Group Blog
 
All Blogs
 




 

ก่อนเกลือเม็ดสุดท้าย...

นาเกลือโคกขาม จ.สมุทรสาคร


๑...

ชายชราก้าวเดินไปบนคันดินเพียงลำพัง ร่างกายที่ผุพังไปตามกาลถอยห่างออกไปทีละน้อย ก่อนที่ผู้สูงวัยจะมุดหายเข้าไปในเพิงพัก

 
“มาดูนกเหรอ” เสียงทักทายดังขึ้นเมื่อเห็นผู้แปลกหน้าเร่งฝีเท้าตามไป

 
“ข้างนอกมันร้อนเข้ามาหลบข้างในก่อน” แม้เพิงพักจะคับแคบหากน้ำใจจากเจ้าของกลับกว้างขวางจนเกินกว่าจะละเลยต่อคำชักชวน

“ต้องมาตอนเช้ากับตอนเย็นช่วงนั้นนกจะมากและไม่ร้อนด้วย”ชายชราบอกถึงสภาพความเป็นจริง ด้วยผูกพันกับนาเกลือมาทั้งชีวิตจึงทำให้ความเปลี่ยนแปลงต่างๆในพื้นที่ไม่อาจเล็ดลอดสายตา และในขณะที่บทสนทนากำลังดำเนินไปนั้น หญิงชราคู่ชีวิตก็ปรากฏตัวขึ้น...

 
ริ้วรอยและแผ่นผิวอันเกรียมกร้านบอกถึงบทบาทชีวิตที่โลดแล่นอยู่กับนาเกลือมาอย่างยาวนาน ร่องรอยบนเรือนกายที่แสงแดดฝากเอาไว้หาได้ทำให้ความชุ่มชื้นในหัวใจของคนทั้งสองเหือดหายไปแม้แต่น้อย และก่อนที่เวลาจะล่วงเลยไปมากกว่านี้ หมวกปีกกว้างพร้อมเสื้อคลุมผืนบางอันเป็นเครื่องแบบแห่งชีวิตได้ถูกสวมทับร่างอันยับย่นนั้น  ทั้งสองกลับลงสู่แปลงนาอีกครั้ง ปล่อยให้ผมนั่งซึมซับเอาความชุ่มเย็นแห่งน้ำมิตรที่เพิ่งได้รับอยู่เพียงเดียวดาย...

๒...

แม้แดดจะร้อนหากสายลมจากทะเลที่อยู่ห่างออกไปเพียงสองกิโลเมตร ได้ช่วยบรรเทาให้บรรยากาศรอบกายไม่เลวร้ายจนเกินไปนัก  ชายชราขะมักเขม้นกับงานกวาดแอ่งน้ำที่ค้างนองตามพื้นนา  สองแขนที่กำด้ามไม้มั่นคงแข็งแรงหาได้อ่อนล้าหรือร่วงโรยไปตามวัยและวัน...

“ทำนาเกลือมา 40 กว่าปีแล้ว” ตาถนอมในวัย ๖๖ ปี เอ่ยถึงช่วงชีวิตที่คลุกคลีอยู่กับนาเกลือ

“ก่อนหน้านั้นตาแกทำมาหลายอย่างทั้งนาข้าว วังกุ้ง พอมาเจอยายก็อยู่กับเกลือมาตลอด” ยายแววคู่ชีวิตกล่าวเสริมถึงความเป็นมาของชายอันเป็นที่รัก หากสำหรับตัวยายแววเองตลอดระยะเวลา ๖๗ ปีแกไม่เคยห่างจากนาเกลือเลยแม้แต่น้อย

“พอรู้ความก็เห็นพ่อกับแม่ทำนาเกลือแล้ว” ด้วยเวลาชีวิตอันยาวนานยายแววจึงรอบรู้วิธีทำนาเกลือได้ถึงแก่นแกน

“นาเกลือไม่เหมือนนาข้าวไม่ต้องใช้ปุ๋ยไม่ต้องดูแลเท่าไร แต่มีเหมือนกันอยู่อย่างคือต้องเอาใจใส่” ตาถนอมเปรียบเปรยให้เห็นถึงความแตกต่าง  ซึ่งไม่เพียงเฉพาะงานสองอย่างนี้เท่านั้น หากเราลงมือทำสิ่งใด การเอาใจใส่ต่อสิ่งที่ทำย่อมให้ผลลัพธ์อันน่าพึงใจเสมอ

“ต้องเอาน้ำออกให้หมดก่อนไม่งั้นรถกลิ้งจะลื่น” ยายแววอธิบายต่อขั้นตอนตรงหน้า

“เวลากลิ้งต้องกลิ้งให้พื้นแน่นไม่งั้นเวลาชักเกลือดินจะติดขึ้นมาด้วยทำให้เสียราคา” ประสบการณ์ที่อยู่กับงานมาทั้งชีวิตถูกถ่ายทอดออกมาตลอดเวลา

 

