Free Counters
ปริศนามายามนต์ (ตอนที่ 6 - 9)

โดย :เจี๊ยบ (ลีโอลัคนา) [23 ก.ย. 2541 22:08:01]

@=== กลับไปอ่านความเดิมตอนที่แล้ว ===@


@=== บทที่หก ===@

"ไงเพื่อน นึกแล้วว่าคืนนี้นายจะต้องมา"

เฟร็ดทักทายเพื่อนร่วมงานอย่างร่าเริง
ดูเหมือนเขาดีใจมากที่เจออัย
ผิดกับอัย ที่หน้าถอดสี ตกใจจนต้องยืนพิงโต๊ะเพื่อไม่ให้ล้มลงไป

"เฟร็ด!"

หนุ่มผมแดงยังคงยืนอยู่ที่เดิม ยิ้มกริ่มอย่างพอใจที่เห็นเพื่อนตกใจ

"ตกใจอะไรกันพ่อหนุ่ม ไปเยี่ยมมายาแล้วล่ะสิ
เธอสวยมากนะจริงไหม เห็นปากของเธอหรือเปล่า
ช่างดูเย้ายวนจริงๆ"

เฟร็ดทำตาลอยเมื่อพูดถึงมายา เมื่ออัยตั้งสติได้ก็เริ่มซักถามเพื่อนทันที

"นี่นายบ้าไปแล้วเรอะเฟร็ด นายฆ่าคนเพื่อเอาเลือดมาให้มายาล่ะสิ
นายทำยังงี้ได้ยังไง กันนึกไม่ถึงเลยว่า
เพื่อการทดลองบ้าๆนี่แล้ว นายถึงกับต้องฆ่าคน!"

เฟร็ดยักไหล่อย่างไม่รู้สึกรู้สมอะไร กับคำกล่าวหาของอัย

"นายพูดอะไร กันยังไม่ได้ทำอะไรเลย ก็อยู่ในห้องแล็บนี่ตลอด"

"ถ้านายไม่ได้ทำแล้วใครทำล่ะ
นายจะอธิบายว่าเลือดที่ปากมายาน่ะเป็นของใคร
ของนายงั้นสิ เฮอะ"

เฟร็ดพยักหน้ารับ

"ใช่ เลือดของกันเอง นายไม่เห็นว่าสวยดีหรอกหรือ" เฟร็ดย้อนถาม

"นายเป็นบ้าไปแล้วเฟร็ด"

อัยส่ายหัวอย่างระอา แต่อย่างน้อยเขาก็เบาใจที่รู้ว่าเลือดที่เขาเห็นนั้น
เป็นของเฟร็ด แสดงว่าเฟร็ดไม่ใช่ฆาตกร และมายาก็ไม่ใช่ผีดูดเลือด
เขาเกือบจะสรุปว่าเขาคิดไปเองแล้วเชียว
ถ้าเฟร็ดไม่บังเอิญเดินเข้ามาหาเขา
จนอัยสามารถสังเกตเห็นรอยแผลบนลำคอของเฟร็ด

ถึงแม้ปากแผลเกือบจะปิดสนิทแล้วก็ตาม
แต่รูเล็กๆสองรูยังคงปรากฏให้เห็นเด่นชัด
ยิ่งตอกย้ำความเชื่อของอัยเข้าไปอีก
ทำให้อัยผงะถอยหลังไปอีกจนชิดขอบโต๊ะ
เขาชี้ไปยังแผลของเฟร็ดแล้วถามว่า

"นั่นนายไปโดนอะไรมาเฟร็ด"

"นิดหน่อยน่ะ"

เฟร็ดเอามือลูบปากแผล
สีหน้าอ่อนโยนลงเมื่อนึกถึงผู้ฝากรอยนี้ไว้
ก่อนที่จะเปลี่ยนเรื่องคุยว่า

"กันมีคนอยากแนะนำให้นายรู้จักนะอัย เข้ามาสิ"

เฟร็ดเดินไปที่ห้องเย็น
แล้วเปิดประตูค้างเอาไว้ในลักษณะเชื้อเชิญ
อัยจำใจเดินเข้าไปอย่างหวาดระแวง
เฟร็ดเดินนำไปถึงเตียงที่มายานอนอยู่
แล้วหันมาหาอัย

"นายคงไม่รู้ว่า งานของฉันประสบความสำเร็จแค่ไหน
ลองพิสูจน์ด้วยตาของนายเองเถอะ"

แล้วเฟร็ดก็ผายมือไปยังมายา เหมือนกำลังแนะนำแขกผู้สูงศักดิ์

"ขอแนะนำให้รู้จัก 'อิทซา'
เจ้าหญิงแห่งชนเผ่ามายา
ชนเผ่าที่เคยรุ่งเรืองในอดีต
เมื่อสองพันปีที่แล้ว"

อัยตกตะลึงตาค้าง เมื่อเห็นกับตาว่ามายาลุกขึ้นจากเตียง
มายืนเป็นสง่าเคียงข้างเฟร็ดซึ่งมีท่าทีภูมิใจมาก
ทั้งๆที่เมื่อกี๊นี้ เขากล้ายืนยันได้ว่า มายาไม่หายใจด้วยซ้ำไป!
แต่ตอนนี้เธอกลับมายืนอยู่ตรงหน้าเขา
เหมือนคนที่ไม่เคยเป็นอะไรมาก่อนเลย

อัยยืนตัวแข็งด้วยความตกใจ
มายาหรือเจ้าหญิงอิทซา ส่งยิ้มให้เขาอย่างมีไมตรีจิต
ดวงตาที่หลับพริ้มตลอดนั้น บัดนี้ มองตรงมายังเขา
ทำให้อัยลืมความสงสัยเมื่อครู่นี้จนหมดสิ้น
เพราะความสวยอย่างไม่มีใครเทียบเทียมนั้นเอง

เฟร็ดพูดทำลายความเงียบขึ้นมาว่า

"เราออกไปคุยกันข้างนอกดีกว่ามั้ยเพื่อน"

อัยพยักหน้ารับ
เฟร็ดจึงประคองมายาออกไปข้างนอก
เมื่อเดินผ่านอัย เธอหันมามองและยิ้มให้เขา
อัยสูดกลิ่นหอมชื่นใจที่ติดตัวเธอเข้าไปเต็มปอด
ก่อนจะเดินตามออกมาจากห้องเย็น
สู่ความสว่างของแสงไฟภายในห้องแล็บ

เมื่อออกมาข้างนอกแล้ว อัยจึงมีโอกาสสำรวจเธอได้อย่างถนัดตา
ดวงหน้าอ่อนเยาว์ของเธอที่เรียบเฉยมาตลอดที่เขาเคยเห็นจนชินตานั้น
บัดนี้กลับแย้มยิ้มอย่างมีชีวิตชีวา เผยให้เห็นความจริงใจและไว้วางใจ
ผมสีทองเปล่งประกายสุกใส ทิ้งตัวลงบนแผ่นหลังของเธอจนถึงบั้นเอว

มายาหรือที่ถูกต้องเรียก 'เจ้าหญิงอิทซา' เป็นคนที่ค่อนข้างสูงทีเดียว
เมื่อยืนเคียงข้างเฟร็ด ซึ่งค่อนข้างสูงโย่ง ก็ดูกลมกลืนกันดี
ผิวกายขาวผุดผาดนั้น แม้จะดูซีดไปบ้างก็หาได้ทำให้เธองามน้อยลงไม่
เป็นธรรมดาของคนที่ไม่โดนแสงแดดมานาน

อัยสบตาเจ้าหญิงแห่งชนเผ่ามายา
ก็พบว่าเธอกำลังจ้องมองเขาอยู่เช่นกัน
ดวงตาสีน้ำทะเลนั้นมีประกายลึกซึ้ง ชวนมองยิ่งนัก

"เอ้อ... ยินดีที่ได้รู้จักครับเจ้าหญิงอิทซา"

ในที่สุดอัยก็รวบรวมความกล้าทักทายเธอไป
แม้จะไม่แน่ใจนักว่า เธอจะฟังรู้เรื่องหรือเปล่า
แต่เธอกลับหัวเราะเสียงใสและตอบมาได้อย่างชัดถ้อยชัดคำ

