล้วแต่ไม่รู้จะกลับมาปะทุอีกไหม

กิจวัตรประจำวันของเจ้าชายน้อยคือการถอนต้น baobab ที่ขึ้นที่ดาวของเขา เพราะถ้าปล่อยให้มันโต มันจะใหญ่คับดาว เป็นอันตรายมาก

นอกจากถอนต้น baobab แล้วเจ้าชายน้อยก็กวาดปล่องภูเขาไฟทุกวันด้วย แม้แต่ลูกที่ไฟดับแล้วก็กวาด เพื่อความปลอดภัย

งานอดิเรกของเจ้าชายน้อยคือการเฝ้าดูพระอาทิตย์ตก วันหนึ่งได้ดูถึง 44 ครั้ง!

อยู่มาวันหนึ่งก็มีกุหลาบดอกหนึ่งมาขึ้นบนดาวของเจ้าชายน้อย กุหลาบสวยมาก! แต่นิสัยไม่ค่อยดี หลงตัวเอง เย่อหยิ่ง และขี้โม้

เจ้าชายน้อยรักกุหลาบดอกนี้มาก สำหรับเจ้าชายน้อย เธอพิเศษ และมีเพียงหนึ่งเดียวในจักรวาล

แต่คำพูดบางอย่างของดอกกุหลาบ กลับทำให้เจ้าชายน้อยเกิดเคลือบแคลงสงสัย เรื่องพลั้งปปากโดยไม่ทันคิดของดอกกุหลาบ กลับบานปลายใหญ่โตถึงขนาดทำให้เจ้าชายน้อยคิดออกจากดาวของตัวเอง ท่องเที่ยวไปตามดาวต่าง ๆ จนสุดท้ายมาถึงโลก และได้มาเจอนักบิน(คนเล่าเรื่อง)ที่เครื่องบินตกอยู่กลางทะเลทราย

เวลาผ่านมาหนึ่งปีนับแต่เจ้าชายน้อยจากดอกกุหลาบมา เจ้าชายน้อยคิดได้แล้วว่าตัวเองไม่ควรตัดสินดอกกุหลาบจากคำพูดเลย คนเราต้องดูที่การกระทำ

ก็อบมาเลยละกัน ชอบมาก

“I ought not to have listened to her,” he confided to me one day. “One never ought to listen to the flowers. One should simply look at them and breathe their fragrance. Mine perfumed all my planet. But I did not know how to take pleasure in all her grace. This tale of claws, which disturbed me so much, should only have filled my heart with tenderness and pity.”

And he continued his confidences:
“The fact is that I did not know how to understand anything! I ought to have judged by deeds and not by words. She cast her fragrance and her radiance over me. I ought never to have run away from her. . . I ought to have guessed all the affection that lay behind her poor little strategems. Flowers are so inconsistent! But I was too young to know how to love her. . ."

ในชีวิต เราเคยทำกับใครเหมือนที่เจ้าชายน้อยทำกับดอกกุหลาบไหม?
ถ้าเคย ตอนคุณอ่านบทนี้ อาจจะน้ำตาซึมเหมือนจขบ. >_<



Create Date : 12 กรกฎาคม 2556
Last Update : 12 กรกฎาคม 2556 11:13:52 น.
Counter : 898 Pageviews.

2 comment
ปริศนาคำสาปเมืองวกวน ร่างที่ 1
จขบ.เขียนนิทาน "ปริศนาคำสาปเมืองวกวน ร่างที่ 1" ไว้เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว คาดว่าน่าจะเขียนไว้อ่านเล่นกับเพื่อนมั้ง มันนานมากจนลืมพล็อตไปหมดแล้ว พอเอามาอ่านใหม่เลยยังสนุกได้อีก ขำกลิ้ง (เขียนเองฮาเองได้ตามสไตล์คนเกิดมามีบุญ :P)

ถ้ามั่นใจว่าเป็นคนรับตลกปญอ.และความเพ้อเจ้อไร้ขีดจำกัดได้ ลองไปอ่านดูที่นี่ได้ค่ะ จขบ.เพิ่งไปโพสไว้ที่ถนนนักเขียน

//pantip.com/topic/30488479



Create Date : 15 พฤษภาคม 2556
Last Update : 15 พฤษภาคม 2556 10:39:39 น.
Counter : 671 Pageviews.