แปลงนาที่สองตายายกำลังลงงานอยู่นั้นเรียกว่า นาปลง แปลงนาสุดท้ายสำหรับรองรับตะกอนเกลือ ดังนั้นจึงต้องเตรียมพื้นที่อย่างพิถีพิถัน โดยเริ่มจากการปรับสภาพหน้าดินที่ต้องผ่านขั้นตอนต่างๆมากมายทั้ง ตากนา ละเลงพื้นนา เจื่อนนา และกลิ้งนา กว่าจะเสร็จสิ้นจนเห็นเป็นผิวพื้นอันราบเรียบและอัดแน่นต้องใช้เวลากว่า ๓๐ วัน จึงจะพร้อมต่อการผลิตเกลือทะเลทั้งฤดู

 
“เมื่อก่อนที่ยังไม่มีรถกลิ้งต้องอาศัยแรงคน ยายยังจำได้วันแรกที่ทำ ยายเป็นไข้ไปหลายวันยายแววเล่าพร้อมรอยยิ้ม ภาพการงานอันหนักหน่วงเช่นนั้นหาได้เจือจางหรือเหือดหายไปจากความทรงจำของหญิงชราเลยแม้แต่น้อย...

รอยเท้าของคนทั้งสองที่ประทับลงบนดินเลนปรากฏเป็นทางยาว แต่อีกไม่นานร่องรอยเหล่านั้นจะถูกรถกลิ้งบดทับให้เลือนหายไป...

กว่าสี่สิบปีที่ทั้งคู่ผ่านการทำงานซ้ำๆส่งผลให้ความรู้ที่เกิดขึ้นตกตะกอนและติดแน่นอยู่ในทุกอิริยาบถของชีวิตจนยากเกินกว่าจะแยกออกจากกัน  เกลือสมุทรที่กองเก็บอยู่ในยุ้งจึงไม่ได้มีความหมายเพียงสินแร่จากท้องทะเล หากมันยังหมายรวมถึงหยดเหงื่อและรอยน้ำตาของหญิงชายสูงวัยคู่นี้...

๓...

กว่าจะมาเป็นเกลือสมุทรเม็ดขาวเนียนนั้น ต้องผ่านกระบวนการผลิตหลายขั้นตอน  เริ่มจากการผันน้ำทะเลเข้ามาเก็บไว้และรอจนกว่าจะตกตะกอนจึงจะปล่อยลงสู่ นาประเทียบ เพื่อให้ส่วนที่เป็นน้ำระเหยออกไป  จากนั้นจึงส่งต่อไปยัง นารองเชื้อ ซึ่งในขั้นตอนนี้น้ำทะเลจะมีความเข้มข้นมากขึ้น ก่อนจะทิ้งเอาไว้เช่นนั้นจนกว่าความเค็มจะอยู่ในระดับ ๑๐-๒๐ ดีกรี ถึงจะปล่อยลงสู่ นาเชื้อ

 
เมื่อน้ำทะเลเข้าสู่นาเชื้อต้องทิ้งไว้จนกว่าความเค็มจะอยู่ในระดับประมาณ ๒๒ ดีกรี หรือที่ตาถนอมเรียกว่าแก่จัด จึงจะปล่อยลงสู่ นาปลง อันเป็นแปลงนาสุดท้าย และทิ้งไว้เช่นนั้น กระทั่งความเค็มเพิ่มขึ้นไปที่ประมาณ ๒๕ ดีกรี เกลือจะเริ่มตกผลึกและจับตัวเป็นแผ่นหนา รอคอยขั้นตอนการรื้อนาต่อไป


“เวลาวัดความเค็มของน้ำเราใช้เครื่องมือที่เรียกว่าดีกรีช่วยวัด เมื่อก่อนไม่มีตัวนี้เราก็ใช้กิ่งแสม ตัดมาขนาดเท่าแม่โป้โยนลงในนาเชื้อถ้ามันลอยแสดงว่าน้ำแก่จัด” ตาถนอมเล่าถึงภูมิปัญญาเมื่อครั้งที่ยังไม่มีอุปกรณ์ช่วยเหลือ

 
ก่อนจะรื้อนาต้องปล่อยน้ำออกให้หมด จากนั้นใช้ไม้ที่เรียกว่า ไม้อีรุน ไถไปมาจนเกลือแตกเป็นเม็ด จึงจะสามารถชักแถวดึงเกลือมารวมกันเป็นกองเล็กๆเรียงตามความยาวของแปลงนาเพื่อความสะดวกในการขนเก็บเข้ายุ้ง อันเป็นการเสร็จสิ้นกระกระบวนการผลิตเกลือสมุทร...

 
นับจากปล่อยน้ำทะเลเข้ามาเก็บไว้กระทั่งถึงขั้นตอนการรื้อนาหากอยู่ในช่วงเริ่มต้นฤดูทำนาเกลือใช้เวลาประมาณ ๓๐ วัน       แต่หลังจากนั้นระยะเวลาจะลดน้อยลงเหลือประมาณ ๑๕-๒๐ วันขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ...