"ไม่ต้องมีพิธีรีตรองมากมายก็ได้ค่ะ
เรียกดิฉันว่ามายาเหมือนเดิมก็ได้"

"เอ๊ะ คุณพูดภาษาไทยได้ด้วยหรือนี่"

"เฟร็ดช่วยสอนดิฉันค่ะ"

มายาพยักเพยิดไปทางเฟร็ดซึ่งยิ้มแป้นด้วยความภูมิใจจนปิดไม่มิด
ก่อนจะพูดต่อว่า

"ก่อนอื่น ดิฉันต้องขอขอบคุณ คุณอัยมากนะคะที่ช่วยพาดิฉันออกมา"

"เอ้อ ไม่เป็นไรครับ ว่าแต่ทำไมคุณถึงเข้าไปอยู่ในนั้นได้ล่ะครับ"

อัยถามเข้าประเด็นทันที เมื่อเธอพูดถึงโลงโลหะใบนั้น
มายานิ่งไปพักใหญ่ เธอถอนใจเหมือนกำลังคิดว่าจะตอบดีหรือเปล่า

"เรื่องมันยาวค่ะ ถ้าให้ดิฉันเล่าจริงๆ ก็คงเริ่มต้นที่...เมื่อสองพันปีที่แล้ว
ตอนที่พวกเรายังมีอารยธรรมที่รุ่งเรืองอยู่...."

เธอหยุด แล้วเหม่อมองออกไปยังหน้าต่าง
ผ่านความมืดภายนอกอย่างใช้ความคิด

"ตอนนั้น ดิฉันยังจำได้ดี ราวกับว่าเรื่องทั้งหมดเพิ่งเกิดเมื่อไม่นานมานี้เอง
วันนั้น ดิฉันกับเพื่อนเข้าไปในปิรามิดที่ท่านพ่อสั่งให้สร้าง
ด้วยความที่ยังเด็กและซุกซน เพื่อนของดิฉันได้ไปล่วงเกินสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ที่ท่านพ่ออัญเชิญไปสถิตย์ข้างในเข้า ตกดึกคืนนั้น เพื่อนของดิฉันก็ตาย
โดยที่มีรอยเขี้ยวฝังลึกอยู่ที่ลำคอ ใครๆก็สันนิษฐานว่าเป็นเพราะสัตว์ร้าย
แต่ดิฉันรู้อยู่แก่ใจว่าเพราะอะไร เวลาล่วงเลยไปจนดิฉันโตเป็นสาว
ในวันเฉลิมฉลองปิรามิดนั้น ดิฉันก็รู้สึกเบื่ออาหาร และกระหายน้ำเป็นกำลัง"

มายาหันกลับมามองอัย แล้วยิ้มเศร้าๆ

"ดิฉันดื่มน้ำเท่าไหร่ก็ไม่อาจดับกระหายได้
จนท่านพ่อเข้ามาเห็นอาการของดิฉันเข้า
จึงเค้นเอาความจริงจากดิฉัน จนได้ความ...
ท่านกรีดข้อมือแล้วส่งไห้ดิฉันดื่มดับกระหาย
ตอนแรกดิฉันไม่กล้าดื่มแต่พอได้กลิ่นคาวเลือดแล้ว
ดิฉันกลับรู้สึกหิวยิ่งขึ้น ตั้งแต่วันนั้นมา
ดิฉันก็อยู่ได้ด้วยเลือดสดๆ และไม่อาจออกไปสู่ภายนอกได้อีก"

มายาลุกขึ้นเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าต่างที่เธอมองแต่แรก
เอาแก้มแนบกระจกเย็นเยียบ แล้วมองออกไปภายนอก

"ท่านพ่อส่งคนมาเป็นอาหารดิฉันทุกวันๆ จนชาวเมืองเริ่มเอะใจ
เพราะมีคนหายอยู่เนืองๆจึงระมัดระวังตัวแจ
เมื่อไม่มีเลือดกิน ดิฉันก็เริ่มออกไปหาเอง
จนถูกจับตัวได้ในคืนวันหนึ่ง
ชาวบ้านโกรธแค้นดิฉันมาก ท่านพ่อก็ช่วยอะไรไม่ได้
เพราะไม่มีวิธีแก้ มันเป็นคำสาป ที่ดิฉันต้องแบกรับเอาไว้
พวกเขาไม่สามารถฆ่าดิฉันได้ เพราะคำสาปต้องมีที่สิงสู่
โลงโลหะจึงถูกสร้างขึ้น และเริ่มมีการเสาะหายางไม้อำพัน
เพื่อกักร่างของดิฉันและคำสาปนั้น ให้สงบลง"

มายาไล่สายตาตามร่างของชายคนหนึ่งที่เดินอยู่ข้างล่าง

"แล้ววันพิพากษาก็มาถึง คืนวันพระจันทร์เต็มดวงอันศักดิ์สิทธิ์
ดิฉันถูกผนึกไว้ในอำพัน แล้วบรรจุลงโลงโลหะ
โดยมีแผ่นทองคำคอยสะกดอาถรรพ์จากคำสาปไว้
เพื่อไม่ให้ดิฉันออกอาละวาดอีก หลังจากนั้นดิฉันก็ไม่รู้อะไรอีกเลย
จนกระทั่งฟื้นขึ้นมาอีกที ก็ได้พบพวกคุณนี่แหละค่ะ"

มายาหันกลับมามองไปยังเฟร็ดซึ่งยืนทำหน้าเศร้าอยู่ไม่ไกลนัก

"ดิฉันโชคดี ที่ได้เฟร็ดช่วยสละเลือดให้ดิฉัน
ทำให้ดิฉันสามารถลุกมามีชีวิตได้อีกครั้ง"

อัยยืนตะลึง เมื่อได้ฟังเรื่องราวของมายา
แสดงว่าเธอก็คือผีดูดเลือดดีๆนี่เอง
แต่เขากลับไม่รู้สึกกลัวเธออย่างที่คิดแต่แรก
หากกลับรู้สึกสงสารและอยากปกป้องด้วยซ้ำไป

"งั้นตอนนี้ คุณก็ยังต้องการเลือดอยู่อีกใช่ไหม มายา"

"ใช่ค่ะ ดิฉันขาดมันไม่ได้"

"ผมขอถามคุณหน่อยเถอะว่า คุณหรือเปล่า
ที่เที่ยวออกดูดเลือดคนในช่วงสองอาทิตย์มานี้" อัยถามอย่างเอาจริงเอาจัง

มายาทำหน้าพิศวง

"เปล่านี่คะ ดิฉันอยู่กับเฟร็ดตลอดเวลา
และก็อย่างที่บอก ดิฉันอาศัยเลือดของเขานี่แหละค่ะ
ไม่ได้ออกไปไหนเลย"

อัยมองหน้าเธอ ก็เห็นความบริสุทธิ์ใจฉาบอยู่บนใบหน้างามนั้น
ทำให้เขาไม่ติดใจอะไรอีก เฟร็ดเดินเข้ามาตบไหล่เขาเบาๆ

"วันนี้พอแค่นี้ก่อนเถอะอัย มายายังไม่ฟื้นตัวดีนัก
ไว้พรุ่งนี้นายค่อยมาใหม่ดีกว่า"

อัยหันไปมองมายาอย่างอาลัยอาวรณ์

"งั้น พรุ่งนี้ผมจะมาแต่เช้า"

"ราตรีสวัสดิ์ค่ะ"

อัยหันหลังกลับ เดินออกไปนอกห้อง
มายาหันกลับไปที่หน้าต่างอีกครั้ง
ชายคนนั้นยังเดินเตร็ดเตร่อยู่แถวนั้นเหมือนรอใครอยู่
เธอยิ้มอย่างพึงพอใจ เผยให้เห็นเขี้ยวขาววับที่มุมปากอย่างชัดเจน
เฟร็ดเดินมาแล้วโอบเธอไว้จากด้านหลัง กระซิบถามสาวสวยว่า

"ทำไมคุณไม่จัดการเขาซะล่ะ"

"ยังไม่ถึงเวลา เฟร็ด"

"แล้วเมื่อไหร่... นี่คุณชอบมันเข้าแล้วล่ะสิ
แน่ล่ะ มันออกจะหล่อปานนั้น แล้ว..."

