"ที่ว่างของงานเขียน..เล็กๆแต่อบอุ่น [Love&Warmth]"
Group Blog
 
All Blogs
 

นิทาน..ความรัก




ที่ 1 love stories contest


เรื่อง : รัน
ภาพ : เจ้ากอล์ฟ







1....

กาลครั้งหนึ่ง once upon the time….

ยังมีหญิงสาวสวยรวยเสน่ห์แต่ดวงตามีแววทุกข์ระทมอยู่คนหนึ่ง เธอ อาศัยอยู่ในห้องเช่าขนาดกระทัดรัดแห่งหนึ่งกลางกรุงมาเนิ่นนาน อยู่มาวันหนึ่งเธอได้ รับEmail จากชายแปลกหน้า ข้อความว่า

“เมื่อ 10 ปีก่อน ผมต้องสูญเสียขาซ้ายไปกับอุบัติเหตุทางรถยนต์ ต้องใช้ขาเทียมเดินเหินไปมา ร่างกายและใบหน้าถูกไฟเผาไหม้จนไม่เหลือชิ้นดี นับจากนั้น ผมจึงได้รับสมญานามจากคนแถวบ้านว่า “ ไอ้เป๋หน้าผี” เรียกขานแทน “ บรรเจิด ” ชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้

อุบัติเหตุครั้งนั้น ได้พรากเอาชีวิต เธอ--อันเป็นที่รักของผมไปด้วย ตลอดชีวิตที่เหลือ มันจึงเป็นช่วงเวลาที่ย่ำแย่เอาการทีเดียวสำหรับผม …..เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ผมเห็นกระทู้ของคุณบนเว็บแห่งหนึ่ง มันทำให้ผมได้รู้ว่า คุณคงกำลังตกอยู่ในห้วงเหงา โลกของคุณคงมัวหมอง อับแสง คล้ายๆกับโลกของผม ผมจึงได้แต่คิดว่า จะเป็นการดีกว่าไหมหนอ? ถ้าหาก คน 2 คนจะร่วมกันแบ่งปันความทุกข์ ความเหงาที่มีอยู่ร่วมกัน

แล้วคุณเล่า… คิดอย่างไรกับเรื่องนี้?

ผมขอจบจดหมายฉบับนี้เอาไว้เพียงเท่านี้

ด้วยหัวใจที่รอคอยคำตอบจากคุณ…..

BunJed @chaiyo.com..."



2 .....

“…. จะเป็นอะไรไปเล่าคะ ฉันจะรู้สึกรังเกียจรังงอนอะไรกับคุณได้มากมายนักหรือ กับผู้หญิง ที่หัวใจร้าวรานมาแล้วไม่รู้จักกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง”
ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รู้จัก

รัศมี..."

หญิงสาวพรมนิ้วลงบนแป้นคีย์บอร์ดแผ่วเบา ตัวอักษรสีดำค่อยๆผุดขึ้น บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ อ่านทวนซ้ำข้อความเบาๆในใจ ก่อนคลิกไอคอนที่กรอบสี่เหลี่ยมเล็กๆ “ ส่ง Email”

ละเลียดจินตนาการตัวเองอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ นึกถึง ข้อความใน Email ที่เธอส่งเข้าไปในกระทู้รวม ของเว็บไซต์แห่งหนึ่ง ในวันที่หัวใจเพิ่งชอกช้ำจากชายคนรักคนล่าสุด…

“ รัศมี เกิด 11 ก.ค. 2522 ย่าง 24 ปี สูง 155 หนัก 50 กก. พ่อแม่ด่วนลาจากไปนานแล้ว สถานภาพโสดแต่ไม่สด มีเรือพ่วง 1 ลำ พนักงานข้อมูลของบริษัทเอกชน ไม่เดือดร้อนขัดสนเงินทอง แต่ที่ขัดสนคือ “ความรักที่จริงใจ” เพราะที่ผ่านมา ชอกช้ำเพราะชายหน้าตาดีมาหลายราย

แต่อดีตที่ขุ่นมัว ไม่ได้ทำให้มองโลกในแง่ร้าย ยังคงศรัทธาในความรักคงเดิม เปิดรับสมัครมิตรออน์ไลน์เอาไว้ปลอบโยนหัวใจเหงา ส่วนจะหล่อน้อย หล่อมาก ร่ำนิด รวยหน่อย สูงต่ำ ดำขาวไม่ว่ากัน

Rutsamee@hotmail.com ………”

นึกแล้วก็ขำดี! หญิงสาวเผลออมยิ้มอยู่เพียงเดียวดาย เธอทำอย่างนั้นไปได้อย่างไร ? แต่ก็ช่างแม่ง…งง….ปะไร! ชีวิตของเธอก็ผ่านเรื่องงี่เง่า ไร้สติเสียยิ่งกว่านี้มาแล้วมากต่อมาก ปรายตาไปที่ลูกชายที่กำลังหลับปุ๋ยอยู่บนเตียงในห้องเช่า

ภาพฝังใจเมื่อหลายปีก่อนผุดพรายขึ้น….

“โทรมามีเรื่องอะไร”

น้ำเสียงหงุดหงิดของชายหนุ่ม นักศึกษาสถาบันเดียวกัน คนรักคนแรก ของเธอ-- หน้าตาดีและพรั่งพร้อมไปเสียทุกอย่าง ไหลมาตามสายโทรศัพท์อีกฟาก

“ เออ.. ปอน เหรอ ฉันท้องได้ 2 เดือน ”

“ อ้าว แล้วมัน เกี่ยวอะไรกับฉันด้วยล่ะ ”

ถ้อยคำของชายหนุ่มสมบูรณ์แบบยุติความรัก 2 ปี 4 เดือน 13 วันเอาไว้แค่นั้น …ทิ้งลูกชายเอาไว้ให้เธอเลี้ยงไปตามยถากรรม



3....

แสงไฟจากจอคอมพิวเตอร์จับต้องอยู่ที่วงหน้าสวยของหญิงสาว เรียวปากงามขมวดยิ้มนิดหนึ่งกับข้อความใน Email ฉบับที่สองของเขา ที่เพิ่งเข้ามา

“ผ่านโลกมาแล้ว 35 ฤดูฝน หนาวและร้อนน้ำหนักตัวแค่ 60 โล แต่น้ำหนักความหล่อ อะแฮ่ม ชั่งเมื่อกลางดึกคืนเดือนมืดนับได้ 99.99 กิโลขีดเลยเทียวนะ?”

…… หนุ่มใหญ่วัย 35 แก่กว่าเธอเกือบ 1 รอบทีเดียว-เธอคิด

“อาศัยบ้านเล็กๆแถวๆชานเมืองที่พ่อแม่ทิ้งเอาไว้ ใช้ความรู้ระดับปวส. ที่ร่ำเรียนมา เปิดเป็นร้านซ่อมคอมพิวเตอร์มีรายได้พอกินไปวันๆ ไม่สูบบุหรี่ แต่ดื่มเหล้าบ้างนิดหน่อยตามประสาคนเหงา”

หญิงสาวจ้องมองภาพหน้าตรงในท่าเชยคางของเขาบนจอคอมพิวเตอร์ ที่ส่งมาพร้อมกับ Email ฉบับที่สอง นิ้วชี้เรียวงามคลิกคำสั่งขยายภาพเต็มจอ ร่างงามสะดุ้งตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นใบหน้าของเขาถนัดๆ เนื้อที่บนใบหน้ามากกว่าครึ่งนึงเป็นแผลเป็นที่เกิดจากไฟไหม้ ลักษณะเป็นเนื้อนูนสีน้ำตาลแดง หัวอกหญิงสาวสะท้อนด้วยความเวทนา

ใต้ภาพรูปถ่ายของเขา มีภาพการ์ตูนนางฟ้าตัวน้อยในท่าโบยบินอยู่ในอากาศ มีคธาเพชรอยู่ในมือ หญิงสาวจ้องมองนางฟ้าตัวน้อยสลับไปมากับนัยน์ตาใสซื่อเจียมตัวของเขา รู้สึกเหมือนว้าวุ่นสับสน

ในที่สุด จึงใจอ่อนยอมรับนัดครั้งแรกกับชายพิการเจ้าของ Email



4....

…ภายในร้านขายไอศครีมฝรั่ง-สถานที่นัดครั้งแรกในห้างสรรพสินค้าแห่งใหญ่คราคร่ำไปด้วยผู้คนที่หนีร้อนมาพึ่งเย็นกลางเดือนเมษายน แอร์เย็นฉ่ำชวนเธอให้คิดถึงความผ่าวร้อนของเปลวแดดที่เต้นระริกบนเรือนกายที่นอกถนนใหญ่ เมื่อสักครู่ เธอเอื้อมมือไปยีหัวเหนอะหนะด้วยเหงื่อของลูกชายขณะนั่งหน้าตาเป๋อเร๋อ

ผินหน้ามองผ่านกระจกใสบานใหญ่ที่หน้าร้าน แลเห็นร่างผอมในชุดสบายๆ เสื้อยืดสีส้มกับกางเกงยีนส์ โดดเด่นท่ามกลางผู้คนตรงทางเดินบรรเจิดโขยกเขยกโยนตัวขึ้นๆลงๆจากพื้น มาแต่ไกล“ ผมจะใส่เสื้อยืดสีส้มเพื่อคุณจะได้เห็นชัดเจน” ข้อความนัดหมายของเขาใน Email ล่าสุดผุดขึ้นในความคิดของหญิงสาว

เธอคิดอยู่ในใจว่า ไม่เห็นต้องมีสัญลักษณ์อะไรให้ยุ่งยาก อย่างไรเสีย เธอก็จำเขาได้แน่นอน ส่วนเธอนัดหมายไว้จะใส่เสื้อยืดสีม่วง-สีของหญิงม่ายและการรอคอย !

