Group Blog
 
All Blogs
 




 

บทเรียนเรื่องที่(ดิน)...ที่ควรเรียนรู้

ต้องลางาน 2 วันไปจัดการเรื่องที่ดินอันน้อยนิด

เพื่อเปลี่ยนจาก น.ส.3ก เป็นการออกโฉนด

ยุ่งยากมากค่ะ..เพราะที่ดินรอบข้างได้เปลี่ยนเป็นโฉนดร่วม 20 ปีมาแล้ว

แต่ที่ดินของเรายังเป็น น.ส.3ก อยู่เลย

ทำไมเป็นเช่นนั้น....

ก็คงต้องยอมรับว่า..ด้วยความไม่ใส่ใจและวางเฉย

อาจพูดได้ว่า..พ่อจะไม่ยอมรับมรดกที่ย่ายกให้ด้วยซ้ำไป

พ่อยอมที่จะอยู่บ้านเช่าหลังเล็กๆ..

ยากที่จะเดาเหตุผลได้ว่าเพราะอะไร

....หยิ่งในศักดิ์ศรี

หรืออาจจะเจียมเนื้อเจียมตัวในความยากจน

หรืออาจจะน้อยเนื้อต่ำใจ

หรืออาจจะติดที่..(ตอนนั้นพ่อเป็นตำรวจอยู่ที่ อ.พะโต๊ะค่ะ)

ที่สุด..พ่อก็ยอมมาสร้างบ้านหลังน้อยๆในที่ดินผืนนี้

สู้ๆค่ะ

ด้วยเหตุผลเพราะจะได้ช่วยกันดูแลลูกสาวคนที่สอง

ก็น้องสาวของฉันเอง...แต่ตอนนี้เธอไม่อยู่แล้วค่ะ

ทุกคนจำอายุของบ้านได้แม่นยำ

เพราะหลังจากสร้างบ้านเสร็จและเข้าไปอยู่ไม่ทันถึงปี

ก็เกิดพายุและน้ำท่วมครั้งรุนแรงที่สุดของชาวจังหวัดชุมพร

สร้างความสูญเสียให้กับผู้คนชาวชุมพรเป็นอย่างมาก

พายุลูกนั้นก็คือ.....ซีต้า (เกิดราว พ.ศ. 2540 เกิดต่อจากพายุเกย์ค่ะ)

หลังจากเกิดภัยพิบัติครั้งนั้น

ทำให้ชาวจังหวัดชุมพรต้องหันกลับมามอง

โครงการแก้มลิง...ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ฯ

ได้พระราชทานแนวความคิดเอาไว้...นานแล้ว

แต่ไม่มีใครใส่ใจ...จะด้วยเหตุใดก็ยากที่จะเดา

หลังจากโครงการแก้มลิงสำเร็จลุล่วง

จากจังหวัดที่ต้องประสบกับน้ำท่วมทุกปี

กลายเป็นจังหวัดที่ไม่เคยเจอน้ำท่วมอีกเลย

ทำให้ชาวจังหวัดชุมพรทุกคนรู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้

ต้องตัดหญ้าก่อนที่จะมีการวัดที่ค่ะ

ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนกันมั๊ยคะ

เหนื่อยมาก

นักสำรวจจำเป็นค่ะ..ต้องใส่รองเท้าบู๊ทค่ะ..งูกะปะเยอะ

จากเหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ชาวจังหวัดชุมพร

ไม่เคยนิ่งดูดายอีกเลยเลย

และได้เกิดการเรียนรู้ว่า...

การได้เป็นผู้ให้...ย่อมเป็นสุขนักหนา

..........

กลับมาเรื่องที่ดินต่อค่ะ...

พ่อของฉันก็พยายามที่จะขอเปลี่ยนเป็นโฉนดอยู่หลายครั้ง

ก็ติดขัดตรงที่ข้างเคียงอยู่เจ้าเดียว..ก็คือที่ดินของพี่ชายแท้ๆของตัวเองนั่นเอง

เสาหลักเขต..หายเรี่ยมเชี่ยม  ไม่เจอเลยสักหลักเดียว

เฮ่อๆๆๆๆ

ถ้าฉันเป็นลุง...ก็คงจะบอกน้องชายของตัวเองแล้วล่ะ

มึงไปจัดการเรื่องที่ดินได้แล้ว..อย่าปล่อยไว้เนิ่นนาน เดี๋ยวกูจะชี้หลักเขตให้เอง

จนเดี๋ยวนี้...ลุงก็ตายจากโลกนี้ไปหลายปีแล้ว  ก็ยังไม่ได้ทำ

ยิ่งตอนนี้ยิ่งยุ่งยากเข้าไปใหญ่เลยค่ะ...