มายาหันกลับมาจ้องหน้าเฟร็ดอย่างไม่พอใจ
ที่เฟร็ดแสดงความหึงหวงออกมาจนน่าเกลียด
เธอผลักเขาออกห่างพลางเบี่ยงตัวออกมา
แล้วพูดด้วยเสียงเกรี้ยวกราดว่า

"อย่ามายุ่งเรื่องของข้าให้มันมากนัก เอ็งรออยู่ที่นี่ ข้าจะออกไปข้างนอก!"

@=== บทที่เจ็ด ===@

เที่ยงคืนแล้ว แต่อัยยังนอนไม่หลับ
เขาพลิกตัวไปมาอย่างกระสับกระส่าย
ดวงหน้าหวานอมเศร้าของมายาปรากฏขึ้นชัดเจน

"ทำยังไงจึงจะช่วยเธอได้นะ"

อัยรู้สึกเห็นใจเธอมากที่ต้องเผชิญกับเคราะห์กรรมถึงขนาดนี้
เขาจะต้องหาทางช่วยเหลือเธอให้พ้นจากคำสาป แต่จะต้องทำยังไง?

อัยมารู้สึกเคลิ้มเอาตอนใกล้รุ่ง ก่อนที่หนังตาจะปิดสนิท
เขาเห็นเงารางๆของผู้หญิงคนหนึ่งเดินใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา
และทรุดตัวนั่งข้างเตียง กลิ่นหอมรวยรินออกมากระทบจมูกของเขา
ก่อนที่สติจะดับวูบไป

=======================================

ขณะเดียวกัน ในห้องพักแห่งหนึ่งย่านสุขุมวิท หนุ่มต่างชาติคนหนึ่ง
กำลังจัดของในกระเป๋าให้เข้าที่เข้าทาง เขามาถึงเมืองไทยได้สองสามวันแล้ว
เพื่อสืบเรื่องราวบางอย่าง...

มาโค่หยิบแผ่นโลหะสีทองสุกปรั่งในมือขึ้นมองอย่างพินิจพิเคราะห์
พลางนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น หลังจากที่เขาได้ยักยอกสิ่งนี้มาเป็นของตน

คืนนั้น ในขณะที่เขากำลังวาดฝันอย่างสวยหรูว่า
เมื่อขายแผ่นทองนี้ได้แล้ว เขาจะมีเงินใช้มากมาย
เขาฝันถึงบ้านและที่ดินราคาแพงที่สุด และรถคันงาม
กับสาวสวยเคียงข้าง แต่แล้วก็มีสิ่งหนึ่งมาขัดจังหวะเขา

ควันสีขาว พวยพุ่งเข้ามาทางหน้าต่าง และรวมกลุ่มกันเป็นรูปร่าง
มาโค่ขยี้ตาและหยิกตัวเองแรงๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ใช่ความฝัน
ร่างนั้น เป็นร่างของผู้หญิงคนหนึ่ง เธอได้บอกบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญมากแก่เขา
และก่อนจะจากไป เธอยังได้กำชับนักหนา ให้เขาทำตามที่เธอบอกทุกอย่าง
เพื่อความปลอดภัยของเขาเอง และผู้ที่ได้โลงโลหะนั่นไปครอบครอง
มาโค่ไม่ค่อยเชื่อในสิ่งที่หญิงคนนั้นบอกนัก
แต่เขาก็ตัดสินใจเดินทางมาเมืองไทย
เพื่อสืบเรื่องต่างๆที่ผิดปกติที่นี่ ว่าเป็นจริงดังที่เธอผู้นั้นกล่าวหรือไม่

และเมื่อปรากฏว่า มีการตายอย่างลึกลับเกิดขึ้นที่นี่จริงๆ
ลักษณะตรงกับที่เธอบรรยายให้เขาฟัง
แสดงว่า เรื่องนี้ต้องไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแน่ๆ
และถ้าเป็นเช่นนั้น เพื่อนของเขาก็กำลังตกอยู่ในอันตราย!

มาโค่ตัดสินใจเดินทางไปบอกเล่าเรื่องราวให้อัยรับรู้
ถึงอันตรายอันน่าสะพรึงกลัวที่กำลังจะเกิดขึ้น
เขาเก็บแผ่นทองคำลงหีบใบเล็กอย่างดีและถนุถนอม
เอนตัวลงนอน พลางคิดถึงคำพูดของเธอผู้นั้น

"มีคนคนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยได้ เราจะส่งเขาตามไปโดยเร็ว
วันที่ X เดือน X ให้ไปรับเขาที่สนามบินดอนเมือง
ไม่จำเป็นต้องรู้ว่า ลักษณะของเขาเป็นอย่างไร
เมื่อไปถึงที่นั่น คุณจะรู้เอง..."

========================================

......
...
..

"เรื่องมันก็เป็นอย่างนี้แหละ กันว่านายอยู่ห่างๆหล่อนเอาไว้ก่อนดีกว่า"

อัยมองหน้ามาโค่ กับแผ่นทองคำตรงหน้าสลับไปมา แล้วหรี่ตามองอย่างไม่เชื่อถือ

"นี่นายมาถึงเมืองไทยเพื่อจะบอกว่า มายาเป็นปีศาจที่ดุร้าย
ทั้งที่มีหลักฐานแค่แผ่นทองคำแผ่นเดียวกับวิญญาณลึกลับตนนึงน่ะหรือ
ฟังนะมาโค่ กันไม่รู้ว่านายไปเอาแผ่นบ้าๆนี่มาจากไหน
และไม่สนใจว่า ผีตัวนั้นพูดอะไรกับนาย
แต่กันได้พบและพูดคุยกับมายาแล้ว เธอไม่ได้เป็นอย่างที่นายคิดหรอกนะ
เธอทั้งสุภาพ อ่อนโยน และถึงเธอจะดื่มเลือดเป็นอาหาร
แต่เธอก็ไม่ได้ฆ่าใครนี่นา เราเอาเลือดที่มีคนบริจาค จากโรงพยาบาลให้เธอ
ซึ่งเท่านั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับเธอ"

อัยยกมือขึ้นเป็นเชิงห้าม เมื่อมาโค่ตั้งท่าจะเถียง

"พอแล้ว กันไม่อยากจะฟังเรื่องนี้อีก
ยังไงนายก็ออกจากทีมของเราไปแล้ว
และกันไม่ต้องการให้นายมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกต่อไป
กลับไปเสียเถิด กันมีงานอีกมากมายที่ต้องทำ"

มาโค่มองอัยแล้วส่ายหน้า เขามาช้าเกินไป
อัยโดนสเน่ห์ของอิทซาเข้าให้แล้ว
เพราะฉะนั้น ทางเดียวที่เหลืออยู่คือ
ต้องกำจัดอิทซาและขังหล่อนเอาไว้อย่างเดิม
ก่อนที่เรื่องจะบานปลายมากไปกว่านี้

มาโค่เรียกแท็กซี่ไปดอนเมือง ทันทีที่ออกจากบ้านของอัย
โดยมีสายตาสองคู่จับตาดูอยู่ ...

===========================================

"คุณมาโค่ใช่มั้ยครับ"

มาโค่หันไปมองก็พบชายผมแดง ร่างสูง ผอม
สวมแว่นกันแดดสีดำ ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ

"มีคนบอกให้ผมมาหาคุณ คือผมมาจากเม็กซิโกนะครับ
ผู้หญิงคนนึง... ไม่ใช่สิ ต้องเรียกว่าวิญญาณตนหนึ่งมาหาผม
แล้วบอกว่ามีคนกำลังต้องการความช่วยเหลือ"

ชายคนนั้นแนะนำตัวเองต่อ เมื่อเห็นมาโค่ทำท่าแปลกใจ

"ผม 'เฟร็ด' ครับ ยินดีที่ได้รู้จัก"

"เอ่อ... เช่นกันครับ ผมมาโค่ครับ อ่า...คุณรู้ได้ยังไงว่าเป็นผม"

เฟร็ดยิ้ม ก่อนจะตอบว่า

" 'เธอ' บอกผมว่า คุณจะมารอรับผม ในวันนี้ ที่ตรงนี้"

มาโค่มีท่าทีโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด รีบละล่ำละลักบอกเฟร็ดว่า