วินาทีแรกที่พบเธอ ชายหนุ่มรู้สึกเคอะเขิน มือไม้ดูเกะกะรุงรัง ไม่รู้จะเอาวางไว้ที่ไหน เผลอลืมตัวยกมือขึ้นไหว้เธออย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย หญิงสาวอมยิ้มน้อยๆขบขันขณะยกมือรับไหว้ นึกในใจสงสัยเธอคงอายุสั้นแน่ๆ ให้คนแก่มายกมือไหว้

สมองของเขาบอกว่า “ เธอช่างงดงามอะไรเช่นนี้” ชายหนุ่มรู้สึกต้อยต่ำลงไปยิ่งกว่าเดิมเป็นหลายร้อยเท่า นัยน์ตาซื่อบนหน้าเหรอหรารีบส่ายตาหาที่หลบด้วยความเขินอาย เหลียวซ้ายแลขวาจนไปเจอกับดวงตาของเด็กน้อย ลูกชายวัย 6ขวบที่นั่งอยู่แนบกายเธอ ประกายตาของชายหนุ่มฉายแววเอื้ออารีขึ้น

“ เออ …..อา นี่คงเป็นลูกชายของคุณใช่ไหมครับ.” พูดจบขยับไปอุ้มเด็กชายหน้าตาบ๊องแบ๊วมาไว้บนตัก ทรุดลงนั่งบนเก้าอี้บุนวมหนาตรงข้ามเธอ สักพักเสียงหัวเราะร่าของเขากับเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊าก

อย่างมีความสุขของเด็กน้อยจึงดังขึ้นเป็นระยะ

เสียงหัวเราะและภาพตรงหน้า ทำเอาหัวใจของผู้เป็นแม่แทบร่ำไห้ นึกไปถึงชายคนก่อนหน้าที่เพิ่งเลิกราจากเธอไปเมื่อไม่กี่วันนี้ คนรักคนล่าสุด ฐานะดี สมบูรณ์แบบ

ผู้นำพาคืนวันอันเปลี่ยวเหงามาสู่เธอนั่นเอง !

“ …. ผมว่าถ้าคุณจะมาอยู่ ที่นี้ เอาลูกชายของคุณฝากไว้ให้แม่ของคุณช่วยเลี้ยงก่อนแล้วกันนะไม่ต้องเอาแกมาอยู่ด้วยกันกับเราที่นี่หรอก เราจะได้มีเวลาเป็นส่วนตัวกันเยอะๆ ” ร่างเปลือยของเธอที่เกลือกกลิ้งอยู่ในอ้อมกอดของเขาผละออกจากร่างกำยำของเขาทันที ลุกขึ้นสวมเสื้อผ้าที่ถอดกองอยู่ข้างเตียง ยุติความสัมพันธ์ที่กินระยะเวลาได้เพียง 9 วัน ไว้เท่านั้น

หญิงสาวฮัมเพลง “Love me love my dog”ขณะเดินออกคอนโดฯหรูของเขา



5....

“ โฉมงามกับเจ้าชายอสูร” เสียงของชายปากเสียที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะด้านในสุดของร้านดึงความคิดของเธอกลับมาที่ร้านไอศครีมอีกครั้ง เธอเห็นชายพิการก้มหน้าลงด้วยความเสียใจและอับอาย

อนิจจา ! หัวใจของเธอหล่นวูบ…..

หญิงสาวหันขวับไปมองชายปากเสียคนนั้น โต้เถียงขึ้นในใจ

“ …จะทำไมหรือ ชายพิการคนนี้ต่ำต้อยอะไรกันหนักหนา ฉันเองก็ไม่ได้สูงส่งอะไรเลย เพราะในความเป็นจริงภายใต้หน้าตาสวยสดงดงามของฉัน ฉันก็มีหัวใจที่พิการ ไม่แปลกหรอก หากคนพิการสองคนที่ขาดแคลนความรักอย่างรุนแรงจะมาพบกัน !! ”

สักพัก เธอเดินดุ่มๆตามหลังเขาออกจากร้าน คิดในใจ

..น่าสงสารเขาเสียจริงๆ กี่คำกันนะที่เขาพูดกับฉัน เขาพูดน้อยเหลือเกิน ไม่เหมือนกับถ้อยคำในEmail เลยสักนิด แต่ก็ดีแล้วหละ บางครั้ง ความเงียบก็ก่อให้เกิดจินตนาการดีๆยิ่งกว่าถ้อยคำมากมายเสียอีก ...ไอศครีมของเขาพร่องไปนิดเดียวเอง เพราะมัวแต่ป้อนให้เจ้าหนู ของฉันนั่นเอง...
…………..

ที่หน้าบ้านเช่า ชายพิการกล่าวคำร่ำลาเธอและลูกชาย ก่อนตัดใจเดินจากไปด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย แต่แล้ว! ก็ผลุนผลันหมุนตัวกลับมาอีกครั้ง ละล่ำละลักบอกคำพูดเชยที่จดจำมาจากนิยายรักที่เขาใช้เวลาตลอดค่ำคืนที่ผ่านมา.. เพื่อท่องมัน!

“ เออ .. ไม่ว่าหลังจากวันนี้แล้ว ทุกสิ่งจะดำเนินไปอย่างไร ขอให้คุณรับรู้ว่า ผมเข้าใจ และ แม้จะไม่มีคธาวิเศษอยู่ในมือ คุณจะคือนางฟ้าของผมตลอดไปครับ ”

หญิงสาวรู้สึกเหมือนโลกทั่งใบสว่างไสวขึ้นมาในบัดดล คล้ายๆกับว่า ภาพการ์ตูนนางฟ้าที่เขาส่งมาใน Email ก่อนหน้า เคลื่อนไหวได้ มัน ลอยวนเวียนอยู่รอบกาย

รำพึงแผ่วเบากับตัวเอง “ เออ … ผู้หญิงมีตำหนิเช่นฉันนี่หนา ยังมีคนให้ค่า ให้เกียรติมากมายจนถึงปานนี้อีกเชียวหรือ ? รู้สึกคล้ายๆกับว่าร่างกายเบาหวิว ไร้น้ำหนักและ ค่อยๆลอย… สูงขึ้น…สูงขึ้น ราวกับนางฟ้าบนสวรรค์ !



6....

…..หญิงชรานั่งอยู่ข้างๆเตียงคนไข้ พินิจใบหน้าเหรอหรากับร่างผ่ายผอมของชายชราขาด้วนที่นอนหายใจรวยรินอยู่บนเตียงคนไข้ พลางนับนิ้วมือไปมา

….เป็นเวลากี่ปีแล้วหนอ 28 หรือ 29 ปี เอ …หรือว่า จะเป็น 30 ปี ….เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก นับจากวันที่นางและลูกชายได้ย้ายมาอยู่ด้วยกับเขาเพื่อรวมหัวใจที่แสนเปลี่ยวเหงาและ ขมขื่นให้เป็นหนึ่ง

นางจำได้ว่า ในวันนั้น ไม่มีฤกษ์ยามงามดี ไม่มีงานเลี้ยง ไม่มีเสียงระฆังวิวาห์ มีแต่ความศรัทธาและเชื่อมั่นอันเปี่ยมล้นที่มอบให้แก่กันและกัน

แต่มาวันนี้ ดูสิ… ชายพิการ ไม่สมบูรณ์แบบเหมือนดังใครๆได้ให้อะไรไว้มากมายกับหัวใจอันอาภัพของเธอ ทั้งความรัก -กำลังใจ และความสมบูรณ์พูนสุขแก่ชีวิตอย่างที่ไม่เคยได้รับจากชายรูปงามคนใดมาก่อน เขาช่วยพลิกฟื้นหัวใจอันชอกช้ำของนางให้กลับมาชุ่มชื้นมีค่าขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

และที่สำคัญ ตลอดเวลา 30 ปี นางได้เรียนรู้ความจริงของความรักข้อหนึ่งว่า

“เมื่อเราได้รักใครจริงๆสักคน เราจะมองเห็นความมหัศจรรย์ที่ ซุกซ่อนอยู่ในกายของคนๆนั้น ไม่ว่าเขาจะขี้เหร่ หรือบกพร่องเพียงใดก็ตาม”

หญิงชราเอื้อมมือไปกุมมือเหี่ยวย่นของชายชรามาแนบแก้มเนิ่นนาน .. พลัน นัยน์ตาฝ้าฟางที่มีหยาดน้ำตาเออล้นอยู่ก็คลับคล้ายว่า แลเห็นร่างของเจ้าชายรูปงาม ผิวกายเรื่อเรืองดุจทองคำ ปรากฏขึ้นแทนร่างของชายชราขาด้วนขณะที่ลมหายใจของเขาขาดห้วงลง …..







 

Create Date : 26 มกราคม 2551    
Last Update : 26 มกราคม 2551 11:41:39 น.
Counter : 2555 Pageviews.  