 


การทำนาเกลือจะทำกันในฤดูแล้งเท่านั้น เพราะในฤดูฝน น้ำฝนจะทำให้เกลือที่ตกตะกอนละลายหายไป หากในระหว่างทำนาเกลือเกิดมีฝนหลงฤดูตกลงมาจะส่งผลให้การทำนาเกลือครั้งนั้นสูญไป ซึ่งสองตายายต่างก็เคยผ่านเหตุการณ์ดังกล่าวมาแล้ว

“มันพูดยากเหมือนกัน ตอนเช้าที่มาถึงเห็นแต่น้ำเต็มนาไปหมด”เมื่อความหวังของชีวิตที่ต่อเติมมาด้วยสองมือต้องมาพังทลายเพียงชั่วข้ามคืน มันคงเป็นเรื่องยากที่จะมีผู้ใดเข้าใจถึงความรู้สึกนั้นได้เท่ากับผู้สูญเสีย...

เกลือสมุทรหรือเกลือทะเลนำไปใช้ประโยชน์ทั้งการบริโภคและการอุตสาหกรรม สำหรับภาคอุตสาหกรรม เกลือสมุทรจะถูกส่งเข้าไปตามโรงงานผลิตคลอรีน โรงงานผลิตโซเดียมคาร์บอเนตเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมแก้ว ใยสังเคราะห์ สบู่ หรือผงซักฟอกเป็นต้น
ต่อเมื่อมีการค้นพบเกลือสินเธาว์ในภาคอิสานเกลือสมุทรจึงเริ่มลดความสำคัญลง เพราะส่วนที่ใช้กับงานภาคอุตสาหกรรมเกลือสมุทรจะมีความบริสุทธิ์น้อยกว่า ดังนั้นโรงงานจึงหันมาใช้เกลือสินเธาว์กันเป็นจำนวนมาก


 
เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไปเช่นนี้ ยายแววและพี่น้องชาวนาเกลือจึงได้รับผลกระทบโดยตรง ตามที่แกมักจะเล่าถึงปัญหาราคาเกลือที่มีแนวโน้มลดลงทุกปี จนหลายครอบครัวต้องหันไปทำอาชีพอื่น และจากข้อมูลดังกล่าวชวนให้คิดถึงความยั่งยืนต่อไปในอนาคตของอาชีพคนทำนาเกลือด้วยว่าจะมีชีวิตในวันข้างหน้าเช่นไร...

๔...


แดดบ่ายร้อนแรงขึ้นตามเวลา  หนุ่มสาวที่ถูกจ้างมาช่วยงานกว่าสิบคนเดินลงสู่แปลงนาประจำตำแหน่งของตน  จากเรี่ยวแรงของพวกเขาช่วยให้แผ่นเกลือที่ตกตะกอนอยู่เป็นผืน กลายสภาพมาเป็นกองเกลือขนาดเล็กเรียงรายเป็นทิวแถวอย่างรวดเร็ว   ส่วนเศษเกลือที่จับตัวเป็นชั้นหนาใกล้ๆกับคันดินนั้น คงต้องรอเวลาให้สายฝนมาชะล้างให้หมดไป หากสำหรับคนเรานั้นตะกอนที่ตกหล่นอยู่ภายในจิตใจ  ต้องอาศัยเครื่องมือชนิดใดมาขูดถากให้มันหลุดร่วงออกไปจากชีวิต...

“หมดหน้าเกลือตาก็ได้เงินแสนกับเขาเหมือนกัน” ตาถนอมบอกถึงรายได้พร้อมรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิ

 
“มันดูเหมือนเยอะนะ แต่พอหักค่าเช่านา ค่าจ้างคนงาน ค่าน้ำมัน ค่าอะไรต่ออะไรแล้วเหลือถึงครึ่งก็ถือว่ามากแล้ว” น้ำเสียงอันราบเรียบของยายแววบอกถึงความจริงในชีวิต แต่ไม่ว่ารายได้จะคุ้มค่ากับเรี่ยวแรงที่ลงไปหรือไม่ ตนสูงวัยทั้งสองก็ยังคงชัดเจนอยู่บนวิถีแห่งเกลือ


“ลูกสองคนเข้าไปเรียนในเมือง วันหยุดถึงจะออกมาช่วย” ยายแววกล่าวถึงลูกหลานขณะเดียวกับที่มองไปยังแรงงานเบื้องหน้า

“พอเรียนจบเค้าคงไปหางานทำในเมือง งานหนักแบบนี้คงทำกันไม่ไหว” หญิงชรารำพึงเพียงแผ่วเบา แต่หากในเนื้อความกลับทำให้ผมรู้สึกว่า วันเวลาแห่งปัจจุบันกำลังทำให้เราอ่อนแอลง พละกำลังของวัยถูกยุคสมัยสูบกลืน การงานที่ต้องลงทุนด้วยเรี่ยวแรงถูกกระแสคลื่นแห่งการบริโภคกัดเซาะกระทั่งหอคอยแห่งความภาคภูมิต่อการใช้แรงงานพังครืนไปจนหมดสิ้น...