เพราะลูกของลุงเขาก็บอกว่า..เขาไม่รู้ว่าเขตแดนอยู่ตรงไหน

ชี้ไม่ถูก...ไม่ชี้....5555

ฉันก็ได้แต่คิดในใจว่า...ถ้าฉันเป็นเขาซึ่งมีโฉนดแล้วมันสามารถวัดจากส่วนของเขาได้

ฉันยินดีที่จะออกค่าใช้จ่ายในการวัดให้...

เราก็ได้แต่คิดนะ

ได้แต่เข้าใจ...ว่าคนเรามันต่างกันจริงๆ

บางคน...ชีวิตนี้มีแต่คำว่าให้

บางคน...ชีวิตนี้มีแต่คำว่าอยากได้อยากเอา

เป็นเรื่องธรรมดาจริงๆ

ฉันลางานไป 2 วันครั้งนี้มีเป้าหมายชัดเจน คือ

 ยังไงก็ต้องออกโฉนดให้ได้

แม้อาจจะต้องสูญเสียที่ดินของพ่อบางส่วนก็ตาม

เพียงให้เขาชี้เท่านั้นเพียงพอ

สุดท้ายเขายอมชี้ค่ะ

เฮ่อ!...โล่งอก

เมื่อคำนวณออกมาแล้ว

ที่หายไป 2 ไร่ กับอีก 1 งาน

555555555

บอกหลานว่าช่างเต๊อะ...ตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้

ฉันจุดธูปบอกพ่อ....

พ่ออย่าโกรธหนูนะ...มันอาจจะหายไปจริงๆโดยที่ไม่มีใครเอาไปก็ได้(ได้แต่คิดบวก)

เมื่อชาวบ้านมาถามด้วยความห่วงใย

ก็บอกเขาไปตรงๆว่าที่หายไปประมาณ 2 ไร่ 1 งาน

ทุกคนตกใจ

ต่างพูดเป็นเสียงเดียวว่า...

ไม่น่าจะเป็นไปได้

ต้องคุยกับเจ้าหน้าที่ใหม่แล้วล่ะ

เฮ่อ....จะต้องเหนื่อยอีกรึนี่

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

Create Date : 28 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 28 กรกฎาคม 2553 0:57:41 น.
Counter : 583 Pageviews.  




 

“Out of Africa” - 3 (จบ): “แด่แอฟริกา ด้วยความรัก..และ เดนิส พรากจากแสงตะวัน”

การกลับมาใช้ชีวิตในประเทศบ้านเกิด(เดนมาร์ก)ของคาเรน บลิกเซน อีกครั้งนั้น เป็นชีวิตที่อยู่เพื่อการเขียนหนังสือ ซึ่งเธอเขียนขึ้นจากเศษเสี้ยวของประสบการณ์ชีวิตในอดีต

Out of Africa (พรากจากแสงตะวัน) เป็นความทรงจำที่ดีที่สุด ที่คาเรนอยากเก็บเอาไว้และถ่ายทอดสู่จินตนาการของชาวโลกได้ชื่มชมความงดงาม ความรู้สึกต่างๆ ที่เกิดขึ้นในดินแดนที่เธอรัก

ความดีของคาเรนที่ถ่ายทอดแก่มวลหมู่มนุษย์ด้วยกันคือ ความรักที่มีต่อชาวผิวดำ ในฐานะเพื่อนร่วมโลก  ไม่มีการดูถูกเหยียดหยาม แต่ให้ความสำคัญแก่พวกเขาในฐานะผู้ใช้แรงงานหรือเพื่อนร่วมงาน มากกว่าที่จะไปเน้นในฐานะ “เจ้าของแรงงานทาส” หรือเจ้าอาณานิคม

ในขณะที่แก่นสาระของเรื่องราวนั้น เน้นอยู่ที่ความรักของบุคคลที่เป็น “เจ้านาย” โดยการดำเนินเรื่องอยู่บนฉากหลังที่เป็นธรรมชาติของทุ่งหญ้าซาฟารีแห่งแอฟริกาและชนพื้นเมืองเผ่ามาไซ