"ผมสงสัยว่า เพื่อนของผมจะถูกเวทย์มนต์หรือคุณไสยบางอย่างจากเจ้าหญิงอิทซาครับ
ได้โปรด รีบช่วยเหลือเขาโดยด่วนเลยนะครับ"

"ตอนนี้ เขาอยู่ไหนล่ะครับ"

"ผมคิดว่า เขาคงอยู่ที่ห้องแล็บแถวรังสิตแน่นอนครับ
เพราะผมได้ข่าวมาว่า พวกเขาทำการวิจัยกันที่นั่น"

"งั้นเราไปกันเลยดีกว่าครับ ชักช้าเดี๋ยวจะไม่ทันการณ์"

มาโค่เดินนำเฟร็ดไปอย่างรีบร้อน
ในขณะที่ดวงตาของเฟร็ดที่จับจ้องไปยังร่างของชายตรงหน้านั้น แข็งกร้าวและดุดัน

======================================

มาโค่เดินนำเฟร็ดไปยังห้องแล็บที่เขาเคยมาสองสามครั้ง
ประตูไม่ได้ล็อก ทำให้ทั้งสองเข้าไปได้อย่างง่ายดาย
เฟร็ดปิดประตูตามหลัง แล้วเดินตามมาโค่ไปอย่างสบายๆ
มาโค่มองไปรอบๆ แต่ก็ไม่พบใครในห้องเลย

"แปลกจริง ทำไมไม่มีใครอยู่ แล้วห้องก็ไม่ได้ล็อกด้วย หรือคุณว่าไงเฟร็ด"

มาโค่บ่นและหันไปมองเฟร็ดเชิงถาม จึงทันเห็นเฟร็ดกำลังถอดแว่นกันแดดออก
แล้วเก็บลงกระเป๋าเสื้อ มาโค่อ้าปากค้าง ในขณะที่เฟร็ดเงยหน้าขึ้น ดวงตาที่แดงก่ำนั้น
บ่งบอกถึงสถานะของเขาอย่างชัดแจ้ง

"นั่นสิมาโค่ นายว่าไงล่ะ?"

"แก...แก...แกมันพวกปีศาจนี่"

เฟร็ดแสยะยิ้มอย่างผู้ถือไพ่เหนือกว่า มาโค่ถอยกรูด
จนไปชนกับผู้หญิงคนหนึ่งที่เข้ามาตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้

"เจ้าหญิงอิทซา!"

มาโค่ตาเหลือก เมื่อเห็นเธอผู้นั้นถนัด อิทซาหรืออีกนัยหนึ่งคือมายาส่งยิ้มให้มาโค่
อันเป็นผลให้เขาเห็นเขี้ยวขาววาววับตรงมุมปากของเธอ แล้วกล่าวทักทาย

"อื้ม... รู้จักชื่อข้าซะด้วย นังนั่นบอกแกแค่ไหนล่ะ รูปหล่อ ฮิฮิฮิ"

"กะ..แกมันนังปีศาจ ไปให้พ้นนะ ช่วยด้วย!! ใครก็ได้ช่วยที!!"

มาโค่ส่งเสียงร้องลั่น ทำให้คนสองคนที่กำลังเดินขึ้นมาสบตากัน
ก่อนที่จะวิ่งแข่งกันขึ้นมาข้างบน ฝ่ายชายพังประตูผางเข้ามา
ตามติดด้วยฝ่ายหญิงที่วิ่งพรวดพราดเข้ามาด้วยติดๆ
มาโค่รีบผวาเข้าไปหาทั้งสองคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ทันที

"ช่วยด้วยครับ สองคนนี้มันเป็นปีศาจ และพวกมันกำลังจะฆ่าผม"

"เฟร็ดคะ นี่เกิดอะไรขึ้น ทำไมคุณถึง แล้วนั่น...มายา! ฟื้นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่"

นนทรีงงจัด รัวคำถามเป็นชุด และทำท่าจะเดินเข้าไปหาเฟร็ด แต่ทศการฉุดมือไว้
เขาชักปืนออกมาถือไว้ในมือ

"อย่าเข้าไปนน ดูพวกเขาให้ดีๆสิ เขาไม่ใช่คนอย่างเราๆนะ"

นนทรีชะงัก มองหน้าเฟร็ดแล้วก็เสียววูบ เมื่อสบตาแข็งกร้าวนั้น
และเมื่อหันไปมองมายา ก็พบเธอแสยะยิ้มท้าทาย

"ปีศาจ!"

เธอหวีดร้องขึ้นสุดเสียง ผงะไปข้างหลัง ก็พอดีปะทะกับอัยที่เพิ่งเดินเข้ามา
นนทรีโผเข้ากอดอัย พลางสะอึกสะอื้นด้วยความกลัว

"อัยคะ ระวังค่ะ พวกเขาไม่ใช่คน!"

"มานี่สิคะที่รัก มาหามายา"

มายาส่งเสียงหวานเจื้อยแจ้วเรียกอัยให้เข้าไปหา
อัยเดินเข้าไปเหมือนถูกสะกด มิไยที่นนทรีจะฉุดตัวไว้
แต่ก็สู้แรงไม่ไหว ทศการกับมาโค่เข้าขวางก็โดนผลักกระเด็น
นนทรีตาพร่าพรางด้วยน้ำตา เมื่อเห็นอัยเดินเข้าสู่อ้อมกอดของมายา
และหมดสติลงท่ามกลางเสียงหัวเราะบาดหูเหมือนเยาะเย้ยของหล่อน

"ฆ่าพวกมันให้หมดเฟร็ด อย่างปล่อยให้รอดไปได้แม้แต่คนเดียว!"

มายาสั่งเฟร็ด ซึ่งเปรียบเหมือนทาสผู้ซื่อสัตย์ของเธอ
เฟร็ดย่างสามขุมเข้าหาคนทั้งสาม

ทศการลุกขึ้นได้ก็รีบเข้ามาอุ้มนนทรีที่หมดสติอยู่เพื่อพาหนี
แต่เฟร็ดเข้าขัดขวาง มาโค่จึงรับช่วงต่อ
พานนทรีออกไปข้างนอก ส่วนทศการยิงสกัดเอาไว้
กระสุนยิงไปถูกเฟร็ดทุกนัด เลือดสดๆไหลทะลักออกมา
แต่เฟร็ดก็ไม่สะดุ้งสะเทือนเลย จนกระสุนหมดทศการเลยขว้างปืนใส่เฟร็ด
แล้ววิ่งหนีไม่คิดชีวิต มาโค่พานนทรีหนีออกไปจนเกือบถึงประตูตึกที่เปิดอ้าอยู่
แต่ก็พบมายายืนขวางอยู่ก่อนแล้ว จึงต้องหยุดดูเชิง
ในขณะที่ทศการวิ่งมาสมทบ โดยมีเฟร็ดตามมาติดๆ!

มายาเดินเข้าหาคนทั้งสามช้าๆ พลางแสยะยิ้ม แลบลิ้นเลยฝีปากอย่างหิวโหย

"จะหนีไปไหนพ้น ฮิฮิฮิ มาให้ข้าดูดเลือดเสียดีๆเถอะ"

มาโค่และทศการเหลียวหน้าเหลียวหลัง เพื่อหาทางหนี
แต่มายาและเฟร็ดไม่เปิดโอกาสให้นานนัก
ทั้งคู่กระโจนเข้าใส่คนทั้งสามด้วยความหิวโหย...

@=== บทที่แปด ===@

"หยุดนะอิทซา!"