สายตาที่มองไปยังนาเกลือของหญิงชรายามนี้เต็มไปด้วยแววกังวล แม้ใบหน้าจะถูกฉาบทับเอาไว้ด้วยรอยยิ้ม

“หมดตากับยายคงไม่มีใครมาทำต่อแล้วหละ” คำพูดสุดท้ายก่อนที่ยายแววจะจากไปช่วยชายอันเป็นที่รัก รอยยิ้มที่ปรากฏคงยินดีต่อการงานอันมั่นคงที่รอคอยลูกหลานอยู่ในเมือง หากสำหรับแววกังวลนั้นเล่า หญิงชราคงมอบให้กับวันเวลาในอาชีพของตนเองที่เหลือน้อยลงไปทุกที...

๕...

แสงแดดอ่อนแรงลงมาก  จากเป้าหมายแรกของผมที่เข้ามาเพื่อดูนกชายเลนอพยพเพียงอย่างเดียว ต่อเมื่อได้พบสองตายายและวิถีอันน่าเคารพมันทำให้รู้สึกว่าไม่เพียงชีวิตของนกเท่านั้นที่สำคัญ หากเรื่องราวของผู้คนที่อยู่รายรอบ ต่างก็มีความน่าสนใจไม่น้อยไปกว่ากัน
นั่นจึงส่งให้การเข้ามาดูนกในครั้งหลังๆ ผมมองพวกมันผ่านกล้องสองตาน้อยลงกว่าเดิม  แม้จะไม่สามารถบอกได้ว่ามีนกชนิดใดอยู่บ้าง หากมันกลับทำให้ผมมองเห็นถึงความสัมพันธ์แห่งชีวิตมากขึ้นกว่าเดิม...

รถสองแถวสาย บ้านสหกรณ์ - มหาชัย เคลื่อนตัวออกมาอย่างช้าๆ แม้นี่ไม่ใช่เที่ยวสุดท้ายของวัน หากมันเป็นเที่ยวสุดท้ายสำหรับการเดินทางเข้ามายังพื้นที่ของผม คงอีกนานกว่าจะได้กลับคืนมายังนาเกลือโคกขาม อาจเป็นฤดูนกอพยพหน้าหรือนานกว่านั้น
แต่ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไร รอยยิ้มของสองตายายและผู้คนแถบนี้ อีกทั้งทุกถ้อยสนทนาจะประทับแน่นอยู่ในความทรงจำตลอดไป

 

 
เรือนกายของตาถนอมกับยายแววเล็กลงจนลับสายตา เมฆฝนหลงฤดูตั้งเค้าทึบทะมึนอยู่ลิบๆ ลำแสงแปลบปลาบมาพร้อมกับเสียงคำรามครางครืน ผมทำได้เพียงภาวนาให้สองตายายขนย้ายเกลือให้เสร็จเรียบร้อยทันเวลา ก่อนที่เม็ดเกลือและเรี่ยวแรงอันอ่อนล้าจะถูกสายฝนชะล้างหายไปจนหมดสิ้น...

. . .

ขอขอบคุณ
ตาถนอมกับยายแวว ผู้มากไปด้วยมิตรภาพและน้ำใจ
ชาวนาเกลือแห่งโคกขามทุกท่าน
คุณ สุชาติ แดงพยนต์
สมาคมอนุรักษ์ธรรมชาติโคกขาม

Create Date : 22 มิถุนายน 2553    
Last Update : 22 มิถุนายน 2553 0:17:04 น.
Counter : 1056 Pageviews.  




 

คนหาเห็ด คนซื้อเห็ด.................