เงา




โดย : รัน







นาฬิกาดิจิตอลที่แผงหน้าปัด บอกเวลา 19.43 น . เมื่อผมขับรถกระบะคันใหญ่ที่เพิ่งซ่อมเสร็จใหม่ๆ ออกมาจากอู่ประกัน เหตุที่รถต้องซ่อม ก็เพราะเมื่อ 2-3 สัปดาห์ก่อน รถเกิดเบรกแตก และพุ่งชนท้ายรถตู้ที่วิ่งอยู่ข้างหน้าอย่างจัง ตัวผมปลอดภัย แต่หน้ารถพังยับ

ลัดเลาะอยู่ในซอยได้สักพัก... เจ้าตัวใหญ่ก็มาวิ่งอยู่บนถนน 8 เลน ที่จะพาผมกลับบ้าน โทรศัพท์มือถือดังขึ้น เสียงภรรยาไหลมาจากปลายสาย เธอบอกว่าถึงบ้านเรียบร้อยแล้ว ผมสั่งให้เธอโทรมาเมื่อถึงบ้าน เพราะอดห่วงเธอไม่ได้ เนื่องจากย่านชานเมืองที่เราอยู่กันนั้น ค่อนข้างเปลี่ยว ยิ่งในซอยบ้านแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ตลอดทั้งซอยที่ยาวเหยียด มีบ้านเรือนคนอยู่เพียง 2-3 หลังเท่านั้น ค่ำกว่านี้อีกสักหน่อย แม้พรุ่งนี้เป็นวันหยุด แต่ชาวบ้านก็พากันปิดบ้านเข้านอนกันหมด ปล่อยให้ซอยทั้งซอยเงียบเหงาเป็นป่าช้า หลังคุยกันอีกเล็กน้อย ผมจึงวางสาย มือซ้ายกลับ มาเกาะกุมพวงมาลัยรถตามเดิม

ขณะขับรถ บางคนชอบฟังเพลง บางคนชอบชมทิวทัศน์ข้างทาง แต่สำหรับผมชอบคิด ความคิดมักล่องลอยไปสู่เรื่องต่าง ๆ และครั้งนี้ ผมหวนคิดไปถึงเรื่องน่าเศร้าที่พบพานมาตลอดหลายวันที่ผ่านมา ภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ผุดวาบขึ้นในห้วงสำนึก....


...ชายขาด้วน...


เมื่อสองสามวันก่อน เพราะรถเข้าซ่อม รถเมล์คือที่พึ่งไปทำงาน บนรถเมล์คันหนึ่ง ในยามรุ่งอรุณ ท่ามกลางผู้คนที่แออัดยัดทะนานจนแทบล้นปรี่ออกมานอกรถ ผมเห็นหญิงสาวท้องโย้เจียนคลอด ยืนโหนราวรถเมล์ เธอเหวี่ยงตัวไปมาอย่างทุลักทุเลไปตามจังหวะแรงกระชากของรถที่เคลื่อนที่ไปข้างหน้า นึกเสียวแทนว่าลูกน้อยจะไหลทะลักออกมาในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง



เวลาผ่านไป...แต่ไม่มีใครเลยสักคนที่คิดจะลุกให้เธอนั่ง บ้างมองออกนอกหน้าต่าง บ้างร่วงหลับผล็อย คอหักคอพับไปตามกัน แต่ทันใดนั้น ชายฉกรรจ์กับใบหน้าลังเลที่ซุกตัวอยู่ตรงเบาะยาวด้านหลังสุดจึงลุกพรวดพราดขึ้น คำขอบคุณจากหญิงสาว ล่องลอยมาแผ่วเบา เปลี่ยนใบหน้าลังเลของเขาเมื่อครู่ให้มีรอยยิ้มสดใสขึ้นมา แต่นับจากที่เขายืนโหนราวรถเมล์มาจนกระทั่งถึงที่หมาย ดูไปแล้ว... กลับยิ่งทุลักทุเลกว่าหญิงสาวท้องโย้คนนั้นเสียอีก


ด้วยเพราะชายน้ำใจงามผู้นี้มีขาเพียงข้างเดียว



...เด็กหญิงอนุบาล 1/3...
ส่วนเมื่อวานนี้ ในยามโพล้เพล้ของฤดูหนาว หลังลงจากรถเมล์ที่ป้ายรถเมล์หน้าปากซอยบ้าน ขณะที่ผมและภรรยากำลังมุ่งหน้าไปยังวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่เห็นอยู่ตรงหน้า

ที่ริมฟุตบาท ผมเห็นแม่หนูน้อยคุ้นหน้า นั่งคุดคู้เหงาหงอยอยู่ ร่างน้อยสะดุ้งเฮือกขึ้นทุกครา ยามลมหนาวพัดวูบต้องกาย คล้ายถูกคมมีดกรีดบาดลงบนผิวเนื้อน้อย ดวงตาโศกของแม่หนูเหม่อลอยออกไปยังนอกถนนที่คราคร่ำด้วยรถรา นานๆ ครั้งจึงจะเหลียวหน้า หันกลับไปมองบ้านเช่าเท่ารังหนูของเธอ

จู่ๆ เธอก็ก้มหน้าลงที่เข่าคู้ของเธอยาวนาน ผมนึกสงสัย จึงถามเธอไปว่า “ทำอะไรน่ะ” เธอตอบว่า เธออธิษฐานในใจ ขอให้ชายหนุ่มที่มากับแม่ของเธอ เมื่อ 3 ชั่วโมงที่ผ่านมา กลับออกมาเสียทีเถิด เพื่อเธอจะได้กลับเข้าไปหาไออุ่นของบ้าน...บ้านที่ไร้ความอบอุ่น
เพราะข้างนอกนี้ อากาศหนาวเย็นเกินไปสำหรับเด็กหญิงอนุบาล 1/3 เช่นเธอ



...เจ้าหนูขายพวงมาลัย...


“ปี๊น…. ปี๊น…”



เสียงบีบแตรจากรถคันหลังดึงผมออกจากภวังค์ความคิด รีบส่ายตามองไปที่เสาไฟจราจรเบื้องหน้า “ ไฟเขียวแล้วนี่นา” ผมพูดขึ้นแผ่วเบา พร้อมกับรีบพารถที่จอดนิ่งเป็นหัวขบวนแล่นออกไป



แวบหนึ่ง ! บนพื้นถนนข้างหน้า ผมเหลือบเห็นรอยรูปของคนตัวเล็กๆ ฉีดพ่นด้วยสีสเปรย์สีขาว มีดอกมะลิสีขาวหม่นปลิวเกลื่อนรอบคราบเลือดเกรอะกรัง หัวใจผมตกไปอยู่ที่ตาตุ่มทันที เมื่อนึกไปถึงใบหน้าเหลอหลาของเจ้าหนูวัยสิบกว่าขวบ ร่างกายผอมเกร็ง ผิวกายสีดำเมี่ยมในชุดนักเรียนมอๆ ที่ทุกยามเย็นจนถึงย่ำค่ำ เจ้าหนูกับพวงมาลัยจะมายืนไหว้ตัวงออยู่ที่หน้ารถคันแล้วคันเล่าระหว่างที่รถติดไฟแดง



“พ่อ เค้ามีเมียใหม่ แม่ก็มีผัวใหม่ ทิ้งผมกับน้องสาวไว้กับยาย”



ครั้งหนึ่ง เจ้าหนูเคยบอกกับผมอย่างนั้น เมื่อผมอุดหนุนพวงมาลัยของเขา พลางชี้มือไปที่ยายแก่ที่กำลังงันงกร้อยพวงมาลัยอยู่ตรงข้างป้อมตำรวจจราจร



แต่ ใช่สิ ! วันนี้ผมไม่เห็นเจ้าหนูหรือว่ายายของเขาเลย



“อนิจจา! หรือว่าเจ้าหนู!”
ผมตะโกนก้องไปทั่วทั้งคันรถ





...ผม...
ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดาวส่องแสงใส แต่ผมขับรถต่อไปด้วยใจหม่นหมอง เพราะจากเรื่องเศร้าที่ได้พบเห็นมาตลอดหลายวัน ประกอบกับข่าวคราวในหน้าหนังสือพิมพ์ในแต่ละวัน มันทำให้ผมตระหนักรู้ว่า ท่ามกลางสังคมที่แห้งแล้งน้ำใจดังเช่นทุกวันนี้ เรื่องเศร้าแบบนี้ นับวันจะยิ่งทวีความรุนแรงและเพิ่มจำนวนมากยิ่งขึ้นทุกที จนดูเหมือนว่า ทุกๆวัน เราสามารถจะพบพานเรื่องร้าย ๆ เหล่านี้ ได้ตลอดรายทางที่ผ่านไป

ผมมีความคิดที่ว่า เรื่องเศร้าเหล่านี้จะหมดไปจากสังคมเราได้อย่างแน่นอน หากเราจะลดความเห็นแก่ตัวออกไปจากหัวใจของแต่ละคน และช่วยกันเจือจานความรัก ความเมตตา ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความช่วยเหลือเกื้อกูล และการให้อภัยแก่กันและกัน

สิ่งเหล่านี้จะช่วยทำให้สังคมของเรากลับมางดงามน่าอยู่ได้อีกครั้ง



ครุ่นคิดอยู่เพลิน ๆ รถก็มาถึงหน้าปากซอยเข้าบ้านไม่รู้ตัว ผมเลี้ยวรถเข้าไปในซอยที่ทั้งมืดและเปลี่ยวนั้น มองเห็นดวงไฟของบ้านเรือนเป็นจุดๆ อยู่สุดสายตา เมื่อขับถึงกลางซอย จู่ ๆ หมาข้างถนนตัวหนึ่งก็วิ่งตัดผ่านหน้ารถกะทันหัน รถเสียหลัก พุ่งเข้าชนร่างชายแก่ที่เดินท่อมๆ อยู่ข้างทางเต็มแรง ผมไม่เห็นเขาก่อนหน้า จนกระทั่งมีเสียงดังราวกับฟ้าถล่มเกิดขึ้น

“โครม !”