เสียงอันทรงอำนาจเสียงหนึ่ง ดังมาจากประตูด้านหน้า
ส่งผลให้มายาชะงักการเคลื่อนไหว มาโค่ตะโกนลั่นด้วยความดีใจ

"คุณ! คุณนั่นเอง"

ร่างบอบบางของหญิงสาวคนนั้น เดินเข้ามาใกล้
สายตาของเธอ จับจ้องไปที่ร่างของมายา

"ในที่สุด ท่านก็ฟื้นขึ้นมาจนได้นะ อิทซา
แต่ก็ยังไม่รู้สำนึก ยังก่อกรรมทำชั่วเหมือนเดิม"

มายา หรือเจ้าหญิงอิทซายิ้มเยาะ

"แล้วแกจะทำอะไรได้ ข้าในตอนนี้ ไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้วนะ
ถ้าคิดจะจับข้าขังอีกเหมือนที่บรรพบุรุษของแกเคยทำล่ะก็
อย่าหวังเลย ฮ่าๆๆ"

"แล้วเราจะได้เห็นกัน อิทซา"

หญิงแปลกหน้ากล่าว พลางโบกมือไล่

"ไปนะ อย่าก่อกรรมให้มากกว่านี้อีกเลย"

อิทซาทำท่าขุ่นเคือง แกมลังเล เพราะยังเกรงๆอยู่
ถึงแม้ว่าเธอจะยังไม่เคยประมือกับคนผู้นี้มาก่อน
แต่ความเจ็บปวดครั้งเก่าที่เคยได้รับ
ทำให้เธอไม่อยากเผชิญหน้า ถ้าไม่จำเป็น
และตอนนี้เธอยังไม่ได้ดูดเลือดใครเลย
กำลังของเธอจึงยังไม่มากพอที่จะต่อสู้กับจอมเวทย์ได้
อิทซาสะบัดหน้าพรืด เรียกเฟร็ดให้ตามกลับไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
แต่ก็ไม่ลืมกล่าวคำอาฆาตแค้นไว้ เพื่อไม่ให้เสียฟอร์ม

"ฮึ ครั้งนี้ ถือว่าข้ายกให้ก็แล้วกัน"

เธอมองไปที่คนทั้งสามที่เกือบเป็นเหยื่อของเธออย่างเสียดาย

"แต่คราวหน้า.... อย่าหวังว่าจะรอด"

แล้วอิทซากับเฟร็ดก็เดินลับหายเข้ากำแพงตึกไปอย่างรวดเร็ว
หญิงแปลกหน้าหันกลับมาหาคนทั้งสามที่ทรุดลงไปกองบนพื้นอย่างหมดแรง
เธอเหลือบมองนนทรี ซึ่งยังไม่ได้สติ แล้วพูดกับมาโค่ว่า

"ออกไปจากที่นี่ก่อนเถอะ เดี๋ยวอิทซาย้อนกลับมาจะแย่"

=======================================

"คุณเป็นใครกันแน่"

ทศการถามหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยความฉงน

"เรียกดิฉันว่าไซด้าก็ได้ค่ะ"

เธอเดินไปนั่งข้างเตียงที่นนทรีนอนหมดสติอยู่ เอามือแตะหน้าผาก
แล้วเอาผ้าขนหนูชุบน้ำที่อ่างบนโต๊ะเล็กข้างเตียง แล้ววางบนหน้าผากของนนทรี

"ดิฉันเป็นผู้สืบทอดเวทย์มนต์ของชาวมายา"

มาโค่ ถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจ

"คุณดูเหมือนกับวิญญาณตนนั้นที่มาเตือนผมเรื่องเจ้าหญิงอิทซา"

หญิงสาวยิ้ม ก่อนจะกล่าวสืบต่อไปว่า

"ท่านเป็นบรรพบุรุษของดิฉันค่ะ ผู้สืบทอดทุกรุ่น
หน้าตาจะคล้ายคลึงกันเป็นเรื่องปกติค่ะ ท่านส่งดิฉันมา"

"ทำไมผมไม่เห็นคุณที่สนามบินล่ะครับ"

"ความจริงดิฉันกำลังจะเข้าไปหาคุณแล้วล่ะค่ะ
แต่บังเอิญเห็นสมุนของอิทซาเข้าไปหาคุณเสียก่อน
จึงตามมาห่างๆเพราะเป็นทางเดียวที่ดิฉันจะรู้ที่กบดานของหล่อน
แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจปล่อยให้คุณมาเสี่ยงตายนะคะ"

ไซด้าเปลี่ยนผ้าชุบน้ำใหม่อีกรอบ แล้วกล่าวต่อ

"เมื่ออิทซาดูดเลือดได้มาก พลังของเธอก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ
ดังนั้น ทางเดียวที่จะตัดกำลังของหล่อนได้ คือเราต้องหาทางกักหล่อนไว้
ไม่ให้ออกไปดูดเลือดคนได้"

"แต่ในนั้นมีคนอยู่กับมันสองคนนะครับ" ทศการแย้ง

"เกิดมันหิวจัดๆขึ้นมา เป็นได้ดูดเลือดอัยเพื่อนผมหมดตัว
เจ้าเฟร็ดน่ะช่างเหอะ มันไม่ใช่คนไปแล้ว ขนาดโดนลูกปืนผมไปหมดกระบอก
มันยังเฉยๆเลย"

"คุณต้องช่วยอัยให้ได้นะคะ"

นนทรีซึ่งเพิ่งได้สติ และนอนฟังการสนทนาอยู่พักหนึ่งแล้วขอร้องไซด้า

"อัยคงจะโดนเวทย์มนต์ของมันเข้าแล้ว
ใครฉุดใครรั้งก็เอาไม่อยู่"

ไซด้ามองนนทรีอย่างเห็นใจ

"โอกาสรอดคงน้อยแล้วล่ะค่ะ ลงตกอยู่ในมือของหล่อนแล้วอย่างนี้
ถ้ายังไม่โดนดูดเลือดก็ยังพอมีทาง แต่ถ้า.... ก็สายเกินไป"

"งั้นเราไปช่วยเดี๋ยวนี้เลย" ทศการรีบลุกขึ้นอย่างกระตือรือร้น

"อย่าเพิ่งเลยค่ะ ตอนนี้อิทซาคงระวังตัวแจ
เอาไว้รอโอกาสเหมาะๆดีกว่า อีกไม่นานหรอกค่ะ"

ไซด้ากล่าวอย่างมั่นใจ

=========================================

เฟร็ดหงุดหงิดมากที่ยังไม่มีอาหารตกถึงท้อง
มายามองเฟร็ดอย่างรำคาญ ในขณะที่อัยนั่งเหม่อลอยอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง

"หยุดเดินซะทีน่าเฟร็ด ข้ารำคาญเต็มทนแล้ว"

"เมื่อกี้ทำไมไม่จัดการทั้งสี่คนเลยล่ะ น่าเสียดายจริงๆ
จะได้ไม่ต้องมานั่งหิวอยู่อย่างนี้"

"ข้ายังไม่อยากเสี่ยง"

เฟร็ดหรี่ตามองมายาอย่างดูถูก

"กลัวอะไรกับผู้หญิงแค่คนเดียว นังนั่นไม่มีอาวุธด้วยซ้ำไป"

มายาตวาดเสียงกึกก้องจนห้องสะเทือน พลางถลึงตาใส่เฟร็ดอย่างไม่พอใจ

"แกมันโง่ เฟร็ด ข้าไม่เคยกลัวใคร แต่ก็ประมาทไม่ได้"

เฟร็ดถอนหายใจเฮือกใหญ่ มองไปยังอัยอย่างกระหาย

"งั้น ข้าจะกินมันแทน!"

"ถ้าเอ็งเข้ามา ตาย! ของๆข้า ใครก็แตะไม่ได้
ถ้าเอ็งหิวนักล่ะก็ ออกไปหากินเอาเองซี่"

"ถ้าออกได้ข้าออกไปนานแล้ว ไม่รอให้เจ้าสั่งหรอก
คนแถวนี้มันย้ายหนีไปหมดแล้ว ไม่เหลือเลย
แล้วถ้าต้องออกไปไกลๆ ข้าก็กลับมาที่นี่ไม่ทันน่ะสิ
ฟ้าใกล้สางอยู่แล้วนะ ข้าสู้แสงแห่งรุ่งอรุณไม่ได้เจ้าก็รู้"

"งั้นก็หุบปาก! แล้วกลับไปที่ของเจ้า
ข้าต้องการอยู่คนเดียว"

เฟร็ดยิ้มเยาะ ถากถางมายาด้วยความโมโหว่า

"อ้อ อยากจะอยู่กับอ้ายหนุ่มหน้ามนสองต่อสองล่ะสิ
อย่าลืมนะว่า มันเป็นมนุษย์ แล้วเจ้า...หึหึหึ"

"ไสหัวไปนะ ถ้าเจ้ายังยั่วโมโหข้าอีกล่ะก็
ข้าไม่ละเว้นเจ้าแน่ เฟร็ด"

เฟร็ดหน้าแดงด้วยความโกรธจัด แต่ก็ไม่กล้าหือกับมายาอีก
ได้แต่เดินกระแทกเท้าปึงๆออกไปนอกห้อง แล้วปิดประตูตามหลังดังโครม!
มายามองตามหลังเฟร็ดอย่างโกรธแค้น พึมพัมเบาๆว่า

"อย่าลืมซี่ว่าเจ้ามันก็มนุษย์เหมือนกัน
ไว้ข้าเสร็จงานเมื่อไหร่ ก็อย่าหวังว่าข้าจะเอาเจ้าไว้!"