พี่คนหาเห็ดชาวเชียงใหม่ในชุดปฎิบัติงาน พร้อมอุปกรณ์ประจำกายที่เรียกว่า

ง่อง  ขูดหน้าดินหาเห็ด เห็ดเผาะจะอยู่ใต้หน้าดินนิดหน่อย

ต้องอาศัยประสบการณ์ว่าตรงไหนคือที่เห็ดซ่อนอยู่

คนหาเห็ดใช้มอเตอร์ไซด์เป็นพาหนะ

มีเท่าไหร่จะมีคนมารับซื้อต่อไป ในภาพเป็นเห็ดที่เก็บได้ตอนเช้า

บ่ายสองเห็ดก็จะถึงมือ พ่อค้า แม่ค้าคนกลาง กำลังตวงขายเป็นลิตร

ไม่นิยมขายเป็นกิโล ทันส่งตลาดในเมืองเชียงใหม่อีกไม่เกิน

หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น

แม่ค้าคนกลางที่ยืนข้างกระสอบเห็ด

วันนี้เธอใช้งบในการมาซื้อเห็ด 9000 บาท

เจ้านายผมซื้อเห็ดเรียบร้อยแล้ว ถือเห็ดสามลิตรในมือ

กำลังหาข้อมูลการค้าเห็ดจากแม่ค้าคนกลางอยู่

ว่ากำไรแต่ละช่วงของการค้าเห็ดเผาะตกลิตรละเท่าไหร่

<<<<<>>>>>>>

เห็ดเผาะ

ต้นฝนของทุกปีเป็นฤดูแห่งการรอคอยของผู้นิยมเห็ด
เพราะจะมีเห็ดหลายชนิดจากแนวป่าเดินทางขึ้นสู่โต๊ะอาหาร
ของแต่ละครัวเรือน และเห็ดต้นฤดูนี้เองมีราคาแพงเอามากๆ
โดยเฉพาะทางเหนือ เห็ดที่ขึ้นชื่ออันดับหนึ่งคงไม่มีเห็ดใดเกินเห็ดเผาะ
หรือที่เรียกตามภาษาถิ่นเหนือว่าเห็ด ถอบ
ลักษณะเป็นก้อนออกกลมๆ หรือจะมีทรงรีๆบ้าง เมื่อออกใหม่ก็จะมีผิวนอกสีขาว
และเนื้อด้านในก็จะขาวด้วย เวลาเคี้ยวในปาก จะมีเสียงแตกดังเผาะๆ
เหมือนชื่อที่เรียกขานนั่นเอง ใครๆลองแล้วจะติดใจเสมอ

ถ้าแก่ก็จะมีสีตำทั้งผิวนอกและเนื้อใน แถมอาการเหนียวตามมาด้วยแต่ก็ขบมันดีอยู่

เมื่อวานผมมีโอกาสไปเลียบชายป่าแห่งหนึ่งของเชียงใหม่มา
เห็นข้างทางมีรถจอดเรียงรายตามแนวขอบถนน
ไม่ต้องสงสัยเลยครับว่าชาวบ้านจอดรถทิ้งไว้เพื่อเข้าป่าหาเห็ด เผาะนั่นเอง

เมื่อเดือนที่แล้วดัชนีเห็ดเผาะราคาค่อนข้างสูงอยู่
เห็ดเผาะจะขายกันเป็นลิตร ลิตรละ กว่า 200 บาท (ในตลาด)
แพงกว่าเนื้อวัวซะอีก บางคนพูดว่ากินเนื้อวัวดีกว่าถ้าต้องจ่ายขนาดนั้น ก็ว่ากันไปครับ
เมื่อวานนี้เห็ดเผาะ ราคาอยู่ที่ลิตรละ 45 บาท นี่คือราคาข้างทาง
ถ้าเข้ามาในตลาดก็เพิ่มขึ้นตามสภาวะ
ผมอุดหนุนไปสามลิตร เพื่อนำมาฝากพนักงานที่ทำงาน
และไม่ลืมที่จะซื้อยอดอ่อนของใบ มะเม่าอีกจำนวนหนึ่ง
ยอดใบมะเม่าเป็นผักที่จะนำมาคั่วใส่เห็ดเผาะ
จะให้รสชาติอร่อยมาก นับว่าเป็นของคู่กัน
เห็ดเผาะจะคั่วจะแกงก็อร่อย หรือสูตรง่ายที่สุด
เพียงต้มใส่เกลือ แล้วจิ้มกับน้ำพริกตาแดงก็สุดยอดแล้วครับ

ที่ข้างทางนั่นเองผมได้เจอแม่ค้าคนกลางเห็ดเผาะหนึ่งคน
เธอบอกว่าวันนี้เธอเตรียมเงินมา 9,000 บาท
เพื่อมาซื้อเห็ดเผาะและนำไปส่งที่ตลาดในเชียงใหม่
เธอยังเล่าให้ผมฟังว่า แม่ค้าคนอื่นเตรียมเงินมาตามหาซื้อเห็ด
ค่อนข้างมาก ฟังแล้วผมเองก็นึกไม่ถึงว่าใช้เงินเยอะมากขนาดนั้น
ในธุรกิจเห็ดเผาะนี้ ตัวเลขที่ว่านั้นคือ 70,000 บาทต่อครั้ง
ในการตามหาซื้อเห็ดในหนึ่งวัน

ชาวบ้านหนึ่งคนจะหาเห็ดได้ราว สี่ลิตรขึ้นไป
ถ้าโชคดีมีประสบการณ์อาจหาได้เกิน 20 ลิตร
จากตอนเช้าถึงราวบ่ายเมื่อนำเห็ดออกสู่จุดขายข้างทาง
ถ้าคำนวณออกมาแล้วก็นับว่าเป็นรายได้ที่ดี
แต่ก็ต้องอดทนที่จะถูกแมลงกัดต่อย และถูกยุงกัด
จะต้องแต่งตัวมิดชิดและทนอากาศร้อนได้ด้วย
บริเวณที่เห็ดออกจะมีสภาพอากาศอบอ้าวเสมอ
เมื่อผมซื้อของจากข้างทางจะไม่ต่อราคา
เพราะถือว่าเป็นการช่วยชาวบ้าน
เเละราคาที่ได้ก็ถูกอยู่แล้ว