0 comment
Kokoro by Natsume Soseki
จขบ.เคยอ่าน kokoro ครั้งแรกราวสิบปีก่อน ตอนนั้นอ่านฉบับแปลอังกฤษ ชอบมาก หนังสือตีแผ่ด้านมืดของมนุษย์ ความอ่อนแอของจิตใจคน และนิสัยเลวร้ายไม่ได้เรื่องต่าง ๆ นานาอย่างไม่เอิกเกริก การเล่าเรื่องเรียบง่ายไปเรื่อย ๆ แต่อ่านสนุก

สิบปีผ่านไปมาอ่านอีกที เวอร์ชันญี่ปุ่น ต้นฉบับเลย ปรากฎว่ารู้สึกสนุกน้อยลง ส่วนหนึ่งคิดว่าเพราะจำได้ว่าเรื่องราวหลัก ๆ เป็นยังไง แต่ส่วนใหญ่เลยเพราะอ่านไม่ค่อยรู้เรื่อง ตรงไหนแปลไม่ออกก็ข้ามโลด

แต่มีความคิดหนึ่งที่ตอนอ่านครั้งแรกไม่ได้คิดถึง คือ อิจฉาเซนเซและ narrator จังเลยที่อยู่บ้านเฉย ๆ ไม่ต้องทำงานก็ได้ >_< แบบว่ามีกินมีใช้ตลอดชีวิตอยู่แล้ว ดีจัง XD

(คือก็รู้อ่ะนะว่าเซนเซไม่ได้มีความสุขกับชีวิต แต่แอบอิจฉานิดนึงที่ไม่ต้องทำงาน)

กับจำไม่ได้ว่าคราวที่แล้วตอนอ่านรู้สึกถึงความ...(เป็นคนเฮงซวย)...ของเซนเซขนาดนี้หรือเปล่า

เนื้อเรื่องในนิยายแบ่งเป็น 3 ส่วน
1. เซนเซกับผม (narrator)
2. ผมกับพ่อแม่
3. เซนเซกับจดหมายลาตาย

เรื่องที่เกิดขึ้นในหนังสือถ้าเล่าไปแล้วก็สั้นนิดเดียว แต่ตัวนิยายเน้นความคิดความรู้สึกที่อยู่ในใจของตัวละครมากกว่า ไม่อยากพูดมาก เดี๋ยว spoil (เล่มนี้แนะนำให้อ่าน แบบแปลไทยก็มีขาย)

ว่ากันว่าหนังสือเล่มนี้คืองานที่ดีที่สุดของ Natsume Soseki นักเขียนสมัยเมจิที่ดังที่สุดในญี่ปุ่น (มีรูปอยู่บนแบงค์พันหรือหมื่นเยนนี่แหละเป็นระยะเวลายาวนาน เพิ่งถูกเปลี่ยนเป็นคนอื่นไม่นานมานี้)

พออ่านจบ จขบ.ก็เกิดนึกสงสัยว่าฝรั่งอ่านแล้วชอบไหม (น่าจะชอบเพราะ theme ออกจะ universal) ก็เลยไปอ่าน comment ที่ amazon พบว่าส่วนใหญ่ชื่นชมกันล้นตลาด อ่านแล้วไม่มัน มาอ่านพวกที่ให้ดาวเดียวสนุกกว่ากันเยอะ! ตย.เช่น

in need of another negative review, November 21, 2005
By hume "humeandbehavior" (place United States)

the first half of the book is hype about what will happen in the second half. something along the lines of: "i dont know why sensei acted why he did, something bad mustve happened in his life, he was an annoying jerk, so i hope something really bad happened to him that can justify his being such a jerk who is annoying." does the second half justify the first? hardly. sensei remains a jerk, and even goes beyond that by refusing to change, and even beyond that by transforming his pupil into a jerk. what a bunch of jerks. about the only person who is not a jerk in the book is the wife, who both the narrator and sensei view as just a stupid woman, you know, those types of humans who dont know how to think or really serve any purpose except to worship sensei. man that guy is irritating! and the narrator too!



spoiler


the stupid kid leaves his dying dad so he can see the dead sensei! what a jerk! his dad is so much nicer to him! the stupid sensei treats his wife like crap and never tells her why! then he kills himself so she can be depressed, without telling her why! what a jerk! and he tells the kid but not her! and he forbids the kid to tell her! what a jerk!



Why?, April 25, 2008
By T. Towne "done with Kokoro" (NWMSU)

I'm a college student that has read plenty of classic American novels and when a teacher gave Kokoro to the class. I was kinda intrigued but the first 50 pages made me feel like i was wasting my life away and i convinced my friend to read me a couple pages so i wouldn't have to look at it. I read the book in four days and I'm ready to torch it because i could sell it back to the bookstore for $3 but I don't want anyone to suffer like i did.


อ่าน comment แล้วฮามาก
(ทีหลังหลังอ่านหนังสือเล่มไหนจบแล้วต้องอย่าลืมไปอ่าน comment พวกให้ดาวต่ำ ๆ ที่ amazon ด้วยเพื่ออรรถรสหลังการอ่านขำ ๆ)



Create Date : 22 กันยายน 2554
Last Update : 22 กันยายน 2554 16:58:41 น.
Counter : 2313 Pageviews.

