วันวานในสยาม...ยามนั้นและยามนี้

InSiam : From Time to Time



Group Blog
 
All blogs
 
ปางเมื่อพระองค์ ปะระมะพุทธ ชัยชนะของพระพุทธเจ้า ๒,๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้

     

          เมื่อหลายวันก่อน มีลูกค้าท่านหนึ่งชื่อคุณเจ ได้ Post VDO จาก  Facebook   ปางเมื่อพระองค์ปะระมะพุทธ เป็นบทสรภัญญะประกอบดนตรี ซึ่งจัดทำโดยวัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ภายใต้โครงการชนะตนให้พ้นพรรษา ร่วมเจริญภาวนา บทสรภัญญะแห่งแผ่นดิน และซึ่งถ่ายทอดน้ำเสียงโดย ปาน (ธนพร แวกประยูร)  ในความรู้สึกของผู้เขียนนั้น เธอช่างถ่ายทอดได้ไพเราะจับใจ เมื่อฟังแล้วเกิดความสงบเย็น ท่านทั้งหลายเมื่อได้ฟังแล้วคงมีความรู้สึก เช่นเดียวกับผู้เขียน เหมาะสมกับที่เธอเป็นนักร้องแนวหน้าของเมืองไทยและเป็นบุคคลตัวอย่างที่ควรยกย่องเป็นแบบอย่างและทำให้ผู้เขียนเกิดแรงบันดาลใจในการเผยแพร่

                การตรัสรู้ธรรมของพุทธเจ้า ครบ ๒,๖๐๐ ปี หรือ เป็น ปี พุทธชยันตรี  ซึ่งมีความหมายว่า การเฉลิมฉลองของชาวพุทธ ในชัยชนะของพระพุทธเจ้าที่มีเหนือกิเลสและมารทั้งปวงด้วยพระองค์เองจนบรรลุเป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น และ ผู้เบิกบานด้วยธรรม โดยมีความหมายจากคำ คำ คือคำว่า ชยันตรี ซึ่งแปลว่า การเฉลิมฉลองชัยชนะ และคำว่าพุทธะ แปลว่า การรู้ ตื่น และเบิกบาน นั้นเอง

                พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ขณะที่พระชนมายุ ๓๕ พรรษา แล้วเมตตาสั่งสอนเผยแผ่จนเสด็จดับขันธปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ ๘๐  พรรษา แล้วจึงนับ พ.ศ. บัดนี้ พ.ศ. ๒๕๕๕  บวก ๔๕ ปี ที่ทรงสั่งสอนเผยแพร่พระพุทธศาสนาหลังตรัสรู้จึงครบ ๒,๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้ เกิดพระพุทธศาสนามีพระรัตนตรัยครบองค์ทั้ง พระพุทธ พระธรรมและ พระสงฆ์  นั่นก็คือความหมายของ พุทธชยันตรี

                 สำหรับบทสรภัญญะ ปางเมื่อพระองค์ปะระมะพุทธ  หรือ บทพุทธชัยมงคลคาถา  ซึ่งมีเนื้อหากล่าวถึง ชัยชนะแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เขียนเชื่อว่ามีหลายท่านคงไม่ทราบว่าแท้ที่จริงแล้ว บทสรภัญญะที่เราเคยสวดมาช้านานตั้งแต่สมัยเป็นเด็กประถมนั้น  เป็น บทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่ รัชกาลที่ ๖   

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖

ด้านหน้าธงชัยเฉลิมพล

ด้านหลังธงชัยเฉลิมพล

                พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงแปลพระคาถาพาหุง บทที่ ๑ เป็นภาษาไทยในรูปแบบฉันท์ ไว้ให้กองทัพไทยสวดก่อนร่วมรบกับฝ่ายสัมพันธมิตรในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๑ ในการนี้ ได้ทรงดัดแปลงท้ายพระคาถาจากที่ว่า "ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ เป็น ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะสิทธิ นิจจัง"  ทั้งนี้ยังได้โปรดให้จารึกพระคาถาที่ทรงดัดแปลงนี้ลงหน้าและหลังธงชัยเฉลิมพลของกองทหารอาสาในสงครามครั้งนี้ด้วย  ท่านทั้งหลายคงได้เห็นพระอัจฉริยภาพของพระองค์ และความงดงามทางภาษา จากบทสรภัญญะ ดังนี้

paramapot.jpg v

ถอดความสรภัญญะพระราชนิพนธ์

“........เมื่อพระบรมโพธิสัตว์ ทรงมีพระหทัยแน่วแน่อธิษฐานแลกด้วยชีวิต เพื่อปรารถนาบรรลุปรมาภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศาสดาเอกของโลกทรงประทับนั่งอยู่ในสมาธิบัลลังก์ ณ ควงต้นพระศรีมหาโพธิ์......”