===================================

"อิทซาเป็นเจ้าหญิงแห่งเผ่ามายา" ไซด้าเริ่มเล่าประวัติของมายา

"เธอเป็นคนที่มีจิตใจดุร้ายและโหดเหี้ยมมาตั้งแต่เด็ก
ตอนเล็กๆ เธอฆ่าเพื่อนเล่นของเธอด้วยวิธีทารุณบ่อยครั้งจนไม่มีใครกล้าเล่นด้วย
พอโตพอจะรู้หนังสือ เธอก็เริ่มหมกมุ่นอยู่กับมนต์ดำของปิศาจ
ด้วยอำนาจของยศศักดิ์ที่มีอยู่ในมือ
เธอสั่งให้ข้าทาสในปกครองหาเลือดสดๆมาเข้าพิธีทุกคืนเดือนเพ็ญ
ไม่มีใครรู้ว่า เธอเอาเลือดพวกนั้นไปเข้าพิธีอะไร
ต่อมา ทาสของเธอก็ค่อยๆหายหน้าไปทีละคน ทีละคน"

ไซด้ายกกาแฟขึ้นจิบ ก่อนที่จะเล่าต่อ

"ทีแรก พวกเรานึกว่าเป็นเพราะทนความโหดร้ายของอิทซาไม่ไหว จึงหนีไป
จนวันหนึ่ง ราชา ซึ่งก็คือพ่อของอิทซานั่นแหละไปพบลูกสาวเอามืดเชือดคอทาส
แล้วดูดเลือดทั้งเป็นๆอย่างนั้นจนหมดตัว
ท่านจึงสั่งกักตัวอิทซาไว้ไม่ให้ออกมาข้างนอก
และไม่ให้ใครเข้าใกล้ ด้วยเกรงว่าจะถูกเธอจับกินเหมือนคนอื่นๆ"

นนทรี กับทศการ มองตากันพลางกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น
ส่วนมาโค่ เอามือลูบคอโดยไม่รู้ตัว

"คืนหนึ่ง อิทซาหนีออกจากวัง
พอรุ่งเช้าก็มีเด็กชาวบ้านหายตัวไปหลายคน
พ่อแม่ของเด็กออกติดตาม
ก็พบร่างไร้วิญญาณที่ถูกสูบเลือดจนหมดตัว
ของเด็กเหล่านั้นอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง"

"ราชาสั่งคนออกตามล่าอิทซาด้วยหัวใจที่ร้าวราน
แต่ท่านจะปล่อยให้เธอเที่ยวฆ่าคนอย่างนี้ไม่ได้
อิทซาถูกจับในอีกสามอาทิตย์ถัดมา
ในขณะเข้าไปขโมยเด็กจากเปลกลางดึก
ตอนนั้น เธอกลายเป็นปิศาจเต็มตัวไปแล้ว
เขี้ยวที่ยาวผิดปกตินั้น บอกว่าปิศาจได้ยอมรับเธอแล้ว
ในที่สุด หล่อนถูกตัดสินให้ฆ่าทิ้งเสีย แต่ราชาทำใจไม่ได้
และบรรพบุรุษของดิฉันก็ได้คัดค้านด้วย
โดยให้เหตุผลว่า ปิศาจ... ฆ่ายังไงก็ไม่ตาย
วิธีเดียวที่จะควบคุมมันได้ คือการกักขังด้วยมนต์อันศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น"

"เพราะเหตุนี้ถึงได้มีการสร้างโลงโลหะ และแผ่นกำกับทองคำนี้ไว้ใช่มั้ยครับ"

มาโค่เสริม อย่างพอจะเห็นภาพเลาๆ ไซด้าพยักหน้ารับ

"ใช่ค่ะ ส่วนอำพันที่ห่อหุ้มร่างของหล่อนนั้น
ก็เพื่อไม่ให้เธอดิ้นรนจากพันธนาการนี้ง่ายนัก แต่..."

"แต่เรากลับไปละลายมันออกเสีย"

นนทรีพูดขึ้น พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่
และคิดว่า เธอน่าจะยับยั้งพวกเขาตั้งแต่แรก
เพราะเธอเองก็รู้สึกแปลกๆกับโลงที่อัยนำกลับมาอยู่แล้ว
แต่มารู้สึกเสียใจตอนนี้ มันก็สายเกินไป

"ความจริง มนต์ที่สะกดอิทซาอยู่นั้น
ได้เสื่อมตั้งแต่แผ่นโลหะหลุดออกจากโลงแล้ว
ลำพังเพียงอำพัน มันจะออกมาเมื่อไหร่ก็ได้
แต่ที่มันยังไมสำแดงฤทธิ์ในตอนนั้น
เพราะมันไม่มีแรง มันไม่ได้กินอาหารมานานถึงสองพันปี
และถ้ามันออกอาละวาดในเวลานั้น
ดิฉันก็จะปราบมันได้โดยเร็ว และง่ายดาย
เพราะมันยังมีพลังไม่เต็มที่" ไซด้าอธิบายต่อ

"แล้วตอนนี้ล่ะครับ" ทศการถามขึ้นอย่างเอาจริงเอาจัง

ไซด้า มองหน้าคนทั้งสาม ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาอย่างหนักแน่นว่า

"ถึงยังไง ดิฉันก็จะต้องจัดการปราบอิทซาให้อยู่ค่ะ
ไม่อย่างนั้น... เมืองนี้คงลุกเป็นไฟแน่
ดิฉันไม่อยากให้เป็นเหมือนเผ่ามายาของเราในอดีต
ชาวบ้านบางส่วน อพยพหนีตายกันจนเมืองร้าง
แม้ว่าเราสามารถควบคุมอิทซาได้แล้วในภายหลัง
พวกเขาก็ไม่หวนกลับมาอีกเลย
ไม่มีใคร อยากจะอยู่ร่วมกับปิศาจ โดยเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงหรอกค่ะ!"

@=== บทที่เก้า ===@

มายามองอัยอย่างพึงพอใจ คิดว่าจะให้เขาอยู่เคียงข้างตนตลอดไป
เธอพยายามสะกดความหิวโหยเอาไว้ เพื่อจะได้ไม่ไปทำร้ายเขาเข้า

มายาสอดส่ายสายตาหาเหยื่อที่อาจหลงเข้ามาจากหน้าต่างชั้นบน
แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อพบแต่ความว่างเปล่า
เธอไม่ได้ดูดเลือดมนุษย์มาเป็นเวลาสามวันแล้ว
พรุ่งนี้ เธออาจจะต้องออกไปหากินไกลหน่อย
แต่ถ้าทิ้งอัยไว้คนเดียว เฟร็ดอาจจะลอบเข้ามาทำร้ายเขาก็ได้
มายารู้สึกแค้นใจตัวเอง ที่ดันไปเลือกเฟร็ดในตอนแรก
คงเป็นเพราะในตอนนั้น เธอไม่ทันคิดถึงผลกระทบที่จะตามมาเลย
บางที ... มายามองอัยอย่างมีความหวัง
อัยอาจจะช่วยหาอาหารให้แก่เธอได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่เลือดจากโรงพยาบาล
แต่ก็ดีกว่าไม่มีเหมือนในตอนนี้

มายาตัดสินใจคลายมนต์สะกดชั่วคราว เพราะถ้าเธอใช้อัยไปทำงานในลักษณะนี้
คนอื่นๆจะต้องสงสัย และเขาอาจถูกเฟร็ดทำร้ายโดยไม่รู้ตัว
มายาขบริมฝีปากอย่างใช้ความคิด
เป็นการเสี่ยงมากทีเดียวที่จะคลายมนต์จากอัย
แต่ถ้าเขายอมช่วยเธอมันก็คุ้มค่าเสี่ยง

"อัยคะ มาหามายาหน่อย"

อัยเดินตัวทื่อเข้าไปหาด้วยสีหน้าเฉยชา ไร้ความรู้สึก
มายาเอาดีดนิ้วดังเปาะหนึ่งครั้ง เวทย์มนต์ก็คลาย
อัยสะดุ้ง มองไปรอบๆห้องแล็บอย่างฉงน
ก่อนหันกลับมามองมายา แล้วตั้งคำถามทันที

"มายา! แล้วนี่ผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงเนี่ย"

"อัยคะ มายามีเรื่องอยากขอร้อง เลยเรียกอัยมาที่นี่
มายาขอโทษค่ะ ถ้าทำให้คุณไม่พอใจ"

"คุณเรียกผมมาเหรอ ทำได้ยังไง??"