The Second Bakery Attack (และเรื่องสั้นอื่น ๆ ในเล่ม) Murakami Haruki


1. The second bakery attack
2. The elephant vanishes
3. Family Affair
4. The twins and the sunken continent
5. The Fall of the Roman Empire, the 1881 Indian Uprising, Hitler's Invasion of Poland, and the Realm of Raging Winds
6. The Wind-up Bird And Tuesday's Women

เล่มนี้เป็นรวมเรื่องสั้นเล่มสุดท้ายของมูราคามิที่จะเขียนแล้ว เพราะมีอ่านอยู่แค่นี้ หมดสต๊อคแล้ว ซื้อมาแค่สามเล่ม

มีฉบับแปลไทยแล้วนะคะเล่มนี้ โดยสำนักพิมพ์กำมะหยี่ ตั้งชื่อว่า คำสาปร้านเบเกอรี

เนื่องจากช่วงนี้ไม่ค่อยว่าง(เมื่อเทียบกับตัวเองในช่วงก่อนหน้านี้ ไม่ได้เทียบกับคนอื่นนะจ๊ะ) ก็เลยทำให้อ่านได้ไม่ต่อเนื่อง ดังนั้น ด้วยความจำที่ชนะปลาทองมานิดเดียวของเรา ก็เลยทำให้ลืมรายละเอียดของเรื่องต้น ๆ ไปเกือบหมดแล้ว ฮือออออออ >_<

เขียนย่อ ๆ แล้วกัน
1. The second bakery attack
คืนหนึ่งสามีภรรยาตื่นกลางดึกด้วยความหิวโหยสุดชีวิต ในตู้เย็นก็ไม่มีอะไรให้กิน และภรรยาปฏิเสธที่จะออกไปกินร้านอาหารนอกบ้านในยามวิกาลด้วยเหตุผลที่ว่า "มันเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ" เอากะเจ๊สิ -_-;;
แล้วสามีก็เล่าให้ภรรยาฟังถึงเหตุการณ์สมัยชีวิตนักศึกษา (มั้ง จำไม่ได้แล้ว) ของตัวเองที่มีอยู่วันหนึ่ง เกิดอาการหิวโหยสุดชีวิตคล้าย ๆ กับที่รู้สึกอยู่ตอนนี้แหละ ก็เลยวางแผนปล้นขนมปังกับเพื่อนคู่หู
คือหิวไง แต่ไม่อยากได้เงิน แค่อยากได้ของกินแก้หิว เลยจะปล้นขนมปัง
แต่เผอิญร้านที่สองคู่หูเลือกเข้าไปปล้นกลับมีเจ้าของร้านประหลาด แทนที่จะตกใจที่โดนปล้น(ขนมปัง) กลับไม่ขัดขืนใด ๆ แต่ยื่นข้อเสนอบอกให้สองคู่หูนั่งฟังเพลงโอเปรา(มั้ง) ให้จบก่อน แล้วจะเอาขนมปังเท่าไรก็เอาไป
หลังจากปรึกษากันแล้ว สองคู่หูเลยทิ้งมีดและนั่งฟังเพลง จบด้วยการแบกขนมปังกลับบ้าน

คุณภรรยาได้ฟังเรื่องเล่าเช่นนั้นก็ถึงบางอ้อว่า อ๋อ ที่ชั้นอยู่กับคุณแล้วรู้สึกไม่ค่อยดีราวกับต้องคำสาปอยู่ตลอดเวลาเนี่ย ก็เพราะว่าตอนนั้นเธอดันไม่ปล้นให้สำเร็จ แต่ดันไปนั่งฟังเพลงโดยสงบซะงั้น

อย่ากระนั้นเลย คืนนี้เรามาแก้คำสาปด้วยการปล้นร้านขนมปังให้สำเร็จลุล่วงมันซะเลยเถิด

แต่ดึกดื่นปานนั้น ร้านขนมปังที่ไหนมันจะยังเปิดทำการ??
หลังจากขับรถวนไปวนมาในเมืองอยู่นานสองนาน คุณภรรยาเลยตัดสินใจปล้นแฮมเบอร์เกอร์จากแมคเนี่ยแหละ! พนักงานก็งง ๆ จะยกเงินให้สองคนนี้ก็ไม่เอา ยืนยันจะให้พวกฉันปิ้งแฮมเบอร์เกอร์ 30 อัน(มั้ง)ให้อยู่นั่นแหละ

ระหว่างรอพนักงานปิ้งแฮมเบอร์เกอร์ คุณภรรยาเกิดหิวน้ำเลยสั่งโค้กมากิน ก่อนออกจะร้านไปพร้อมแฮมเบอร์เกอร์จำนวนมาก ยังมีการวางเงินจ่ายค่าโค้กไว้ด้วยนะ เก๋มั้ยล่ะ ประเด็นของเธอคือปล้นขนมปังไม่ใช่ปล้นเครื่องดื่ม

หวังว่าการปล้นแมคครั้งนี้จะช่วยถอนคำสาปให้สามีภรรยาคู่นี้ได้นะ ^^;;


2. The elephant vanishes
เมือง ๆ หนึ่งมีช้างเชือกหนึ่ง เลี้ยงไว้เป็นสมบัติของเมือง เก๋มั้ย?

สาเหตุที่เมืองมีช้างไว้ครอบครองนี่ก็ค่อนข้างจะต้องอธิบายยาวสักหน่อย แต่จะพยายามเล่าสั้น ๆ นะคะ