แต่สำหรับผมแล้วเห็ดที่ผมชอบที่สุดคือเห็ดตับเต่าครับ
แกงใส่ใบอ่อนของต้นส้มป่อยไม่ต้องใส่เนื้อสัตว์ลงไปเลย
ก็อร่อยจนหาอะไรเปรียบได้ยากจริงๆ
เห็นเมื่อไหร่ได้กินเมื่อไหร่จะทำให้นึกถึงเนื้อเพลง
มนต์รักลูกทุ่งเสมอครับ

ขอบคุณและสวัสดีครับ

Dha<<

Create Date : 22 มิถุนายน 2553    
Last Update : 22 มิถุนายน 2553 0:16:56 น.
Counter : 464 Pageviews.  




 

โสมาลี...อดีตโสเภณีเด็ก ยืนเด่นเป็นสง่าบนเวทีโลก!!...มหาเศรษฐีบางคนกลับไม่มีที่ยืน!!

เกือบยี่สิบปีก่อน ดิฉันยังรับผิดชอบคลินิกกามโรคในโรงพยาบาลชุมชน มีโสเภณีจากซ่องหลายซ่องในอำเภอผลัดกันมารับการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธุ์ ดิฉันนั่งคุยกับน้องผู้หญิงเหล่านั้นสัปดาห์ละครั้ง นอกจากสอนเรื่องการป้องกันตัวเองแล้ว ยังคุยไปถึงเรื่องส่วนตัว ครอบครัวของเขาด้วย หลายคนยังเป็นเด็กหญิงอยู่เลย มีคู่หนึ่งเป็นพี่น้อง พี่อายุ 15 น้องอายุ 13 มาจากแม่สายเมืองเจียงฮายเหมือนในเพลง "แม่สาย" ที่คุณเทียรี่ เมฆวัฒนาขับร้อง พ่อแม่พามาขายให้แม่เล้า หาเงินปลูกบ้านให้พ่อแม่ และสองพี่น้องก็เต็มใจทดแทนบุญคุณ

ประเทศกำลังพัฒนาที่ใดในโลกมักจะมีปัญหาสังคมเหล่านี้ ประเทศไทยก็เช่นกัน ดังที่มีนักเขียนหลายท่านนำเรื่องราวทำนองนี้มาเขียนสะท้อนผ่านนวนิยายของเขา เช่น สนิมสร้อย ของคุณรงค์ วงค์สวรรค์ หรือเรื่องจริงจากข่าวนานมาแล้ว ไฟไหม้ซ่องโสเภณีที่ภูเก็ต มีโสเภณีถูกไฟคลอกเสียชีวิต ในนั้นมีโสเภณีเด็กด้วย...ทุกวันนี้ ปัญหานี้ในไทยยังมีอยู่มากน้อยแค่ไหนดิฉันไม่รู้

แตอีกหลายประเทศ ปัจจุบัน ปัญหาแก๊งค้ามนุษย์ ธุรกิจซ่อง ยังรุนแรงอยู่มาก หลายประเทศในแถบแอฟริกา เอเชีย และที่เขมรเพื่อนบ้านของเราด้วย

คืนหนึ่งในเขมร ปลายเดือนมีนาที่ผ่านมา ดิฉันไปเดินเล่นถนนสายกลางคืนในเสียมเรียบ ไกด์บอกว่า "เหมือนถนนข้าวสารเมืองไทย"...เขาเปรียบอย่างนั้น เพราะเป็นแหล่งบันเทิงยามค่ำคืนที่ชาวต่างชาตินิยมมาเที่ยว...มีป้ายภาษากัมพูชาและภาษาอังกฤษติดอยู่ว่า..." Child sex tourism is unacceptable, if you see anything suspicious, call the number above." มีหมายเลขโทรศัพท์ให้แจ้งเหตุไว้ด้วย

หลังจากกลับมาแล้วได้อ่านรีดเดอร์สไดเจสต์ฉบับเดือน พ.ค.53 เรื่อง"นางฟ้าแห่งกัมพูชา" ...โสมาลี มัม เธอเป็นอดีตโสเภณีเด็กเหยื่อแก๊งค้ามนุษย์สุดชอกช้ำในซ่องโหดแห่งหนึ่งในกัมพูชา

อ่านเรื่องราวชีวิตของ อดีตโสเภณีเด็ก โสมาลี มัม แล้วเกิดหลายความรู้สึกปะปน สะเทือนใจ ซาบซึ้งในน้ำมิตรจิตใจที่กว้างใหญ่ไพศาลของผู้หญิงคนนี้

โสมาลี กำพร้าตั้งแต่อายุสี่ห้าขวบ ยุคพอลพตที่คนเขมรในเมืองถูกต้อนไปทำงานไร่ในชนบท เธอถูกทิ้งให้โตอย่างเด็กกำพร้าอาศัยอยู่ในกระท่อมไม้ไผ่ป่าตะวันออก ต้องดิ้นรนหากินลำพัง