“เด็กๆ ที่นั่งรอนาฬิกานกคุกคูแผดเสียงร้องในตอนเที่ยงวัน ความยากจนข้นแค้นของเหล่านักรบมาไซและชายชราที่ต้องการเต้นรำครั้งสุดท้ายบนแผ่นดินที่ถูกยึดครอง”

คาเรน แสดงความอาลัยอาวรณ์ต่อการสูญเสียเดนิสเป็นอย่างมาก เขาเป็นผู้ที่มีอิทธิพลเหนือจิตวิญญาณเสรีของ คาเรน อาจกล่าวถึงความรักแทนเธอได้ว่า 

เพราะความรักที่มีต่อเดนิส เธอจึงทำได้ทุกอย่าง เว้นเสียแต่เรียกร้องความรักความอบอุ่นมาโอบกอดไว้ตลอดเวลาของช่วงชีวิตเธอได้ เมื่อความรักเป็นได้ทุกๆ อย่าง มันก็ทำให้เธอดำรงชีวิตเหมือนคนที่รอวันตาย...... “วันที่รักจะพรากเธอไปจากแสงตะวัน”

ดังได้กล่าวมาแล้วว่า คาเรน บลิกเซนได้จากแผ่นดินแห่งคนผิวดำไปถึง 5 ปีแล้วจึงได้เขียนเรื่องราวดังกล่าวขึ้น ก่อนหน้านี้เธอได้แต่เพียงเขียนจดหมายถึงน้องชาย(โธมัส)เท่านั้น อาจเป็นเพราะว่า เธอมีความเป็นกุลสตรีแบบชาวเดนมาร์กมากกว่า เธอเล่าให้น้องชายฟังในช่วงแรกว่า ที่แอฟริกาเขาง็อง(Ngong Hills).....เธอมีหน้าที่เพียง 3 อย่างเท่านั้น คือ ทำกับข้าว ดูแลคนวิกลจริต และ เขียนบอกเล่าเรื่องราวหรือบันทึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นรอบตัวเธอ เนื้อหาในจดหมายฉบับหนึ่งจารึกว่า

“ฉันรู้ว่า ฉันเหลือแต่เพียงอดีต อีกไม่นานมันก็จะเลือนรางจางหายไป ฉันไม่ต้องการอะไรทั้งสิ้นแล้ว ไม่อยากดิ้นรนต่อต้านความเปลี่ยนแปลงของโลกเหมือนคนอื่นๆ ฉันไม่ได้มีความทุกข์เพราะการสูญเสียมารดาหรือคนอื่นๆ ที่ตายจากฉันไป แต่ที่ลำบากใจ คือ ชีวิตและความเป็นอยู่ของฉันเอง ฉันสงสัยเหลือเกินว่า ฉันจะอยู่ต่อไปได้อย่างไรเมื่อฉันเพิ่งกลับจากแอฟริกา

ฉันบอกมารดาว่า อย่างหวังอะไรกับตัวฉันมากนักนะ เพราะวิญญาณครึ่งหนึ่งของฉันยังถูกฝังที่เขาง็อง มาบัดนี้ฉันรู้สึกว่าอีกครึ่งหนึ่งของชีวิตที่เหลืออยู่นั้นยังไม่ได้อยู่ในหลุมฝังศพ  แต่ยังล่องลอยอยู่ในอดีตกาลและจักรวาล ใครจะรู้ว่า...ฉันหมดอาลัยใยดีในชีวิตนั้นเสียแล้ว ฉันมีเพียงชีวิตที่อยู่ไปวันๆ เท่านั้น”

“ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อฉันจากง็องไปนั้น อาจจะใหญ่หลวงพอๆ กับการสูญเสียแม่ของฉันไป แต่เมื่อเราลองมาคิดถึงธรรมชาติของชีวิต ก็คิดว่าไม่มีอะไรยั่งยืน ความไม่เที่ยงแท้นี้จัดว่าเป็นคุณสมบัติอันประเสริฐของธรรมชาติ ความโศกเศร้าที่มีอยู่ก็ได้ผ่อนคลายลงไป”  

“ชีวิตที่ยังคงดำรงอยู่นี้เหลือเพียงกี่ส่วนกันแน่ หลังจากที่ได้ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ มา เมื่อเทียบกับชีวิตที่เคยเป็น “ฉัน” เป็น “เธอ” เมื่อสิบห้าปีที่แล้ว”

หนังสือที่มีชื่อเสียงของคาเรนหลายเล่มก็เช่นเดียวกัน เป็นการสร้างตัวละครให้โลดแล่นไปตามจินตนาการของเธอ