ตีนซ้ายกระทืบเบรกโครมตามสัญชาตญาณ ขณะที่ร่างนั้นลอยละลิ่วไปในอากาศ ก่อนจะตกกระแทกลงบนพื้นถนนด้านหน้ารถพอดิบพอดี ผมหวาดกลัว มึนงง ได้แต่นั่งตะลึงลาน ดวงตาตื่นตระหนกจ้องมองไปยังร่างโชกเลือดที่นอนขวางถนน เงยหน้าอ้าปากหายใจพะงาบ ๆ ราวกับจะกินดาวบนฟ้า สักพัก ชายชราค่อยๆ ขยับหันหน้ามาทางรถ ดวงตาเบิกโพลงจ้องมองมาที่ผม แววตาอ้อนวอน

วินาทีนั้น... ผมจำได้ทันทีว่าชายแก่เคราะห์ร้ายผู้นี้ คือชายบ้าเสียสติ ผมยาวรุงรัง แต่งตัวมอมแมม ที่เที่ยวเดินเก็บข้าวของกินตามกองขยะในซอยแห่งนี้มาเป็นเวลานมนาน ในทุกๆเช้าตรู่.. ขณะผมขับรถไปทำงาน ผมมักจะเห็นแกนอนหลับใหลอยู่ที่ป้ายรถเมล์หน้าปากซอย หรือไม่ก็ตามพงหญ้าข้างทางในซอยแห่งนี้เป็นประจำ

เมื่อตั้งสติได้ ผมขยับตัว คิดจะลงจากรถ ไปนำชายชราส่งโรงพยาบาล แต่แล้ว ผมก็ต้องหยุดชะงักลง เมื่อเกิดความคิดว่า หากแกตายขึ้นมา อะไรจะเกิดขึ้นกับผม ? “ฆาตกร คุก ตะราง ศาล งาน เงิน และภรรยา” คำเหล่านี้ดังก้องอยู่ในสองหูของผม “บัดซบจริงๆ” ผมสบถ ดวงตาสับสนทอดมองไปยังร่างโชกเลือดนั้น พลันสายตาก็ไปหยุดนิ่งอยู่ที่กลุ่มแมลงกลางคืน ที่พากันมาบินว่อนเล่นแสงไฟหน้ารถ-พยานรู้เห็นที่เป็นสิ่งมีชีวิตเพียงอย่างเดียวในที่นั้น ฉับพลัน ความคิดนรกก็โผล่พรวดออกมาจากก้อนสมองทันที

ผมรีบถอยรถกรูดออกมาจากจุดเดิมราว 200 เมตร แล้วเบรคพรืด ปลดเกียร์ว่าง เข้าเกียร์เดินหน้า ตีนขวากระทืบคันเร่งสุดแรง รถพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว จากนั้น จึงมีเสียงขลุกขลักกึกกักดังลั่นขึ้นที่ใต้ท้องรถ !






“คุณคะตื่นได้แล้ว เย็นมากแล้ว รีบไปกันเถอะ ป่านนี้งานเลี้ยงเริ่มแล้วหละ”

เสียงใสๆ อ่อนโยนของภรรยา ลอยออกมาจากบ้านไม้หลังกะทัดรัด ที่รายล้อมไปด้วยแมกไม้เขียวขจี ปลุกผมที่นอนหลับอยู่บนเสื่อที่สนามหญ้าหน้าบ้าน ให้สะดุ้งตื่นขึ้น และถลันตัวลุกขึ้นนั่ง ใบหน้าชุ่มเหงื่อเหลียวซ้ายมองขวาเลิกลั่ก ก่อนจะมีรอยยิ้มเล็กๆ ผุดขึ้นบนใบหน้า จากนั้นจึงเอื้อมมือไปคว้านิยายสยองขวัญเล่มโต ที่ใช้หนุนหัวต่างหมอน เป่าลมหายใจร้อนผ่าวพรูออกมาจากปากอย่างโล่งอก รำพึงแผ่วเบา

“ฝันร้ายอีกแล้วสิเรา สงสัยจะต้องเลิกอ่านนิยายแนวนี้เสียแล้วล่ะมั้ง”

ผมยันกายลุกขึ้นยืน ปัดเศษใบไม้ใบหญ้าที่ติดตามเนื้อตัวออกไป จัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทาง แล้วเดินตรงไปที่รถกระบะ ภรรยาในชุดราตรีมายืนรอท่าที่หน้าประตูคนขับแล้ว

“ขอโทษนะคะ แต่งตัวนานไปหน่อย ปล่อยให้คุณรอจนหลับไปเลย แหม... ก็งานแต่งงานน้องสาวทั้งที ก็ต้องพิถีพิถันกันหน่อย”

เธอพูดขึ้นยิ้มๆ แล้วเดินอ้อมไปทางหน้ารถ เพื่อไปขึ้นที่ประตูรถฝั่งตรงข้าม แต่ทันใดนั้น เธอก็เอ่ยทักขึ้นเสียงดัง ท่าทีตื่น ๆ พลางก้มตัวลงไปดูใกล้ๆ บริเวณหน้ารถ ที่มีรอยบุบขนาดใหญ่ตรงกันชนและกระจังหน้า ไฟหน้ารถข้างซ้ายแตกร้าว

“อ้าว ! แล้วนี่รถไปชนอะไรมาอีกคะเนี่ย ก็เพิ่งเอาออกมาจากอู่หยกๆ เมื่อคืนนี้เองนี่นา” ผมตอบเสียงเรียบ ขณะเปิดประตูรถขึ้นไปประจำที่คนขับ

“อ๋อ...ชนหมา”

เธอบ่นงึมงำ สีหน้าฉงน หลังขึ้นมานั่งที่เบาะข้างๆ ผม
“ท่าทางคงจะตัวใหญ่น่าดูเลยสิคะ เจ้าหมาตัวนี้”
ผมพยักหน้า ก่อนจะสตาร์ทรถขับออกไป








 

Create Date : 14 ธันวาคม 2550    
Last Update : 14 ธันวาคม 2550 17:11:52 น.
Counter : 1112 Pageviews.  

ปริศนาของหนึ่ง




โดย : รัน




“หนึ่ง” กับผม เราต่างมีชะตาชีวิตที่คล้ายกัน มีบ้านพักในย่านรังสิต แต่กลับมามีงานทำและเรียนในย่านฝั่งธนฯ นับแต่ปี 1 เป็นต้นมา บ่อยครั้งที่หนึ่งจะขอติดรถผมกลับบ้านด้วยเสมอ
นั่นเองที่ทำให้เราทั้งสอง จึงสนิทสนมกันราวกับเพื่อนต่างวัย มากกว่าครูและศิษย์...

.................................



ครั้งหนึ่ง… จำได้ว่า ผมและนักศึกษาปี 4 สาขาสิ่งพิมพ์ ซึ่งมีหนึ่งรวมอยู่ด้วย ต้องเร่งทำอาร์ตเวิร์คนิตยสารให้เสร็จทันส่งโรงพิมพ์ในตอนรุ่งเช้า เราเริ่มต้นทำตั้งแต่เย็น มาเสร็จเอาใกล้เที่ยงคืน ผมชวนหนึ่งกลับบ้านด้วยกันเหมือนอย่างเคย

ให้บังเอิญที่ว่า 2-3 วันมานี้ เพื่อนซี้คนหนึ่งเอารถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อ คันเบ้อเริ่มเทิ่ม ราคาเกือบ 4 ล้าน มาฝากไว้กับผม เพื่อป้องกันไม่ให้หลานชายตัวดีแอบเอาไปขับอวดสาวๆ ระหว่างที่เจ้าตัวไปต่างประเทศ ทว่ากลับอนุญาตให้ผมใช้มันได้ตามอำเภอใจ ซึ่งวันนั้น ผมก็ได้เอาเจ้ารถคันที่ว่ามาขับโก้แทนอีแก่ของผมที่ใกล้จะพังเต็มที

“โอ้โห ! อาจารย์เปลี่ยนรถใหม่หรือครับเนี่ย ?”
หนึ่งทำตาลุกวาว น้ำเสียงตื่นเต้น ทันทีที่มาเห็นรถราคาแพงระยับจอดอยู่ที่ลานจอดรถคณะ

“อ๊ะ...รวยอ่ะ ทำไมเหรอ? ที่ผ่านมา ก็แค่แกล้งจนมาหารักแท้หร๊อก!”
ผมยิ้มยั่วให้หนึ่งที่ยืนหน้าเบ้ ปากแบะ ด้วยความหมั่นไส้
………………………..



ขณะที่รถคันสวยแล่นฝ่าแสงดาวและลมหนาวออกจากมหา’ลัย ใกล้ถึงตีนสะพานพุทธฯ อยู่รอมร่อ แสงไฟวับแวมจากร้านรถเข็นขายอาหารอีสานริมทาง-ร้านเจ้าประจำของผมกับหนึ่งเตือนให้นึกได้ว่า ตั้งแต่เย็นยังไม่มีอะไรตกถึงท้องผมเลย

ผมหันไปมองหนึ่ง หนึ่งพยักหน้ารับอย่างรู้ใจ รถหรูแล่นเข้าจอดเทียบริมฟุตบาททันที ท่ามกลางสายตาของลูกค้า ที่นั่งร่ำสุราแกล้มอาหารอีสานกันอย่างเพลิดเพลิน

ลงจากรถได้ ผมพับแขนเสื้อทั้งสองข้างขึ้นเหนือข้อศอก ดึงชายเสื้อออกนอกกางเกง ละทิ้งมาดอาจารย์ไว้ชั่วคราว (ซึ่งปกติก็ไม่ค่อยจะมีกับใครเขาอยู่แล้ว) กะจะล่อมื้อนี้ให้เต็มคราบเสียหน่อย

ผมกับหนึ่งพากันเดินตรงไปที่โต๊ะว่าง ใกล้ๆ กับโต๊ะของกลุ่มเด็กสาววัยรุ่นล้วนที่มีกันราว 3-4 คน มีขวดเหล้า ขวดโซดา วางระเกะระกะอยู่บนโต๊ะ ท่าทางพวกเธอเปรี้ยวจี๊ด ใส่เสื้อรัดติ้ว จนเสียวว่า นมจะระเบิดออกมา แต่ละคนหน้าตาจิ้มลิ้มไม่เบา โดยเฉพาะหญิงสาวตาโต ผมยาวคนนั้น

ครั้นไปถึง หนึ่งรีบแซงไปนั่งบนเก้าอี้ที่จะหันไปเผชิญหน้ากับพวกเธอทันที ปล่อยทิ้งเก้าอี้ที่หันหลังให้ไว้กับผม

ทันทีที่ลาบเลือด ซุปหน่อไม้ ยำไข่มดแดง และข้าวเหนียวมาวางบนโต๊ะ ค่าที่หิวจัด ผมจัดการกับอาหารเหล่านั้นอย่างมูมมาม คว้าโน้นฉวยนี่ วุ่นวายไปหมด แต่หนึ่งกลับละเลียดอาหารอย่างไว้เชิงผิดปกติ เคี้ยวกินแต่ละคำด้วยท่วงทีสุภาพราวกับเจ้าชาย ทั้งที่จริงๆ แล้ว หนึ่งเองก็ยังไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เย็นเช่นกัน

“กินสิ หนึ่ง”
ผมส่งเสียงกระตุ้นอยู่หลายครั้ง แต่หนึ่งยังคงวางท่าเช่นเดิมจนผมระอาไปเอง
............................