วันหนึ่งเธอถูกชายสูงวัยหลอกว่าเป็นญาติของพ่อ จะพาไปพบพ่อ เธอเรียกเขาว่า"ตา" เดินไปกับเขาดีดี พอถึงถนนใหญ่ เห็นรถบรรทุกขนคนมากมาย เธอเริ่มเอะใจและวิ่งหนี แต่ถูก"ตา"ซ้อมจนเลือดโชกร่วงลงกับพื้น ในที่สุดต้องไปเป็นทาสรับใช้"ตา" ทำงานทุกอย่าง ทำความสะอาด ซักผ้า ถูบ้าน  ทำอาหาร พอ"ตา"เมากลับบ้าน เธอก็จะถูกเฆี่ยนเสมอ...จนอายุ 16 ปี

โสมาลี ถูกตาขายให้กับซ่องแห่งหนึ่งในพนมเปญ "ต้องทำตามลูกค้าทุกอย่างหากไม่อยากเจ็บตัว" เป็นคำสั่งของเจ้าของซ่อง เมื่อต้องรับแขกคนแรกเขาบอกให้ถอดเสื้อ เธอไม่ยอม จึงถูกสั่งให้ไปยัง "ห้องลงโทษ" งูเลื้อยอยู่เต็มไปหมด เธอร้องจนหมดฤทธิ์ต่อต้าน ในที่สุด โสมาลี ต้องสนองอารมณ์ชายวันละหลายสิบคน เช่นเดียวกับเด็กหญิงอีกนับร้อยในซ่องนั้น

ใครคิดหนีก็จะถูกแมงดาตามล่ามาจนได้ ครั้งหนึ่ง เด็กสาว 15 ซึ่งหนีออกไป ถูกตามล่ากลับมา สามีเจ้าของซ่องนำตัวมาต่อหน้าโสเภณีเด็กทั้งหลาย เด็กคนนั้นถูกซ้อม เอามือไพล่หลัง และถูกปืนจ่อยิงขมับปลิดชีวิตไปต่อหน้า...เพื่อสั่งสอนเป็นตัวอย่างแก่เด็กคนอื่นว่า "อย่าริทำอย่างนี้"

ทั้งโกรธ เกลียด กลัว...โสมาลีบอกกับตัวเองว่า "สักวันฉันจะฆ่าผู้ชายคนนี้"

5 ปีในซ่อง โสมาลี สนองอารมณ์ชายแล้วนับพันพันคน จนอายุ 21 ปี เธอเริ่มได้รับอิสระมากขึ้น ออกไปข้างนอกได้ มีโอกาสพบชาวต่างชาติ เขาออกเงินให้เรียนภาษาฝรั่งเศส และได้รู้จักปิแอร์นักสังคมสงเคราะห์ชาวฝรั่งเศสพูดเขมรได้ ในวันที่โสมาลี "ราคาตก" เจ้าของซ่องจึงปล่อยโสมาลีออกไป เธอตัดสินใจไปอยู่กับปิแอร์และแต่งงานปี 2536 เพื่อได้วีซ่าไปอยู่ฝรั่งเศส

ประสบการณ์วัยเด็ก ทำให้โสมาลีเป็นคนขี้อาย ขี้กลัว ขาดความมั่นใจในตัวเอง แต่...ปณิธานของเธอคือ " ฉันไม่อยากให้เหตุการณ์อย่างฉันเกิดขึ้นกับเด็กคนอื่น ต้องมีใครสักคนลุกขึ้นมาเป็นปากเสียงให้เด็กเหล่านี้" สามีทำให้เธอมั่นใจตนเองมากขึ้น กล้าทำงานกับคนอื่นได้

แล้วตัดสินใจกลับมาใช้ชีวิตในเขมร เริ่มติดต่อช่วยงานองค์กรการกุศลด้านการแพทย์ เอาถุงยางอนามัยไปแจกโสเภณีในซ่อง แล้วแอบพาเด็กหนีออกมาอยู่ที่บ้าน เมื่อปิแอร์และเธอรับภาระเองไม่ไหวเพราะไม่มีเงินพอ โสมาลีจึงระดมเงินบริจาคและสร้างบ้านพักฉุกเฉิน เพื่อไม่ให้เด็กถูกแมงดาตามล่า

3 ปีถัดมา โสมาลีและปิแอร์ตั้งองค์กรการกุศล "AFESIP" เป็นภาษาฝรั่งเศส แปลว่า " การช่วยเหลือผู้หญิงที่อยู่ในสถานการณ์ลำบาก" ให้การศึกษา ฝึกอาชีพ เด็กที่เคยเป็นโสเภณีอายุแค่สิบขวบต้นๆหลายคน จากซึมเศร้ากลายเป็นคนแจ่มใส แม้การช่วยเด็กคนอื่นทำให้เธอตกอยู่ในอันตราย ลูกสาวเธอเองยังเคยถูกลักพาตัวไป แต่โชคดีช่วยกลับมาได้

