|
เตรียมตัวก่อนแต่งงาน
หลังจากที่ไปเรียนรู้ตัวจริง เสียงจริง ของคุณชายและครอบครัวแล้ว และหลังจากที่เรา 2 คนตกลงจะใช้ชีวิตร่วมกัน เราก็ต้องกลับมาดำเนินการเรื่องเอกสารใหม่ ขอวีซ่าใหม่ แต่การขอวีซ่าครั้งนี้เป็นการขอวีซ่าแต่งงาน ซึ่งต้องเตรียมเอกสารหลายอย่าง เพื่อยื่นต่อสถานทูต แต่คราวนี้รอเรื่องนานมาก ใช้เวลากับการรอนี้ 6 สัปดาห์กว่า ๆ ระหว่างนี้ก็ใช้เวลาที่เหลือกับที่บ้าน ญาติพี่น้อง แล้วก็น้องหมา เตรียมเก็บสัมภาระ เก็บไปเก็บมาได้มาหลายกระเป๋าเลย น้ำหนักปาเข้าไปตั้ง 57 กิโล จริง ๆ ที่บ้านอยากให้กลับมาที่เยอรมันหลังปีใหม่ จะได้อยู่ด้วยกันตอนปีใหม่ แต่ว่าคุณชายก็อยากให้กลับมาก่อน เพราะว่าจะได้เป็นปีแรกที่ร่วมฉลองวันคริสต์มาสกับที่บ้าน เขาจะได้บอกเรื่องที่จะแต่งงานกับญาติพี่น้องเขาด้วย ปรกติเขาไม่ค่อยได้เจอกันหรอก ปีหนึ่งเจอกันแค่วันนี้วันเดียวเอง เป็นเหตุให้ต้องเตรียมตัวเดินทางกลับเยอรมันเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2547
ในวันที่จะต้องแยกตัวออกมาจากครอบครัว วันที่ต้องเดินทางกลับนั้น ทุกคนพร้อมใจกันมาส่ง แรก ๆ ก็เฮฮา หัวเราะกันอยู่หรอก แต่พอจะต้องจากกันจริง ๆ มีบทเศร้าแถมกันมาเล็กน้อย ไม่ใช่ใครหรอก เราเองแหละที่เริ่ม เหมือนใจหาย ไปคราวนี้ไปจริง ๆ แล้ว ไปมีครอบครัวเป็นของตัวเอง ทุกคนก็พูดเหมือนกัน ก็เหมือนกับแต่งงานกับคนไทยนั่นแหละ แต่งแล้วก็ต้องแยกตัวออกไป แต่ถ้ายังอยู่ที่เมืองไทย ก็ยังได้ไปมาหาสู่กัน แต่นี้ไม่ได้เจอกันเลยนะ จนกว่าจะได้กลับมาเยี่ยมบ้านอีกที ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ จริง ๆ ก็กะว่าอยากกลับทุกปี ถ้าเป็นไปได้ แต่เอาน่ะ เทคโนโลยีก้าวหน้าจะตาย เน็ทก็มีให้เล่น คิดถึงก็แชทกันก็ได้ โทรคุยกันก็ได้ ตัดสินใจดีแล้วนี่ เดินหน้าต่อไป
คุณชายมารอรับแต่เช้า เดินเข็นรถออกมา เขามองหาไม่เห็น เพราะว่ากระเป๋าบังตัวหมด ก็เล่นมีตั้ง 5 ใบ ตัวแค่นี้ ไม่รู้จะขนอะไรมาเยอะแยะ ส่วนมากก็เป็นพวกเสื้อผ้านั่นแหละ ไม่อยากมาซื้อที่นี่ อะไรก็แพง คุณชายบอกว่า ตอนที่มารอรับ ตื่นเต้น ถามเขาว่าทำไม เขาบอกว่า มาคราวนี้คือมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน มาเริ่มต้นกันสร้างครอบครัว เขากำลังจะมีครอบครัว มีคนที่รักเขา ยอมทิ้งทุกอย่างมาอยู่กับเขา เขาดีใจ ทำให้เรารู้สึกว่า เราตัดสินใจไม่ผิด
ได้ฤกษ์สะดวกแต่งงานก็เมื่อสิ้นเดือนเมษายน เพราะว่าพ่อแม่คุณชายเขาอยากจัดงานในสวนหลังบ้าน รอให้อากาศไม่ค่อยหนาวเท่าไหร่ เลยมีเวลาเหลือเยอะกับการเตรียมงานครั้งนี้ การ์ดเชิญแต่งงาน ก็ออกแบบเอง ทำเองด้วย แต่ที่ใช้เวลาที่สุดนี่ก็จะเป็นชุดแต่งงานเจ้าสาวนั่นเอง เพราะว่าเกิดมาตัวเล็ก หาชุดกับเขาก็ยาก ไซส์ที่นี่ก็ไซส์ฝรั่ง พ่อแม่คุณชายน่ะตื่นเต้นกว่าเจ้าบ่าวอีก เป็นคนจัดแจงเรื่องชุดให้ พาไปหลายที่มาก ๆ ไปลองชุด ไปแก้ชุด เขาให้เป็นของขวัญแต่งงาน แต่มีข้อแม้ว่า ไม่ให้ลูกเขาเห็น จนกว่าวันงานจะมาถึง พ่อแม่เขาก็เลยกลายเป็นพ่องานแม่งานไปเลย คนที่สบายก็คุณชายนั่นแหละ มีคนช่วยจัดงานให้หมด ตัวคุณชายเอง บอกว่าไม่อยากจัดงานใหญ่โต อยากจัดเล็ก ๆ เฉพาะคนในครอบครัว