“..........ครั้งนั้นพญามาราธิราชซึ่งคอยติดตามขัดขวางพระมหาบุรุษจึงประชุมโยธามาร พญามารเนรมิตองค์ให้มีแขนนับพันพร้อมด้วยอาวุธนานาชนิดท้าวเธอทรงประทับช้างคีรีเมขล์อันเหี้ยมโหดเป็นพาหนะ มีบัญชีให้กองทัพมารกรีทาทัพเข้าล้อมทั่วมหาโพธิมณฑลสถานที่พระมหาบุรุษทรงประทับอยู่....”

“.....กองทัพมารพยายามคุกคามพระมหาบุรุษด้วยประการต่าง ๆ ทั้งบันดาลห่าอาวุธ ห่าฝนเพลิง ห่าฝนขี้เถา ห่าฝนทราย ห่าฝนศิลา ปานประหนึ่งพระหมาสุมทรไหลบ่าถาโถมราวีพระองค์ แต่อาวุธเหล่านั้นมิอาจทำอันตรายองค์องค์ได้เลย...”

“....ด้วยทรงระลึกถึงพระบารมี ๑๐ ประการที่พระองค์สั่งสมมาทรงตั้งพระปณิธานขอให้มีชัยชนะแก่กองทัพมารเหล่านั้น พร้อมทั้งอธิษฐานขอให้ผืนปฐพีเป็นสักขีพยานในพระบารมี เทพนารีได้ทูลขอแสดงประจักษ์พยานบารมี ด้วยการหลั่งน้ำทักษิโณทกแห่งพระมหาบุรุษราช ที่เคยสั่งสมมาออกจากมวยเกศาพลันกระแสชลก็หลั่งไหลออกมา ดั่งท่อธารามหรรณพมากประมาณมิได้ มหาวารีเข้าท่วมท้นทำลายกองทัพเสนาพญามาร ให้พ่ายแพ้สิ้นไปด้วยพระบารมี....”

“......ด้วยเดชะบารมีทั้งสิบประการแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่สั่งสมอบรมบ่มพระโพธิญาณจนเต็มบริบูรณ์ พระจอมมุนีทรงเอาชนะเหล่าพญามารได้ด้วยธรรมวิธี อันมีทานบารมี เป็นต้น ข้าพเจ้าขอนอบน้อมนจิตระลึกถึงพระบารมีแห่งพระองค์ในชัยชนะครั้งนั้น....”

“...ด้วยสัจจะกิริยา ที่ข้าพเจ้าได้นอบน้อมและระลึกถึงพระรัตนตรัยทั้งสามประการ อันได้แก่พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ขอจงบันดาลให้พสกนิกรชาวสยามทุกหมู่เหล่า จงประสบสุขสวัสดี มีชัยชนะต่ออริราชศัตรูในทุกเมื่อ...”

“...และถึงแม้ว่าศัตรูผู้รุกรานนั้น จะมีแสนยานุภาพ มีพลังดังกองทัพของพญามาร ประเทศไทยก็จักมีชัยชนะเหนือศัตรูและเหตุการณ์อันเลวร้านได้ ดุจดังองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีชัยชนะเหนือพญามารสืบไป....”

                ในเรื่องของชัยชนะของพระพุทธเจ้านั้น  ผู้เขียนเห็นว่าควรจะกล่าวถึง หนังสือ ปฐมสมโพธิ ฉบับที่พิมพ์แจกในงานปลงศพนางจันทร์ ฉิมไพบูลย์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๘  ซึ่งเป็นบทพระนิพนธ์ของ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโสรส  ในบทมารวิชัยปริวัตต์ ปริจเฉทที่ ๙  ดังนี้

 

                พระยามารตนนี้เคยผจญพระมหาบุรุษมาครั้งหนึ่งแล้ว คือ เมื่อคราวเสด็จออกจากเมือง แต่คราวนี้เป็นการผจญชิงชัยกับพระมหาบุรุษยิ่งใหญ่กว่าทุกคราว กำลังพลที่พระยามารยกมาครั้งนี้มืดฟ้ามัวดิน ทั้งบนเวหา บนดิน และใต้บาดาลขนาดเหล่าเทพยดา และท้าวมหาพรหมก็ยังกลัวพระยามาร  

                ปฐมสมโพธิได้พรรณาภาพเหล่าพลมารตอนนี้ไว้ว่า ".........บางจำพวกก็หน้าแดงกายเขียว บางจำพวกก็หน้าเขียวกายแดง ลางเหล่าจำแลงกายขาวหน้าเหลือง.......บางหมู่กายลายพร้อยหน้าดำ......ลางพวกกายท่อนล่างเป็นนาค กายท่อนต่ำหลากเป็นมนุษย์..."