ขณะที่งานเขียนของเธอออกสู่สายตาชาวโลก อาทิเช่น Seven Gothic Tales, Winter’s Tales, Last Tales, Anecdotes of Destiny, Shadows on The Grass โดยบางเล่มได้รับการแปลเป็นภาษาไทย

ความนิยมในงานเขียนของคาเรนในสหรัฐอเมริกานั้นมีสูงมาก และแพร่หลาย  ในปี 2502 เธอได้รับเชิญไปสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรกและครั้งเดียว ซึ่งเธอก็มีคนดังอย่าง มาริรีน มอนโร อาร์เธอร์ มิลเลอร์ คาร์สัน แม็คคัลเลอรส์ ได้ร่วมโต๊ะพูดคุยสนทนากัน คิวการพบปะผู้คนแน่นขนัดจนเธอต้องล้มป่วยเข้าโรงพยาบาลที่นิวยอร์ค

หลังจากเธอเดินทางกลับจากสหรัฐอเมริกาก็ล้มป่วยลง จนกระทั่งลมหายใจของเธอสิ้นลงในวันที่  7 กันยายน 2505 จบชีวิตนักเขียนที่ตัวเธอเองยังกล้ารับประกันในตัวเธอเองว่า

No one came into literature more bloody than I” (ไม่มีนักเขียนคนใดก้าวเข้ามาในวงการวรรณกรรมด้วยความโชกโชนเท่ากับฉัน)

เพราะงานเขียนของเธอกลั่นออกมาจากชีวิตที่เข้มข้น เอาชีวิต เลือดและความรักเข้าไปแลกจึงได้มาซึ่งตัวอักษร โดยผ่านความช่ำชองในการใช้ภาษาของคาเรน

ในปี 2500 ผลงานของคาเรนได้รับการเสนอเข้าชิงรางวัลโนเบล สาขาวรรณกรรม แต่ก็พลาดเพราะปีนั้น คนที่ได้รับรางวัลนี้คือ อัลแบร์ กามู (Albert Camus) นักเขียนนามอุโฆษชาวฝรั่งเศสนั่นเอง

เออร์เนสต์ เฮมิงเวย์ (Ernest Hemingway รางวัลโนเบลปี 2497)นักเขียนชื่อดังของสหรัฐอเมริกากล่าวสดุดีในผลงานของคาเรนว่า

“เธอเป็นผู้ที่สมควรได้รับรางวัลนี้มากกว่า”

ความงดงามของการใช้ภาษา โดยเฉพาะภาษาอังกฤษทีเธอบรรจงเขียนได้ดีกว่าภาษาเดนนิส ก็ไม่มีใครปฏิเสธในความไพเราะในงานเขียนนั้น ความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษสูงและจูงใจให้ผู้อ่านได้ดื่มด่ำตลอดเวลา

“อุปมาว่าภาษาที่เธอใช้นั้นคมคายและให้ภาพอันวิจิตรละเอียดอ่อน”

……………………………………………………………………………………….

เครื่องบินเล็กๆ นำทั้งคู่แล่นผ่านป่าเขาและหนองน้ำที่ฝูงนกฟลามิงโกใช้เป็นที่พักพิงระหว่างการเดินทาง เป็นภาพที่คลาสสิกสำหรับนักแสวงหาโลกใหม่

ทัศนียภาพนั้นไพศาลยิ่งนักเมื่อขึ้นไปล่องลอยอยู่เหนือแผ่นดินสูงแอฟริกัน สรรพสี ผสานและแปรเปลี่ยนอย่างน่าอัศจรรย์ สีรุ้งบนแผ่นดินเขียวขจีอร่ามแสงตะวัน

ยากไร้ด้วยถ้อยคำอันใดที่จะบรรยายถึงประสบการณ์การบิน จนต้องคิดค้นคำใหม่ๆ ขึ้นมาใช้ ในยามที่กำลังโบยบินอยู่เหนือริฟท์ วัลลีย์ และปล่องภูเขาไฟซัสวา กับ ลองโกน็อท

คุณได้เดินทางมาแสนไกล เหมือนมาถึงแผ่นดินอีกฟากหนึ่งของดวงจันทร์ บางครั้งบินต่ำลงมา พอจะเห็นบรรดาสัตว์วิ่งอยุ่บนทุ่งราบและรู้สึกต่อพวกมันดังที่องค์พระเป็นเจ้าทรงรู้สึก เมื่อเพิ่งนฤมิตมันขึ้นมา ก่อนที่จะมอบหมายให้อะดัมเป็นผู้ตั้งนาม