และก็เพื่อนสนิทเท่านั้น แล้วอีกอย่างไม่ได้ทำพิธีในโบสถ์ด้วย แต่ว่าพ่อกับแม่เขาบอกว่า เขามีลูกชายคนเดียว นอกนั้นเป็นผู้หญิง แต่งงานทั้งทีก็อยากทำให้ออกมาให้ดี ขนาดชุดแต่งงาน เราบอกว่าเอาแบบธรรมดาก็ได้ เพราะว่าทำพิธีที่อำเภอเท่านั้นเอง เขาก็ไม่ยอม โอเค ปล่อยเขาไปแล้วกัน เรื่องของเรื่องเก๋กลัวว่าจะสิ้นเปลือง จะให้จัดออกมาดีแค่ไหน เก๋ก็ไม่มีญาติพี่น้องมาร่วมในพิธีเลย เคยฝันว่าจะได้รับพรจากครอบครัวในวันแต่ง เหมือนที่เคย ๆ ไปเห็นมา แต่ในความเป็นจริง ไม่ใช่เลย
Create Date : 28 มีนาคม 2549 | | |
Last Update : 28 มีนาคม 2549 21:26:40 น. |
Counter : 416 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
แต่งงานกันเถอะ
Will you marry me? หวานโรแมนติกแบบนี้ ดูหนังมาหลายเรื่อง รอคอยประโยคนี้อยู่นาน แต่สำหรับเรา 2 คนแล้ว ไม่มีครับ ประโยคหวาน ๆ แบบนี้ ไม่มี
หลังจากที่เรา 2 คนได้เจอตัวตนกันจริง ๆ อีกครั้งหนึ่ง บนบ้านเกิดเมืองนอนของคุณชาย เราได้เรียนรู้กับครอบครัวเขา เพื่อนฝูงเขา ทุกคนให้การต้อนรับเป็นกันเองกับเราดีมาก การใช้ชีวิต วัฒนธรรมต่าง ๆ ที่แตกต่างไม่เหมือนกับที่เราได้เติบโตมา ได้ท่องเที่ยวกันไปหลายที่ (ตามดูบันทึกได้จากไปเที่ยวกันเุถอะ) วีซ่าท่องเที่ยว 3 เดือนก็จะหมด เรา 2 คนก็มานั่งคุยกันว่าจะเอายังไงกันดี วีซ่าหมดก็ต้องกลับแล้ว เพราะว่าไม่สามารถต่อได้จากที่นี่ คุณชายก็บอกว่าให้ทำเรื่องมอบอำนาจให้ทางบ้านเดินเรื่องเอกสาร ยื่นขอวีซ่าใหม่เป็นวีซ่าแต่งงานดีไหม เราก็เห็นว่าเวลาคงไม่ทันแน่ วีซ่าหมดก่อนแน่ คุณชายก็เอ่ยปากว่า จากเวลาที่เรา 2 คนได้เรียนรู้กันมาพักใหญ่ เขามั่นใจว่า เขาอยากใช้ชีวิตอยู่กับเรา อยากเริ่มต้นชีวิตกับเรา แต่ไม่รู้ว่าเราจะคิดเหมือนเขาไหม เราก็เงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะบอกออกไปว่า เราก็คิดไม่ต่างจากเขา แต่ทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับเราที่นี่มันใหม่ไปหมด เราต้องทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่ประเทศไทย เพื่อเริ่มต้นใหม่กับเขาที่นี่ เขามั่นใจแค่ไหนว่าจะดูแลเราได้ดี เขาตอบว่า แน่นอน เขาไม่เคยคิดที่จะใช้ชีวิตอยู่กับใคร จนกระทั่งเราทำให้เขารู้สึกแบบนี้ ถ้าเขาไม่มั่นใจว่ารักเราจริง ๆ เขาจะไม่เอ่ยปากแบบนี้ เราก็เลยบอกว่า โอเค เราจะกลับไปเมืองไทยก่อน ไปบอกทางบ้านก่อน แล้วจะได้ไปเิดินเรื่องเอกสารด้วยตัวเอง แล้วเราจะกลับมาใหม่ จริง ๆ คุณชายกลัวว่าเราจะไปแล้วไม่กลับ เราก็ต้องบอกว่า ถ้ามั่นใจในตัวเรา เหมือนที่เรามั่นใจในตัวเขา เรา 2 คนจะได้เจอกันอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็คงไม่ต้องจากกันไปไหนอีกแล้ว เป็นอันว่าตกลงกันตามนี้
วันที่มาส่งเรากลับเมืองไทย มายืนมองตาละห้อย ไอ้เราก็ยืนมองให้แน่ใจ บอกกับตัวเองว่าใช่ คนนี้แหละ คนที่เราอยากใช้ชีวิตอยู่ด้วย
Create Date : 10 มีนาคม 2549 | | |
Last Update : 10 มีนาคม 2549 22:12:08 น. |
Counter : 400 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เจอตัวจริงครั้งแรก
2 สิงหาคม 2547 (เยอรมัน) เวลาต่างกัน 6 ชม.