                ส่วนตัวพระยามารเนรมิตพาหาคือแขนซ้ายและขวาข้างละหนึ่งพันแขน แต่ละแขนถืออาวุธต่าง ๆ เช่น ดาบ หอก ธนู ศร โตมร (หอกซัด) จักรสังข์ อังกัส (ของ้าวเหล็ก) คทา ก้อนศิลา หลาว เหล็ก ครกเหล็ก ขวานถาก ขวานผ่า ตรีศูล (หลาวสามง่าม) ฯลฯ

              เหตุที่พระยามารมาผจญพระมหาบุรุษทุกครั้ง เพราะพระยามารมีนิสัยไม่อยากเห็นใครดีเกินหน้าตน เมื่อพระมหาบุรุษจะทรงพยายามเพื่อเป็นคนดีที่สุดในโลก จึงขัดขวางไว้ แต่ก็พ่ายแพ้พระมหาบุรุษทุกครั้ง ครั้งนี้เมื่อเริ่มยกแรกก็แพ้ แพ้แล้วใช้เล่ห์ คือ กล่าวตู่พระมหาบุรุษว่ามายึดเอาโพธิบัลลังก์ คือ ตรงที่พระมหาบุรุษประทับนั่ง ซึ่งพระยามารตู่เป็นที่ของตน พระยามารอ้างพยานบุคคลคือพวกพ้องของตน ฝ่ายพระมหาบุรุษทรงมองหาใครเป็นพยายไม่ได้ เทพยดาเหล่าก็หนีกันหมด จึงทรงเหยียดพระหัตถ์ขวาออกจากชายจีวร แล้วทรงชี้พระดัชนีลงยังพื้นพระธรณีพระนางธรณีผุดขึ้นตอนนี้เพื่อเป็นพยาน

 

 

ปฐมสมโพธิกล่าวไว้ว่า "พระธรณีก็มิอาจดำรงกายอยู่ได้...ก็อุบัติบันดาลเป็นรูปนารี ผุดขึ้นจากพื้นดินปฐพี...." แล้วกล่าวเป็นพยานมหาบุรุษ พร้อมกับบีบน้ำออกจากมวยผม น้ำนั้นคือสิ่งที่เรียกว่า "ทักษิโณทก" อันได้แก่ น้ำที่พระมหาบุรุษทรงกรวดทุกครั้งที่ทรงบำเพ็ญบุญบารมีแต่ชาติปางก่อนเป็นลำดับมา ซึ่งแม่พระธรณีเก็บไว้ที่มวยผม เมื่อบางบีบก็หลั่งไหลออกมา

ปฐมสมโพธิกล่าวว่า "เป็นท่อธารมหามหรรณพ นองท่วมไปในประเทศทั้งปวง ประดุจห้วงมหาสาครสมุทร....หมู่มารเสนาทั้งหลายมิอาจดำรงกายอยู่ได้ ก็ลอยตามกระแสน้ำ ปลาสนาการไปสิ้นส่วนคิรีเมขลคชินทร ที่นั่งทรงองค์พระยาวัสสวดี ก็มีบาทาอันพลาด มิอาจตั้งกายอยู่ได้ก็ลอยตามชลธารไปตราบเท่าถึงมหาสาคร ....พระยามารก็แพ้ไปในที่สุด

            บารมีนั้นคือความดี ที่พระมหาบุรุษท่านทรงรำพึงว่า ชีวิต ดวงหทัย นัยน์เนตรที่ท่านทรงบริจาคให้เป็นกุศลผลทานมาก่อนนั้น ถ้าจะเก็บรวมไว้ก็จะมากกว่าผลาผลไม้ในป่า มากกว่าดวงดาราในท้องฟ้า  ความดีที่ทำไว้นั้นไม่หนีไปไหน ถึงใครไม่เห็น ฟ้าดินก็เห็น ดินคือแม่พระธรณี