“เอาอะไรอีกปะ ?”
ผมถาม เมื่ออาหารหมดโต๊ะแล้ว

หนึ่งส่ายหน้า ผมกวักมือเรียกแม่ค้ามาคิดเงิน จากนั้นเราจึงเดินกลับไปที่รถ ขณะจะก้าวขาขึ้นรถ แวบหนึ่ง… หนึ่งเหลือบไปเห็นหญิงสาวกลุ่มนั้นกวักมือเรียกให้เข้าไปหา

“แป๊บนึงนะครับ อาจารย์ เดี๋ยวมา”
หนึ่งทำหน้าเจ้าเล่ห์ เดินยิ้มกริ่มไปทันที โดยมีสายตาของผมเฝ้าติดตามไป

จังหวะหนึ่งของการสนทนา พวกเธอพากันหันหน้ามามองผม ซึ่งขึ้นมานั่งอยู่ในตำแหน่งคนขับแล้ว ด้วยสายตาแปลกๆ พิกลจนผมรู้สึก

สักพัก หนึ่งควักโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดหมายเลขตามคำบอกของหญิงสาวผมยาว เสร็จแล้วจึงค้อมร่างอย่างสุภาพเป็นเชิงร่ำลา เดินตัวตรงแน่วเหมือนนายแบบกลับมาที่รถ
....................................


รถแล่นไปได้ชั่วครู่ หนึ่งยื่นโทรศัพท์มือถือมาที่หน้าผม กดเบอร์โทรศัพท์ชุดหนึ่งให้ดู ด้วยท่าทีข่มขวัญผมอยู่นิดๆ

“เบอร์โทรศัพท์ของน้องแจน เดี๋ยวถึงบ้านค่อยโทร”

“แจนไหนวะ?”

“ก็คนผมยาวๆ สวยสุดในกลุ่มนั้นยังไงครับ “

“อ๋อ”

“ไม่เห็นต้องมีรถคันละเป็นล้านๆ ก็มีสาวมาให้เบอร์ล่ะ”
ผมชะงักกับคำพูดนั้น เพราะรู้ว่ากำลังถูกแขวะ

“ว่าใครวะ?”

“ปะ..เปล่าครับ ไม่ได้ว่าใคร”
หนึ่งรีบเปลี่ยนเรื่องทันที

“เออ นี่ ’จารย์ เธอยังชมผมด้วยนาว่า ‘ไม่ถือตัว’ ”

“อะไรวะ ‘ไม่ถือตัว’ ?”
ผมย่นหน้าไม่เข้าใจ สายตาจับจ้องอยู่ที่ท้องถนนเบื้องหน้า เงี่ยหูรอฟังคำตอบอยู่เป็นนานสองนาน แต่หนึ่งยังคงเงียบเฉย จนผมต้องเหลียวหน้าไปมอง

แล้วผมก็พบว่า หนึ่งกำลังเอามือกุมท้อง ทำตัวงอๆ เหมือนกุ้ง และพูดแผ่วๆ ขึ้นว่า
“เออ…อาจารย์ครับ ช่วยจอดรถตรงร้านข้าวต้มข้างหน้านี่หน่อยได้ไหม? ผมหิวข้าวจัง”

“อ้าว เฮ้ย ! แล้วเมื่อกี้ ทำไมไม่กินให้อิ่ม? “

“โธ่…อาจารย์ก็ สาวเยอะ ก็ต้องไว้มาดกันหน่อย จะให้กินมูมมามอย่าง…เออ...” ปลายเสียงถูกกลืนหายลงไปในลำคอ แต่ผมรู้ว่าหนึ่งกำลังหมายถึงใคร

“เออ... งั้นก็ไปหากินเอาเองที่บ้านแล้วกัน”
ผมพูดฉุนๆ ขณะพารถทะยานผ่านหน้าร้านข้าวต้มไป
................................



หลังจากวันนั้น 2 วันเต็มๆ ที่ผมไม่เจอกับหนึ่งเลย ทั้งที่ปกติแล้ว หนึ่งจะแวะเวียนมาพูดคุยทั้งเรื่องมีสาระและไร้สาระกับผมที่ห้องพักทุกวัน จนกระทั่งย่างเข้าสู่วันที่ 3 หนึ่งก็เดินหน้าหมองเข้ามาหา

“น้องแจนบอกเลิกเป็นแฟนกับผมแล้วครับ อาจารย์”
หนึ่งพูดเศร้า ๆ กับผมเป็นประโยคแรก พร้อมกับยกมือไหว้ แล้วนั่งแหมะลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

“น้องแจน ? “
ผมทำหน้างงๆ อยู่พักใหญ่ ก่อนจะนึกได้ว่า เธอก็คือหญิงสาวตาโตผมยาว คนที่หนึ่งเอาเบอร์โทรมาอวดผมนั่นเอง พลางคิดในใจว่า มันไปเป็นแฟนกันตอนไหนหนอ ?

หนึ่งเล่าให้ฟังว่า หลังกลับถึงบ้านคืนนั้น หนึ่งโทรศัพท์หาแจน แล้วทั้งสองก็ตกลงเป็นแฟนกันทันที แจนบอกให้หนึ่งพาผู้ใหญ่มาสู่ขอได้เลย แต่หนึ่งขอดูใจกันไปพลางๆ ก่อน ทว่าเมื่อผ่านไปได้ 2 วัน แจนสืบรู้ความจริงว่า หนึ่งไม่ใช่เจ้าของรถราคาหลายล้านคันนั้น แล้วผมก็เป็นอาจารย์ของหนึ่ง แจนจึงขอเลิกทันที

เมื่อหนึ่งเล่ามาได้ถึงตรงนี้ ผมนึกสะกิดใจทันที “รถคันนั้นกับผมไปเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้อย่างไร ?”

พลันคำพูดปริศนาของหนึ่งในคืนนั้น ซึ่งยังคงไม่ได้รับการเฉลยมาจนวันนี้ ตอกย้ำซ้ำทวนขึ้นอีกครั้ง “ ’จารย์ เธอยังชมผมด้วยนาว่า ‘ไม่ถือตัว’ ” พร้อมกับที่ภาพของกลุ่มหญิงสาวที่กำลังพูดคุยกับหนึ่ง พากันมองมายังผม ขณะนั่งอยู่หลังพวงมาลัยรถด้วยสายตาแปลกๆ ผุดวาบในหัวกบาล...
............................



แล้วผมก็ถึงบางอ้อ ตบโต๊ะเสียงดัง “ปัง” จ้องเขม็งไปที่หน้าเจ้าหนึ่ง ก่อนมีคำพูดเล็ดลอดออกมาตามไรฟัน

“ฮึ่ม…ม...ม… นึกออกแล้ว นี่หมายความว่า คืนนั้น เอ็งคงบอกผู้หญิงพวกนั้นสิว่า ข้าเป็นคนขับรถของเอ็ง ใช่ไหมวะ ! ไอ้คุณหนูหนึ่ง ”

สิ้นเสียงผม เจ้าหนึ่งถึงกับหน้าถอดสี ท่าทีอึกอักๆ เหมือนผีอำ แล้วรีบผวาลุกขึ้นจากเก้าอี้ เผ่นแนบไปยังประตูทางออก โดยมีร่างของผมพุ่งตามไปอย่างกระชั้นชิด !




 

Create Date : 21 พฤศจิกายน 2550    
Last Update : 19 ธันวาคม 2550 13:55:36 น.
Counter : 973 Pageviews.  

นิยายรัก..พาฝัน




โดย..รัน







มุมหนึ่งของโลก ท้องฟ้าคืนนี้ครึ้มหม่นไปด้วยเมฆฝนในช่วงมรสุม ลมพัดแรง ฝนใกล้ตกเต็มที จู่ๆ จึงมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นภายในบ้านหลังน้อยของหญิงสาวที่ตั้งอยู่นอกเมือง

“คุณครับ ผมกำลังจะกลับบ้าน”
น้ำเสียงอ่อนล้าของชายหนุ่ม ดังเล็ดลอดมาจากปลายสายอีกฝั่งฟาก

“นั่นคุณจริงๆ หรือคะ คุณจริงๆ ด้วย “
โลกคล้ายหยุดหมุน หญิงสาวอุทานเสียงเครือลงไปในหูโทรศัพท์ นานเหลือเกินแล้ว...แต่เธอยังจำเสียงของเขาได้เสมอ

“เออ..ค..ค..คุณยังรอผมอยู่ใช่ไหมครับ ?” น้ำเสียงของเขาฟังดูสับสนลังเล

“ค่ะ ฉันยังคงรอคอยคุณตลอดเวลา” หญิงสาวพร่ำพูดเคล้าเสียงสะอื้น

” อืม…ถ้าอย่างนั้น ผมมีเรื่องบางอย่างจะบอกกับคุณ”

“ค่ะ” เธอตอบรับมั่นคง

เขาใช้เวลาสักชั่วครู่เพื่อรวบรวมความกล้า แล้วเรื่องทั้งหลายก็ไหลเรียงรายออกมา พร้อมๆ กับเม็ดฝนที่เริ่มโปรยปรายลงมาที่นอกบ้านของหญิงสาว

“คือว่า... ผมมีเพื่อนรักคนหนึ่ง เราร่วมรบมาด้วยกัน เขาเป็นคนพิการที่สูญเสียมือซ้ายไปในสงครามที่เพิ่งจะยุติลง ซึ่งตอนนี้ จิตใจของเขาสับสนอ่อนล้า เขาต้องการการเยียวยารักษาจิตใจ เขาไม่มีญาติพี่น้องหลงเหลืออยู่เลย”
ชายหนุ่มหยุดถอนหายใจระบายความอัดอั้นภายใน น้ำเสียงขาดหายเป็นห้วงๆ

“ผมต้องการที่จะให้เขามาอยู่ด้วยกับเรา เออ… หลังจากที่เราได้แต่งงานกันแล้ว คุณจะรังเกียจเขาไหมครับ ?”