ไม่ใช่ใครที่ไหน คุณป้าไง เพิ่งได้เจอตัวจริง เสียงจริงของคุณชายเป็นครั้งแรกก็วันนี้แหละ หลังจากเข็นกระเป๋ากันออกมา ก็ได้เจอคุณชายยืนรออยู่เลย เขาเดินเข้ามาทักทายแล้วก็ยื่นช่อดอกไม้ ให้อาหลานคนละช่อ ก่อนจะไปขึ้นรถขับกลับบ้านกัน อากาศกำลังเย็นสบายเลย ระยะทางจากสนามบินไปถึงบ้านก็กินเวลาราว ๆ 2 ชั่วโมงได้ ท้องฟ้ามืดหมดแล้ว ก็มีคุยกันบ้างเล็กน้อยระหว่างขับรถกันนั้น ด้วยความที่คุณชายก็เกร็ง ทำตัวไม่ถูกมีผู้ปกครองมาด้วย ก็ได้แต่ขรึม ๆ
แล้วคุณชายก็พามาส่งที่บ้านพ่อแม่เขา พวกเราต้องมาพักกันอยู่ที่นี่ เพราะว่าบ้านพ่อแม่กว้างขวางกว่า แล้วบ้านคุณชายก็กำลังต่อเติมบ้านอยู่ด้วย ไม่สะดวก ทักทายกับพ่อแม่กันก่อน ตอนแรกนึกว่าจะเป็นพวกฝรั่งตัวใหญ่ ๆ ที่ไหนได้ ตัวเล็ก ๆ เหมือนคุณชายเลย ไอ้เราก็ได้แต่ยิ้ม ๆ เพราะว่าพ่อแม่เขาพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ไอ้เราภาษาเยอรมันก็เพิ่งจะไปเรียนที่ Goethe ได้ไม่กี่ชั่วโมงเอง หนักคุณชายที่ต้องคอยแปลให้ พ่อแม่เขาเตรียมมักกะโรนีไว้ให้ ไอ้จะบอกว่ากินไม่ลง เพราะว่าเหนื่อยก็ไม่ได้ เลยต้องฝืนใจกินกันเล็กน้อย ก่อนจะพาไปดูห้องนอนชั้นบนสุด เปิดหน้าต่างออกไป อากาศดีมาก นอนพักเอาแรงสำหรับวันพรุ่งนี้กันต่อดีกว่า
Create Date : 10 มีนาคม 2549 | | |
Last Update : 10 มีนาคม 2549 22:08:34 น. |
Counter : 360 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
จากบ้านเกิดเมืองนอน
2 สิงหาคม 2547 (ประเทศไทย)
ตอนนี้บ่าย 2 โมงกว่า ๆ กำลังนั่งอยู่บนเครื่องบินจากสิงค์โปร์ไปแฟรงค์เฟริต์ เมื่อคืนนอนไม่หลับทั้งคืนเลย เพราะกว่าจะคุยกับคุณชายเสร็จก็ปาเข้าไปตี 2 แล้ว หลับไปได้แค่ครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ ก็ต้องลุกมานั่งคุยกับแม่และย่าจนถึงตี 4 ก่อนจะอาบน้ำแต่งตัวไหว้พระเอาฤกษ์เอาชัย ร่ำลากับย่าก่อนจะออกมาใจหายอย่างไรบอกไม่ถูก สายตาที่ย่ามองมา มีแต่ความกังวลและเป็นห่วงทั้งนั้นเลย แต่ก็คิดอีกทางว่า เอาน่า เดี๋ยวก็กลับมาแล้ว
แม่ตามมาส่งที่สนามบิน ร้องไห้จนได้ ต่างฝ่ายต่างห่วงกัน ไม่รู้สึกดีใจเลยที่ได้ไปในวันนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ดีใจที่ทุกคนบอกว่าโอเค ไปได้ แต่วันนี้ความรู้สึกเศร้าจัง ไม่ตื่นเต้นเลย บอกไม่ถูก เหมือนมีห่วงอยู่ทางนี้เยอะ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ต้องเดินทางไกล จากบ้านเกิดเมืองนอนของเรา ดีที่คุณป้าไปด้วยนะ คุณป้าสอนตลอด ขั้นตอนการเช็คตั๋ว ตรวจกระเป๋า ก็ดีมีคุณป้าไปด้วย เป็นเพื่อนกันจะได้ไม่เหงา