แต่โสมาลีไม่กลัว เธอบอกว่าเธอเคยตายไปแล้ว ไม่มีอะไรต้องกลัวอีก 10 ปีที่องค์กรของโสมาลีและปิแอร์ ให้การศึกษาอดีตโสเภณีเด็กแล้วกว่า 5,000 คน ปัจจุบันมีบ้านพักพิง 3 หลัง มีเด็กในอุปการะ 200 คน แม้ปิแอร์และโสมาลีจะหย่าขาดจากกันแล้ว แต่โสมาลีก็ยังดำเนินงานบ้านพักพิงเพียงลำพังคนเดียว ทำงานวันละ 20 ชั่วโมง เพื่อช่วยเหลือเด็กหญิงให้พ้นจากวงจรอุบาทว์ของธุรกิจซ่องโสเภณี

แม้โสมาลีจะยังถูกภาพอดีตหลอกหลอน ทุกครั้งที่ต้องเข้าไปในซ่อง กลิ่นคาวหื่นเหล่านั้นทำให้เธออาเจียนทุกครั้ง แต่เธอรู้ว่างานของเธอไม่มีวันจบ เพราะแก๊งค้ามนุษย์ยังตระเวนหลอกเด็กตามหมู่บ้าน หลอกว่าจะพาไปทำงานรายได้งาม ขณะนี้โสเภณีในกัมพูชามีไม่น้อยกว่า 100,000 คน 40% อายุไม่ถึง 16 ปี คนกัมพูชาอัตราการไม่รู้หนังสือสูงมาก คนแปดสิบเปอร์เซ็นต์ยากจนมาก รายได้เฉลี่ยไม่ถึง 500 เหรียญต่อปี ความไม่รู้จึงถูกหลอก ความจนทำให้ถูกเอาเปรียบ เด็กผู้หญิงกลายเป็นสินค้าราคาถูก พ่อแม่ยากจนเอาลูกสาวไปขายเองก็มี

โสมาลี มัม อดีตโสเภณีเด็ก ผู้มีชีวิตที่ขมขื่นทุกข์ทรมานในวัยเด็ก แทนที่จะคิดเปลี่ยนชีวิตตัวเอง ชดเชยความทุกข์ไปหาความสุขสบายส่วนตัวเมื่อโอกาสมาถึง แต่เธอกลับคิดเปลี่ยนชีวิตเด็กคนอื่น และยอมเสี่ยงชีวิตตัวเอง

โสมาลี มัม จากคนขาดความมั่นใจ จากคนไม่มีสิทธิ์มีเสียงในสังคม จากเด็กชีวิตชอกช้ำขมชื่น กลายเป็นผู้วิจารณ์เรื่องโสเภณีเด็กอย่างกล้าหาญ ได้รับการยกย่องจากผู้นำโลกหลายประเทศ ยืนเด่นเป็นสง่ารับรางวัลระดับโลกมากมาย

ภาพจากเว็บไซต์ childrensworld.org

ชีวิตจริง...ของบางคนโหดเหี้ยมยิ่งกว่านิยาย...โสมาลี มัม เมื่อหลุดพ้นจากชีวิตอันขมขื่น เธอเลือกที่จะเป็นผู้ให้กับผู้อื่นแทนการเรียกร้องขอความเห็นใจให้ตัวเอง น่าละอายแทนคนบางจำพวก มหาเศรษฐีบางคน ที่มีชีวิตเลือกได้ แต่กลับไม่มีที่ยืนบนโลกใบนี้!! เพราะหลงยึดติดกับอำนาจวาสนา หาโอกาสกอบโกยไม่มีที่สิ้นสุด

..................

อ้างอิง "นางฟ้าแห่งกัมพูชา" โดย โรเบิร์ต คีย์เนอร์ จาก รีดเดอร์ส ไดเจสท์

ดูรายละเอียดของ โสมาลี มัม ได้ที่ somaly.org

ขอบคุณเพลง...แม่สาย คาราบาว...เทียรี่ เมฆวัฒนา

Create Date : 22 มิถุนายน 2553    
Last Update : 22 มิถุนายน 2553 0:16:50 น.
Counter : 1253 Pageviews.  




 

ข้อมูลที่แฟนบอลทีมจากยุโรป...!!! ควรอ่าน.

ฮาลา-บาลา
Create Date : 22 มิถุนายน 2553    
Last Update : 22 มิถุนายน 2553 0:16:43 น.
Counter : 439 Pageviews.  




 

ไปดูอดีตเขาพับผ้าและไก่ป่าที่พัทลุง กับอนาคตที่กำลังจะถูกโค่น เพื่อขยาย...

<<
Create Date : 22 มิถุนายน 2553    
Last Update : 22 มิถุนายน 2553 0:16:35 น.
Counter : 448 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  

boyberm
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




boyberm
Friends' blogs
[Add boyberm's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.