“ ไม่ค่ะ ฉันไม่รังเกียจที่จะให้เขาอยู่กับเรา” หญิงสาวเริ่มมีน้ำตาไหลพราก

“แต่คุณก็รู้ดีใช่ไหมครับว่า คนพิการเช่นนี้จะเป็นภาระที่หนักอึ้งสำหรับเราในการดูแล เขาอาจจะเข้ามาสร้างความยุ่งยากให้กับชีวิตของเรา จวบจนกว่า …เออ… จนกว่าเขาจะตายจากโลกนี้ไป” ปลายเสียงของชายหนุ่มเบาหวิว คล้ายละอองฝุ่นฝนที่ลอยฟุ้งไปในอากาศ

“ฉันยินดีอย่างยิ่งที่ชีวิตของฉัน จะต้องอยู่กับคนพิการไปตลอดชีวิต หากคนพิการนั้นจะเป็นคนที่คุณรัก” หญิงสาวยกมือขึ้นป้ายเม็ดน้ำตาที่ไหลเปื้อนแก้ม

“เอาหละ นั้นคืนพรุ่งนี้ ผมจะพาเขาขึ้นรถไฟกลับไปพบคุณ คุณจะไปรอผมอยู่ที่ร้านอาหารใกล้สถานีรถไฟที่เราเคยไปทานกันบ่อยๆ ได้ไหมครับ”
หญิงสาวรับคำ ก่อนที่จะมีเสียง “คลิก” แผ่วเบาเล็ดรอดมาจากปลายสายของเขา เสียงฟ้าร้องคำรนครืนโครมยาวนานดังขึ้นตามมา...



ในค่ำคืนถัดมา หลังแว่วยินเสียงหวูดรถไฟดังขึ้น ขณะเข้าเทียบชานชาลาได้ไม่นาน ท่ามกลางสายฝนที่ตกหนักมาแต่เมื่อคืนวาน และยังคงพรำอยู่ทั่วฟ้าตอนนี้ จากแสงไฟริมถนน ส่องให้เห็นรถสามล้อถีบคร่ำคร่าคลานฝ่าม่านฝน มาหยุดลงที่หน้าร้านอาหารเก่าแก่ของเมืองที่บัดนี้ฉาบสีให้ดูใหม่ หลายๆ สิ่งของเมืองได้เปลี่ยนไป

สักพัก ชายหนุ่ม-ใบหน้ารกไปด้วยหนวดเครา ดูกร้านแก่เกินวัย ก็ก้าวลงจากรถสามล้อถีบคันนั้นแต่เพียงลำพัง และอีกชั่วประเดี๋ยว ชายคนที่ว่าก็พาร่างซูบผอมเปียกปอนไปด้วยหยดน้ำ มายืนเงอะงะอยู่ตรงหน้าของหญิงสาว ที่นั่งคอยท่าอยู่ในร้านก่อนหน้านานแล้ว พร้อมกับส่งยิ้มห่วงหาข้ามโต๊ะมาให้เธอ เธอยิ้มรับและเอ่ยชื่อเขาแต่เพียงเบาๆ

นับจากวินาทีนั้น พลันหัวใจเหงาของหญิงสาวที่เหมือนกับว่า จะซังกะตายและอยู่ไปวันๆ ก็ได้เริ่มต้นตื่นตัวเต้นแรงขึ้นมาอีกครั้ง


ระหว่างเวลาอาหารค่ำที่ห่มคลุมไปด้วยความเงียบงำ เขาเอ่ยขึ้นคลอไปกับเสียงฝนพึมพำที่นอกร้าน

“คุณคงประหลาดใจมากใช่ไหมครับ ที่อยู่ๆ ผมก็โทรศัพท์มา” พูดจบ เหมือนมีก้อนสะอื้นวิ่งขึ้นมาติดอยู่ที่ลำคอ

หญิงสาวพยักหน้าหม่นเหงารับคำอย่างเชื่องช้า ริ้วรอยที่ดวงหน้าและนัยน์ตาอิดโรยของเขาตรงเบื้องหน้าบอกเธอให้รู้ว่า เขาได้รับทุกข์ทรมานมาแสนสาหัสเพียงใด เธอรีบเบือนหน้าหนีเพื่อหลบซ่อนน้ำตา เหม่อมองออกไปยังนอกถนนหน้าร้านที่มีแสงไฟสีสลัว ทันใดนั้น คลับคล้ายว่า แลเห็นภาพเขาและเธอเมื่อหลายปีก่อน ยืนร่ำลาอาลัยอยู่ภายใต้ชายคาของร้านรวงแห่งนี้ มาปรากฏขึ้นอีกครั้ง

“ใกล้เวลารถไฟจะออกแล้ว รีบไปเถอะ“
เธอในตอนนั้นที่อายุยังน้อยบอกเตือนเขาด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย เขาในชุดทหารใหม่เอี่ยม มีถุงทะเลสะพายหลังอยู่ พยักหน้าใสรับคำบอกนั้นอย่างตื้นตัน ก่อนจะก้าวขึ้นรถสามล้อถีบบ่ายหน้าไปยังสถานีรถไฟที่เห็นอยู่ไกลๆ มีรถไฟขบวนใหญ่ที่มารอรับบรรดาทหารเด็ก เพื่อพาเข้าสู่สมรภูมิรบอันโหดร้ายและเลวทรามจอดสงบอยู่ สงครามครั้งนั้นได้คร่าชีวิตทหารไปมากมายก่ายกอง ทางการจึงต้องเกณฑ์เด็กหนุ่มวัยไม่ถึง 20 ปี อย่างเขาไปร่วมรบด้วย

ระหว่างที่รถสามล้อถีบค่อย ๆ พาร่างของเขาห่างไกลเธอออกไปทุกที เธอไม่วายป้องปากกำชับเสียงดังมาด้วยว่า
“กลางคืนอย่าลืมห่มผ้าด้วยนะ เดี๋ยวจะเป็นหวัดได้ แล้วอย่าลืมเขียนจดหมายและโทรถึงกันบ่อยๆนะ”

เขาพลางเหลียวหน้ากลับไป มองเห็นเธอยืนโบกมือลาอยู่ไหวๆ แสงไฟข้างถนนตกกระทบเม็ดน้ำตาบนดวงหน้าของเธอ ทอประกายแวววาวล้อไปกับแสงดาวบนเวิ้งฟ้าเบื้องบน

“นับจากวันที่ผมถูกระเบิดของฝ่ายตรงข้ามและสลบไป พวกศัตรูที่ผมเองก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร และไม่เคยมีเรื่องบาดหมางใจอะไรด้วยเลย ได้จับตัวผมไปกักขังไว้เป็นเชลย นับจากนั้น ผมก็ไม่สามารถติดต่อถึงคุณได้อีกเลย …5 ปี แล้วกระมังเห็นจะได้ “

เขาเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีเศร้า ขณะที่เธอนั่งฟังสงบ มีน้ำตาคลอหน่วยอยู่ที่ดวงหน้า พลางพินิจร่างซูบผอมของเขา ครั้นแล้ว จึงแลเห็นภาพตัวเองขณะออกมาจากบ้าน ย่ำเท้าเดินไปตามทางเล็กๆ ผ่านแปลงดอกไม้สีสันสดใส ที่กำลังแย้มกลีบบานสะพรั่งต้อนรับแสงแรกของดวงตะวัน หมู่นกส่งเสียงทักทายระรื่นหู ตรงไปยังตู้รับจดหมายที่หน้ารั้วบ้าน เพื่อไปพบกับความว่างเปล่าในทุกๆ รุ่งเช้า ซ้อนทับขึ้นมาในห้วงความคิด

“ที่สุดแล้ว จากผลของระเบิดในครั้งนั้น… “
ชายหนุ่มหยุดพูดขึ้นกลางคัน พลางเหลือบตาต่ำ มองไปที่มือข้างซ้ายของเขาที่มีมือปลอมสีขาวขุ่นสวมอยู่ ก่อนจะยกชูขึ้นข้างๆตัว

“ผมก็ต้องสูญเสียมันไปตลอดกาล!”
ถึงตรงนี้...น้ำตาของหญิงสาวที่สะกดกลั้นเอาไว้ ตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้พบเขา จึงไหลพรูออกมา ไม่ต่างอะไรไปจากเม็ดฝนที่กำลังร่วงพราวที่นอกร้านในยามนั้น


หลังเวลาอาหารค่ำ ภายใต้ร่มคันเดียวกัน ทั้งสองออกย่ำเดินไปตามทางคดเคี้ยวที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำฝน ในระหว่างนั้น ลมเหงาไม่รู้เค้าพัดผ่านเลยร่างของคนทั้งสองไป หญิงสาวให้คล้ายรู้สึกว่า การรอคอยอันแสนเนิ่นนาน มันได้จบสิ้นลงเสียที เกิดหัวใจอบอุ่นหว่างฟ้ามืดหลังฝนซาที่ใสกระจ่างไปด้วยแสงดาว พลันแลเห็นชุดเจ้าสาวแสนสวย และดงดอกไม้หลากสีล่องลอยในภาพฝันอันสวpงาม...