คือมีสวนสัตว์เลิกกิจการ แล้วช้างตัวนี้ดันไม่มีสวนสัตว์ที่อื่นต้องการจะรับไว้เลยเนื่องจากมันแก่มากแล้ว แต่จะฆ่าทิ้งก็ทำไม่ได้ ทางเมืองก็เลยรับเลี้ยงไว้เองท่ามกลางความเห็นด้วยของชาวเมือง (เอ๊ะ เล่าสั้น ๆ ก็ทำได้นิ :)

ทางเมืองก็จัดสถานที่ให้ช้างตัวนี้อยู่อาศัยพร้อมกับผู้ดูแล ซึ่งก็ตามดูแลกันมาตั้งแต่สมัยอยู่ในสวนสัตว์ หนึ่งคนและหนึ่งเชือกนี้เลยสนิทสนม รู้ใจกันดี

แต่อยู่มาวันหนึ่งก็มีข่าวลงนสพ.ว่าช้างหายไป! (ผู้ดูแลก็หายไปด้วย) เจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามสืบเสาะว่าใครมาขโมยไป หรือช้างหนีไปเองได้อย่างไรทั้ง ๆ ที่ล่ามโซ่เอาไว้อย่างดี ฯลฯ แต่ไม่มีเบาะแสใด ๆ

ถ้าคิดตามหลักเหตุผลธรรมดา ๆ แล้ว ไม่มีทางที่ช้างจะหนีหรือถูกขนย้ายออกจากเมืองได้โดยไม่มีผู้พบเห็น ช้างตัวโต ๆ ทั้งตัวนะจ๊ะ?! ทางที่เป็นไปได้มากที่สุดแต่กลับไม่มีใครพูดถึงเลยก็คือช้างมันหายแว้บไปเอง! หายแบบอันตรธานกลายเป็นอากาศธาตุ

ชายหนุ่มที่เป็นประจักษ์พยานเรื่องนี้ได้คือคนเล่าเรื่อง (narrator) หลังจากเก็บงำเรื่องนี้ไว้เป็นนาน อยู่ ๆ เขาก็เล่าเรื่องที่เขาพบเห็นให้กับหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งเขาเพิ่งรู้จักจากงานแสดงสินค้า ชายหนุ่มทำงานโฆษณาเครื่องใช้ไฟฟ้าในขณะที่หญิงสาวทำงานสิ่งพิมพ์ที่ลงข้อความโฆษณาสินค้าพวกนี้ ทั้งสองคนคุยถูกคอกันหลังจากงานจบจึงไปนั่งดื่มต่อที่โรงแรม

ทั้งสองคนนั่งคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ไปเรื่อย ๆ บรรยากาศกำลังดี แต่แล้วชายหนุ่มกลับคิดถึงเรื่องช้างหายขึ้นมา ชายหนุ่มเล่าให้หญิงสาวฟังว่า ตอนเย็น ๆ เขามักจะไปเดินเล่นบนเขาอยู่เป็นประจำ และมีอยู่วันหนึ่งที่เขาพบจุดจุดหนึ่งบนเขาซึ่งมองเข้าไปเห็นอะไร ๆ ในโรงเลี้ยงช้างได้ เขาจึงมักจะแวะดูช้างและคนเลี้ยงช้างจากบนเขาบ่อย ๆ ระหว่างไปเดินเล่น

และในคืนที่ช้างหายไปนั้นเอง เขาพบเห็นสิ่งผิดปกติในโรงเลี้ยงช้าง คนเลี้ยงช้างก็ดูแลทำความสะอาด ให้อาหาร ฯลฯ แก่ช้างตามปกติเหมือนทุกวัน แต่สิ่งที่ผิดปกติคือ เขารู้สึกเหมือนทั้งช้างและคนเลี้ยงช้างหดลงเรื่อย ๆ แรก ๆ เขาไม่แน่ใจว่าตาเขาเล่นตลกหรือมองผิดไปหรือเปล่า แต่เมื่อดูไปเรื่อย ๆ เขาก็แน่ใจว่าช้างและคนหดเล็กลงจริง ๆ

น่าเสียดายที่เขามองไม่เห็นว่าในที่สุดทั้งช้างและคนหดเล็กลงจนหายไปจริงหรือเปล่า เพราะมันเริ่มมืดจนเขามองเข้าไปไม่เห็นแล้ว อย่างไรก็ตาม เขาไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังเลย และไม่คิดจะไปบอกตำรวจด้วย เพราะตำรวจก็จะหาว่าเขาประสาทแค่นั้นเอง เรื่องแบบนี้ใครจะไปเชื่อ

ชายหนุ่มไม่ควรจะเล่าเรื่องนี้ให้คนอื่นฟังเลยจริง ๆ เพราะหลังจากเล่าเรื่องนี้จบ เขากับหญิงสาวก็ร่ำลากันต่างคนต่างกลับบ้าน และไม่ได้สานสัมพันธ์กันอีกเลยนับจากนั้น