ด้วยความรัก ที่คาเรน มีต่อเดนิส เธอได้ ฝังศพของเขาไว้บนเทือกเขาแห่งหนึ่ง ที่เมื่อมองลงมาเห็นทัศนียภาพอันกว้างไพศาล

ในช่วงท้ายของชีวิต  เธอมักขับรถไปยังสุสานของเดนนิส และพบว่ามี “แขกเหรื่อที่ลี้ลับมากมาย” เดินทางมาคารวะศพผู้ที่จากไปชั่วนิรันดร์

พวกชาวมาไซ..รายงานต่อข้าหลวงแขวงที่ง็องว่า หลายครั้งในยามอรุณและอัสดง พวกเขาเห็นสิงโตยืนอยู่บนสุสานของ เดนิส ฟินช์ แฮทตัน   สิงห์ตัวหนึ่งกับคู่ของมันได้ไปที่นั่น  ยืนหรือเหยียดกายนอนบนหลุมศพเป็นเวลานาน..  ที่นั่นพวกมันสามารถมองเห็นได้ทั่วท้องทุ่ง เห็นทั้งฝูงปศุสัตว์และสัตว์อื่นๆ ในนั้นด้วย

คาเรนเป็นนักเล่านิทานที่ผู้คนต่างพากันยกย่องว่า สามารถตรึงคนฟังให้นิ่งได้ ราวกับต้องมนต์สะกด  

“สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวสำหรับนักเขียนก็คือ.... เมื่อพบว่านิทานที่ตนเขียนขึ้นนั้น มันกลายเป็นความจริง” (จาก The Diver)

……………………………………………………………………….

(อ่าน “เรื่องย้อนหลัง”ได้ที่คอลัมน์ด้านขวามือ  ขอบคุณทุกๆ ท่านที่ติดตาม)

เรียบเรียงจากข้อมูลต่างๆ และภาพจากอินเทอร์เน็ต

และ นิตยสาร “ถนนหนังสือ” มีนาคม 2530

Create Date : 28 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 28 กรกฎาคม 2553 0:57:27 น.
Counter : 846 Pageviews.  




 

ตอบโจทย์สังคมและวัฒนธรรมไทย

เอนทรีนี้ขอบันทึกเมมโมชีวิตสอนหนังสือช่วง 2 เดือนนี้ที

ปีนี้ เป็นอีกปีที่ได้กลับเข้าไปสอนหนังสือในฐานะครูพิเศษให้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ในวิชาประวัติสังคมและวัฒนธรรมไทย ซึ่งก็เหมือนทุกๆปีที่สอน คือ ผมเป็นคนขี้เบื่อมากๆ เลยพยายามไม่ใช้เอกสารและ outline เหมือนเดิม คือพยายามเปลี่ยน หัวข้อและข้อมูลเพื่อให้ตัวเองไม่เบื่อและต้องหาอะไรใหม่ๆอ่าน

ซึ่งวิธีนี้ก็พยายามบีบบังคับนักเรียน ให้อ่านของใหม่ๆ ควบคู่กันไปด้วย

ซึ่งโรงเรียนก็สามารถจัดตารางที่เอื้อต่อการเรียนการสอนของผม คือ เช้า 1คาบ เรียนทฤษฏีที่ผมสอน บ่าย 1 คาบ นักเรียนจะสอนผมด้วยการค้นคว้าและรายงานความคืบหน้าว่า 1 สัปดาห์รู้อะไรในเรื่องนั้นๆ มากขึ้น

ประเด็นในวันนี้ที่จะเล่าให้ฟัง คือ เทอมนี้ ผมพยายามสอนนักเรียนในเชิงทักษะการค้นคว้าข้อมูล แบบอิสระ คือ พยายามเปิดกว้างให้นักเรียน เลือกทำรายงานที่มีโจทย์ง่ายๆ คือ ต้องตอบโจทย์ สังคมและวัฒนธรรมไทยให้ได้

ถึงวันนี้ ผ่านไปประมาณ 7-8 สัปดาห์ นักเรียนก็ต้องเข้าห้องสอบ ผมก็แอบบอกข้อสอบไปก่อนเลยว่า ข้อสอบจะออกว่า "ให้นักเรียนบรรยายกระบวนการศึกษารายงานในวิชาประวัติสังคมและวัฒนธรรมไทย ตามหัวข้อที่นักเรียนค้นคว้ามาอย่างเป็นระบบ และตอบคำถามว่า หัวข้อที่นักเรียนค้นคว้าบรรยาย ลักษณะสังคมและวัฒนธรรมไทยอย่างไร"