 

Create Date : 09 ตุลาคม 2550    
Last Update : 9 ตุลาคม 2550 18:29:30 น.
Counter : 1167 Pageviews.  

เหตุผลที่คนรักกัน




โดย..เจ้ากอล์ฟ




“ มากันกี่คนคะ “ เสียงใสๆของพนักงานต้อนรับในร้านกาแฟแห่งหนึ่งดังขึ้น

“ สองคนครับ “ ผมตอบกลับไปพลางมองหาโต๊ะที่ต้องการ “ ตรงมุมนั้นได้ไหมครับ “

“ นี่เมนูค่ะ รับอะไรดีคะ “

“ ขอผมดูแป๊บนะ เอ่อ..ของผมขอบลูเมาเท่นร้อน ส่วนของเธอก็ขอเป็นเค้กบลูเบอรี่และน้ำผลไม้ปั่นครับ “

“ อ่า..ค่ะ มีเท่านี้ใช่ไหมคะ รอสักครู่เดี๋ยวจะนำมาเสิร์ฟให้ค่ะ “ พนักงานสาวจดรายการอาหารพลางเหลือบสายตาดูผมด้วยอาการฉงน

“ บรรยากาศร้านนี้โอเคนะ เปิดเพลงเก่าช้าๆ ในแบบที่ผมชอบเลย กาแฟก็รสชาติหอม นุ่มนวลดีจริงๆ ถ้าคุณชอบไว้วันหลังเรามากันอีก ว่าแต่..ผมขอชิมเค้กบลูเบอรี่นิดนึงละกันว่ามันอร่อยแค่ไหนทำไมคุณถึงชอบมันนัก “ ชิ้นของเค้กขนาดเท่าช้อนชาเข้าสู่ปากของผม

“ รสชาติเป็นไงบ้างคะ อร่อยไหม “

“ อืม..ใช้ได้ แต่ผมเป็นคนไม่ชอบกินเค้กเท่าไหร่ แต่ก็ไม่เป็นไร สิ่งใดที่คุณชอบผมก็ชอบด้วยล่ะ “ ผมกินเค้กคำที่สองพร้อมกับมองใบหน้าที่งดงามของเธอ

“ เดี๋ยวเราไปดูหนังกันต่อนะ “ ผมชวนพร้อมกับลุกขึ้นเดินไปจ่ายเงินที่แคชเชียร์

“ เรื่อง Life ‘s Beautiful โรง 2 รอบบ่ายสองครึ่งครับ “ ผมเหลือบมองที่นาฬิกาข้อมือ

“ กี่คนคะ “ พนักงานขายตั๋วเอ่ยถาม

“ อ่อ..สองคนครับ “

“ เลือกที่นั่งเลยค่ะ จออยู่ด้านนี้ สีน้ำเงินเป็นที่นั่งว่างค่ะ “ พนักงานสาวแสดงภาพที่นั่งทางจอมอนิเตอร์
...............................




มันเป็นความสุขของผู้ชายอย่างผมจริงๆ ที่ได้ไปไหนมาไหนกับคนที่ผมรัก เธอชื่อ ‘เนะ’ ผมรู้จักกับเธอมาก็หลายปีแล้วล่ะ แต่การที่จะจีบคนสวยอย่างเธอก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ คู่แข่งย่อมเยอะเป็นธรรมดา ผมเคยผิดหวังจากเธอหลายครั้งหลายหน จนบางครั้งผมก็รู้สึกท้อใจ ต้องอยู่อย่างเหงาๆ ท่ามกลางสังคมของเพื่อนๆ ที่ต่างก็พากันมีคนที่รู้ใจกันไปหมดแล้ว

คนที่โสดมานานอย่างผมเนี่ย รู้ว่าการอยู่ตัวคนเดียวอย่างมีอิสระนั้น มันไม่ได้ช่วยให้ผมหายเหงาได้เลย หลายครั้งที่ผมเคยได้ยินได้ฟังมา เขาบอกกันว่า สัจธรรมข้อหนึ่งของชีวิตก็คือ เราต่างเกิดมาโดยลำพัง และสุดท้ายก็จะจากไปเพียงลำพัง แต่ผมคิดว่าจะมีสักกี่คนกัน ที่พูดแบบนั้นแล้วเลือกที่จะอยู่อย่างลำพังไปทั้งชีวิต ในเมื่อผมยังคิดถึงเธอ หากผมยังยืนนิ่งอยู่ตรงนี้ ความคิดถึงมันก็จะเป็นเพียงแค่ความคิดถึงตลอดไป

“ หนังดีมากเลยเนะว่าไหม น่าจะได้เข้าชิงออสการ์ของปีนี้ “ ผมถามเนะหลังจากเพิ่งดูหนังจบ

“ ใช่เลย เนะประทับใจเลยล่ะ “

“ เนะจะกลับกันหรือยัง จะไปเดินเที่ยวเล่นต่อไหม “ ผมเอ่ยถามขณะที่เรากำลังลงบันไดเลื่อนด้วยกัน

“ ว่าจะกลับแล้วล่ะ ไว้วันหลังมาใหม่แล้วกันนะ เพราะพรุ่งนี้เนะมีงานแต่เช้า “

“ โอเคครับ นั้นให้ผมไปส่งห้องพักของเนะที่สะพานควายนะ “ ผมยิ้มให้กับแฟนสาวสุดสวยของผม

เมื่อมาถึงที่ที่เธอพัก ผมได้กล่าวร่ำลาและยืนส่งเธอด้วยสายตาจนร่างของเธอค่อยๆ หายลับไป นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมทำแบบนี้ ผมมาส่งเธออย่างสม่ำเสมอทุกครั้งที่เราได้ไปไหนมาไหนด้วยกัน ผมคิดอยู่เสมอว่าการยินยอมพร้อมที่จะรักใครสักคนมันไม่ใช่เรื่องง่าย การรับในข้อดีก็ไม่ใช่ปัญหา แต่การยอมรับในข้อบกพร่องของอีกฝ่ายนั้นต่างหาก คือสิ่งที่หลายคู่ หลายคน ที่จนแล้วจนรอดก็ไม่เคยทำได้สำเร็จ ผมจึงได้สัญญากับตัวเองว่า เมื่อผมรักเธอแล้ว ผมจะต้องพยายามทำมันให้สำเร็จให้ได้ และผมก็จะดูแลเธออย่างนี้ตลอดไปแม้ใครจะว่าผมบ้า หรือผมคลั่งอะไรก็ตามแต่ ...ก็คนมันรักนี่นะ มันจะมีเหตุผลอะไรที่สำคัญไปกว่านี้อีกล่ะ.......

ในยามเช้าของทุกวัน ผมมักจะนั่งจิบกาแฟอยู่ที่ขอบหน้าต่างเสมอ สายตาก็เหม่อมองดูเมฆสีฟ้าสดใสลอยไปลอยมา การทำเช่นนี้มันทำให้สมองของผมปลอดโปร่ง โลดแล่น และมีจินตนาการ พร้อมที่จะผจญกับงานในทุกเช้าของวันใหม่ และในความคิดที่เตลิดของผมนั้น ผมก็อดที่จะคิดถึงเนะไม่ได้ หลายปีแล้วนะที่ผมมีเธอเคียงข้าง ได้ไปเที่ยวไหนด้วยกันในวันพักผ่อนของสัปดาห์ ถึงแม้ในวันปกติ เราทั้งสองจะมีระยะทางที่ค่อนข้างห่างไกลกันเป็นอุปสรรคใหญ่ก็ตาม แต่มันก็เป็นเงื่อนไขปัญหาหนึ่งในอีกนับล้านของความรักเท่านั้น ซึ่งมันเป็นเรื่องเล็กน้อยมากสำหรับคนอย่างผม

บางทีผมเผลอแอบคิดไปเล่นๆ ว่า การที่รักใครสักคนกับการถูกใครสักคนรัก...มันต่างกันตรงไหน ซึ่งผมก็คิดเอาเองอีกล่ะว่ามันไม่ต่างกัน เพราะข้างในใจต่างก็กลัวเจ็บกลัวผิดหวังเหมือนกัน ทางที่ดีควรปล่อยให้เบื้องบนเป็นผู้กำหนดเส้นทางความรักดีกว่า แล้วเราในฐานะมนุษย์ที่มีความรู้สึก เป็นคนทำหน้าที่ในการค้นหาความหมายที่แท้จริงของคำว่ารักเท่านั้นก็พอ เหตุผลที่คนรักกันมันมีหลากหลายรูปแบบ ไปมัวนั่งคิด นั่งนึกถึง จะเสียเวลาของชีวิตไปซะเปล่าๆ และสำหรับผมแล้ว ...การที่มีเธออยู่ทั้งคน หัวใจผมก็พองโตสูบฉีดให้มีแรงได้เดินทางต่อไปข้างหน้าได้อย่างสบายๆ โดยที่ไม่ต้องคิดอะไรให้มันมากมายเกินไปนัก
..................................