3. Family Affair
เรื่องนี้จขบ.ชอบมาก :)
เป็นเรื่องเกี่ยวกับพี่ชายและน้องสาวคู่หนึ่ง พี่ชายเป็นพนักงานบริษัทที่ใช้ชีวิตไปวัน ๆ เดทและนอนกับผู้หญิงเป็นว่าเล่น เปลี่ยนคนไปเรื่อย ๆ ส่วนน้องสาวน่าจะเรียนจบแล้วและทำงานอะไรสักอย่างอยู่ (จำไม่ได้แล้ว)

สองคนนี้ภูมิลำเนาเดิมอยู่ต่างจังหวัด พี่ชายเข้ามาเรียนในโตเกียวก่อน น้องสาวตามเข้ามาทีหลังก็เลยอยู่ด้วยกัน สัมพันธภาพของทั้งสองคนดีมาก เป็นพี่น้องที่ไม่ทะเลาะกัน ดำเนินชีวิตในเมืองหลวงด้วยกันอย่างมีความสุข

แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อน้องสาวมีแฟนแถมยังจริงจังถึงขึ้นจะแต่งงานด้วย! แฟนน้องสาวเป็นทุกอย่างที่ตรงข้ามกับพี่ชาย น้องสาวจึงเริ่มรับการใช้ชีวิตของพี่ชายไม่ได้ ทั้งสองคนเริ่มมีปากเสียงกัน

เนื้อเรื่องจริง ๆ แล้วไม่ค่อยมีอะไร เป็นเรื่องของพี่ชายที่ต้องทำใจยอมรับให้ได้ว่าน้องสาวมีชีวิตเป็นของตัวเองที่เปลี่ยนไปแล้ว และตัวพี่ชายเองจะเลิกใช้ชีวิตไปวัน ๆ และโตเป็นผู้ใหญ่เสียทีหรือไม่?

บทสนทนาในเรื่องทั้งระหว่างพี่ชายและน้องสาว และระหว่างพี่ชายและคู่หมั้นน้องสาวฮามาก ^_^


4. The twins and the sunken continent
เป็นเรื่องสั้นที่ต่อมาจาก สดับลมขับขาน หรือ พินบอล หรือ the wild sheep chase (ไม่รู้ว่าตามลำดับเวลาแล้วมันเสียบอยู่ตรงไหน เพราะลืมสามเรื่องข้างต้นเกลี้ยงแล้ว T-T ตอนนั้นยังคิดไม่ได้ว่าน่าจะจดโน้ตย่อของนิยายแต่ละเล่มทิ้งไว้หน่อย >_< )

คลับคล้ายคลับคลาว่าในหนึ่งในสามเรื่องข้างต้น มีชายหนุ่มคนหนึ่งอาศัยอยู่กับแฝดสาวคู่หนึ่ง ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าอีสองคนนี้เป็นใคร ชื่อยังไม่รู้จักเลย อยู่ ๆ ก็มาอยู่ด้วย แล้วอยู่มาวันหนึ่งก็หายไปทั้งคู่

เรื่องสั้นแฝดและทวีปที่จมหายไปเริ่มเรื่องด้วยการที่ชายหนุ่มเจอรูปแฝดคู่นี้ในนิตยสารเล่มหนึ่ง มันเป็นรูปของผับที่ฮิต ๆ อยู่ในช่วงนั้น สองสาวเป็นลูกค้าที่ถูกถ่ายติดมาในรูป ในโต๊ะเดียวกับที่คู่แฝดนั่งยังมีผู้ชายอีกคนนั่งสนทนาอยู่ด้วย ดูท่าจะมาด้วยกันสามคน

ชายหนุ่มเจ้าของเรื่องเริ่มมหากาพย์ obsess กับรูปนี้เป็นการใหญ่ คิดเป็นตุเป็นตะและสรุปเอาเองว่าชายในรูปเป็นคนที่สองสาวอาศัยอยู่ด้วยในขณะนี้แน่นอน

เขาคิดถึงพวกเธอ อยากเจอแต่ก็คิดไม่ออกว่าถ้าเจอแล้วจะทำยังไงเหมือนกัน ชายในรูปนั่นก็เหมือนกับเขา สักวันหนึ่งก็ต้องโดนสองสาวทิ้งไปแน่นอน

ชายหนุ่มเข้าออฟฟิศ เขากับเพื่อนร่วมหุ้นกันทำบริษัทรับแปลเอกสาร(มั้ง) ที่ออฟฟิศเขาเจอสาวออฟฟิศข้าง ๆ ที่คอยมาช่วยรับโทรศัพท์ให้ออฟฟิศเขาเป็นครั้งคราว เพราะเธอสนิทกับพนักงานสาวในบริษัทเขาซึ่งวันนี้หยุดงาน