อัยเริ่มงง ความรู้สึกบางอย่างเริ่มเข้าเกาะกุมจิตใจ
เรื่องราวที่มาโค่บอกเล่า ดังก้องในสมอง
นี่เธอสามารถควบคุมเขาได้โดยที่เขาไม่รู้ตัวอย่างนั้นหรือ
แล้วเขาทำอะไรไปบ้างนี่ เขา... ฆ่า...ฆ่าคนหรือเปล่า
มายาเห็นความระแวงสงสัยระคนหวาดกลัวฉาบอยู่บนใบหน้าของชายหนุ่มแล้ว
ทำให้เธอคิดว่า รู้งี้ไม่คลายมนต์ก็ดีหรอก
แต่เธอยังต้องพึ่งพาเขาเรื่องอาหาร จึงตีหน้าเศร้า

"มายาไม่ได้ให้คุณทำอะไรที่ผิดศีลธรรมหรอกค่ะอัย
เพียงแค่เรียกคุณมาเพื่อจะขอร้องอะไรเท่านั้น"

"คุณต้องการอะไร มายา"

อัยมองใบหน้าที่แสดงความเสียใจผิดหวังนั้นแล้ว จิตใจก็เริ่มไหวยวบ
เขาโทษตัวเองที่ไม่น่าระแวงสงสัยมายาเลย เธอออกจะน่าสงสารอย่างนี้
มายาทำหน้าเศร้าหนักเข้าไปอีก พูดเสียงสั่นเครือว่า

"มายาต้องการเลือดค่ะอัย เฟร็ดเขาไม่อยู่ ไม่มีใครหาอาหารมาให้มายา
มายาไม่ต้องการออกไปหาเอง เพราะอาจยั้งไม่อยู่ จะทำให้มีการตายได้
มายาไม่อยากทำบาปค่ะอัย"

หล่อนปดอย่างหน้าตาเฉย มองอัยด้วยสายตาวิงวอน จนอัยใจอ่อน

"คุณต้องการเลือดของผมหรือ มายา"

"ไม่ค่ะ มายาไม่อยากดื่มเลือดของคุณ แค่อยากขอให้คุณช่วยหาเลือดมาให้มายาเท่านั้น"

"แล้วผมจะไปหามาจากไหนล่ะ"

"เฟร็ดเคยเอาเลือดจากโรงพยาบาลมาให้มายา"

"อ้อ จริงสิ ผมไม่ทันคิด แต่ผมจะเอามาได้ยังไงนะ
พวกหมอจะได้ไม่สงสัย"

อัยเอามือลูบคางอย่างใช้ความคิด นี่เขาจะใช้วิธีไหนดีนะ
มายาแอบซ่อนยิ้มในหน้า เมื่ออัยทำท่าว่าเชื่อคำพูดของเธอ

"ผมจะลองดูก็แล้วกันมายา เดี๋ยวผมกลับมา"

"เร็วนะคะ ใกล้เช้าแล้ว มายาใกล้หมดแรงเต็มที"

เธอทำท่าอ่อนระโหยโรยแรงได้อย่างแนบเนียน
แต่ความจริงเธอก็เกือบหมดแรงแล้วจริงๆ

"ผมว่า คุณเข้าไปนอนพักในห้องเย็นก่อนดีกว่า
เพราะแสงแดดส่องเข้าไปไม่ถึง คุณจะได้ไม่เพลียมาก"

"ก็ดีค่ะ"

มายาเดินไปหยุดอยู่ตรงประตูทางเข้าห้องเย็น
อัยทำท่าจะเข้าไปด้วย เธอรีบห้ามไว้โดยบอกว่า
เธอยังไปเองไหว แต่ความจริงเธอกลัวเฟร็ดที่อยู่ข้างใน
จะทำให้แผนแตกมากกว่า จะอดกินกันพอดี
เมื่ออัยเดินออกไปจากห้องแล็บได้พักใหญ่แล้ว
มายาก็ออกไปยืนแนบกระจกมองหาเหยื่ออีกครั้ง...

====================================

"ทำไมเราต้องมาดักที่ธนาคารเลือดด้วยคะ ไซด้า"

นนทรีกระซิบถามหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆเบาๆ
พวกเธอหลบอยู่ในรถเพื่อรอคอยบางสิ่งบางอย่างที่อาจจะเกิดขึ้น
อยู่หน้าธนาคารเลือด ซึ่งเป็นศูนย์รวมเลือดจากทั่วประเทศ

"แฟนของคุณอาจมาที่นี่ก็ได้" ไซด้าเอ่ย

เธอกะว่า เมื่ออิทซาไม่ได้ดูดเลือดในคืนนี้
หล่อนจะต้องงุ่นง่านพอดู และถ้าจะดูดเลือดจากอัย
ก็จะพอประทังได้ชั่วคราวเท่านั้น ดังนั้น
เธอคิดว่าอิทซาผู้ฉลาดเฉลียว จะไม่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างนั้นแน่
และการที่จะใช้อัยให้ทำงานให้ ก็จะต้องคลายมนต์ให้เขาด้วย
เพราะขณะที่ถูกมนต์สะกดอยู่ อัยจะมีลักษณะที่เป็นจุดสนใจของคนรอบข้างแน่นอน
จะทำให้เรื่องยุ่งยาก ดังนั้น เธอจึงมาดักรออัยอยู่ที่นี่
ถ้าเป็นไปตามที่คาดหมาย แสดงว่าอิทซาจะต้องอ่อนกำลังลงบ้างแล้ว
และแผนการณ์กำจัดหล่อนก็เป็นไปตามที่วางเอาไว้
คือให้หล่อนอดอาหารจนหมดแรงไปเอง
และจะต้องออกมาติดกับของเธออย่างง่ายดาย

"เอ๊ะ นั่นรถของอัยนี่คะไซด้า"

นนทรีร้องอย่างตื่นเต้น เมื่อเห็นรถของแฟนหนุ่มเลี้ยวเข้ามาในเขตของธนาคารเลือด
เขาจอดรถแล้วก้าวออกมาจากลานจอดรถเพื่อตรงเข้าไปข้างใน

"ตอนนี้แหละ"

ไซด้ากับนนทรีวิ่งออกมาจากรถตรงเข้าไปหาอัยทันทีแล้วลากตัวเขามาขึ้นรถ

"เอ๊ะ อะไรกัน คุณเป็นใครมาจับตัวผมทำไม
อ้าวนน คุณทำอะไรของคุณน่ะ"

อัยโวยวายเมื่อถูกจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว

"อัยคะ อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้เลยค่ะ
ตามพวกเรามาเถอะค่ะ"

นนทรีวิงวอนคนรัก พลางดุนหลังเขาให้ก้าวขึ้นรถ

"แต่ผมมีงานต้องทำนะ เร่งด่วนด้วย ไม่งั้นมายาจะ..."