ให้ทายเล่นๆครับ ว่า หัวข้อไหนเด็กๆ สนใจอยากหาคำตอบมากที่สุด

ปรากฏว่า เชื่อหรือไม่ครับ นักเรียนหลายคนตั้งคำถามตั้งแต่คาบเรียนแรก เรื่อง "ความเหลื่อมล้ำทางสังคม และ ความไม่เท่าเทียม หรือ การแบ่งชนชั้นมากที่สุด" 

ซึ่งเรื่องพวกนี้ เป็นเรื่องที่ตอบคำถามได้ยากมากๆ ครับ ผมเลยต้องพยายามตั้งคำถามให้เด็กๆ แต่ละโฟกัสกันไปกันคนละทาง ตั้งแต่ เรื่อง โครงสร้างทางสังคมในช่วงต่างๆ ของประวัติศาสตร์ วรรณกรรมที่รองรับเรื่องความไม่เท่าเทียมกัน ภาษีในประเทศไทย รายได้ตามภูมิภาค โครงสร้างทางเศรษฐกิจ ฯลฯ 

แต่สำหรับหัวข้อรายงาน ที่ตรวจข้อสอบแล้ว รู้สึกว่า น่าสนใจ และ น่าเผยแพร่ให้ได้ลองพิจารณาสำหรับเทอมนี้ ซึ่งยังศึกษาไม่สมบูรณ์ดี (ถ้าสมบูรณ์แล้ว น่าจะลองให้อ่านฉบับเต็มในโอกาสต่อไป) ซึ่งผมขอเลือกมา 5 เรื่อง แบบไม่ได้เรียงลำดับ คือ

ละครปริศนา - มีนักเรียนคนหนึ่งชอบอ่านวรรณกรรม และ ประทับใจในเรื่องปริศนาที่แต่งโดยพระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิตในช่วง 2480-90 ซึ่งทิศทางรายงานก็ได้สะท้อนวิธีคิดของสังคมเรื่องชนชั้น และค่านิยมหลักในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของมนุษย์ในช่วงเวลาดังกล่าว 

เรือนไทย - ซึ่งเรื่องนี้ นักเรียนสนใจเรียนด้านออกแบบอยู่แล้วจึงรีบสนับสนุนให้ทำ และ คำถามหลักที่ผมต้องตั้งคำถาม ทุกครั้ง คือ design ของเรือนบ้านสอดคล้องกับวิถีชีวิตยังไง และที่สำคัญ design สะท้อนภาพครอบครัวคนไทยเป็นอย่างไร

รัฐนิยมสมัยจอมพล ป. - เรื่องนี้มีนักเรียนทำ 2 คน ผมเลยชอบมาก แกล้งแหย่ให้ challenge กันเอง ทั้ง 2 คนพยายามหาข้อมูลแข่งกัน และถามแกล้งลองเชิงกัน ทำให้บรรยากาศการเรียนรู้สนุกยิ่งขึ้น

มุมมองอานันท์ - เรื่องนี้สนใจมากในการทำงานเรื่องข้อมูล ผมพยายามให้นักเรียนคนนี้ ค้นบทสัมภาษณ์อานันท์หลายๆช่วง แล้วตั้งใจอ่านว่า อานันท์คิดเห็นว่าหน้าตาของ "สังคมไทยเป็นอย่างไร" ซึ่งก็เป็นงานยากแต่เชื่อได้ว่าออกมาน่าสนใจมากแน่ๆ

เรื่องสุดท้าย - การบวชของคนไทยในศาสนาพุทธ - เรื่องนี้ ผมว่าจะน่าสนใจมากๆ ถ้าพูดถึงเรื่อง "ภิษุณี" ผมเลยพยายามถามเบี่ยงประเด็นของนักเรียนคนนี้ให้มาทางนี้ เพราะเชื่อว่าในช่วง 5 ปีมานี้ dialogue ใหญ่ของศาสนาพุทธระดับโลกน่าจะเป็นเรื่องนี้ และที่ OkNation มีคนเคยเขียนเรื่องนี้แล้ว คือ yongchan ซึ่งผมพยายามจีบให้มาช่วยนักเรียนคนนี้ในการมาเป็นที่ปรึกษา

