เกี่ยวกับสัญญาของนักร้อง SM และนักเรียนทุน
สองอย่างนี้ดูไม่น่าเกี่ยวข้องกันได้แต่กลับมีความคล้ายคลึงกันอย่างประหลาด

สำหรับคนที่งงว่า SM มันคืออะไรกันเนี่ย (แต่คนที่ไม่รู้เรื่องจริง ๆ คงไม่คลิกเข้ามาอ่าน) ขอสรุปสั้น ๆ ก่อนดังนี้

SM Entertainment เป็นบริษัทเกาหลีที่ผลิต idol ดัง ๆ มากมาย เช่น TVXQ, Girls Generation, Super Junior, BoA ฯลฯ

บริษัทนี้(จริง ๆ น่าจะเกือบทั้งวงการในประเทศ)ใช้ระบบ train เด็ก ๆ ที่มี potential ตั้งแต่เล็ก ๆ โดยการจัด audition โน่นนี่นั่นบ่อย ๆ คัดเด็กหน่วยก้านดีมา train การร้องเพลงและซ้อมเต้นอย่างหนักหน่วง

พอถึงเวลาก็ดึงเด็กที่ปั้นได้ที่แล้วมา package เป็น group ตามสมัยนิยมแล้วอนุญาตให้ debut ได้ (มีเด็กจำนวนมากที่เทรนแล้วแต่ไม่เคยได้ debut เพราะไม่เข้าตา ก็กลับไปเป็นนักเรียนต่อไป)

คนที่จะได้ debut ทุกคนต้องเซ็นสัญญาทำงานให้ SM ทั้งหมด 13 ปี (อาจจะมีบางคนน้อยกว่านี้) ถ้าผิดสัญญาต้องคืนเงินเป็นสองเท่าของเงินทั้งหมดที่ SM เคยลงทุนไปกับตัวเองทั้งหมด รวมทั้งค่าเสียโอกาส เสียรายได้ทั้งหมดด้วย (รายละเอียดไม่แน่ใจ แต่ประมาณว่าเป็นเงินจำนวนมาก idol ไม่มีปัญญาใช้ไหว)

และด้วยความที่อุตสาหกรรมเพลงของเกาหลีแข่งขันสูงมาก เหล่า idol พวกนี้จึงต้องทำงานหนักเพื่อคงความนิยมของตัวเองไว้ให้ได้ งานต้องออกมาสม่ำเสมอหลายครั้งต่อปี แถมเดี๋ยวนี้ด้วยความที่อุตสาหกรรมเพลงในประเทศหดตัวลง idol เกือบทั้งประเทศเลยต้องออกหากินตามประเทศเพื่อนบ้านเป็นทิวแถว ทำงานกันเหนื่อยสายตัวแทบขาดจริง ๆ

ทีนี้ เรื่องใหญ่มันเริ่มเกิดขึ้นเมื่อสามคนในดงบังชินกิ (TVXQ, Tohoshinki) ซึ่งดังระเบิดระเบ้อ ทำเงินให้บริษัทราวกับเป็นเครื่องผลิตทอง เริ่มไม่พอใจกับสภาพที่ตัวเองต้องทนรับในปัจจุบันและคาดว่าจะเป็นต่อเนื่องไปอีกหลายปีจนกว่าสัญญาจะหมด ก็เลยออกมาฟ้องบริษัทตัวเองเสียเลยว่า
1. สัญญาทาสยาวนานเกินไป กว่าจะหมดสัญญา พวกฉันก็แก่พอดี จะทำมาหากินเป็น idol ต่อได้ยังไง
2. ไม่ให้เวลาฉันพักผ่อนมั่งเลย นอนก็ไม่ค่อยได้นอน ปีนึงมีเวลาพักได้อยู่วันสองวัน
3. แบ่งเงินให้น้อยเหลือเกิน ถ้าอัลบั้มขายได้ไม่เกินเท่าโน้นเท่านี้แผ่น ฉันก็จะได้เงินศูนย์บาทถ้วน ไม่แฟร์สุด ๆ

ศาลฟังแล้วเห็นใจเลยตัดสินใจอนุญาตให้สามคนที่ยื่นฟ้องเป็นอิสระจาก SM สามารถตัดสินใจรับงานเองได้ เป็นเหตุผลให้สามคนนี้ออกผลงานในนาม JYJ อยู่ในปัจจุบันนี้

แต่การพิจารณาคดียังไม่จบ ยังไม่มี verdict ออกมาว่าคดีนี้จะสิ้นสุดที่ใครต้องจ่ายเงินใครเท่าไร (ยังไง JYJ ก็ควรต้องจ่ายเงินให้ SM นิเพราะทำผิดสัญญาที่เซ็นไว้ 13 ปี เห็น ๆ อยู่ว่าก่อความเสียหายให้บริษัท)