"มายา มายา! คุณคิดถึงแต่หล่อนเท่านั้นหรือ
ไม่ห่วงชีวิตตัวเองบ้างหรือยังไง"

นนทรีตัดพ้อ ในขณะที่รถเคลื่อนตัวเข้าสู่ถนนใหญ่

"คุณพูดเรื่องอะไรกันน่ะ"

"เดี๋ยวดิฉันจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้คุณฟังเองค่ะ"

ไซด้าตัดบท แล้วเริ่มต้นเล่าเรื่องราวของมายาหรือเจ้าหญิงอิทซา
และการกระทำของเธอต่อคนอื่นๆ เหมือนที่เล่าให้นนทรีและพวกฟัง
อัยถึงกับหน้าถอดสี เมื่อฟังจนจบ ครางอ๋อย

"นี่เธอหลอกผมมาตลอดหรือนี่ แย่ชะมัด ผมมันโง่เง่าสิ้นดี"

"ไม่ใช่ความผิดของคุณหรอกค่ะ ใครที่ได้พบกับเธอ
ล้วนแล้วแต่โดนเสน่ห์ของเธอกันทุกคน นั่นเป็นเพราะความงาม
และกลิ่นกำยานกล่อมจิตของเธอไงล่ะคะ"

"กลิ่นแปลกๆนั่นน่ะหรือครับ"

"ใช่ค่ะ มายาใส่กลิ่นนี้เพื่อหลอกล่อผู้คนให้หลงไหล
และจะเชื่อทุกอย่างที่เธอพูด ทำทุกอย่างที่เธอต้องการ
โดยไม่ลังเลใจเลย"

"น่ากลัวจริงๆ"

อัยพึมพัม หน้าซีดเผือด นี่เขาเกือบตกเป็นเหยื่อของมายาเสียแล้ว
เขามองนนทรีและไซด้าอย่างขอบคุณ แต่เมื่อกลับมาถึงบ้าน
ทั้งทศการและมาโค่กลับหายตัวไป
มีร่องรอยของการต่อสู้อย่างรุนแรงปรากฏชัด
ในขณะที่ทุกคนยืนตะลึงกันอยู่นั่นเอง
เฟร็ดก็เดินออกมาจากมุมมืดใต้บันได
โดยลากร่างที่ไร้สติของมาโค่และทศการออกมาด้วย!

"เฟร็ด นายทำอะไรพวกเขาสองคนน่ะ"

อัยร้องลั่น เมื่อเห็นทั้งสองคนอยู่ในลักษณะที่สะบักสะบอมเต็มทน
เฟร็ดแสยะยิ้ม จนเห็นเขี้ยวขาววับที่มุมปาก

"อ้อ แกหลุดจากมนต์ของมายาแล้วรึ ดี งั้นข้าจะกินแกก่อน
โทษฐานที่ทำให้ข้ากับมายาผิดใจกัน"

เฟร็ดย่างสามขุมเข้ามาหาอัยอย่างมุ่งร้าย
อัยกับนนทรีถอยกรูด แต่ไซด้ากลับยืนประจันหน้าอย่างไม่เกรงกลัว

"แกอีกแล้วรึนังตัวดี เพราะแกทำให้ชั้นอดกินเลือดของเจ้าพวกนี้
ข้าเปลี่ยนใจแล้ว ข้าจะกินแกก่อน แล้วก็ตามด้วยแก แก และพวกแก"

เฟร็ดชี้หน้าไซด้า อัย นนทรี และมาโค่กับทศการ ตามลำดับ
นึกถึงความโอชะของเลือดที่เขากำลังจะได้ลิ้มลองอย่างคาดหวัง
จนน้ำลายสอ ไซด้าเอามือล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกง แล้วหยิบไม้หอมขึ้นมาชิ้นหนึ่ง

"เฮอะ ไม้เล็กแค่นั้นจะทำอะไรข้าได้" เฟร็ดหัวเราะอย่างย่ามใจ

ไซด้าร่ายเวทย์ลงบนไม้ท่อนนั้น แล้วขว้างไปยังร่างของเฟร็ดทันที
จากไม้ธรรมดา กลายเป็นหลาวยาวสามฟุต ปลายแหลมเปี๊ยบ
เฟร็ดตาเหลือกด้วยความคาดไม่ถึง จึงรีบเบี่ยงตัวหลบทันที
แต่ช้าเกินไป เขาถูกหลาวแทงทะลุอกออกไปถึงกลางหลัง ร้องโอดโอยอย่างเจ็บปวด
แล้วรีบหนีหายไปทันที ไซด้าสั่งให้อัยกับนนทรีประคองทศการกับมาโค่เข้าบ้าน
ส่วนเธอ ร่ายอาคมล้อรอบตัวบ้านเพื่อความมั่นใจ ว่าปิศาจทั้งหลายจะไม่มากล้ำกราย

========================================

เฟร็ดครวญครางมาหามายาด้วยหวังจะให้เธอช่วย
เธอมองเฟร็ดอย่างสมเพชแกมสมน้ำหน้า
แต่เมื่อรับรู้ว่าอัยไปเข้าพวกกับไซด้าแล้ว
จึงบันดาลโทสะอย่างมาก เฟร็ดถอนหลาวออกจากตัวอย่างยากเย็น
ร้องด้วยความเจ็บปวด พลางขอความช่วยเหลือจากมายา
แต่เธอยังจำความยะโสของเฟร็ดที่ชอบแสดงอำนาจบาตรใหญ่ได้ดี
จึงไม่ยอมช่วย

"อย่าลืมสิว่า เจ้าอาศัยเลือดของข้าในการฟื้นพลังน่ะ
ถ้าไม่ได้ข้า เจ้าก็คงไม่มาผยองอยู่อย่างนี้ได้หรอกน่า"

เฟร็ดทวงบุญคุณที่เคยได้สละเลือดให้เธอด้วยความโมโห
มายาตาลุกวาวด้วยความไม่พอใจ ตอนนี้เธอหิวมาก
และจากคำพูดลำเลิกบุญคุณของเฟร็ด ทำให้เธอฉุกคิดได้ว่า
เฟร็ดก็เป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นอาหารที่เธอโปรดปราน และตอนนี้เธอกำลังหิว
มายาเดินเข้าไปหาเฟร็ด พูดอย่างอ่อนโยนเหมือนตอนที่เจอกันครั้งแรกว่า

"มาเถอะ มาให้ข้ากอดหน่อย ทาสของข้า"

เฟร็ดกระเสือกกระสนมาหาเธอโดยไม่เฉลียวใจเลย
ว่ามายาคิดจะทำอะไร เขารู้แต่ว่า เขาเจ็บปวดมาก
และมายาเป็นคนเดียวที่จะช่วยเขาได้

มายาโอบเขาไว้ในอ้อมแขนอย่างรักใคร่
แล้วกระซิบบอกเขาเบาๆว่า

"ข้าหิวเหลือเกิน ไหนๆเจ้าก็จะตายแล้ว
ก็จงมาเป็นอาหารให้ข้าฟื้นกำลังเถอะ!"

แล้วมายาก็ฝังเขี้ยวแหลมคม ลงบนคอหอยของเฟร็ดอย่างรุนแรง
ด้วยอำนาจความหิวโหย เลือดสดที่ดูดโดยตรงจากร่างของมนุษย์
เป็นสิ่งที่เธอโปรดปรานยิ่งกว่าสิ่งใดๆในโลก จนกระทั่งกำลังเริ่มคืนมาเป็นลำดับ
ในขณะที่เฟร็ดค่อยทรุดตัวลงนอนราบกับพื้น
ด้วยร่างที่ซูบซีด จนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก!

To be continue....


Create Date : 21 มีนาคม 2550
Last Update : 22 มีนาคม 2550 23:07:40 น. 0 comments
Counter : 272 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ลีโอลัคนา
Location :
นราธิวาส Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




มาทำความรู้จักกันเล็กๆ น้อยๆ นะคะ เจี๊ยบเองเล่นพันทิปมานานแล้วตั้งแต่
สมัยเพิ่งเปิดบอร์ดใหม่ๆ ก็ว่าได้

ตอนนั้นใช้ล็อกอินว่าเจี๊ยบกับอูฐสนธยา
ที่มี 2 ชื่อ ก็เพราะพันทิปมีการปรับปรุง
ระบบเรื่อยๆ จึงต้องสมัครใหม่หลายรอบ

ได้ประจำอยู่ห้องสมุดและถนนนักเขียน และร่วมสนุกเขียนเรื่องสั้นมาหลายเรื่อง เสียดายที่ผลงาน+กระทู้ที่เซฟเก็บไว้
ได้สูญหายไปหมดเสียแล้ว T__T

ต่อมาเมื่อเรียนจบก็ห่างหายไปเสียนาน จนได้หวนกลับมาอีกครั้งเมื่อไม่นานมานี้
ปัจจุบันจะขลุกอยู่ห้องหมาในจตุจักรค่ะ

Google

Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ลีโอลัคนา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.