และแล้วก็ออกเดินจากดอนเมืองกันตอน 07.40 น. มุ่งหน้าสู่สิงค์โปร์ ตอนอยู่บนเครื่องด้วยความที่ไม่ชำนาญน่ะนะ ก็เลยต้องยุ่งวุ่นวายกับอุปกรณ์เพื่อที่จะดูหนัง ฟังเพลงอยู่พักใหญ่ แต่นั่งแค่ 2 ชม. เองก็ต้องรอเปลี่ยนเครื่องที่สิงค์โปร์ตั้ง 3 ชม. แน่ะ ได้ส่งโปสการ์ดไปให้ยุ้ยด้วย คงจะดีใจ ดีนะที่มีสิงค์โปร์ดอลล่าร์ที่เจ้านายเก่าให้ไว้ เลยไม่ต้องมานั่งแลกเงินใหม่ให้เสียเวลา
ที่นี่เขามีอินเตอร์เน็ทให้ฟรีด้วย แต่ได้ครั้งละ 15 นาทีเอง ได้ส่ง E-mail หาพวกเพื่อน ๆ จากนั้นไม่รู้จะทำอะไรดี ไปแอบถ่ายรูปคุณป้าดีกว่า กำลังนอนหลับสบายใจ พอมีเวลาเหลือ ไม่รู้จะทำอะไร ก็เริ่มนั่งคิดถึงย่า พวกที่บ้าน และก็น้องหมาอีกแล้ว สงสัยจะเป็นแบบนี้ไปอีกนาน นั่นแน่ คุณป้าตื่นแล้ว พอตื่นก็หิวทันทีเลยนะ ไปหาบะหมี่กินกันดีกว่า เชื่อไหม บะหมี่เกี้ยวน้ำ 1 ชาม ไม่มีหมูเลยนะ กับแป๊ปซี่ 1 กระป๋อง 200 กว่าบาท โหดสุด ๆ คิดถึงบะหมี่เกี้ยว 20 บาทหน้าออฟฟิตจัง
โอเคเริ่มเดินทางกันต่อ แต่ในขณะที่เดินไปขึ้นเครื่องอยู่นั้น เกือบจะถึงประตูอยู่แล้ว เจ้าหน้าที่ประกาศเปลี่ยนประตูขึ้นเครื่อง ทำให้พวกเราต้องเดินย้อนกลับไปใหม่ ไม่ใช่ใกล้ ๆ นะ คนละทิศกันเลย เล่นเอาเหนื่อย เครื่องลำนี้เล็กกว่าเมื่อเช้า ดูเก่ากว่า คนไม่เต็มเครื่อง เลยเล็งหาที่นั่งใหม่กัน เผื่อว่าจะได้ตีตั๋วนอนยาวกันไปเลย คุณป้าจะได้นอนเหยียดยาวได้เต็มที่ พอเครื่องขึ้นแล้วที่นี้ไม่มีใครคุยกับใครแล้ว ต่างคนต่างทำอะไรที่อยากทำ คุณป้าก็เห็นนั่งดูหนังอยู่พักหนึ่ง หันกลับไปอีกทีหลับตาไปซะแล้ว นี่แค่ผ่านไปแค่ 2 นาทีเองนะนี่ ส่วนเราก็มานั่งเขียนไดอารี่อยู่นี่ไง ไม่ได้ซะแล้ว ต้องหยุดเขียนซะแล้ว เพราะว่าเขาเสริฟ์อาหารกันแล้ว ขอไปหม่ำก่อนดีกว่า เดี๋ยวไม่ทันคุณป้า เพราะว่าหม่ำล่วงหน้าไปก่อนแล้ว กะว่าอิ่มแล้วจะได้นอนยาวไปเลย แล้วค่อยมาเจอกันใหม่ที่เยอรมันแล้วกัน
Create Date : 10 มีนาคม 2549 | | |
Last Update : 10 มีนาคม 2549 22:07:30 น. |
Counter : 376 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|