ทั้งหมดทั้งปวงที่เล่ามา สำคัญตรงประโยคสุดท้ายนี่ล่ะครับ เพราะผมไม่ใช่คนที่รู้อะไรลึกมากพอที่จะปรึกษา หัวข้อเฉพาะทางได้ทั้งหมด จึงลองถามดูคนแถวนี้บ้างว่าใครพอจะแนะนำ ข้อมูลทิศทางสำหรับเด็กๆ ของผม ได้ดีกว่า google และ wikipedia ซึ่งผมไม่ชอบเวลาเด็กก๊อบมาแปะเลย 555
(แจ้งได้ตามสะดวกนะครับ)

Create Date : 28 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 28 กรกฎาคม 2553 0:57:08 น.
Counter : 790 Pageviews.  




 

ลุงจำลองสู้ ๆ เพื่อลูกหลาน

.
เพลง "เราสู้"
.
.
.
.
.
ผืนดินไทยอย่าให้...............ใครครอง
ใจช่วยลุงจำลอง....................คัดค้าน
ฮุนเซ็นต่ำลำพอง.........อวดอ้าง...สิทธิ์นา
ยูเนสโก้ยังด้าน..............เหยียบซ้ำรังแก
.
.
เคยแพ้กาลก่อนด้อย............เทคโน
แผนที่ฝรั่งเศสโชว์..............ปาดป้าย
ศาลโลกอนุญาโตฯ.........เขาตัด...สินเฮย
เขาพระวิหารคล้าย.........แยกแล้วแผ่นดิน
.
.
ทรัพย์สินไทยเก็บให้..........เหลนหลาน
คนชั่วสมคบพาล..................ช่องชี้
ผลประโยชน์มันหวาน........หวังเสพ
บรรพบุรุษเรานี้...............ห่อนรู้เกรงขาม
.
.
ประณามมันทุกผู้.................ขายไทย
สมคบโจรจัญไร...................รุกด้าว
ผืนดินแม่ขืนใคร...........คิดแบ่ง...แยกนา
ชาวประชาคงเฝ้า..........ปกป้องรักษา
.
.
.
.
.

 เมื่อเวลา 10.00 น. กลุ่มภาคีเครือข่ายผู้ติดตามสถานการณ์ปราสาทพระวิหาร พล.ต.จำลอง ศรีเมือง, กลุ่มสันติอโศก และพันธมิตรฯภาคใต้ 16 จังหวัด จะเข้ายื่นหนังสือต่อองค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ประจำประเทศไทย สุขุมวิท 40 และ 42 อยู่ใกล้กับ สสวท. และท้องฟ้าจำลองกรุงเทพ เอกมัย เพื่อคัดค้านการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก และประณามยูเนสโก
.
.
       
.
ภาพจากผู้จัดการ
.
บางเรื่องข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยกับแกนนำพันธมิตร แต่สำหรับเรื่องนี้ขอเชียร์และเอาใจช่วย
จนสุดใจเลยค่ะ เพราะมันเป็นเรื่องของประเทศชาติ ที่เราอาจจะสูญเสียดินแดนไปอีกครั้งเพราะ
ความเชื่องช้าของรัฐบาลไทยที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี
.
.
ภาพแสดงความสัมพันธ์อันดีระหว่างอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณและฮุนเซ็น ผู้นำกัมพูชา
จากเว็ปตี๋น้อย
.
.
Create Date : 28 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 28 กรกฎาคม 2553 0:56:31 น.
Counter : 543 Pageviews.  




 

ฟื้นฟูป่า...ฟื้นฟูใจกับพระไพศาล วิสาโล

ฟื้นฟูป่า...ฟื้นฟูใจกับพระไพศาล  วิสาโล วัดป่ามหาวัน ต.ธาตุทอง อ.ภูเขียว จ.ชัยภูมิ

พระไพศาล วิสาโล ปธ.กก.โครงการความร่วมมือเพื่อการฟื้นฟูป่าต้นน้ำลำปะทาว  กล่าวถึงความเป็นมาของโครงการ"ปลูกป่าฟื้นฟูต้นน้ำลำปะทาว -ป่าภูหลง" ว่า เกิดขึ้นจากการริเริ่มหลวงพ่อบุญธรรมและหลวงพ่อคำเขียน จากวัดป่าสุคะโต ต.ท่ามะไฟหวาน อ.แก้งคร้อ ได้ตั้งวัดป่ามหาวัน(ภูหลง) โดยขอบิณฑบาตพื้นที่บางส่วนที่ชาวบ้านทำกิน และชักชวนให้ชาวบ้านที่เข้าบุกเบิกพื้นที่ทำกินบริเวณรอบพื้นที่ป่าภูหลง ซึ่งต่อมาเรียกว่าบ้านตาดรินทองร่วมกันปักแนวเขตวัดป่ามหาวัน(ภูหลง) เพื่ออนุรักษ์และพื้นฟูป่าภูหลง