เขาเหงาและอยากนอนกับหญิงจึงชวนเธอไปกินข้าวหรือไปดื่ม แต่โดนปฏิเสธว่าเธอมีนัดกับแฟนแล้ว ในที่สุดเขาเลยต้องใช้บริการหญิงบริการ

หลังจากมีอะไรกันแล้ว เขาเล่าให้เธอฟังถึงความฝันที่เขามักจะเห็นซ้ำบ่อย ๆ มันไม่เหมือนเดิมเป๊ะทุกที รายละเอียดต่างกันไปแต่หลักใหญ่จะคล้าย ๆ เดิม คือตัวเขาจะอยู่นอกตึกซึ่งไม่มีทางเข้า มองเข้าไปในตึกจะเห็นช่างกำลังก่อกำแพงอิฐอยู่ข้างหน้ากำแพงที่ก่อเสร็งแล้วชั้นหนึ่ง โดยระหว่างกำแพงทั้งสองชั้นทิ้งช่องว่างไว้ประมาณ 40 ซม.

แรก ๆ เขาก็งงว่าทำไมช่างทำอะไรแบบนี้ ก่อกำแพงเหลือที่ไว้เยอะขนาดนั้นมันทำให้พื้นที่ใช้สอยของห้องลดลงตั้งเยอะ แต่ไม่นานเขาก็ค่อย ๆ เห็นว่าระหว่างกำแพงสองชั้นนั้นมีฝาแฝดสองคนนั้นอยู่ และช่างก็กำลังก่ออิฐฝังเธอทั้งสองไว้ระหว่างกำแพงทั้งสองชั้นนั้น!

เขาพยายามเคาะกระจกเพื่อเตือนช่างว่าหยุดก่อกำแพงได้แล้ว แต่ไม่มีใครได้ยิน เขาวิ่งไปรอบ ๆ ตึกเพื่อหาทางเข้าไปแต่ก็ไม่พบ แล้วก็มักจะตื่นขึ้นทั้ง ๆ ที่ยังช่วยฝาแฝดคู่นั้นไม่ได้ ได้แต่เห็นช่างก่ออิฐวางอิฐก้อนสุดท้าย แล้วก็เก็บของเดินจากไป

เมื่อเขาเล่าเสร็จ หญิงบริการก็ปลอบใจเขาว่า เขาคงจะเหนื่อยเกินไป มันเป็นแค่ฝัน แล้วก็เดินออกจากห้องไป

ข้างนอกฝนกำลังตกอยู่ ชายหนุ่มนอนอยู่บนเตียงแล้วคิดถึงเรื่องของแผ่นทวีปที่ค่อย ๆ จมลงไปในทะเล



5. The Fall of the Roman Empire, the 1881 Indian Uprising, Hitler's Invasion of Poland, and the Realm of Raging Winds
เรื่องของชายหนุ่มที่กำลังเขียนบันทึกประจำวันของอาทิตย์ที่ผ่านไป เขาทำอย่างนี้เสมอ คือเก็บสะสมไว้ครบหนึ่งอาทิตย์ค่อยเขียนบันทึกทีหนึ่งเจ็ดวันเลย ความจำของเขาดี เกิดอะไรขึ้นบ้างในหนึ่งอาทิตย์ เขาจำได้หมด

บ่ายวันอาทิตย์ แฟนเขามักจะซื้ออาหารสดมาทำกับข้าวกินกับเขาที่อพาร์ทเมนท์เขาเสมอ วันนี้แฟนเขาก็จะมาเช่นกัน แต่อยู่ ๆ วันนี้ก็เกิดลมแรงมาก มากผิดปกติ เขาไม่แน่ใจว่าเธอจะมาลำบากหรือไม่ ระหว่างที่เขากำลังเขียนไดอารี่อยู่นั้น โทรศัพท์ดังขึ้น เขาคิดว่าคงจะเป็นแฟนโทรมา เพราะปกติเธอจะโทรมาก่อนมาหาเขาทุกครั้ง แต่เพราะลมข้างนอกมันแรงมากหรือไงไม่รู้ เขาไม่ได้ยินเลยว่าอีกฝ่ายพูดอะไร พอวางสายไปเขาก็กลับมาเขียนไดอารี่ต่อ ... ในที่สุดแฟนเขาก็โทรมาบอกว่ากำลังจะมานะ เมื่อเธอมาถึงห้องและลงมือทำกับข้าว เขาก็ถามเธอว่าได้โทรมาหาเขากี่ครั้ง เธอตอบว่าครั้งเดียว

เรื่องนี้ไม่ค่อยมีเนื้อเรื่องอะไร สั้นมากจริง ๆ ชายหนุ่มเป็นคนที่คิดถึงอะไรประหลาด ๆ เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือเหตุการณ์ที่เขากำลังนึกถึง ซึ่งก็เป็นที่มาของชื่อเรื่องสั้นที่แสน... random