“ เฮ้ยน้อง....นี่จะ 5 ทุ่มแล้วไอ้กอล์ฟยังไม่มาอีก สงสัยมันไม่มาแน่ๆ เลยวันนี้ โทรไปก็ไม่มีคนรับ “ ป๊อบอดีตประธานรุ่นสมัยเรียนเริ่มออกอาการหงุดหงิด

“ ไม่มาก็ช่างมันเถอะ เราดื่มกันสองคนก็ได้ นานๆ จะขอแฟนออกมาเที่ยวกันตามประสาชายล้วนได้สักที “ ชายรูปร่างใหญ่โตชื่อน้องพูดพร้อมกระดกเหล้าจนหมดแก้ว

“ แต่ปกติไอ้กอล์ฟมันไม่เคยชิ่งเลยนะ มันต้องมีอะไรแน่ๆ เลย เดี๋ยวนี้เห็นมันดูแปลกๆ ไป อย่างเมื่อสองอาทิตย์ก่อน ข้าเห็นมันไปยืนเหม่ออะไรไม่รู้แถวๆ สะพานควาย ตอนแรกข้าคิดว่าตาคงฝาด แต่ข้าถามกิฟแฟนข้าที่มาด้วยกันแล้ว เขาก็บอกว่าใช่แน่ๆ ไม่รู้มันไปทำอะไรแถวนั้น “ ป๊อบเล่าด้วยท่าทางที่ตื่นเต้น

“ เออว่ะ วันนั้นจำได้ไหมที่เราไปนั่งที่ถนนข้าวสารครั้งล่าสุดน่ะ ข้าเห็นในกระเป๋าเป้มันมีตั๋วหนังที่ดูแล้ว เรื่องละสองที่นั่งหลายใบเลย สงสัยมันมีแฟนแน่ๆ เลยว่าไหม “ น้องเล่าให้ป๊อบฟังพลางคีบน้ำแข็งใส่แก้ว

“ ชัวร์ๆ เลย เดี๋ยวถ้ามันมาลองแย้บๆ ถามดู “ ชายสองคนหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน

“ มานานหรือยัง โทษทีที่มาช้า บ้านอยู่ไกลน่ะ “ ผมที่เพิ่งมาถึงเอ่ยทักทายกับเพื่อนทั้งสองคน

“ โหย..ไม่มาตอนปิดร้านเลยล่ะไอ้เสือ มานั่งเลยพวกข้าจะเมาอยู่แล้วรอเอ็งเนี่ย เมาตามมาให้ทันละกัน “ ป๊อบทักตอบด้วยสีหน้าแดงก่ำ

“ เฮ้ยได้ข่าวว่ามีแฟนแล้วเหรอ ข่าวล่ามาแรงเชียวนะ เพื่อนๆ เขาคุยกันฟุ้งเลย “ น้องถามผม

“ ก็เอ่อ...ก็มีมานานแล้วล่ะ แต่ไม่ได้บอกใคร “ ผมตอบไปอย่างตะกุกตะกัก

“ สาวที่ไหนวะ ชื่ออะไร ไม่แนะนำมาให้รู้จักบ้างเลย “ น้องกับป็อบผลัดกันยิงคำถามไม่หยุด

“ ไว้เดี๋ยววันหลังค่อยบอกแล้วกัน มาๆ ดื่มกันก่อน “ ผมพยายามเปลี่ยนเรื่องพร้อมเรียกเพื่อนทั้งสองให้ชนแก้ว

“ เออกอล์ฟ ข้ามีข่าวร้ายจะบอกเอ็งว่ะ เตรียมใจฟังให้ดีๆ นะ “ น้องพูดโพล่งขึ้นมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ อะไรเหรอ? “

“ อาทิตย์หน้าเอ็งว่างไหม “

“ อืม..ก็น่าจะว่าง ทำไมจะไปไหนกันล่ะ “

“ เนะรุ่นน้องเรา เขาให้ข้ามาชวนเอ็งไปงานแต่งงานของเขาด้วยว่ะ “

..

“ .................................... “ ผมนิ่งค้างไปพักใหญ่ ขณะที่ในมือก็ถือแก้วเหล้าที่กำลังจ่ออยู่ที่ปาก

“ ไอ้น้องเอ็งไม่น่าพูดเลยว่ะ เอ็งก็รู้ว่าไอ้กอล์ฟมันชอบเนะมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว งานกร่อยเลยทีนี้ “ ป็อบท้วงติงขึ้นมา

“ เฮ้ยกอล์ฟเป็นไรไปวะ อย่าเสียใจไปเลยว่ะ นี่เอ็งยังไม่เข้าใจเหรอว่าเขาไม่ได้รักเอ็ง แล้วอีกอย่างเอ็งก็มีแฟนแล้วนี่ ข้าเห็นตั๋วหนังในกระเป๋าของเอ็ง ป๊อบก็เคยเจอเอ็งไปยืนอยู่แถวสะพานควาย ไปส่งแฟนไม่ใช่หรือนั่น แฟนชื่ออะไร เป็นคนแถวไหนล่ะ “ น้องพูดด้วยความรำคาญผมที่ยังอาลัยอาวรณ์ถึงเนะอดีตรุ่นน้องสมัยเรียน

“ เอ้ยเดี๋ยวๆ สะพานควายนั่นมันแถวห้องพักที่เนะอยู่นี่ ข้าจำได้ตอนนั้นเราเคยไปส่งด้วยกันนี่นา “ ป๊อบเริ่มสงสัยในสิ่งที่ผมไม่อยากจะให้ใครๆ รู้

“ อย่าบอกนะว่าเอ็งเป็นแฟนกับเนะเขาน่ะ “ น้องเค้นถามขึ้นมาบ้าง

“ อืม...ใช่ “ ผมตอบด้วยสีหน้าหม่นหมอง

“ เฮ้ยบ้ากันไปใหญ่แล้ว ไอ้กอล์ฟนี่เอ็งบ้าหรือว่าเพี้ยนกันแน่วะ เนะเขาย้ายไปอยู่กับแฟนเขาเกือบจะครบปีแล้วนะ จะโม้อะไรพวกข้าให้มันแนบเนียนหน่อยเถอะ รักเขาจนตาบอด โงหัวไม่ขึ้นเลยเหรอไงวะ “ น้องมองผมด้วยสายตาเหยียดหยาม

“ ถ้าใช่แล้วมันผิดด้วยเหรอ การที่เรารักเขาข้างเดียวมันผิดมากใช่ไหม ทำไมล่ะ ทำไม ถึงข้าจะรักเขาแค่ไหน ข้าก็ไม่เคยเรียกร้องให้เขามารักตอบด้วยแม้แต่น้อย ทำไมต้องทับถมกันด้วย ใช่…ที่ข้าไปสะพานควายก็เพราะข้าคิดถึงเขา อยากอยู่ใกล้ๆ เขา มันก็ผิดด้วยใช่ไหม เออข้าเพี้ยน ข้ามันบ้าไปเองล่ะ ไม่ว่าจะไปดูหนังหรือไปที่ไหนๆ ข้าก็แค่คิดอยู่เสมอว่าเนะได้ไปกับข้าด้วยเท่านั้นเอง........ “
.................................




“ สองที่ใช่ไหมคะ “ เสียงใสๆ ของพนักงานต้อนรับคนเดิมในร้านกาแฟที่คุ้นเคยดังขึ้น

“ ใช่แล้วล่ะครับ ถ้าคุณรู้ใจผมอย่างนี้แสดงว่าคุณก็ต้องรู้ว่าผมชอบนั่งที่โต๊ะไหน “ ผมยิ้มเล็กน้อย

“ ทราบแน่นอนค่ะ รายการเครื่องดื่มและอาหารก็แบบเดิมด้วยนะคะ “

“ ครับ..เอ่อว่าแต่ว่าผมมาที่นี่ก็หลายครั้ง และทุกๆ ครั้งผมก็เจอคุณทุกครั้ง ไม่สงสัยเหรอครับว่าทำไมผมถึงสั่งอะไรมามากมายเกินที่คนคนหนึ่งจะกินหมด อีกทั้งผมก็มาเพียงลำพัง... “ ผมเริ่มสงสัยในตัวสาวน้อยคนนี้

“ อ๋อไม่สงสัยหรอกค่ะ “ พนักงานสาวตอบพร้อมจ้องมองมาที่ตาของผม

“ เพราะอะไรหรือครับ “ ผมถามพลางสบสายตาของเธอเช่นกัน

“ คุณคงจะรักใครสักคนอยู่ฝ่ายเดียว ส่วนสาเหตุที่ฉันรู้และเข้าใจ เพราะฉันก็เป็นเหมือนคุณเช่นกัน ยามใดที่ฉันไปนั่งตามร้านกาแฟคนเดียว ฉันก็จะสั่งบลูเมาเท่นมาเผื่อเขาคนนั้นด้วยทุกครั้ง เหมือนที่คุณสั่งมาเผื่อเธอ ยังไงยังงั้นแหล่ะค่ะ “ สาวพนักงานยิ้มแล้วเดินไปที่หลังร้านอย่างอายๆ

ผมนั่งจิบกาแฟอย่างมีความสุข สายตาก็จับจ้องไปยังแก้วน้ำผลไม้ปั่น กับเค้กบลูเบอรี่ที่วางบนโต๊ะในด้านตรงข้าม พลางเหลือบมองพนักงานสาวคนนั้นเป็นระยะๆ รอยยิ้มของผมมันผุดขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว ในใจพลันคิดจินตนาการออกไปไกลแสนไกล ...ในท่ามกลางท้องฟ้าแห่งความเหงานั้น ยังเคยปรากฏช่วงเวลาสั้นๆ แห่งความสุข และมันก็ยังอยู่ตรงนั้นเสมอ ในซอกหลืบของความรักและความคิดถึง ที่พึงมีให้ใครบางคนด้วยความรู้สึกที่สวยงาม...
..............................


และในวันต่อๆ มา

“ คุณคะ..มากันกี่คนคะ “

“ สองคนครับ...“








 

Create Date : 11 กันยายน 2550    
Last Update : 11 กันยายน 2550 16:10:04 น.
Counter : 1250 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  

ChronoCross
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]










Friends' blogs
[Add ChronoCross's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.