         ทั้งหมดที่กล่าวมา คือชัยชนะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงต่อสู้เพียงลำพังพระองค์เดียว  ทรงอ้างถึงพระบารมี ที่บำเพ็ญมาแล้วหาประมาณมิได้  และในวาระมหามงคลแห่งการเฉลิมฉลอง การตรัสรู้ธรรมครั้งยิ่งใหญ่ครบ ๒,๖๐๐ ปี ได้เวียนมาบรรจบ พุทธชยันตรีนี้ จึงเหมือนดั่งการปลุกตื่น ให้เราเหล่าชาวพุทธ น้อมระลึกบูชาชัยชนะแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยการปฏิบัติบูชาเพื่อมีชัยชนะต่อกิเลสมารทั้งปวง สมดังคำอธิษฐานที่ได้จารึกไว้ในบทสรภัญญะอันไพเราะล้ำค่ายิ่งว่า

                    “ถึงแม้จะมีอริวิเศษ         พละเดชะเทียมมาร

                     ขอไทยผจญพิชิตตะผลาญ  อริแม้นมุนินทร......”   สาธุ

 

***** ถ้าชอบบทความนี้ คุณสามารถให้กำลังใจด้วยการร่วม  Vote นะครับ****

เอกสารอ้างอิง

-      แผ่นพับโครงการชนะตนให้พ้นพรรษา ร่วมเจริญภาวนา บทสรภัญญะแห่งแผ่นดิน

-      ซีดี บทสรภัญญะ ปางเมื่อพระองค์ปะระมะพุทธ เรียบเรียงโดย วงศ์วริศ อาริยวัฒน์  CLIMAXSOUND

    ศิลปิน ธนพร แวกประยูร (จำหน่ายในราคา ๑๔๙ บาท ณ ร้านค้าวัดปทุมวนารามราชวรวิหาร)

-     สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโสรส  (2478) .ปฐมสมโพธิ .กรุงเทพฯ :  โสภณพิพรรฒธนากร

-     ประวัติและบทสวดทำนองสรภัญญะ สืบค้นเมื่อ 29 กันยายน 2555 จาก วิกิพีเดีย

-     เหม เวชกร  (2539) .สมุดภาพพุทธประวัติ.กรุงเทพฯ : ธรรมสภา

  




Create Date : 29 กันยายน 2555
Last Update : 30 กันยายน 2555 20:44:11 น. 2 comments
Counter : 6001 Pageviews.

 
1251


โดย: สายสมร IP: 110.168.98.41 วันที่: 15 มกราคม 2556 เวลา:22:18:02 น.  

 
ชอบครับ บารมี แห่ง พระพุทธองค์


โดย: แทน เดชกรณ์ IP: 27.55.233.249 วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2558 เวลา:1:29:19 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

nuttavong
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




Blog รักสยาม : เกิดขึ้นจากผู้เขียนเป็นนักอ่านและมีความหลงไหลในเสน่ห์ของหนังสือเก่า ที่บอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาในอดีตตลอดจนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของบรรพบุรุษของเรา ที่ได้บันทึกเรื่องราวต่างๆ ผ่านตัวอักษร และทุก ๆ ตัวอักษรได้บอกเล่าเรื่องราวของสยามบ้านเมืองของเราเมื่อครั้งอดีต และมีความเชื่อว่า "อดีตคือรากฐานของปัจจุบัน" หนังสือเก่าจึงเต็มไปด้วยคุณค่าและความหมายแตกต่างกันไป เมื่อเกิดชำรุดเสียหายมีหลายคนไม่เห็นคุณค่าปล่อยให้เสื่อมสลายไปตามกาลเวลาเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง เพราะหากปล่อยให้เป็นอย่างนั้น ลูกหลานของเราในวันข้างหน้าอาจลืมเลือนความเป็นชาติของเรา และอาจหลงลืมความดีงามของบรรพบุรุษที่ได้สร้างรากฐานที่มั่นคงไว้

ผู้เขียนยอมรับว่าการเขียนบทความ ณ ที่นี้ได้เรียบเรียงจากหนังสือเก่าอันทรงคุณค่าหลายเล่ม ด้วยภูมิรู้ของตนเองเท่าที่มีอยู่น้อยนิด หากผิดพลาดประการใด
ผู้เขียนขอน้อมรับคำแนะนำจากท่านผู้รู้ทั้งหลายด้วยความยินดี และหากท่านจะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการต่อยอดความรู้ก็จะเป็นประโยชน์สืบต่อไปในภายหน้า
Friends' blogs
[Add nuttavong's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.