แถมตอนจบเรื่องเขายัง memo ชื่อเหตุการณ์จากชื่อเรื่องเอาไว้ เพื่อที่อาทิตย์หน้าตอนที่เขาต้องเขียนไดอารี่ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้เขาจะได้ไม่ลืมว่าเกิดอะไรขึ้นอีกด้วย

ลองคิดดูแล้วกันจาก The Fall of the Roman Empire, the 1881 Indian Uprising, Hitler's Invasion of Poland -> แกจะเอามาเขียนเป็นบันทึกประจำวันที่จริง ๆ แล้วไม่ได้มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเลย นอกจากเขียนไดอารี่รอแฟนมาในวันที่ลมแรงผิดปกติ

คิดได้ไง? O_O;;
นอกจากจะเพี้ยน

6. The Wind-up Bird And Tuesday's Women
เรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นต้นกำเนิดของนิยายขนาดยาว The Wind-up Bird's Chronicle

ดูจากชื่อเรื่องแล้ว ท่าทางเรื่องจะเกิดขึ้นในวันอังคาร
เป็นเรื่องของชายหนุ่มอายุสามสิบ แต่งงานมีภรรยาแล้ว ตอนนี้อยู่ระหว่างตกงานเลยทำงานเป็นพ่อบ้าน คอยไปทำธุระที่แบงก์, จ่ายตลาดและทำกับข้าวให้เมียกิน

สายวันนั้นระหว่างที่เขากำลังต้มเส้นสปาเกตตี้อยู่ มีโทรศัพท์จากหญิงนางหนึ่งซึ่งอ้างว่ารู้จักเขาโทรมาขอคุยด้วยสิบนาทีเพื่อที่ "เราจะได้รู้จักกันมากขึ้น" เขาวางสายไปเพราะเดี๋ยวเส้นสปาเกตตี้จะนิ่มเกิน เดี๋ยวไม่อร่อย

หลังจากกินเสร็จ หญิงนางนั้นก็โทรมาอีก หญิงคนนี้รู้อายุของเขาและรู้ว่าเขาตกงานด้วย เขาสงสัยว่าหล่อนคือใคร เขาไม่คุ้นเสียงเลย และถ้าพูดถึงเรื่องเสียงแล้วเขามีความมั่นใจเต็มร้อย ถ้าเป็นคนที่เขารู้จักแล้ว เขาจะจำเสียงได้แม่นทุกคน

แต่ไหน ๆ เขาก็มีเวลา ว่าง ๆ อยู่ ก็เลยยอมคุยกับหญิงนี้ก็ได้ แต่หลังจากคุยถึงนาทีที่หก เขาก็ตัดสายทิ้ง เพราะคุณเธอชวนคุยแต่เรื่องอย่างว่า

เนื่องจากบ่ายนี้เขาไม่มีธุระอะไรต้องทำแล้ว เขาเลยออกจากบ้านไปตามหาแมวที่หนีออกจากบ้านไป เมื่อเช้านี้ภรรยาเขาโทรมาบอกให้เขาช่วยไปดูแถวบ้านร้างหน่อย เธอเห็นมันแว้บ ๆ อยู่แถวนั้น

เขาไปตามคำบอก แต่ก็ไม่เห็นมีวี่แววของแมวที่ว่าเลย ระหว่างที่เขากำลังสอดส่องอยู่นั้นเอง ก็มีเด็กสาววัยสิบหกโผล่มาถามเขาว่าทำอะไร พอรู้แล้วเธอก็บอกว่าไปนั่งรอแมวที่บ้านเธอก็ได้ บ้านเธออยู่ตรงข้ามนี้เอง มองมาเห็นแมวชัดเลย เธอเห็นอยู่ทุกวัน แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่พวกมันจะมา

เขาตกลงใจไปตามคำเชิญ หลังจากไถ่ถามสักพัก เขาก็รู้ว่าเธออยู่บ้านคนเดียว และหยุดเรียนเพราะขาเจ็บจากอุบัติเหตมอเตอร์ไซค์ เธอเดินนำเขาเข้ามาในสวนและจัดเก้าอี้ให้เขานั่ง เขาเช็คดูแล้วพบว่าจากตรงนั้นมองไปจะเห็นสวนของบ้านร้างได้พอดิบพอดี ถ้าแมวมาเมื่อไร เขาคงเห็นแน่นอน

เด็กสาวชวนเขาคุยไปเรื่อยเจื้อย เธอเป็นคนที่มีคำถามมากมาย และเมื่อเขาตอบคำถามเหล่านั้น เธอก็บอกว่าเขาเป็นคนแรกที่ไม่เห็นคำถามของเธอไร้สาระ

ตัวอย่างคำถามของเธอ : ถ้าแฟนคุณมีนิ้วหกนิ้วคุณจะยังรักเธอไหม, แล้วถ้าเปลี่ยนเป็นมีสี่นมล่ะ? คิดดูก่อนงั้นหรือ? ระหว่างหกนิ้วกับสี่นม คุณคิดว่าหกนิ้วดีกว่าสินะ? ทำไมล่ะ?