"ภูหลง"ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่บ้านตาดรินทอง ม. 6 ต.ธาตุทอง อ.ภูเขียว จว.ชัยภูมิ มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 805 เมตร มีลักษณะเป็นภูเขาสูงสลับที่ราบบนภูเขา มีสภาพป่าไม้เป็นป่าดิบแล้ง มีความลากหลายทางชีวภาพ และอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศน์สูง ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากร
ช่วง 20 ปีที่ผ่านมาป่าภูหลงประสบภัยคุกคามทั้งจากผู้ลักลอบตัดไม้ พรานล่าสัตว์ และไฟป่า จนปัจจุบันยังคงสภาพป่าสมบูรณ์เพียง2,000 ไร่ ส่วนพื้นที่อีก1,500 ไร่กลายเป็นทุ่งโล่งเตียนถูกล้อมรอบด้วยพื้นที่ทำกินของชาวบ้านครอบคลุม 3 อำเภอ ปัญหาดังกล่าวรุนแรงมากขึ้นเนื่องจากบริเวณโดยรอบนั้นถูกแผ้วถางจนไม้เหลือสภาป่า ทำให้ผู้คนหันมาหาประโยชน์จากป่าภูหลงแทน

นอกจากการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่า การลาดตระเวนเพื่อป้องกันการลักลอบตัดไม้และล่าสัตว์  ช่วงหน้าร้อนงานที่ต้องระดมคนเป็นพิเศษคือการป้องกันไฟป่า ทำแนวกันไฟรอบป่า โดยตรงแล้วทางวัดยังร่วมกับชาวบ้านจัดทำโครงการพัฒนาชุมชนเช่นส่งเสริมเศรษฐกิจพอเพียง  สนับสนุนเกษตรอินทรีย์ และการทำปุ๋ยหมักชีวภาพ การสนับสนุนเยาวชนเพื่อฟื้นฟูชุมชน

ทุกปีจะมีการจัดธรรมยาตราเพื่อชีวิตและลุ่มน้ำลำปะทาวระหว่าง 1-8 ธ.ค.โดยเดินไปตามหมู่บ้านต่าง  ๆ บนเทือกเขาภูแลนคาเพื่อรณรงค์สร้างจิตสำนึกอนุรักษ์ธรรมชาติ . .. การอนุรักษ์ป่าถือว่าเป็นงานสำคัญของวัดมิใช่เพียงเพราะป่าเป็นทรัพยากรที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตเท่านั้น หากป่ายังเป็นสถานที่เอื้อต่อการบำเพ็ญกรรมฐานเพื่อเจริญสมาธิและปัญญา ป่าที่สงบสงัดนอกจากช่วยให้จิตใจสงบได้ง่ายแล้ว ยังเอื้อต่อการมองตนเพื่อเห็นธรรมชาติของจิตใจด้วย เมื่อป่ามีคุณค่าเช่นนี้ เราจึงควรช่วยกันอนุรักษ์ป่ามิใช่เถพื่อประโยชน์ของเราและอนุชนรุ่นหลังเท่านั้น หากยังเพื่อรักษาธรรมและเป็นการตอบแทนคุณของธรรมชาติด้วย

การที่มีพระมารักษาป่าส่วนหนึ่งก็เพื่อปฏิบัติธรรมในป่าอีกส่วนก็เพื่อรักษาป่าเอาไว้เพื่อผู้คนในปัจจุบันและยุคต่อ  ๆ ไป จะได้มีโอกาสสัมผัสกับธรรมชาติจนเข้าถึงคุณค่าอันลึกซึ้งในทางจิตวิญญาณ  " นี่คือเหตุผลสำคัญว่าทำไมพระและชาวพุทธจึงควรรักษาป่าต่อสู้ไฟป่าและช่วยกันปลูกป่าให้ร่มครึ้ม เพราะการรักษาป่าคือการรักษาธรรม "

Create Date : 28 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 28 กรกฎาคม 2553 0:56:02 น.
Counter : 627 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  

boyberm
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




boyberm
Friends' blogs
[Add boyberm's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.