คิด ๆ ไปแล้วก็ช่างละม้ายคล้ายคลึงกับปัญหานักเรียนหนีทุนอย่างน่าประหลาด

คิดภาพนักเรียนเรียนดีแต่ไร้ทุนทรัพย์ อายุก็ยังน้อย ๆ อยู่ ใฝ่ฝันอยากเรียนสูง ๆ ถึงป.เอก เรียนเมืองนอก U. ดัง ๆ ในสัญญาระบุไว้ชัดเจนว่าเรียนเสร็จต้องทำงานใช้หนี้เป็นเวลายาวนาน หลายรายก็สิบกว่าปี และถ้าทำคืนไม่ครบก็ต้องเสียเงินจำนวนมหาศาล ทั้งหมดทุกสตางค์ที่เคยได้รับไป ค่าเล่าเรียน ค่าอยู่ ค่ากิน ทุกอย่างต้องคืนสองเท่าหรือสามเท่า คูณเสร็จออกมาหลายล้านทีเดียวเชียว

ก็เซ็นรับกันไป เพราะอนาคตฟูฟ่องสดใส ช่างเย้ายวนใจ

พวกเด็กอยากเป็น idol ก็เหมือนกัน สัญญาน่ากลัวกักขังอนาคตแค่ไหน ก็เซ็นกันไป เพราะอยากจะไปเป็นดาวโดดเด่นบนฟากฟ้า จะไปไขว่คว้าเอามาดังใจฝัน ฯลฯ

พวกนักเรียนทุนพอเรียนจบ บางคนเริ่มคิดหนัก จะกลับไปเป็นข้าราชการตลอดชีวิตดีแน่รึ? ระบบคร่ำครึ ชีวิตอับเฉา จนอีกต่างหาก อย่ากระนั้นเลย อยู่ทำงานต่อที่เมืองนอก อนาคตดีกว่าเห็น ๆ หรือไม่บางคนก็เจอ the love of his/her life ระหว่างเรียน จะเอาเขากลับมาอยู่เมืองไทยไม่ได้หรอก culture shock ตายพอดี ฉันหนีทุนเนี่ยแหละ เหมาะที่สุด! ฯลฯ เหตุผลต่าง ๆ นานากันไป

ชาว idol ก็คิดหนักเหมือนกัน ฉันทำงานหนักขนาดนี้ เท่านี้ยังไม่พออีกเหรอ เมื่อไรฉันจะได้เป็นตัวของตัวเองบ้าง ต้องเป็น puppet ไปอีกนานเท่าไร? บริษัทเอาเปรียบเกินไปแล้ว! ออกดีกว่า!!

แล้วต้นสังกัดก็ต้องประสบปัญหา human resource
plan ที่วางไว้โบ๋ เพราะมีกรณีนักเรียนและ idol หนีทุนเกิดขึ้น -_-;;

เอวัง...


ลองคิดถึงตัวเองสมัครทำงานบริษัทแห่งหนึ่ง ให้เงินเดือนเยอะมากแต่ในสัญญาระบุว่าห้ามเปลี่ยนงานเป็นเวลาสิบปี คุณจะเซ็นไหม?

แต่นักเรียนทุนและไอดอลเหล่านี้เซ็น!! เพราะอะไร!! >_<

เพราะยังเด็กอยู่ ไม่มีประสบการณ์ เลยไม่ได้มองสถานการณ์แง่ worst case ไว้เลย มองแต่ best case ไว้หมด


กรำ

คิดว่าต่อจากนี้ไประบบการวางแผน human resource โดยพึ่งนักเรียนทุนจะลดน้อยลง เพราะการหาคนเก่ง ๆ จบดร.ในตลาดก็ไม่ได้ยากเกินไปนัก

ส่วนระบบการเทรนเด็กให้เป็น idol นั้นก็ต้องมีการพัฒนาต่อไป
ระบบกว้านเด็กมีแววทั่วประเทศมาประคบประหงมน่าจะค่อย ๆ เลือนหายไป

เปลี่ยนเป็นตั้งโรงเรียนสอนร้องสอนเต้น เก็บค่าเล่าเรียน ทำให้เป็นธุรกิจที่อยู่ได้ด้วยตัวเอง

แล้วค่ายเพลงก็ค่อยมาคัดเด็กที่เรียนแล้วได้ดีเอาไป package เป็น group มาขายต่อไปจะดีไหม จะได้ไม่ต้องลงทุนมโหฬารแล้วเอามาเป็นข้ออ้างในการจำกัดอนาคตเด็กเป็นสิบปีแบบนี้

คนเป็นผู้ใหญ่แล้ว ถามจริงเหอะ มีกี่เปอร์เซนต์ที่ตอบได้ว่าจริง ๆ แล้วตัวเองอยากทำอะไรในชีวิต?

แล้วทำไมถึงไปคาดหวังให้เด็กสิบกว่าขวบรู้และ fix อนาคตตัวเองอีกสิบกว่าปีข้างหน้าตั้งแต่ตอนนั้น?

เป็นผู้ใหญ่ที่ใจร้ายจริงเชียว :(

มีลูกมีหลาน อย่าลืมสั่งสอนนะคะว่านอกจากสัญญาค้ำประกันแล้ว มีสัญญาอีกประเภทหนึ่งที่ห้ามเซ็นเด็ดขาด

สัญญาจองจำอนาคตตัวเอง



Create Date : 09 มกราคม 2554
Last Update : 9 มกราคม 2554 18:55:43 น.
Counter : 11448 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

lulla
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



Group Blog