หลังจากคุยกันพักหนึ่ง เด็กสาวก็เข้าบ้านไปหยิบโคล่าพร้อมกับเปลี่ยนชุดเป็นบิกินี่ท่อนบนกับขาสั้น และกลับมานั่งข้างเขา

อากาศร้อนมาก และเหงื่อก็เต็มตัวเขาไปหมด ชายหนุ่มผลอยหลับไป ตื่นขึ้นมาอีกทีหนึ่ง เด็กสาวก็ไม่อยู่แล้ว ไม่มีวี่แววของแมวเช่นกัน เวลาผ่านไปนานจนเป็นช่วงเย็นของวันแล้ว เขาจึงรีบกลับบ้านจะได้เตรียมอาหาร

คืนนั้น ภรรยาของเขากลับดึก เธอกล่าวขอโทษที่ต้องทำ OT จนดึกดื่น เธอพยายามโทรบอกเขาแล้ว แต่เขาไม่รับโทรศัพท์ ชายหนุ่มโกหกว่าออกไปซื้อเนยเพราะมันดันหมดพอดี

แล้วภรรยาเขาก็เริ่มถามถึงแมว เขาตอบไปว่าหาไม่เจอ ภรรยาเขาเริ่มร้องไห้คร่ำครวญว่าแมวตายแล้วแน่ ๆ และเขาเป็นคนฆ่ามัน

ชายหนุ่มงุนงงไปหมด เขาจะฆ่าแมวได้ยังไง?

ภรรยาเขาอ้างว่า เพราะชายหนุ่มเกลียดแมวตัวนี้แต่ไหนแต่ไร เขาพยายามอธิบายว่าเขาอาจจะไม่ได้รักมันมาก แต่ก็ดีกับมันตลอด ให้ข้าวให้ปลากินทุกวัน แต่ไม่ว่าจะพูดยังไง ภรรยาก็ไม่ฟังเอาแต่ร้องไห้อยู่ดี

แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น แต่ไม่มีใครยอมไปรับ ต่างคนต่างนั่งฟังเสียงโทรศัพท์ดังไปเรื่อยอยู่อย่างนั้น


-------------------------------------------------------------------

เรื่อง wind-up bird สนุกมาก ในบรรดานิยายของมูราคามิที่อ่านมาทั้งหมด แม้ว่าจะลืมเนื้อเรื่องไปเกือบหมดเกลี้ยงแทบทุกเรื่องแล้วก็ตาม แต่ก็จำได้ว่าตอนที่อ่านชอบเรื่องนี้ (นอกจากนี้ก็ชอบ hard-boiled wonderland กับ kafka on the shore)

รวมเรื่องสั้นเล่มนี้ มีที่แปลกอยู่จุดหนึ่งคือ แทบทุกเรื่องจะมีการพูดถึงวาตานาเบะ โนโบรุ มันจะโผล่มาบ่อยมาก อย่างในเรื่อง wind-up bird วาตานาเบะ โนโบรุคือพี่เขย(พี่เมีย?)ซึ่งเอามาตั้งเป็นชื่อแมวในเรื่องด้วย, ในเรื่อง familiar affair คู่หมั้นของน้องสาวก็ชื่อวาตานาเบะ โนโบรุ, ในเรื่องคู่แฝด วาตานาเบะ โนโบรุคือชื่อเพื่อนที่เปิดสำนักงานด้วยกันกับตัวเอก เรื่องอื่น ๆ ก็แวบมาเป็นนู่นเป็นนี่

ทั้งหมดนี่คือตัวละครตัวเดียวกันหรือยังไง? ทำไมถึงโผล่ได้หลายเรื่องนัก?

จริง ๆ แล้วหลังจากที่ไปค้น ๆ มาพบว่าวาตานาเบะ โนโบรุคือชื่อจริงของ อันไซ มิซึมารู illustrator ที่รู้จักกับมูราคามิมายาวนานแล้ว และอนุญาตให้มูราคามิเอาชื่อเขาไปเป็นชื่อตัวละครได้ มูราคามิก็เลยเอาไปใช้ใหญ่เลย ฮ่าๆๆๆ สงสัยจะคิดชื่ออื่นไม่ออก หรือไม่ก็ชอบชื่อนี้เอามาก ๆ หรือไม่อีกทีก็ตั้งใจให้คนอ่านงงเล่น เป็นมุขวงในในบรรดาสาวก? :P

แต่พอแตกหน่อออกไปเป็นนิยายเรื่องยาว มูราคามิก็ยอมเปลี่ยนชื่อเพื่อให้คนอ่านไม่สับสนมากเกินไปนะ อย่างเรื่อง wind-up bird ฉบับนิยายก็เปลี่ยนเป็น วาตายะ โนโบรุ แทน :)

ใน Norwegian Wood ก็วาตานาเบะ โทรุ
(รอดูหนังอย่างใจจดใจจ่อ)



Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2554
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2554 16:19:31 น.
Counter : 1488 Pageviews.

0 comment
1  2  3  

lulla
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



Group Blog